วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ตอนที่ 60 (จบ)




แม้พระเจ้าซุกจงจะคัดค้านการออกไปอยู่นอกวังของทงอี แต่สุดท้ายก็ไม่อาจขัดความตั้งใจนี้ได้ ในวันเดินทางรัชทายาทได้มาบอกว่าจะช่วยดูแลองค์ชายยอนอิงให้เอง และเมื่อทงอีออกมา ก็ได้ช่วยเหลือชาวบ้านทั้งหลายที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม

เนื้อเรื่อง:


พอทราบข่าวว่าทงอีจะออกไปอยู่นอกวัง พระมเหสีอินวอนจึงเสด็จมาเกลี้ยกล่อมหวังว่าทงอีจะเปลี่ยนใจ
 
“เจ้าลองคิดดูอีกครั้งเถอะซุกบิน ออกไปอยู่ข้างนอกคนเดียวคงจะไม่สะดวก เจ้าอยู่ในรั้ววังมาจนเคย จะทนความลำบากอย่างนั้นได้ยังไง”
 
“พระมเหสี หม่อมฉันเป็นชนชั้นต่ำจากหมู่บ้านบันชอน พระองค์ไม่ทราบหรือ?ตำหนักลีฮยอน สำหรับหม่อมฉันก็เพียงพอมากแล้ว ไม่ต้องทรงเป็นห่วงหรอกเพคะ หม่อมฉันจะแวะมาเข้าเฝ้าพระมเหสีเสมอ เรื่องนี้ทรงวางพระทัยได้”
 
“ทำเพื่อข้าใช่มั้ย ทำแบบนี้เพื่อข้าและองค์ชายยอนอิงใช่มั้ย ซุกบิน ถ้าเป็นเพราะอย่างนั้น..”
 
อินวอนพูดยังไม่จบ ทงอีก็พูดแทรกขึ้น “พระมเหสี ไม่ใช่เหตุผลนั้นทั้งหมดหรอก ที่จริงแล้ว นี่ก็เป็นความฝันของหม่อมฉันมาตั้งนานแล้ว ที่สักวันจะได้ออกจากวังหลวง”
 
“หา?” อินวอนตกใจแกมแปลกใจ


 “แต่ถึงอย่างนั้น ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่ยอมหรอก ข้าไม่ยอมให้เจ้าออกไปอยู่ข้างนอกเด็ดขาด” พระเจ้าซุกจงตรัสยืนยัน
 
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ครั้งแรกที่หม่อมฉันเข้าวังมา ก็เพื่อหนีเอาชีวิตรอด เมื่อเสียพ่อกับพี่ไปอย่างไม่เป็นธรรม ที่เดียวในประเทศนี้ที่หม่อมฉันจะหนีทหารได้ ก็คือในวังหลวงแห่งนี้แหละเพคะ อีกอย่างหม่อมฉันก็ยังได้มาพบกับฝ่าบาทที่นี่ และยังได้รับความรักความห่วงใยอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งยังมีลูกชายที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิต”
 
“แล้วทำไมเจ้าต้องออกจากวัง ที่นี่มีข้ากับองค์ชายยอนอิง ทำไมล่ะ?” พระเจ้าซุกจงตรัสถาม
 
“เพื่อให้หม่อมฉันเกิดใหม่อีกครั้งเพคะ เหมือนที่หม่อมฉันแอบเข้าวังเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้พ่อกับพี่ แต่ตอนนี้หม่อมฉันอยากออกไปช่วยเหลือคนที่เป็นทุกข์ลำบากเหมือนอย่างที่ท่านพ่อกับพี่ชายเคยพบเจอที่นอกวังมาก่อนเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันอยากให้องค์ชายยอนอิงได้เห็นว่าแม่ของเค้าเลือกใช้ชีวิตแบบนี้ ดังนั้นพระองค์โปรดเข้าพระทัยหม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันต้องออกไปมีชีวิตอยู่ เพื่อทำเหมือนกับพี่ชาย และสิ่งที่ท่านพ่อได้ทำไว้ ไปมีชีวิตเพื่อคนที่อ่อนแอที่สุดในสังคมนี้ เมื่อวันหน้าที่องค์ชายยอนอิงได้กลายเป็นพระราชา จะได้ไม่ลืมเลือนคนเหล่านั้นเพคะ” ทงอีกล่าวยืนยันในความคิดของตัวเอง
 
“ข้าหมดทางจะรั้งเจ้าไว้ได้ ทงอี เจ้ามันใจร้ายจริง ๆ เจ้าเป็นคนที่ใจร้ายที่สุดเลย” พระเจ้าซุกจงตรัสอย่างน้อยพระทัย


ทงอีมาหาองค์ชายยอนอิงพร้อมกับบอกเรื่องที่ตนเองจะออกไปอยู่นอกวัง องค์ชายยอนอิงไม่อยากอยู่ห่างจากเสด็จแม่
 
“วังหลวงที่ไม่มีเสด็จแม่ลูกก็ไม่อยู่ ลูกอยากจะไปใช้ชีวิตอยู่กับเสด็จแม่”
 
“ตำหนักลีฮยอนไม่ได้อยู่ไกลพันลี้ เมื่อไหร่ที่เจ้าคิดถึง เจ้าก็มาหาแม่ได้เลย อีกอย่างแม่ก็จะมาเยี่ยมเจ้าบ่อย ๆ”
 
“เสด็จแม่โกหกแน่ ไหนท่านบอกว่าจากนี้ไปแม่ของข้าคือพระมเหสีไงล่ะ เท่ากับว่าเสด็จแม่จะทิ้งลูกไปแล้วใช่มั้ย?” องค์ชายยอนอิงร้องไห้ออกมา
 
“ไม่ใช่อย่างนั้น กึม ไม่ใช่อย่างนั้น ตอนนี้แม่เป็นแม่ของเจ้า ถึงตายแม่ก็ยังเป็นแม่ของเจ้าอยู่ เจ้ารู้มั้ยว่า รู้มั้ยว่าแม่รักเจ้าแค่ไหน”
 
“เสด็จแม่”
 
“ใช่จ้ะ ดังนั้นเจ้าจะต้องไม่ร้องไห้อีก และอย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับแม่เป็นอันขาดด้วย เจ้าจะต้องทุ่มเทปรนนิบัติพระมเหสี และจากนี้ไป ให้วางพระมเหสีไว้ในตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในใจ” ทงอีบอกองค์ชาย


 ทงอียังมาหาองค์รัชทายาทลียูน รัชทายาท บอกทงอีไม่ต้องเป็นห่วงองค์ชายยอนอิง
 
“ไม่ต้องเป็นห่วงองค์ชายยอนอิงนะ เด็กคนนั้น ข้าจะคอยดูแลเค้าแทนเอง องค์ชายยอนอิง เป็นน้องที่มีค่ากับข้า ข้าจะคอยดูแลและช่วยปกป้องเค้าให้ดีเอง ที่ผ่านมาข้าไม่เคยบอกท่านเลย ขอบพระทัยมากพ่ะย่ะค่ะ ทุกสิ่งที่พระสนมได้ทำเพื่อข้า ข้าจะไม่มีวันลืมเลย”
 
“ขอบพระทัยเพคะรัชทายาท ขอบพระทัย ท่านมากจริง ๆ”

ทงอียืนกรานที่จะย้ายออกไปอยู่นอกวัง “ในที่สุด หม่อมฉันก็ดื้อดึงเอาแต่ใจอีกครั้งจนได้ แต่โปรดเข้าพระทัยหม่อมฉันด้วยเถอะเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้จากฝ่าบาทไป จริง ๆ”
 
“ทงอี”
 
“ฝ่าบาท”


“เจ้าคงคิดถึงข้าอยู่ตลอดเลยล่ะสิ  หนอย แน่ะ ยังจะมายิ้มอีกยังจะกล้ายิ้ม ยังกล้ายิ้มอีก” พระเจ้าซุกจงน้อยพระทัยมาก

“มีอะไรหรือเพคะฝ่าบาท?”

“คงจะดีใจจนยิ้มไม่หุบเลยใช่มั้ย นี่ข้าชักฉุนแล้วนะเนี่ย ดู ยังกล้ายิ้มร่าอย่างนี้อีก”
 
“หม่อมฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น”
 
“ข้าได้แต่บอกตัวเองว่าต้องอดทน ข้าจะต้องอดทนเพื่อเจ้า แต่เจ้านี่ทำเกินไปแล้ว พอได้ออกจากวังก็ดีใจขนาดนั้นเหรอ ทั้งที่ข้าร้อนใจจนแทบจะลุกเป็นไฟ มัวมีความสุขอยู่ได้ ปล่อยให้ข้าต้องร้อนรนอยู่คนเดียว สำหรับเจ้าข้าเป็นอะไรกันแน่” พระเจ้าซุกจงออกอาการงอน
 
“ฝ่าบาท ทำไมถึงถามอย่างนั้นล่ะเพคะ ทรงเป็นทุกอย่าง เรื่องแค่นี้ฝ่าบาทไม่ทราบหรือเพคะ?”
   
“เอ่อ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” พระเจ้าซุกจงกลัวทงอีโกรธ
 
“ที่หม่อมฉันยิ้มก็เพราะมีความสุขมาก น่ะเพคะ ได้เจอฝ่าบาทในเวลานี้ หม่อมฉันมีความสุขมาก แถมครั้งนี้ยังได้เจอฝ่าบาทไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะอย่างนี้หม่อมฉันถึงได้ยิ้ม เพราะไม่ว่าเวลาไหนก็ยังได้พบกับฝ่าบาทอยู่เสมอ ดังนั้น อย่าโกรธหม่อมฉันเลยเพคะฝ่าบาท ตำหนักลีฮยอนใกล้แค่นี้ ฝ่าบาทตรัสเหมือนหม่อมฉันไปอยู่ต่างแคว้นอย่างนั้นแหละ” ทงอีกล่าวอย่างขำ ๆ
 
“เอ่อ แต่ว่าข้ายังทำใจไม่ได้นี่ พอนึกว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในวังก็รู้สึกเหมือนวังมันว่างเปล่าน่ะ เฮ้อ” พระเจ้าซุกจงถอนหายใจเฮือกใหญ่
 
“ฝ่าบาท ขอบพระทัยเพคะ ถึงเป็นอย่างนั้น แต่ก็ยังทรงยอมตามใจหม่อมฉัน ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน ฝ่าบาทก็คอยมอบสิ่งดีที่สุดให้”


 “อย่าใช้สายตาอย่างนั้นมองข้า เพราะถึงอย่างนั้น ข้าก็ไม่หายน้อยใจง่าย ๆ หรอก” พระเจ้าซุกจงยังงอนไม่หาย
 
“ฝ่าบาทก็..”
 
“คอยดูกันไปเถอะ ข้าจะอดทนกัดฟัน ไม่ยอมคิดถึงเจ้า เพื่อแก้แค้นที่เจ้าทิ้งข้ามาอยู่ข้างนอกแบบนี้ ต่อให้ออกมานอกวังข้าก็จะไม่มาหาเจ้า” พระเจ้าซุกจงหันหลังให้ทงอี
 
“ตรัสจริงหรือเพคะ?” ทงอียิ้ม ๆ
 
“ทำไม ดูถูกว่าข้าทำไม่ได้เหรอ?”
 
“ถ้าฝ่าบาทยังดึงดันจะทำอย่างนั้น เกรงว่าคงจะไม่ง่ายอย่างนั้นแน่”
 
“อะไรนะ?”
 
“เพราะฝ่าบาทต้องคิดถึงหม่อมฉันมากเหมือนที่หม่อมฉันคิดถึงฝ่าบาทมากไงเพคะ แล้วก็ ต่อให้ไม่อยากเสด็จ แต่ต้องคิดถึงตำหนักลีฮยอนแน่ พระองค์อาจคิดถึงหม่อมฉันไป แล้วกัดฟันบอกว่าเจ้าพงซานเอ้ย เจ้านี่ชอบสร้างปัญหาจริง ๆ” ทงอีกล่าวล้อ ๆ
 
“อะไรนะ เจ้าว่าข้ากัดฟันเหรอ ข้าเนี่ยนะ” พระเจ้าซุกจงเลิกคิ้ว
 
“เพคะ เฮ้อ พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ก็ชักรู้สึกผิดแล้วเพคะฝ่าบาท”
 
“นี่ทงอีเจ้าพูดอะไรกันแน่ เจ้าหมายความว่ายังไงหา?”

ทงอีรู้สึกอบอุ่นและเป็นสุขในวันที่ต้อง        เดินทางไปจากวังหลวง ทงอีไปอยู่ตำหนักลีฮยอนได้ไม่นาน ก็ได้ดัดแปลงตำหนักให้เป็นที่ที่ประชาชนสามารถไปมาหาสู่ได้ตลอดเวลา ไม่ปิดกั้นเป็นส่วนพระองค์ต่อไป เวลาผ่านไป 1 ปี ทงอีได้ใช้ตำหนักเป็นที่ไต่สวนคดีความให้กับชาวบ้านที่ไม่ได้รับความยุติธรรม

“ท่านซังกุง ข้าน้อยมีเรื่องเร่งด่วน ลูกชายข้าถูกจับตัวไปโดยที่ไม่ผิด เค้ากำลังจะถูกโบยแล้ว” ชาวบ้านมาร้องเรียน และอีกหลายคนที่มีปัญหาร้องเรียนต่างตะโกนเซ็งแซ่


“เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว แต่ก็ต้องไปเข้าแถวก่อนสิ ทุกคนที่นี่ก็เดือดร้อนเหมือนเจ้าทั้งนั้น เอจอง เจ้ามาพอดีเลย รีบมาช่วยข้าหน่อยเร็ว คนพวกนี้น่ะ ช่วยจัดการให้สงบที ข้าพูดยังไงก็ไม่ยอมฟัง” พงซังกุงบ่น

“หยุดนะ นี่พวกเจ้า รีบออกไปเข้าแถวกันเดี๋ยวนี้ ถอยไป ๆ ๆ ถอยไปเข้าแถว ถอยไป  ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว ถอยไปยืนเข้าแถว ไปยืนให้เป็นระเบียบ เข้าแถวให้เรียบร้อย ยังไงก็ต้องทำตามกฎ  เข้าแถวให้เรียบร้อย ยืนดี ๆ ใช่เข้าแถวให้ดี อย่างนี้แหละ อืม ใช้ได้แล้ว”

“เจ้าว่าพ่อเจ้าถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนฆ่าเจ้าหน้าที่กรมอากรอย่างนั้นรึ?” ทงอีถาม
 
“เพคะ พระสนม แต่ท่านพ่อหม่อมฉันไม่ได้เป็นคนทำจริง ๆ แม้แต่มดตัวเดียวท่านพ่อยังฆ่าไม่ลงเลย แต่ตอนนี้ ของทางการก็จับท่านพ่อไป แถมบอกว่าจะต้องถูกตัดหัวอีก ฮือ ๆ พระสนม ได้โปรดช่วยพ่อหม่อมฉันด้วย ฮือ ๆ ๆ”
 
“เจ้าบอกว่าชื่อยอรีใช่มั้ย เอาล่ะยอรี ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าเล่า พ่อเจ้าอาจจะถูกคนใส่ร้ายให้รับโทษแทนคนอื่นอยู่ ข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ที่ศาลให้เองนะ”
 
“จริงหรือเพคะพระสนม ท่านจะยอมช่วยพ่อหม่อมฉันจริง ๆ หรือเพคะ”
 
“แน่นอน เห็นข้าอย่างนี้ข้าเคยเป็นฝ่ายตรวจการนะ เจ้ารู้มั้ยว่านางในฝ่ายตรวจการทำอะไร นั่นแหละ ดังนั้นขอให้เจ้าเชื่อใจข้าก็พอ เข้าใจมั้ย”
 
“เพคะ ขอบพระทัยเพคะ ขอบพระทัยเพคะ ฮือ”

มีเหตุชาวบ้านถูกฆ่าตาย ทงอีจึงไปพิสูจน์สาเหตุการตาย


“บาดแผลเกิดจากอาวุธที่แหลมคมมาก”
 
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ คงจะถูกคนร้ายฝีมือดีสังหารพ่ะย่ะค่ะ”
 
“แต่เจ้าดูนี่ ทิศทางของแผลนี่ ดูแปลก ๆรึเปล่า
 
“พระสนม เสด็จมาแล้วหรือ?” ใต้เท้าโฮทำความเคารพ
 
“พบกันอีกแล้วนะใต้เท้าโฮ คนร้ายที่ถูกสงสัยว่าเป็นคนฆ่าเจ้าหน้าที่ของกรมอากรนั้นเป็นคน ที่ถนัดมือซ้ายใช่มั้ย แต่จากบาดแผลที่บันทึกหลังจากการชันสูตรศพแล้ว วิเคราะห์ได้ ไม่ยากเลยว่าคนร้ายน่ะถนัดมือขวา”
 
“แต่ว่า ในเวลารีบร้อนก็เลยใช้มือขวา ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรนี่พ่ะย่ะค่ะ”
 
“ท่านพูดถูกที่สุด แต่หลักฐานที่กองปราบ หลักฐานที่ระบุว่าเค้าเป็นคนร้ายไม่ใช่หลักฐานที่น่าเชื่อถือเลย แค่ชายเสื้อที่ติดมาจากคนตายน่ะ ของแบบนี้น่ะ ไม่ว่าใครก็ปลอมขึ้นมาได้ง่าย ๆ นี่” ทงอีวิเคราะห์
 
“แต่ว่าพระสนม ขอประทานอภัย นี่เป็นงานของทางกองปราบ พระสนมเป็นพระสนมจะมาก้าว
ก่ายเรื่องนี้ดูจะเกินอำนาจไปสักหน่อยนะ...”
 
“นี่ใต้เท้าโฮ ที่ข้ามาวันนี้ไม่ใช่ในฐานะพระสนม แต่มาในฐานะทนายจำเลย ดังนั้น นี่คงไม่เรียกว่าเกินอำนาจละมั้ง ท่านว่าจริงรึเปล่า?”


ผลการวิเคราะห์ของทงอีแต่ไม่ตรงกับผลการพิสูจน์ของใต้เท้าโฮเจ้าหน้าที่กองปราบ สร้างความไม่พอใจให้กับใต้เท้าโฮมากที่ทงอีมาก้าวก่ายงานของตนเอง
 
“โอ๊ย ข้าทำต่อไม่ไหวแล้ว นี่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย เป็นพระสนมก็อยู่ในวังไปซี่ ทำไมถึงจะต้องเข้ามาก้าวก่ายเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วย”
 
“เพราะเป็นพวกเดียวกันไง เพราะว่าพระสนมซุกบินเคยเป็นชนชั้นต่ำมาก่อน”
 
“เพราะเคยเป็นชนชั้นต่ำเลยไปเข้าข้างรึ พวกชนชั้นสูงถึงได้พากันโมโหกันอย่างนี้น่ะสิ” ใต้เท้าโฮบ่น
 
“จะทำยังไงดีล่ะ”
 
“เรื่องนี้อย่าให้เป็นเรื่องใหญ่ รีบไปรายงานเรื่องนี้ให้เจ้าหน้าที่กรมอากรรู้”
 
“ขอรับใต้เท้า”

ทงอีมาดูชายที่ถูกกล่าวว่ากระทำผิดและถูกทรมานเพื่อให้รับสารภาพ “นี่พวกเจ้าทำอะไรเค้า ทำไมเค้าถึงได้บาดเจ็บขนาดนี้”
 
“เอ่อ เรื่องนี้คือว่า  ทำยังไงเค้าก็ไม่ยอมรับสารภาพ เลยถูกฉีกเข่า”
 
“หา ฉีกเข่าเหรอ? พวกเจ้าจะทำอย่างนี้จนกว่าเค้าจะยอมรับความผิดที่ไม่ได้ก่อรึ การทรมานที่โหดเหี้ยมอย่างนี้มันผิดกฎหมายนี่ พวกเจ้าไม่รู้รึไงหา? รออะไรอยู่ ไปตามหมอมาตรวจเดี๋ยวนี้ ถ้ายังมีเรื่องอย่างนี้อีก ข้าจะไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่าย ๆ แน่”


“ท่านเป็นใครกัน? ทำไมถึงได้มาช่วยข้าน้อยอย่างนี้ล่ะ” ชิลบกถาม
 
“ท่านคือพ่อของยอรี ชื่อชิลบกใช่มั้ย?”
 
“ยอรี เด็กคนนั้น ท่านได้เจอ เจอลูกของข้า แล้วหรือขอรับ ตอนนี้เค้าเป็นยังไงบ้างขอรับ หรือว่าถูกจับไปโบย เพราะ เพราะเรื่องของข้าซะแล้ว”
 
“ไม่ใช่ ไม่เป็นไร ยอรีสบายดี ตอนนี้ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเค้านะ รวมถึงข้อหาที่ท่านถูกคนใส่ร้ายด้วย ความจริงจะต้องกระจ่าง ท่านอย่าได้ยอมแพ้  เข้าใจรึเปล่า?”
 
“หรือ ท่านคือ  พระสนมซุกบิน จากตำหนักลีฮยอน เป็นอย่างนี้นี่เอง กระหม่อมเองก็เคยได้ยินมา นึกไม่ถึงว่าท่านจะยอมมาช่วยชนชั้นต่ำอย่างกระหม่อม”
 
“ท่านอย่าพูดอย่างนั้นสิคะ ท่านไม่รู้หรือว่า ข้าเองก็เคยเป็นชนชั้นต่ำเหมือนกับท่านนี่แหละ”
 
“พระสนม ฮือ ๆ...” ชิลบกร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น
 
“ท่าน...ท่านต้องเข้มแข็งไว้ เข้าใจรึเปล่า?” ทงอีให้กำลังใจ


ใต้เท้าซอซึ่งติดตามทงอีออกมาอยู่นอกวังด้วย ชอบชีวิตที่เรียบง่าย  โดยมาสอนชาวบ้านเรื่องการต่อสู้  จึงทำให้มีความสุขมาก
 
“สีหน้าท่านดูสดใสขึ้นมากเลยนะ” ทงอีเอ่ยทัก
 
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็เหมือนพระสนมที่ไม่เหมาะกับวังหลวง ได้นั่งกินนั่งดื่มใช้ชีวิตกับพวกเค้า ถึงได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังใช้ชีวิตอยู่”
 
“ใช่ เห็นท่านอย่างนี้แล้วทำให้อดคิดไม่ได้ว่าชาติก่อนท่านต้องเกิดเป็นชนชั้นต่ำแน่เลย”
 
“ฮ่า ๆ ๆ อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ สายเลือดที่อยู่ในตัวจะไปสำคัญอะไร ที่สำคัญคือ ปณิธานในใจมากกว่า เชยอวอนก็ชอบพูดอย่างนี้เสมอพ่ะย่ะค่ะ แต่พระสนมเสด็จมาที่นี่อย่างนี้ กระหม่อมคงจะได้รับงานใหญ่อีกแล้วล่ะสิ”
 
“ใต้เท้าดูออกด้วยเหรอ”
 
“พ่ะย่ะค่ะ ดูจากสีพระพักตร์แล้ว คงไม่ใช่แค่กระหม่อมแต่คงต้องระดมทุกคนมาช่วยกันด้วยแน่”
 
“ถึงใจจะอยากทำอย่างนั้น แต่พระสนมที่อยู่นอกวังจะเรียกใช้คนในวังตามใจได้ยังไงกัน คงเป็นเรื่องใหญ่แน่”
 
“หมายความว่าต้องการจะดำเนินการลับ ๆ?”
 
“ถ้างั้นท่านจะยอมทำแบบนั้นมั้ยล่ะ” ทงอีแย็บถาม
 
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ พ่ะย่ะค่ะ จะทำให้ลับที่สุดเลย ฮ่า ๆ ๆ”

ชอนซู วูนเทค และเหล่าซังกุงตรวจการต่างมารวมตัวกันเพื่อสืบคดีของชิลบกที่ถูกเจ้าหน้าที่ยัดเยียดความผิดให้


“พระสนมหมายความว่า เรื่องนี้อาจไม่ใช่คดีฆ่ากันตายธรรมดาหรือเพคะ” จองอิมถาม
 
“ใช่แล้วล่ะ ข้อหาคือทาสชิลบกที่ถูกจับเป็นเพราะทนถูกขูดรีดไม่ไหว ก็เลยฆ่าเจ้าหน้าที่ของกรมอากรจนเสียชีวิตน่ะ”
 
“แต่หลังจากตรวจสอบดู พบว่าเจ้าหน้าที่บัญชีอากรนี่ไม่ธรรมดาเลย”
 
“ว้าว เป็นแค่เจ้าหน้าที่บัญชีธรรมดา สมบัติดูเยอะไปรึเปล่า ชักจะได้กลิ่นตุ ๆ ซะแล้วสิ”
 
“ถูกต้องแล้วค่ะ เจ้าหน้าที่บัญชีมีหน้าที่ดูแลเงินภาษีของพวกทาส ถ้าหากเค้ามีทรัพย์สินที่มากขนาดนี้ แปลว่าในตอนเก็บภาษีทาสต้องทำอะไรที่ผิดกฎหมายไว้แน่”
 
“และเรื่องนี้ต้องไม่ใช่ฝีมือของคนคนเดียวแน่นอน”
 
“ใช่ ที่จริงสิ่งที่ข้าสงสัยที่สุด ก็คือเรื่องนี้นี่แหละ เจ้าหน้าที่บัญชี ตอนที่ทำหน้าที่เก็บภาษีทาสชั้นต่ำ จะต้องมีการสมคบอะไรกับชนชั้นสูงในวังแน่ และคนที่ฆ่าเจ้าหน้าที่บัญชีอาจจะเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้น จากนั้นก็คิดจะป้ายความผิดนี้ให้กับชนชั้นต่ำ” ทงอีวิเคราะห์


ทงอีทำงานอย่างหนัก  พระเจ้าซุกจงแวะมาเยี่ยมเยียนทงอีด้วยความคิดถึง และพบว่าจู่ ๆ ทงอีก็มีเลือดกำเดาไหลก็ตกใจมากรีบตามหมอหลวงมาดู หลังจากหมอหลวงดูแลและจัดการให้ยาเสร็จสรรพ
 
“เป็นไงบ้าง เป็นอะไรมากมั้ย?”
 
“ฝ่าบาท บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ทำไมต้องตามหมอหลวงมาด้วย..” ทงอีบ่น
 
“หนอยแน่ะ หนวกหูน่า” พระเจ้าซุกจงดุ
 
“คงเพราะช่วงนี้ทรงเหนื่อยเกินไป ส่วนอื่นก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก” หมอหลวงกราบทูล
 
“จริงเหรอ เจ้ามั่นใจนะ” พระเจ้าซุกจงมีท่าทางสบายพระทัยขึ้น
 
“หม่อมฉันบอกแล้วไง ก็บอกแล้วว่าหม่อมฉันไม่เป็นไร”
 
“ยังอีก..นี่” พระเจ้าซุกจงหันไปดุอีก  ทำให้ทงอีขำ ๆ “จำไว้นะ ถ้าข้าได้เห็นเลือดเจ้าอีก..”
 
“เพคะ  หม่อมฉันจะกลับวัง ยอมกลับวังเพคะ” ทงอีพูดยิ้ม ๆ
 
“เจ้านี่.. เฮ้อ ว่ามา ครั้งนี้เพราะเรื่องอะไรอีก เห็นเจ้าตรากตรำซะจนไม่ยอมหลับยอมนอน ต้องมีเรื่องสำคัญอะไรแน่ ๆ” พระเจ้าซุกจงตรัสถามเพราะรู้ว่าทงอีเอาแต่ทำงานจนไม่ได้พักผ่อน  ทำให้ร่างกายอ่อนแอ


“ฝ่าบาท เรื่องนี้ฝ่าบาทยุ่งไม่ได้เด็ดขาดเพคะ อีกอย่างตอนนี้ฝ่าบาทก็ต้องเหนื่อยกับฎีกาที่ร้องเรียนเรื่องหม่อมฉันก่อกวนในเมืองอยู่แล้วนี่”
 
“เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
 
“ถึงหม่อมฉันไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ก็ทำให้ฝ่ายในต้องขายหน้าไม่น้อย”
 
“เจ้าก็รู้ตัวด้วยเหรอ”
 
“เพคะ  แค่ฝ่าบาทยอมหลับตาข้างนึงกับสิ่งที่หม่อมฉันทำ หม่อมฉันก็ขอบพระทัยมากแล้วเพคะ เพราะฉะนั้น ฝ่าบาทอย่าทรงลดองค์มายุ่งเลย  หม่อมฉันจะได้ถูกด่าน้อยลงหน่อย”
 
“แต่เมื่อไหร่ที่เจ้าต้องการให้ข้าช่วยก็บอกได้เต็มที่ ไม่ว่าเป็นเรื่องอะไร ทุกอย่างที่เจ้าทำ ที่จริงก็เป็นสิ่งที่พระราชาอย่างข้าควรจะทำอยู่แล้ว” พระเจ้าซุกจงกอดทงอีไว้
 
“เพคะฝ่าบาท หม่อมฉันจะทำตามรับสั่ง”


จองอิมเข้ามาช่วยเหลือสืบคดีของชิลบก โดยไปตรวจรายชื่อนางกำนัล และตรวจบัญชีจากกรมอากร ด้านชอนซูก็ทำเป็นว่าต้องการเพิ่มองครักษ์ จึงมาขอดูรายชื่อพวกทาส การเข้ามาวุ่นวายเพื่อสืบคดีของพรรคพวกทงอีสร้างความกังวลใจให้กับใต้เท้าโฮและพวกเป็นอย่างมาก

“ตอนนี้ พระสนมซุกบินมีความเคลื่อนไหวรึเปล่า?” ใต้เท้าโฮสอบถาม
 
“หลังจากที่มากองปราบครั้งก่อน ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร”
 
“เฮ้อ ทำไมถึงต้องมายุ่งกับเรื่องนี้ด้วยนะ”

ใต้เท้าไม่ต้องห่วง พวกเค้าไม่มีทางสืบรู้เป็นอันขาด”
 
“เจ้าหน้าที่ที่ตาย บัญชีที่เจ้านั่นเก็บไว้อยู่ที่ไหน”
 
“เอ่อ ตอนนี้ยังตามหาอยู่ขอรับ”
 
“เฮ้อ ถ้าตอนนั้นมันไม่โลภมากขนาดนั้น เรื่องมันก็คงไม่บานปลายมาถึงขั้นนี้ จะต้องหาบัญชีเล่มนั้นให้เจอ ถ้าตกไปอยู่ในมือใครเข้า ไม่ใช่แค่ชนชั้นสูงในเมืองหลวง ขุนนางใหญ่สิบกว่าท่านก็จะซวยด้วย” ใต้เท้าโฮสั่ง  รู้สึกกลัวขึ้นมา
 
“ขอรับ ข้าน้อยทราบขอรับ”


จากการตรวจสอบ ทำให้ทงอีรู้ว่าเจ้ากรมอากรเป็นภาษีซ้ำซ้อนพวกชนชั้นสูง และจงใจรายงานเท็จเกี่ยวกับจำนวนทาส
 
“เก็บภาษีซ้ำซ้อนงั้นเหรอ?” ทงอีถามอย่างตกใจ
 
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ พวกชนชั้นสูงจงใจส่งราย งานเท็จเกี่ยวกับจำนวนทาสให้ทางการ จากนั้นก็ทำการขูดรีดเอาภาษีซ้ำซ้อนจากทาสเหล่านั้นให้กับตัวเอง” ชอนซูรายงาน
 
“หลังจากที่ขูดรีดเงินภาษีมาจากพวกทาสด้วยวิธีนี้แล้ว ก็เอาไปแบ่งกับพวกขุนนางกับพวกชนชั้นสูงสิ”
 
“ส่วนเรื่องที่เจ้าหน้าที่กองปราบแอบไปพบกับผู้ช่วยกรมอากร จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วยแน่”
 
“ตามที่จองซังกุงบอกมา ขุนนางที่น่าสงสัยที่สุดในกรม ก็คือผู้ช่วยเจ้ากรมอากรนี่แหละ แถมเจ้าหน้าที่บัญชีที่ตายก็เป็นลูกน้องของเค้า ก่อนที่กองปราบกับเค้าจะทำอะไร พวกเราต้องรีบลงมือกันก่อนค่ะพี่” ทงอีบอก
 
“พ่ะย่ะค่ะพระสนม” ชอนซูรับคำ


ทงอีสืบเรื่องมาอย่างลับ ๆ โดยตลอด แต่ต่อมาพระเจ้าซุกจงกลับเข้ามาช่วยเหลือโดยการสั่งให้ชอนซูนำทหารองครักษ์ไปจับกุมผู้กระทำผิด
 
“กลุ่มหนึ่งสองไปหมู่บ้านอึย กลุ่มที่สามสี่ให้ไปหมู่บ้านมุนซอ แล้วค่อยย้อนกลับมาทงฮัก ไม่ว่ายังไงก็อย่าให้พลาดล่ะ” ชอนซูสั่ง “เอาละ แยกย้ายกันไป ตามคำสั่งที่ได้”
 
“ใต้เท้าชา ทำแบบนี้ไม่เป็นไรหรือ ถ้าเรียกใช้กำลังทหารแบบนี้ แล้วถ้าเกิดเดือดร้อนถึงพระสนม..” วูนเทคกังวล
 
“ไม่หรอก จะไม่เกิดเรื่องอย่างนั้นเด็ดขาด เพราะตอนนี้ข้าทำตามพระราชโองการ” ชอนซูบอก

วูนเทคตกใจมาก “ห๊า..ทำตาม..ราช โองการเหรอ”

“อะไร พวกกองทหารองครักษ์น่ะหรือ?” ทงอีตกใจเมื่อรู้ว่ามีทหารองครักษ์มาช่วยจับผู้กระทำความผิด
 
“เพคะ ทหารองครักษ์ออกมากันหมด  จับนายกองกองปราบกับพรรคพวกที่ทำผิดไปแล้ว” พงซังกุงบอก
 
“ทหารองครักษ์ หรือว่าพระราชา” ทงอีครุ่นคิด


“ใช่แล้ว เป็นคำสั่งของข้าเอง” พระเจ้าซุกจงเสด็จมา
 
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท นี่มันเรื่องอะไรกันเพคะ ทำไมฝ่าบาทถึงได้..”
 
“เจ้าไม่ต้องตกใจหรอกน่า  ในเมื่อเจ้าจัดโต๊ะเอาไว้พร้อมแล้ว ข้าก็เลยมาร่วมกินโต๊ะกับเจ้าน่ะ หึ  ถ้างั้นตอนนี้ก็ ถึงตาข้าออกโรงบ้างแล้ว หึ ๆ ๆ ๆ” พระเจ้าซุกจงหัวเราะชอบใจ

“ครั้งนี้เป็นการกระทำผิดกฎหมายร้ายแรงของกลุ่มชนชั้นสูง มีการเก็บภาษี ซ้ำสองซ้ำสามยักยอกให้ตัวเอง อีกทั้งพวกขุนนางก็ยังช่วยปกป้องคนผิด พวกมันคอยสูบเลือดสูบเนื้อประชาชน ถ้าหากไม่ลงโทษสถานหนักแล้ว ข้าจะนำพาบ้านเมืองและราชสำนักได้ไง” พระเจ้าซุกจงตวาดเจ้าหน้าที่
 
“กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าหน้าที่ก้มหน้าสำนึกผิด
 
“ขอให้พวกท่านทุกคนอย่าได้ลืม ว่า..ถ้าไม่ทำเพื่อประชาชนก็ถือว่าผิดต่อฟ้า นับจากนี้ไป ให้ลดการเก็บภาษีจากพวกทาสลงกึ่งหนึ่ง และจากนี้ ถ้าหากยังมีการเก็บภาษีทาสซ้ำซ้อนหรือว่าแกล้งปล่อยปละให้ทำ จะถูกลงโทษฐานทุจริตหรือละเลยการปฏิบัติหน้าที่”
 
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

พระเจ้าซุกจงสำเร็จโทษเจ้าหน้าที่ด้วยตัวเอง  ทำให้ชิลบกพ้นความผิดจากที่ตัวเองไม่ได้ก่อ  สร้างความดีใจให้กับสองพ่อลูกเป็นอย่างมาก


 “ท่านพ่อคะ”
 
“ลูกพ่อไหนให้พ่อดูซิ” สองพ่อลูกสวม กอดกัน ชิลบกหันไปเคารพทงอี “พระสนม ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ พระคุณนี้ กระหม่อมไม่รู้จะตอบแทนยังไงดีแล้ว”
 
“พระคุณอะไรกัน ข้าก็แค่ทำในสิ่งที่ข้าทำได้ ทำในสิ่งที่ข้าควรจะทำเอง”
 
“พระสนมซุกบิน ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” ชิลบกกล่าวอย่างตื้นตัน
 
“กลับไปดูแลท่านพ่อให้ดีนะ เพราะท่านกำลังอ่อนแอมาก” ทงอีบอกยอรี
 
“เพคะพระสนม ขอบพระทัยเพคะ”
 
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัย ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัย ขอบพระทัยพระสนม” ชิลบกทำความเคารพอย่างปลาบปลื้มเป็นที่สุด

 ทงอีเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านเป็นอย่างมาก ก่อนวันเกิดของทงอี  ชาวบ้านที่ทงอีให้การช่วยเหลือ  ต่างก็พร้อมใจกันมาสร้างศาลาที่พักพิงให้เป็นของขวัญ
 
“รอสักครู่นะพ่ะย่ะค่ะพระสนม อีกไม่นานพวกกระหม่อมก็จะสร้างศาลาสวยให้เสร็จ เอาละ  ทุกคนเร่งมือกันหน่อย”
 
“พระสนม ดูเหมือนว่าจะปฏิเสธไม่ได้แล้วเพคะ” พงซังกุงยิ้ม
 
“นั่นสิ น้ำใจที่มีค่าจะปฏิเสธได้ยังไง”ทงอียิ้มปลาบปลื้ม


อาจารย์กูซอนยุนฮักพาองค์ชายยอนอิงมาหาทงอีที่ตำหนักลีฮยอน  เมื่อเห็นชาวบ้านต่างพากันสรรเสริญพระมารดา  องค์ชายยอนอิงก็ปลื้มใจไม่น้อย
 
“ทรงเห็นรึยังองค์ชาย บทเรียนที่จะเรียน วันนี้คือเรื่องนี้แหละ” กูซอนบอก
 
“ท่านอาจารย์”
 
“ขอให้ท่านอย่าได้ลืมภาพที่เห็นในวันนี้ จะเป็นการสอนที่ดีที่สุดยิ่งกว่าอ่านหนังสือ หรือเรียนตำราไหน ๆ ก็คือภาพที่ทรงทอดพระเนตรอยู่”
 
ทงอีหันมาเห็นองค์ชายยอนอิงก็ดีใจเป็นอย่างมาก  องค์ชายโผเข้ากอด “เสด็จแม่”
 
“นี่มันเรื่องอะไรกัน เจ้ามาที่นี่ได้ยังไงหา?”
 
“ก็วันพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของเสด็จแม่ พระมเหสีก็เลยประทานพระอนุญาตให้ลูกมาค้างที่นี่เป็นเพื่อนเสด็จแม่คืนนึงพ่ะย่ะค่ะ”
 
“นี่เจ้าพูดจริงรึ?”
 
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ วันนี้ลูกจะคุยกับเสด็จแม่ถึงเช้าเลยพ่ะย่ะค่ะ”
 
“ดีจ้ะ ตกลงตามนั้นเลย”

“เสด็จแม่ วันนี้ลูกตัดสินใจอย่างแน่วแน่ไว้อย่างนึง ต่อไป ลูกจะไม่งอแงเพราะอยากเจอเสด็จแม่อีก ถึงตอนนี้ลูกเข้าใจแล้วว่า ทำไมตอนนั้นเสด็จแม่ถึงยืนยันจะมานี่ เพราะทรงอยากทำให้ลูกเห็นใช่มั้ย ทรงต้องการสอนลูกว่าควรจะมีชีวิตต่อไปยังไง ลูกจะไม่มีทางลืมเด็ดขาด ลูกจะจดจำคำสอนของเสด็จแม่ไว้ในส่วนลึกที่สุดในใจ”
 
ทงอียิ้มดีใจมาก “ดีจ้ะ ขอบใจมากนะ ขอบใจมากจ้ะกึม”
 
“ลูกก็ขอบพระทัยเสด็จแม่ การที่ลูกได้เป็นลูกชายของเสด็จแม่ ถือเป็นความโชคดีที่สุดของลูกเลย”


สองแม่ลูกกอดกันแน่นด้วยความคิดถึง

ถึงแม้ทงอีจะออกมาอยู่นอกวัง แต่นางก็มีความสุข พระเจ้าซุกจงและองค์ชายยอนอิงมักเสด็จมาเยี่ยมเยียนนางอยู่เสมอ ทงอีและพระเจ้าซุกจงได้รำลึกถึงเรื่องราวในอดีตด้วยกันอย่างมีความสุข
 
“งั้นก็เอาอันนี้แหละ” ทงอีเลือกของขวัญที่พระเจ้าซุกจงพามาเลือกซื้อ
 
“ทงอี อันนี้ดูก็รู้ว่าไม่แพงสักนิด”
 
“ต้องแพงถึงจะเป็นของดีหรือ แค่นี้ก็พอใจมากแล้วล่ะ”
 
“ก็ได้ ถ้างั้นเจ้าเลือกมาอีกสองสามอย่าง”

“ไม่ต้องซื้อแล้ว แค่อันนี้อันเดียวก็พอแล้วนี่”
 
“เอาน่า ตั้งแต่ตรงนี้ถึงตรงนี้ห่อมาให้หมดเลย”
 
“หมดเลยเหรอขอรับ” คนขายถาม
 
“จะทำอะไรเพคะฝ่าบาท” ทงอีกระซิบถามเสียงเบา
 
“ข้าควรเป็นคนถามมากกว่า วันเกิดก็ไม่ยอมให้จัดงานเลี้ยง แถมไม่ยอมให้ข้าให้เงินเป็นของขวัญ แล้วคิดจะเลือกของถูก ๆ แล้วให้จบกันเหรอ ข้าไม่ยอมด้วยหรอกน่า”
 
“แต่ก็ไม่ควรซื้อมันทั้งหมดนี่เพคะ เอ่อคือ ข้าเอาแค่อันนี้ก็พอแล้ว ขอโทษด้วยนะ” ทงอีเอาของคืนคนขายไปทั้งหมด และเดินหนีไป
 
“ทงอี เฮ้อ..”

“เจ้านี่ไม่ค่อยจะเข้าใจความรู้สึกของผู้ชายเลยนะ ผู้ชายเมื่อมีผู้หญิงที่รัก ก็อยากจะยกโลกทั้งใบมาให้ อีกอย่างนึง ข้าเป็นใครหา ข้าน่ะ เป็นพระราชานะ เป็นผู้ชายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินนี้ ผู้ชายที่ยิ่งใหญ่อยากให้ของที่ดีที่สุด แต่เจ้านั่นก็ไม่เอานี่ก็ไม่เอา” พระราชาบ่นอย่างน้อยพระทัย
 

“ฝ่าบาททรงมอบของที่ดีที่สุดกับหม่อมฉันแล้วนี่เพคะ นี่ไงเพคะ แหวนหยกที่ฝ่าบาทเคยมอบให้หม่อมฉันไว้ เท่ากับทรงมอบพระทัยให้หม่อมฉัน หม่อมฉันถึงไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว”
 
“ทงอี”
 
“ดังนั้น พระองค์อย่าเสียพระทัยที่วันเกิดผ่านไปแบบนี้เลยเพคะ ปีนี้ในแถบซัมนัมมีภัยอดอยาก หม่อมฉันไม่อยากให้สิ้นเปลืองเงินกับการจัดงานเลี้ยงเลย จะจัดเมื่อไหร่ก็ได้นี่ จะปีหน้าหรือเป็นปีถัดไป หรือว่าในอีกสิบปียี่สิบปีก็ได้ เพราะหม่อมฉันก็จะอยู่เคียงข้างฝ่าบาทตลอดไป ฝ่าบาทจะจัดงานเลี้ยงหรือให้ของขวัญเมื่อไหร่ก็ได้นี่”
 
“เอาเถอะ ข้ายอมแพ้แล้ว เชื่อเลย หลายปีนี้ข้าไม่เคยเอาชนะเจ้าได้เลย แต่ว่า เจ้าต้องรักษาสัญญาด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นปีหน้า หรือว่าในปีถัดไป หรือต่อให้ผ่านไปสิบยี่สิบปี ตราบนานแสนนาน เจ้าต้องอยู่เคียงข้างข้าเสมอ”
 
“ฝ่าบาท”
 
“เอาเถอะ  แค่นี้ก็พอใจแล้ว ความจริงสิ่งที่ข้าหวังกับเจ้าก็มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้น ฮะ ๆ ๆ  ทงอีของข้า ไหนดูหน่อยสิ มองตรงนี้ก็สวย มองอย่างนี้ก็งาม มองยังไงก็สวย ฮะ ๆ ๆ”
 
ทงอียังชอบที่จะช่วยเหลือคนอื่นและ มักจะสืบพิสูจน์เรื่องราวคนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างไม่เป็นธรรมอยู่เสมอ


 “ซุกบิน ซุกบินหายไปไหนแล้ว เฮ้อ.. ทงอี นี่ เจ้าทำอะไร”
 
“เบา ๆ หน่อยเพคะ เดี๋ยวพวกเค้าได้ยิน” ทงอีจุ๊ปาก
 
“นี่เจ้าทำอะไร ไปเถอะ”
 
“ตอนนี้  คนข้างในดูน่าสงสัยมาก เหมือนที่นี่เป็นแหล่งเจรจาลับของคดีที่หม่อมฉันสืบอยู่ หม่อมฉันต้องเข้าไปดูให้รู้เรื่อง” ว่าแล้วทงอีรีบเดินไป
 
“เดี๋ยว ๆ ๆ รอเดี๋ยวก่อน เจ้ารออีกหน่อย ทางกองปราบส่งคนมาแล้วนี่”
 
“ฝ่าบาท ปล่อยไว้หลักฐานต้องเสียหายแน่ พวกเค้ากำลังเผาทำลายหลักฐานกันนะ”
 
“โอ๊ย แล้วจะทำยังไงดี ทำไมพวกเจ้ายังไม่มาอีก” พระเจ้าซุกจงกังวลที่องครักษ์ยังไม่มา
 
“ฝ่าบาท ได้โปรดเถอะ อีกครั้งนึงนะเพคะ” ทงอีบอกพระราชาและมองไปที่กำแพง
 
“หะ  นี่เจ้าคิดจะให้ข้าปีนกำแพงอีกแล้วเหรอ”
 
“หม่อมฉันจะให้ฝ่าบาทปีนได้ไง เดี๋ยวหม่อมฉันจะปีนเอง พระองค์ก็แค่ช่วยหมอบ..”
 
“ให้ข้าหมอบหลังเหรอ ข้าเป็นพระราชานะ ครั้งนั้นเป็นเพราะเจ้าไม่รู้ แต่ครั้งนี้จะให้ข้าหมอบอีก” พระราชาบ่น
 
“ไหนตรัสว่าไม่ใช่พระราชาแต่เป็นผู้ชายไง” ทงอีถามยิ้ม ๆ
 
“ไม่ใช่ แบบว่า..” พระราชาพูดไม่ออก
 
“งั้นฝ่าบาทก็ต้องเลือกอย่างใดอย่างนึง ตอนนี้ท่านเป็นพระราชาหรือว่าเป็นผู้ชาย”
 
“ข้า ๆ  แต่ว่า..เข้าใจแล้ว หมอบก็หมอบ งั้นเจ้าขึ้นมาได้เลย เอาสิ”
 
“ฝ่าบาท ขึ้นแล้วนะเพคะ” ทงอีเหยียบขึ้นไปบนหลังของพระราชา
 
“โอ๊ย ๆ ทงอี  ทง”
 
“ฝ่าบาท ยืดตัวอีกหน่อยเพคะ อีกหน่อยเพคะ”
 
“ทำไมเจ้าถึงหนักกว่าเมื่อก่อนนะ” พระเจ้าซุกจงบ่นอุบ
 
“ฝ่าบาท ออกแรงอีกหน่อยเพคะ ทำไมยังทรงบอบบางเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย”



หลายปีผ่านไป  องค์ชายยอนอิงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระเจ้ายองโจ พระราชาองค์ที่ 27 แห่งราชวงศ์โชซอน (ปี1694-1776) สืบต่อจากองค์ชายลียูนที่ขึ้นครองราชย์และสวรรคตไปแล้ว ชอนซูพาพระเจ้ายองโจไปเคารพศพทงอีที่สุสานหลวง  ยองโจเล่าความฝันที่เห็นทงอีให้ชอนซูฟัง

“เมื่อคืนนี้ข้าฝันถึงเสด็จแม่ด้วยรู้มั้ยท่านลุง ข้ารู้สึกดีใจมากที่สุดเลย ข้าได้กอดเสด็จแม่ ข้าบ่นจะเป็นพระราชาแล้ว รู้สึกกังวลมากเลย ท่านรู้มั้ยว่าเสด็จแม่ตอบข้าว่ายังไง”
 
“ตอบว่ายังไงพ่ะย่ะค่ะ”
 
“เสด็จแม่ก็ได้แต่ยิ้มให้กับข้า แล้วก็บอกให้ข้าพับขากางเกงขึ้น ถึงจะอยู่ในความฝันเสด็จแม่ก็ไม่เปลี่ยนไปเลย ถ้าไม่อยากถูกเสด็จแม่ลงโทษข้าคงต้องพยายามให้มากกว่านี้”
 
“ฝ่าบาท” ชอนซูกล่าวอย่างดีใจ
 
“ใช่ ข้าจะต้องทำให้ดีที่สุดท่านลุง เพื่อเสด็จแม่ ข้าจะต้องเป็นพระราชาที่ดีที่สุดของแผ่นดินให้ได้” พระเจ้ายองโจลั่นวาจา
 
ชอนซูเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งวิ่งผ่านสุสานทงอีไป จึงตามไปดู ก็เห็นเด็กคนหนึ่งกำลังนั่งเก็บหนอนอยู่ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่หา?”


 “ข้ากำลังมาช่วยจับไอ้นี่ แต่ข้าไม่เก็บเงินนะ” เด็กหญิงยื่นหนอนให้ดู
 
“เจ้าบอกว่า เจ้ามาเก็บหนอนที่นี่น่ะรึ”
 
“ค่ะ เด็ก ๆ ที่อยู่แถว ๆ นี้จะมาช่วยจับหนอนในสุสานซอยองบ่อย ๆ ค่ะ”
 
“งั้นหรือ แล้วพวกเจ้าได้รับค่าแรงกันรึเปล่าล่ะ?”
 
“ที่นี่ เป็นสุสานของพระสนมซุกบินไม่ใช่เหรอ ตอนพระสนมมีชีวิต ทรงห่วงใยชนชั้นต่ำอย่างเรามาตลอด พวกข้าจะเก็บค่าแรงได้ยังไง ท่านพ่อข้าก็เคยบอกว่า จะเก็บค่าแรงไม่ได้โดยเด็ดขาด” เด็กหญิงบอก
 
“งั้นเหรอ ขอบใจเจ้ามากนะ เห็นเจ้ามีจิตใจดีอย่างนี้ โตขึ้นเจ้าต้องเป็นคนที่มีคุณค่าแน่เลย” ชอนซูพูดยิ้ม ๆ
 
“คะ? ข้าน่ะเหรอ แต่ใต้เท้า.. ข้าน้อยเป็นชนชั้นต่ำ จะเป็นคนที่มีค่าได้ยังไงคะ” เด็กหญิงถามอย่างแปลกใจ
 
“ขอแค่ ในใจมีปณิธานที่ล้ำค่าก็พอแล้ว” ชอนซูยิ้ม  เพราะเด็กหญิงคนนี้ทำให้เขานึกถึงทงอี

 เด็กหญิงกลับมาเล่าเรื่องที่เขาเจอชอนซูให้กับพ่อฟัง


“ฮะ ๆ ๆ ๆ จริงเหรอ ใต้เท้าชนชั้นสูงพูดกับเจ้าอย่างนี้เหรอ?”
 
“ค่ะ ใต้เท้าคนนั้นบอกว่า ขอแค่ใจเรามีปณิธานที่มีค่า ความสูงต่ำของคนคนนึง ไม่ได้อยู่ที่ชาติกำเนิด แต่อยู่ที่ใจของตัวเอง แค่มีความมุ่งมั่นที่ล้ำค่า ก็จะกลายเป็นคนที่มีค่าได้”
 
“ต้องขอบคุณใต้เท้าท่านนั้น ที่สอนสิ่งที่มีค่านี้ให้กับเจ้า”
 
“แต่ว่าท่านพ่อคะ คำพูดนี้มันจะจริงเหรอ สิ่งที่สำคัญกว่าชนชั้นคือหัวใจหรือคะ ขอแค่ข้ามีหัวใจที่มีค่า ก็จะไม่ใช่ชนชั้นต่ำ แต่เป็นคนที่มีค่า” เด็กหญิงถาม
 
“ใช่ แน่นอน เหมือนอย่างพระสนมซุกบินกับพระราชาไงล่ะ ที่กลายเป็นคนที่มีคุณค่ามาก เอาล่ะ เรารีบไปกันเถอะ จะไปดูขบวนเสด็จพระราชาไม่ใช่เหรอ”
 
“ค่ะท่านพ่อ”
 
สองพ่อลูกเดินจูงมือกันไปดูขบวนเสด็จของพระราชา  และแม้ว่าทงอีจะสิ้นลมไปแล้ว  แต่คุณความดีของนางก็ยังเป็นที่จดจำของผู้คนทั่วแผ่นดินด้วยความชื่นชม

*** อวสาน ***


* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี

หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่  (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00-20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558

9 ความคิดเห็น:

  1. ทงอีเป็นไรตายค่ะ อยากรู้จิงๆค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ประวัติศาสตร์ระบุว่า พระสนมซุกบิน (ทงอี) เสียชีวิตจากการเจ็บป่วยในวัย 49 ปี ที่ตำหนักอินฮยอน เมื่อปี ค.ศ. 1718

      ลบ
    2. ทรงประชวรได้หลายเดือนแต่ทรงทนไม่ไหวจึงสิ้นพระชนม์ในวัย48-49ปีแต่ในประวัติบอกจากากรคาดเดาเป็น49ปีค่ะลองไปสืบค้นดูที่gogle

      ลบ
  2. แล้าพระเจ้าซุกจงได้ตายหรือเปล่าค่ะ?

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. พระเจ้าซุกจงทรงประชวรหนักและเสียชีวิตในวัย 59 ที่จังหวัดคยองกี เมื่อปี ค.ศ. 1720

      ลบ
  3. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  4. สงสารฝ่าบาททงอีตายก่อนฝ่าบาทซะอีก แต่ทำไมชอนซูถึงอายุยืนยาวจัง ร้องไห้เลยตอนจบ

    ตอบลบ
  5. หลังทงอีตาย 1 ปี พระโอรสองค์หนึ่งของพระเจ้าซุกจง (ไม่ถูกกล่าวถึงในเรื่องนี้) ก็มาตายไปอีกคน

    ตอบลบ
  6. ตามจริงทงอีมีบุตรชายอีกหนึ่งพระองค์ที่ไม่ประกฎชื่อหรือไม่มีพระนามจารึกไว้ในพระราชพงศาวดาร
    และพระนางมีบุตรที่มีการบอกเล่าต่อกันมาว่ามี3พระองค์แต่ก็ยังไม่มีบอกว่าใช่เรื่อวจริงหรื่อไหมถ้าอยากรู้ความจริงให้เปิดไปดูที่ gogle
    ซุกบินแห่งตระกูลเชว-วิกีพีเดีย

    ตอบลบ

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา