วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ตอนที่ 38



พระเจ้าซุกจงมีประกาศให้ปลดพระมเหสีอ๊กจอง แต่ให้คงตำแหน่งพระสนมฮีบิน ในขณะเดียวกันก็คืนตำแหน่งให้กับพระมเหสีอินฮอน เมื่อกลับมาดำรงตำแหน่ง พระมเหสีอินฮอนจึงได้เป็นกำลังสำคัญให้กับทงอี พร้อมกันนั้นทงอีก็ได้ตั้งครรภ์ในวันที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นพระสนมซุกวอน

เนื้อเรื่อง:



 ข้าหลวงอัญเชิญนำราชโองการ มายังเรือนพักของอดีตพระมเหสีอินฮอน

 “บัดนี้ วันที่สิบสองเดือนสี่ ด้วยราชโองการ ตามขนบราชประเพณีแห่งราชวงศ์โชซอน ประทานตำแหน่งคืนให้พระมเหสี ขอให้พระมเหสีอินฮอน ออกมารับราชโองการด้วย” 

 “ฝ่าบาท”

 วูนเทค นำเรื่องที่พระมเหสีอินฮอนจะได้เสด็จกลับวังหลวง มาบอกทงอี


“ ทั้งหมดนี้คงต้องถือว่าเป็นผลงานของท่านชอนซังกุงเลยเชียวนะขอรับ”

 “ใต้เท้าพูดเกินไปแล้ว..”

 “ไม่เลย ถ้าหากท่านบอกว่าข้าพูดเกินจริง นั่นต่างหากจึงเป็นเรื่องเกินไปท่านซังกุง เพราะว่าคนที่สละชีวิตเพื่อปกป้องพระมเหสี ก็คือ ท่านซังกุงนี่นา หึหึ”

 “แต่ถ้าหากไม่ได้ใต้เท้ามาคอยช่วยเหลือ ข้าก็คงจะทำไม่สำเร็จหรอก”

 “ฮะ ๆ ก็จริง เรื่องนี้ก็จริง ผลงานของข้าก็ไม่น้อยเลย ดังนั้นข้าก็จะเอาไปโม้ให้ทั่วเลยเหมือนกันนะ ฮะ ๆ ๆ”

 “ใต้เท้านี่ก็ ฮะ ๆ ๆ”

 ฮีเจ ถูกเนรเทศ ระหว่างเดินทางก็ร้องให้ทหารปล่อยตัวเพื่อจะไปเข้าเฝ้าพระมเหสี แต่ถูกปฏิเสธ และถูกชาวบ้านรุมสาปแช่งจำนวนมาก ด้านใต้เท้าซอ ทูลพระเจ้าซุกจงว่าได้จัดการนักโทษทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่การลงโทษสำหรับพระสนมฮีบิน พระเจ้าซุกจงรับสั่งให้ดำเนินการได้ทันที



 จองซังกุง พาพระสนมฮีบินกลับไปอยู่ที่เรือนชีซอน ระหว่างทางมีเหล่าซังกุงมาคอยดูจำนวนมาก

 “นั่นไง ๆ นั่นไงมานั่นแล้ว” เอจอง กล่าว “สวรรค์ หน้าด้านชะมัดยาด ยังมีหน้าทำเชิดหน้าชูคออยู่อีกนะเนี่ย เหอะ” พงซังกุง กล่าว

 “ท่านซังกุงพูดถูก ถูกไล่ลงมาแล้วยังทำเป็น..”

 “พระสนม หม่อมฉันพาเดินหลบนาง กำนัลมั้ยเพคะ?”

 “ไม่จำเป็น ข้าจะจำความอัปยศในวันนี้เอาไว้ สิ่งที่ต้องทนรับทั้งหมดในวันนี้ ข้าจะไม่มีวันลืมมันเลย” พระสนมฮีบิน ตรัส

 ทงอีมาเข้าเฝ้าพระเจ้าซุกจง


 “ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมถามข้าล่ะ?”

 “เพราะมันจะทำให้พระองค์เสียพระทัย คิดว่าในเวลานี้ พระองค์คงไม่อยากจะตรัสเรื่องพวกนี้”

 “นั่นสิ ถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากจะเก็บมันเอาไว้ ข้าเป็นทั้งพระราชาที่ใช้ไม่ได้ แถมยังเป็นผู้ชายไม่ได้เรื่องอีกด้วย”

 “ฝ่าบาท”

 “ไม่ใช่ฮีบินหรือว่าใคร คนที่โง่และน่าอายที่สุดก็คือข้า เชื่อคำหลอกลวงจนไล่พระมเหสีออกจากวัง แถมทำให้พระสนมฮีบินกลายเป็นคนแบบนั้น แต่ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก ได้แต่ทำการตัดสินใจแบบนี้อีกครั้ง ข้ารู้ทั้งรู้ว่า ความผิดของพระสนมฮีบินไม่อาจให้อภัย แต่เพื่อรัชทายาท ก็ไล่นางออกจากวังไปไม่ได้”

 “ฝ่าบาท นอกจากพระองค์ จะล้างความผิดให้กับพระมเหสีแล้วยังได้ช่วยปกป้องรัชทายาทเอาไว้ด้วย จะตำหนิพระองค์เองได้ยังไงเพคะ หม่อมฉันเชื่อมาตลอดว่าพระองค์จะทำเช่นนี้ เพราะนั่นคือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับราชวงศ์และบ้านเมือง สิ่งที่พระองค์ทำ เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วเพคะ”

 “ทงอี แต่การตัดสินใจแบบนี้ อาจจะทำให้เจ้าต้องลำบากนะ ถึงแม้ว่านางจะไม่ใช่พระมเหสีแล้ว แต่ยังเป็นมารดารัชทายาท แปลว่า อำนาจของพระสนมฮีบินจะยังอยู่ สำหรับเจ้าแล้วมัน..”

 “ดังนั้น ทรงคิดว่าหม่อมฉันจะตัดพ้อพระองค์เพราะว่าห่วงความปลอดภัยตัวเองหรือเพคะ?”

 “ทงอี”

 “ไม่เลยเพคะ หม่อมฉันไม่กลัวเลยซักนิด พระองค์ลืมไปแล้วหรอ หม่อมฉันมีฉายาว่าพงซานนะเพคะ ฮิ ๆ หม่อมฉันทราบดีว่าพระองค์ทรงกังวลอะไร แต่อย่ากังวลเลยเพคะ เพราะทงอีคนนี้ก็คือ..พงซานนะเพคะ ไม่ว่าวันหน้าจะต้องเจออะไร หม่อมฉันจะเชื่อฝ่าบาท และเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วต้องฝ่าฝันมันไปให้ได้”

 “ทงอี”

 “เพคะฝ่าบาท ฮิ ๆ”

 “ฮะ ๆ ๆ อืม ขอบใจนะ ”

 จองซังกุง มาบอกทงอีให้นางเป็นคนจัดการเตรียมงานรับพระมเหสีกลับมาที่วัง


“แต่ทำไมถึงได้เป็นข้าล่ะ?”

 “เพราะท่านซังกุงถือว่าอยู่ในส่วนของวังหลัง ปกติงานสำคัญจะต้องมีคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงในวังหลังจัดการ แต่พระมเหสีตอนนี้ยังไม่เข้าวังน่ะเพคะ” จองอิม กล่าว

 “แต่เดิมหน้าที่นี้ควรเป็นของพระสนมฮีบิน แต่ถ้าทำแบบนั้นนางได้กระอักเลือดตายแน่ ถึงแม้ว่าการให้พระสนมฮีบินจัดการน่าจะสะใจกว่า” พงซังกุง กล่าว

 “ท่านซังกุง”

 “พงซังกุง”

 “เอ่อ แหม..”

 “ถ้ายังพูดจาแบบนี้ ข้าจะให้กลับไปฝ่ายตรวจการนะ รู้ตำแหน่งของข้าตอนนี้รึเปล่า?”

 “หา?”

 “ค่ะท่านซังกุง แบบนั้นน่าจะเป็นการดีกว่า”

 “นี่.. โอ้ย ไม่นะท่านซังกุง ข้าชอบที่นี่มากกว่า ให้ตายข้าก็ขอตายอยู่ที่นี่นะ วันหน้าข้าไม่ทำแล้ว ให้อภัยข้าซักครั้งเถอะ นะท่านซังกุง” พงซังกุง กล่าว

 “ครั้งนี้จะถือว่าล้อเล่น แต่ถ้าทำอีกข้าจะโกรธท่านจริง ๆ แล้วนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พระสนมฮีบินก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ในวังหลัง ควรรักษามารยาทไว้” ทงอี กล่าว

 “ค่ะ”

 “เฮ้อ ข้าจะได้ช่วยเตรียมงานต้อนรับพระมเหสี ถือว่าน่าดีใจจริง ๆ ข้าต้องทำอะไรบ้างล่ะ?”

 ทงอี คุมเหล่าซังกุงให้ทำความสะอาดห้องพักอย่างแข็งขัน ขณะที่ใต้เท้าซอได้รับหน้าที่เดินทางไปรับพระมเหสีอินฮอน กลับสู่วัง เมื่อเสด็จมาถึงวัง ก็พบพระเจ้าซุกจงรอรับอยู่


 “ฝ่าบาท”

 “พระมเหสี อภัยให้ข้าด้วยพระมเหสี เพราะข้ามันไม่ได้เรื่อง ทำให้พระมเหสีต้อง…ทนถูกเหยียดหยามอยู่นาน”

 “ไม่เพคะฝ่าบาท อย่าตรัสเช่นนี้ หม่อมฉันควรเป็นฝ่ายขอประทานอภัย เพราะหม่อมฉันไร้คุณธรรม จึงไม่สามารถอยู่ข้างกายเพื่อคอยสนับสนุนฝ่าบาทได้ หม่อมฉันเชื่อเสมอ ว่าคนที่คอยปกป้องหม่อมฉันก็คือฝ่าบาทเพคะ”

 “พระมเหสี”

 “ฝ่าบาท”

 ด้านทงอี เมื่อได้พบกับพระมเหสีอินฮอน ทั้งสองก็สนทนากัน


 “ถึงตอนนี้ข้ายังไม่อยากเชื่อเลยชอนซังกุง ว่าข้าจะได้กลับมาวังหลวงแห่งนี้อีกครั้ง”

 “พระมเหสี”

 “เจ้าได้พยายาม ทุ่มเททำทุกอย่างไปเพื่อข้าชีวิตของข้าที่เหลือไม่รู้ว่าจะตอบแทนเจ้ายังไงดี”

 “ทำไมถึงตรัสเช่นนั้นล่ะเพคะ คนที่อยากคืนความเป็นธรรมให้พระองค์ไม่ได้มีแค่หม่อมฉันคนเดียวเพคะ”

 “แต่ถ้าหากไม่มีเจ้าเรื่องนี้ก็คงเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่รึไง ดังนั้นตอนนี้ ควรจะเป็นตาของข้าบ้าง เข้าใจรึเปล่า ถึงเวลาที่ข้าจะต้องปกป้องเจ้าบ้าง”

 “พระมเหสี”

 “อยู่นอกวังมีเรื่องนึงที่ข้าเสียใจ ก็คือตอนที่เป็นพระมเหสี ข้าไม่เคยยอมใช้อำนาจที่มี ตามตำแหน่งของพระมเหสีที่ได้รับมา ชอนซังกุง อย่าได้เป็นเหมือนข้าเชียวนะ ทำสิ่งที่เจ้าอยากทำตามตำแหน่งของเจ้า และพลังอันนั้น ข้าจะเป็นคนให้กับเจ้าเอง”

 “ให้พลังหรือเพคะ?”

 “ใช่แล้ว พลังที่จะทำให้เจ้าสามารถต่อกรกับพระสนมฮีบิน ที่ยังแฝงตัวอยู่ในวังหลวง และจะเป็นพลังที่จะทำให้เจ้าทำตามอุดมการณ์ในใจของเจ้าได้” 

 ใต้เท้าซอ บอกกับทงอีว่าพระมเหสีมีบัญชาให้นางไปปกครองดูแลฝ่ายตรวจการ


 “แล้วทำไมท่านถึง..”

 “พระมเหสีมีรับสั่งให้ข้าเข้าเฝ้า บอกว่าท่านยังคงลังเลเลยขอให้ข้าช่วยพูด ท่านยังลังเลอะไรอยู่หรือ? ถ้าเป็นรับสั่งพระมเหสี ก็รับมันเอาไว้เถอะ”

“แต่ว่าข้าไปรับผิดชอบจะไม่เป็นไรจริงหรือ? เพราะข้า..”
    
“เรื่องของกลุ่มคอมเกข้าบอกแล้วว่าจะกลบฝังมันทิ้ง ท่านลืมไปแล้วรึ? อีกไม่นานท่านจะเป็นส่วนหนึ่งของวังหลังแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ท่านต้องคิด ไม่ใช่ว่าจะทำได้หรือไม่ แต่คิดว่าจะทำยังไง อย่าลืมนะชอนซังกุง ท่านมีคุณสมบัติอย่างเต็มที่ คนอื่นคิดแต่ได้อำนาจมา และจะรักษาอำนาจเอาไว้ยังไง แต่ท่านไม่เหมือนพวกทะเยอ ทะยานในอำนาจนั่น ท่านได้พลังเช่นนี้มาเพราะอะไร และควรจะใช้พลังนี้ไปอย่างไร นั่นต่างหากคือเรื่องที่ท่านจะต้องคิด”
    
“ใต้เท้า”
    
“ดังนั้นท่านจำเป็นต้องอยู่ และจะต้องเป็นพลังเพื่อฝ่าบาท และบ้านเมืองนี้ต่อไป”
  
จองซังกุง ได้รับการแต่งตั้งเป็นซังกุงสูงสุดฝ่ายตรวจการ โดยทงอีเป็นผู้ออกคำสั่ง


“ตอนนี้ข้าจะใช้อำนาจซังกุงสูงสุดฝ่ายตรวจการ ทำการแก้ไขข้อเสียและปัญหา ที่หมักหมมอยู่ในฝ่ายตรวจการเรามานาน ดังนั้น จะต้องเริ่มปฏิรูป จากบุคคลในฝ่ายของเราเสียก่อน คนที่ถูกขานชื่อ ขอให้ตั้งอกตั้งใจทำงานรับใช้ราชสำนักอย่างเต็มที่ นับจากนี้ไป นางในจองอิม ได้เลื่อนขั้นเป็นซังกุงขั้นที่ห้า นางในเอจอง เป็นซังกุงขั้นห้า ส่วนชาซังกุงเลื่อนเป็นขั้นที่หก นางในเคกึม นางในคึมบี นางในฮอนบีได้เลื่อนเป็นขั้นที่เจ็ด
  
ทงอี สั่งให้จองซังกุงไปพานางในที่ติดคุกอยู่มาพบ เพื่อจัดการเรื่องให้เสร็จสิ้น

     
“ข้ากำลังจะประกาศบทลงโทษของท่าน ก่อนหน้านั้น มีอะไรจะพูดกับข้ารึเปล่า ถ้าหากไม่ มี งั้นก็จะตัดสินโทษไปตามที่ได้กำหนดแล้วนะ” ทงอี กล่าว
    
“ข้าจะขอฆ่าตัวตาย ดังนั้น ท่านซังกุงได้โปรด..อย่าประหาร..ข้าต่อหน้าพวกนางในเลย เพราะว่า มันคือความอัปยศที่สุดของนางใน ข้าไม่อยากตายแบบนั้นท่านซังกุง” ยูซังกุง กล่าว
    
“แล้วมันเพราะอะไรล่ะ?”
    
“ใช่ค่ะ ข้าเป็นคนทำมันเองค่ะ ไม่เพียงแต่บุกรุกเข้าไปในเรือนของท่าน ยังพยายามสร้างหลักฐานเท็จ เพื่อใส่ร้ายท่านกับพรรคพวกด้วย ข้าทราบดีว่า โทษของข้าคือจะต้องถูกประหาร แต่ยังไง ทั้งหมดเพราะข้าต้องทำตามคำสั่ง นั่นเป็นหน้าที่ของซังกุงฝ่ายตรวจการ แม้ว่าสิ่งนั้น จะต้องเสี่ยงด้วยชีวิตก็ตาม ดังนั้น ถือว่าข้าได้ทำหน้าที่ซังกุงสูงสุดแล้ว ได้โปรด ให้ข้าได้เว้นจากการตายอย่างอัปยศด้วยท่านซังกุง ฮือ..”
    
“เกรงว่าข้าคงจะทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก” ทงอี กล่าว
    
“หา?”
    
“ใช่ท่านได้ยินถูกแล้ว ตอนนี้ข้าจะให้ ท่านกลับไปทำงานอยู่ที่ฝ่ายตรวจการ”
    
“ท่านซังกุง”
    
“แต่คงต้องลดขั้นของท่าน ให้กลายเป็นซังกุงทั่วไปขั้นที่ห้า หวังว่าจะเป็นอย่างที่บอก เมื่อกลับไปทำหน้าที่แล้ว จะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด”
    
“ท่านซังกุง นี่มันเพราะอะไร เพราะอะไรคะ?”
    
“ทำไมไม่ประหารท่านน่ะเหรอ? เพราะทำแบบนั้น ท่านจะไม่ได้รับโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง ท่านบอกเองว่าหน้าที่ของซังกุง ก็คือการต้องทำตามคำสั่งของพระมเหสีอย่างเคร่งครัด ดังนั้น ขอให้ท่านรักษาคำพูดด้วย”
  
อึนกึม ชิบิ ขอร้องให้ จองอิม ช่วยพูดเพื่อช่วยเหลือนางทั้งสอง
    
“เอาให้พวกนาง ยืนอึ้งทำไมเปิดดูเร็วสิ” จองอิม สั่ง
    
“นี่มัน..”
    
“จากวันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าถูกลดขั้นเป็นนางในขั้นเก้า พวกเจ้าไปได้”
    
“แปลว่า..ให้อภัย พวกเราแล้วงั้นรึ?”
    
“ใช่แล้ว ทุกอย่างนี้เป็นเจตนาของท่านชอนซังกุงน่ะ” จองอิมกล่าว
    
“ท่านชอนซังกุง..” อึนกึม กล่าว
  
จองซังกุง ไม่เข้าใจว่าทำไมทงอี จึงยกโทษให้พวกนางในที่ทำผิด
    
“ทำไมท่านถึงทำแบบนั้นคะ? ยูซังกุงเป็นคนประเภทที่ท่านดีกับนางไป ก็คงไม่ทำให้นางเปลี่ยนง่าย ๆ”
    
“ค่ะ เรื่องนี้ข้าเข้าใจดี”
    
“ท่านซังกุง”
    
“ถึงแม้ว่าเขาจะทำร้ายมือข้าหยิบยื่นโอกาสให้เค้า แต่ถึงสุดท้ายจะเป็นอย่างนั้นจริง ข้าก็ไม่เสียใจที่ตัดสินใจทำแบบนี้หรอก เพราะข้าคิดอยู่เสมอว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ควรได้รับโอกาสครั้งที่สองเสมอ เหมือนกับที่ข้าเคยได้รับโอกาสมา ข้าก็อยากให้คนอื่นได้มีโอกาสใหม่กับเค้าบ้างน่ะ” ทงอี กล่าว
    
“ท่านซังกุง”
    
“ข้าใช้พลังของข้าไปให้โอกาสนี้กับพวกเค้า แต่ว่าหลังจากนี้ไป เค้าจะเลือกยังไงก็ขึ้นอยู่กับตัวพวกเค้าแล้ว”
  
พระเจ้าซุกจงเมื่อรู้เรื่องการตัดสินของทงอี ก็ตรัสถามขันที

   
“จริงเหรอ ชอนซังกุงตัดสินไปแบบนั้นจริงเหรอ”
    
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
    
“เป็นการตัดสินใจที่ไม่ง่ายเลย ถ้าทำแบบนี้นางคงต้องลำบากไม่น้อยแน่”
    
“ท่านซังกุงก็เป็นคนอย่างนี้นี่พ่ะย่ะค่ะ”
    
“นั่นสิ เจ้าพูดถูก นางเป็นคนอย่างนั้นจริง ๆ”
    
“ตอนนี้ เรื่องราวความวุ่นวายเหมือนจะสงบแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระมเหสีก็เสด็จกลับวังหลวงแล้ว พักนี้ฝ่าบาทดูผ่อนคลายลงมากเลยทีเดียว” 
    
“งั้นเหรอ ดูอย่างนั้นเหรอ?”
    
“พ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นสิ่งที่พระองค์ต้องเป็นกังวล คงจะเหลืออยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น”
    
“เรื่องเดียวเหรอ?”
    
“พ่ะย่ะค่ะ”
    
“แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ?”

“ก็เรื่องที่พระองค์ทรงคาดหวังมานานไงพ่ะย่ะค่ะ”
    
“คาดหวังงั้นเหรอ?”
    
“ก็เรื่องของการตั้งครรภ์ของชอนซังกุง พ่ะย่ะค่ะ”

     
“หนอย ข้าหลวงฮัน นี่ทำไมเจ้าถึง..หนอย เชื่อเลย น่าจะเนรเทศเจ้าด้วยอีกคน กล้ามาเดาใจของข้ารึ เจ้านี่มันบังอาจมากนะ”
    
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ”
    
“ช่างเถอะ ข้าควรจะหลีกไปอยู่ห่าง ๆ เจ้าสักหน่อยแล้ว ฮึ่ม แต่ว่า ไหน ๆ ก็พูดมาถึงเรื่องนี้กันแล้ว เมื่อคืนนี้ ข้าเองก็ฝันด้วยเหมือนกันนะ”
    
“หา พระสุบิน?”
    
“ใช่แล้ว”
    
“นั่นเป็น..พระสุบินของการให้กำเนิด”
    
“เจ้าพูดจริงเหรอ มันเป็นฝันแบบนั้นเหรอ?”
    
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
    
“นั่นสิ ฝันว่ามังกรทะยานขึ้นบนฟ้า ข้าเพิ่งเคยฝันแบบนี้ ไม่รู้ว่ามันหมายถึงการจะมีลูกเลยนะเนี่ย”
    
“ใช่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ต้องเป็น..การตั้งครรภ์แน่พ่ะย่ะค่ะ”
    
“จริงเหรอ?”
  
ทงอีกำลังสั่งงานจองซังกุงอยู่ พระเจ้าซุกจงก็เสด็จมาหา


“ฝ่าบาท”
    
“ข้าผ่านมาเลยแวะมาเยี่ยม นอกจากคิดถึงแล้วยังมีเรื่องบางอย่างอยากจะถามเจ้าด้วย แต่จะว่าไป เจ้าก็น่าจะย้ายไปเรือนโบคยองได้แล้วนะ”
    
“ไม่นานก็ย้ายแล้วเพคะ”
    
“งั้นเหรอ พระมเหสีบอกว่าเสร็จงานแต่งตั้งเจ้าแล้วจะไปเป็นแม่งานให้เอง”
    
“เพคะ พระมเหสีคอยดูแลหม่อมฉันอย่างดีเลยเพคะ”
    
“ก็ดี แต่พักนี้ เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้างมั้ย?”

“ไม่สบายหรือเพคะ”

 “ใช่แล้ว อย่างเช่นรู้สึกอ่อนเพลียง่าย ไม่ก็ รู้สึกว่าง่วงบ่อย ๆ อะไรแบบนี้น่ะ”

 “อืม.. ไม่เลย ถึงจะยุ่งไปซักหน่อย แต่ก็ไม่มีปัญหา”

 “เอ่อ งั้นเหรอ?”

 “เพคะ ถ้าจะพูดถึงงานของฝ่ายตรวจการ พระองค์ไม่ต้องเป็นห่วง  หม่อมฉันยังแข็งแรงกว่าฝ่าบาทอีกนะเพคะ”

 “แหม ไม่ได้หมายความอย่างนั้น  ข้าหมายความว่าเจ้ามีอะไรที่อยากจะกิน หรือว่า อยากจะกินของเปรี้ยวอะไรบ้างรึเปล่า?”

 “ของเปรี้ยวหรือเพคะ หม่อมฉันไม่ชอบทานของเปรี้ยวเลยเพคะ”

 “หา?”

 “โอย หม่อมฉันแทบจะไม่เคยทานของเปรี้ยวเลยนะเพคะ”


“เจ้าข้าหลวงฮันตัวแสบ”

 “เพคะ?”

 “อ้อ ไม่มีอะไร”

 “พระองค์ทรงเป็นอะไร ทำไมจู่ ๆ ถึงได้..”

 “อ้อ ไม่มีอะไรหรอก  แค่อยากรู้ว่าคุ้นชีวิตในวังมั้ย หรือว่าเจ้ามีอะไรอยากจะกินเป็นพิเศษ”

 “อ้อ มีอยู่อย่างนึงเพคะฝ่าบาท”

 “จริงเหรอ มันคืออะไรล่ะ?”

 “มันก็คือ.. ช่างมันเถอะเพคะ”

 “อ้าว เจ้าอยากกินอะไรล่ะ?”

 “ไม่ใช่ของพิเศษเพคะ แต่ในวังคงหากินได้ลำบากหน่อย”

 “ในโลกนี้มีอะไรบ้างที่ในวังหลวงไม่มี  รีบบอกข้ามาสิ”

 “ไม่มีอะไรหรอกเพคะ พระองค์อย่าใส่พระทัยเลย”

 “หน็อยแน่ ข้าเป็นถึงพระราชา คิดว่าข้าจะหาของที่เจ้าอยากกินมาไม่ได้เหรอ?  มันคืออะไรล่ะ?”

 “ฝ่าบาท”

 ทงอี ทูลพระเจ้าซุกจงว่าอยากกินข้าวต้มที่กองสวัสดิการ  

 “แต่ว่าทำไมจู่ ๆ เจ้าถึงอยากกินข้าวต้มที่กองสวัสดิการแจกล่ะ?”

 “หม่อมฉันเองก็ไม่ทราบเพคะ ซี้ด สงสัย จะเป็นเพราะนั่นเป็นของที่ได้กินตอนหิวที่สุดเพคะ ก่อนที่หม่อมฉันจะได้เข้าวัง ตอนนั้นต้องทนหิวเพราะไม่ได้กินข้าวมาสามวันเต็ม ๆ เลยนะเพคะ”

“อะไรนะ เจ้าบอกว่าสามวันเหรอ?”

 “เพคะ สำหรับพวกชนชั้นต่ำแล้ว เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดามากเพคะ ตอนนั้นข้าวต้มจากกองสวัสดิการ ถือว่าเป็นข้าวต้มที่ต้องรอถึงสามวันกว่าจะได้กิน เฮ้อ มันอร่อยมากเลยเพคะ กินแบบไม่รู้เบื่อเลย ฮิ ๆ”

 “สามวันเชียว เป็นไปได้ยังไง”


 

เมื่อมาถึงกองสวัสดิการ พระเจ้าซุกจง พบว่ามีชาวบ้านจำนวนมากมารอรับอาหาร และมีบางคนต้องกลับไปมือเปล่า พระเจ้าซุกจงจึงสงสัยทั้ง ๆ ที่ได้มีคำสั่งเปิดยุ้งหลวงเพื่อเอาอาหารมาเลี้ยงดูประชาชนแล้วจะไม่พอกินได้ยังไง จึงรับสั่งให้ขันที ไปนำข้าวมาให้ชายคนหนึ่งที่เก็บข้าวที่หล่นลงดินขึ้นมากิน

 “ใต้เท้า ลูกของข้าไม่ได้กินข้าวมาสี่วันแล้วค่ะ ขอให้ลูกข้าได้กินสักคำก็ยังดีค่ะใต้เท้า”

 “นี่เจ้ากล้ามาก่อกวนที่นี่เหรอ พวกนี้ต้องให้โดนตีซะก่อนถึงจะเข็ดรึ?” ขุนนางกล่าว

 “ใต้เท้า ๆ ขอข้าวเราด้วย ๆ”

 “รออะไรอยู่ รีบตีไล่พวกมันกลับไปซะ”

 “ข้าสั่งให้พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้” พระเจ้าซุกจง ตรัส

 “เจ้าเป็นใคร?” ขุนนาง ถาม

 “บัดซบ บังอาจเกินไปแล้ว ยังไม่คุกเข่า อีกรึ พระองค์คือ..พระราชาโชซอน”  ขันที กล่าว

 “ฝ่าบาท ๆ”  ชาวบ้าน ร้อง

 “มีเรื่องอย่างนี้ได้ยังไง อะไรเนี่ย?” พระเจ้าซุกจง ตรัส

 พระเจ้าซุกจง เรียกขุนนางกองสวัสดิการ มาสอบสวน


“นี่มันข้ออ้างอะไรของพวกเจ้า? เมื่อเจ็ดวันก่อนได้มีการส่งเสบียงจากยุ้งหลวงมาให้แล้ว แล้วทำไมในกองสวัสดิการถึงเหลืออยู่แค่นี้”

 “ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

 “ขออภัยเหรอ?  สิ่งที่พวกเจ้าทำได้มีแค่คำพูดนี้เท่านั้นรึไง?”

 “ฝ่าบาท”

 “สั่งปลดหัวหน้ากองสวัสดิการเดี๋ยวนี้  แล้วให้ผู้ช่วยกรมอากรมาควบตำแหน่งนี้แทน”

 “พ่ะย่ะค่ะ”

 “แล้วก็ เนรเทศคนพวกนี้ทั้งหมด ให้ไปอยู่ที่ชายแดน”

 “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

 “ก่อนที่ขุนนางใหม่จะมารับตำแหน่ง ให้เจ้าคอยดูแลเรื่องที่นี่แทนไปก่อน” 

 “ฝ่าบาท”

“ตอนนี้พวกเจ้า รีบไปต้มข้าวที่ยังเหลืออยู่เอาไปแจกจ่ายให้ประชาชนข้างนอกเดี๋ยวนี้ อีกอย่าง  นับแต่นี้เป็นต้นไป ห้ามไม่ให้ประชาชนที่มาต่อแถว ต้องกลับไปมือเปล่าอีกต่อไปแล้ว  ถ้าหากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก ข้าจะเอาหัวของเจ้ามาเป็นค่าตอบแทน เข้าใจรึเปล่า?”
    
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมจะทำตามพระบัญชา”

หลังจัดการเรื่องกองสวัสดิการเรียบร้อยพระเจ้าซุกจงก็ตรัสกับทงอี


“ตัวข้าเองนึกไม่ถึงเลย ข้าได้แต่ดูฎีกาที่พวกขุนนางถวายขึ้นมา ข้าที่มีหน้าที่ดูแลประชาชน แต่ข้ากลับ..เอาแต่อ่านตัวหนังสือในฎีกาพวกนั้น อย่างนี้พระราชาอย่างข้า คงจะถูกประชาชนพวกนี้..ตัดพ้อแย่เลยสินะ”
    
“ไม่ใช่เลยเพคะฝ่าบาท พวกเค้าไม่ได้ตัดพ้อพระองค์เลยแม้แต่น้อย หม่อมฉันก็เคยอยู่ตรงนั้น หลายครั้งที่ได้ข้าวต้มกองสวัสดิการ  ก็จะรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ไม่เคยลืมชนชั้นต่ำ..ของพระองค์เสมอ”
    
“ทงอี”
    
“อย่ารู้สึกเจ็บปวดพระทัยเลยเพคะ พระองค์คอยเป็นห่วงเป็นใยประชาชนมากกว่าใคร พวกเค้าย่อมทราบดีเพคะ”
    
“ขอบใจนะทงอี  เจ้าได้ให้บทเรียนกับข้าอีกแล้ว สิ่งที่ข้าควรจะไปทำ สิ่งที่พระราชาอย่างข้าควรจะต้องใส่ใจ”    
    
“ฝ่าบาท”

อันซังกุง นำโองการที่ทางราชเลขาร่างมาให้พระมเหสีอินฮอนทอดพระเนตร  


“ข้าจะได้เป็นคนแต่งตั้งนางเอง  ไม่มีอะไรน่าดีใจกว่านี้แล้วอันซังกุง”
    
“พระมเหสี”
    
“จริงสิ แล้วตอนนี้นางเตรียมตัวพร้อมรึยัง?”
    
ทงอี เตรียมตัวแต่งกายแต่ระหว่างนั้นนางก็เกิดอาเจียนออกมา อีกด้านหนึ่งพระเจ้าซุกจงตรัสถามขันทีว่าทงอีทำอะไรอยู่ ไปถึงปะรำพิธีแต่งตั้งรึยัง


“คือว่า พิธีแต่งตั้ง อาจจะต้องล่าช้าไปพ่ะย่ะค่ะ”
    
“หมายความว่ายังไง ทำไมถึงต้องเลื่อนเวลาล่ะ”
    
“เพราะได้ยินว่าหมอหลวง กำลังรีบไปเรือนท่านซังกุงพ่ะย่ะค่ะ”    

พระมเหสีอินฮอน รีบเสด็จมาดูอาการของทงอี จากนั้นไม่นานพระเจ้าซุกจงก็เสด็จมาถึง    
    
“ฝ่าบาท”


“ได้ยินว่าเรียกหมอหลวงมาที่นี่  เกิดเรื่องอะไรขึ้น ชอนซังกุงเป็นยังไงบ้าง?”
    
“สบายดีเพคะ ชอนซังกุงดีมากเลยเพคะ” พระมเหสีอินฮอน ทูล
    
“อะไรนะ?”
    
“ฝ่าบาท ยินดีด้วยเพคะ  เพราะว่าชอนซังกุง ตั้งครรภ์แล้วเพคะ”
    
“พระมเหสี นี่เจ้าว่ายังไงนะ ตั้งครรภ์แล้วงั้นเหรอ?”
    
“เพคะฝ่าบาท”

พระเจ้าซุกจง เสด็จเข้าไปหาทงอี

  
“ไม่ต้องลุก ๆ เจ้าไม่ต้องลุกหรอก ในที่สุดความฝันข้า ก็เป็นจริงขึ้นมาจริง ๆ ด้วย”
    
“เพคะ?”
    
“จำที่ข้าถามเจ้าวันก่อนได้มั้ย  ที่ถามว่าอยากจะกินอะไรหรือว่าง่วงเป็นพิเศษรึเปล่าน่ะ”
    
“จริงด้วยเพคะ หรือว่า..”
    
“ใช่แล้ว ข้าฝันว่าข้ากำลังจะมีลูกน่ะ  ตอนนี้ข้าดีใจจนพูดอะไรไม่ถูกแล้ว ข้าเป็นพระราชา แต่เพิ่งเข้าใจว่าอะไรเรียกว่าการครอบครองโลกทั้งใบน่ะ”
    
“ฝ่าบาท”
    
“ทงอี ฮะ ๆ ๆ”

ใต้เท้าซอ บอกกับชอนซูให้ไปหาทงอี หลังรู้ข่าวว่านางตั้งครรภ์ในวันแต่งตั้งเป็นพระสนม ชอนซูจึงรีบไปหาทงอี


“พี่ชอนซูคะ”
    
“ในที่สุดก็จะมีคนที่มาเรียกข้าว่าท่านลุงแล้ว  ใช่รึเปล่า?”
    
“ใช่ค่ะพี่ชอนซู”
    
“ฮะ ๆ  โอย น้ำตาดันไหลในวันแบบนี้ ข้ากลั้นมันไม่อยู่จริง ๆ ฮะ ๆ”
    
“พี่ชอนซูคะ”

พระมเหสีอินฮอน ตื่นเต้นดีใจกับเรื่องที่ทงอีตั้งครรภ์


“ตอนแรกแค่จะได้แต่งตั้งเจ้าเป็นพระสนม ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่ายินดีมากแล้ว นี่ยังตั้งครรภ์ วันนี้คงเป็นวันที่ข้าลืมไม่ลงแน่ ขอบใจนะชอนซังกุง ไม่สิ พระสนมชอน เจ้าได้สร้างความชอบให้กับราชวงศ์โชซอนอีกแล้วนะ ไป พวกเราไปกันเถอะ ไปทำพิธีแต่งตั้งเจ้าอย่างเป็นทางการกัน”
    
“พระมเหสี”
    
“ส่งโองการแต่งตั้งมาให้ข้า”
    
“เพคะพระมเหสี”
    
“ดิถี..วันที่ยี่สิบหกในเดือนสี่ ตามพระราชพิธีของวังหลวง  ให้มีการแต่งตั้ง ชอนทงอีเป็นพระสนมซุกวอนขั้นสี่ เชิญน้อมรับโองการด้วย”


“พระสนม ขอให้เจ้าจงทุ่มเทดูแลรับใช้ฝ่าบาท  และเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดในฝ่ายใน”
    
“หม่อมฉันจะพยายามทำตามรับสั่งพระองค์อย่างเต็มที่เพคะ” ทงอี กล่าวทูลอย่างเต็มใจ 


* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี


หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา