วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ตอนที่ 46




พระเจ้าซุกจงปลอมตัวมาเป็นผู้ช่วยเจ้าเมืองเพื่อเล่นกับกึม ทำให้นึกถึงสมัยที่เคยปลอมตัวปลอกทงอี ขณะที่ท่าทีของอ๊กจองที่มีต่อรัชทายาท ทำให้พระมเหสีสงสัยว่ารัชทายาทจะต้องมีปัญหาอะไร จึงตัดสินจะประกาศคัดเลือกชายาให้รัชทายาท ด้านแม่ของอ๊กจองเมื่อรู้ว่าพระเจ้าซุกจงแอบไปหาทงอีจึงได้จ้างคนไปวางเพลิง แต่กลับกลายเป็นข้ออ้างให้พระเจ้าซุกจงรับทงอีกับลูกกลับเข้าวัง

เนื้อเรื่อง:



เมื่อพระเจ้าซุกจงแนะนำตัวเองว่าเป็นผู้ช่วยเจ้าเมืองแล้ว องค์ชายกึม จะเข้าห้องเรียนแต่ว่ามาสายประตูห้องปิดแล้ว พระเจ้าซุกจงเลยชวนให้องค์ชายกึมพักผ่อนซักวัน
    
“ไม่เห็นเป็นไรเลย เวลาที่พวกบัณฑิตไม่อยากเรียนหนังสือก็แอบโดดเรียนกันทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

ทงอี เดินทางมาหาอาจารย์ขององค์ชาย กึม ขอร้องให้เก็บเรื่องความฉลาดขององค์ชายเป็นความลับ


“ข้าต้องการเช่นนั้น เชื่อว่าท่านคงพอจะเข้าใจการเมืองและราชสำนักอยู่บ้าง น่าจะเข้าใจว่าทำไมข้าถึงต้องมาขอร้องกับท่านแบบนี้”
 
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเข้าใจดี องค์ชายที่มีพระปรีชาสามารถกว่าครึ่งจะต้องถูกหมายปองชีวิต  กระหม่อมเข้าใจดี  เรื่องนี้ทรงวางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ”
 
“ขอบใจท่านมากนะ”
 
“ถ้างั้น การศึกษาขององค์ชายต่อจากนี้ไป พระองค์คิดจะจัดการยังไงพ่ะย่ะค่ะ”
 
“ถ้าท่านอาจารย์สามารถให้การสอนองค์ชายเป็นการส่วนตัว”
 
“คงไม่ได้ ด้วยความรู้แบบกระหม่อมคงไม่สามารถจะสอนองค์ชายได้  พระสนม  บนผืนแผ่นดินนี้ คนที่จะสามารถถวายการสอนให้องค์ชายได้ น่าจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น”
 
“ใครหรือท่านอาจารย์  โปรดบอกข้าเถอะท่านอาจารย์”
 
“ยุนฮักพ่ะย่ะค่ะ”
 
“ยุนฮักที่ท่านพูดคือ...”
 
“พ่ะย่ะค่ะ ยุนฮันคิมกูซอนพ่ะย่ะค่ะพระสนม”

พระเจ้าซุกจงหยิบหนังสือตำราพื้นฐาน และห่อผ้าหนังสือมอบให้องค์ชายกึมเพราะเห็นหนังสือเล่มที่มีอยู่เก่ามากแล้ว


“พื้นฐานอีกแล้ว?”
 
“ทำไม หรือว่าองค์ชายทรงไม่ชอบหนังสือขอรับ”
 
“ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่ข้าชอบมหาศาสตร์กับทางสายกลางมากกว่า”
 
“หา?”
 
“ข้าต้องไปเอาของเสด็จแม่มาอ่านบ่อย ๆ ก็ไม่ค่อยสะดวก แต่ยังไงก็ต้องขอบใจในความมีน้ำใจของท่านด้วยละกัน”
 
“พ่ะย่ะค่ะ มหาศาสตร์กับทางสายกลาง เด็กคนนี้โม้เก่งซะด้วย”
 
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า ก็เหมือนฝ่าบาทไงพ่ะย่ะค่ะ” ขันที ทูล
 
“หะ?”
 
“นี่ ๆ เหมือนจะมีกายกรรมมานะ”
 
“องค์ชายอยากดูการแสดงใช่รึเปล่า?”
 
“อยากไปสิ”
 
“งั้นไปกันเลย”

พระเจ้าซุกจงพาองค์ชายกึม มาดูมวยปล้ำ องค์ชายกึมชวนพระเจ้าซุกจงให้ลงแข่งกับผู้ชนะ ขันทีรีบห้ามเพราะกลัวผิดธรรมเนียม แต่พระเจ้าซุกจงไม่ฟัง ลงแข่งจนสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ จากนั้นทั้งสองก็ชวนกันไปอาบน้ำที่ลำธาร

  
  

 


ทงอี ไปพบวูนเทค และใต้เท้าซอ บอกเรื่องที่องค์ชายกึมสามารถอ่านหนังสือของบัณฑิตได้
 
“ใต้เท้า ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง...” วูนเทค กล่าว
 
“ใช่แล้ว ถ้าองค์ชายเป็นอัจฉริยะก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีประการหนึ่ง แต่อีกด้านก็เป็นเรื่องที่น่ากังวล” ใต้เท้าซอ กล่าว
 
“ข้าถึงได้ ต้องรีบร้อนเชิญท่านทั้งสองมา  ถ้าพวกเค้ารู้ว่าองค์ชายมีความสามารถ เด็กคนนั้นอาจจะมีอันตรายก็ได้” ทงอี กล่าว
 
“แถมพระสนมยังประทับอยู่นอกวัง”
 
“พระสนม ก่อนอื่นก็ต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับพ่ะย่ะค่ะ”


“ใช่ อีกอย่างนึง ต้องรีบหาอาจารย์ที่จะมาทำการสอนองค์ชายด้วย”
 
“พระสนมทรงหมายถึง...”
 
“คือ...ไม่ทราบว่าท่านรู้จักท่านคิมกูซอน มั้ย”
 
“ท่านคิมกูซอนงั้นหรือ หรือว่าพระองค์ทรงหมายถึงยุนฮัก” ใต้เท้าซอ กล่าว
 
“ใช่ ท่านเข้าใจถูกแล้ว ถ้าเป็นคิมกูซอนอาจจะสอนองค์ชายได้ เพราะว่าตอนเด็กเค้าก็เป็นเด็กอัจฉริยะเหมือนองค์ชาย” วูนเทค กล่าว
 
“แต่เขาก็มักจะใช้ชีวิตสันโดษในป่า พระราชาเชิญเขามาเป็นขุนนางหลายครั้ง แต่เขารังเกียจการเมือง ไม่รับคนที่เกี่ยวข้องกับทางการมาเป็นลูกศิษย์ คนแบบนี้จะยอมมาถวายการสอนองค์ชายหรือพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าซอ กล่าว

วูนเทค ทูลทงอีว่า เพื่อนในสำนักเดียวกับตนก็เป็นลูกศิษย์ของท่านยุนฮัก จะพยายามติดต่อผ่านเพื่อนดู จากนั้นก็ทูลเสนอให้กราบทูลฝ่าบาทในเรื่องนี้ แต่ทงอีปฏิเสธ

“เพราะว่าฝ่าบาท ทรงพยายามที่จะลืมอดีตให้มากที่สุด ข้าไม่ควรทำให้พระองค์ต้องมานึกถึงข้ากับองค์ชายจนทำให้ พระองค์ต้องทนทุกข์พระทัยอีก ข้าคงทำอย่างนั้นไม่ลง”

 พระเจ้าซุกจง พาองค์ชายกึมไปว่ายน้ำ และสอบถามด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าจะประชวร


 “ไม่ใช่หรอก  ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่ท่านดูแลข้าแบบนี้ ทำให้ข้าอดนึกถึงเสด็จพ่อขึ้นมาไม่ได้ ก็อย่างที่ท่านรู้ ข้าเติบโตมาภายนอกวัง  ข้าเลยไม่มีโอกาสได้พบเสด็จพ่อเลยสักครั้ง  จริงสิ  ท่านเคยพบเสด็จพ่อของข้ารึเปล่า ท่านเป็นผู้ช่วยเจ้าเมืองนี่นา”

 “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเคยพบพระราชา”

 “จริงเหรอ ท่านเคยเห็นเสด็จพ่อใกล้ ๆ เหรอ เป็นยังไง เสด็จพ่อเป็นคนยังไงบ้างล่ะ? ข้าอิจฉาท่านจังเลย มีโอกาสได้พบเสด็จพ่อด้วย”

“องค์ชาย แล้วพระองค์ ไม่โกรธเสด็จพ่อหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 “หืม?”

“เพราะว่าเสด็จพ่อ ทรงทิ้งองค์ชายให้ต้องอยู่นอกวัง” พระเจ้าซุกจง ตรัส

 “ทิ้งอะไรกันไม่ใช่สักหน่อย เสด็จแม่บอกว่า เสด็จพ่อทำแบบนี้ก็เพื่อเสด็จแม่กับข้าน่ะ ท่านบอกว่าถึงคนทั้งโลกไม่เข้าใจ แต่ว่าข้าจะต้องเข้าใจในเรื่องนี้ ดังนั้นข้าถึงไม่เคยรู้สึกโกรธเสด็จพ่อ เพียงแต่ว่า พอข้าเห็นเสด็จแม่ต้องเศร้าเสียใจเพราะคิดถึงเสด็จพ่อ ข้าก็รู้สึกเศร้าไปด้วย จนป่านนี้เสด็จแม่ก็ยังคิดถึงเสด็จพ่ออย่างมากเลยนะ แต่เสด็จพ่ออาจจะ…ลืมเสด็จแม่กับข้าไปแล้วก็เป็นได้น่ะ”

 “ไม่จริงหรอก ไม่มีจริงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเชื่อว่า พระองค์จะต้องไม่เคยลืม พระสนมและองค์ชายเลยแม้แต่วันเดียว”

“เอาล่ะ ข้าคงต้องกลับไปแล้ว”

 “พ่ะย่ะค่ะ ค่อย ๆ เดินพ่ะย่ะค่ะ”


 “อ้อ ข้ามีนี่ ท่านรับไปสิ”

 “อะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ต้นโทราจี คือข้าเห็นท่านไอไม่ยอมหยุด  ข้าเลยปีนขึ้นเขาไปเก็บมา ตอนที่ท่านไปเปลี่ยนชุดน่ะ ทุกครั้งที่เป็นหวัด เสด็จแม่ก็จะเอาไปเก็บมาต้มให้ข้ากินเสมอ เอาล่ะ ข้าต้องขอตัวก่อนนะ” องค์ชายกึม ตรัส

พงซังกุง กลับมารายงานทงอีว่าวันนี้องค์ชายกึมไม่ได้ไปโรงเรียน ระหว่างนั้นองค์ชายก็กลับเข้ามาพอดี


“เจ้าหายไปไหนมาอีก ทำไมวันนี้ไม่ได้ไปโรงเรียน?”

 “คือลูกไป เอ่อลูกไปที่ คือ มีเรื่องนิดหน่อย  อ้อ ตอนหลังลูกก็ไปเจอท่านผู้ช่วยเจ้าเมือง”

 “ท่านผู้ช่วยเจ้าเมือง?”

 “พ่ะย่ะค่ะ ลูกก็เลยไปเที่ยวเล่นกับเค้าพ่ะย่ะค่ะ”

 “เข้าไปคุยกันข้างใน”

 “พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ นี่ไงเสด็จแม่”

 “แปลว่าท่านผู้ช่วยเจ้าเมืองคนนั้น ยังซื้อหนังสือกับผ้าห่อหนังสือพวกนี้ให้เจ้าหรือ?”

 “พ่ะย่ะค่ะแถมยังได้ไปดูการแสดงกายกรรม แล้วก็แข่งมวยปล้ำ เที่ยวสนุกมากเลยพ่ะย่ะค่ะ”

 “หา โอ้ย แย่แล้ว นี่ข้าเห็นอะไรเนี่ย นั่นมันพระราชาไม่ใช่เหรอ?” โฮยาง กล่าว

 พระมเหสีอินฮอน สงสัยเรื่องที่พระสนมฮีบินไม่ยอมให้หมอหลวงรักษาองค์ชายรัชทายาท  จึงคิดว่าต้องมีปัญหาอะไร จึงประกาศคัดเลือกพระชายารัชทายาท


 “คัดเลือกพระชายารัชทายาท ในที่สุดพระมเหสีก็…” พระสนมฮีบิน ตรัส

 “พระมเหสีเหมือนตั้งใจจะคัดเลือกชายาให้องค์รัชทายาทให้ได้” ฮีเจ กล่าว

 “พระสนม ตอนนี้พระอาการองค์รัชทายาทยังไม่ดีขึ้นเลย  แล้วถ้าเกิดความลับที่องค์รัชทายาทไม่สามารถให้กำเนิดทายาทได้ถูกเปิดเผย…” ยูน กล่าวทูน

 “ไม่มีทาง จะไม่มีวันเกิดเรื่องอย่างนั้น โชซังกุงอยู่รึเปล่า?”

 “เพคะพระสนม”

 “ข้าจะไปเฝ้าพระมเหสี เจ้าไปเตรียมตัวที”

 ฮีเจ ไปขอให้พวกขุนนางช่วยค้านเรื่องการคัดเลือกพระชายา ให้เหตุผลว่ามันเร็วเกินไป มูยอลสงสัยว่าต้องมีอะไรปิดบัง จึงสั่งให้มินลูกน้องไปสืบดูว่าเรื่องอะไร

 พระสนมฮีบิน มาเข้าเฝ้าพระมเหสีอินฮอน ก็พบว่าพระมเหสีกำลังพูดคุยเรื่องอภิเษก กับองค์รัชทายาท ถึงทูลขอให้เลื่อนการอภิเษกออกไปก่อน แต่พระมเหสีปฏิเสธ



 “ถ้างั้น ทำไมจะต้องให้ข้าพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ตอนนี้มีอะไรที่สำคัญไปกว่าการอภิเษกขององค์รัชทายาทอีกรึไง เรื่องพิเศษที่น่ายินดีอย่างนี้ ทำไมคนเป็นแม่อย่างเจ้า ถึงได้ถ่วงเวลาซ้ำแล้วซ้ำอีก”

 “รัชทายาททรงพระเยาว์เกินไปเพคะ ดังนั้นการอภิเษก เลื่อนไปก่อนได้มั้ยเพคะ”

“รัชทายาทมีพระชันษา ที่เหมาะสมกับการอภิเษกแล้ว  เจ้าลืมแล้วหรือ หลายเดือนก่อนข้าก็เพิ่งเลื่อนไปเพราะเจ้ามาขอ ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงได้คัดค้าน ไหนบอกมาสิ หรือว่ามีเหตุผลอะไรที่จำเป็นต้องทำแบบนี้”

 “จะมีเหตุผลอื่นได้ยังไง หม่อมฉันไม่มีเหตุผลอื่นเพคะ”

“งั้นหรือ ในเมื่อไม่มีเหตุผลอื่น การคัดเลือกพระชายาก็จะเป็นไปตามที่กำหนด ข้าตัดสินใจแล้ว  เจ้ากลับไปเถอะฮีบิน  ไหนบอกมาสิ หรือว่า มีเหตุผลอะไรที่จำเป็นต้องทำแบบนี้”
 
“หรือว่าพระมเหสี จะไปรู้เรื่องนั้นเข้าแล้ว” พระสนมฮีบิน คิดเมื่อออกมาจากตำหนัก
 
“องค์รัชทายาทจะต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ เจ้าไปตามหมอหญิงที่เป็นผู้ช่วยของหมอนัมมาที ข้าต้องการจะพบกับนาง  หาโอกาสที่ลับหูตาคนพานางมา” พระมเหสีอินฮอน สั่งจองกึม

วูนเทค เดินทางมาหายุนฮัก แต่ก็รู้จากลุงชาวบ้านว่าเค้าตายไปตั้งนานแล้ว


“จะเป็นไปได้ยังไง เมื่อไม่นานมานี้ข้ายัง...” วูนเทค กล่าว
 
“ฮึ่ย...” กูซอน กล่าว
 
“ลุงคนนั้นคงต้องเข้าใจอะไรผิดแน่เลย ประทับรอตรงนี้ก่อนดีกว่า กระหม่อมจะลองไปสอบถามดู” วูนเทค กล่าว
 
“งั้นก็ได้  กึม เรามารอตรงนี้กันดีกว่านะ” ทงอี กล่าว
 
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”
 
“โอ้ย” กูซอน ร้อง
 
“ท่านเป็นอะไรรึเปล่า” องค์ชายกึม ถาม
 
“กึม”
 
“ไม่เป็นไร” กูซอน กล่าว


“นี่ขอรับจอบของท่าน โอ๊ะ นี่เป็นบทในคัมภีร์ทางสายกลางนี่” องค์ชายกึม ถาม
 
“เอ๊ะ ทำไม เจ้ารู้จักด้วยรึ?” กูซอน ถาม
 
“จริงใจคือที่สุดแห่งสรรพสิ่ง ไม่จริงใจก็ไร้ทุกสิ่ง ดังนั้นสุภาพชนพึงถือความจริงใจ แปลว่าความจริงใจ เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นจุดสิ้นสุด หากไม่มีความจริงใจ ก็จะไม่เหลืออะไร ดังนั้นสุภาพชนควรเห็นค่าความจริงใจ ใช่รึเปล่าขอรับ?”
 
“ท่านอาจารย์ ที่แท้ท่านก็คืออาจารย์ยุนฮักนี่เอง” ทงอี กล่าว

วูนเทคสอบถามอาจารย์ยุนฮัก เรื่องถวายการสอนองค์ชายกึม
 
“ข้าก็บอกแล้วไงว่า คน ๆ นั้นเค้าตายไปตั้งนานแล้ว”
 
“ท่านอาจารย์”
 
“พระองค์คงมาเสียเที่ยวแล้วพ่ะย่ะค่ะ แม้จะมีพระปรีชาจนน่ายกย่อง แต่กระหม่อมไม่เคยรับคนที่เกี่ยวข้องกับราชสำนักมาเป็นศิษย์”
 
“แต่ว่าตอนนี้เด็กคนนั้นยังไม่สะดวกจะไปหาอาจารย์คนอื่น ท่านจะลองพิจารณาอีกครั้งไม่ได้หรือคะ?” ทงอี กล่าว
 
“พ่ะย่ะค่ะ ขอประทานอภัยแต่ปัญหาขององค์ชาย กระหม่อมคงไม่สามารถจะช่วยได้”
 
“ข้าเข้าใจแล้วล่ะ ต้องขอโทษที่มารบกวนท่าน เรากลับกันเถอะท่าน วูนเทค” ทงอี กล่าว

วูนเทค ทูลถามทงอีว่าทำไมถึงยอมแพ้ง่ายอย่างนี้


“ยอมแพ้ง่าย ๆ เจ้าไม่รู้จักข้ารึไง  ข้าน่ะคือหมาพงซานนะ”
 
“หา?”
 
“ตอนที่เล่าปี่ไปเชิญขงเบ้ง  ยังต้องไปเชิญถึงสามครั้ง”
 
“แปลว่า  พระสนมคิดจะมาเชิญสามครั้งหรือพ่ะย่ะค่ะ?”  
 
“ข้าไม่ได้เป็นวีรบุรุษเหมือนอย่างท่านเล่าปี่ สามครั้งจะพอได้ยังไงกัน จากนี้ไปท่านอาจารย์คงไม่ได้อยู่อย่างสงบอีกต่อไปแล้วล่ะ จริงสิ ข้ามีเรื่องอยากจะถามท่าน ท่านรู้มั้ยว่าผู้ช่วยเจ้าเมืองฮันยางปัจจุบันนี้เป็นใคร?”

ทงอีไปหาผู้ช่วยเจ้าเมืองเพื่อสอบถามเรื่องที่ไปพบองค์ชาย แต่ได้รับการปฏิเสธว่าคนที่พบองค์ชายไม่ใช่ตน ทำให้ทงอีสงสัยมากขึ้น ด้านนายหญิงยูนแม่ของสนมฮีบิน รู้เรื่องพระเจ้าซุกจงปลอมตัวไปที่บ้านพักของพระสนมซุกวอน และแอบพบกับองค์ชายน้อย จากปากของพัค ก็ไปจ้างให้คนไปวางเพลิงที่บ้านหวังให้ตายทั้งคู่

“เขาเป็นใครกันนะ  ใครปลอมตัวมาเป็นผู้ช่วยเจ้าเมืองเพื่อเข้าใกล้กึม คนตำหนักชีซอนเหรอ? นั่นพงซังกุงเหรอ  นั่นใครอยู่ข้างนอกน่ะ พงซังกุงเหรอ? นั่นใครอยู่ข้างนอกน่ะ พงซังกุง เอจอง กึม กึมตื่นขึ้นมาเร็วเข้า กึม กึมตื่นขึ้นมาเร็วลูก”



“เสด็จแม่”
 
“กึมรีบตื่นขึ้นมา เราต้องรีบออกไปจากที่นี่ กึม” ทงอี กล่าวหลังจากมีเพลิงไหม้บ้านพัก
 
“แค่ก ๆ  ข้าหายใจไม่ออกเสด็จแม่”
 
“กึมอดทนหน่อยนะลูก อดทนหน่อย   โอ๊ย ร้อน”
 
“แค่ก ๆ ๆ เอจอง ๆ เอจองตื่นเร็ว เอจอง ไฟไหม้แล้ว ไฟไหม้” พงซังกุง กล่าว
 
“ทำยังไงดี โอ๊ยร้อน ท่านซังกุง ทำไง”เอจอง กล่าว

ทงอี และ องค์ชายกึม หนีออกมาได้ แต่องค์ชายสูดควันไฟจนหมดสติ ด้านพระเจ้าซุกจงเมื่อรู้ว่าบ้านทงอีไฟไหม้ก็ตกพระทัย รีบมาที่บ้านพักของทงอี



 “ซุกวอนล่ะ องค์ชายอยู่ที่ไหน?”
 
“เฮ้อ..ฝ่าบาท ฝ่าบาท เสด็จมาที่นี่ได้ยังไงเพคะ ทำไมถึง..” ทงอี กล่าวทูล
 
“เจ้าจริง ๆ เจ้าใช่มั้ยทงอี มันเป็นความจริง เจ้ายืนอยู่ตรงหน้าข้า”
 
“ฝ่าบาท”

กลางดึก พระสนมฮีบิน บรรทมไม่หลับ ยองซอน เข้ามาทูลเรื่องที่พระเจ้าซุกจงเสด็จไปพบทงอี  


“หะ เจ้าพูดว่าอะไรนะ  เจ้าว่าพระราชา  เสด็จไปไหนนะ?”
 
“เกิดไฟไหม้ที่ประทับพระสนม ก็เลยต้องย้ายไปตำหนักอื่นของราชวงศ์ และพระราชาก็เสด็จไปหาแล้ว”
 
“เจ้าว่าอะไรนะ  พูดมาให้รู้เรื่องสิ เจ้าบอกว่าพระราชาทรงทำอะไร  เสด็จไปพบสนมซุกวอนอย่างนั้นรึ นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน?”

ทงอีเห็นทหารมาคอยยืนอารักขาความปลอดภัย จึงสงสัยและสอบถามว่าใครเป็นคนสั่งมา

“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?  เป็นรับสั่งของพระราชางั้นรึ พระราชาทรงรับสั่งให้พวกเจ้าคอยมาคุ้มครองที่นี่ทุกวันรึ”

“พ่ะย่ะค่ะ เป็นอย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ พระองค์รับสั่งว่า อย่าให้มีใครรู้โดยเด็ดขาด ให้คุ้มครองความปลอดภัยของพระสนมกับองค์ชายไว้ ดังนั้น หกปีที่พระสนมออกจากวังมา ไม่ว่าพระสนมหรือองค์ชายจะเสด็จไปที่ไหน หรือว่าทำอะไร พวกกระหม่อมก็จะคอยเฝ้าอารักขาอยู่เสมอ  เหตุเพลิงไหม้เป็นความบกพร่องของกระหม่อม ถ้ามาช้าอีกนิดเดียว คงจะเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่ ทุกอย่างเป็นความผิดของกระหม่อมเอง ขอพระสนมโปรดประทานอภัยด้วย”


“สุดท้ายข้าก็..ทำให้เจ้าถูกทำร้ายอีกจนได้ ข้าผิดเอง ข้าทำให้เจ้าต้องบาดเจ็บ ข้าควรจะปกป้องเจ้าให้ดีที่สุด ข้าก็ไม่อยากให้เจ้ากับองค์ชาย ต้องพบเจออันตรายใด ๆ อีกแล้ว” พระเจ้าซุกจง ตรัส

“เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงกันเพคะ ทำไมถึงได้ส่งทหารมา”

“เจ้าคิดว่า ข้าจะทิ้งเจ้าได้เหรอ เจ้าคิดว่าข้าตัดใจจากเจ้าได้หรือ หรือว่า เจ้าตัดข้าจากใจได้ แม้แต่วินาทีเดียว ข้าก็ไม่เคยปล่อยเจ้าไปเลย ข้าอยากที่จะได้ยิ้ม ได้หัวเราะกับเจ้า  ได้เฝ้ามองดูลูก ของเราที่เติบโตขึ้นทุกวัน  ข้าเฝ้าแต่ คิดอย่างนี้อยู่ทุกวัน  จะไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว ข้าจะได้เห็นเจ้าจริง ๆ และได้อุ้มลูกเอาไว้ในอ้อมกอด”

“ฝ่าบาท..”

“กลับวังกันเถอะนะทงอี กลับไปพร้อมองค์ชาย ไปสู่ฐานันดรของเจ้า ให้ลูกกลับไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่”

“ฝ่าบาท ทำไมถึงได้ตรัสอย่างนั้นเพคะ  ให้หม่อมฉันกลับวังรึ  ทำแบบนั้นไม่ได้เพคะ  ฝ่าบาทจะทรงถอนสิ่งที่เคยรับสั่ง ถอนราชโองการได้ยังไง ฝ่าบาทก็น่าจะรู้ว่าผลเป็นยังไง”

“แล้วเจ้ารู้รึเปล่าว่า หลายปีที่ผ่านมาข้ามีชีวิตยังไง ข้าอดทนมาได้ยาวนานขนาดนี้ เพราะยังมีโอกาสที่จะกอบกู้ทุกอย่างได้ ขอแค่อดทนหกปี ทั้งเจ้า และลูกของข้า ข้าจะมีโอกาสได้พวกเจ้าคืนมา”

“ฝ่าบาท”

ขุนนางและเสนาบดี ต่างทราบข่าวเรื่องพระเจ้าซุกจงเสด็จออกไปพบพระสนมซุกวอน ก็ไม่เห็นด้วยเดินทางไปขอเข้าเฝ้า


“ฝ่าบาท ได้ยินว่าเมื่อคืนได้เกิดเรื่องไม่เหมาะบางประการขึ้น ฝ่าบาททรง...”

“ช้าก่อน เพราะก่อนอื่น ข้ามีเรื่องต้องบอกกับท่านทุกคนก่อน ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ข้าก็แค่จะประกาศราชโองการ แต่ในเมื่อทุกท่านมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ข้าจะประกาศให้พวกท่านรู้เลยก็ได้  บางทีพวกท่านอาจจะได้ยินกันมาแล้ว ว่าองค์ชายที่ประทับอยู่นอกวัง มีอายุเจ็ดขวบแล้ว  และเป็นที่ทราบกันว่า องค์ชายในวัยนี้จำเป็นจะต้องได้รับการศึกษาจากวังหลวง ดังนั้นข้าจะทำตามธรรมเนียมราชวงศ์ จะรับองค์ชายและพระมารดา กลับพระราชวัง ให้องค์ชายได้รับการศึกษาตามแบบที่เชื้อพระวงศ์ควรได้รับ”

“ฝ่าบาท  จะทรงรับองค์ชายและพระสนมซุกวอนกลับวัง เช่นนี้..”

“ข้ายังพูดไม่จบนะท่านเสนา..รู้มั้ยว่านี่อะไร เมื่อคืนนี้มีคนลอบปลงพระชนม์พระสนมกับองค์ชาย ด้วยการปิดประตูวางเพลิง โดยใช้เจ้าของสิ่งนี้ ในตอนนี้ ข้าอยากจะถามพวกท่านหน่อย ข้าไม่เคยมีคำสั่งประหารพระสนมซุกวอน และไม่เคยมีคำสั่งว่า ไม่ให้ได้ศึกษาตามธรรมเนียม ดังนั้น ขณะที่ชีวิตของโอรสข้า และสนมซุกวอนกำลังถูกคุกคามอยู่ในอันตราย พวกท่านจะยังไม่ให้พาพวกเค้ากลับวังได้อีกรึ ถ้างั้น เอาอย่างนี้กันดีมั้ย ข้าทำตามที่พวกท่านต้องการ ปล่อยให้พระสนมกับองค์ชายอยู่นอกวัง แต่ถ้าเกิดอันตรายแม้แต่นิดเดียวกับทั้งสองคน ตอนนั้นข้าจะมีคำสั่งให้ประหารชีวิตขุนนางในที่นี้ทุกคนซะ”

อึนกึม นำเรื่องที่พระสนมซุกวอน จะได้กลับเข้าวังหลวงมาบอกกับจองอิม นางบอกว่าเพิ่งได้รับราชโองการ เหล่าซังกุงดีใจที่ทงอีจะได้กลับมาที่วังหลวง

ด้านอันเข้ามาทูลเรื่องทงอีให้พระมเหสีอินฮอนทราบ  


“ข้าบอกแล้วว่าสักวันนึง  พระองค์จะต้องรับ พระสนมซุกวอนกลับวังมาแน่”

“ท่านแม่ทัพองครักษ์ก็บอกว่า  ที่พระองค์ทรงเงียบมาตลอดก็เพื่อรอวันนี้  ใต้เท้าเองก็เพิ่งจะรู้พระทัยของพระราชาพ่ะย่ะค่ะพระมเหสี” วูนเทค ทูล

“แต่ข้าคิดว่า ตำหนักชีซอนกับฝ่ายใต้ต้องไม่ยอมง่าย ๆ แน่  ในครั้งนี้กลุ่มตะวันตกจะต้องช่วยเป็นแรงหนุนให้ซุกวอนด้วย”

“ได้พ่ะย่ะค่ะ  เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหา”

“ข้าอยากพบซุกวอนเร็ว ๆ จัง ข้าดีใจจนแทบจะทนรอไม่ไหวแล้วเนี่ย” พระมเหสี ตรัส

ทงอีได้พบกับใต้เท้าซอ ก็บอกเรื่องที่ตนเองกังวล


“หมายความว่ายังไงกันพระสนม ทำไมการกลับวังถึงทำให้ทรงรู้สึกกลัวล่ะ หรือว่าเป็นเพราะเรื่องขององค์ชาย พระสนม”

“องค์ชาย อาจต้องพบเจอบางอย่างหลังเข้าวัง มันเป็นเรื่องน่ากลัว ใต้เท้าก็น่าจะรู้ดีนี่ ความสามารถของเค้า..”

“พระองค์คิดจะหนีหรือพ่ะย่ะค่ะ ทรงคิดว่าเรื่องแบบนี้จะหนีกันได้หรือ?  ต่อให้ประทับอยู่ที่นั่น ก็ไม่มีทางซ่อนองค์ชายไว้ได้ตลอดไป สักวันนึงพวกเค้าก็จะต้องรู้ความสามารถอันน่าตกใจขององค์ชาย  เมื่อนั้น  องค์ชายก็จะมีอันตรายมากกว่านี้”

“เรื่องนั้นข้ารู้ดี  ข้ารู้ดีกว่าใครทั้งนั้นแหละ  ดังนั้นข้าถึงได้รู้สึกกลัวมัน  กลัวชะตาชีวิตของเค้า  กลัวในหนทางที่องค์ชายจะต้องเดินไป สิ่งที่เค้าต้องพบเจอ คงสุดที่จะคาดเดาได้เลย” ทงอี กล่าว

องค์ชายกึมดีใจเมื่อรู้ว่าจะได้กลับเข้าวังหลวงจากพงซังกุง


“ดีใจมากเลยหรือ การได้กลับวังหลวง  มีความสุขมากเหรอ?” ทงอี ถาม

“แหงล่ะเสด็จแม่ แล้วเสด็จแม่ไม่ดีพระทัยเหรอ ลูกน่ะดีใจจนตัวแทบจะลอยอยู่แล้ว ลูกฝันว่า เสด็จพ่อมาหาลูก  แถมในฝันเสด็จพ่อยังลูบหัวให้แถมยังจับมือของลูกเอาไว้ไม่ยอมปล่อยด้วย พอตื่นขึ้นมา ถึงรู้ว่าเป็นแค่ความฝัน ลูกก็เลยเสียใจ แล้วก็นั่งร้องไห้อยู่เลย นึกไม่ถึง นึกไม่ถึงว่า ตอนนี้ลูกจะได้เข้าเฝ้าเสด็จพ่อจริง ๆ แล้ว

ด้านจางฮีเจไม่พอใจที่พระเจ้าซุกจงจะพา ทงอี และองค์ชายกลับเข้าวังหลวง


“บ้าเอ๊ย เรื่องนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด พระราชาเล่นตะแบงแบบนี้ได้ไง”

“แต่ตอนนี้ ไม่มีสิทธิค้านองค์ชายจะกลับวังมารับการศึกษา อีกอย่างพระราชายังทรงมีข้ออ้างจากเหตุการณ์เมื่อคืนนี้อยู่อีกด้วย” มูยอล กล่าว

“ข้าถึงได้บอกไงล่ะว่าทำไมต้องเป็นตอนนี้  ทำไมต้องเป็นตอนที่องค์รัชทายาท..”

“พี่ชายคะ พี่ชายคะ ร่างหนังสือส่งไปให้ขุนนางฝ่ายใต้  พระราชาจะเอาชีวิตพวกเค้าชดใช้รึ? ข้าต้องการให้พวกเค้าคัดค้านเรื่องนี้ถึงที่สุด โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เข้าใจรึเปล่า?” พระสนมฮีบิน ตรัส

ทงอี คิดทบทวนถึงคำพูด ของชอนซู และ ใต้เท้าซอ แล้วการจะหนีไม่ใช่ทางออก จึงตัดสินใจจะกลับวังหลวง



“เฮ้อ ก็ได้จ้ะกึม พวกเราจะกลับวังที่เสด็จพ่อประทับ กลับไปด้วยกัน  แล้วแม่จะปกป้องเจ้าเอาไว้เอง ไม่ว่าจะพายุ หรือว่าไฟแผดเผา  แม่ก็จะคอยเป็นกำบังให้กับเจ้าเอง  เชื่อใจแม่เถอะนะกึม แม่จะไม่มีวันยอมเสียเจ้าไปแน่ ขอแค่สามารถปกป้องเจ้าได้ ขอแค่คุ้มครองชีวิตเจ้าได้  ไม่ว่าต้องทำอะไร แม่ก็จะทำทุกอย่าง”


* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี

หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่  (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา