วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ตอนที่ 21




พระมเหสีถูกปลดเป็นสามัญชนจึงได้ฝากฝังทงอีให้ช่วยดูแลพระราชาด้วย จางฮีเจเมื่อได้อาศัยบารมีของอ๊กจอง ก็เริ่มไม่เห็นใครอยู่ในสายตา มีแต่ทงอีที่กล้าประกาศสงครามกับเขา อ๊กจองเองก็เริ่มกลัวในตัวทงอี จึงเรียกยูซังกุงให้วางแผนจัดการทงอี

เนื้อเรื่อง:

ในที่สุดพระเจ้าซุกจงไม่สามารถทนต่อแรงกดดันของเหล่าขุนนางฝ่ายใต้ได้จึงมีราชโองการปลดพระมเหสีอินฮอน



“ปีมะเส็งวันที่สองเดือนห้า มีราชโองการให้ถอดพระมเหสีอินฮอน จากบรรดาศักดิ์ให้เป็นสามัญชน และให้ขับพ้นออกจากวังไปพำนักยังบ้านเกิด สามัญชนอินฮอนรับราชโองการ”ข้าหลวง กล่าว

“พระมเหสี ฮือ ๆ ๆ พระมเหสี ๆ ๆ ๆ…”

เมื่อทงอีรู้เรื่องการถอดยศก็ไปหาจองซังกุง “ถอดยศหรือ ไม่ได้เด็ดขาดนะคะ เพราะข้าได้หลักฐานจากเสมียนคนนั้นมาแล้วค่ะ เขาได้รับการว่าจ้างให้ออกตั๋วเงินปลอมนะท่านซังกุง เราต้องใช้หลักฐานนี้ขอให้สืบสวนหาตัวบงการใหม่”

 “มันสายไปแล้วล่ะทงอี” จองซังกุง กล่าว

 “ท่านซังกุง นี่เป็นความหวังเดียวของเรานะคะ” ทงอี กล่าว

 “ราชโองการถูกประกาศไปแล้ว แถมต้องเตรียมพระราชพิธีศพ จะมีใครยอมให้มีการสืบสวนใหม่ เรื่องนี้ต้องถูกศาลไต่สวนโยนทิ้งก่อนส่งถึงพระราชาแน่” จองอิม กล่าว

 “ถ้างั้น ข้าจะไปเข้าเฝ้าพระราชาด้วยตัวเอง”

 “อะไรนะ?”

“ข้ารู้ว่าพระราชารักและโปรดพระสนม ฮีบิน ข้าพยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็ตัดใจพูดไปไม่ได้ แต่ตอนนี้ คงทำอย่างนั้นอีกไม่ได้ เพราะข้าเชื่อว่า พระราชาก็อยากทราบความจริง

 “ทงอี” 

 ทงอี มาขอเข้าเฝ้า แต่ขันทีไม่อนุญาต แม้นางจะอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่เป็นผล จนใต้เท้าซอมาพบ


 “นี่ใต้เท้าว่ายังไงนะ ท่านจะให้ข้าเก็บหลักฐานเอาไว้ก่อน”

 “เจ้าได้ยินถูกแล้ว มันยังไม่ถึงเวลา”

 “ใต้เท้า”

 “ตอนนี้ฝ่าบาทไม่เชื่อถือในตัวพระมเหสี อีกอย่าง อำนาจในราชสำนักก็อยู่ในมือกลุ่มฝ่ายใต้ กลุ่มตะวันตกที่จะปกป้องพระมเหสี ก็สูญเสียอำนาจไปเพราะเรื่องนี้ด้วย เจ้าไม่เข้าใจเหรอ ดื้อดึงไปสุดท้ายมันก็สูญเปล่า”

 “ข้าจะยอมปิดบังความจริงเพราะเกรงกลัวอำนาจของกลุ่มฝ่ายใต้ได้ยังไง”

 “ถูกต้อง มันเป็นแบบนั้นแหละ พลังกับอำนาจมักจะปิดบังความจริงได้เสมอ นี่แหละคืออำนาจ”

 “ถ้าแบบนั้น พระมเหสีต้องถูกถอดยศเพราะถูกใส่ร้ายนะคะ จะปล่อยให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้ยังไง?”

 “ถ้าเจ้าเอาหลักฐานทั้งหมดมาตีแผ่ เบาะแสสุดท้ายที่มีรวมถึงความหวังสุดท้ายก็จะหายไป กลุ่มฝ่ายใต้จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อยับยั้งไม่ให้ตรวจสอบ เมื่อถึงตอนนั้น โอกาสสุดท้ายก็จะหมดไป เจ้าต้องการให้ทุกอย่างมันจบลงแบบ นั้นรึ? อำนาจปิดบังความจริงได้ แต่ความจริงจะไม่มีทางหายสาบสูญหรอกทงอี เพราะฉะนั้น เจ้าต้องเชื่อมั่นและอดทนรอต่อไป เวลานี้ความกล้าที่เจ้าต้องการ คือการรอคอยไม่ใช่การสู้รบ”

 “ใต้เท้า”

 ทงอี มาเข้าเฝ้าพระมเหสีอินฮอน “อย่าร้องไห้ไปเลยทงอี เจ้าน่ะ เหมาะกับรอยยิ้มที่สดใสมากกว่า ยามที่ต้องจากไป ข้าอยากเห็นยิ้มสวย ๆ ของเจ้า”



  “พระมเหสี” 

“ที่ใต้เท้าซอพูดมาน่ะถูกแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ข้าอยากขอร้องเจ้าอยู่เหมือนกัน เจ้า.. จัดเป็นเด็กที่ฉลาดหลักแหลม ดังนั้น ข้าอยากจะขอร้องให้เจ้า..อดทนไปอีกสักระยะ เจ้าจะรับปากข้าได้มั้ย บอกแล้วว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ทงอี”

 “ได้เพคะ หม่อมฉันจะทำตามนั้น แต่หม่อมฉันจะไม่ให้พระองค์ต้องรอนาน หม่อมฉันถวายคำสัญญา ทรงจำไว้นะเพคะพระมเหสี”

 “ได้จ้ะ ขอบใจมาก อีกอย่างนึง ข้าฝากพระราชาด้วยนะทงอี ในเวลานี้พระองค์คงเจ็บปวดและเป็นทุกข์มากกว่าใคร ๆ ข้าจึงหวังว่าเจ้าจะอยู่ช่วยปลอบพระทัย เพื่อให้รอยแย้มสรวลของพระองค์ กลับมาใหม่อีกครั้ง พระราชาเองก็เหมือนกับเจ้า รอยยิ้มที่สดใสเหมาะกับพระองค์มากกว่า”

 “พระมเหสี” ฮีเจมาพบกับพระสนมฮีบิน ทูลว่าไม่ต้องกังวล มั่นใจว่าทงอีคงไม่รู้เรื่องอะไร


“ไม่นะ ข้าอดกังวลไม่ได้ ทงอีรู้เรื่องเท่าไหร่ แล้วตอนนี้นางมีหลักฐานอะไรที่อยู่ในมือบ้างรึเปล่า ข้าจะต้องเห็นกับตาถึงจะแน่ใจได้”

 “ข้าคิดว่าน่าจะไม่มี ถ้านางมีหลักฐานอะไรอยู่จริง ๆ คงจะไม่เงียบเฉยอยู่อย่างนี้แน่” ฮีเจ ทูล

 “ข้าถึงได้รู้สึกไม่สบายใจไงล่ะ เพราะว่าเงียบจนเกินไป แบบนี้เราจะไม่รู้แผนของพวกเค้าเลยนะพี่ชาย”

 “ข้าส่งคนจับตานางในใกล้ชิด เด็กคนนั้นแล้วก็ซอโยงกี วันก่อนไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ทุกอย่างยังเงียบสงบ เหมือนปกติดีทุกอย่าง ที่เด็กคนนั้นบอกว่าเสมียนตกอยู่ในมือของนาง แถมยังพูดว่ามีหลักฐานอยู่ในมือ ที่จริงเป็นแผนการจะทดสอบเรามากกว่า”

 “พระสนม หม่อมฉันโชซังกุงเพคะ”

 “มีเรื่องอะไรเหรอ?”

 “คือ เด็กที่ชื่อทงอี ขอเข้าเฝ้าพระสนมอยู่ข้างนอก”

“หา?”


 “นังตัวดีนี่เจ้ากล้ามาถึงที่นี่เชียวเรอะ ทำไม คราวนี้คิดจะมาข่มขู่พระสนมอีกรึไงหา?” ฮีเจ กล่าว

 “ไม่ใช่เลยค่ะ แค่รู้สึกว่าพระสนมควรทราบความเคลื่อนไหวของข้า” ทงอี กล่าว

 “อะไรนะ?” ฮีเจ งง

 “ท่านกลับไปก่อนเถอะพี่ชาย”

 “พระสนม”

 “ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเด็กคนนี้”

 ฮีเจเดินทางกลับไป พระสนมฮีบินได้อยู่กับทงอี ทั้งสองก็คุยกัน


“เรื่องทั้งหมดต้องลงเอยอย่างนี้เจ้าคง..จะรู้สึกเสียใจมากล่ะสินะ เจ้าคงจะคิดว่าพระมเหสีต่างหากที่เหมาะเป็นที่พึ่งของเจ้า ได้ยินว่าเจ้าไปหาพี่ข้า แล้วก็ไปพูดเหลวไหลกับเค้าไว้ ตอนแรกข้ายังคิดอยู่เลยว่า ทำไมถึงได้เงียบสงบขนาดนี้ ทำไมล่ะ เจ้ายังสืบหาเบาะแสอะไรไม่ได้เลยงั้นรึ?”

“เพคะ หม่อมฉันสืบไม่พบอะไรเลย ที่โกหกว่าเสมียนนั่นยังอยู่ ก็เป็นแผนที่มีเพื่อถ่วงเวลาเท่านั้น ทุกอย่างมันเป็นอย่างที่พระสนมตรัสมานั่นแหละเพคะ”

“แล้วการที่เจ้าต้องมาหาข้าถึงที่ เพื่ออะไร หรือว่าเจ้าจะมาขอร้องให้..ข้าให้อภัยเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

“จะทำได้ไงเพคะ การขออภัย มีสำหรับคนที่ทำผิดไม่ใช่หรือเพคะ”

“ไม่หรอก เจ้าผิดแล้ว การขออภัยเป็นสิ่งที่คนอ่อนแอต้องปฏิบัติต่อคนมีอำนาจ ไม่ได้สำคัญเลยว่าจะมีความผิดมั้ย ถ้าต้องการจะอยู่รอดก็ไม่มีทางเลือกอย่างอื่นอีก ว่ายังไง ถ้าหากตอนนี้เจ้ายอมมารับผิดกับข้า ข้าอาจยอมรับเจ้าอีกครั้ง”

“พระสนมที่หม่อมฉันรู้จัก แม้อยู่ต่อหน้าชนชั้นต่ำ ก็ยังคงยินดีก้มหัวกล่าวขอโทษ แต่ว่าในตอนนี้ หม่อมฉันเชื่อว่าการติดตามพระสนม คงเป็นไปไม่ได้แล้ว สักวันนึงความจริงจะต้องปรากฏแน่เพคะ หม่อมฉันมาก็เพื่อจะทูลเรื่องนี้”

“หมายความว่าเจ้าเลือกจะเป็นศัตรูกับข้า เจ้าคงถือตัวว่าพระราชาทรงเวทนาเจ้า แล้วข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้งั้นรึ?”

“ไม่เพคะ หม่อมฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย”

“เจ้าจำเอาไว้อย่างนึงนะ อีกไม่นาน ข้าจะไปอยู่ตำหนักพระมเหสี และข้ารับรองได้เลยว่า เจ้าจะต้องออกไปจากวังหลวงนี้ โดยไม่ได้หวนกลับมาอีก เจ้าเข้าใจมั้ย เมื่อข้าเป็นคนปั้นเจ้าขึ้นมาได้ ก็ทำลายเจ้าได้เหมือนกัน”



ใต้เท้าซอ บอกกับชอนซูว่า กองปราบขวาอนุมัติตำแหน่งให้ชอนซูไปอยู่กองปราบฝ่ายขวา และให้คอยทำงานจับตาดูจางฮีเจ เพื่อเป็นการคุ้มครองทงอีน้องสาวไปด้วย จางฮีเจต้องวางแผนเพื่อทำร้ายทงอีอีกแน่ ยังดัล มาบอกชอนซูว่า ทงอีมาตามหาและฝากบอกว่าจะไปเขาชอนมา

 “เขาชอนมา?”

 “นางบอกพี่จะเข้าใจเอง แต่ว่า เขาชอนมาอยู่ที่ไหนเหรอ?” ยังดัล ถาม

 “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก” ชอนชู กล่าวแล้วเดินไป

 “พวกเค้าต้องมีความลับอะไรปิดบังข้าอยู่แน่ ๆ หึ ไม่เป็นไรหรอก ข้าก็สร้างความลับได้” ยังดัล กล่าว

ทงอี เข้ามาขอดูสมุดบัญชีรายวัน แต่ถูกขันทีปฏิเสธ ระหว่างนั้นมีพ่อค้ามาขอร้องให้กองพระคลังยอมรับชามที่นำมาส่ง แต่ถูกปฏิเสธเพราะไม่ได้มาตรฐาน พ่อค้าบอกว่าในตอนนี้ทองแดงกับดีบุกขาดแคลนอยู่ หากไม่รับสินค้าก็ขอให้ช่วยจ่ายเงินค่าของงวดเก่าให้ด้วย แต่ก็ถูกปฏิเสธและถูกทำร้ายกลับออกไป ทางทงอีจึงตามออกไปคุยด้วย จากนั้นก็มาที่โรงกษาปณ์ สอบถามเรื่องทองแดงกับดีบุกขาดตลาดมาก โรงหล่อได้รับผลกระทบบ้างหรือไม่ จนได้พบกับพระเจ้าซุกจง


 “ที่นี่ก็ได้รับผลกระทบ” พระเจ้าซุกจง ตรัส

 “ฝ่าบาท”

 “ได้พบกับเจ้าที่นี่อีกแล้ว ได้ยินว่าช่วงนี้ ทั้งทองแดงและดีบุกขาดตลาดมาก ข้าเลยต้องมาดูเองว่าเป็นยังไง แต่ว่าเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

 “ไม่มีอะไรมากเพคะ หม่อมฉันถูกส่งมาตรวจการที่กองพระคลัง เลยมีเรื่องต้องตรวจสอบนิดหน่อย”

 “เจ้าพงซานนี่ ทำงานทุ่มเทจริงนะ ดีกว่า พระราชาไม่เอาไหนดีแต่เป็นทุกข์อย่างข้าซะอีก แต่ว่าทำไมวันนี้ดูเจ้าไม่ค่อยพูดเลย มันดูไม่เหมือนเจ้าเลยสักนิด”

 “เพราะหม่อมฉันไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับฝ่าบาทเพคะ ถึงมีคำเป็นพันเป็นหมื่นอยู่ในใจ แต่ในเวลาอย่างนี้ กลับพูดอะไรไม่ได้เลย”

 “เจ้าหมายความว่ายังไง?”

 “ฝ่าบาท จำได้มั้ยเพคะ ฝ่าบาทเคยตรัสว่าเจอหม่อมฉันฝ่าบาทจะทรงพระสรวล หม่อมฉันอยากทำให้ฝ่าบาทแย้มสรวล มันคือเรื่องที่หม่อมฉันรับปากไว้”

 “หืม?”

 “ดังนั้นวันนี้ ขอให้หม่อมฉันมีโอกาสนะ”

 “อะไรนะ?”


 

 ทงอี ไปขอร้องจูซิก และยังดัล ให้ไปนั่งดื่มเหล้ากับพระเจ้าซุกจง เหมือนวันเก่าที่ทั้งสามรู้จักพระเจ้าซุกจงในฐานะใต้เท้าผู้ช่วย ทำให้พระเจ้าซุกจงทรงพระสรวลกลับมามีความสุขได้อีกครั้ง

ทงอี มาขอเจ้าหน้าที่หญิงดูบัญชีรายวัน แต่ถูกปฏิเสธเพราะกลัวใต้เท้ากองพระคลังรู้เข้าจะต้องถูกลงโทษ ทงอีรับปากว่าจะเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่าง

 ทงอีเข้ามาค้นสมุดบัญชีภายในห้องกองพระคลัง จนขันทีกองพระคลังมาพบเข้า


 “เอ๊ะนี่เจ้า เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ไง ข้าถามว่า เจ้ามาทำอะไรที่นี่หา รีบส่งคืนมาให้ข้าเดี๋ยวนี้นะ”

 “ทำอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าท่านไม่ได้ทำผิดทำไมต้องมาขัดขวางข้าด้วย” ทงอี กล่าว

 “แม่คนนี้ เป็นแค่นางในตัวเล็ก ๆ กล้ามาขัดคำสั่งข้าเชียวรึ?”


 “มีเรื่องอะไรกันหา?” หัวหน้ากองพระคลัง เข้ามา

 “นางในคนนี้คิดจะเอาสมุดบัญชีรายวันออกไปโดยพลการ”

 “ข้าน้อยก็แค่ทำหน้าที่ของฝ่ายตรวจการเท่านั้น สักพัก คงจะยื่นเรื่องตรวจสอบกองพระคลังอย่างเป็นทางการ”

 “เจ้านี่มันหน้าหนาดีจริง ๆ ข้ายังไม่ทันคาดโทษที่เจ้ามาหยิบของกองพระคลังออกไป อะไร จะตรวจสอบกองพระคลังรึ เอาสิ เจ้ามีหลักฐานอะไรถึงได้กล้ามาพูดจาแบบนี้”

“พวกช่างหล่อบอกว่าพวกเขายังไม่ได้รับเงิน แต่ในบัญชีกลับบันทึกว่ามีการจ่ายไปแล้วตามเวลา นี่หมายความว่ายังไง ในบัญชีเล่มนี้ แม้แต่จำนวนเครื่องบรรณาการที่รับเข้ามาก็ไม่ได้ถูกบันทึกตามจำนวนจริง ๆ อีกอย่าง ทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่เบิกจ่ายได้ตามรับสั่งเท่านั้นกลับมีการเคลื่อนไหวเข้าออกโดยไม่มีเหตุผล เชื่อว่าเป็นเพราะมีการนำไปปล่อยกู้ส่วนตัวอย่างแน่นอน เรื่องนี้ใต้เท้าไม่ทราบเลยหรือ หรือว่าท่านรู้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น”

 “บังอาจนัก เจ้ากล้าพูดจาเหลวไหลอย่างนี้ต่อหน้าใครกันหา?”

 “เจ้าถอยออกไปก่อน แปลว่า เจ้าต้องการจะตรวจสอบกองพระคลังงั้นรึ?” หัวหน้ากอง ถาม

 “ค่ะ หลังจากตรวจสอบแล้ว ความจริงทุกอย่างจะต้องปรากฏอย่างแน่นอน”

 “หึ ๆ ๆ ข้าขอเตือนให้ส่งบัญชีเล่มนั้นมาซะ แล้วข้าจะไม่ถือสาเอาความกับเจ้า”

 “ข้าน้อยคงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก”

 “บังอาจ ไม่เคยมีนางในที่กล้ามีเรื่องกับกองพระคลัง เป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติต่อเนื่องกันมาตั้งแต่เจ้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำไป ก็ได้ อย่างเจ้าคงใช้คำพูด พูดไม่รู้เรื่อง เด็ก ๆ มาลากตัวนังคนนี้ออกไป”

 “ขอรับ”

 “ปล่อยข้านะ จะทำอย่างนี้ไม่ได้ ปล่อยข้านะ”

 ทงอีถูกคนของกองพระคลังตีจนได้รับบาดเจ็บ จองซังกุง พง และจองอิมเห็นเข้าก็ตกใจ ส่วนยูซังกุงกลับพูดซ้ำเติม


“ข้าพูดไปเพราะทนดูไม่ไหวหรอก เหมือนฝ่ายตรวจการเป็นศูนย์กลางของฝ่ายใน พวกขันทีก็เป็นตัวหลักของฝ่ายหน้า ดังนั้น เจ้าไปหาเรื่องกองพระคลังแบบนั้นจะมีประโยชน์อะไร” ยูซังกุง กล่าว

 “ท่านซังกุง”

 “ก็แค่หลับตาข้างนึงทำไม่รู้ไม่เห็น ก็ไม่ต้องเจ็บตัวอย่างนี้ แล้วขันทีพวกนั้นจะมองฝ่ายตรวจการเรายังไงล่ะ”

 “ท่านจะให้ปิดตาข้างนึง ทำไม่รู้ไม่เห็นความผิดน่ะเหรอ ท่านเคยบอกข้าเองนี่ ว่าฝ่ายตรวจการต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ทำไมท่านกลับบอกให้ข้านิ่งเฉยกับเรื่องที่ไม่ถูกต้อง” ทงอี ถาม

 “ข้าพูดไปก็เพราะหวังดีกับเจ้า ถ้าเจ้ารู้จักแยกแยะหนักเบา ก็จะไม่เจ็บตัวอย่างนี้แล้ว ถ้าเจ้ายังคิดอย่างนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ ข้าไม่ขัดขวางเจ้าหรอก”

 ทงอี มาหาใต้เท้าซอปรึกษาเรื่องการเข้าไปตรวจสอบกองพระคลัง


 “เท่าที่ข้ารู้ กองพระคลังเป็นที่ที่ขันทีปกครอง เจ้าเป็นแค่นางในจะทำงานตรวจสอบได้เหรอ?”

 “ใต้เท้าพูดถูกที่สุดเลยค่ะ แต่ว่า ข้าจำเป็นต้องทำหน้าที่ให้ดี เลยไปตรวจสอบบัญชีของกองพระคลังเข้า จนได้ไปพบเรื่องที่น่าตกใจมาก มีเงินก้อนโตก้อนนึงถูกยักยอกออกจากไปกองพระคลัง ดูเหมือนจะนำไปเป็นเงินจ้างวานหมอหลวงฮอที่วางยาพระพันปีค่ะ”

 “อะไรนะ นี่เจ้าพูดจริงเหรอ?”

 “ค่ะ จากการวิเคราะห์ของข้า เงินก้อนโตที่ถูกยักยอกออกไปจากกองพระคลัง ถูกโยกย้ายไปในส่วนของพระสนมฮีบิน และถูกใช้ไปกับคดี และการทำลายหลักฐาน ถ้าเราพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนี้เป็นความจริง พระมเหสีที่ถูกใส่ร้ายจนต้องถูกถอดยศ ก็น่าจะล้างมลทินได้เจ้าค่ะ”

 “มีใครที่รู้เรื่องนี้อีกรึเปล่า?”

 “ข้ายังไม่ได้บอกใครเลยสักคนเดียว”

 “ทำดีมาก ถ้าเรื่องนี้เกิดรั่วออกไป เจ้าอาจมีอันตรายอีกก็ได้ ดังนั้น อย่าเพิ่งเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร”

 “แต่เพื่อจะพิสูจน์ความจริงของเรื่องนี้ ข้าต้องตรวจสอบกองพระคลัง แต่ข้าคนเดียวคงไม่มีทางแน่ ข้าควรจะทำยังไงดีคะใต้เท้า”

 “ตอนนี้ข้าก็ทำอะไรลำบากเหมือนกัน เอาอย่างนี้ ข้าจะพาเจ้าไปที่ที่นึงก่อน”

 ใต้เท้าซอพาทงอีมาพบกับหัวหน้าศาล ที่เป็นขุนนางที่เคยเรียนที่เดียวกันมา แล้วให้นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้หัวหน้าศาลฟัง


 

ทงอีเดินทางไปที่กองพระคลังอีก เมื่อจองซังกุงรู้ ก็ตามไป เห็นทงอีกำลังจะถูกคนของกองพระคลังลากตัวออกไป

 “หยุดกันเดี๋ยวนี้นะ”

 “ท่านซังกุง”


* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี


หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่  (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา