วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ตอนที่ 57




พระเจ้าซุกจงที่กำลังกลัดกลุ้มกับปัญหาของรัชทายาทกับองค์ชายยอนอิง ได้ยกเลิกราชกิจทั้งหมด หลังจากตรึกตรองอยู่นานก็ได้เรียกประชุมเหล่าขุนนางที่ท้องพระโรง ประกาศว่าคนที่จะมาครองราชย์ต่อจากพระองค์คือรัชทายาทองค์นี้เท่านั้น อีกทั้งยังประกาศจะให้พระสนมซุกบินออกจากวัง

เนื้อเรื่อง:



  

พระเจ้าซุกจงทรงกลัดกลุ้มกับปัญหาของรัชทายาทกับองค์ชายยอนอิง ได้ยกเลิกราชกิจทั้งหมด เมื่อวูนเทคได้ข่าวก็เลยมาสอบถามชอนซูว่า ทรงพระประชวรรึเปล่า
 
“ใต้เท้า ตอนนี้ฝ่าบาทไม่ได้ทรงพระประชวรหรอก” ชอนซู กล่าว
 
“หา?”
 
“การที่ทรงยกเลิกราชกิจทั้งหมดในหลายวันนี้มันจะต้องมีสาเหตุอื่นแน่ใต้เท้า”
 
“แต่มันจะเป็นเรื่องอะไรล่ะ?” วูนเทค ถาม

วูนเทคมาเข้าเฝ้าทงอี จึงรู้ว่าได้กราบทูลข้อเสนอกับพระราชาไปแล้ว


“แต่ว่าพระสนมทำแบบนี้มันดูเสี่ยงจนเกินไป  ต่อให้พระราชาทรงเข้าใจพระองค์แค่ไหน  ถ้าหากเข้าใจผิดในเรื่องนี้...”
   
“ข้ารู้ดี ว่าสิ่งที่ข้าพูดไปอาจจะทำให้เข้าใจผิดยังไง แต่ว่านี่คือความตั้งใจจริง  เพราะข้ารู้ว่ามันอันตราย ข้ายิ่งไม่กล้าจะปิดบังต่อพระราชา”

วูนเทคมาขอความเห็นใต้เท้าซอ เรื่องที่อาจทำให้ถูกเข้าใจผิดว่าพระสนมคิดให้ร้ายรัชทายาท
 
“ไม่หรอก ไม่มีใครที่เข้าใจพระสนมซุกบินไปมากกว่าฝ่าบาทหรอก ดังนั้นพระองค์ต้องไม่เข้าใจแบบนั้น อีกอย่างฝ่าบาทเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดว่าถ้าจะให้องค์ชายยอนอิงรอดชีวิตได้ก็มีเพียงแต่จะต้องให้พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์”
 
“ถ้างั้นตอนนี้ฝ่าบาทกำลังใคร่ครวญเรื่องอะไรอยู่ล่ะ?”
 
“น่าจะเป็นการเลือกนะ” ใต้เท้าซอ กล่าว
 
“เอ๋?”
 
“คนเป็นพระราชาควรจะตัดสินใจยังไง พระองค์คงกำลังคิดอยู่”

ในที่สุดพระเจ้าซุกจง ก็เรียกประชุมขุนนาง โดยให้องค์รัชทายาทลียูนเสด็จตามด้วย

  

“วันนี้ที่ข้าเชิญรัชทายาทเข้ามาในท้องพระโรง ก็เพื่อที่จะประกาศการตัดสินใจครั้งสำคัญของข้ากับเหล่าขุนนาง ขอให้รัชทายาทจงจดจำคำพูดของข้าในวันนี้เอาไว้ให้ดี” พระเจ้าซุกจง ตรัส
 
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” องค์ชายลียูน ตรัส

“นับตั้งแต่องค์ชายยอนอิงได้เข้ามาสู่วังหลวง ข้าก็รับรู้มาตลอดถึงข่าวลือที่แพร่สะพัดอยู่ในวัง เพราะว่าข่าวลือเหลวไหลนี่ทำให้เหล่าขุนนางต่างต่อสู้กันมาโดยตลอด ดังนั้นนับจากนี้ไปจะไม่ให้มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการสืบราชบัลลังก์อีก รัชทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งพระราชา และเป็นผู้สืบราชบัลลังก์ ก็คือรัชทายาทที่นั่งอยู่ตรงนี้ เข้าใจมั้ย นี่คือความตั้งใจที่จะไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้น การกระทำใดที่จะสั่นคลอนตำแหน่งรัชทายาท ข้าจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นนับจากนี้ไป เพื่อจะให้รัชทายาทบังเกิดความคุ้นเคยกับราชกิจการบริหารบ้านเมือง ข้าจะให้รัชทายาทมาเข้าร่วมการประชุมด้วย กรมพิธีการและโยธา ให้ส่งฎีกาให้รัชทายาทตรวจ และเบื้องต้นให้ทำตามการตัดสินใจของรัชทายาท” พระเจ้าซุกจง ตรัส
 
“แต่ว่าฝ่าบาท เรื่องนี้เกรงว่าจะ..” อินกุ๊ก ทูล
 
“ตอนนี้ ข้ายังพูดไม่จบท่านเจ้ากรม เพราะยังมีอีกเรื่องนึง ที่ข้าจะต้องมาประกาศในที่นี้ นั่นก็คือ เรื่องที่เกี่ยวกับพระสนมซุกบิน”

พระเจ้าซุกจงมีรับสั่งให้พระสนมซุกบินไปประทับนอกวัง
 
“แต่ว่าฝ่าบาท เหตุผลที่ทรงทำเช่นนี้..” วูนเทค ทูล
 
“เหตุผลเรื่องนี้ พระสนมซุกบินคงจะรู้แก่ใจ และข้าก็คิดว่าเจ้าเองก็น่าจะรู้เหตุผลนี้ดีเช่นกัน ทั้งหมดนี้คือ สิ่งที่ข้าอยากจะบอกกับขุนนางทุกคน พระสนมซุกบินจะย้ายไปอยู่ตำหนักลีฮยอนนอกวัง ดังนั้นกรมโยธาจงไปบูรณะตำหนักตามคำสั่งของข้า  เมื่อการบูรณะเสร็จสิ้นแล้ว กรมพิธีการจงดำเนินการให้พระสนมออกจากวัง”

เมื่อพงซังกุงรู้ข่าวก็รีบมาทูลถามทงอี


“พระสนม ๆ นี่มันฟ้าผ่ากลางแจ้งแล้วเพคะ ทำไมต้องออกจากวังด้วย เพราะอะไรเพคะ”
 
“ต้องมีการเข้าใจผิดเกิดขึ้นแน่ ทำไมฝ่าบาทถึงได้ตัดสินพระทัยแบบนี้ได้ล่ะเพคะ” เอจอง กล่าวทูล
 
“อะไรกันเอจอง รีบไปสืบหาเหตุผลมาเร็ว”
 
“ค่ะท่านซังกุง”
 
“พระสนม ต้องมี...การเข้าใจผิดกันแน่เพคะ อาจเป็นแผนของพระมเหสี จะต้องเป็นแผนการแน่เลย”

ซางฮอน ดีใจที่พระราชาประกาศปกป้องรัชทายาท แถมยังขับไล่พระสนมซุกบินออกจากวังหลวงไปอีกด้วย ด้านจูซิก เมื่อรู้ข่าวจากยังดัลก็ตกใจ


“เป็น ๆ เป็นความคิดบ้า ๆ ของใครกันวะเนี่ย  ใครมันบ้าไล่พระสนมของเราออกไป โอ๊ะ พระมเหสีใช่มั้ย ใช่มั้ยหา ใช่รึเปล่า?” จูซิก ถาม
 
“ไม่ใช่หรอก เป็น ๆ เป็นพระราชาน่ะใต้เท้า เป็นพระราชา”
 
“พระ ๆ พระราชาเหรอ ทำไมล่ะ?”
 
“คงจะเป็นบ้าไปแล้ว  พระราชาจะต้องเป็นบ้าแล้วแน่ ๆ” ยังดัล กล่าว

จองซังกุง ถามวูนเทค เรื่องมีราชโองการให้เตรียมย้ายพระสนมซุกบินไปตำหนักนอกวัง
 
“มีราชโองการมาถึงฝ่ายตรวจการแล้วรึ?  แปลว่าพระราชาทรงตัดสินพระทัยเด็ดขาดแล้วจริง ๆ ด้วย”
 
“นี่เป็นพระประสงค์ของพระราชาจริง ๆ รึ?”
 
“ใช่ ก็เป็นอย่างนั้นแหละ”

องค์ชายลียูนรู้เรื่องราชโองการก็รีบเสด็จไปหาพระเจ้าซุกจง


“เสด็จพ่อ ทำไมตัดสินพระทัยแบบนี้ พ่ะย่ะค่ะ หรือว่า เป็นเพราะเรื่องข่าวลือที่แพร่สะพัดกันอยู่ในวังหลวง”
 
“ใช่แล้ว เรื่องนั้นแหละ”
 
“กระนั้นก็เถอะเสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เจตนาของพระสนมซุกบินเลย เรื่องนี้ลูกเองรู้ดีที่สุด  เพราะลูกเองก็เคยตัดพ้อพระสนมกับองค์ชายยอนอิง  แต่นั่นเป็นความผิดของลูกเอง  เป็นเพราะลูกกำลังรู้สึกผิดหวัง  ก็เลยเอาอารมณ์ไประบายใส่พระสนมซุกบินกับองค์ชายยอนอิงอย่างโง่เขลา”
 
“รัชทายาท”
 
“แต่พระสนมซุกบินกลับยอมให้อภัย เสด็จแม่ที่คิดร้ายพระสนมซุกบินกับองค์ชายยอนอิง  รวมถึงยังไม่เคยรู้สึกโกรธเคืองที่ลูกเคยทำแบบนั้น ในวังหลวง คนที่รักและห่วงใยลูกมากที่สุดคือ..พระสนมซุกบิน ดังนั้นได้โปรดเถอะ ถอนรับสั่งด้วยเถิดเสด็จพ่อ อย่าขับพระสนมออกจากวังไปเพราะเรื่องของลูกเลยพ่ะย่ะค่ะ”
 
“พ่อดีใจมากที่เจ้าสามารถคิดได้แบบนี้  ช่างนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง”
 
“เสด็จพ่อ”
 
“และยิ่งพ่อได้รู้ความรู้สึกในใจเจ้า พ่อยิ่ง..จะไม่มีวันเปลี่ยนความตั้งใจแน่”
 
“เสด็จพ่อ”
 
“เข้าใจรึเปล่า พ่อจะไม่ยอมเปลี่ยนราชโองการนี้โดยเด็ดขาด”

จองซังกุง และจองอิม ต้องการจะขัดราชโองการ แต่ทงอีบอกทั้งสองว่าอย่าทำให้เรื่องบานปลาย มันต้องมีเหตุผลพระเจ้าซุกจงถึงมีพระประสงค์อย่างนี้ จึงควรทำตามหน้าที่ปฏิบัติตามราชโองการ

โฮยาง มาบอก แทพุงเรื่องพระราชารับสั่งว่าจะให้พระสนมซุกบินออกจากวัง โดยได้ติดประกาศแจ้งด้วย แทพุงสงสัยว่าทำไมถึงได้ขับพระสนมที่ทรงโปรดออกมา


“โธ่เอ๊ย ข้าถึงได้กำลังโมโหอยู่นี่ไงล่ะ ตอนแรกอยู่ที่เดิมก็เกือบจะเสร็จลูกไปแล้ว แต่จู่ ๆ ก็มาแย่งไป พอถึงตอนนี้กลับมาทำทอดทิ้งมันใช้ได้ที่ไหนกัน คิดว่าตัวเองเป็นพระราชาแล้วแน่นักรึไง?”
 
“นี่แกบ้าไปแล้วเหรอ?”
 
“จะบ้าเหรอ ๆ” พัค กล่าว
 
 “ไม่เต็มรึไงหา?” แทพุง ถาม
 
“โอ๊ย เชื่อเลย นี่ท่านแม่ ท่านพ่อ อย่ามาขวางข้าเลยดีกว่า ครั้งนี้ข้าจะต้องฉุดเอานางไปอยู่ข้างกายของข้าให้ได้” โฮยาง กล่าว
 
“ไอ้นี่ท่าจะบ้า  นี่ ๆ น้องหญิง ก่อนที่เจ้าบ้ามันจะไปก่อเรื่อง เรามาหาผู้หญิงให้แต่งกับมันก่อนเถอะ”
 
“ผู้หญิงดี ๆ มีเยอะแยะไม่เอา ข้าจะทำยังไงดี”
 
“จะให้ทำไง ก็รีบใช้เชือกมาล่ามคอมันไปแต่งงาน ไม่เห็นเหรอว่าเจ้านั่นมันขาดสติไปแล้ว ปล่อยไว้แบบนี้พวกเราได้ซวยถูกประหารกันทั้งบ้านแน่” แทพุง กล่าว
 
“เราจะตามใจเจ้าลูกคนนี้ไม่ได้ โฮยางไอ้ลูกแม่” พัค กล่าว
 
“โอ๊ย ไอ้เวรนี่มันชอบหาเรื่องจริง ๆ”

วูนเทครายงานใต้เท้าซอว่ามีเจ้ากรมสองท่านได้ลองถวายฎีกาไปถึงพระราชา แต่ถูกตีคืนกลับหมด ปัญหามันไม่ได้อยู่แค่นี้


“ท่านหมายความว่ายังไง?” ใต้เท้าซอ ถาม
 
“ตอนนี้ลือกันไปทั่ววังว่า ผู้ที่ติดตามหรือสนิทกับพระสนมซุกบินก็จะถูกขับออกจากวังด้วย  แม้แต่ใต้เท้าขอเข้าเฝ้ายังถูกปฏิเสธแบบนี้ ดูท่า ฝ่าบาทคงจะเข้าพระทัยพระสนมซุกบินไปแล้วแน่ ฝ่าบาทคงกำลังลงโทษเหมือนพระสนมจะกบฏแล้ว”
 
“ไม่หรอก ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นจะต้องไม่ใช่ความหมายนั้นแน่นอน”
 
“ใต้เท้า มาถึงขั้นนี้แล้วยังคิดว่าฝ่าบาทเชื่อพระทัยพระสนมซุกบินอีกรึ?”

พระเจ้าซุกจงให้ข้าหลวงเข้าเฝ้า รับสั่งให้ไปจัดการตามที่ได้สั่ง


“ฝ่าบาท พระองค์มีพระประสงค์เช่นนี้จริงหรือ? กระหม่อมขอบังอาจทูลถามเหตุผลที่จู่ ๆ พระองค์ทรงมีรับสั่งเช่นนี้ได้หรือไม่?”

“ตอนนี้ท่านแค่ทำตามคำสั่งข้าก็พอแล้ว แต่จำไว้ว่า ต้องระวังไม่ให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเด็ดขาด  เข้าใจรึเปล่า?”

 “พ่ะย่ะค่ะ”

 “ตอนนี้พระสนมซุกบินทำอะไรอยู่?” พระเจ้าซุกจง ตรัสถาม

 “ได้ยินว่ามีรับสั่งไม่ให้ฝ่ายตรวจการขัดราชโองการของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ นอกจากนั้น พระสนมก็ประทับอยู่แต่ในตำหนักไม่ได้ออกไปไหน”

ชอนซู ถามทงอีว่าจะไม่เสด็จไปพบพระเจ้าซุกจงเพื่อทูลถาม ทำไมมีราชโองการที่ไร้เหตุผลแบบนี้ออกมา แต่ทงอีปฏิเสธยืนยันว่าจะทำตามราชโองการ ชอนซู จึงตัดสินใจไปขอเข้าเฝ้าพระเจ้าซุกจงด้วยตนเอง จนได้รู้จากพระเจ้าซุกจงว่า ที่พระองค์มีราชโองการให้ทงอีออกจากวัง เพราะต้องการสละราชบัลลังก์ เพื่อไปใช้ชีวิตอยู่นอกวังกับทงอี



ก่อนที่ทงอีจะออกไปอยู่นอกวัง พระเจ้าซุกจงได้พาทงอีไปที่ตำหนักที่กำลังบูรณะ

“ที่นี่ไงล่ะ ตำหนักที่ข้าจะให้เจ้าออกมาอยู่นอกวังหลวง เป็นไงบ้าง เจ้าชอบที่นี่รึเปล่าหา?”

 “เพคะ แต่ว่าพักอาศัยคนเดียว ดูจะใหญ่ไปหน่อยเพคะ”

 “เจ้าทำหน้าเหมือนไม่ได้ยี่หระ น้ำเสียงเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเลย ขนาดข้าจะให้เจ้าออกจากวังหลวง เจ้าก็ยังมีสีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น..แบบนี้ได้อยู่อีกเหรอ? ทำไมเจ้าถึงไม่ถามข้าล่ะทงอี  ไม่ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

 “เพราะว่าหม่อมฉันกลัวเพคะ การที่ฝ่าบาทจะตรัสตอบหม่อมฉันว่าอะไร  เป็นสิ่งที่หม่อมฉันกลัว หม่อมฉันรอมาตลอดไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร แต่หลังจากที่ได้พบกับฝ่าบาทที่นี่ ได้เห็นสายพระเนตรของฝ่าบาท หม่อมฉันก็เข้าใจแล้วว่า คำตอบเรื่องนี้คงน่ากลัวและลำบากกว่าที่หม่อมฉันคิดไว้มาก แต่เป็นเพราะหม่อมฉันเดาอะไรไม่ออกเลย ถึงได้รู้สึกว่ามันน่ากลัวเพคะ”

“เจ้าจำได้รึเปล่า  หลายปีก่อน ตอนที่ข้าส่งเจ้าออกมาอยู่นอกวังน่ะ  ข้าเคยบอกกับเจ้าว่า พวกเรามาหนีไปด้วยกันดีมั้ย นั่นสิ นั่นคือความรู้สึกจริง ๆ ของข้า  เพราะข้ารู้สึกว่า ต่อให้เป็นสามัญชนก็ขอให้ได้อยู่กับเจ้า ขอแค่อยู่กับเจ้า ต่อให้ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่เป็นไร  และจิตใจแบบนี้ แม้จะผ่านไปหลายปีมันก็ยังไม่เคยเปลี่ยน สำหรับข้าเจ้าเป็นคนที่ทำให้ข้าอิ่มเอมและมีความสุข”

“ฝ่าบาท”

“เจ้ากำลังจะออกจากวังมาอยู่ที่นี่ แต่ว่าเจ้าจะไม่ได้มาอยู่คนเดียวหรอกนะทงอี  เพราะว่าข้าจะออกจากวังมาอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเจ้า”


“ฝ่าบาท  ทรงหมายความว่ายังไงเพคะ จะมาประทับกับหม่อมฉันที่นี่รึ?  ฝ่าบาท บอกหม่อมฉันทีเพคะ เมื่อครู่ ที่พระองค์ตรัสมามันหมายถึง..”

“เจ้าเคยบอกข้าไม่ใช่เหรอ รัชทายาท กับองค์ชายยอนอิง  จะต้องได้ขึ้นครองราชย์ทั้งคู่  เช่นนี้ ทั้งสองจึงจะมีชีวิตรอดอยู่ได้  เจ้ารู้มั้ย เป็นครั้งแรกที่เจ้าแสดงความปรารถนาออกมา  แถมมันยังเป็นความฝันที่ฝังอยู่ในหัวใจของข้าด้วย”

“ฝ่าบาท”

“องค์ชายยอนอิงน่ะ เด็กคนนั้นจะต้องได้เป็นพระราชาที่ฝากชื่อไปตลอดกาลได้แน่ พอนึกถึงว่าเด็กคนนั้นจะได้ครองราชย์จากรัชทายาทที่ไม่อาจมีทายาท ข้าก็เฝ้าคิดมาตลอดเวลาว่ามันคงเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่ยังไง คนที่จะเป็นรัชทายาทได้…มีได้เพียงแค่คนเดียว จึงจะสามารถรักษาอำนาจ  และปกครองราชสำนักได้  เจ้าเข้าใจมั้ย? ถ้าข้ายังเป็นพระราชาอยู่รัชทายาทกับองค์ชายยอนอิง จะไม่ได้ขึ้นครองราชย์ทั้งคู่”

“ฝ่าบาท หรือเจตนาของพระองค์ก็คือ..”

“ใช่แล้ว ข้าเลือกที่จะสละราชสมบัติ..ให้กับรัชทายาท หลังจากสละราชสมบัติแล้ว รัชทายาทจะเป็นพระราชา เมื่อนั้นองค์ชายยอนอิงจึงจะได้เป็นรัชทายาทคนต่อไปได้ไงล่ะ”

“แต่ฝ่าบาทเพคะ สละราชบัลลังก์ ทำไมถึงตรัสอะไรแบบนี้ได้เพคะ ทำไมพระองค์ถึงได้..  ฝ่าบาท”

ชอนซู มารายงานใต้เท้าซอ เรื่องฝ่าบาทตัดสินพระทัยสละราชบัลลังก์ จากนั้นทั้งสองก็ได้เข้าเฝ้า


“เจ้ากับแม่ทัพองครักษ์ รวมถึงใต้เท้าชิมวูนเทคอาจจะต้องถูกพักราชการเป็นการชั่วคราว  แต่ว่านี่เป็นการปิดบังหูตาของทุกคนไว้ ก่อนที่ทุกอย่างจะเตรียมเสร็จ จะให้ใครรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด”

“ฝ่าบาท กระหม่อมยอมรับพระบัญชานี้ไม่ได้ สละราชบัลลังก์ ทรงทำอย่างนั้นไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” ชอนซู ทูล

 “นั่นสิ พอประกาศทุกคนคงมีปฏิกิริยาแบบนี้กัน งั้นข้าจะดูปฏิกิริยาของเจ้าเป็นแบบฝึกหัดก่อนละกัน”

“ฝ่าบาท”

“นี่เป็นการตัดสินใจเพื่อที่รักษาราชวงศ์และราชสำนักเอาไว้ อีกอย่างนึง การที่เป็นลูกผู้ชาย ก็มีหน้าที่ปกป้องคนรักและลูกของตัวเองเอาไว้  ข้าจะไม่ยอมถอยเรื่องนี้แน่”

พระเจ้าซุกจงทำเป็นประชวรหนักแล้วให้หมอหลวงประกาศว่า พระองค์ป่วยต้องเสด็จไปพักผ่อนที่พระราชวังอึนยัง เขตติดต่อกับต้าชิง

มูยอล รู้ข่าวเรื่องพระราชาจะเสด็จพระราชวังอึนยัง ก็มาหาซางฮอน


“ทราบข่าวพระราชาจะเสด็จพระราชวังอึนยังรึยัง?”

“เป็นเพราะคราวก่อนความร้อนจู่โจมพระทัยจึงจะเสด็จไปเพื่อพักรักษาพระวรกายน่ะ” เสนาฯ กล่าว

“น่าจะไม่ใช่แค่การไปรักษาพระวรกาย ต้องมีสาเหตุอื่นแน่” มูยอล กล่าว

 “นั่นสิ ถึงแม้ว่าจะเป็นการเสด็จไปเพื่อรักษาพระวรกายก็จริง แต่การเสด็จนี้จะต้องมีเหตุผลอื่นอยู่ด้วยแน่นอน แล้วรู้รึเปล่าว่า ทุกครั้งที่จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก็จะแปรพระราชฐานไปพระราชวังอื่น” ซางฮอน กล่าว

“นี่อาจจะเป็นความเคลื่อนไหวก่อนการกำจัดพระสนมซุกบินแน่”

“นั่นสิ เท่าที่ข้ารู้ราชโองการสั่งย้ายได้ส่งไปถึงท่านราชเลขาแล้ว”

“ครั้งนี้ฝ่าบาทตัดสินพระทัยเด็ดเดี่ยวมาก เป็นพระประสงค์ที่จะตัดขาดพระสนมซุกบินและองค์ชายยอนอิง”

มูยอล สงสัยว่าราชโองการที่ตำหนักใหญ่ทั้งหมดยังไม่ถูกประกาศ แต่กลับประกาศแค่ราชโองการสั่งย้ายคนพวกนั้น จึงสอบถามมินว่าสี่วันก่อน ราชโองการถูกส่งไปที่ไหนบ้าง


“โรงเรียนราชวงศ์ ศาลตรวจการ กรมพิธีการและหอจดหมายเหตุ แต่เรากลับไม่สามารถสืบทราบเนื้อหาในราชโองการได้เลย”

“หอจดหมายเหตุ  ไปหาที่นั่น ในสี่ที่นี้ หอจดหมายเหตุมีการคุมเข้มน้อยที่สุด ไปจู่โจม เพื่อหาว่าเนื้อหาในราชโองการคืออะไร?”

 “แต่ว่าใต้เท้า ถ้าเรื่องนี้เกิดพลาดขึ้นมา…”

 “แค่นี้มันก็แย่พออยู่แล้ว พระราชาจะทำอะไรกันแน่ จะต้องสืบมาให้ได้”

ทงอี จะมาเข้าเฝ้าพระเจ้าซุกจง แต่ไม่ทันเสด็จแปรพระราชฐานไปพระราชวังอึนยังแล้ว แต่ได้ฝากจดหมายไว้ให้ ทงอีรีบเปิดอ่าน



“การเดินทางนี้ยาวไกลนัก เมื่อข้ากลับถึงวังหลวง เจ้าคงจะต้องไปอยู่นอกวังแล้ว แต่ขอให้เจ้าจงอย่าได้ลืมสัญญาที่ข้าเคยบอกเอาไว้ว่าจะไม่ให้เจ้าอยู่คนเดียว เจ้ายังจำได้มั้ยทงอี เพื่อปกป้องรัชทายาทยอนอิงแล้วก็ข้า เจ้ายอมทิ้งตำแหน่งพระมเหสีที่เจ้าควรจะได้มา ในตอนนี้ถึงคราวที่ข้าจะต้องตอบแทนเจ้าบ้าง แต่ข้ากลับค้นพบว่า สำหรับข้ามันไม่ใช่ การเสียสละแต่เป็นการเติมเต็มความฝัน เพราะข้าจะได้มีโอกาสกุมมือของเจ้าตลอดชีวิตที่เหลือ ดังนั้นเจ้าจงรอด้วยความเชื่อมั่นเถอะนะทงอี ข้าจะไม่ให้ใครมาทำร้ายเจ้าได้ ความฝันที่เจ้าอยากปกป้อง ตอนนี้ให้ข้ามาทำแทนเจ้าเถอะนะ”

ทูตลับจากต้าชิงมาพบพระเจ้าซุกจง พระองค์ตรัสให้ทูตรู้ว่าจะสละราชบัลลังก์ จึงอยากให้ฮ่องเต้ต้าชิงเสนอข้อเรียกร้องเกี่ยวกับเรื่องนี้มา

 มูยอล และมิน มาค้นราชโองการที่หอจดหมายเหตุ ได้พบบันทึกบรรพราชากับอดีตพระราชา จึงทำให้มูยอลรู้ว่าพระเจ้าซุกจงจะสละราชสมบัติ จึงรีบไปบอกให้ซางฮอนรู้


 

 “เป็นไปไม่ได้ จะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นได้ยังไง” ซางฮอน กล่าว

“พระองค์ต้องการที่จะสละราชบัลลังก์ให้รัชทายาท แล้วก็ให้ตั้งองค์ชายยอนอิงเป็นรัชทายาท ดังนั้นพระองค์จึงเสด็จไปพระราชวังอึนยังเพื่อเรื่องนี้ เราต้องหยุดยั้งเรื่องนี้ใต้เท้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต้องไม่ให้องค์ชายยอนอิงได้ครองราชย์ เราต้องหยุดยั้งเรื่องนี้”

 หลังจากออกมาจากเข้าพบซางฮอน มูยอลก็กล่าวกับมิน

“ให้องค์ชายยอนอิงเป็นรัชทายาท ถ้าพระสนมซุกบินครองอำนาจทุกอย่างก็จบสิ้น ถ้าเป็นอย่างนั้นคนแรกที่จะต้องตายคงจะเป็นข้า แต่ตอนนี้…ทุกอย่างมันยังไม่จบสิ้นหรอก เพราะว่าวิกฤติกับโอกาส มันมาอยู่ตรงหน้าข้าแล้วทั้งคู่”

 “ใต้เท้า แล้วท่านจะจัดการยังไงต่อ?”

 “ตอนนี้ฝ่าบาทไม่ได้ประทับอยู่ในวัง รัชทายาทเองก็ทรงพระประชวร ทุกอย่างอยู่ในภาวะไม่ปกติ ผู้เป็นใหญ่ที่สุดในวังหลวง ก็คือพระมเหสี ตอนนี้พระมเหสีอยู่ในมือของข้า ข้าจะใช้พระองค์ กำจัดมันให้สิ้นซาก ไม่ว่าซุกบินหรือยอนอิง รวมถึงคนของนาง กำจัด…มันให้สิ้นซาก”

 ชอนซู เห็นไม่มีทหารเฝ้าอยู่รอบหอจดหมายเหตุ ก็ผิดสังเกต จึงรีบเข้าไปตรวจดู ก็พบว่าถูกรื้อค้น จึงรีบออกไปสั่งรวบรวมทหาร


 “ตอนนี้ในวังมีเรื่องผิดปกติ รีบเพิ่มกำลังทหารไปคุ้มครองตำหนักโบคยองเร็ว ยืนรออะไรอยู่ไม่ได้ยินรึไง?”

 “คือใต้เท้า ขออภัยด้วยที่ข้าน้อยทำตามคำสั่งไม่ได้”

 “หา?”

 “ข้าน้อยได้รับคำสั่ง ว่าตั้งแต่นี้ไปห้ามฟังคำสั่งของใต้เท้าขอรับ” ทหาร กล่าว

 “ไม่ใช่แค่นั้นนะ ตอนนี้ให้ค่ายองครักษ์ทั้งห้า คอยคุ้มครองวังหลวงแทนคนของศาลไต่สวน อีกทั้งยังมีคำสั่งให้ศาลไต่สวนทั้งหมดรับคำสั่งจากรองเจ้ากรมกลาโหม จางมูยอลเพียงคนเดียวด้วยขอรับ”

 “ใต้เท้าจางมูยอลเหรอ หมายความว่ายังไง ใครเป็นคนมีคำสั่งเหลวไหลนี่หา?” ชอนซู กล่าว


 “เป็นคำสั่งข้า ข้าเป็นคนออกคำสั่งเอง” เสนาซ้าย กล่าว

 “ท่านเสนาซ้ายรึ?”

 “เจ้าไม่ยอมรับรึไง?”

 ชอนซู ไปสอบถามจงคู เรื่องการรวบรวมทหาร


“กรมกลาโหมเองก็เหมือนกัน ได้ยินว่าเจ้ากรมมอบอำนาจทหารให้กับรองเจ้ากรมจางมูยอลไปหมดแล้ว ใต้เท้า กองทหารองครักษ์ตามเสด็จไป ในวังหลวงมีแค่ทหารกรมกลาโหมกับศาลไต่สวนอยู่ แต่ว่า..”

 “ใช่แล้ว เวลานี้กำลังทหารทั้งหมดอยู่ในมือของจางมูยอลคนเดียว” ชอนซู กล่าว

 “ใช่แล้วขอรับ แม้แต่ค่ายองครักษ์ก็ด้วย”



* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี

หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่  (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา