วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ตอนที่ 11




พระเจ้าซุกจงและทหารติดตามเข้าช่วยทงอีได้ทัน พระเจ้าซุกจงเสด็จมาหาซอ ตรัสว่า ระหว่างทางพบเด็กที่ชื่อทงอี ซึ่งบอกว่ามีหลักฐานว่าจางซังกุงเป็นผู้บริสุทธิ์ จองซังกุงบอกให้ยูซังกุงสืบสวนคดีนี้ใหม่ เพราะเมื่อไปตรวจสอบร้านขายยาที่ขายให้หมอที่ถูกฆ่า พบว่าในบัญชีซื้อขายไม่มีการซื้อพันฮาเลยแม้แต่รายการเดียว

เนื้อหา:



พระเจ้าซุกจงและทหารติดตามเข้าช่วยทงอีได้ทัน

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ดึกป่านนี้แล้วออกมาทำไม?”

“ขอบคุณใต้เท้ามากเลย ดีที่ท่านมาช่วยข้าน้อยไว้ได้”

“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่า ทำอะไรให้รีบกลับวังก่อนมืด ดีที่ข้าจะไปกองปราบเลยมาเจอเข้าไม่งั้นเกิดเรื่องใหญ่แน่”

“ขอโทษที่ทำให้ท่านวุ่นวาย  แต่เพราะว่า วันนี้ข้ามีเรื่องสำคัญมากต้องทำน่ะค่ะ” ทงอี กล่าว

“เรื่อง..สำคัญรึ”

“ใช่  เพราะเรื่องสำคัญนี่แหละ เมื่อตอนกลางวันข้าถึงไปหาท่านมา”

“หะ เจ้าไปหาข้ารึ เจ้าไปหาข้าที่ไหน?”

“ก็ข้าไปที่จวนผู้ว่า ไปบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะบอกท่าน”

“อะ อะไรนะ?”

“แต่ทหารยามมาบอกว่า ใต้เท้าบอกว่าไม่เคยรู้จักข้าแล้วก็ไล่ข้ากลับไปด้วย แต่ทำไม ใต้เท้าถึงบอกว่าไม่รู้จักข้าล่ะเจ้าคะ?”

“อ้อ เรื่องนั้นน่ะเหรอ อ้อ ใช่แล้ว  ผู้ช่วยคัง ทหารยามคนนั้นคงไปหาผู้ช่วยคังมั้ง”
“หะ?”

“จวนผู้ว่ามีผู้ช่วยสองคน เค้าเป็นหนึ่งในนั้น”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”

“แน่สิ ข้าจะบอกว่าไม่รู้จักเจ้าได้ยังไง”

“ก็นั่นน่ะสิ ข้าไม่รู้เรื่องเอาซะเลย ยังคิดอยู่เลยว่าทำไมใต้เท้าถึงลืมข้าเร็วขนาดนี้”

“อ้อ จริงสิ เจ้าบอกว่ามีเรื่องสำคัญเลยตั้งใจมาหาข้า เจ้ามีเรื่องอะไรเหรอ?”

“อย่างนี้ค่ะใต้เท้า”

แทยุนรายงานโฮยอน ว่าฝ่าบาทได้ช่วยทงอีไว้ และคนที่ส่งคนของเราให้มือปราบ เป็นทหารองครักษ์ของฝ่าบาท

“ดีที่คนที่ถูกจับ แค่ถูกตั้งข้อหาอันธพาล ดังนั้น เรื่องนี้ท่านลุงคงไม่ต้องกังวลขอรับ” โฮยอน กล่าว

“แต่เจ้าว่า  มันเป็นอย่างนี้ได้ยังไงกัน ฝ่าบาทถึงกับเข้าไปช่วยสาวใช้ต่ำต้อยคนนึง  เรื่องมันกลับกลายเป็นอย่างนี้ได้ยังไงหา?” แทซุก กล่าว

พระเจ้าซุกจงเสด็จมาหาซอ ตรัสว่า ระหว่างทางข้าพบเด็กที่ชื่อทงอี นางบอกว่าพบหลักฐานว่าจางซังกุงเป็นผู้บริสุทธิ์


“พ่ะย่ะค่ะ เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ” ซอ ทูล

“ศพนั้นอยู่ที่ไหนหา ข้าต้องการเห็นกับตาตัวเอง”

“พ่ะย่ะค่ะ..ฝ่าบาท ยื่นให้ฝ่าบาททอดพระเนตร”

“ขอรับ”

“อืม”

“ไหนตอนนี้เจ้าลองทดลองกับมือของเจ้าดูสิ” ซอ สั่งทหาร

“ขอรับ”

“เอ๊ะ ทำไมถึง..เป็นแบบนี้ล่ะ” พระเจ้าซุกจง ตรัสถาม

“ถ้าหมอที่ตายคนนี้เคยจับพันฮามาก่อน มือของเค้า ก็ควรจะเปลี่ยนสีด้วยเช่นกัน”

“อ้อ”

“นี่คือหลักฐานพ่ะย่ะค่ะ เป็นหลักฐาน พิสูจน์ว่าหมอคนนี้ไม่ได้จัดยาพันฮาส่งให้เรือนชีซอนพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม แต่ว่าวิธีนี้ เป็นวิธีที่ทงอีเป็นคนคิดขึ้นมางั้นหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท หมอถูกฆ่าเพราะความแค้นส่วนตัว และฆาตกรก็ถูกจับเข้าคุกแล้ว กระหม่อมและคนที่เกี่ยวข้องเลยไม่ทันนึก ว่าสามารถหาหลักฐานบางอย่างจากศพของคนตายได้ แต่ว่าเรื่องที่ขุนนางนับร้อยยังทำไม่ได้ นางกลับทำได้พ่ะย่ะค่ะ”

ยูซังกุง เตรียมส่งอ๊กจอง ไปที่ศาลไต่สวน โดยสั่งให้จองอิมเตรียมบันทึกคำให้การให้เรียบร้อย เนื่องจากซังกุงสูงสุดได้รับปากว่าหลังเสร็จเรื่องนี้แล้ว จะพาไปเข้าเฝ้าพระพันปีพร้อมกัน จองซังกุงกับทงอีมาที่ร้านขายยาเพื่อเอารายการบัญชีของร้านยา

“ข้าน้อยเป็นคนถือยาเข้ามาเอง ข้าน้อยรู้ดีว่า ในนั้นไม่ได้มีพันฮาอยู่เลยค่ะท่านซังกุง” ทงอี กล่าว

“ซางฮี”

“อ้อ เป็นยังไงบ้าง?” จองซังกุง ถาม


“ท่าทางเด็กคนนั้นจะพูดถูกจริง ๆ ด้วย  ไม่มีร้านสมุนไพรร้านไหนที่ขายพันฮาให้กับร้านหมอนั้นเลย” พง กล่าว

พระพันปีมองซองรับสั่งให้โดซังกุง เตรียมตัวเพื่อเดินทางไปดูหน้าอ๊กจองขณะที่ศาลกำลังไต่สวน อีกด้านหนึ่งจองซังกุงมาบอกให้ยูซังกุงสืบสวนคดีนี้ใหม่ เพราะเมื่อไปตรวจสอบร้านขายยาที่ขายให้หมอที่ถูกฆ่า พบว่าในบัญชีซื้อขาย ไม่มีการซื้อพันฮาเลยแม้แต่รายการเดียว

“จองซังกุงพูดถูกแล้วค่ะ ก่อนหน้านี้ หมอคนนั้นเคยรักษาคนไข้จนตาย จากนั้นมา เค้าเลยไม่เคยใช้ยาที่มีพิษอย่างพันฮา” พง กล่าว

“คำพูดของสาวใช้กองดนตรีน่าจะเป็นจริงนะคะ ดังนั้น เราควรจะรีบแจ้งเรื่องนี้กับศาลไต่สวน”

“ความจริงอะไรกัน  ความจริงที่เจ้าพูดถึงคืออะไร?” ยูซังกุง ถาม

“ท่านซังกุง”

“ไม่มีบันทึกซื้อขายพันฮาก็แปลว่าว่าเค้าไม่ขายยาแบบนั้นรึ ยาแบบนั้น เค้าอาจซื้อขายแบบลับ ๆ ก็ได้”

“แต่ว่า..”

“พวกเจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พวกเราค้นเจอพันฮาในเรือนชีซอน  อย่างนี้จะมีหลักฐานอะไรชัดเจนกว่านี้อีก”

“ท่านซังกุง ๆ ๆ เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ  ท่านรีบออกไปดูเถอะค่ะ” ชิบิ กล่าว เมื่อยูซังกุง ออกมาดูก็พบว่า ทหารองครักษ์กำลังจะคุ้มครองจางซังกุงกลับ



อินกุ๊กมาทูลรายงานพระพันปีมองซองว่า เมื่อครู่ฝ่าบาท ทรงถอนราชโองการส่งตัวจางซังกุง ไปศาลไต่สวนแล้ว ด้านยูซังกุงสอบถามกับซังกุงสูงสุดถึงเรื่องที่ว่าจางซังกุงบริสุทธิ์ มีหลักฐานอะไร

“หลักฐาน หลักฐานก็อยู่ในนี้ไง นี่เป็นรายงานที่กองปราบส่งมา เขียนข้อมูลที่พิสูจน์ว่าจางซังกุงไม่ผิดไว้ชัด และหลักฐานนั้น ฝ่าบาทเสด็จไปพิสูจน์มาด้วยองค์เอง รู้มั้ยว่าใครเป็นคนพบหลักฐาน สาวใช้ในกองดนตรีคนนั้น” ซังกุงสูงสุด กล่าว

“คะ?”

“เข้าใจรึยัง พวกเจ้าหลงกับหลักฐานตรงหน้า แล้วพยายามจะรีบปิดคดี สาวใช้คนนึงกลับพิสูจน์หาความจริงออกมาได้ คราวนี้จะทำยังไง  อับอายขนาดนี้ใครจะรับผิดชอบ?”

แทยุน โฮยอน ประหลาดใจเมื่อรู้ว่าทงอีเป็นคนพิสูจน์ความจริงทั้งหมดนี้ ส่วนอ๊กจอง เมื่อรู้ว่าทงอีเป็นคนหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้ว่าตนไม่ผิด ก็ประหลาดใจเช่นกัน

“ท่านต้องถูกปรักปรำอยู่หลายครั้ง คงจะลำบากมิใช่น้อย ฝ่าบาทมีราชโองการ ให้คุ้มครองจางซังกุงกลับไปพักผ่อนที่เรือนชีซอนแล้วขอรับ” ข้าหลวง กล่าว

เมื่ออ๊กจอง กลับมาที่เรือนชีซอน ก็พบกับ โช และ ยางซอน

“พวกเจ้าลำบากกันแย่เลยสิ” อ๊กจอง ถาม

“ต่อให้ลำบากแค่ไหน ก็ไม่สำคัญอะไรหรอกเจ้าค่ะ แต่ท่านต้องถูกหยามเกียรติโดยไม่เป็นธรรมแบบนี้ ข้าน้อยรู้สึกเจ็บใจแทนท่านจริง ๆ” โช กล่าว

“ต้องขอโทษด้วยท่านซังกุง ทั้งหมดเป็นความผิดของฝ่ายตรวจการเราเอง เราไม่รู้ว่าจะลบล้างความผิดนี้ยังไงดี รออะไรอยู่ล่ะ รีบขอ อภัยจางซังกุงซะสิ” ซังกุงสูงสุด กล่าว

“ข้าน้อยขออภัยท่านซังกุง ครั้งนี้ข้าน้อยทำผิดพลาดไปอย่างยิ่ง ขอให้ท่านได้โปรด อภัยให้พวกเราด้วย”

“นั่นสิ ถ้าพวกเจ้าคิดจะยอมรับความผิดและขออภัย พวกเจ้าไม่ควรมาขอกับข้า แต่ควรไปขอกับสาวใช้ในกองดนตรีที่พิสูจน์ความจริงนี่  ความไร้ความสามารถของพวกเจ้าได้ก่อเรื่องน่าอับอายขึ้น แต่สุดท้ายเด็กคนนั้นกลับมาช่วยกอบกู้ให้  ไม่ใช่รึไงหา?  ตอบข้ามายูซังกุง  ซังกุงตรวจการที่สู้สาวใช้คนนึงไม่ได้ แล้วอย่างนี้ ข้าไม่ควรจะเป็นห่วงฝ่ายตรวจการรึไงหา?” อ๊กจอง ถาม

“ยืนทื่อทำอะไร  รีบหลีกทางให้ท่านสิ” โช กล่าว

ยูซังกุงรู้สึกเสียหน้าที่เด็กรับใช้กองดนตรีทำให้ตนเองต้องอับอาย ด้านอ๊กจองสั่งให้โชซังกุงไปตามทงอีมาพบ


“ข้าไม่รู้.. ว่าจะเอ่ยปากยังไงกับเจ้าดี ข้ารู้สึกขอบคุณเจ้ามากจน..ไม่สามารถจะพูดออกมาได้หมดเชียวล่ะ”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิท่านซังกุง เทียบกับบุญคุณที่ท่านยอมเสียสละเพื่อปกป้องข้า ข้าเองก็ไม่ได้ทำอะไรตอบแทนท่านเลย” ทงอี กล่าว

“จะบอกว่าไม่ได้ทำได้ยังไง เจ้าเองก็เห็นแล้ว เพราะความช่วยเหลือของเจ้าข้าถึงได้กลับมาอย่างปลอดภัยไง” อ๊กจอง กล่าว

“ท่านซังกุง”

“ถึงรู้แต่แรกว่าเจ้าไม่ธรรมดา แต่นึกไม่ถึงว่าจะทำให้ประหลาดใจได้เพียงนี้  นี่เจ้าคิดวิธีที่วิเศษอย่างนั้นได้ยังไง?”

“ทั้งหมด เป็นเพราะข้าเชื่อในตัวท่านค่ะ เพราะข้าเชื่อว่า ท่านไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องแบบนั้นอย่างแน่นอน เลยคิดว่าจะต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ให้ได้ ข้าแค่อาศัยความเชื่อมั่นนี้  ทำให้คิดได้ว่าจะไปพิสูจน์จากศพ ความจริงแล้ว ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยจริง ๆ ค่ะ ท่านซะอีก ที่ยอมปกป้องข้าที่เป็นแค่สาวใช้ คนชั้นต่ำที่ไม่มีค่าอะไร  ข้าเองไม่รู้ว่าจะตอบแทนพระคุณนี้ยังไง”

“เจ้าผิดแล้ว  ถึงเจ้าจะเป็นคนฉลาด แต่วันนี้สิ่งที่เจ้าพูดมาผิดทั้งหมด”

“ค่ะ?”

“สาวใช้ชั้นต่ำที่ไม่มีค่าอะไร ไม่ใช่ซะหน่อย  เจ้าเป็นเด็กมีค่าที่สุดที่ข้าเคยพบมา”

“ท่านซังกุง”

พระเจ้าซุกจงผิดหวังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัง

“รู้สึกว่าเหตุการณ์นี้มันคุ้นบ้างมั้ย? จางซังกุงถูกคนใส่ร้ายอีกครั้งนึง และคนที่บงการอยู่เบื้องหลัง ก็หลุดรอดไปได้อีกครั้ง ที่น่าตลกคือ  เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นติดต่อกันภายในเวลาไม่ถึงเดือน  เห็นรึยัง  นี่คือสิ่งที่เป็นอยู่ในราชสำนัก แต่ที่ข้ารู้สึกเจ็บปวดที่สุด  มันไม่ใช่แค่เรื่องของจางซังกุงเพียงเรื่องเดียว แต่เป็นการเมืองในราชสำนักโชซอน ขุนนางดีแต่ต่อสู้ชิงดีกัน คิดแต่จะแย่งชิงอำนาจ จนถึงขั้นใส่ร้ายใส่ความกันอย่างไม่ละอาย ตอนนี้ ราชสำนักกำลังฟอนเฟะ ไร้ความละอายมากขึ้นทุกวัน”  “ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนาง กล่าวทูล
  
“ข้าโง่เอง ที่เฝ้าหวังว่าพวกท่านจะสำนึกและรู้ตื่นเอง ดังนั้น จงฟังคำพูดของข้ากันให้ดี  ถ้ามีเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก  ข้าจะไม่มีทางรอมชอมหรือให้อภัยอีกต่อไป ข้าจะสืบสาว และตามเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ไม่ว่าคนบงการจะเป็นใครก็ตาม จะไม่มีคำว่าเมตตาอีก  ได้ยินชัดมั้ย?”
  
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
  
พระเจ้าซุกจง รับสั่งให้ซอเข้าเฝ้า เพื่อมอบหมายให้เป็นคนสืบเรื่องที่เกิดขึ้น จับคนที่อยู่เบื้องหลังมาลงโทษ โดยให้ยึดถือความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง

พระมเหสีอินฮอน ตรัสถามอัน ถึงเรื่องที่สาวใช้ในกองดนตรีได้ช่วยจางซังกุงไว้ แล้วก็รู้สึกอิจฉาที่นางมีวาสนา แม้แต่เด็กรับใช้ข้างกาย ยังเป็นคนที่มีความสามารถถึงเพียงนี้

พระเจ้าซุกจงเสด็จมาหาอ๊กจองที่เรือน


“เจ้าไม่โกรธหรือน้อยใจข้าเลยหรือ?”

“คราวก่อนหม่อมฉันทูลฝ่าบาทไปแล้วเพคะ ว่าแค่เห็นฝ่าบาทเสด็จมาเยี่ยม หม่อมฉันก็พอใจแล้ว”

“นั่นสิ ขอบใจมากที่เจ้าพูดแบบนี้  ที่จริงเรื่องราวทั้งหมดนี้ โชคดีที่ได้เด็กที่ชื่อทงอีช่วย  นางเป็นแค่เด็กรับใช้คนนึง อายุก็ยังน้อยอยู่เลย หึ ทำไมถึงคิดวิธีอย่างนั้นออกมาได้”

“เพคะฝ่าบาท หม่อมฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ถ้าให้ทำงานใช้แรงงานอยู่ในกองดนตรีต่อไป น่าเสียดายเกินไปเพคะ”

“อืม”

“ฝ่าบาท เกี่ยวกับเรื่องของนาง หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะทูลขอหน่อยเพคะ”

“ทูลขอ  เกี่ยวกับเด็กคนนั้นหรือ?”
  
“เพคะฝ่าบาท”

อ๊กจอง ทูลขอทงอีให้มาอยู่ในความดูแลของนาง และตั้งใจให้พี่ชาย คือจางฮีเจ ที่กำลังเดินทางกลับมาจากต้าชิงดูว่าทงอีเป็นอย่างไร

จางฮีเจ นั่งเรือมาถึงเมืองหลวง ก็ยังไม่ตรงกลับไปตาม แต่ออกเที่ยวเตร่อยู่ในเมืองจนถูกชาวบ้านไล่ตี วิ่งมาถึงบ้านของยังดัล ที่ชอนซูกำลังมาขอติดต่อเช่าบ้านของยังดัล และได้ช่วยจางฮีเจเอาไว้


“ว้าว  ฮะ ๆ ๆ ว้าว เจ้านี่มันเก่งจริง ๆ เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” ฮีเจ ถาม

“คนที่พวกนั้นตามหาคือเค้าใช่มั้ย?” ชอนซู ถามกลับ

“ใช่ คือเค้านี่แหละ”

“นี่มันเรื่องอะไรกัน แล้วทำไมถึง..”

“ที่จริงก็ไม่มีอะไร ข้าแค่เคยเป็นชู้กับเมียหมอนั่นเท่านั้นเอง..” ฮีเจ กล่าว

“อะไรนะ เป็นชู้งั้นเหรอ?” ยังดัล ถาม

“ปัดโธ่  บางทีคนเรา  เมียตัวเองก็อาจจะไปปิ๊งผู้ชายคนอื่นก็ได้ เป็นผู้ชายทำไมต้องใจแคบด้วยเล่า เจ้าว่าจริงมั้ย ฮะ ๆ ๆ ท่าทางเจ้าสองคนจะไม่เข้าใจ ฮะ ๆ”

แทซุก และแทยุน หนักใจที่จางฮีเจ กลับมาแล้วก็มาก่อเรื่องวุ่นวายแล้วใช้เงินแก้ปัญหาเอาตัวรอดตลอด เป็นถึงพี่ชายของจางซังกุง แต่กลับทำตัวแบบนี้

“อย่าใส่ใจไปเลยท่านลุง เพราะแบบนี้ กลับเป็นผลดีกับพวกเรามากกว่า ถ้าอาศัยอำนาจของจางซังกุง ในการให้ได้มาซึ่งอำนาจ ปัญหาจะใหญ่กว่านี้แน่นอน” โฮยอน กล่าว

“เพื่อไม่ให้คนเค้าเอาไปนินทา ไปสืบดูสิว่ามีตำแหน่งอะไรว่างบ้าง จับเค้าใส่ได้รึเปล่า?” แทซุก สั่ง

“ขอรับท่านลุง”

เมื่อฮีเจ กลับมาถึง ยูนก็ตำหนิถึงพฤติกรรมที่เขาก่อขึ้น


“เจ้าเพิ่งกลับมาถึงก็ก่อเรื่องแล้ว เจ้าคิดจะเด็ดดอกไม้ริมทางเตร็ดเตร่ไปจนถึงเมื่อไหร่?”

“เฮ้อ จะว่าไปก็จริงนะ ที่จริงก็รู้สึกเบื่ออยู่เหมือนกันท่านแม่”

“อะไรนะ เจ้าทำเป็นหาข้ออ้างอีกละสิ”

“ไม่ ไม่ใช่ข้ออ้าง มันเรื่องจริง” ฮีเจ กล่าว

“ข้าไม่อยากจะฟังเจ้าพูดแล้ว ข้าขี้เกียจจะเห็นหน้า รีบออกไปไกล ๆ เลย  ข้างนอกมีเด็กจากในวังมารอข้าอยู่”

“เด็กมาจากในวังงั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว เป็นสาวใช้กองดนตรีที่ช่วยท่านซังกุง ให้รอดพ้นภัยครั้งนี้มาได้”

“ตอนนี้เด็กคนนั้นยังอยู่รึเปล่า?”

“เจ้า..เจ้ารู้มั้ยว่าช่วงที่ผ่านมาท่านซังกุงต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายมากแค่ไหน เมื่อไหร่เจ้าจะช่วยนางได้สักทีหา? เฮ้อ” ยูน กล่าว

“ตอนนี้ เด็กคนนั้นอยู่ที่ไหนท่านแม่”         ฮีเจถาม จากนั้นก็เดินออกไปหาทงอี

 

“เจ้าคือเด็กคนนั้นสินะ”

“ไม่ทราบว่าท่านคือ..”

“อืม..เป็นเด็กหน้าตาอย่างนี้นี่เอง” ฮีเจ กล่าว

“ใต้..ใต้เท้า  จะทำอะไรหรือคะ”

“นี่ เจ้าตกใจเหรอ ไม่ต้องกลัวน่า ข้าไม่ชอบแนวอย่างเจ้าหรอก”

“เอ๊ะ?”

“นายน้อยคะ นายหญิงให้เรียกเด็กคนนี้เข้าไปค่ะ”  คนใช้ กล่าว

“รู้แล้ว  เจ้าเข้าไปเถอะ นายหญิงเรียกเจ้าอยู่”

ฮีเจ เดินทางมาหาอ๊กจอง


“ข้าน่ะเฝ้ารอให้พี่ชาย กลับมาที่เมืองหลวงเร็ว  ๆ”

“ใช่  ข้าเองก็นับวันรอที่จะกลับมาเหมือนกัน รู้มั้ยข้าก็ร้อนใจจนลุกเป็นไฟแล้ว”

“ใจร้อน พอกลับมาถึงเมืองหลวงก็ออกไปก่อเรื่องทันทีเลยแบบนี้เนี่ยนะ”

“ฮะ ๆ ๆ ได้ยินมาด้วยเหรอ ก็อย่างที่ได้ยินแหละ เพื่อทำให้ทุกคนคิดว่าข้าเป็นคนไม่เอาถ่าน  ข้าจางฮีเจเลยต้องทำตัวเป็นผู้ชายเสเพลไร้สาระ เพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาสนใจข้า”

“พี่ชายก็”

“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาไม่ใช่เหรอ ถึงจะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเบื่อจนแทบบ้า แต่ข้าก็ต้องรอเวลาอีกหน่อย”

“ไม่ค่ะ  ไม่จำเป็นต้องรอแล้วค่ะ พี่ชายคำสัญญาที่ข้าให้ไว้ ตอนที่เข้าวังท่านยังจำได้มั้ย  ตอนนั้นข้าเคยรับปากท่านไว้ว่า จะต้องปีนจากตรงนี้ขึ้นไปถึงจุดสูงที่สุดให้ได้ วันที่เฝ้ารออย่างระมัดระวังจบลงแล้ว ตอนนี้ ถึงเวลาที่เราต้องเตรียมพร้อมจะเดินสู่ทางไกลแล้วค่ะพี่”

“ในเมื่อท่านตัดสินใจแล้ว ท่านจะต้องไม่ลังเลอะไรอีกแล้วนะ” ฮีเจ กล่าว

“ค่ะ เรื่องนั้นแน่นอน ครั้งนี้เด็กคนนั้นช่วยเหลือข้าไว้  ฉลาดมีไหวพริบและไว้ใจได้ ข้าจะให้เค้าเป็นทัพหน้า ลองโยนหินลงในทะเลสาปที่สงบนิ่งอย่างฝ่ายในดู”

“เด็กคนนั้นเหรอ หรือว่าเจ้าหมายถึงเด็กรับใช้ในกองดนตรี”

“ท่านได้ยินเรื่องเด็กคนนั้นมาแล้วเหรอ” อ๊กจอง กล่าว

“หึ ไม่ใช่แค่ได้ยินมา ยังเจอตัวเป็น ๆ แล้วด้วย”

“ท่านเจอเด็กคนนั้นแล้วเหรอ?” อ๊กจอง กล่าว

“ใช่”

“ท่านคิดว่าเป็นไง  ข้าอยากจะฟัง ความเห็นที่พี่ชายมองเด็กคนนั้นมากกว่าใครทั้งนั้น   เป็นอะไรคะพี่ชาย หรือว่าท่านไม่ชอบเด็กคนนั้น พี่ชายคะ” อ๊กจอง กล่าว

“พอเห็นเด็กคนนั้น ข้าก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมท่านถึงชอบเด็กคนนั้นนัก แต่ถ้าหากเป็นข้า ข้าไม่มีทางเอาเด็กคนนั้นมาไว้ข้างตัวแน่”


ทงอี ออกมาเดินหาซื้อเชือกผูกกางเกงกับหมวกให้นักดนตรี ก็ได้มาพบกับพระเจ้าซุกจงที่ได้ปลอมตัวออกมาเดินดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน

“ใต้เท้าผู้ช่วย”

“นี่เจ้าพงซานนี่นา” พระเจ้าซุกจง ตรัส

“ค่ะ ทำไมถึงมาเจอท่านที่นี่ได้เนี่ย”

“นั่นสิ เจอได้ยังไงเนี่ย โลกนี้ช่างแคบจริง ๆ ดูท่าทางเจ้าคงมาวิ่งซื้อของอีกละสิ” พระ เจ้าซุกจง ตรัส

“ค่ะ วันนี้ข้าไม่ได้ออกมาก่อเรื่องนะ”

“เหรอ เจ้าเคยไม่ก่อเรื่องด้วยเหรอ?”

“ท่านคิดว่าข้าดีแต่ก่อเรื่องทั้งวันทั้งคืนหรือ? แต่ว่าใต้เท้ามาที่นี่ได้ยังไงคะ” ทงอี กล่าว

“ข้าเหรอ ข้ามาดูความเป็นอยู่ของประชาชน”

“อู้ว์.. ฮิ ๆ”

“ฮะ ๆ ๆ หมายความว่า  ในกองดนตรีเฝ้ารออาหารพระราชทานจนเกือบหิวตายเลยเหรอ?”

“ใช่ค่ะ ข้าเองก็ไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกัน ฝ่าบาทจะไปประทานรางวัลใหญ่อย่างนั้นอีกได้ยังไง” ทงอี กล่าว

“นั่นสิเจ้าพูดถูก วันก่อนข้าเพิ่งไปเข้าเฝ้า  พระองค์ไม่เห็นตรัสถึงเลยนี่”

“ก็นั่นสินะ”

“จริงสิ ครั้งนี้เรื่องจบแบบเจ้าไม่ได้อะไร ผิดหวังสินะ”

“ไม่หรอก ใครว่ากันล่ะ”

“ดูท่าจะผิดหวังมาก”

“ไม่เลยจริง ๆ นะ ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ   เพียงแต่ทุกคนเฝ้ารอกันเนี่ยสิ”

“ถ้างั้น ข้าให้รางวัลเจ้าเอง ข้าจะให้รางวัลเจ้า แทนฝ่าบาทเองดีรึเปล่า? ไปเถอะ จะฝ่าบาทพระราชทานให้หรือข้าให้เจ้าก็ไม่ต่างกันหรอก ไปซี่”

“ใต้เท้า ๆ”

“ตามข้ามาก็พอ”

ยังดัล และจูซิก มาที่ตลาดเผอิญเห็น    ทงอีกับพระเจ้าซุกจงกำลังเลือกซื้อของ ก็ตกใจที่เห็นทงอียืนอยู่กับพระเจ้าซุกจง จึงแอบด้อม ๆ มอง จึงโดนทหารองค์รักษ์จับตัวได้


 

“พวกเจ้าเป็นใคร” ทหาร กล่าว

“โอ๊ย ๆ”

“ทง ทงอี ๆ ๆ” ยังดัล ร้องเรียก

“ใต้เท้า ๆ”

“เจ้ารู้จักพวกเค้าเหรอ” พระเจ้าซุกจง ตรัสถาม

“ค่ะ พวกเค้าเป็นใต้เท้าที่อยู่ในกองดนตรี”

“โอ๊ย”

“งั้นก็ต้องขอโทษด้วย พวกเค้าเป็นคนของข้า คงจะเข้าใจพวกเจ้าผิด”

“พวกท่านรีบทำความเคารพสิ ท่านนี้ก็คือ” ทงอี กล่าว

“ข้ารู้ ๆ ท่านผู้ช่วยจวนผู้ว่าใช่รึเปล่า?     ฮะ ๆ”

“ใต้เท้า ข้าน้อยเป็นนักดนตรีชื่อบังยังดัลขอรับ”

“ข้าน้อยเป็นหัวหน้ากองดนตรี ชื่อฮวังจูซิกขอรับ” จูซิก กล่าว

“ฮะ ๆ ๆ ยินดีที่ได้รู้จัก  พวกเจ้าใช่มั้ยที่รออาหารพระราชทานจนลูกตาแทบหลุดออกมา” พระเจ้าซุกจง ตรัส

“ตอนแรกมันก็หลุดลงมาบนมือ ข้าเพิ่งยัดกลับไปเมื่อกี้เอง ฮะๆ ๆ”

“ข้าก็ช่วยยัดให้ด้วย ฮะ ๆ”

“จะลองอีกทีมั้ย”

“ท่านสองคนก็..”

ฮีเจ บอกกับอ๊กจอง ว่าไม่อยากให้นางเอาทงอีมาไว้ข้างตัว อ๊กจองจึงขอเหตุผล

“เวลาข้าพูดอะไรแบบนี้ เคยต้องมีเหตุผลเป็นพิเศษด้วยเหรอ รู้สึกว่า สิ่งที่เด็กคนนั้นมี ดูคล้ายกับท่านมากจนเกินไป เลยทำให้ข้าระแวงขึ้นมา”

“อะไรนะ?”

“ถึงจะเกิดจากชนชั้นต่ำ แต่กลับมีปัญญาและความสามารถโดดเด่นเหนือคนเหมือนกับท่าน เป็นสิ่งที่ทำให้ท่านมาถึงจุดนี้ แต่สำหรับคนแบบนี้ มีแค่ท่านคนเดียวก็น่าจะพอแล้ว แล้วท่านจะไปช่วยติดปีกให้เด็กคนนึงที่เหมือนกับท่านทำไมล่ะ?”

จูซิก และยังดัล ขอเลี้ยงเหล้าพระเจ้าซุกจง ที่ทำให้พวกตนได้กินอาหารพระราชทาน


“อา..ใต้เท้า ข้าขอคารวะท่านหนึ่งจอก”

“ไม่ละ ๆ ข้าชักจะเริ่มเมาแล้ว” พระเจ้าซุกจง  ตรัส

“เฮ้อ จะเมาได้ยังไง  ลูกผู้ชาย ดื่มแค่สามจอกก็บอกว่าเมารึ ต้องดื่มให้หมดรวดเดียวเลย  ไม่งั้นมีทำโทษแน่” ยังดัล กล่าว

“ใต้เท้า ท่านผู้ช่วยผู้ว่า ค่อนข้างจะเป็นคนบอบบางน่ะ  เอามานี่ให้ข้าดื่มแทนท่านเอง”

“ไม่ต้อง ส่งมา  เดี๋ยวข้าจะดื่มเอง”

“ใต้เท้า ไหวจริง ๆ เหรอคะ”

“ไหวสิ ยังไงก็ต้องไหว มาคราวนี้ตาพวกเจ้าแล้ว วันนี้ข้าจะเลี้ยงเหล้าพระราชทาน” พระเจ้าซุกจง เผลอหลุดคำพูดออกไป

“เอ่อ ใต้เท้า อย่าพูดอะไรชวนหัวหลุดสิ เหล้าพระราชทานเอาไว้ใช้กับเหล้าที่ฮ่องเต้ประทาน”

“ความจริงเมื่อก่อนใต้เท้าก็ชอบใช้ผิด เวลาจะออกคำสั่งก็บอกว่านี่คือโองการ ระวังหัวจะหลุดนะ”

“แต่จะว่าไป ใต้เท้าเองก็ดูเหมือนฝ่าบาทอยู่เหมือนกันนะ” จูซิก กล่าว

“พูดจริงเหรอ”

“ใช่ตอนที่มีงานเลี้ยง ข้าเคยเห็นมุมไกล ๆ เจ้าคิดว่าไงยังดัล” จูซิก กล่าว

“ฮะ ๆ ท่านน่ะหาเรื่องหัวหลุดจากบ่า ฝ่าบาทออกจะรูปงามไม่ธรรมดา จะเทียบกันได้ไง เอ่อข้าไม่ได้ตำหนิว่าท่านหน้าตาไม่หล่อหรอกนะ”


“ฮะ ๆ ไม่เป็นไร  พวกเจ้าบอกว่าฝ่าบาทหล่อกว่าข้าเหรอ ได้ยินอย่างนี้แล้วดีใจจัง”

“แต่ว่า ฝ่าบาทเป็นคนรูปงามขนาดนั้นจริงเหรอ  แม้แต่เห็นไกล ๆ ยังไม่เคยเห็นเลย”  ทงอี กล่าว

“ฮะ ๆ ๆ เรื่องอย่างนี้ ข้าจะพูดเองได้ยังไงกัน ฮะ ๆ ๆ”

“ไม่ต้องพูดแล้ว ได้ยินคนที่เคยเห็นฝ่าบาทใกล้ ๆ บอกว่า พระพักตร์ของฝ่าบาทเหมือนมีแสงเปล่งออกมาด้วย จมูกโด่ง  ผิวก็ขาวราวกับหิมะ หน้าตาก็ เหมือนผู้ช่วยผู้ว่านี่แหละ เค้าว่าอย่างนี้นะ”

“อ๋อ  อย่างนั้นเหรอ” ทงอี กล่าว

“ว่ายังไง ทงอีเจ้าเป็นผู้หญิงคงชอบผู้ชายหล่อล่ะสิ”

“ไม่หรอกค่ะ ข้าชอบผู้ชายตัวดำ ๆ ตัวสูงบึกบึนมากกว่าค่ะ”

“หะ?”

“โอ้ว ใต้เท้า ถ้วยเหล้าท่านว่างแล้วขอรับ ข้าดื่มให้ท่านอีกจอก”

“เทให้เต็มถ้วยเลย” พระเจ้าซุกจง ตรัส

“ท่านอย่าเอาแต่ดื่มเหล้าสิ มากินกับ แกล้มด้วยสิ”

“โห อร่อยจังแฮะ”

“อาหารถูกปากใต้เท้าเหรอคะ” ทงอี ถาม

“ใช่ รู้สึกเคี้ยวมันดี ถูกปากข้ามากเลย มันเรียกว่าอะไร?”

“นี่ก็หนังหมูไง”

“หนังหมู อะไรนะ เจ้าว่าหนังอะไรนะ”

“หนังหมู หนังหมูอู๊ดอู๊ดไง ฮะ ๆ ๆ”       ทงอี กล่าว

“เจ้าบอกว่าหนังหมู ถ้างั้นที่ข้ากำลังเคี้ยวอยู่ มันคือหนังหมูจริงเหรอ”

“ค่ะ ท่านชอบกินของพวกนี้ด้วยเหรอ ท่านยังดูติดดินกว่าที่คิดนะคะเนี่ย”

“ติดดิน ถูกแล้วข้าก็มีมุมติดดินเหมือนกัน”

“ใต้เท้าที่แสนติดดิน งั้นกินอีกสักชิ้นนะ ฮะ ๆ ๆ”


“ฮะ ๆ เป็นคืนที่สนุกมาก ๆ เลยนะ” พระเจ้าซุกจง กล่าว

“ใต้เท้า ไม่เป็นไรจริงเหรอคะ คงครั้งแรกล่ะสิที่ออกมาดื่มแบบนี้” ทงอี กล่าว

“ใช่ เป็นครั้งแรก แปลว่าตั้งแต่รู้จักเจ้า ข้าได้ทำอะไรครั้งแรกเต็มที่เลย”

“ดีใจจังที่ใต้เท้ามีความสุข ท่านเองมีตำแหน่งสูงส่งยังกลัวว่าจะไม่คุ้นอยู่เลย”

“ไม่หรอกน่า รู้มั้ยเพราะได้เจ้า ทำให้ฝันข้าเป็นจริง”

“ความฝันเหรอ?”

“ใช่แล้ว  ความฝันที่อยากจะเป็นเหมือนผู้ชายที่เดินถนนทั่วไปคนนึง  แล้วตัวเจ้าล่ะ เจ้าไม่มีความฝันอย่างข้าบ้างเลยเหรอ อย่างเช่น  ข้าอยากทำสิ่งที่ไม่ได้ทำอยู่ในฐานะนี้บ้าง เจ้าเองก็คงมีบ้าง สิ่งที่อยากทำถ้าไม่ได้เป็นเจ้า”

“ข้าก็เป็นแค่ชนชั้นต่ำ จะไปกล้ามีความฝันได้ยังไง ต่อให้มีจริง ๆ  ก็เป็นฝันที่ไกลสุดเอื้อม”

“ฝันที่ไกลสุดเอื้อม หรือเจ้าไม่อยากเป็นชนชั้นต่ำ แต่อยากอยู่ในชนชั้นอื่นรึ?”

“คะ?”

“สำหรับข้าแล้ว เจ้าเป็นเด็กที่ฉลาดและยังเก่งมากด้วย  ดังนั้นบอกมาเถอะ ว่าในใจของเจ้า รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมที่เกิดเป็นชนชั้นต่ำบ้างรึเปล่า?”

“ถ้าจะบอกว่าไม่มีเลยคงโกหก ถ้าไม่ได้เป็นชนชั้นต่ำ ถ้าข้าเกิดเป็นชายไม่ใช่หญิง ทำไมข้าจะไม่เคยมีความฝันแบบนั้น  แต่ถึงจะรู้สึกน้อยใจหรือเสียใจ มันก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้หรอก ได้แต่หวังว่าถ้าเกิดชาติหน้า ข้าจะไม่ต้องเกิดมาเป็นชนชั้นต่ำแบบนี้ แต่ได้เกิดมาอยู่ในชนชั้นอื่น นี่แหละความฝันของข้า”

“อาจไม่ต้องรอถึงชาติหน้าก็ได้”

“คะ”

“อย่างคืนนี้ฝันข้าเป็นจริงได้เพราะเจ้า บางทีมันอาจจะเกิดกับเจ้าบ้างก็ได้”

พระเจ้าซุกจง นึกถึงคำพูดของอ๊กจอง ที่อยากให้ทงอีแสดงความสามารถ ก็รับสั่งกับองครักษ์ให้ไปตำหนักพระมเหสีกัน จากนั้นได้มีคำสั่งคณะปกครองลงมา ยูซังกุงพยายามจะคัดค้าน แต่ซังกุงสูงสุดยืนยันว่ามีหนังสือคำสั่งลงมาแล้ว

ที่กองดนตรี ยังดัลและจูซิก ตื่นเต้นเมื่อรู้ข่าวรีบวิ่งเข้าไปตามทงอีให้ออกมารับหนังสือ



“สาวใช้กองดนตรีแซ่ชอนนามทงอี รับหนังสือคำสั่งคณะปกครอง เอาหนังสือคำสั่งมา สาวใช้กองดนตรีชอนทงอี จงรับคำสั่งจากคณะปกครอง วันที่สิบเอ็ดเดือนสามปีขาล มีคำสั่งให้ย้ายหน่วยงานของสาวใช้กองดนตรีชอนทงอี แต่งตั้งให้เป็นนางในเพื่อรับใช้ฝ่ายในแทน และเมื่อเข้าสู่วังแล้วให้ไปเป็นนางในประจำฝ่ายตรวจการ โดยให้ชอนทงอีเป็นนางใน ในฝ่ายตรวจการตั้งแต่วันนี้ ขอให้มารับคำสั่งแต่งตั้งด้วย”

“สวรรค์ แต่งตั้งเป็นนางในประจำฝ่ายตรวจการ ทงอีได้เข้าวังแล้ว ได้ยินรึเปล่า? อะไรกันเนี่ย.. เป็นไปได้ยังไง” ทุกคนประหลาดใจ

“ข้าได้เป็นนางในประจำฝ่ายตรวจการ ข้าน่ะเหรอ?” ทงอีงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น


* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี


หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่  (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา