วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ตอนที่ 47



ทงอีกับกึมกลับมายังวังหลวง กึมได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์ชายยอนอิง ส่วนทงอีได้รับการเลื่อนขั้นเป็นพระสนมขั้นที่สองนามซุกอึย เมื่อกึมรู้ความจริงว่าผู้ช่วยเจ้าเมืองก็คือพระบิดา จึงตกใจจึงวิ่งหนีไปหลบซ่อน จนพระเจ้าซุกจงต้องวางแผนหลอกให้ออกมา

เนื้อเรื่อง:



แม้จะถูกต่อต้านจากขุนนางว่าทงอีเป็นนักโทษมีความผิดไม่ควรให้กลับเข้าวัง แต่พระเจ้าซุกจงไม่ฟังคำทัดทานและว่าที่ผ่านมาทงอีไปใช้ชีวิตนอกวังซึ่งถือว่าได้ชดใช้ความผิดแล้ว หากใครยังคัดค้านจะถือว่ามีความผิด ในที่สุดทงอีและองค์ชายก็ได้กลับเข้าวัง โดยพระเจ้าซุกจงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งกึม ขึ้นเป็นองค์ชายยอนอิง ส่วนทงอีได้รับการเลื่อนขั้นเป็นพระสนมขั้นที่สองนามซุกอึย สร้างความแค้นใจให้กับพระสนมฮีบินเป็นอย่างมาก

“ซุกวอน ไม่สิ ข้าต้องเปลี่ยนไปเรียกว่าสนมซุกอึยแล้ว เพราะพระราชากำลังจะแต่งตั้งเจ้าเป็นพระสนมซุกอึย” พระมเหสีอินฮอนกล่าว เมื่อทงอีมาเข้าเฝ้า


“แต่งตั้งเป็นสนมซุกอึยหรือ?”
    
“ใช่จ้ะ นี่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ อีกอย่างองค์ชายก็จะได้รับแต่งตั้งอิสริยยศเป็นกุน เห็นครั้งแรกก็รู้สึกได้แล้วว่าเค้าเป็นเด็กฉลาดมาก เจ้าเลี้ยงดูองค์ชายได้อย่างดีแบบนี้ ข้าไม่รู้ว่าจะแสดงความขอบคุณเจ้ายังไงจริง ๆ แต่ว่า จากนี้ไปต่างหากที่จะสำคัญ ข้าเชื่อว่าเจ้าก็คงรู้ดีว่าเหตุการณ์นี้ จะทำให้พระสนมฮีบินรู้สึกยังไงบ้าง?”

“เพคะพระมเหสี หม่อมฉันทราบเพคะ คนที่วางเพลิงที่พักหม่อมฉันเพื่อจะฆ่าองค์ชาย ก็น่าจะเป็นฝีมือพวกเค้า การเข้ามาในวัง จะทำให้องค์ชายต้องพบเจอกับเรื่องอะไรบ้าง ยิ่งโตขึ้นองค์ชายก็จะยิ่งมีอันตรายมากขึ้นเท่านั้นเพคะ แต่ว่าหม่อมฉันไม่มีทางมองดูทุกอย่างอยู่เฉย ๆ แน่ ไม่ว่าจะต้องทำอะไร หม่อมฉันก็ต้องปกป้ององค์ชายให้ได้”

“นั่นสิ ต้องทำให้ได้ ข้าก็จะช่วยเจ้าอีกแรงนึง ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับองค์ชายยอนอิง ข้าจะปกป้องไว้เอง”

พระเจ้าซุกจงดีพระทัยมากที่ทงอีและองค์ชายเข้ามาอยู่ในวังแล้วจึงเสด็จไปหา



“เด็กน้อย ๆ มาตั้งแต่เมื่อไหร่หา”

องค์ชายยอนอิงแปลกใจมาก “เอ๊ะ นี่ท่านผู้ช่วยเจ้าเมืองนี่”
    
“เอ๊ะ อ้อ พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” พระเจ้าซุกจงรีบตรัส เพราะที่ผ่านมาองค์ชายยอนอิงทราบเพียงว่าพระราชาเป็นผู้ช่วยเจ้าเมือง
    
“ท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ ท่านมาหาข้า เหรอ”
    
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย กระหม่อมได้ยินว่าองค์ชายเสด็จเข้าวังมา กระหม่อมก็เลยรีบแจ้นมาเข้าเฝ้า”
    
“ขอบใจนะ ที่จริงเมื่อกี้ข้าก็กำลังนึกถึงท่านพอดี อีกเดี๋ยว ก็จะได้พบกับเสด็จพ่อข้าแล้ว แต่ข้ากังวลใจจัง” กึมหน้าเครียด
    
“กังวลพระทัย เรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
    
“เมื่อกี้ข้าสอบถามนางในในตำหนัก นางบอกว่าเสด็จพ่อดุอย่างกับเสือแน่ะ ข้ากลัวจัง ว่าถ้าข้าทำอะไรผิดไป หรือทำให้ผิดหวังจะถูกเสด็จพ่อกริ้ว”
    
“อย่างนี้เองน่ะเหรอ ถูกตำหนิเหรอ คิด ๆ ไปแล้วก็อาจจะเป็นไปได้เหมือนกันนะพ่ะย่ะค่ะ เหมือนที่องค์ชายว่า พระราชาเป็นคนที่น่ากลัวมาก ๆ เลย แต่องค์ชายก็ยังกล้าตวาดต่อหน้าฝ่าบาท แถมยังออกคำสั่งกับพระองค์อีกด้วย แถมไม่ใช่แค่นั้นนะ องค์ชายยังให้พระราชาไปเล่นมวยปล้ำจนถูกโยนกลิ้งอยู่ข้างถนน แถมยังลากพระองค์ลงไปเล่นน้ำด้วย เฮ้อ กระหม่อมว่าคราวนี้องค์ชายอาจจะแย่ซะแล้วล่ะ” พระราชาตรัสยิ้ม ๆ 

“เมื่อกี้นี้ท่านพูดเรื่องอะไรน่ะ เสด็จพ่อเล่นมวยปล้ำไปเล่นน้ำที่น้ำตก หมายความว่ายังไง?” องค์ชายยอนอิงแปลกใจมาก
    
“เอ่อ ก็คือว่า” พระราชาอึกอักไม่กล้าบอกที่ปลอมพระองค์ไปเล่นกับองค์ชายเป็นประจำ เป็นเวลาเดียวกับทงอีมาพอดี


“เจ้ามาแล้วเหรอ  ทงอี”

“ฝ่าบาทนี่อะไรกันเพคะ ฉลองพระองค์อย่างนี้ แล้วตรัสกับองค์ชาย...”

“เสด็จแม่ นี่ท่านพูดเรื่องอะไรอยู่ ทำไมถึงเรียกคนคนนี้ว่าฝ่าบาทล่ะ? ก็เค้าเป็นผู้ช่วยเจ้าเมืองนี่..” องค์ชายยอนอิงยิ่งแปลกใจ

“กึม นี่เจ้าพูดเรื่องอะไรหา ฝ่าบาท เค้ากำลังพูดอะไรเหรอ”

“ก็นั่นน่ะสิ เด็กคนนี้ชอบเรียกข้าว่าผู้ช่วยเจ้าเมือง เหมือนเจ้าเมื่อก่อนไม่มีผิด” พระราชาทรงยิ้มน้อย ๆ

ทงอีตกใจ “หา ถ้าอย่างนั้นผู้ช่วยที่กึมเคยเจอตอนนั้น”

“ใช่แล้ว ข้าเอง”

“ปะ แปล แปลว่าท่านไม่ใช่ผู้ช่วยเจ้าเมืองใช่มั้ย ถ้า ถ้างั้น ท่าน ท่านก็เป็น” องค์ชายตกใจมาก

“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย กระหม่อมเป็นพระราชาเอง เป็นเสด็จพ่อขององค์ชายไง”

พอพระเจ้าซุกจงตรัสจบ องค์ชายยอนอิงถึงกับวิ่งไปหลบ สร้างความตกใจให้กับพระเจ้าซุกจงและทงอีมาก

“ฝ่าบาท นี่มันเรื่องอะไรกันเพคะ ฝ่าบาทปลอมตัวเป็นผู้ช่วยเจ้าเมือง ไปเจอเด็กคนนั้นจริงจริงเหรอ?”

“ก็ มันก็แบบว่า เพราะว่าข้าคิดถึงเค้ามากนี่นา ที่ ที่จริง ข้าก็ไม่ได้จะให้เป็นอย่างนี้ ข้าไปตรวจราชการลับนอกวัง ก็เลยแต่งตัว แต่จะว่าไป เด็กคนนั้นดูจะตกใจมาก จะทำยังไงดีเนี่ย?” พระเจ้าซุกจงเป็นกังวลมาก

บรรดาข้าหลวงออกตามหาองค์ชายยอนอิงแต่ก็ไม่พบ ทงอีและพระเจ้าซุกจงก็ออกตามด้วยเช่นกัน ทงอีบอกว่าองค์ชายคงกลัวที่ลบหลู่พระเจ้าซุกจงและกลัวความผิดจึงไม่กล้าออกมา  พระเจ้าซุกจงบอกว่าไม่ได้กริ้วองค์ชายสักนิด  แต่ที่ปลอมพระองค์ไปพบองค์ชายเพราะคิดถึงและอยากเจอองค์ชายมาก ยิ่งเวลาได้อยู่กับองค์ชายยิ่งมีความสุข ทงอีถามว่าพระราชาไม่ลงโทษองค์ชายหรือที่เสียมารยาทกับพระองค์ พระราชาบอกว่าครั้นตอนที่เจอกับทงอี  ทงอีถึงกับเหยียบหลังพระองค์เพราะความไม่รู้ ซึ่งก็เหมือนกับที่เจอองค์ชายครั้งแรก



องค์ชายซึ่งหลบอยู่แถวนั้นได้ยินที่พระเจ้าซุกจงตรัสเช่นกัน และยอมเปิดเผยตัว

“เจ้าตัวแสบ ตามหาอยู่ตั้งนาน ที่แท้ก็มาหลบอยู่ที่นี่”

“ตอนนั้นลูกจำเสด็จพ่อไม่ได้ แถมยังเสียมารยาทไปด้วย อย่างนี้แล้ว เสด็จพ่อจะไม่ผิดหวังในตัวลูกหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ผิดหวังอะไร ข้าจะผิดหวังกับเจ้าที่น่ารักอย่างนี้ได้ไง  กึม ยังจำที่พ่อพูดที่ลำธารคราวก่อนได้มั้ย ว่าพ่อไม่เคยลืมเจ้ากับแม่ไปเลยแม้แต่วันเดียว เจ้าลืมไปแล้วเหรอ ดังนั้นกึม ไหนลองเรียกเสด็จพ่อให้ฟังหน่อยสิ เจ้ารู้มั้ยว่าพ่ออยากได้ยินเจ้าเรียกมากแค่ไหน”

“เสด็จพ่อ”

พระเจ้าซุกจงแย้มสรวล “ดีมาก ไหนพูดใหม่สิ พูดให้พ่อฟังอีกสักทีสิ”

“เสด็จพ่อ”

“เยี่ยมเลย กึม ฮะ ๆ ๆ ดีมาก ดีมากกึม ลูกรักของข้า ลูกกึมของพ่อ ฮะ ๆ ๆ ๆ”

พระราชาประทับอยู่ที่ตำหนักโคบยองจนกระทั่งองค์ชายหลับไป



“ชู่ว์ เค้าเพิ่งจะหลับไปเมื่อกี้ ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าจะมากล่อมลูกเข้านอนทุกวันเลย  หกปีมานี้ อะไรที่ข้าอยากจะทำให้เค้า ข้าจะทำให้เค้าจริง ๆ แล้ว”

“เพคะฝ่าบาท ความจริงแล้วเค้าเหมือนฝ่าบาทไม่มีผิดเลย หม่อมฉันถึงได้เข้มแข็งและอยู่มาถึงวันนี้ก็เพื่อลูกคนนี้ ทุกครั้งที่มองหน้าของเค้า ก็เหมือนได้เห็นพระพักตร์ฝ่าบาท”

“ทงอี ไม่ว่าจะเป็นมือคู่นี้ของเจ้า หรือว่ามือของลูก ข้าจะไม่ปล่อยไปอีกแล้ว ข้าได้สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของข้าคืนมาแล้ว ทั้งเจ้ากับลูก ข้าจะไม่ยอมเสียไปอีกเป็นอันขาด” พระราชาตรัสอย่างหนักแน่น

พระสนมฮีบินมาพบพระมเหสีอินฮอนและทงอี และพูดค่อนขอดเรื่องที่ทงอีมีความผิดติดตัว แต่ยังกลับมาชูคอในวังได้อีก แต่ทงอีตอกกลับบอกว่านางทราบเรื่องที่พระสนมฮีบินมีส่วนวางแผนให้พระราชาไปพบนางตอนที่ช่วยเหลือหัวหน้ากลุ่มคอมเก และในอดีตพระสนมฮีบินก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการป้ายสีจนทำให้พ่อและพี่ชายของนางต้องถูกฆ่า


“หม่อมฉันแค่ จะบอกท่านว่าคนที่ผิดไม่ใช่หม่อมฉัน แต่ว่าเป็นท่านต่างหากพระสนม ดังนั้นขอให้พระสนมจำเอาไว้ให้ดี หม่อมฉันไม่เคยลืม และขอให้จำเอาไว้ ว่าหม่อมฉันจะไม่ยอมสูญเสียสิ่งมีค่าไปเพราะท่านอีกแล้ว” ทงอีพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

ทงอีอยากให้ยุนฮักคิมกูซอนผู้รอบรู้มาสอนวิชากับองค์ชายยอนอิงเป็นการส่วนตัวจึงไปขอประทานอนุญาตจากพระราชา พระราชาบอกว่าคงไม่ง่ายนัก ขนาดพระองค์เชิญให้กูซอนมาเป็นขุนนางหลายครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธมาโดยตลอด ทงอีบอกอยากลองดู พระราชาซุกจงจึงอนุญาต

ทงอีพาองค์ชายยอนอิงมาหากูซอน แต่กูซอนก็ปฏิเสธอีกและขอให้ทงอีอย่ามาหาเขาอีก ทงอีรับปาก แต่กลับทิ้งองค์ชายไว้กับกูซอน โดยต้องการให้องค์ชายรู้จักเอาชนะใจกูซอนด้วยตนเองและยินดีรับเป็นลูกศิษย์



“หา นี่พวกเค้ากลับไปแล้ว แล้วทิ้งองค์ชายไว้ที่นี่องค์เดียวหรือพ่ะย่ะค่ะ” กูซอนตกใจมาก

“ใช่” องค์ชายตอบ

“แต่ตอนนี้องค์ชายเพิ่งจะเจ็ดชันษา ทำไมทิ้งไว้คนเดียว”

“เพิ่งเจ็ดขวบอะไรกัน ลูกผู้ชายเจ็ดขวบก็เป็นหนุ่มใหญ่แล้วท่านอาจารย์”

องค์ชายยอนอิงแสดงฉลาดหลักแหลมให้กูซอนเห็น แม้การกระทำจะแสร้งทำเป็นรำคาญองค์ชายที่ทำอะไรไม่เคยถูกใจ แต่กูซอนก็แอบชื่นชมองค์ชาย องค์ชายนำเรื่องราวมาเล่าให้ทงอีฟัง ทงอีก็พยายามสอนหลักการต่าง ๆ ให้องค์ชายอยู่เสมอ


“ท่านอาจารย์เป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากคนนึงเชียว ถ้าเจ้าเรียนรู้ทุกการกระทำและคำพูดของท่าน เจ้าก็จะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างท่าน จำเอาไว้ให้ดีนะ”

“พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”

“อีกอย่างนึงนะกึม ก่อนเข้าโรงเรียนราชวงศ์ แม่มีเรื่องอยากกำชับเจ้าเรื่องนึง”

“พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่  เรื่องอะไรเหรอ?”

“เจ้าจะต้องรักษาสัญญา เจ้ารับปากแม่ได้มั้ย”

องค์ชายตกใจมากที่ทงอีบอกให้พระองค์แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจตำราพื้นฐาน ทั้งที่องค์ชายหลับตาท่องตำรายังได้ ทงอีบอกว่าเรื่องนี้อาจเป็นอันตรายต่อองค์ชายเอง

พระมเหสีอินฮอนได้รับรู้ความลับว่าองค์ชายรัชทายาทลียูนหย่อนสมรรถภาพ ไม่สามารถสืบสกุลได้ ซึ่งพระสนมฮีบินรู้เรื่องนี้ดีและพยายามหายามารักษาลูกชายและปิดเรื่องนี้เป็นความลับ เพราะกลัวตำแหน่งรัชทายาทจะสั่นคลอน จึงสั่งให้สืบเรื่องนี้อย่างลับ ๆ



ขณะที่องค์ชายยอนอิงก็แสร้งทำเป็นเรียนไม่ค่อยรู้เรื่องตามที่ทงอีแนะนำ ข่าวนี้แพร่สะพัดไป ทำให้พระสนมฮีบินและฮีเจคิดว่าองค์ชายยอนอิงเป็นเด็กโง่ ไม่มีคุณสมบัติมาแทนที่ตำแหน่งรัชทายาท ทำให้ไม่มีเหตุผลที่สนมฮีบินคิดทำร้ายองค์ชายยอนอิง

สำนักรัชทายาทกำหนดจัดงานเลี้ยงฉลองจบตำรากับวันสอบกลางภาคเป็นวันเดียว กัน ซึ่งองค์ชายรัชทายาทและองค์ชายยอนอิงจะต้องเข้าร่วมพิธีด้วย งานนี้พระราชาก็เสด็จมาทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองด้วย

“งานเลี้ยงจบตำรา จัดขึ้นในวันเดียวกับการสอบกลางภาค ถือว่าไม่ธรรมดาจริงจริง หึ ๆ ๆ วันนี้องค์รัชทายาทถือเป็นแบบอย่างในการศึกษาที่ดีอย่างยิ่ง หวังว่าราชนิกูลทุกคนจะพยายามใฝ่ศึกษาเช่นนี้นะ”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

“งั้นก็เริ่มต้นได้”
    
“ต่อไปจะเป็นพิธีจบตำราขององค์รัชทายาทก่อน” อาจารย์ประกาศ



“ไม่เคยเรียนพึงเรียน จะทำให้เก่งขึ้น ไม่เคยรู้พึงถาม จะทำให้มีความรู้  ไม่เคยคิดพึงคิด จะทำให้ได้เข้าใจ หมายถึงหากสิ่งใดไม่เข้าใจ ก็จะต้องไปศึกษาจนกว่าจะเข้าใจ โดยที่ไม่ยอมลดละ เมื่อพบสิ่งที่ยังไม่รู้ ก็พึงถามจนกว่าจะได้คำตอบ โดยไม่ยอมท้อถอย เมื่อพบเจอสิ่งใดที่คิดไม่ออก หากยังไม่สามารถคิดจนปรุโปร่ง ก็จะไม่ยอมเลิกรา” 
    
องค์ชายลียูนท่องปรัชญา หลายคนต่างแสดงความชื่นชม พระราชาก็ดีพระทัยที่องค์ชายรัชทายาทฉลาดหลักแหลม “ฮะ ๆ ๆ  ช่างฉลาดหลักแหลมจริง ๆ คัมภีร์มหาศาสตร์ยากอย่างนี้ ยังท่องได้คล่องแคล่วไม่มีตกหล่นสักคำเดียว”
    
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
    
“รัชทายาททรงพระปรีชาสามารถอย่างนี้ อนาคตของบ้านเมืองจะต้องรุ่งเรืองสถาพรแน่พ่ะย่ะค่ะ” อาจารย์กล่าวชื่นชม
    
“ฮะ ๆ ๆ ท่านพูดถูกที่สุด แค่นี้ข้าพอใจแล้ว เอาละ ตอนนี้ก็เริ่มการสอบกันได้แล้ว”
    
“ถึงคราวองค์ชายยอนอิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอให้เลือกข้อสอบมาหนึ่งใบ เพื่อท่องและอธิบายพ่ะย่ะค่ะ ตำราพื้นฐานข้อห้าพ่ะย่ะค่ะ” 
    
องค์ชายยอนอิงนึกถึงคำสอนของแม่ที่บอกให้แสร้งทำเป็นไม่เชี่ยวชาญตำรา องค์ชายจึงแสร้งท่องตำราไม่ได้ พระเจ้าซุกจงปลอบองค์ชายว่าไม่เป็นไร การไม่รู้ไม่ใช่เรื่องน่าอาย


“กระหม่อมคิดว่าอาจเป็นเพราะองค์ชายยอนอิงใช้ชีวิตอยู่นอกวังมาเป็นเวลาหลายปี อีกทั้งพระสนมซุกอึยก็เคยเป็นชนชั้นต่ำ การจะถวายการอบรมองค์ชายก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักพ่ะย่ะค่ะ”
    
“ใช่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท การที่องค์ชายยอนอิงมาเรียนที่โรงเรียนราชวงศ์ เป็นโชคดีบนความโชคร้ายพ่ะย่ะค่ะ เพราะหาไม่หากปล่อยให้พระสนมซุกอึยทรงให้การอบรมเอง แม้แต่ตำราพื้นฐานก็คงไม่มีโอกาสเรียนพ่ะย่ะค่ะ” อาจารย์อีกท่านเสริม
    
“นี่พวกเจ้าพูดอะไรกัน...” พระราชาไม่พอพระทัยนัก
    
“เสด็จแม่ของข้า เคยสอนตำราพื้นฐานพวกนั้นให้ข้าตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะเสด็จแม่สอนทำให้ข้าท่องตำราพื้นฐานได้นานแล้ว ทำไมต้องพูดจาลบหลู่เสด็จแม่แบบนี้ด้วย?” องค์ชายยอนอิงโกรธ
    
“นี่ยอนอิง เจ้าบอกว่าท่องตำราพื้นฐานได้หมดแล้ว ทำไมเมื่อกี้ถึงบอกว่าไม่รู้ล่ะ?” พระราชาหันไปถามองค์ชาย “เสด็จพ่อ เป็นเพราะว่า...ก็เพราะว่า...” องค์ชายยอนอิงอึกอัก
    
“องค์ชายยอนอิง พระองค์กำลังศึกษาตำราของเหล่าอริยปราชญ์แต่โบราณ ไม่ควรตรัสเท็จเช่นนี้นะพ่ะย่ะค่ะ”
    
“ข้าไม่ได้โกหกนะ ข้าพูดจริงไม่ได้โกหก”
    
“ถ้าหากเป็นเช่นนั้น พระองค์ช่วยท่องตำราพื้นฐานท่อนเมื่อกี้ให้ทุกคนฟังได้มั้ยพ่ะย่ะค่ะ” อาจารย์ถาม
    
“ตำราพื้นฐาน ตำราพื้นฐานคงพูดไม่ได้” องค์ชายลำบากพระทัย
    
“หมายความว่ายังไง” พระราชาแปลกพระทัย
 

“ท่องทางสายกลางกับมหาศาสตร์ได้มั้ยพ่ะย่ะค่ะ?” องค์ชายต่อรอง “ฮ้า ถึงตำราพื้นฐานไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าไม่เป็นทางสายกลางกับมหาศาสตร์ หม่อมฉันขอ ท่องอันนั้นได้รึเปล่า? 

"ท่องคัมภีร์มหาศาสตร์กับทางสายกลางหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
    
“องค์ชายท่องคัมภีร์สองเล่มนั้นจนคล่องแล้วงั้นหรือ?” อาจารย์ถาม
    
“ฝ่าบาท ขอประทานอภัย องค์ชายอาจจะทรงร้อนรน ไม่รู้ว่าคัมภีร์มหาศาสตร์กับทางสายกลางคืออะไร” อาจารย์อีกท่านไม่แน่ใจ
    
ทันใดนั้นองค์ชายยอนอิงก็ท่องตำราออกมาทันที

“ศึกษา สอบถาม ไตร่ตรอง แยกแยะ แล้วปฏิบัติ หมายถึงต้องศึกษาให้กว้าง อีกทั้งไต่ถามอย่าละเอียด จากนั้นก็ตั้งใจพิจารณาให้ดีและไปแยกแยะความถูกต้อง สุดท้ายจึงปฏิบัติอย่างจริงจัง”

  

หลาย ๆ คนถึงกับอ้าปากค้าง พระราชาก็ทรงแปลกพระทัย องค์ชายตรัสกับเสด็จพ่อ “หม่อมฉันเข้าใจหมดพ่ะย่ะค่ะลูกอ่านคัมภีร์มหาศาสตร์กับทางสายกลางมาหมดแล้ว”
 
“มหาศาสตร์ เอาตำรามาให้ข้าสิ” พระเจ้าซุกจงยังไม่แน่พระทัยว่าองค์ชายจะท่องอย่างถูกต้อง จึงเรียกหาตำรา “เร็วสิ ทรัพย์หล่อเลี้ยงบ้าน คุณธรรมเลี้ยงกาย ใจกว้างกายปลอดโปร่ง สุภาพชนพึงมีความจริงใจเป็นที่ตั้ง เจ้าเข้าใจความหมาย มั้ย?” พระราชาตรัสถาม
 
“พ่ะย่ะค่ะ ทรัพย์สิน ใช้ประดับแต่งบ้านเรือน คุณธรรมเป็นเครื่องประดับกาย จิตใจกว้างใจร่างกายแข็งแรง ดังนั้นสุภาพชนจึงควรรักษาความจริงใจไว้”
 
“โอ้ว เมื่อมีจิตเสเพล ใจก็จะไม่เที่ยงตรง เมื่อมีความกังวล ใจก็จะไม่เที่ยงตรง แล้วท่อนนี้ล่ะ?”
 
“ถ้ามีจิตใจที่ใฝ่แต่จะเสพสุข ก็ยากที่จะเป็นคนเที่ยงตรงได้ ถ้ามีใจแต่เอาแต่ห่วงกังวล ก็ไม่อาจที่จะเป็นคนเที่ยงตรงได้  นี่เป็นความหมายที่ลูกเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”
 
องค์ชายท่องอย่างคล่องแคล่ว พระเจ้าซุกจงแย้มสรวลออกมา “ทำไมเจ้าถึง.. กึม.. ฮะ ๆ ๆ”


ข่าวที่องค์ชายยอนอิงท่องคัมภีร์มหาศาสตร์ได้แพร่ออกไป สร้างความแปลกใจให้กับทุกคน เพราะคัมภีร์นี้แม้แต่บัณฑิตที่เตรียมสอบขุนนางยังรู้สึกว่ายาก และแน่นอนสนมฮีบินก็ได้ยินข่าวนี้และก็ตกใจ เพราะที่ผ่านมาคิดว่าเป็นเด็กโง่ ขณะที่พระมเหสีอินฮอนก็แสดงความยินดีออกมาเมื่อทราบว่าองค์ชายเป็นเด็กฉลาดมาก แต่ที่ต้องปิดบังเพราะทงอีขอร้องไว้ 
 
ทงอีต่อว่าองค์ชายยอนอิงที่ยอมเผยความปราดเปรื่องท่องตำรายากออกมา องค์ชายบอกเป็นเพราะอาจารย์ลบหลู่ทงอี อีกทั้งเห็นพระราชาผิดหวังจึงต้องการแสดงให้เห็นว่าตนเองทำได้ ด้านพระเจ้าซุกจงดีพระทัยมาก
 
“ทงอี เจ้ารู้แล้วใช่มั้ย กึมลูกเรา เด็กคนนี้ เข้าใจคัมภีร์มหาศาสตร์กับทางสายกลาง เค้าไม่ได้เป็น แค่เด็กฉลาดธรรมดาแล้ว ลูกของเรา เป็นอัจฉริยะชัดชัดเลย อึ้ย ฮะๆ ๆ ๆ ๆ ๆ นั่นสิ เจ้าเหมือนพ่อที่สุด เหมือนพ่อที่สุดเลย ฮะ ๆ ๆ ๆ”
 
สนมฮีบินกังวลใจกับความฉลาดขององค์ชายยอนอิงที่แสดงออกต่อหน้าพระพักตร์พระราชา  ขณะเดียวกันหมอที่รักษาองค์ชายรัชทายาทก็หน้าตื่นเข้ามาบอกว่าผู้ช่วยที่มีหน้าที่ดูแลรัชทายาทหายตัวไป หลังจากมีคนเห็นว่าผู้ช่วยเข้าไปในตำหนักพระมเหสี ยิ่งสร้างความร้อนใจให้กับสนมฮีบินและฮีเจเป็นอย่างมาก
 
การแสดงความสามารถด้านตำราขององค์ชายยอนอิง ทำให้พระเจ้าซุกจงมีพระประสงค์และรับสั่งให้องค์ชายยอนอิงเข้าไปเล่าเรียนที่สำนักรัชทายาท คำสั่งนี้ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าองค์ชายยอนอิงจะมีฐานะเทียบเท่ากับองค์รัชทายาทลูกชายของสนมฮีบิน
 
ทงอีร้อนใจมากจึงขอเข้าเฝ้าพระเจ้าซุกจง


“ฝ่าบาท  ทำแบบนี้ได้ยังไงเพคะ จะให้เข้าเรียนที่เดียวกับรัชทายาทได้ไง..”
 
“องค์ชายยอนอิง เด็กคนนั้นมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาทงอี ดังนั้น ข้าต้องการให้อาจารย์ที่ดีที่สุดเก่งที่สุดมาสอนเค้าน่ะ”
 
“แต่ว่าฝ่าบาท..”
 
“พอรู้ว่าเค้าฉลาดขนาดนี้ ข้าก็ขบคิดเรื่องนี้อยู่ทั้งคืน สุดท้ายก็ได้พระมเหสีที่เสนอความคิดนี้มา เพราะสำนักรัชทายาท เป็นที่รวมของบัณฑิตที่เก่งที่สุด ดังนั้นจึงควรให้กึมได้รับการศึกษาจากที่นั่นด้วย” พระเจ้าซุกจงตรัสถึงเหตุผล
 
“พระมเหสี” ทงอีจนด้วยเหตุผล
 
ด้านสนมฮีบินพอรับคำสั่งของพระราชาก็โกรธมาก


“สำนักรัชทายาทรึ? จะให้องค์ชายยอนอิงที่นั่น ให้ลูกนังทงอีไปเรียนที่นั่น”
 
“พระสนม พระทัยเย็นไว้เพคะ” โชซังกุงเครียดตาม
 
“ยอมไม่ได้เป็นอันขาด ข้าไม่มีวันยอมแน่นอน จะให้ลูกนังทงอีมาสั่นคลอนตำแหน่งรัชทายาท คิดว่าข้าจะยอมอยู่เฉยอย่างนั้นรึ?”
 
พระเมหสีอินฮอนเรียกทงอีมาพบ ขณะที่ร่างกายของมเหสีอินฮอนก็เริ่มทรุดโทรมกับอาการป่วยที่เป็นอยู่


“แค่ก ๆ เห็นรึเปล่า อาการข้าเป็นยังไงหมอหลวงบอกข้าว่า โรคหัวใจที่ข้าเป็นอยู่ มันจะกำเริบขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ เจ้าถามข้าว่าทำแบบนั้นทำไม ทำไมข้าถึงได้เสนอพระราชาไปอย่างนั้น นั่นเป็นเพราะว่า ข้าอยากใช้เวลาที่มีลมหายใจ พยายามปกป้องเจ้ากับองค์ชายยอนอิงให้ดีที่สุดไงล่ะ”

“พระมเหสี”
 
“ดังนั้น ตอนนี้เจ้าต้องฟังข้าให้ดีซุกอึย ถ้าหาก ถ้าหากว่ารัชทายาทไม่สามารถสืบราชบัลลังก์ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น คนเดียวที่สามารถจะขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชาได้ ก็มีแค่องค์ชายยอนอิงโอรสของเจ้าเท่านั้น ดังนั้นข้าจะถามว่า เจ้าสามารถเลี้ยงดูองค์ชายยอนอิงเพื่อเป็น...พระราชาแห่งโชซอนได้มั้ย?” มเหสีอินฮอนขอร้อง
 
“พระมเหสี พระองค์ตรัสอะไรออกมาเพคะ พระองค์ต้องการให้เลี้ยงดูองค์ชายยอนอิงเพื่อเป็นพระราชา แต่นั่นมัน..เรื่องนี้มัน..” ทงอีตกใจมาก

“พระมเหสี พระมเหสี เรื่องนี้คงเป็นไปไม่ได้เพคะ องค์ชายยอนอิงจะ...” ทงอีตกใจมากที่พระมเหสีจะให้องค์ชายยอนอิงเป็นรัชทายาทแทน
 
“ยังไงองค์ชายยอนอิง ก็เป็นพระโอรสที่สืบสายพระโลหิตมาจากพระราชา ไม่มีเหตุผลที่จะครองราชย์ไม่ได้”
 
“แต่ตอนนี้...องค์รัชทายาทยังมีพระชนม์ชีพนะเพคะ แต่นี่พระมเหสีกลับรับสั่งกับหม่อมฉันแบบนี้”
 
“ข้าถึงได้บอกเจ้าไงว่า ถ้าองค์รัชทายาทไม่สามารถขึ้นครองราชย์ ถ้าในสถานการณ์นี้ เจ้าจะตัดสินใจยังไงซุกอึย”
 
“สถานการณ์ที่องค์รัชทายาทไม่สามารถขึ้นครองราชย์ได้ หมายความว่ายังไงเพคะ ทรงหมายความว่ายังไง เพราะอะไรพระองค์ถึงได้ตรัสออกมาอย่างนี้?”


* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี

หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่  (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา