วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ตอนที่ 6





ทงอีที่ถูกจับไป ทำให้ไปพบศพคนทำเครื่องดนตรีที่เสียชีวิต ขณะที่หนีออกมาแจ้งมือปราบ ศพกลับถูกย้ายไปเรียบร้อยแล้ว ขณะที่กำลังพยายามตามสืบเรื่องนี้โดยลำพัง ก็บังเอิญได้ไปพบกับพระเจ้าซุกจงที่ปลอมตัวออกมาประพาส

เนื้อเรื่อง:




ทงอีจำได้ว่าเคยเจอกับชายคนนี้ในห้องเก็บเอกสาร  จึงหนีออกมาแจ้งมือปราบ “ใต้เท้า ๆ เกิดเรื่องใหญ่ ทางนั้น ทางนั้นมีคนตาย มีคนตายอยู่ค่ะใต้เท้า”

“อะไรนะ?”

 “รีบไปดูเร็ว อยู่ในนี้ค่ะ..มีศพอยู่ในนี้”  ทงอีพามาที่จุดพบศพ แต่ศพถูกเคลื่อนย้ายออกไปแล้ว

 “อะไรกัน ไหนล่ะศพที่ว่า?”

“เป็น..เป็นไปได้ยังไง”

 “ไหนเจ้าบอกว่ามีศพอยู่ที่นี่ไงล่ะ?”

 “ไม่ค่ะ เมื่อกี้มีศพอยู่ตรงนี้จริง ๆ เค้าเป็นช่างทำพอนคยอง เค้าถูกคนฆ่าตายข้าเห็นกับตาเลย คนพวกนั้นคงเอาศพไปจัดการแล้ว ไม่เชื่อท่านดูสิ ตรงนี้ยังมีรอยเลือดอยู่เลย หายไปแล้ว เป็นไปได้ยังไง?”

 “นังเด็กเลี้ยงแกะคนนี้นี่ นี่เจ้าคิดที่จะมาหลอกพวกข้าเล่นรึไงหา?”

 “ข้าเปล่านะใต้เท้า ข้าจะหลอกว่ามีศพคนตายเล่นทำไม เดี๋ยวค่ะ ไหน ๆ ท่านก็มากันแล้ว ท่านจะช่วยลาดตระเวนแถวนี้ก่อนได้มั้ยคะ?”

 “ยัยนี่ นี่เจ้าอยากจะโดนฟาดหนัก ๆ สักทีใช่มั้ย”

 “เอ่อ ต้องขอโทษด้วยค่ะใต้เท้า ใต้เท้าคะ”


อินกุ๊กคนของพระพันปีรู้ว่ามีสาวใช้ในวังไปเห็นการตายของช่างทำพนนคยอง ก็เข้าใจว่าเป็นคนของอ๊กจอง จึงสั่งให้ออกตามล่าตัว ขณะที่พระพันปีก็รีบเดินทางไปที่เรือนอ๊กจอง

 “จะให้เรื่องทั้งหมดมาพังเพราะทาสคนเดียวไม่ได้ ต้องไปดูท่าทีของจางซังกุงหน่อย ว่านางรู้อะไรซักแค่ไหน ส่วนท่านเองก็ต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อตามหาเด็กคนนั้น เข้าใจรึเปล่า?”

 “พ่ะย่ะค่ะพระพันปี”

 อ๊กจองกับนางสนมกำลังคุยกันถึงเรื่องพระพันปี พอพระพันปีเสด็จก็รีบไปต้อนรับปั้นสีหน้าให้ดูชื่นชม

 “ถวายบังคมพระพันปี หม่อมฉันมีชาดอกเก๊กฮวยที่หมักไว้ รีบไปยกมาสิ”

“ข้าไม่ได้มาที่นี่ เพื่อดื่มชาเก๊กฮวยของเจ้าหรอก ข้าคิดว่าในตอนนี้ เจ้าคงไม่มีอารมณ์มานั่งดื่มชาหรอก”

 “เพคะ หม่อมฉันจะสั่งไม่ต้องยกมา”

 “ดนตรีเมื่อกลางวันทำให้ในวังวุ่นวายกันไปหมด แต่ต้นเหตุอย่างเจ้ากลับไม่เป็นเดือดเป็นร้อนเลยนี่”


 “หม่อมฉันเองก็เป็นแค่นางในเล็ก ๆ คนนึงเท่านั้นเพคะ คนต่ำต้อยด้อยค่าอย่างหม่อมฉันจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้บ้านเมืองล่มสลายได้ยังไงกัน”

 “อุกกาบาตตกลงในวังหลวง แล้วก็มาเกิดดนตรีวิบัติอีก ผู้คนต่างคิดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะเจ้ากลับเข้าวัง  แต่เจ้ากลับไม่คิดอย่างนั้นสินะ ช่างหน้าหนาไร้ยางอายเหลือเกิน เมื่อคิดว่าเรื่องทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเจ้า แต่ถ้ายังเป็นคน อย่างน้อยก็ควรจะมีความสำนึกละอายบ้างสิ”

 “ขอประทานอภัย ไม่ผิดแต่แกล้งทำละอาย จะเป็นการกระทำที่เหมาะสมหรือเพคะ นั่นคงไม่ต่างอะไรกับโจรร้องจับโจร” อ๊กจองตอบอย่างไม่เกรงกลัว

 กริยาของอ๊กจองที่ไม่เกรงกลัวตนเอง สร้างความไม่พอใจให้กับพระพันปียิ่งนัก “นังเด็กอวดดี ยังมีหน้าทำไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอีก”

 “อย่าไปใส่พระทัยเลยเพคะพระพันปี ยังไงนางก็เป็นแค่พวกชั้นต่ำคนนึงเท่านั้น”

 “แต่ตอนนี้ เท่ากับว่านางคงยังไม่รู้เรื่องอะไร ไม่อย่างนั้นคงรีบลุกขึ้นเถียงกับข้าไปแล้ว ดูเหมือนจางซังกุงแค่อยากลองเชิงทางความคิดกับข้าเท่านั้น ถ้างั้น.. นังเด็กคนนั้นมันเป็นใครกันแน่นะ”

 ขณะเดียวกันการมาเยือนกลางดึกของพระพันปี ทำให้อ๊กจองนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น จึงสั่งให้ขุนนางคนสนิทรีบไปสืบความจริงในเรื่องนี้

 พระเจ้าซุกจงให้เหล่าขุนนางไปสืบเรื่องดนตรีวิบัติว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ใครเป็นต้นเหตุ แต่กลับไม่มีความคืบหน้าทำให้พระราชากริ้วมาก จึงพยายามสืบหาข้อมูลด้วยพระองค์เอง


ชาวบ้านได้ยินข่าวลือมาจากในวัง ต่างก็พากันหวาดกลัว กว้านซื้อสินค้ามากักตุนไว้เพราะกลัวเกิดสงคราม จนเกิดจลาจล โฮยอนและแทซุกปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี

“พวกขุนนางร่ำรวยต่างสนับสนุนจางซังกุงอย่างเต็มที่ เจ้าไม่เข้าใจรึ ถ้าต้องการรักษาอำนาจ มันจำเป็นต้องใช้เงิน ดังนั้น จะด้วยวิธีไหนก็ตาม จะต้องประคองจางซังกุงไว้ให้ได้ เป็นทางเดียวที่กลุ่มฝ่ายใต้ของเราจะอยู่รอด คนบงการ ก็คือพระพันปี เราต้องหาหลักฐานมาให้ได้”

 “แต่เราจะเริ่มจากตรงไหนล่ะ ตอนนี้เราไม่มีเงื่อนงำเรื่องดนตรีวิบัติเลยซักนิดเลยขอรับ”

ทงอีเล่าเรื่องเห็นช่างทำพอนคยองตายและศพหายไปให้ยังดัลฟัง จูซิกผ่านมาได้ยินเข้าและว่าเหลวไหล ไม่เชื่อว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับจางซังกุง

 พระเจ้าซุกจงลงมาหาข้อมูลที่กองปราบ


“กระหม่อมได้ยินมาว่า สองหน่วยงานได้ตรวจค้นกองดนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างหนัก กระหม่อมคิดว่ามันผิดพ่ะย่ะค่ะ ที่ต้องตรวจไม่ใช่กองดนตรี แต่ควรหาที่ไม่ได้อยู่ในกองดนตรี” เจ้าหน้าที่รายงาน

“หาสิ่งที่ไม่อยู่ในกองดนตรี ฟังดูมีเหตุผล ถ้างั้นจะไปหาที่ไหน? เจ้าลองบอกมาสิ ว่าควรจะไปตามหาที่ไหน? คงจะไม่ใช่ความคิดของเจ้า ใครกันหา ที่เสนอความคิดนี้ รับออกมา  นี่เป็นคำสั่ง”

 “กระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าซอบอก

 “ดีมาก บอกชื่อกับตำแหน่งของเจ้ามา”

 “ซอโยงกีเป็นผู้บัญชาการกองปราบ”

 “ผู้บัญชาการซอ นึกถึงอะไรถึงได้พูดอย่างนั้น”

 “เพราะกระหม่อมไปได้ยินมาว่า มีการตรวจค้นเครื่องดนตรี และตรวจค้นคนทุกคนที่อยู่ในกองดนตรี รวมถึง เครื่องดนตรีและคนที่อยู่ใกล้เคียง แต่กระหม่อมคิดว่า ทางศาลและสำนักตรวจการควรหาวิธีอื่น ถ้าเป็นแผนที่มีคนจงใจวางเอาไว้ คงต้องหาทางปิดบังหลักฐานแน่ เพราะฉะนั้น ไม่มีทางหาหลักฐานได้ที่นั่น แต่ต้องหาจากสิ่งที่หายไปจากที่นั่นแทน”

 “แล้วยังไง แล้วมีอะไรบ้างล่ะที่หายไป?” พระเจ้าซุกจงตรัสถาม

 “ฝ่าบาท บันทึกประจำวันของมือปราบ ที่เฝ้ายามแถบอ๊กลูตง โดยที่นั่น มีคนรายงานมาเมื่อคืนว่า พบศพชายที่เป็นช่างทำพอนคยองที่ประจำอยู่ที่โรงหล่อ แต่ศพกลับหายอย่างไร้ร่องรอย ดังนั้นมือปราบจึงไม่ได้มารายงานเรื่องนี้ต่อกองปราบพ่ะย่ะค่ะ”

 “ถ้างั้น เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง?”

 “เพราะกระหม่อมอ่านบันทึกยามทุกวันพ่ะย่ะค่ะ นี่อาจจะเป็นการแจ้งความเท็จ หรือต่อให้เป็นเรื่องจริง ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องดนตรีวิบัติ แต่ว่า..”

 “แต่ว่า ถ้ามันเกิดเกี่ยวข้องกันจริง ๆ มันก็จะเป็นหลักฐานชิ้นเดียวที่เรามีอยู่ในมือตอนนี้ รีบไปตามหาคนที่มาแจ้งความ และตามสืบเรื่องนี้ ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง ศพจะต้องถูกซ่อนอยู่แถวเขาซัมฮักแน่ เดี๋ยวก่อน เจ้าบอกว่าเจ้าชื่อซอโยงกีใช่มั้ย? หรือว่าเจ้าเป็น ลูกท่านรองประธานสภาขุนนางซอจองโฮ”

 “เอ่อ ใช่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”



ทงอีย้อนกลับมาบ้านหลังที่เธอถูกจับขัง เพื่อมาหาหลักฐานการตายของช่างทำพอนคยอง เป็นเวลาเดียวกับพระเจ้าซุกจงก็มาตรวจหาหลักฐานเช่นเดียวกัน ทงอีจึงหลบซ่อนตัว พระเจ้าซุกจงเจอหินเกลือหล่นที่พื้นจึงหยิบขึ้นมาดู ขณะเดียวกันมีคนอีกจำนวนหนึ่งก็มาที่บ้านหลังนี้และทำร้ายลูกน้องของพระเจ้าซุกจง พระเจ้าซุกจงรีบดับไฟและหาที่ซ่อน  ทงอีซึ่งซ่อนตัวอยู่จึงเรียกให้มาซ่อนด้วยกัน ก่อนจะหนีออกมาจากบ้านหลังนั้น พระเจ้าซุกจงวิ่งมาได้พักเดียวก็เหนื่อยหอบ เพราะไม่เคยวิ่งมาก่อน

 “หนีแค่นี้ก็พอ เราวิ่งมาไกลมากแล้วมั้ง”

 “ไกลอะไรกัน เพิ่งวิ่งหนีมาได้นิดเดียวเอง”

 “ถึงตายก็ไม่วิ่งแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย หรือว่า  มีคนคิดจะกบฏ”

 “หะ กบฏเหรอ คำ คำนั้นใช้เวลามีคนจะฆ่าพระราชาหรอก”

 “จริงสิ แล้วเจ้าเป็นใครกันแน่ เจ้าฟังไม่เข้าใจรึ เจ้าเป็นใครไปทำอะไรที่นั่น?”


“ขอโทษนะคะ คำถามนี้น่ะข้าต่างหากที่อยากรู้ ใต้เท้าท่านเป็นใครกันแน่ ไอ้นั่น นี่มันของที่ข้ากำลังหา
นี่ ท่านไปเจอมาจากที่ไหน หาเจอจากในกระท่อมเมื่อกี้ใช่มั้ย?”

“เจ้าจะถามไปทำไมล่ะ เอ๊ะ ของเจ้าก็หินเกลือเหมือนกันนี่นา”

 “ท่านรู้เหรอมันคืออะไร?”

 “ใช่สิ ไอ้เจ้านี่มันเรียกว่าหินเกลือไงล่ะ”

 “หินเกลืออย่างนั้นเหรอ?”

 “ใช่แล้ว มองผิวเผินจะดูเหมือนก้อนหิน แต่ที่จริงมันทำมาจากเกลือน่ะ ดังนั้นพอถูกน้ำแล้วก็จะละลาย แต่ว่านะ นี่เป็นของแพงที่นำเข้ามาจากต้าชิง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

 “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน มันไม่ได้อยู่บนศพอย่างเดียว ดูเหมือนคนพวกนั้นยังคิดจะซ่อนด้วย มันต้องเป็นของสำคัญมากแน่ แต่ถึงยังไง เราก็รีบไปกันดีกว่า เรารีบไปกันเถอะ”

 “เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้นี้นี่เจ้าพูดถึงศพใช่มั้ย? หรือว่า เจ้าจะเป็นคนที่พบศพช่างทำพอนคยองที่นี่?”

 “ใต้เท้าทราบเรื่องนี้ได้ยังไง ท่านเป็นใครกันแน่ หรือว่า ท่านเป็นทหารเหรอ?”

 “ใช่แล้ว ใช่เลย ข้าเป็นทหารในจวนท่านผู้ว่าน่ะเมื่อวานข้าได้รับรายงานว่ามีคนพบศพคนตายก็เลยเข้ามาตรวจสอบ เจ้ารีบบอกข้ามาสิ ว่าเมื่อคืนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แล้วก็นี่ หินนี่เจ้าเจอมาจากไหน”

 “ถ้าข้าบอกไปแล้ว ท่านจะเชื่อข้ารึเปล่า? ข้าน้อยเป็นทาสรับใช้ในกองดนตรี อย่างนี้แล้วท่านจะยังยอมเชื่อที่ข้าน้อยพูดอยู่รึเปล่า?”

 มินเล่าเรื่องที่ตนถูกจู่โจมที่เขาซักฮักให้อินกุ๊กฟัง อินกุ๊กตกใจมาก มินยังบอกเรื่องที่เคลื่อนย้ายศพออกมาไม่ทัน อินกุ๊กบอกให้จัดการอย่าให้เหลือพิรุธแม้แต่อย่างเดียว



พระเจ้าซุกจงเชื่อในคำพูดของทงอีและเรียกทงอีว่าพงซาน เพราะทงอีเหมือนหมาพงซานเป็นพวกกัดแล้วไม่ปล่อย ทั้งสองแยกกันไปแต่พระเจ้าซุกจงเป็นห่วงทงอีที่เป็นผู้หญิงแต่ตามสืบเรื่องเพียงลำพังจึงย้อนกลับมา ระหว่างทางก็มอบป้ายสัญลักษณ์ระดมพลให้ชายคนนั้นเพื่อให้นำไปให้ใต้เท้าซอ

 ทงอีและพระเจ้าซุกจงพยายามปีนเข้าไปในบ้านขุนนางผู้หนึ่ง ทงอีให้พระเจ้าซุกจงปีน แต่พระองค์ไม่เคยปีนกำแพงมาก่อน ทงอีจึงเปลี่ยนให้พระเจ้าซุกจงหมอบลงกับพื้น เพื่อที่ตัวเองจะเหยียบหลังปีนขึ้นไป และเข้าไปเปิดประตู



ทั้งสองเข้ามาในจวน แต่พระเจ้าซุกจงกลับทำของหล่น แถมมีคนออกมาเห็นเข้า ทงอีจึงพาพระเจ้าซุกจงวิ่งหนีอีกครั้ง

 พระเจ้าซุกจงเอาหินเกลือให้ทงอีเพื่อเอาไปกองปราบ

 “แล้วใต้เท้าทำยังไงล่ะ?”

 “ข้าจะหาทางล่อพวกเค้าไปเอง เจ้าต้องซ่อนตัวอยู่ตรงนี้แล้วค่อยหาทางหนีไป”

 “ทำอย่างนั้นไม่ได้ ข้าจะไปกับท่านด้วยค่ะ”

 “อะไรนะ”

 “เรามาด้วยกัน ข้าจะหนีไปคนเดียวได้ยังไง”

“แม่เด็กคนนี้ ทำไมถึงดื้ออย่างนี้นะ พวกมันมากันแล้ว” พระเจ้าซุกจงชักดาบออกมาหวังจะสู้ แต่ก็ดูเก้ ๆ 
กัง ๆ ทงอีเห็นก็แปลก ๆ ใจ “ใต้ ใต้เท้า ท่านคง ไม่ได้ถือดาบเป็นครั้งแรกอีกนะ”

 “ข้าเคยถือดาบมาก่อน แต่เพิ่งสู้จริงครั้งแรก”

 “อะไร ท่านเองก็เป็นทหาร แต่สู้ไม่เป็นงั้นเหรอ?

 “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร พวกเจ้าเป็นใครกันแน่ ถึงได้กล้ามาขโมยหินเกลือ ไปจับมัน” ชายคนหนึ่งสั่งลูก
น้อง


 

 ลูกน้องกรูเข้ามา พระเจ้าซุกจงตั้งรับ “ฮ่า ๆ ๆ ถ้าข้าสู้แพ้ เจ้ารีบหนีไปนะ”

 “ใต้เท้า” ทงอีอ้าปากจะพูด

 “เป็นพระบัญชา” พระเจ้าซุกจงบอก

 “อะไรนะ?” ทงอีตกใจ


* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี


หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่  (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา