วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ตอนที่ 37



เมื่อพระเจ้าซุกจงทราบว่าพระมเหสีอ๊กจองเกี่ยวข้องกับแผนการที่สมคบกับต้า ชิงทำให้เสียพระทัยมาก จึงมีรับสั่งให้จับตัวจางฮีเจ พระเจ้าซุกจงจึงคิดจะอาศัยโอกาสนี้ปฏิรูปราชสำนัก สุดท้ายเพื่อเอาตัวรอดโฮแทซุกกับกลุ่มฝ่ายใต้จึงตัดสินใจทอดทิ้งพระมเหสี

เนื้อเรื่อง:

     
“จริงอยู่ ข้าดูถูกเจ้าเกินไปจริง ๆ และนี่เป็นค่าตอบแทนที่ข้าดูถูกเจ้าเกินไป ต่อให้หลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด ต้องสละชีวิตพี่ชายแท้ ๆ ให้พวกเจ้าไป แต่อย่างมากมันก็แค่นั้น เจ้าคิดว่าพี่ชายข้าจะยอมสารภาพงั้นรึ เจ้าคิดว่ากลุ่มฝ่ายใต้จะยอมซัดทอดถึงข้ารึ ไม่หรอกไม่มีวันมีเรื่องนั้นแน่ พวกเค้าจะต้องปกป้องข้าเพื่อตัวเค้าเอง เพราะฉะนั้น ถ้าเจ้าจะมาเพื่อบอกว่าจะจัดการข้ายังไงละก็ ข้าขอเตือนว่าอย่าดีกว่า”
    
“หม่อมฉันไม่ต้องการคำสารภาพของพวกเค้าเลย ไม่ว่าจะเป็นใต้เท้าจางฮีเจ หรือว่าจะเป็นของใครก็ตาม มันไม่จำเป็นตั้งแต่ต้นแล้วเพคะ เพราะความผิดที่พระมเหสีทรงทำ สุดท้ายมันจะพิสูจน์ความผิดด้วยตัวของมันเอง” ทงอีบอก
    
“อะไรนะ?”
    
“ยังจำได้มั้ยเพคะ หลายปีก่อน หม่อมฉันช่วยพระองค์ที่ถูกคนใส่ร้ายจนรอดพ้นมาได้ นึกไม่ถึง ว่าหม่อมฉันจะนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาได้ แต่ที่แตกต่างคือ ในตอนนั้นท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ ตอนนี้ท่านกลับทำผิดอย่างไม่อาจอภัยได้”
    
“เจ้าจะพูดอะไร เจ้าคิดจะพูดเรื่องอะไรกันแน่” พระมเหสีฮีบินทำหน้าฉงน
    
“มันคือเรื่องเดียวกัน วิธีจับพระมเหสีมารับโทษ เข้าใจมั้ยเพคะ วิธีที่หม่อมฉันเคยช่วยท่านไว้หลายปีก่อน วันนี้ก็เช่นกัน จะเป็นการพิสูจน์ความผิดของพระองค์” 
    
ทงอีจ้องหน้า จนพระมเหสีฮีบินหวั่นใจ
  
ซังกุงสูงสุดของฝ่ายตรวจการถูกจับตัว โชซังกุงจึงสั่งให้ยองซอนรีบนำข่าวไปบอกท่านเสนาบดี ด้านฮีเจ เมื่อรู้ว่ายูซังกุงก็ถูกจับตัวไปก็ตกใจ


“มันเป็นความจริงขอรับใต้เท้า  เห็นบอกว่ามีหลักฐานที่ยูซังกุงแอบเข้าไปค้นห้อง ยูซังกุง กับนางในสองคนเลยโดนจับไปสอบสวนหมดเลยขอรับ”
    
“หลัก หลักฐานอะไร  พวกนางมีหลักฐานอะไรได้หา?”
    
“เรื่องนี้ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบขอรับ”
    
“ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้หรอก หลัก หลักฐานอะไร มันจะเป็นไปได้ยังไง?”
  
วูนเทคมาขอเข้าเฝ้าพระเจ้าซุกจง ทูลว่าตนมีหลักฐานว่าพระมเหสีทำผิด  

  
“เป็นความจริงเหรอ เรื่องที่พระมเหสีเกี่ยวข้องกับคดีนี้ มันเป็นความจริงเหรอ?”
    
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
    
“คืออะไร หลักฐานที่เจ้าว่ามันคืออะไรหา?”
  
ใต้เท้าซอสั่งทหารเตรียมเคลื่อนพลไปตำหนักพระมเหสี เพื่อเพิ่มการคุ้มกันให้แน่นหนา ด้านชอนซู สั่งทหารนำกำลังไปปิดล้อมบ้านขุนนางฝ่ายใต้ทั้งหมด



“พระมเหสี ๆ ทหารองครักษ์มาปิดล้อมตำหนักไว้หมดแล้วเพคะ” โชซังกุงเข้ามารายงาน
    
“มาปิดล้อมตำหนักงั้นรึ  นี่มันเป็นคำสั่งของใครกันแน่?”
    
“พระราชา พระราชามี..รับสั่งมาเพคะ   พระมเหสี”
    
“เพราะเจ้าใช่มั้ย  เจ้าถือดีว่าเป็นคนโปรดแล้วคิดจะใช้วิธีนี้มาข่มขู่ข้าใช่มั้ย?” พระมเหสี             ฮีบิน ตรัส
    
“ตอนนี้ทุกอย่างมันจบลงแล้วเพคะ  ตอนนี้ ความผิดที่พระองค์ก่อปิดไม่อยู่แล้วเพคะ” ทงอี ทูล
    
“อะไรนะ?”

“เป็นพระหัตถ์ของท่านเอง  พระหัตถ์ของท่านเอง ที่จะเปิดเผยความผิดทั้งหมดที่ท่านก่อเอาไว้ จำได้มั้ยเพคะ หลายปีก่อน ตอนที่ท่านถูกใส่ร้ายว่าวางแผนลอบปลงพระชนม์อดีตพระมเหสี  ท่านถูกใส่ร้ายว่าลักลอบนำยาที่ชื่อพันฮาเข้ามาในวังหลวง  แต่หม่อมฉันที่ยังเชื่อว่าท่านบริสุทธิ์ จึงได้ใช้น้ำส้มสายชูมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพระมเหสีในตอนนั้น  ไม่เปลี่ยนสีจริง ๆ ด้วย  หมอคนนี้ไม่เคยแตะต้องพันฮาเลย”
    
“แต่ข้าก็อยากจะรู้นัก ว่าเจ้าพิสูจน์ได้ยังไงว่าข้าไม่เคยนำพันฮาเข้าวัง”

    
“ใช้สิ่งนี้เจ้าค่ะ”
    
“ใช่สิ่งนี้น่ะเหรอ?” 
    
“น้ำส้มสายชูค่ะท่านซังกุง” ทงอี ทูล
    
“น้ำส้มรึ?”
    
“ค่ะ พันฮามีฤทธิ์เป็นพิษ จำเป็นต้องใช้ขิงในการมาจัดการตัวยา แต่ว่าขิงสด ถ้าหากสัมผัสถูกน้ำส้มสายชูมันก็จะเปลี่ยน กลายเป็นสีชมพูอ่อนเจ้าค่ะ”
    
“งั้นเหรอ?” 
    
“ค่ะ ถ้าหมอที่ตายไปมีน้ำขิงหลงเหลืออยู่ที่มือบ้าง เมื่อสัมผัสกับน้ำส้มก็จะต้องกลายเป็นสีชมพูค่ะ”
    
“อย่างนี้นี่เอง”
    
“เช่นเดียวกันเพคะ บันทึกทึงลกที่พระมเหสีได้ไปก็เคลือบด้วยน้ำขิงด้วย  ถ้าหากพระองค์แตะต้องบันทึก ถ้าหยิบจับบันทึกที่เคลือบด้วย น้ำขิงสดเข้มข้น  พระหัตถ์ของท่านก็จะต้องมีร่องรอยอย่างเดียวกันอยู่”
    
“ไม่ต้องมาทำลวดลายเลย แค่ใช้น้ำขิงสดที่อยู่บนกระดาษ คิดว่าจะเอาเรื่องที่เกิดตั้งแต่เมื่อวานมาเอาผิดข้าได้รึ?”
    
“ตอนนี้ เหตุการณ์เพิ่งผ่านไปยังไม่ถึงวัน น้ำขิงที่ยังติดอยู่ที่เล็บของพระมเหสี หากไม่เกินสามวัน จะไม่สามารถลบออกไปได้  ยังจะปฏิเสธอีกหรือเพคะ ท่านยังยืนกรานบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือเพคะ”
     
“ข้าสั่งให้เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้” พระมเหสีฮีบินตรัส
     
“พระมเหสี”
    
“ไม่หรอก เจ้าไม่มีทางทำสำเร็จ เจ้าไม่มีทางดึงข้าลงจากตำแหน่งนี้ได้หรอก ข้าได้เป็นถึงพระมเหสี ข้าเป็นมารดาของรัชทายาท คิดจะยกเรื่องเล็กแค่นี้มาบีบให้ข้าจนมุมอย่างนั้นเหรอ อย่าสำคัญตัวผิดเลย นี่เป็นแผนที่เจ้าวางเอาไว้เพื่อจะช่วยอดีตพระมเหสี  รู้ไว้ซะว่า คนที่ต้องแพ้ครั้งนี้คือเจ้ากับอดีตพระมเหสี”
    
“พระมเหสี”
    
“คนที่ต้องแพ้คือเจ้ากับอดีตพระมเหสี”

    
“ไม่หรอก จะไม่มีวันนั้นแน่พระมเหสี” พระเจ้าซุกจงเสด็จเข้ามา
    
“ฝ่าบาท”    
    
“ฝ่าบาท ๆ  ทุกอย่างเป็นแผนใส่ร้ายเพคะ หม่อมฉันไม่เคยรู้เรื่องอะไรด้วยเลย” พระมเหสีฮีบิน ตรัส
    
“พระมเหสี”
    
“ชอนซังกุงวางแผนนี้เพื่อจะช่วยอดีตพระมเหสี พวกคนของชอนซังกุงก็ด้วย เค้าวาง แผนทำลายหม่อมฉัน พวกเค้าวางกับดัก เพื่อล่อให้หม่อมฉันติดกับเพคะ ฝ่าบาทต้องเชื่อหม่อมฉันนะ หม่อมฉันหลงกลกับดักของพวกเค้า ฝ่าบาท”
     
“พอแล้ว เจ้าหยุดพูดสักที  พอแค่นี้เถอะนะอ๊กจอง”
    
“ฝ่าบาท”
    
“อย่าให้ข้าเห็นเจ้าในสภาพนี้เลย ข้าทนดูเจ้าอยู่ในสภาพน่าเกลียดแบบนี้ไม่ไหวแล้ว” พระเจ้าซุกจง ตรัส
    
“ฝ่าบาท  ฝ่าบาท  ฝ่าบาท”
  
ใต้เท้าซอเดินทางมาหาทงอี ที่กำลังคุย กับวูนเทคอยู่

  
“ท่านเอาเรื่องไปกราบทูลพระราชาทำไม ก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะกระจ่าง..” ทงอี ถาม
     
“เพราะเรื่องทุกอย่างมันกระจ่างไปจนหมดแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องถ่วงเวลาแล้วท่านซังกุง” วูนเทค กล่าว
    
“แต่ว่าใต้เท้า”
    
“หรือว่าท่านซังกุง เกิด..รู้สึกกลัวขึ้นมาล่ะ กลัวว่าเรื่องนี้จะกระทบกระเทือนพระทัยพระราชา ท่านถึงได้อยากให้เรื่องนี้ยืดเยื้อไปถึงที่สุด ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่าน แล้วก็เดาออกตั้งแต่แรก ว่าท่านอาจจะรู้สึกสงสารพระมเหสี ขึ้นมากะทันหันก็ได้”
    
“ใต้เท้า”
    
“แต่ว่านี่ เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  กับพระราชาเองก็เช่นเดียวกัน  นับจากนี้ไป  คนที่จะตัดสินเรื่องทั้งหมดก็คือพระราชานะท่านซังกุง”
  
พระเจ้าซุกจงรับสั่งให้ข้าหลวงไปตามหัวหน้าองครักษ์ซอโยงกีกับราชเลขามาเข้าเฝ้า มีราชโองการให้ตรวจสอบขุนนางฝ่ายใต้ทั้งหมดไม่ต้องละเว้นแม้แต่คนเดียว และใครที่เคยเกี่ยวข้องกับคดีเก่าก็ต้องจัดการ จะได้อาศัยโอกาสนี้ในการเปลี่ยนแปลงความฟอนเฟะ และความอยุติธรรมในราชสำนักสักที
  
ยองซอน มารายงานแทซุกว่า ทงอีพบหลักฐานเอาผิดนางในฝ่ายตรวจการและพระมเหสีแล้ว ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้วควรรีบไปเฝ้าพระมเหสี
    
ชอนซูมาบอกทงอีว่าพระราชามีราช โองการให้สอบสวนคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดและจะฉวยโอกาสนี้ปฏิรูปขุนนางในราชสำนักใหม่ คงอีกไม่นานราชสำนักจะมีพายุใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้งแล้ว
  
ใต้เท้าอินกุ๊กพาวูนเทคเดินทางมาเข้าเฝ้าอดีตพระมเหสีอินฮอน

    
“พระมเหสี ใต้เท้าอินกุ๊กกำลังจะมาแล้วเพคะ” อัน กล่าว
    
“คนที่ชื่อชิมวูนเทคใช่มั้ย ที่เคยช่วยชอนซังกุงไว้ ตอนนี้ได้เป็นผู้ช่วยศาลตรวจการ”
    
“เพคะพระมเหสี  เห็นว่าเป็นบุตรชายของท่านสมาชิกสภาชิมยองฮัก”
    
 “พระมเหสี ใต้เท้ามาถึงแล้วเพคะ”จองกึม ทูล

“พระมเหสี คนนี้แหละพ่ะย่ะค่ะ เขาที่เป็นกำลังช่วยเหลือชอนซังกุงครั้งนี้ ชิมวูนเทคพ่ะย่ะค่ะ” อินกุ๊ก ทูล
    
“กระหม่อม ผู้ช่วยศาลนามชิมวูนเทค ถวายพระพรพระมเหสีพ่ะย่ะค่ะ”
    
“ข้าได้ยินมาแล้ว ว่าเจ้าเคยช่วยเหลือชอนซังกุงเอาไว้เมื่อครั้งที่อยู่อึยจู”
    
“กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
    
“ขอบใจมาก มีคนอย่างเจ้าคอยช่วยชอนซังกุง ทำให้ข้าวางใจขึ้น”
    
“กระหม่อมเพียงแค่ทำไปตามความสามารถอันน้อยนิด แต่ว่าพระมเหสี ขอให้ทรงรออีกสักนิด วันเวลาที่พวกกระหม่อมจะรวมกำลังกันใกล้จะมาถึงแล้ว อีกไม่นาน เรื่องทุกอย่างจะกลับมาสู่ความถูกต้อง ก็คือ ตำแหน่งที่มันควรจะเป็นของพระมเหสี” วูนเทค ทูล

  
แทซุกได้ข่าวว่า คนของใต้เท้าจางฮีเจ ใต้เท้าโฮยอน เจ้าเมืองอึยจูรวมไปถึงผู้ช่วย ใต้เท้าโฮแทพุงกับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ถูกจับตัวไปที่กองทหารองครักษ์แล้ว จึงเรียกพวกมาประชุมกันอย่างลับ ๆ
    
“พระราชาตั้งพระทัยจะปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่แล้ว เข้าใจรึยัง ตอนนี้ พระองค์กำลังบีบขุนนางกลุ่มฝ่ายใต้ พวกเรากำลังถูกบีบเข้ามาทีละก้าวแล้ว” แทซุก กล่าว
    
“ใต้เท้า”
    
“นี่มันเป็นแค่เริ่มต้นเท่านั้น ดาบของฝ่าบาทยังคงชี้มาที่เราทุกคน”
    
“ใต้เท้า ถ้าอย่างนั้นเราจะทำยังไงดี ถ้าแม้แต่ตำแหน่งพระมเหสียังสั่นคลอน พวกเราก็พินาศกันหมดสิ”
    
“ตำแหน่งของพระมเหสีเริ่มสั่นคลอนไปแล้ว ตอนนี้ ไม่มีอะไรให้เราพึ่งได้แล้ว” แทซุก กล่าว
  
แทซุก เดินทางมาเข้าเฝ้าพระมเหสีฮีบิน


“ทำไมมาช้านักล่ะใต้เท้า ตอนนี้เหตุการณ์กำลังย่ำแย่ ถ้าพวกเราไม่รีบหาวิธีรับมือ กับดักที่พวกเค้าวางไว้ จะทำให้พวกเราตายกันหมดแน่ยูซังกุงฝ่ายตรวจการณ์ ต่อให้ตายเค้าก็ไม่ยอมปริปากแน่ ดังนั้นเรื่องที่ข้ามีส่วนเกี่ยวข้อง น่าจะยังสามารถปิดบังได้ ดังนั้นข้าอยากให้ท่านกับขุนนางฝ่ายใต้ช่วยกันคิดหาวิธีรับมือ..”
     
“พระมเหสี หาวิธีรับมือหรือ? พระองค์คิดว่าตอนนี้ยังจะมีวิธีอะไรอีก?”
    
“ท่านว่าอะไรนะ?”
    
“ใต้เท้าจางฮีเจกับโฮยอนจะถูกคุมตัวมาที่กองทหารองครักษ์ และได้แต่รอรับโทษตายเท่านั้น ดังนั้น ตอนนี้จะมีใครที่กล้าออกหน้ามาคัดค้านให้พระราชากริ้วอยู่อีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
    
“ใต้เท้า”
    
“การให้คนเสี่ยงชีวิตเพื่อพระองค์ คงทำได้แค่ตอนที่พระองค์เป็นพระมเหสีเท่านั้น และนี่แหละคือการเมือง พระองค์คงจะเข้าใจในเรื่องนี้ดี”
    
“เพื่อเอาชีวิตรอด เลยต้องตัดข้าทิ้งหรือ?” พระมเหสีฮีบิน ตรัส
    
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ขอประทานอภัย ครั้งนี้เกรงว่าพระมเหสีคงจะต้องแบกรับไว้คนเดียว ขุนนางฝ่ายใต้ต้องรักษาชีวิตไว้ พระมเหสีจึงอาจมีโอกาสอีกครั้งจริงมั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
    
“ใต้เท้า”
    
“แต่ว่า พระมเหสีไม่ต้องกังวลพระทัยนัก พวกกระหม่อมไม่ถึงกับทิ้งพระองค์เสียทีเดียว เพราะยังไงพระองค์ก็ยังเป็นพระมารดาขององค์รัชทายาท เข้าพระทัยมั้ยพ่ะย่ะค่ะ นี่แหละเป็นการเมือง ระหว่างพระมเหสีกับพวกของกระหม่อม”
  
ชอนซู นำตัวยูซังกุง และฮีเจ มาสอบสวน นางสารภาพว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นคำสั่งของพระมเหสี


“ยูซังกุง เจ้าพูดอะไรออกมา?” ฮีเจ กล่าว
    
“ข้าน้อยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ข้าแค่ทำตามคำสั่งของพระมเหสี แค่ทำตามคำสั่ง ข้าไม่รู้ว่ามันคือบันทึกทึงลก ทั้งหมดเป็นความจริงค่ะ เป็นความจริงค่ะใต้เท้า”
    
“ยูซังกุง”
    
“ได้โปรดเมตตาข้าด้วยเถอะ ข้ากับเด็กพวกนี้ ก็แค่เชื่อฟังพระมเหสีคิดว่าเป็นแค่งานในฝ่ายตรวจการณ์เท่านั้น”
    
“ยูซังกุงบังอาจมาก นี่เจ้ากล้าทรยศพระมเหสีอย่างนั้นเรอะ เจ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะรอดใช่มั้ย ใครสั่งหา เสนาบดีใช่มั้ย เสนาบดีเป็นคนสั่งให้เจ้าทรยศใช่มั้ย?”
    
“เอาตัวจางฮีเจออกไป” ใต้เท้าซอ สั่ง
    
“ขอรับใต้เท้า ไปได้”
    
“คอยดูเหอะ ข้าไม่มีวันปล่อยพวกเจ้าไว้แน่ ข้าจะตอบแทนนังชอนทงอีและพวกเจ้าทุกคนให้สาสม ให้เจ็บปวดกว่านี้ร้อยพันเท่า”
    
“อย่าปล่อยให้มันพล่าม เอาตัวไป” ชอนซู สั่งทหาร
    
“ขอรับ”
  
ใต้เท้าซอรายงานพระเจ้าซุกจงว่า คนที่ถูกจับสารภาพว่าเป็นคำสั่งพระมเหสี

    
“พวกเค้ายอมรับว่าทั้งหมดนี้เป็นคำสั่งของพระมเหสี และไม่ใช่แค่นั้นนะพ่ะย่ะค่ะ กลุ่มขุนนางฝ่ายใต้ที่ถูกจับมา สารภาพว่าพวกเค้าวางแผนจะวางยาพิษ ชอนซังกุงเพื่อจะแก้ไขสถานการณ์ในครั้งนี้”
    
“อะไรนะ ลักลอบเอายาพิษเข้ามาเพื่อฆ่าชอนซังกุง?”    
    
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ยังโชคดีที่ ชอนซังกุงยังคงปลอดภัยดี และแผนชั่วของพวกเค้าก็ไม่สำเร็จ”
    
“เหอะ” 
    
“ฝ่าบาท หลักฐานและคำสารภาพ เป็นไปในทางเดียวกันทั้งหมด ตอนนี้ก็เหลือแค่ขั้นตอนสุดท้าย ก็คือการสอบสวนพระมเหสี”
  
ชอนซู มาหาทงอี นางรีบกล่าว


“พี่ชอนซูคะ ข้าสับสนไปหมด ถึงรู้ว่ามันจะเป็นอย่างนี้ แต่พอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นมันกลับเจ็บปวด เมื่อหลายปีก่อน ข้าเคยฝันว่าข้าอยากจะเป็นเหมือน...กับพระมเหสี ในสมัยที่พระมเหสีอยู่เรือนชีซอน ตอนนั้นข้าฝัน อยากจะมีความมุ่งมั่นยิ่งใหญ่เหมือนกับท่าน แต่สุดท้าย ข้ากลับเป็นคนที่..ต้องทำลายท่านเองกับมือ...”
    
“ทงอี นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เพราะพระมเหสีเองที่ถูกอำนาจ และความโลภเข้าครอบงำพระทัย และในตอนนี้ ก็กำลังชดใช้กรรมที่ก่อไว้”
    
“พี่ชอนซูคะ”
    
“ตั้งแต่ต้นจนจบ พระองค์ไม่อาจหนีความจริงพ้น สำหรับตัวของท่าน ก็เป็นเช่นเดียวกัน นี่คือสิ่งที่ต้อง พานพบและต้องทำ เมื่อมีชีวิตอยู่ในวังหลวง ก็คือการต่อสู้ กับคนที่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ พยายามรักษา ความมุ่งมั่นที่ดีและยิ่งใหญ่เอาไว้”
    
“พี่ชอนซูคะ” 
    
“และถ้าต้องทำอย่างนั้น หัวใจท่าน อาจจะต้องเจ็บปวดเป็นทุกข์อย่างตอนนี้บ่อย ๆ แต่ก็ต้องเก็บงำทุกอย่างเอาไว้ในใจ เหมือนที่พระราชาทรงทำ นับจากนี้ไป ท่านก็จะต้องทำแบบนี้เช่นเดียวกัน”
  
พระมเหสีฮีบินเสด็จมาเข้าเฝ้าพระเจ้าซุกจง


“เรื่องทั้งหมดนี้ เป็นคำสั่งของหม่อมฉันเองเพคะ เป็นไปตามที่พวกเค้าสารภาพ หม่อมฉันรู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับบันทึกทึงลก คนที่สั่งให้ไปขโมยจากห้องชอนซังกุง ก็คือหม่อมฉันเอง”
    
“ทำไมเจ้าถึงทำอย่างนั้น ข้าถามว่าทำไมเจ้าถึงทำอย่างนั้น”
    
“นี่ฝ่าบาทไม่ทราบ..จริง ๆ หรือเพคะ ก็เหมือนกับคนทั่วไป หม่อมฉันก็เพียงแค่ อยากใช้อำนาจรักษาตำแหน่ง นี่ก็เป็นสิ่งที่คนมีอำนาจทั้งโลกนี้ทำไม่ใช่หรือ?”
    
“ตำแหน่งที่ว่า ตำแหน่งพระมเหสีนั่น มันสำคัญขนาดยอมทิ้งความเป็นตัวเองรึ เจ้าเคยเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีแค่ไหน เจ้าเคยอยากทำความฝัน ให้สำเร็จอย่างผ่าเผยไม่ใช่รึ?”

“เพคะ บางทีหม่อมฉันอาจจะเคยเป็นคนอย่างนั้นจริง ๆ แต่หม่อมฉันได้เรียนรู้ว่า ความคิดแบบนั้นของหม่อมฉันมันผิด การได้อำนาจมาครอบครอง มันมีถูกหรือผิดด้วยหรือเพคะ คนที่มีอำนาจคือคนถูก คนไม่มีอำนาจคือคนผิด นี่ต่างหากคืออำนาจ ฝ่าบาทไม่เข้าใจกฎเกณฑ์เหล่านี้จริง ๆ หรือเพคะ ทรงทราบมั้ยเพคะฝ่าบาท แม้แต่วินาทีนี้ หม่อมฉันยังทำทุกวิถีทางเพื่อใช้อำนาจที่มีรักษาตำแหน่งของตัวเองเอาไว้”

“นี่เจ้าพูดอะไรเนี่ย เจ้าหมายความว่ายังไงหาอ๊กจอง?”

 ยังดัล วิ่งหน้าตื่นมาบอกจูซิกว่า พระมเหสีไปสารภาพผิดกับพระราชาแล้ว


“หะ พระ พระมเหสีน่ะเหรอ”

 “อืม พระมเหสีแหละ”

 “ถ้างั้น ต่อไปจะเป็นยังไง?” จูซิก ถาม

 “ยังจะเป็นยังไง  ก็ต้องถูกตัดหัวกันหมด ไม่ก็ถูกเนรเทศ  ส่วนพระมเหสี ก็ต้องเหมือนอดีตพระมเหสี ถูกขับออกไปจากวังหลวงยังไงล่ะ”

 “ห๊ะ ขับออกจากวัง?”

 “เรื่องนี้มันแน่อยู่แล้ว  ก็เล่นทำความผิดใหญ่ขนาดนั้น พระราชาจะยังยอมให้นางอยู่ในวังอีกรึ?”

 “คึ ๆ…”

 “ใต้เท้าเป็นอะไร ?”

 “ข้าก็…ดีใจน่ะสิ  คิ ๆ”

 อินกุ๊ก วูนเทค พร้อมเหล่าขุนนาง เข้าเฝ้าพระเจ้าซุกจงทูลเสนอความเห็น


“ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่ใช่การกระทำของคนอื่น แต่เป็นถึงพระมเหสี ที่ยอมขายชาติเช่นนี้  แถมเพื่อปิดบังความผิดที่ก่อ ยังถึงกับวางแผนชั่วเพื่อใส่ร้ายอดีตพระมเหสีอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ” อินกุ๊ก กล่าวทูล

 “ไม่ใช่แค่นั้นพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท  พระมเหสีกับจางฮีเจพี่ชาย ยังร่วมกันวางแผนคิดฆ่าชอนซังกุงเพื่อปิดบังความผิดพ่ะย่ะค่ะ จึงไม่อาจให้อภัยกับความผิดใหญ่หลวงเช่นนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ” วูนเทค ทูล

 “ฝ่าบาท  พระมเหสีจางที่ทำความชั่วร้าย  สมควรจะถูกปลดและขับไล่ออกจากวัง ขอให้ทรงพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 “ขอให้ทรงพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 พระเจ้าซุกจง รับสั่งกับใต้เท้าซอว่า ความผิดที่พระมเหสีก่อขึ้นครั้งนี้ คงจะไม่อาจให้อภัยได้จริง ๆ แต่ว่าตนยังตัดสินใจไม่ลงเลยจริง ๆ ใต้เท้าซอเดาว่าคงเป็นเพราะองค์รัชทายาท

 พระเจ้าซุกจง เสด็จมาหาองค์รัชทายาท


 “นี่มันเรื่องอะไรเนี่ย?”

 “ฝ่าบาท ถึงองค์รัชทายาทจะยังทรงพระเยาว์ แต่ก็ทรงรับรู้ถึงบรรยากาศที่เกิดขึ้นในวังเพคะ  องค์รัชทายาทได้แต่ถามว่า พระมเหสีจะถูกขับไล่ออกจากวังไปรึเปล่า เอาแต่กรรแสงมาหลายวันแล้วเพคะ จนสุดท้ายก็ประชวรอย่างนี้เพคะ  เป็นความผิดของหม่อมฉันเพคะ ที่ไม่ได้ถวายการดูแลให้ดี ขอให้ทรงลงโทษหม่อมฉันด้วยเพคะ” นางใน กล่าว

 “ลูกพ่อ”

 พระมเหสีฮีบิน เสด็จมาเข้าเฝ้าพระเจ้าซุกจง

 “ทรงทราบมั้ยเพคะฝ่าบาท  แม้แต่วินาทีนี้ หม่อมฉันยังทำทุกวิถีทางเพื่อใช้อำนาจที่มีรักษาตำแหน่งของตัวเองเอาไว้”

 “เจ้าพูดอะไรของเจ้าเนี่ย?”

 “หม่อมฉันหมายถึงรัชทายาทเพคะ เสาหลักในอนาคต คนที่ให้กำเนิดรัชทายาทที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้ง..ก็คือหม่อมฉัน ฝ่าบาททรงคิดจะดึงหม่อมฉันลงจากตำแหน่งจริงหรือเพคะ ฝ่าบาททรง คิดจะสั่นคลอนตำแหน่งรัชทายาทด้วยพระองค์เองหรือเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นมารดาองค์รัชทายาท อย่าได้ลืมข้อนี้สิเพคะ”


“พวกเรากลับกันก่อนดีกว่า” ทงอี บอกกับพวก

 “หา ไม่เข้าเฝ้าพระราชาหรือคะ” เอจอง ถาม

 “ใช่ ตอนนี้อย่าเพิ่งเข้าไปจะดีกว่า ในเวลาแบบนี้ ข้าก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับพระองค์” ทงอี กล่าว

 “แต่ ดูเหมือนพระองค์กำลังสับสนพระทัยอยู่นะคะ เพราะรัชทายาททำให้พระราชายังไม่กล้าปลดพระมเหสี ท่านซังกุง ท่านจะยืนมองเฉย ๆ อย่างนี้จริงเหรอคะ ตราบใดที่พระมเหสีอยู่ในวัง อย่าว่าแต่อดีตพระมเหสีจะกลับมาเลย แม้แต่ตัวท่านเองก็อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้นะ” พงซังกุง กล่าว

 “แต่ว่าต่อให้เป็นอย่างนั้น ก็ไม่อาจเทียบกับความเจ็บปวดของพระราชาได้หรอก”

 “ท่านซังกุง”

 “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พระราชาเท่านั้นที่จะตัดสินได้ ไม่ว่าตัดสินพระทัยยังไง คนที่ต้องเจ็บปวดที่สุดก็ยังเป็นพระราชาเองอยู่ดี” ทงอี กล่าว

 ใต้เท้าซอ บอกกับวูนเทคว่า ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ พระราชาเองคงจะตัดสินพระทัยลำบาก


“ทรงตัดสินพระทัยได้ยากเหรอ? หมายความว่ายังไงน่ะ”

 “ท่านไม่เข้าใจเหรอ ถ้าขับพระมเหสีออกไป เท่ากับว่าฐานะขององค์รัชทายาทจะสั่นคลอน พระราชาทรงให้ความสำคัญและรักองค์รัชทายาทกว่าใครทั้งนั้น บางทีพระองค์อาจเลือกที่จะกลบฝังทุกอย่างทิ้งไปก็ได้”

 พระเจ้าซุกจง ให้ขันทีตามราชเลขามาพบ และให้เรียกประชุมขุนนางเช้าวันพรุ่งนี้ เมื่อถึงตอนเช้าเหล่าขุนนางมาประชุมพร้อมเพรียง

 “วันนี้ที่เรียกขุนนางทุกท่านมาประชุมกัน ก็เพื่อประกาศคำตัดสินในคดีร้ายแรง  แต่ก่อนประกาศ ข้ามีบางอย่างต้องบอกพวกท่านก่อน  ไม่ว่าพวกท่านจะอ้างเหตุผลใดก็ตาม คำประกาศนี้ถือว่าเป็นการตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว และจะไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอันขาด ราชเลขา อ่านคำประกาศได้”


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท โองการ วันที่สองในเดือนสี่ นักโทษคดีนี้มีความผิดฐานลบหลู่พระราชา สมคบต่างชาติเพื่อก่อความเสียหายแก่บ้านเมือง แต่คนกลุ่มนี้ยังพยายามปกปิดความผิด และวางแผนใส่ร้ายอดีตพระมเหสีที่บริสุทธิ์ ทั้งยังคิดวางแผนจะใช้ยาพิษสังหารนางในชอนทงอี ดังนั้น จึงมิอาจจะอภัยให้กับความผิดใหญ่หลวงที่ก่อขึ้นมาได้ จึงมีคำสั่งให้ปลดและเนรเทศนักโทษที่พบว่ามีความผิดออกจากวังหลวงทั้งหมด คนที่ลงมือ เจ้าเมืองอึยจูนัมฮอนชิกเจ้าเมืองเปียงยางอีจองโฮให้ประหารเสียบประจาน เจ้าหน้าที่กรมพิธีการจางฮีเจ และหัวหน้าศาลไต่สวนโฮยอน เจ้าหน้าที่ศาลไต่สวนฮงแทยุน รองเจ้ากรมอากรจองแทซานให้พ้นจากตำแหน่ง และเนรเทศไปยัง เกาะฮวังแฮ เกาะคอเก และเกาะโบกิล  และ…ผู้ร่วมก่อการทั้งหลาย ผู้ช่วยกรมการเมือง ยูจองโฮ กรมราชทัณฑ์ โชยงชิก กรมพิธีการคิมแตซุง ผู้ช่วยฮันจูแท และสุดท้ายเสนาบดีโฮแทซุก ก็ให้ปลดออกจากตำแหน่ง”

 “นอกจากนี้ยังเหลือคำตัดสินข้อสุดท้าย ก็คือ…บทลงโทษต่อพระมเหสี นับแต่โบราณพระมเหสี ต้องประกอบด้วยคุณธรรมหนุนส่งพระราชาและดูแลเอาใจใส่ราษฎร แต่พระมเหสีจาง กลับขาดซึ่งคุณธรรม ได้กระทำความผิดอันมิอาจอภัยได้ต่อราชวงศ์ ดังนั้นพระมเหสีจาง จึงไม่ควรดำรงในตำแหน่งนี้อีก ข้าจึงขอประกาศ ณ วันที่สิบสองในเดือนสี่ ให้ปลดพระมเหสีจางอ๊กจองจากตำแหน่ง  ให้พ้นจากความเป็นพระมเหสี อย่างเป็นทางการเสีย แต่ว่า เพื่อเป็นการเห็นแก่ความปลอดภัยขององค์รัชทายาท ที่พึงรักษาจริยาอันดีต่อมารดา ดังนั้น แม้ปลดจากตำแหน่งพระมเหสี แต่ยังคงตำแหน่งพระสนมฮีบิน เพื่อจะให้รัชทายาทสามารถถามไถ่ทุกข์สุขได้ต่อไป ต่อมา พระมเหสีอินฮอนที่เคยถูกปลดไปในอดีตนั้น บัดนี้ได้สืบชัดแล้วว่าถูกขุนนางชั่วใส่ร้าย เพื่อลบล้างความผิดข้า จึงขอให้มีการคืนตำแหน่ง พระมเหสีและให้กรมพิธีการ จัดพิธีขึ้นสถาปนาใหม่ตามขั้นตอน” พระเจ้าซุกจง ตรัส


 “พระมเหสี”

 “เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” อินกุ๊ก กล่าวทูล



* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี


หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่  (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา