วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ตอนที่ 22



ทงอียืนยันจะตรวจสอบกองพระคลัง โดยมีจองซังกุงกับฝ่ายตรวจการสนับสนุน จางฮีเจที่เคยยักยอกเงินจากกองพระคลังมาใช้ในคดีให้ร้ายพระมเหสีอินฮอนเห็นทงอีจะเข้าไปตรวจ จึงเกิดร้อนใจ แต่พระราชาซุกจงกลับมีรับสั่งไม่ให้ฝ่ายตรวจการตรวจสอบเรื่องนี้ต่อ ขณะที่พระสนมอ๊กจองได้ตัดสินใจให้จางฮีเจกำจัดทงอีทิ้งเสียจะได้ไม่เป็นภัยในภายหลัง

เนื้อเรื่อง:



 “จองซังกุงมีธุระอะไรที่นี่หรือขอรับ?” ขันทีถาม

 “เราเป็นนางในฝ่ายตรวจการ ทำตามระเบียบราชสำนัก เจ้าไม่มีสิทธิมาห้ามพวกข้า” จองซังกุง กล่าว

 “ท่านจะทำอะไรเนี่ย?”

 “โทษฐานที่มาลบหลู่ฝ่ายตรวจการ ข้าจะตามเอาโทษในวันหลัง นับจากนี้ไป ข้าจะเข้าตรวจสอบกองพระคลังอย่างเป็นทางการ”

 “จองซังกุง รู้ตัวรึเปล่าว่าท่านกำลังทำอะไร กองพระคลังดูแลทรัพย์สินราชวงศ์นะ”

 “ใช่ ข้ารู้เรื่องนี้ดี ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งควรตรวจสอบตามกฎระเบียบ”


 หลังกลับมาจากกองพระคลัง ทงอีรีบขอโทษจองซังกุง แต่นางบอกว่าทงอีเป็นคนทำให้พวกนางได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ หลังจากที่ผ่านมาฝ่ายตรวจการอ้างธรรมเนียมปฏิบัติ ยอมหลับตาเกี่ยวกับกองพระคลัง จึงต้องฉวยโอกาสนี้เปลี่ยนธรรมเนียมผิด ๆ ให้เข้าที่ และทุกคนต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ด้วย

 ข้าหลวงมาเข้าเฝ้าพระเจ้าซุกจง ทูลเรื่องที่ฝ่ายตรวจการมีเรื่องกับกองพระคลัง

 “ฝ่ายตรวจการต้องการตรวจสอบกองพระคลัง แต่กองพระคลังไม่ยอมแถมยังขัดขวาง ทั้งสองฝ่ายจึงเกิดการกระทบกระทั่งกัน”

 “ขัดขวางการตรวจสอบ ก็นั่นเป็นสิทธิของฝ่ายตรวจการนี่ ข้าหลวงพวกนั้นกลับไม่ยอมให้ตรวจสอบมันจะใช้ได้รึ?”

 “เพราะว่า คนในกองพระคลังล้วนเป็นข้าหลวงฝ่ายหน้า ไม่ยอมรับการตรวจสอบจากนางใน เป็นธรรมเนียมที่ทำกันมาพ่ะย่ะค่ะ”

 “ธรรมเนียมงั้นรึ? ถือว่าเป็นคนดูแลทรัพย์สินของราชวงศ์ แล้วจะใช้อำนาจข่มใครก็ได้เหรอ แต่ว่า ทำไมถึงเกิดเรื่องอย่างนี้ได้ล่ะ ฝ่ายตรวจการแข็งขืนอย่างนั้นต้องมีเหตุผลแน่?”

 “ดูเหมือน จะเป็นเพราะมีนางในไปตรวจสอบกองพระคลังแล้วพบความไม่ถูกต้องเข้าพ่ะย่ะค่ะ”

 “นางในฝ่ายตรวจการ?”

 เมื่อฮีเจ รู้ว่า ทงอี เข้าไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวของเงินในกองพระคลัง ก็ไม่พอใจโกรธแค้นทงอี จึงสั่งให้ลูกน้องไปสืบเรื่องทั้งหมดมา

 จองซังกุงเดินทางเข้าตรวจสอบในกองพระคลัง แต่หัวหน้ากองขัดขวางแจ้งว่าสามารถดำเนินการเองได้ จากนั้นสั่งคนให้ลากตัวจองซังกุง ทงอี และพวกออกไป ระหว่างนั้นหัวหน้าขันทีก็เข้ามาสั่งให้ทุกคนหยุด แล้วแจ้งว่ามีรับสั่งให้คนที่รับผิดชอบในกองพระคลังและฝ่ายตรวจการไปเข้าเฝ้า

 ฮีเจ เข้าไปรายงานพระสนมฮีบินเรื่องที่ ทงอีเข้าไปตรวจสอบเงินกองพระคลัง


“หมายความว่าอาจจะยุ่งยากขึ้นใช่มั้ย?”

 “ไม่รู้เด็กคนนั้นไปพบเข้าได้ไง นางกำลังกดดันกองพระคลัง ถ้าปล่อยไป อาจจะเป็นเรื่องก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ช่วงก่อนในคดีพระมเหสี ข้าได้ใช้เงินก้อนใหญ่ไปกับการซื้อตัวของหมอหลวงฮอ เงินก้อนนั้น เป็นเงินที่ดึงออกมาจากกองพระคลัง ถ้าพวกนางตรวจสอบกองพระคลัง ก็อาจจะสืบเจอเรื่องนี้ได้พระสนม”

 “ว่ายังไงนะ?”

 “ข้าล่ะนึกไม่ถึงว่านังเด็กชอนทงอี มันจะมาสนใจที่กองพระคลังได้”

 “นั่นเป็นคำสั่งข้าเอง”

 “หมายความว่าไง?”

 “ข้าสั่งให้หาทางขับเด็กคนนั้นออกไปจากวัง นึกไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นอย่างนี้ได้”

 “พระสนม”

 “เฮ้อ..”

ทงอี เล่าเรื่องเงินในกองพระคลังอาจจะเกี่ยวข้องกับคดีพระมเหสีให้กับจองอิมฟัง จากนั้นก็เสนอให้ตรวจห้องเก็บเอกสารกองพระคลัง ถ้าสืบได้ว่าเงินท้องพระคลังถูกขโมยไปใช้ทางไหน เมื่อรวมกับหลักฐานที่ตนได้พบมา ก็จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพระมเหสีได้


 

พระเจ้าซุกจงไม่พอพระทัยที่กองพระคลังใช้อำนาจ สั่งการให้ทหารองครักษ์ใช้กำลังกับฝ่ายใน จึงตรัสตำหนิหัวหน้ากองคลัง จากนั้นก็ให้จองซังกุงเล่าและอธิบายเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ

เมื่อจองซังกุงกลับมา ก็บอกกับทงอีเรื่องที่ฝ่าบาทรับสั่งให้หยุดการตรวจสอบ

“ฝ่าบาทตรัสว่า งานของฝ่ายตรวจการถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ถูกตามกฎ แต่กองพระคลังเคยชินกันมานาน คงรับเรื่องที่เกิดกะทันหันได้ยาก เลยหวังว่าทางเรา จะยอมถอยกันคนละก้าว”

 “พระราชาทรงตัดสินพระทัยอย่างนี้จริง ๆ เหรอคะ ทรงรับสั่งอย่างนี้เหรอ?” ทงอี ถาม

 “ใช่แล้ว”

 ฮีเจ รายงานพระสนมฮีบิน เรื่องที่ฝ่าบาทสั่งห้ามไม่ให้ฝ่ายตรวจการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องกองพระคลัง

 “ท่านพูดจริงหรือคะพี่ชาย พระราชาทรงเข้าข้างกองพระคลังอย่างนั้นหรือ?”

 “ใช่ พระสนม ข้าคิดเอาไว้อยู่แล้ว กองพระคลัง ดูแลราชทรัพย์ของราชวงศ์ พระราชาจะยอมให้ใครมาก้าวก่ายง่าย ๆ ได้ยังไงกันล่ะ ตอนนี้ท่านวางพระทัยได้แล้ว ปัญหาเรื่องกองพระคลัง ข้าจะไปจัดการให้เรียบร้อยเอง”

 พระเจ้าซุกจงอยากพบกับทงอี จึงให้จูซิกและยังดัล ไปพาทงอีมาพบยังที่แห่งหนึ่ง เพื่อบอกทงอีเรื่องที่จงใจรับสั่งให้หยุดตรวจสอบ


“ข้าเลยสั่งให้กองตรวจวัดไปสืบ กำลังแอบไปสืบหาพวกที่เร่ซื้อหาแร่ทองแดงกับดีบุกในเมืองหลวงอยู่ ดังนั้น ถ้ามีข่าวออกไป ว่ากองพระคลังกำลังถูกตรวจสอบคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็อาจจะไหวตัวหนีไป”

 “ถ้างั้น ที่ฝ่าบาทเสด็จโรงกษาปณ์ก็เพราะเรื่องนี้หรือ?”

 “ใช่แล้ว เรื่องนี้ร้ายแรงถึงขั้นการสร้างเงินปลอมขึ้นมา ซึ่งจะทำให้ในนโยบายการเงินและเศรษฐกิจของราชสำนัก เกิดความวุ่นวายขึ้นได้ ที่สำคัญก็คือ จะส่งผลถึงระบบเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนด้วย ข้าก็เลยจำต้องเลือกที่จะทำแบบนี้ การตรวจสอบความผิดกองพระคลัง รอให้เรื่องนี้คลี่คลายก่อน แล้วข้าจะมีคำสั่งให้ฝ่ายตรวจสอบจัดการต่อ ข้าเรียกเจ้ามาเพื่อบอกให้สบายใจ”

 “ฝ่าบาท เพราะไม่รู้ว่าเป็นอย่างนี้ หม่อมฉันยังคิดว่าฝ่าบาทจะทรงทำเป็นปิดพระเนตรพระกรรณซะอีก”

 “หึ ๆ คงทำให้เจ้าผิดหวังมาก แล้วด่าลับหลังว่าเป็นพระราชาที่ไม่เอาไหนสิ”

 “ด่า หม่อม หม่อมฉันไม่ได้ด่าฝ่าบาทนะ”

 “ไม่ต้องมาโม้หรอก เจ้าต้องด่าข้าแน่”

 “เปล่า เปล่านะเพคะ เปล่าจริง ๆ นะ หม่อมฉันไม่ได้ด่าฝ่าบาทเลย”

 “ฮะ ๆ ยัยตัวแสบ แต่เจ้าก็ยังผิดหวังล่ะสิ ถึงแม้จะแวบเดียวก็ตาม เจ้าเข้าใจข้าผิดว่าข้าเป็นพระราชาที่ไม่เอาไหน”

 “ฝ่าบาท”

 “ฮะ ๆๆ”

 “แต่ว่าฝ่าบาท ทำไมเอาเรื่องนี้มาบอกหม่อมฉันเพคะ ไหนว่าเรื่องนี้สำคัญจนให้ใครรู้ไม่ได้ยังไงล่ะ?”

 “อืม นั่นสินะ ไม่รู้ว่าทำไม ข้าถึงรู้สึกไม่อยากให้เจ้าเข้าใจผิดแม้แต่น้อย”

 “เพคะ”

 “ดังนั้นข้าถึงได้ต้องมาอธิบายเรื่องนี้กับเจ้า แต่ถ้านัดเจอในวังข้ากลัวว่าข้าหลวงพวกนั้นจะสงสัยเอาได้ ก็เลยเตรียมที่นี่เอาไว้ให้เจ้าออกมาพบข้าแทน ว่ายังไง ไม่รู้สึกว่าเป็นพระกรุณาธิคุณรึ?”

 “เพคะ เพคะฝ่าบาท เป็นพระมหากรุณาธิ คุณเพคะ”

 “ฮะ ๆๆ ดีมาก ฮะ ๆๆ มาดื่มเถอะ”

 “เพคะ”

 “ฮะ ๆๆ อืม รสชาติไม่เลวเลย”

พระสนมฮีบินสงสัยในการตัดสินพระทัยของพระเจ้าซุกจง จึงรับสั่งให้นางในดูความเคลื่อน ไหวและบอกให้ฮีเจรู้ว่าคนในกองดนตรีที่ชื่อ จูซิกและยังดัลไปเข้าเฝ้าพระเจ้าซุกจง


 “พวกเค้าเป็นเพื่อนของทงอี”

 “ทงอี?”

 “ฝ่าบาทคงจะแอบไปพบเด็กคนนั้นส่วนตัวหรือไม่ก็ฝากข้อความไปถึงนาง ฝ่าบาทคงเอาแผนการที่ทรงคิดไว้ไปบอกเด็กคนนั้น” พระสนมฮีบิน ตรัส

 “ขนาดนั้นเชียว?”

 “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาวางใจอยู่ได้ ถ้าหากหลักฐานยังอยู่ในกองพระคลัง ก็ต้องทำลายหลักฐานพวกนั้นให้เร็วที่สุด ถ้าฝ่ายตรวจการเข้าไปตรวจสอบ จนหลักฐานไปอยู่ในมือของทงอี เรื่องทุกอย่างก็จะพังพินาศ”

 ฮีเจส่งลูกน้องไปที่กองพระคลังเพื่อที่จะทำลายหลักฐานแต่ชอนซูไหวตัวทัน ไปแอบชิงจดหมายและหลักฐานจากคนของกองพระคลังก่อนที่จะถูกนำไปทำลาย จากนั้นก็นำไปมอบให้กับใต้เท้าซู และทงอี


 “เป็นไปตามที่เราคาด ตอนนี้พวกเค้า กำลังวางแผนทำลายหลักฐานแล้วขอรับ” ชอนซู กล่าว

 “ถ้างั้น ในกองพระคลังต้องมีหลักฐานหลงเหลืออยู่แน่” ทงอี กล่าว

 “ในจดหมายยังบอกว่า จางฮีเจกับหัวหน้ากองพระคลังนัดกันในอีกสามวัน ดูเหมือนว่า จะมีการตกลงผลประโยชน์กันที่นั่น”

“ถ้าเราไปดักซุ่ม อาจมีหลักฐานที่พวกนั้นสมคบกัน”

 “แต่ปัญหาก็คือ ยังมีบันทึกอยู่ในกองพระคลัง ถ้าต้องการพิสูจน์ความจริงคดีของพระมเหสี ก็ต้องได้บันทึกนั้นมา ซึ่งบางที พวกเค้าอาจทำลายมันไปแล้วก็ได้” ชอนซู กล่าว

 “ไม่หรอก พวกเค้ายังไม่มีทางทำลายได้ ห้องเก็บเอกสารกองพระคลัง ห้ามไม่ให้เข้าออกโดยเด็ดขาด หลักฐานน่าจะยังไม่ถูกทำลายค่ะ”

 “แล้วเจ้ารู้ได้ยังไง” ใต้เท้าซอ ถาม

 “คือข้า ได้ยินใครสักคนบอกมาค่ะ ดังนั้น ข้าน้อยจะหาทางไปเอามันมาให้ได้”

 “เจ้าเหรอ ไหนเจ้าบอกว่าตอนนี้ ห้องเก็บเอกสารกองพระคลังห้ามเข้าออก”

 “มันต้องมีทางสิคะ ตัวข้าอยู่ในวังหลวง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะค่ะ”


ทงอีมาปรึกษาจองซังกุง และจองอิม เรื่องที่จะเข้าไปในกองพระคลังเพื่อหาหลักฐาน โดยจะใช้เวลาที่ข้าหลวงส่วนใหญ่ติดตามเสด็จพระเจ้าซุกจงไปที่สุสานหลวง และขอให้นางทั้งสองช่วยตนด้วย

 ใกล้จะถึงวันที่มีการแต่งตั้งพระสนมฮีบินขึ้นเป็นพระมเหสี ทำให้ภายในวังดูวุ่นวายกันใหญ่ มีคนนำของขวัญมาให้เพื่อต้อนรับงานสถาปนา

 ทงอี ออกนอกวังมาหาพระมเหสีอินฮอน


“นี่เป็นหนังสือที่พระองค์สั่งเอาไว้”

 “เจ้าอุตส่าห์ทุ่มเทเพื่อข้าขนาดนี้ แต่เจ้ามาที่นี่บ่อย ๆ จะพลอยเดือดร้อนรึเปล่า ข้าล่ะเป็นห่วงจริง ๆ”

 “ไม่ต้องเป็นห่วงหม่อมฉันหรอก หม่อมฉันได้มาเยี่ยมพระมเหสีที่นี่ หม่อมฉันรู้สึกดีใจมากต่างหาก”

 “จริงสิ ข้าก็มัวดีใจที่เห็นเจ้ามาจนลืมถามถึงพระราชาไปเลย ช่วงนี้ทรงสบายดีรึเปล่า พระวรกายแข็งแรงดีรึเปล่า?”

 “เพคะ ทรงสบายดีทุกอย่าง”

 “ข้าได้ยินว่า พระสนมฮีบินจะได้รับแต่งตั้งเป็นทางการ เพื่อเตรียมงานพิธี พวกนางในคงจะยุ่งกันมาก”

“เพคะ”

 “ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งรู้สึกว่าพระสนมฮีบินเป็นคนเก่งมาก ใช้เวลานานหลายปี จนขึ้นมาถึงตำแหน่งพระมเหสีได้”

“หม่อมฉันก็เคยนับถือในความมุ่งมั่นนี้เพคะ แต่พอรู้ว่านั่นเป็นแค่ความโลภที่น่ากลัว ก็เลยรู้สึกละอายใจที่ตัวเองเคยไปรับใช้นางมา ถ้าพูดไปตอนนี้อาจเร็วเกินไป แต่ไม่นานหม่อมฉันจะต้องหาหลักฐานมาเปิดโปงแผนชั่วร้ายพระสนมได้แน่”

 “อย่าทำอย่างนั้นเชียวนะ”

 “พระมเหสีทรงห่วงเรื่องอะไรหม่อมฉันทราบดี แต่ไม่ว่ายังไงหม่อมฉันก็ไม่อาจทนเห็นพวกเค้าหลอกลวงปิดพระเนตรพระกรรณฝ่าบาทแบบนี้อีกต่อไปเพคะ”

 “ทงอี”

 “อย่าได้ทรงเป็นห่วงเลยเพคะ หม่อมฉัน ไม่ได้อาศัยแค่กำลังของตัวเองเท่านั้น มีคนอีกมากที่ทุ่มเทเพื่อล้างมลทินให้พระมเหสี หม่อมฉันมีพวกเค้าคอยช่วยอยู่”

 พระเจ้าซุกจงรับสั่งให้แทซุกเข้าเฝ้า ตรัสถามเรื่องความพร้อมของพิธีแต่งตั้งพระมเหสี


 “พิธีใกล้จะพร้อมสรรพแล้ว ตอนนี้กำลังตรวจความเรียบร้อย”

 “กำชับให้จัดเตรียมให้เรียบร้อย กลับจากสักการะ ข้าจะประกาศด้วยตัวเอง”

 “พ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าฝ่าบาท กำหนดจะเสด็จไปในอีกสามวันหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 “ใช่แล้ว ก่อนจะมีพิธีสถาปนา ข้าอยากจะไปกราบทูลเสด็จพ่อเสด็จแม่ซะก่อน ทำไม มีอะไรรึเปล่า”

 “ฝ่ายพยากรณ์อากาศบอกว่า ในวันนั้นอาจมีฝนตกหนักก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ดังนั้น ฝ่าบาทอยากจะเลื่อนวันเสด็จมามั้ยพ่ะย่ะค่ะ”

 “อย่างนั้นหรือ?”

 “พ่ะย่ะค่ะ ถ้าเกิดมีฝนตก การเสด็จอาจจะลำบากมากพอดู ไม่สู้เลื่อนวันขึ้นมาสักหน่อย มั้ยพ่ะย่ะค่ะ”

 “อย่างนั้นหรือ ถ้างั้นก็แล้วแต่ท่าน ท่านคิดว่าเมื่อไหร่ดี”

 พระสนมฮีบิน หารือแผนกับฮีเจ โดยเลือกวันเสด็จไปหลุมพระศพเป็นวันลงมือ


 “วันเสด็จไปหลุมพระศพ?” ฮีเจ สงสัย

 “ใช่ เมื่อถึงตอนนั้น ในวังจะร้างตั้งแต่  เช้าจรดเย็น ต้องฉวยโอกาสนี้จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย หลักฐานที่กองพระคลัง รวมถึงกำจัด  ทงอีไปพร้อมกันเลย เพราะเรื่องนี้เร่งด่วน ข้าขอให้ท่านเสนาทูลพระราชาให้เลื่อนวันเสด็จ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วค่ะพี่ เราจะต้องสะสางทุกอย่างให้เสร็จก่อนจะเสด็จกลับ”

 “ข้าเข้าใจแล้ว เมื่อท่านเตรียมโอกาสไว้ให้ข้าอย่างนี้ เรื่องเก็บงานไว้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”

 “แต่ต้องจำไว้ให้ดีนะ จะต้องจัดการทุกอย่างให้มันเรียบร้อยภายในวันนั้น”

 “ได้ ครั้งนี้ข้าขอรับรองด้วยชีวิตของข้าได้เลย ข้ารับรองว่าทั้งหลักฐานและเด็กคนนั้นจะต้องถูกทำลาย ข้าต้องทำได้แน่พระสนม”

 ในคืนวันก่อนที่จะเสด็จ พระเจ้าซุกจงรับสั่งให้ขันทีไปตามทงอีมาเข้าเฝ้า ระหว่างนั้นพระมเหสีฮีบินนำองค์ชายมาเฝ้าก่อนจะเสด็จ จนได้เห็นทงอีอยู่กับพระเจ้าซุกจง

  

 “ฝ่าบาท ให้เฝ้ากลางดึกด้วยเรื่องอะไรเพคะ”

 “ที่ข้าเรียกเจ้ามาเพราะมีของอยากจะให้ อ้ะ รับไปสิ เป็นหนังสือที่ข้าชอบอ่านที่สุดช่วงนี้ เชื่อว่าพงซานอ่านแล้วต้องชอบมากแน่”

 “ขอบพระทัยเพคะ”

 “บางครั้งข้าเห็นเจ้า พูดจาหรือทำอะไรเหมือนคนไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว เลยอยากให้อ่านเพื่อปรับปรุง ดังนั้นไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก”

 “ขอประทานอภัย”

 “ฮะ ๆ ๆ หยอกเล่นหรอก ล้อเล่น แต่ถึงแม้ข้าจะแค่หยอกเจ้าเล่น แต่ข้าก็อยากให้เจ้าขยันหมั่นเพียรอ่านหนังสือเยอะ ๆ จะได้เสริมความรู้ที่เหมาะกับความฉลาดของเจ้า”

 “หม่อมฉัน จะพยายามอย่างเต็มที่เพคะ”

 “แต่จะให้เจ้าอ่านหนังสือเฉย ๆ คงยาก ดูเหมือนเจ้าจะสนใจโลกรอบตัวซะมากกว่า เรื่องที่ไม่ให้ยุ่งยังจะยุ่งให้ได้ เจ้าดูเหมือนคนเฉื่อยชาแต่ชอบหาเรื่องนะ”

 “ฝ่าบาทตรัสอย่างนี้แสดงว่ายังไม่รู้สิ เห็นหม่อมฉันอย่างนี้นะ หม่อมฉันอาจอ่านหนังสือมากกว่าทุกคนก็ได้นะ ฝ่าบาทตรัสว่าหม่อมฉัน หม่อมฉันเสียใจนะเพคะ”

 “โถ ๆ ๆ ดูเจ้าสิ กล้ามาพูดโอ้อวดขนาดนี้เชียวรึ ถ้างั้น ข้าต้องทดสอบเจ้าสักหน่อยแล้ว ดูสิว่ามีความรู้แค่ไหน”

 “หา เดี๋ยวพอฟ้าสาง ฝ่าบาทก็ต้องเสด็จออกจากวัง รีบเสด็จกลับไปบรรทมดีกว่าเพคะ”

 “ข้าว่าแล้วเห็นมั้ยล่ะ ข้าไม่เป็นไรหรอก เพราะยังไงข้าก็นั่งเกี้ยว เอามา”

 “ฝ่าบาท”

 “ไหนข้าดูซิ”

 “นี่ก็ดึกมากแล้ว รีบเสด็จกลับไปบรรทมเถอะ”

 “เจอแล้ว ข้อนี้ ว่าไง ดูน่าสนใจรึเปล่า?”

 “ฝ่าบาททรงคิดได้ยังไงเพคะ”

 “น่าสนใจใช่มั้ยล่ะ?”

 “เพคะฝ่าบาท ทรงเมตตาชี้แนะ เป็นพระคุณมากเพคะ”

 “ได้เพคะ คืนนี้ทรงอยู่กับเด็กคนนี้ให้เต็มที่ เพราะยังไงนี่ก็เป็นครั้งสุดท้าย ถึงพรุ่งนี้หม่อมฉันก็จะ..ลบเด็กคนนี้ออกไปจากพระทัยฝ่าบาทแล้ว” พระสนมฮีบินคิดในพระทัย แล้วรีบเสด็จกลับ


 

ทงอี มาพบใต้เท้าซอ บอกว่าตนเองมีวิธีเอาหลักฐานออกมาได้ โดยรายละเอียดจะเล่าให้ฟังอีกทีหลังใต้เท้าซอกลับมาจากตามเสด็จ ใต้เท้าซอกำชับให้ทงอีระวังตัว นึกถึงความปลอดภัยของตนเองมากกว่าหลักฐาน จากนั้นทงอีก็ฝากให้ชอนซูคุ้มครองใต้เท้าซอให้ดี

 “เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องห่วง พี่น่ะ เป็นห่วงเจ้ามากกว่าอีก คนพวกนั้นจ้องจะทำร้ายเจ้าอยู่ ทิ้งเจ้าไว้คนเดียวพี่ไม่สบายใจเลย”

 “ฮึ พี่ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอกค่ะ ข้าอยู่ในวังหลวงทั้งวัน จะไปมีอะไรได้”

 “แต่ว่า..”

 “พี่ไม่ต้องห่วงข้าหรอก ข้าขอแค่ให้พี่กลับมาอย่างปลอดภัยก็พอแล้วค่ะ พี่จะกลับมาเมื่อไหร่คะ หนึ่งวัน หรือว่าสองวันถึงจะกลับคะ”

 “เจ้านี่ เรื่องตั้งแต่ตอนเด็กยังจำได้อีก”

 “ก็แหงล่ะ คิดถึงเรื่องนั้นที ก็ยังรู้สึกน้อยใจพี่อยู่ทุกที”

 “อะไรนะ”

 “มา รับปากข้านะ ว่าครั้งนี้ พี่จะต้องรีบกลับมา”

 “ได้ พี่ต้องรักษาสัญญาแน่”

 “เดินทางระวังด้วยนะคะ ข้าจะรอพี่กลับมา”

 “ตกลง พี่ไปนะ”

ทงอีปลอมตัวเป็นนางในฝ่ายเย็บปักถักร้อยเพื่อจะเข้าไปหาหลักฐานในกองพระคลัง แต่เจอกับยูซังกุงก่อน นางจึงใช้ทงอีไปทำธุระที่ฝ่ายความสะอาดให้ แต่ทงอีต้องเข้าไปหาหลักฐานให้ได้ก่อนเที่ยงคืน จึงเข้าไปในห้องเก็บเอกสาร ค้นหาหลักฐานที่ต้องการ คือ หนังสือมอบอำนาจที่จางฮีเจใช้ชื่อลูกน้องเขียน จนเจอแล้วรีบหนีออกมา จากนั้นก็เกิดไฟไหม้ห้องเก็บเอกสารของกองพระคลังขึ้นมา ขณะเดียวกันก็มีมือสังหารตามล่าทงอี




 


* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี


หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่  (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา