วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ตอนที่ 55




พระเจ้าซุกจงมีรับสั่งให้ประหารพระสนมฮีบินด้วยการกินยาพิษ คำขอร้องสุดท้ายของอ๊กจอง คือขอให้ทงอีช่วยคุ้มครองชีวิตของรัชทายาท การตายของอ๊กจองทำให้รัชทายาทเสียใจมาก ส่วนพระเจ้าซุกจงก็ทำตามความต้องการของทงอี คือคัดเลือกพระมเหสีคนใหม่ พระมเหสีอินวอน

เนื้อเรื่อง:



จองซังกุงมารายงานทงอีเรื่องพระสนมฮีบิน

 “ให้ดื่มยาพิษงั้นเหรอ?”

 “เพคะพระสนม ฝ่ายตรวจการเพิ่งจะได้รับราชโองการมาอย่างนี้เพคะ”

 “ลงโทษเมื่อไหร่ ทรงมีรับสั่งให้ประหารในวันไหนหา?”

 “วันนี้เพคะพระสนม” จองอิม ทูล

 “ฝ่าบาทมีราชโองการให้พระราชทานยาพิษเพื่อประหารในวันนี้เพคะ” จองซังกุงทูล


“พระสนมฮีบินพระสนมเอกเรือนชีซอน เป็นถึงพระมารดารัชทายาทกลับไม่ดำเนินหน้าที่อันพึงมีของตน กลับไปร่วมวางแผนกระทำความผิดร้ายแรงทั้งหมดที่กล่าวมา ความผิดนี้จึงไม่อาจให้อภัยได้เช่นกัน ดังนั้นข้าจะขอตัดสินให้พระสนมมีโทษเท่าเทียมกัน วันที่ 8 เดือน 10 ปีซินซา ให้พระสนมจางฮีบินพ้นจากตำแหน่ง และพระราชทานยาพิษให้”

พอทงอีทราบคำตัดสินให้สนมฮีบินกินยาตาย ทงอีก็รีบมาเข้าเฝ้าพระเจ้าซุกจง พระเจ้าซุกจงตรัสด้วยความเสียพระทัยว่าไม่ได้อยากที่จะมีคำตัดสินเช่นนี้แต่ก็จำเป็น องค์ชายลียูนมาขอร้องให้  ทงอีช่วยพูด


“พระสนม พระสนม ได้โปรดช่วยเสด็จแม่ด้วย ขอร้องล่ะช่วยพูดกับเสด็จพ่อที ถ้าพระสนมยอมช่วยพูดให้ เสด็จพ่อต้องยอมละเว้นโทษตายให้แน่”

 “รัชทายาท” ทงอีทำหน้าลำบากใจ เพราะนางได้พูดกับพระเจ้าซุกจงแล้วแต่ไม่เป็นผล

“ไม่สิ ให้ข้าไปเองดีกว่า” องค์ชายลียูนเห็นท่าทางลำบากใจของทงอี “ถือว่าข้าขอร้องล่ะ ได้โปรดช่วยให้ข้าได้พบเสด็จพ่อด้วยเถอะ ได้โปรด ข้าขอร้องล่ะพระสนม” องค์ชายลียูนถึงกับคุกเข่า “รัชทายาท อย่าทำอย่างนี้สิ ท่านไม่ควรทำอย่างนี้รัชทายาท”

 “ข้าขอร้อง ได้โปรดให้อภัยเสด็จแม่ด้วย ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะข้าเอง ที่เสด็จแม่ทำลงไปก็เพื่อข้า ท่านทำไป เพื่อคนไม่เอาไหนอย่างข้า ทั้งหมดนี้ เป็นความผิดข้าคนเดียว” ลียูนอ้อนวอนทงอี

“รัชทายาท”


“เจ้าบอกข้าได้มั้ย รัชทายาทยังคงมีโอกาสอยู่ใช่รึเปล่า ข้ายังมีทางจะเลือกได้อีกมั้ย…ยังมีทางที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตารัชทายาทได้รึเปล่า ฮือ ๆๆ จริงอยู่ ข้าเคยอยากจะฆ่าเจ้า อยากจะฆ่าเจ้านับครั้งไม่ถ้วน แต่พอมาถึงตอนนี้ คนที่ข้าจะขอให้ช่วยคุ้มครองรัชทายาทก็มีแต่เจ้า คนที่ข้าเคียดแค้นมาตลอดอย่างเจ้า มีแต่เจ้าเท่านั้น ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง…มันจบลงไปพร้อมกับความตายของข้า ดังนั้นข้าขอร้อง มีแต่รัชทายาทเท่านั้น มีแต่เด็กคนนั้นที่ข้าต้อง…เจ้าช่วยคุ้มครองเค้าด้วยซุกบิน ขอร้องล่ะซุกบิน เจ้าช่วยคุ้มครองเด็กคนนั้นด้วยเถอะนะ นี่เป็นคำขอสุดท้ายของข้า ฮือ ๆๆ ได้โปรด ได้โปรดฟังคำขอสุดท้ายข้าด้วย คุ้มครองรัชทายาท ลูกของข้าด้วย…ฮือ ๆๆ ข้าขอร้องเจ้าละข้าขอร้องล่ะนะซุกบิน ฮือ ๆๆ ข้าขอร้องล่ะนะ ช่วยคุ้มครองลูกข้าด้วย ซุกบิน ๆ ถือว่าข้าขอร้องล่ะ ช่วยคุ้มครองรัชทายาทด้วย…”

สนมฮีบินร้องไห้น้ำตาไหลพรากอ้อนวอน  ทงอี



 

กลุ่มขุนนางหัวเก่าไม่ยอมรับทงอี และเรียกร้องให้พระเจ้าซุกจงแต่งตั้งมเหสีองค์ใหม่ ที่มีชาติกำเนิดจากชนชั้นสูง กลุ่มของวูนเทคคัดค้านความคิดนี้ จึงทำให้มีการถกเถียงกันในสภาอย่างมาก



“ฝ่าบาท ตำแหน่งพระมเหสี เป็นตำแหน่งสูงสุดที่ประชาชนจะเทิดทูนไว้เหนือหัว ตำแหน่งเช่นนี้จะยอมให้ชนชั้นต่ำมาเป็นได้ยังไงกัน เช่นนี้จะทำให้ราชวงศ์เสื่อมพระเกียรติได้พ่ะย่ะค่ะ”

“พวกท่านกับขุนนางชนชั้นสูงไม่ใช่รึ ตอนนี้คนที่กำลังหลู่เกียรติราชวงศ์ก็คือพวกท่านเอง อย่าทำเป็นเอาชาติ พวกท่านอย่าเอาประชาชนมาเป็นข้ออ้างเลย ยอมรับพระสนมซุกบิน มีแต่ขุนนางใหญ่อย่างกำเนิด มาเป็นข้ออ้างเพื่อลดพระเกียรติพระสนมให้ต่ำลง” วูนเทคกล่าวค้าน

 “หนอยแน่ะ ระวังคำพูดท่านหน่อย นี่ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท…”

“พอแล้ว หยุดพูดกันได้แล้ว” พระเจ้าซุกจงตวาดเสียงดัง
    
“ฝ่าบาท ที่กระหม่อมเป็นห่วงไม่ใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้น หลังพระสนมฮีบินสิ้นพระชนม์ ทั่วทั้งเมืองหลวงก็มีข่าวลือเรื่องความปลอดภัยขององค์รัชทายาท จนประชาชนตื่นตระหนกกันไปทั่ว และถ้าหากทรงตั้งพระสนมซุกบินขึ้นเป็นพระมเหสีในเวลานี้ เช่นนี้ก็ไม่ต่างจากการประกาศต่อผู้คน ว่า ตำแหน่งรัชทายาทอาจจะไม่มั่นคงอีกต่อไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ถ้าทรงคำนึงถึงองค์รัชทายาท ฝ่าบาทก็ควรจะคัดเลือกพระมเหสีพระองค์ใหม่ ขอให้ทรงพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
    
“ฝ่าบาท เหลวไหลพ่ะย่ะค่ะ ขณะนี้ฝ่ายในมีพระสนมที่มีอำนาจปกครองอย่างเต็มที่ เรื่องนี้ไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
    
พอทงอีทราบเหตุผลที่เหล่าขุนนางคัดค้านนาง ก็เอ่ยเห็นด้วย


“ขุนนางกลุ่มโซนนพูดถูกต้องแล้ว ถ้าข้าขึ้นครองตำแหน่งพระมเหสีจริง ถึงตอนนั้นต่อให้ข้าพยายามหนีแค่ไหน ขุนนางกลุ่มโนนน ก็จะต้องพยายามโค่นล้มองค์รัชทายาท”
    
“แต่ว่าพระสนม แล้วความปลอดภัยของพระสนมกับองค์ชายล่ะพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้จะปกป้องรัชทายาท ก็ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ” ชอนชูติง

 “ใช่แล้ว หัวหน้าศาลพูดถูกพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทต้องเป็นพระราชาถึงจะรอดได้ องค์ชายยอนอิง ก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แตกต่างกัน”
    
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ให้พวกเค้าเป็นพระราชาทั้งคู่” ทงอีกล่าวในสิ่งที่ทุกคนรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจ 

“ทำไมต้องยึดติดว่าระหว่างเค้าสองคนจะมีคนใดคนนึงรอดได้ ข้าเชื่อว่าจะต้องมีทางที่ทำให้ทั้งสองคนมีชีวิตรอดต่อไปได้ทั้งคู่”
    
“พระสนม พระองค์หมายความว่า...”
    
“ข้าจะไม่ยอมทิ้งใครคนใดคนนึงเป็นอันขาด ต่อให้สูญเสียทุกอย่างข้าก็ไม่สน ไม่ว่ายศตำแหน่ง หรือว่าจะอะไรก็ตาม รวมถึงชีวิตข้า ข้าก็ยินยอมจะแลกไป ข้าของสาบานว่า จะต้องปกป้ององค์รัชทายาท กับองค์ชายยอนอิงให้ได้”

องค์ชายยอนอิงเสียพระทัยมากที่องค์ชายลียูนเมินเฉยกับตนเอง ทงอีเห็นลูกชายเศร้าโศกจึงเข้ามาปลอบ

  

“กึม รัชทายาทไม่ได้เกลียดเจ้าจริงหรอก ท่านไม่ได้เจ็บปวดเพราะเจ้า แต่ว่ารู้สึกเจ็บปวดเพราะตัวท่าน เพราะฉะนั้น รัชทายาทถึงได้เจ็บปวดอย่างนั้นไง ท่านไม่ได้โกรธแค้นเจ้าจริง ๆ หรอก”
    
“เป็นความจริงหรือเสด็จแม่ พี่ชายเค้าไม่ได้เกลียดลูกจริง ๆ หรอกเหรอ ท่านจะยังยอม สอนลูกเล่นโยนไหเหมือนสมัยก่อนมั้ย ท่านจะยอมสอนหนังสือลูกใช่มั้ย”
    
“เชื่อแม่สิจ๊ะกึม แม่ขอสัญญาว่า มันจะต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าจะเจ้าหรือรัชทายาท แม่จะต้องปกป้องไว้ทั้งสองคน” ทงอีพูดจากใจจริง
    
“เสด็จแม่” องค์ชายยอนอิงดีใจเข้าไปกอดเสด็จแม่
  
องค์ชายลียูนเครียดหนักถึงขนาดจะเผาตำราการเป็นกษัตริย์ทิ้ง แต่พระเจ้าซุกจงมาเห็นเข้าเสียก่อน


“นั่นเจ้าจะทำอะไรหา รัชทายาท”
    
“เพราะหม่อมฉันไม่จำเป็นต้องใช้มันแล้ว ก็เลยคิดจะเผามันทิ้งให้หมด”
    
“อะไรนะ เผามันให้หมดรึ?”
    
“พ่ะย่ะค่ะ ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ พระสนมซุกบินกำลังจะได้เป็นพระมเหสี ถึงตอนนั้นลูกก็ต้องถูกปลดจากรัชทายาทอยู่ดี ตำราพวกนี้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว”
    
“รัชทายาท หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้ ทำไมถึงพูดอะไรเหลวไหลอย่างนี้ออกมา...” พระเจ้าซุกจงโกรธมาก
    
“ใคร ๆ ก็พูดกันอย่างนี้ และนี่ก็เป็นสิ่งที่เสด็จพ่อต้องการไม่ใช่เหรอ ให้องค์ชายยอนอิง ได้มาเป็นพระราชาแทนข้า เสด็จพ่อทรงคิดอย่างนี้ไม่ใช่รึไง?” องค์ชายลียูนตรัสอย่างเหลืออด
    
“รัชทายาท” พระเจ้าซุกจงเสียงเข้ม
  
ทงอีครุ่นคิดหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะดูจะไม่มีใครมีความสุขเลย ทงอีตัดสินใจเข้าเฝ้าพระเจ้าซุกจง


“เข้าพระทัยความรู้สึกของรัชทายาทด้วยเพคะ ได้โปรดเข้าพระทัยด้วย ในเวลานี้คนที่เจ็บปวดมากกว่าใครก็คือองค์รัชทายาทนะเพคะ หม่อมฉันตัดสินใจแล้วว่าจะไม่รับตำแหน่งพระมเหสี”
    
“แต่ว่าทงอี...” พระราชาตกพระทัยและพอจะเดาออกว่าทงอีจะตัดสินใจเช่นนี้
    
“ทำเช่นนี้ จึงจะช่วยยับยั้งไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้ายในวังอีก เพราะในวังหลังมีสิทธิครองตำแหน่งพระมเหสี พระสนมฮีบินถึงทนทุกข์ทรมานอยู่กับการถูกความหวังครอบงำมาตลอดชีวิตของนาง กระทั่งสุดท้ายก็ได้...ทิ้งบาดแผลเอาไว้ในใจของทุกคนเพคะ ดังนั้นถ้าหากหม่อมฉัน ยังจะขึ้นไปดำรงตำแหน่งพระมเหสีนี้อีก ราชวงศ์ก็จะเกิดโศกนาฏกรรมซ้ำเดิมอีกครั้งนึงแน่เพคะ”
    
“ด้วยเหตุนี้ เจ้าเลยคิดจะละทิ้งโอกาส  เจ้ายอมทิ้งโอกาสที่จะได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ไปหรือ?”
    
“เพราะว่ายังมีสิ่งที่มีค่ากว่านั้นเพคะ สิ่งที่มีค่ากว่าได้ครอบครองทุกอย่างและการไปอยู่บนตำแหน่งสูงสุด อย่าทำให้หม่อมฉันต้องสูญเสียสิ่งที่มีค่านั้นไปเลย สิ่งที่มีค่าไม่ใช่ตำแหน่งหรืออำนาจ สิ่งที่คู่ควรจะให้หม่อมฉันทุ่มเทหัวใจทั้งหมดไปรักษาดูแลมัน ฝ่าบาทอย่าได้ทำให้เรื่องร้าย ๆ ในวังพวกนั้นหวนมาอีก หม่อมฉันขอร้องนะเพคะฝ่าบาท”

“ทงอี” พระเจ้าซุกจงตรัสอย่างซึ้งพระทัยในน้ำใจของทงอี
    
พระเจ้าซุกจงยอมทำตามที่ทงอีขอร้องจึงมีคำสั่งให้กรมพิธีการดำเนินการเพื่อเลือกหาพระมเหสีพระองค์ใหม่ และเพื่อที่จะฟื้นฟูระบบโครงสร้างของราชวงศ์ขึ้นใหม่ จึงมีกฎไม่ให้พระสนมวังหลังคนใดสามารถที่จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งพระมเหสีได้อีก และเป็นกฎที่พระราชาในอนาคตต้องถือปฏิบัติตาม 
    
มูยอลได้ข่าวก็รีบมาพบทงอี


“พระสนมใช่มั้ย เป็นพระสนมใช่มั้ยพ่ะย่ะค่ะ ที่ทรงปฏิเสธตำแหน่งพระมเหสี นี่เป็นการตัดสินพระทัยของท่านหรือพ่ะย่ะค่ะ”
    
“ใช่ ใต้เท้าพูดถูกแล้ว” ทงอียอมรับ
    
“และสุดท้ายพระองค์จะเสียพระทัย ที่ทรงปฏิเสธที่จะร่วมมือกับกระหม่อมและตัดสินพระทัยโยนอำนาจที่มีทิ้ง” มูลยอลกล่าวอย่างผิดหวัง
    
“อย่างนั้นหรือ มันจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือ? บางทีในสายตาของท่านข้าอาจจะเป็นคนที่ไม่ได้เรื่อง แต่ในสายตาข้าท่านต่างหากที่เป็นอย่างนั้น เพื่อแสวงหาอำนาจ ยอมทรยศผู้อื่น ยอมเข่นฆ่านองเลือด ให้เลือดชดใช้ด้วยเลือดไม่จบสิ้น นั่นมันไม่ใช่ทั้งหมดของโลกนี้หรอก ท่านอย่าได้ตัดสินว่าคนทุกคนจะเหมือนท่านไปซะทั้งหมด ในโลกนี้คนที่มีชีวิตอยู่ด้วยการไม่เหยียบย่ำคนอื่น น่าจะยังมีมากกว่า คนที่เสียสละตัวเองโอบอุ้มและให้อภัยผู้อื่นอย่างจริงใจ เห็นหนทางนี้เป็นทางแห่งความสุขคนแบบนี้ ยังมีอีกอยู่อีกเยอะ การเมืองงั้นรึ อยู่ในราชสำนักไม่เป็นตัวของตัวเองรึ? ไม่หรอก ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ข้าจะพิสูจน์ให้ท่านเห็นว่าไม่ต้องใช้วิธีเหยียบย่ำคนอื่นอย่างท่านก็สามารถประสบความสำเร็จได้ อยู่ท่ามกลางวังหลวง และกับการเมืองที่ใต้เท้าพูดถึงนี่แหละ” ทงอีกกล่าว
    
มูยอลโมโหมากตรงกลับที่พัก พร้อมกับบ่นอุบ “ถึงจะรู้ว่านางเป็นคนโง่เกินเยียวยา แต่ไม่คิดว่าจะหนักหนาขนาดนี้ ก็ได้ ถ้าพระมเหสีคนใหม่เข้าวังมาแล้ว นางจะรู้จักอำนาจ แล้วดูสิว่านางจะยังพูดอย่างนี้อยู่ได้อีกรึเปล่า คอยดูไปแล้วกัน”


ทงอีบอกกับใต้เท้าซอ  ชอนซู และวูนเทคว่านางต้องการให้องค์ชายลียูนขึ้นครองราชย์ วูนเทคพยายามคัดค้าน แต่ทงอีบอกเหตุผลทำให้ทุกคนยอมรับ โดยทงอีวางแผนไว้ว่าจะให้องค์ชายลียูนขึ้นเป็นรัชทายาท โดยให้องค์ชายยอนยิงเป็นพระอนุชารัชทายาท ซึ่งจะสามารถสืบราชบัลลังก์ต่อไปในอนาคต จะทำให้ทงอีสามารถคุ้มครององค์ชายทั้งสองพระองค์ได้ โดยที่ทั้งสองพระองค์จะปลอดภัย ไม่มีใครคิดร้ายหรือลอบปลงพระชมน์อีก
  
ไม่นานนัก พระราชาก็มีพระราชองค์การแต่งตั้งพระมเหสีพระองค์ใหม่ เป็นลูกสาวของจูชิน


“ตามพระราชประเพณี มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ คยองจู สกุลคิมขึ้นเป็นพระมเหสีสืบไปพระราชาและพระมเหสี จะให้คุณธรรมแห่งฟ้าดิน มาปกครองเหล่าพสกนิกร ให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข ดังนั้นเหล่าขุนนางและทวยราษฎร์ จงเคารพในพระเกียรติแห่งพระมเหสี” ข้าหลวงอ่านพระบรมราชโองการ
    
“พระมเหสี  ทรงพระเจริญ พันพันปี พันพันปีพ่ะย่ะค่ะ พระมเหสี  ทรงพระเจริญ พันพันปี พันพันปีพ่ะย่ะค่ะ” บรรดาข้าหลวงกล่าวสรรเสริญ


“พระมเหสีอินวอน” 
    
“นี่เจ้าคงจะเป็น สนมซุกบินใช่มั้ย?” พระมเหสีองค์ที่สองแห่งพระเจ้าซุกจงเสด็จมาพบทงอี และมองอย่างสำรวจ เพราะก่อนหน้านี้พระมเหสีทราบข่าวเรื่องที่ทงอีจะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมเหสี 
    
“หม่อมฉันเองเพคะพระมเหสี หม่อมฉันขอถวายพระพรพระมเหสี” ทงอีถวายความเคารพ
    
อินวอนวางท่าให้เห็นว่านางมีอำนาจเหนือพระสนม สร้างความไม่พอใจให้เหล่าซังกุงเป็นอย่างมาก
  
มูยอลรีบมาสวามิภักดิ์กับพระมเหสีพระองค์ใหม่


“จางมูยอลรองเจ้ากรมกลาโหม ถวายพระพรพระมเหสีพ่ะย่ะค่ะ หลายปีก่อนที่กระหม่อมเคยถูกส่งไปตรวจราชการลับที่ชอลลา ก็ทำให้มีโอกาสได้รู้จักกับใต้เท้า” มูยอลทำความเคารพ  ก่อนจะหันไปทางจูชิน บิดาของพระมเหสี
    
“ถ้าพูดถึงความซื่อตรง ไม่มีใครสู้ท่านรองเจ้ากรมกลาโหมได้เลย ในช่วงไปตรวจราชการลับ พ่อนับถือและเลื่อมใสท่านอยู่หลายเรื่องทีเดียว”
    
“ท่านชมเกินไปแล้วใต้เท้า”
    
“จะชมเกินไปรึเปล่า พอข้าได้รู้จักท่านมากขึ้นก็คงจะตอบได้เอง” 
    
“พระมเหสี  กระหม่อมจะทุ่มเทกำลังกายใจทั้งหมดเพื่อรับใช้พระมเหสี”
    
“บอกตามตรงก่อนจะเข้าวัง ข้ามีเรื่องนึงที่ไม่แน่ใจ และอยากจะรู้ความจริงมาโดยตลอด”
    
“อยากทราบหรือพ่ะย่ะค่ะ พระองค์อยากจะทราบสิ่งใด”

“ข่าวลือเกี่ยวกับพระสนมซุกบิน กับองค์ชายยอนอิงพระโอรสของนาง”
 
หลังจากพุดคุยกับมูยอล พระมเหสีองค์ใหม่ก็สั่งปฏิวัติฝ่ายในทันที
 
“ข้าจะทำอย่างแรก คือต้องการจะปฏิวัติฝ่ายในซะใหม่ ที่สำคัญ คือการรักษาตำแหน่งรัชทายาท ที่กำลังสั่นคลอนอยู่ ข้าเชื่อว่านี่เป็นหนึ่งในหน้าที่ที่พระมเหสีควรจะไปทำ แต่ข้าได้ยินว่าพระสนมซุกบินพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะให้องค์ชายยอนอิงได้เป็นรัชทายาทแทน เรื่องนี้เป็นความจริงรึ?

มเหสีอินวอนคัดเลือกนางกำนัลและแต่งตั้งเป็นนางในเพิ่มเพื่อมารับใช้นาง ในวันทำพิธีแต่งตั้งนางใน พระมเหสีพยายามจะจับผิดทงอี โดยเอาข้อผิดพลาดของงานมาอ้าง และเรียกทงอีไปคุยตามลำพัง



 “ขอประทานอภัยเพคะ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของหม่อมฉันเอง ได้โปรดอย่าลงโทษพวกนางเลยเพคะ” ทงอีกล่าว
 
“นั่นสิ เพราะแค่เข้าวังมาไม่กี่วัน ก็เห็น แล้วว่าปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้นเพราะเจ้า แต่ว่า หลังจากนี้ไปทุกอย่างจะกลับเข้าลู่เข้าทางแน่ อีกอย่างนึง ในเมื่อได้พบกันแล้ว ข้าก็อยากจะบอกอะไรเจ้าสักอย่าง เป็นเรื่องการอภิเษกขององค์ชายยอนอิง”
 
“พระมเหสี พระองค์ตรัสเรื่องการอภิเษกขององค์ชายยอนอิงหรือ?” ทงอีตกใจมาก  เพราะองค์ชายยอนอิงยังเด็กมาก
 
“ใช่แล้ว ข้าหมายความอย่างนั้นแหละ”
 
“แต่ว่าพระมเหสี การอภิเษก องค์ชายยอนอิงยังอายุ...” ทงอีพูดยังไม่ทันจบ มเหสีอินวอนก็ตรัสแทรก “ไม่หรอก อายุเท่านี้มากพอที่จะพูดถึงการอภิเษกได้แล้วล่ะ อีกอย่างเจ้าก็คงจะรู้ว่า นอกจากรัชทายาท องค์ชายทุกองค์ในวังหลวงจะต้องออกไปพำนักนอกวังหลังจากอภิเษกแล้ว”
 
“พระมเหสี ขอประทานอภัยเพคะ พระองค์ทรงหมายถึง...”
 
“ถูกต้อง ข้าหมายความว่า ตอนนี้ถึงเวลาสมควรที่จะจัดการอภิเษกให้กับองค์ชายยอนอิงและให้องค์ชายไปพำนักนอกวัง” มเหสีอินวอนกล่าว
 
“พระมเหสี” ทงอีเข้าใจเป้าหมายของพระมเหสีอินวอนทันที


* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี

หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่  (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา