วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ตอนที่ 53



หลังจากที่รัชทายาทได้บอกความจริงให้พระเจ้าซุกจงทราบว่าไม่สามารถมีทายาทได้ ทำให้พระเจ้าซุกจงเสียพระทัย ขณะที่เรื่องที่นายหญิงยูนเคยจ้างคนวางเพลิงบ้านพักทงอี และกำลังวางแผนจะหนี แต่ก็ถูกจับตัวได้ก่อน จางอ๊กจองจึงวางแผนที่จะฆ่าทงอีกับลูกอีกครั้ง

เนื้อเรื่อง:



ทงอีคิดหนักถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และไม่แน่ใจว่าองค์ชายลียูนรู้เรื่องการป่วยของตัวเองหรือไม่จึงคิดจะมาถามให้แน่ใจ จึงไปขอพบองค์ชายลียูน แต่คนในตำหนักบอกว่าองค์ชายไปที่ตำหนักใหญ่  ขณะเดียวกันทงอีก็ต้องเผชิญหน้ากับสนมฮีบิน

“ไม่ได้ยินรึซุกบิน ข้าถามว่าเจ้ามาตำหนักตะวันออกทำไม?” สนมฮีบินถามอย่างเอาเรื่อง

“องค์รัชทายาททรงทราบ เรื่องโรคที่พระองค์เป็นอยู่หรือเพคะ องค์รัชทายาททรงรู้รึเปล่าว่าทรงป่วยเป็นโรคอะไร”

“เจ้ารู้ได้ยังไงหา?” สนมฮีบินตกใจมากที่ทงอีรู้เรื่องนี้

 องค์ชายลียูนมาขอเข้าเฝ้าพระเจ้าซุกจง


“ว่าไงรัชทายาท เจ้าบอกว่ามีเรื่องจะคุยรึ?”

“เสด็จพ่อ คือหม่อมฉัน ไม่คู่ควรอยู่ในตำแหน่งพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายลียูนตัดสินใจสารภาพ พระเจ้าซุกจงตกพระทัยมาก

“เท่าที่หม่อมฉันได้รับทราบมา องค์รัชทายาทมีหน้าที่ปกป้องบ้านเมืองและสืบทอดราชวงศ์ต่อไป แต่ว่าหม่อมฉัน เป็นโรคเสื่อมสมรรถภาพพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้เพื่อจะอยู่ในตำแหน่ง”

“โรคเสื่อมสมรรถภาพ หมายความว่าอะไรรัชทายาท รัชทายาท” พระเจ้าซุกจงตกพระทัยเป็นคำรบสอง

ทงอีตรัสกับพระสนมฮีบินว่า องค์รัชทายาทเสด็จมาหาตน และตรัสว่าพระองค์ไม่คู่ควรจะเป็นรัชทายาท และพระองค์จะไม่ให้องค์ชายยอนอิงเดือดร้อน ทงอีจึงทูลถามว่าองค์รัชทายาทตรัสอย่างนี้หมายความว่ายังไง

“ขอร้องล่ะ  ไม่ได้นะรัชทายาท  อย่าเชียวนะ เจ้าจะทำอย่างนั้นไม่ได้”

“รัชทายาทเสด็จไปตำหนักใหญ่ หรือว่าทรงคิดจะกราบทูลเรื่องนี้กับ..พระราชาด้วยตัวของเค้าเอง” ทงอี กล่าว

“พระสนม จะทำยังไงต่อไปดีเพคะ?” พงซังกุง ทูล

พระสนมฮีบิน เสด็จไปหาองค์รัชทายาท


“มันไม่จริงใช่มั้ย นี่เจ้าคงไม่ได้กราบทูลเรื่องนั้นกับเสด็จพ่อใช่มั้ย?”

“เรื่องนี้ควรจะทำแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้วพ่ะย่ะค่ะ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ท่านไม่ควรเลือกที่จะปิดบังไม่ว่ากับลูกหรือว่าเสด็จพ่อก็ตาม” องค์ชายลียูน ทูล

“รัชทายาท เจ้าก็เลยบอกไปทั้งหมดเหรอ  เจ้ากราบทูลเสด็จพ่อไปแล้ว?  ไม่จริง เจ้าไม่มีทางทำแบบนั้น  ได้ยังไง  เจ้าทำอย่างนี้ได้ยังไงรัชทายาท  ที่ข้าทำไปทั้งหมดเพื่ออะไร ทำเพื่อใครหา  ทั้งหมดก็เพื่อตัวเจ้าเอง ข้าทำเพื่อจะปกป้องเจ้า แต่เจ้ากลับเอาเรื่องนี้ไปทูลเสด็จพ่อซะเอง แม่ยอมแลกด้วยชีวิตเพื่อรักษาความลับนี้เอาไว้ แต่เจ้ากลับไปทูลเสด็จพ่อ”

“อย่าบอกว่าทำเพื่อลูกเลยพ่ะย่ะค่ะ ถ้าหากเสด็จแม่คิดจะทำเพื่อลูกจริง ๆ ก็ไม่ควรทำอย่างนั้นตั้งแต่แรก ลูกเป็นรัชทายาทของประเทศนี้  ลูกไม่เคยคิดแม้แต่ครั้งเดียวว่าจะไม่ได้เป็นพระราชา ลูกอยากเดินตามเสด็จพ่อ คอยช่วยเหลือประชาชน  ทำให้ประเทศนี้แข็งแกร่ง  อยากจะเป็นพระราชาที่ฝากชื่อเสียงที่ดีไว้ในประวัติศาสตร์ ลูกเองก็อยากจะเป็นพระราชาที่ดีของประเทศ แต่เป็นเพราะเสด็จแม่  ทำให้ลูกต้องกลายเป็นคนบาปของราชวงศ์และบ้านเมือง ลูกที่อยากจะเป็นพระราชา กลับต้องเป็นพระราชาไม่เอาไหน ไม่สามารถที่จะสืบทอดวงศ์ตระกูลให้ราชวงศ์ได้”

“รัชทายาท รัชทายาท โอ๊ย..”

“พระสนม”

“พระสนม” ยองซอน กล่าวทูล

“จบสิ้นแล้ว ทุกอย่างนี้มัน..จบสิ้นแล้ว” พระสนมฮีบินตรัส

องค์รัชทายาททูลพระเจ้าซุกจงว่า เรื่องที่ตนเองประชวรไม่ใช่เรื่องกะทันหัน ตนต้องกินยาเพื่อพยายามรักษาโรคนี้มาตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้ว

“เพราะหม่อมฉันอาจไม่สามารถให้กำเนิดทายาทได้  เพราะหม่อมฉัน..เป็นโรคเสื่อมสมรรถภาพ แต่ที่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ก็เพราะตัวยาที่รักษาถูกส่งเข้าวังลับ ๆ เสด็จพ่อ ที่เสด็จแม่ต้องแอบนำยาเข้ามาก็เพราะทรงรู้สึกกลัวเท่านั้นเอง ทั้งหมดเป็นเพราะทรงห่วงหม่อมฉันเท่านั้น  ได้โปรด..ประทานอภัยให้เสด็จแม่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ  หม่อมฉันเชื่อว่าเสด็จแม่ไม่ได้คิดจะปิดบังเรื่องนี้ไปจนถึงที่สุด”

“รัชทายาท โรคเสื่อมสมรรถภาพ ทำไมรัชทายาทถึงได้..  รัชทายาท”  พระเจ้าซุกจงตรัส

ชอนซู มาหาใต้เท้าซอ เมื่อพบกับวูนเทค ก็รีบถามเรื่องที่พระราชาทรงทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว


“ดูเหมือนเป็นอย่างนั้น รีบเข้าไปเถอะ  ท่านแม่ทัพองครักษ์ก็อยู่ข้างในแล้ว” วูนเทค กล่าว

“รัชทายาททรงตัดสินพระทัยแน่วแน่ก่อนที่จะมาหาข้า ต้องโทษที่ข้าโง่เกินไป  เพราะข้าควรจะคิดได้ก่อนและห้ามเอาไว้” ทงอี กล่าว

“จะเป็นความผิดของพระองค์ได้ยังไงกัน  ขอให้ทรงทำพระทัยเย็นไว้ก่อน คนที่ทำให้เรื่องเป็นอย่างนี้คือพระสนมฮีบิน” ใต้เท้าซอ กล่าวทูล

“พระสนม”

ฮีเจ เข้าเฝ้าพระสนมฮีบินทูลว่าจะยอมแพ้อย่างนี้ไม่ได้ หลังจากอุตส่าห์เก็บความลับนี้มาได้


“ข้าสู้ต่อไปได้ยังไงคะพี่ รัชทายาท รัชทายาทจบสิ้นแล้วค่ะ  จะทำอะไรได้อีก?”

“พระสนม ไม่จริงหรอกพ่ะย่ะค่ะ  คนที่รักและเอ็นดูรัชทายาทที่สุดก็คือพระราชาไม่ใช่หรือ  ดังนั้นต่อให้ทรงทราบ พระองค์ก็ไม่มีทางปลดองค์รัชทายาทหรอก”

“ไม่จริง  ไม่จริงหรอกพี่ชาย พระราชาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก่อนที่ท่านจะเป็นพ่อ ท่านเป็นพระราชาที่ต้องนึกถึงบ้านเมืองก่อน”

“พระสนม  พระราชาเสด็จเพคะ” โชซังกุง กล่าวทูล


“ฝ่าบาท”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่หา? รัชทายาทเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่  มันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” พระเจ้าซุกจงตรัสถาม

“หนึ่งปีก่อน เริ่มเป็นตั้งแต่รัชทายาทเป็นไข้สูงครั้งนั้น”

“หนึ่งปีที่แล้วงั้นเหรอ  ตั้งนานขนาดนี้  เจ้ากลับปิดบังเรื่องใหญ่อย่างนี้ กับข้าที่เป็นทั้งพ่อและพระราชาหรือ  ฮีบินเจ้ารู้มั้ยว่าทำอะไรลงไป”

“ยังมีทางรักษาได้เพคะ หม่อมฉันมั่นใจว่าสามารถรักษาโรคของรัชทายาทได้”

“ฮีบิน”

“ฝ่าบาท ได้โปรดเพคะ ได้โปรดให้เวลาหม่อมฉันอีกหน่อยเพคะ เค้าได้ลองกินยาที่นำเข้ามาจากต้าชิงแล้ว ถ้ากินยานั้นจะช่วยรักษาได้เพคะ ดังนั้นขอได้โปรดให้โอกาส ให้โอกาสรัชทายาทก่อนเพคะ”

“พอแล้ว พอสักทีฮีบิน ยาที่ส่งมาจากต้าชิงรึ ยาที่แอบส่งมาจากบ้านเจ้ารึ เพราะอย่างนี้ถึงได้ปฏิเสธหมอที่ดีที่สุดจากสำนักหมอหลวงใช่มั้ย รัชทายาทเป็นอนาคตบ้านเมือง แต่ว่าเจ้ากลับปิดบังอาการป่วยของรัชทายาทแล้วแอบหาทางรักษาเองแบบนี้ เจ้าไม่รู้หรือว่าทำแบบนี้ อาจยิ่งทำให้รัชทายาทมีอาการป่วยหนักมากขึ้น ทำแบบนี้อาจทำให้โรคยิ่งแย่ลงก็ได้นะ”

“โรคของรัชทายาทจะต้องรักษาได้ ให้เวลาหม่อมฉัน ให้เวลาหม่อมฉันอีกหน่อยเพคะฝ่าบาท”


“เจ้าว่าอะไรนะ มาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังบอกให้ข้าให้โอกาสอีกเหรอ  เจ้าคิดจะใช้เวลานี้ทำอะไร  คิดจะปั่นหัวข้า ทำให้ราชวงศ์เป็นที่อับอายรึ?  ทำร้ายรัชทายาทแบบนี้ยังกล้าจะมา..ขอโอกาสอีกรึ ถ้าข้าให้โอกาสอีก เจ้าจะหาทางขับไล่องค์ชายยอนอิงที่เป็นภัยต่อตำแหน่งรัชทายาทออกไปให้พ้นวังใช่มั้ย?”
   
“ฝ่าบาท”
 
“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้รึไงหาว่าคนที่อยู่เบื้องหลังพวกขุนนางกลุ่มโซนนเป็นใคร หรือว่าเจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ เพราะอย่างนี้ใช่รึเปล่า เป็นเพราะการป่วยของรัชทายาท เจ้าถึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อกำจัดองค์ชายยอนอิงที่ยังเป็นเด็ก”

พระสนมฮีบินทูลขอร้องพระเจ้าซุกจงให้อย่าทำอะไรรัชทายาทโปรดสงสาร และให้รัชทายาทได้อยู่ในตำแหน่งต่อไป
 
“ถ้าเจ้าอยากให้เป็นอย่างนั้น เจ้าก็ไม่ควรทำให้เรื่องเดินมาถึงวันนี้”
 
“ฝ่า ฝ่าบาท”
 
“ดังนั้น ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น  ผลทุกอย่างเหล่านั้น มันเกิดขึ้นจากน้ำมือเจ้าเอง  จำเอาไว้ฮีบิน”
 
“ฝ่าบาท” พระสนมฮีบิน กล่าวทูล

ฮีเจ ไปขอให้ขุนนางที่มาร้องฎีกาหน้าท้องพระโรง ถอยกลับกันก่อน


“ถอยให้พวกนั้นก่อนชั่วคราวรึ นี่ท่าน หมายความว่ายังไง?” ซางฮอน ถาม
 
“เรื่องรายละเอียดข้าจะอธิบายให้ฟังอีกที ตอนนี้เชิญท่านกลับไปก่อนตามที่ข้าบอกดีกว่า”
 
“เหอะ เจ้านี่อะไร  แต่ว่าถ้า...”
 
“ที่บอกแบบนี้ เพราะกดดันฝ่าบาทไปก็คงไม่มีประโยชน์หรอกใต้เท้า” ฮีเจ กล่าว
 
“หะ หรือว่า  มีเรื่องอะไรปิดบังข้า” ซางฮอน ถาม
 
“เฮ้อ จะมีเรื่องอะไร ก็ ก็แค่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา ดังนั้นขอให้ใต้เท้า รอไปอีกหน่อยแล้วกัน  ขอตัวก่อน”
 
“เฮ้ เดี๋ยวก่อนสิ ๆ”
 
“เอ่อ ใต้เท้า นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ใต้เท้า” เสนา กล่าว
 
“ท่านอยากรู้มั้ยล่ะว่าเพราะอะไร” มูยอล เข้ามา
 
“นี่ท่าน”
 
“ข้าคิดว่าเรื่องนี้ ข้าคงจะให้คำตอบกับท่านได้” มูยอล กล่าว

องค์ชายกึมมาบอกองค์รัชทายาทว่าพวกขุนนางที่มารวมตัวหน้าท้องพระโรงสลายไปหมดแล้ว


“ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ ขุนนางพวกนั้นก็ถอนฎีกาออกไปจนหมด พวกเค้าคงจะให้อภัยข้าแล้ว  คราวนี้ข้าไม่ต้องถูกลงโทษแล้วพี่ชาย”
 
“ถ้างั้นก็ดีแล้ว ดีจังนะองค์ชายยอนอิง”
 
“พี่ชาย”

ทงอี มาขอเข้าเฝ้าพระเจ้าซุกจง


“ฝ่าบาท หม่อมฉันทราบเรื่ององค์รัชทายาทมานานแล้วเพคะ ถึงรู้ว่าทำแบบนี้มันไม่ดี แต่หม่อมฉันก็ยังลังเลที่จะกราบทูลฝ่าบาท ขอได้โปรดประทานอภัยด้วยเพคะ”
   
“ที่เจ้าทำแบบนี้เพื่อรัชทายาทกับองค์ชายยอนอิงใช่รึเปล่า? นั่นไม่ใช่ความผิดของเจ้า ข้าเป็นพ่อที่ไม่เอาไหน เป็นพระราชาที่ไม่ได้เรื่อง”
   
“ฝ่าบาท”
   
“ข้าไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง ในเมื่อข้ารู้แล้วว่ารัชทายาทป่วยเป็นโรคอย่างนี้ ข้ายังจะหลับตาข้างนึงอยู่ได้อีกหรือ สำหรับข้า ไม่ว่ายังไงก็อยากปกป้องเด็กคนนั้น แต่สักวันนึงเรื่องนี้จะถูกเปิดเผย และต่อให้เค้าได้ขึ้นครองราชย์ ก็คงไม่สามารถ...”
   
“ฝ่าบาท”

มีข่าวลือเรื่องรัชทายาททรงประชวรเป็นโรคประหลาดในวังหลวง เมื่อทงอีรู้จากวูนเทค ก็เดาว่ามูยอลเป็นคนปล่อยข่าวแน่นอน จึงรีบเดินทางไปหามูยอล


“นี่เป็นฝีมือท่านใช่มั้ย  ที่ทำให้ตอนนี้ในวังลือกันถึงเรื่องการประชวรขององค์รัชทายาท” ทงอี ถาม
 
“เรื่ององค์รัชทายาท ไม่ใช่แค่เรื่องของรัชทายาท แต่เกี่ยวพันถึงความมั่นคงของบ้านเมืองด้วย ดังนั้นจึงไม่อาจปิดบังเรื่องที่เกี่ยวกับบ้านเมืองได้”
 
“เรื่องบ้านเมืองงั้นเหรอ พวกท่านทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง อย่าเอาบ้านเมืองและราชวงศ์มาเป็นข้ออ้างเลย นับจากนี้ไป ข้าไม่อนุญาตให้ท่านทำแบบนี้อีก” ทงอี กล่าว
   
“พระสนม”
   
“อยากให้ข้านำหมอหลวงหญิงมาเปิดโปง งั้นก็ดี ขอให้จำไว้ว่าข้าอาจทำตามที่ท่านเสนอได้ตลอดเวลาใต้เท้า ข้าอาจใช้หมอหลวงหญิง มาเปิดโปงเรื่องที่ท่านเคยพยายามโค่นล้มรัชทายาทยังไง แล้วข้าจะกราบทูลเรื่องพวกนี้ต่อพระราชาทั้งหมด ท่านเข้าใจรึยังหา?”

ทงอี คิดจะหยุดข่าวลือให้เร็วที่สุด จึงให้พงซังกุงไปตามจองซังกุงกับนัมซังกุงมาเฝ้า เพราะคิดว่าเรื่องสำคัญตอนนี้คือต้องปิดปากนางในก่อน
   
“กระหม่อมขอบังอาจกราบทูล หลายวันมานี้ พระสนมทรงต้องเหน็ดเหนื่อยกับเรื่ององค์รัชทายาทมามากพอแล้ว พระองค์ไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยนี่” วูนเทค ทูล
   
“เพราะข้า ก็เป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์  ไม่ได้ทำเพื่อความปลอดภัยขององค์ชาย หรือเพราะสงสารองค์รัชทายาทหรอก ถ้าเสาหลักเกิดสั่นคลอน ราชวงศ์และบ้านเมืองก็จะล้มด้วย  สำหรับข้า ข้ามีหน้าที่โดยตรงที่จะปกป้องเรื่องนี้”

ซางฮอน มาเข้าเฝ้าพระสนมฮีบินทูลเรื่องข่าวลือเรื่องรัชทายาทประชวรด้วยโรคเสื่อมสมรรถภาพ จนทำให้อาจหมดสิทธิเป็นผู้สืบราชสมบัติ


“ไม่ใช่เรื่องจริง นี่เป็นเรื่องเหลวไหลที่สุดไม่มีทางเป็นไปได้” พระสนมฮีบิน ตรัส
 
“หากพระองค์จะปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ คงไม่สามารถปิดบังได้ตลอดหรอกพระสนม” ซางฮอน ทูล
   
“ปิดบังอะไร ข้าบอกแล้วว่า องค์รัชทายาททรงสบายดีไม่มีปัญหา”
   
“เรื่องนี้เกี่ยวกับความอยู่รอดของบ้านเมือง ถ้าหากว่าเรื่องนี้เป็นความจริง แม้แต่พวกกระหม่อมที่สนับสนุน ก็คงไม่สามารถนิ่งเฉยได้พ่ะย่ะค่ะ”  
   
“ใต้เท้า  นี่เป็นแผนปล่อยข่าวของตำหนักโบคยองแน่  ท่านยังไม่เข้าใจอีกเหรอ รองเจ้ากรมจางมูยอล ทรยศข้าและหันไปร่วมมือกับพระสนมซุกบิน แล้วท่านยังจะเชื่อคำของคนแบบนั้นได้ยังไง ใต้เท้า”
   
“พระสนม  พระ.. ใต้ ใต้เท้า” ฮีเจ เข้ามา
 
“เหมือนจะมีปัญหาอะไรอีกใช่มั้ยพระสนม  กระหม่อมไม่อยากรบกวนคงต้องขอตัวกลับก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
 
“ใต้เท้า ๆ  เฮ้อ”
 
“พระสนม”


“ขุนนางกลุ่มโซนนหวั่นไหวแล้ว ถ้าพวกเค้าทิ้งเรา เรื่องนี้คงไม่มีทางแก้ไขอะไรได้อีก”
 
“พระสนม ตอนนี้กลุ่มโซนนไม่ใช่ปัญหา  แต่ท่านแม่ต่างหาก ที่อาจจะเจอเรื่องใหญ่” ฮีเจ ทูล
 
“ท่านแม่งั้นเหรอ ทำไม มีเรื่องอะไรหา?”
 
“พระสนม”
 
“พี่ชายคะ”

ฮีเจ ทูลสนมฮีบินว่ากองปราบรู้เรื่องลอบวางเพลิงที่พักสนมซุกบินและไม่แน่ว่าเรื่องนี้อาจถูกแจ้งไปถึงศาลไต่สวนแล้ว ด้านยูนก็ได้รีบเก็บของเพื่อหลบหนี แต่ชอนซูก็ตามมาทันที่ท่าเรือ


“รีบขึ้นเรือเร็วเข้านายหญิง  ไปเร็ว”
 
“ถ้ายังไม่อยากตายก็วางเชือกลงซะ” ชอนซู กล่าว
 
“ถอยไปเดี๋ยวนี้ เจ้าไม่รู้รึว่าข้าเป็นใคร” ยูน กล่าว
 
“นักโทษที่คิดปลงพระชนม์พระสนมกับองค์ชาย จับพวกมันให้หมด” ชอนซู กล่าว
 
“ขอรับ”
 
“นายหญิง ๆ ๆ ไอ้พวกสารเลวทำอะไร?”
 
“นายหญิง”
 
“ปล่อยข้า  พวกสารเลว  ข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าแน่”

จองซังกุง และจองอิม เมื่อรู้ว่าคนที่วางเพลิงบ้านพักพระสนมก็คือแม่ของพระสนมฮีบิน ก็รีบไปเข้าเฝ้าทงอี “พระสนม”


“คนที่วางเพลิงคิดฆ่าข้า กับองค์ชายยอนอิงให้ตายคือท่านแม่ของพระสนมฮีบินเองอย่างนั้นหรือ” ทงอี กล่าว
   
“ในที่สุด ความจริงที่ถูกปิดบังมานานก็ถูกเปิดเผยเพคะ เมื่อถึงตอนนี้พวกเค้าคงจะไม่มีข้ออ้างอะไรมาปฏิเสธความผิดนี้อีก” จองอิม ทูล

ด้านพระสนมฮีบินสั่งให้ชอนซู ปล่อยแม่ของตน ที่เป็นยายขององค์รัชทายาท
   
“แต่นางยังเป็นนักโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
   
“อะไรนะ หุบปากนะ นักโทษอะไรกัน นี่เจ้ากล้ากล่าวหาว่าใครเป็นนักโทษ แก้มัดท่านแม่ข้าเดี๋ยวนี้  แก้มัดท่านแม่ข้าเดี๋ยวนี้”
   
“พระสนม”
   
“ทำอะไรอยู่ เชิญพระสนมฮีบินไป” ชอนซู  สั่งทหาร

ใต้เท้าซอ เข้าเฝ้าพระเจ้าซุกจง


“เจ้าหน้าที่กองปราบ ได้รับคำสารภาพจากอันธพาลที่ถูกว่าจ้างจากนายหญิงยูนแล้วพ่ะย่ะค่ะ ที่เหลือก็แค่คำสารภาพจากปากนายหญิงยูนเอง เพื่อสืบหาคนที่เกี่ยวข้องคนอื่น ฝ่าบาท”
   
“คนที่พยายามจะฆ่าซุกบินกับองค์ชาย เป็นยายของรัชทายาทเองงั้นหรือ รัชทายาท  รัชทายาทรู้เรื่องนี้รึเปล่า?”

พระเจ้าซุกจงเสด็จไปหาองค์ชายลียูน  ตรัสว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดขององค์ชาย


“เสด็จพ่อ ลูกจะชดใช้ความผิดนี้ยังไง ลูกจะไปชดใช้หนี้บาปพวกนี้ได้ยังไงเสด็จพ่อ”
   
“รัชทายาท”
   
ฮีเจ บอกกับเหล่าขุนนาง ว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนของตำหนักโบคยอง พวกเค้าคิดจะโค่นล้มรัชทายาทกับพระสนมฮีบิน เพื่อให้พระสนม       ฮีบินยังมีทางถอย ดังนั้นขอให้ทุกท่านต้องยิ่งกล้าหาญออกหน้ามาปกป้องพระสนม

   
“แต่ว่าข้าได้ยินว่าขุนนางกลุ่มโซนนเองก็วางมือไปแล้ว กลุ่มฝ่ายใต้มีกำลังเพียงน้อยนิด จะไปทำอะไรได้ล่ะ?”
   
“หมายความว่า พวกท่านคิดจะทรยศพระสนมที่ช่วยหนุนอำนาจให้กลุ่มฝ่ายใต้ในราชสำนักมานานรึ?”
   
“ทรยศอะไร  คนที่ทำกลายเป็นอย่างนี้ ก็คือนายหญิงยูนกับพระสนมฮีบิน”
   
“หน็อยแน่ะ ไอ้บัดซบ ใครทำให้เจ้าได้มาอยู่ในตำแหน่งนี้ ยังมีหน้ามาพูดอย่างนี้อีกเรอะ ฮึ่ย เจ้าจะเลือกอะไร เจ้าอยากจะตายมันตรงนี้  หรือไปเสี่ยงตายที่ท้องพระโรงเลือกเอา” ฮีเจ ขู่
   
“ใต้ ใต้เท้า นี่ท่านบ้าไปแล้วรึไง”
   
“ใช่ข้าเป็นบ้าไปแล้ว ถ้าไม่อยากตายด้วยมือของคนบ้า  ก็รีบไปหาทางช่วยพระสนมเดี๋ยวนี้นะ”
   
“ใต้เท้า ทำอย่างนี้ไม่ได้นะ”
   
“ปล่อยข้า ข้าจะไม่ปล่อยไอ้พวกทรยศ ไม่ปล่อยมันเอาไว้แน่”
   
“ใจเย็นไว้ใต้เท้า”

พระสนมฮีบิน ตัดสินพระทัยเสด็จมาหาขุนนางกลุ่มโซนน


“ปล่อยให้พระสนมรออยู่ข้างนอกตั้งนาน ทำไมพวกเค้าถึงได้เสียมารยาทอย่างนี้” ยองซอน กล่าว
   
“เจ้าอย่าเพิ่งพูดมาก ตอนนี้พวกเค้าต้องการอะไร  แม้แต่หัวใจก็ควักให้ได้” พระสนมฮีบิน ตรัส
   
“พระสนม ทำไมมาคนเดียว เสนาขวาล่ะ”
   
“ขอประทานอภัย ท่านเสนาบดีเข้านอนแล้วขอรับท่านซังกุง”
   
“อะไรนะ นี่เจ้า..”
   
“ตอนนี้ข้ามีเรื่องที่ด่วนมาก จะต้องพบใต้เท้า เจ้าช่วยไปบอกที”
   
“ขอ ขอประทานอภัย พระสนม ท่าน ท่านเสนาบดี ให้ ให้กระหม่อม มากราบทูลอย่างนี้พ่ะย่ะค่ะ ว่าทุกอย่างมันจบสิ้นแล้ว คงจะทำอะไรไม่ได้อีก”
   
“พวกมัน พวกมันถึงกับบังอาจให้พ่อบ้านคนนึงมาไล่ข้าเหรอ พวกมันทำได้..”
   
“พระสนม”

พระราชามีราชโองการให้สอบสวนนักโทษยูนที่ถูกคุมขังอยู่ที่ศาลไต่สวนแล้ว และฝ่ายตรวจการก็ได้รับหน้าที่ให้ตามสืบหาคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด จองซังกุง จึงสั่งให้จับตัว โซซังกุง และยางซอนมาไต่สวนด้วย
   
ฮีเจ ทูลพระสนมฮีบินให้เข้มแข็งเอาไว้ ยังไงก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้

   
“อนาคตของรัชทายาทไม่เหลือแล้ว  แม้แต่ ท่านแม่ก็ยังถูกพวกมันจับตัวไปหมด จะมีเหตุผลอะไร ที่ข้าควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกล่ะ”
   
“ต้องแก้แค้นพวกมัน ทุกอย่างที่พวกมันแย่งชิงไปจากท่าน ความแค้นในครั้งนี้ ท่านไม่ควรมีชีวิตอยู่เพื่อแก้แค้นรึ?”

“เพื่อแก้แค้นรึ นั่นสิ นั่นสินะ ข้ายังมีแค้น ที่ยังไม่ได้ตอบแทนอยู่นี่”
   
“พระสนม”
   
“ท่านพูดถูกพี่ชาย ข้าไม่มีวันยอมให้พวกมันแย่งทุกอย่างไปจากข้า ถ้าหากข้าต้องเสียไป ซุกบินก็ต้องเสียมันด้วย ถ้ารัชทายาทต้องถูกโค่น ลูกของซุกบินก็ต้องมีจุดจบที่เหมือนกันด้วย”  

พระสนมฮีบิน และฮีเจวางแผนที่จะกำจัดทงอีและองค์ชายกึมอีกครั้ง คนของใต้เท้าซอเห็น ฮีเจมาทำลับ ๆ ล่อ ๆ ที่หน่วยเชื้อเพลิง จึงนำเรื่องไปบอกให้ใต้เท้าซอและชอนซูรู้ จึงได้นำทหารมาเฝ้าตำหนัก


“ท่านว่าข้ากับองค์ชายอาจมีอันตรายรึ?”
   
“ตอนนี้พระสนมฮีบินถูกบีบจนจนตรอก  ก้าวต่อไปพวกเค้าคิดจะทำอะไร คงไม่มีใครคาดเดาได้อีกแล้ว” ชอนซู ทูล

ชอนซูเห็นว่าทงอีและองค์ชายกึมอาจจะตกอยู่ในอันตราย จึงทูลขอให้ย้ายไปอยู่ตำหนักที่ปลอดภัยเพื่อให้คุ้มกันได้ง่าย
   
“เฮ้อ เอจอง”
   
“เพคะ”
   
“รีบไปเร็ว รีบไปพาองค์ชายมาที่นี่”
   
“เพคะพระสนม”


“เสด็จแม่ จะรีบร้อนไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
   
“เราต้องรีบไปอยู่ที่ตำหนักอื่นก่อนจ้ะ”
   
“เพราะอะไรหรือ หรือว่าในวังเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก”
   
“กึมจ๊ะ เจ้าฟังแม่ให้ดีนะ วันนี้เจ้าอย่าอยู่ห่างแม่แม้แต่ก้าวเดียวล่ะ”
   
“เอ๊ะ พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”
   
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องอยู่ข้างแม่ตลอดเข้าใจมั้ย”
   
“เข้าใจพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”
   
“ไปเถอะ”
   
“เชิญเสด็จ” ใต้เท้าซอ กล่าวทูล

คนร้ายเข้ามาลอบวางเพลิงที่ตำหนักองค์รัชทายาท
   
“ไฟไหม้ ๆ ๆ ๆ”


“นั่นมันตำหนักรัชทายาทนี่” ทงอี กล่าว
   
“พี่ชาย” องค์ชายกึม ตรัส
   
“ไฟไหม้ ๆ ๆ ๆ”
   
“ท่านซังกุง ตำหนักตะวันออก ตำหนักตะวันออกไฟไหม้ค่ะ” จองอิม กล่าวทูล
   
“หลีกทางหน่อย ๆ ๆ หลีกไป” ทหารร้องตะโกน
   
“ทำยังไงดี ๆ” นางในหลายคนตกใจ
   
“รัชทายาทล่ะ รัชทายาทอยู่ที่ไหน”
   
“ตอนนี้ยังหาไม่พบเลยขอรับ” ทหารกล่าว
   
“ยังหาไม่พบเหรอ หรือว่าเสด็จหนีไปหลบที่อื่นแล้ว”
   
“ขอรับ”
   
“มัวทำอะไรกันอยู่ รีบไปตามหากันสิ”
   
“รัชทายาท ๆ”

ขันทีกล่าวทูลพระเจ้าซุกจงว่าไฟไหม้ตำหนักตะวันออก
   
“รัชทายาทล่ะ ตอนนี้รัชทายาทอยู่ที่ไหน?”
   
“ขอประทานอภัย ตอนนี้ยังไม่มีใครหาพบ ทหารองครักษ์กำลังไปพ่ะย่ะค่ะ”
   
“หา?”
   
วูนเทคไปดูเหตุการณ์ไฟไหม้แล้วรีบกลับมาทูลให้ทงอีทราบ

   
“ดูเหมือนไฟจะโหมแรงกว่าที่คิดพ่ะย่ะค่ะ ถึงหน่วยดับเพลิงจะเร่งดับไฟ แต่เหมือนจะควบคุมไว้ไม่ได้ง่าย ๆ”
   
“แล้วรัชทายาทล่ะ ท่านเสด็จไปประทับในที่ปลอดภัยแล้วรึยัง?”
   
“ใต้เท้า”
   
“ตอนนี้ ยังไม่พบว่าองค์รัชทายาทอยู่ไหนพ่ะย่ะค่ะ” วูนเทค กล่าวทูล
   
“แปลว่า องค์รัชทายาทอาจติดอยู่ข้างในงั้นเหรอ?”
   
“ทางหน่วยดับเพลิงเข้าไปช่วยแล้ว แต่เหมือนว่าตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่ารัชทายาทอยู่ไหนพ่ะย่ะค่ะ”
   
“เสด็จแม่”
   
“ลูกแม่”
   
“ดับไฟเร็ว ๆ ดับไฟ ดับไฟให้ได้ มาช่วยกันดับไฟเร็ว เร็วหน่อย ๆ”
   
“เป็นยังไงบ้าง องค์รัชทายาทล่ะ?” ชอนซู ถาม
   
“ขอรับ ข้าระดมทหารศาลไต่สวนทั้งหมดออกค้นหาแล้วขอรับ” ผู้ช่วยของใต้เท้าซอ กล่าว
“ใช่ใต้เท้า” จงคู กล่าว
   
“นั่นมัน นั่นมันเสียงระฆังนี่” ชอนซู กล่าว
   
“ไฟไหม้แรงจนเหมือนควบคุมไม่อยู่แล้ว แค่หน่วยดับเพลิงอย่างเดียวคงเอาไม่อยู่ ก็เลยตัดสินใจตีระฆังแจ้งเหตุ ให้คนข้างนอกเข้ามาช่วยขอรับ โอ๊ย จะทำยังไงกันดี ใต้เท้า” จงคู ถาม

ใต้เท้าซอ ให้ทหารไปรวบรวมคนมาช่วย


“เป็นไงบ้าง เตรียมพร้อมรึยังหา?”
   
“กำลังแถบนี้ที่รวบรวมได้ก็รวมมาหมดแล้วขอรับ”
   
“ตอนนี้ลมพัดแรง ไฟกำลังจะลามไปที่ตำหนักใกล้เคียง เราต้องเร่งมือกันหน่อย” ใต้เท้าซอ สั่ง
   
“ขอรับใต้เท้า”

ฮีเจ เข้ามาทูลรายงานพระสนมฮีบิน
   
“ตอนนี้ตำหนักโบคยองมีทหารคุ้มกันแน่นหนามาก อย่าว่าแต่ตำหนักโบคยองเลย แม้แต่โอกาสจะลอบเข้าไปในวังยังยากเลย เราจะมีวิธีให้มือสังหารฝ่าวงล้อมเข้าไปยังไง”
   
“ใช้ไฟไงล่ะพี่ชาย”
   
“ใช้ไฟงั้นเหรอ?”
   
“ใช่ ถ้าในวังเกิดไฟไหม้ จนหน่วยดับเพลิงไม่สามารถคุมเพลิงไว้ได้ ก็จะเคาะระฆัง เพื่อเรียกประชาชนและขุนนางนอกวังให้เข้าไปช่วยดับเพลิงในวังหลวง เราต้องอาศัยไฟให้ช่วยเปิดประตูเมืองให้เรา”
   
“พระสนม”
   
“ถึงตอนนั้น จะมีประชาชนมากมายเข้าไปในวังหลวง ใช้จังหวะชุลมุน ฆ่าซุกบินกับลูกมัน จัดฉากว่าถูกพวกอันธพาลที่ฉวยโอกาสเข้าไป ขโมยของในตำหนักฆ่าตาย เข้าใจรึยังคะ”

องค์ชายกึมเป็นห่วงความปลอดภัยของรัชทายาท ทงอีจึงขอให้ชอนซู รีบไปช่วยที่ตำหนักรัชทายาทจะปล่อยให้เป็นอันตรายไม่ได้ ต้องตาม หารัชทายาทให้เจอ


“แต่ว่าพระสนม..”
   
“ข้ากับองค์ชายไม่เป็นอะไรหรอก ท่านรีบพาทหารไปช่วยเร็วเถอะ ไปเร็วเข้าเถอะ”
   
“ท่านลุง ท่านต้องช่วยรัชทายาทให้ได้นะ ขอร้องล่ะท่านลุง”
   
“พี่ชอนซูคะ”
   
“พ่ะย่ะค่ะพระสนม องค์ชายไม่ต้องเป็นห่วงนะ องค์รัชทายาทจะต้องปลอดภัยแน่นอน พวกเจ้าสองคนอยู่นี่ ส่วนคนอื่นตามข้าไปตำหนักตะวันออก ตามข้ามา”
   
“ขอรับ”

พระเจ้าซุกจงเป็นห่วงองค์รัชทายาทจึงเสด็จมาที่ตำหนัก ด้านชอนซูพบหลักฐานที่รองเท้าขนวัว ที่เป็นรองเท้าของพวกขโมย ใช้เพื่อไม่ให้ทิ้งรอยเท้า ด้านเอจองรีบทูลเชิญองค์ชายกึมเสด็จไปตำหนักใหม่


“คือว่าเอจอง ข้าไม่เป็นไรหรอก ช่วยไปถามข่าวที่ตำหนักรัชทายาทให้ที”
   
“แต่ว่า..”
   
“ขอร้องล่ะ ไม่รู้ไฟดับรึยัง รัชทายาททรงปลอดภัยมั้ย ข้าอยากแน่ใจเรื่องนี้ก่อนแล้วค่อยไป” องค์ชายกึม ตรัส
   
“เพคะองค์ชาย”
   
“พี่ชาย เฮ้อ..”
   
คนร้ายอาศัยจังหวะที่ชุลมุนมีประชาชนเข้ามาช่วยดับไฟ และไม่มีองครักษ์คุ้มกันทงอี และองค์ชายกึม ลอบเข้ามาทำร้ายทงอีและลูกชาย ทงอีถูกฟันกลางหลังเพราะเข้าปกป้ององค์ชายกึม จนตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัส



* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี

หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่  (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา