วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เจจุงวอน ตำนานแพทย์แห่งโชซอน ตอนที่ 30




โดยังผ่าตัดให้หญิงปากแหว่งสำเร็จ ทำให้นางสวยและมีความมั่นใจมากขึ้น “คงดูดีทีเดียวล่ะ อาจเหลือแผลเป็นนิดหน่อย แต่ถ้าทาแป้งปิด คิดว่าคงมองไม่ค่อยเห็น แบบนี้คงไม่เป็นไรแล้วล่ะ”


ซ๊อกรันยิ้ม ก่อนจะหันไปขอบคุณโดยังแทนหญิงสาว “ขอบคุณมากนะคะ ต่อไปเธอจะได้ไม่ต้องคิดสั้น หนีไปฆ่าตัวตายอีกแล้ว”

“ผ่าตัดครั้งนี้ทำให้ได้เรียนรู้ว่า วันหน้าควรจะทำการผ่าตัดคนที่เป็นโรคปากแหว่งตั้งแต่ยัง เด็ก ๆ จะได้ไม่ต้องเอาแต่ซ่อนอยู่ในบ้าน มีโอกาสได้ออกไปเล่นกับเพื่อน แล้วเติบโตไปด้วยกัน ในที่ประชุมสำนักงานอนามัย ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปเสนอให้หารือกันด้วย”

มียองรีบบอก “หลานข้าก็เป็นคนปากแหว่งเหมือนกัน คุณหมอเบ๊กช่วยผ่าตัดให้เค้าได้มั้ยคะ ฮิ เอ๊ะ คุณหมอฮวางกลับมาแล้ว ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครเหรอ?”




โดยังหันไปมองตามที่มียองบอก ก็เห็นนาโอโกะกับฮวางจอง นาโอโกะมองโดยังและซ๊อกรัน ไม่ค่อยพอใจนัก

เมื่ออยู่กันสองคน นาโอโกะก็ต่อว่าโดยังทันที “ยูซ๊อกรันสำคัญกว่างานแต่งงานของเราใช่มั้ย?”

“คุณก็เห็นแล้วนี่ ว่ามีคนไข้ปากแหว่งรอการผ่าตัดด่วนอยู่” โดยังรู้สึกรำคาญมาก

“ใช่ เพราะเห็นถึงได้โกรธไงล่ะ คนปากแหว่งจำเป็นต้องผ่าตัดด่วนด้วยเหรอ รอไม่ได้เหรอ? ให้คุณหมอฮวางกลับมาทำก็ได้นี่นา บอกมาซิ ว่าคุณอยากแต่งงานกับฉันรึเปล่า?” นาโอโกะไม่พอใจมาก

“นาโอโกะ”

“คุณ...รักฉันจริง ๆ เหรอ?” นาโอโกะจ้องหน้า รอคำตอบ

“ผมบอกแล้วว่าอย่าถามคำถามอย่างนี้อีก”

“นั่นสินะ 5 ปีที่ผ่านมา ฉันได้แต่ถามคุณมาตลอด ถามซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนเป็นเด็ก ๆ เพราะหวังเสมอว่า หัวใจของคุณจะเปิดรับฉันได้บ้าง วันนี้ฉันเห็นแล้ว ว่าหัวใจของคุณไม่ได้เปิดรับฉันเข้าไปเลยแม้แต่น้อย แต่เพราะว่าฉันรักคุณ ฉันเลยอาจจะดูอ่อนแอในสายตาของคุณ แต่วันนี้ คุณก็ทำเกินไปจริง ๆ”



โดยังหมดความอดกลั้น ระเบิดออกมา “นั่นคือเหตุผลว่าทำไมความสัมพันธ์ของเราถึงยังไม่ไปไหน การแต่งงานของเราเลื่อนไปก่อนเถอะ ขอโทษที่ต้องพูดคำนี้ ผมควรบอกคุณก่อนจากมา คุณควรจะรู้อีกเรื่องนึง เรื่องการระเบิดที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล ที่ห้องพักของท่านอียงอิก”

“คุณรู้เหรอว่าใครทำ คุณหมายความว่ายังไง?”

“ผมรู้สิ เรื่องนั้นคนบงการก็คือ...”

“เป็นใครล่ะคะ?” นาโอโกะเชิดหน้า

“ช่างเถอะ”

“คุณบอกฉันมาเถอะ บอกฉันมาสิ แล้วเกี่ยวอะไรกับการแต่งงานของเรา บอกมาสิคะ”

“นาโอโกะ ตอนนี้ความสัมพันธ์ของโชซอนกับญี่ปุ่นกำลังเลวร้ายลงเรื่อย ๆ ถ้าเราแต่งงานท่ามกลางสถานการณ์นี้ อาจจะไม่มีใครชื่นชมยินดีกับเรา เพราะทุกคนก็จะมองว่าผมแต่งงานเพราะอยากได้ลาภยศจากนาโอโกะ โดยเฉพาะท่านทูต และท่าน ผอ.วาตานาเบ้” โดยังกล่าวอย่างอัดอั้น



“ทำไมต้องไปแคร์สายตาคนอื่นด้วย แค่เรารักกันก็พอแล้ว”

โดยังสวนกลับทันที “ผมคงไม่แคร์ไม่ได้ ผมเป็นหมอโรงพยาบาลฮันซอง ผมอยากแสดงฝีมือ เพื่อให้ได้รับการยอมรับซะก่อน ผมถึงจะแต่งงานกับคุณได้อย่างเต็มภาคภูมิน่ะ”

“ถ้างั้น จะต้องรอถึงเมื่อไหร่ล่ะคะ?”

“คิดว่าคงจะไม่นานนักหรอก”

“ถ้างั้น ฉันไปเปลี่ยนสัญชาติดีมั้ยคะ แค่นี้ก็หมดปัญหาแล้ว” นาโอโกะพูดแกมประชด “ฉันรู้สึกไม่สบายใจ ฉันรู้สึกเหมือนว่า เบ๊กโดยังกำลังจะจากฉันไป แม้แต่น้ำเสียงของคุณ ในตอนนี้ก็ไม่ปกติ ฉันไม่สามารถทำอะไรได้เลย ฉันเป็นแบบนี้ ดูผิดปกติมั้ย ก็ได้ค่ะ เลื่อนการแต่งงานออกไปสักพักนึงก่อน แล้วฉันจะอธิบายให้กับท่านพ่อฟังเอง แต่ว่า ตอนอยู่ที่นี่ คุณต้องให้เวลาอยู่กับฉันมากขึ้น ได้รึเปล่า?”

นาโอโกะอ้อนวอน ทำให้โดยังใจอ่อน “ก็ได้”

หลังจากผ่าตัดหญิงปากแหว่งสำเร็จ ทำให้คนที่มีร่างกายเช่นนี้มีความหวังขึ้น






“จากการสำรวจเราพบว่าบรรดาเด็กทารกที่เกิดในโชซอน จะมีเด็กหนึ่งในพันคนที่เกิดมาเป็นโรคปากแหว่ง หรืออาจจะถึงขั้นเป็นโรคเพดานโหว่ แต่มีแม่เด็กจำนวนมากที่รู้สึกอายกับเรื่องนี้ และคิดจะเก็บซ่อนลูกของตัวเองเอาไว้ในบ้าน เด็กก็ยิ่งไม่มีโอกาสได้ผ่าตัด ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องเร่งรณรงค์เพื่อเสนอโอกาสผ่าตัดให้กับเด็ก ถ้าสามารถผ่าตัดให้กับเด็กที่อายุเพียงหนึ่งหรือสองปี ก็แทบจะไม่เหลือแผลเป็นอยู่อีกเลย ดังนั้นเราจะต้องประสานงานกับสูตินรีเวช ว่าให้คอยสังเกตเด็กที่เกิดมามีภาวะปากแหว่งด้วย ผมได้เตรียมโปสเตอร์มาด้วย คุณหมอยูครับ ลองเอากลับไปดูนะครับ”

โดยังบอกทุกคนที่เจจุงวอน พร้อมกับทำโปสเตอร์ให้เจจุงวอนออกประกาศเชิญชวนเด็ก ๆที่เป็นโรคปากแหว่งให้มารักษา ทำให้เจจุงวอนต้องรับผู้ป่วยมากขึ้น

ท่านรัฐมนตรีพ่อของนาโอโกะเดินทางมาหาลูกสาวในโชซอน เมื่อเจอกับโดยังก็เอ่ยปาก




“ได้ยินว่าเธอยุ่งมากจนไม่มีเวลากลับไปที่ญี่ปุ่นเลย วันนั้นก็เพราะผ่าตัดคนไข้ฉุกเฉิน ก็เลยไปขึ้นเรือไม่ทัน”

“เอ่อ ครับ” โดยัง อึดอัดกับคำพูดที่ดูเหมือนจับผิดและคาดคั้นเขา

“ไฮ้ เค้ายุ่งมากครับท่าน เพราะว่าช่วงนี้คุณหมอเบ๊กยังได้เป็นหัวหน้าในการรณรงค์ช่วยผ่าตัดคนที่เป็นโรคปากแหว่ง ที่สำนักงานอนามัยของโชซอนด้วยครับ นับตั้งแต่พระเจ้าโกจงเสด็จย้ายออกจากสถานทูตรัสเซีย แล้วคุณหมอเบ๊กได้ทำให้ภาพลักษณ์โรงพยาบาลเราดูดีขึ้นอย่างมากเลยทีเดียวครับ” วาตานาเบ้บอก

“อืม งั้นก็คงยุ่งจริง ๆ”

“ท่านพ่อคะ โดยังเค้าได้ใช้ฝีมือทางการแพทย์เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโชซอนกับญี่ปุ่นด้วย พวกคนไข้ก็มาเข้าแถวรอกัน ก็เพราะคุณหมอโดยังเลยนะคะ”

“อืม งั้นเหรอ ฮึ่ม”

“เพราะฉะนั้น เลิกโกรธเรื่องเลื่อนการแต่งงานเถอะ เราก็กำหนดวันใหม่ก็ได้นี่คะ” นาโอโกะพยายามพูดให้พ่อไม่เอาเรื่องโดยัง

“นั่นสินะ แบบนี้ก็ไม่เลว พ่อถึงได้เดินทางมาที่นี่ไงล่ะ ฮะ ๆ ๆ งานแต่งงานที่ญี่ปุ่น เราเลื่อนออกไปก่อนได้ แต่เราจัดงานที่โชซอนก่อนได้เลยนี่” พ่อนาโอโกะพูดยิ้ม ๆ “อืม ในโชซอนคุณก็ถือเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่โต ฮะ ๆ ๆ ผมนึกถึงแต่ตัวเองมากไปหน่อย คุณคิดว่ายังไง” พ่อนาโอโกะพูดกดดันโดยัง

“ฮะ ๆ ๆ ท่านรัฐมนตรีช่างเข้าใจจิตใจของคนได้ดีจริง ๆ ครับ เอ่อ ถ้าหากพวกเราจัดงานแต่งงานตามประเพณีญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ก็จะเป็นการแสดงสัญลักษณ์ที่ดี” วานาตาเบ้เห็นด้วย “ใช่แล้วครับ แล้วเราก็จะเชิญขุนนางใหญ่ของโชซอนมาจัดพิธีแต่งงานที่ใหญ่โตที่สุด” ทูตญี่ปุ่นเสริม

“นั่นสินะ เพราะว่าผมไม่มีลูกชาย ดังนั้นถ้าแต่งงานกันแล้ว ต้องเป็น...ลูกเขยแต่งเข้าตระกูลผม ผมจะยกนามสกุลโคบายาชิให้สืบทอด ผมอยากจะให้คุณไปเริ่มชีวิตใหม่ในฐานะชาวญี่ปุ่น” พ่อนาโอโกะยื่นข้อเสนอให้โดยัง ทำให้โดยังรู้สึกลังเลมาก

นักฆ่าที่ฆ่ามาตังแกมีอาการอยากฝิ่นมากจึงมาที่เจจุงวอนเพื่อให้ฉีดมอร์ฟีนให้

“ที่นี่มีกัญชารึเปล่าหะ? ข้าต้องการกัญชา อ้อ ได้ยินว่าที่นี่มีมอร์ฟีน รีบฉีดให้ข้าเร็ว” นักฆ่าบอกนังนังซึ่งนั่งรับคนไข้อยู่ด้วยเสียงอันเข้ม แต่สั่นเล็กน้อยเพราะอาการอยากฝิ่น บังเอิญฮวางจองเดินผ่านมาและเห็นอาการก็พอจะเดาได้ “นี่ท่านติดฝิ่นอยู่เหรอครับ โรงพยาบาลเราจะไม่ฉีดมอร์ฟีนให้ใครพร่ำเพรื่อหรอกครับ”

“ไม่ยอมฉีดให้ข้าใช่มั้ย?” นักฆ่าจ้องหน้า

“ฉีดให้ไม่ได้ครับ”“หึ ๆ ๆ ๆ ข้าไม่ได้เป็นคนฆ่าสัตว์แล้วนะ พระราชาทรงเลื่อนชนชั้นให้กับลูกชายของข้า ข้าเลยได้เลื่อนขั้นไปด้วย ฮะ ๆ ๆ ซี้ด ๆ” นักฆ่าเริ่มคุมสติไม่อยู่ พูดพร่ำคำที่มาตังแกพูดกับเขาก่อนตายออกมา “ไอ้เจ้าคนฆ่าสัตว์ มันพูดไว้ก่อนตาย ซี้ด ๆ ถ้าเจ้าฉีดให้ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่าง ว่าพ่อเจ้าตายยังไง ใครเป็นคนฆ่า”


ฮวางจองตกใจ นังนังและชักแทว่านักฆ่าพูดเหลวไหลจึงพยายามไล่ออกไป นักฆ่าจึงโพล่งออกมา “แฮ่ก ๆ ๆ ข้าเอง ข้าเอง ข้าเป็นคนฆ่าพ่อของเจ้าเอง”

ฮวางจองตกใจมาก “เจ้าเป็นใครหะ?”

“แฮ่ก ๆ ข้า ข้าเป็นใครไม่สำคัญหรอก มอร์ฟีน ฉีดมอร์ฟีนให้ข้าแค่เข็มเดียว แล้วข้าจะบอกทุกอย่าง ซี้ด ๆ แฮ่ก ๆ ว่าพ่อเจ้าตายยังไง แล้วใครเป็นคนสั่งฆ่า ข้าจะบอกทุกอย่าง จำไม่ได้เหรอ ว่าพ่อเจ้าถูกกระทืบจนตายน่ะ ตอนนั้นเจ้าไม่ได้อยู่ด้วยใช่รึเปล่า คนฆ่าสัตว์ หึ ๆ ๆ คิดจะเป็นหมองั้นเรอะ ฮะ ๆ ๆ”

“เจ้าเป็นใคร เจ้าพูดเรื่องอะไรหะ?” ฮวางจองตวาด

“มอร์ฟีน ฉีดมอร์ฟีนให้ข้า มอร์ฟีน ๆ คร่อก ๆ...”



นักฆ่าเริ่มอาการหนักขึ้นจนควบคุมตัวเองไม่ไหว หมดสติไป ชักแทและนังนังต้องรีบพาไปห้องพัก พอนักฆ่าฟื้นขึ้นมาก็เริ่มมีอาการอีก “แฮ่ก ๆ ฉีดมอร์ฟีนให้ข้าเร็วเข้า ฉีดมอร์ฟีนให้ข้าทีนะ มอร์ฟีน ๆ”

“โรงพยาบาลมีกฎห้ามฉีดมอร์ฟีนให้คนไข้” ซ๊อกรันบอก

“ไหนเจ้าลองบอกที่พูดเมื่อกี้มาอีกทีสิ เจ้าเป็นคนฆ่าท่านลุงจริงรึเปล่า?” ชักแทโพล่งถามเพราะอยากรู้มาก “คงจะต้องให้เค้าอดอาหารก่อน อาการของเค้าค่อนข้างน่าเป็นห่วง” ฮวางจองบอก

“ข้าก็เห็นด้วย งั้นคนไข้นี่ข้าจะดูแลให้เอง คุณหมอฮวางกลับไปที่ห้องตรวจเถอะ” โกเสนอตัว

“พวกท่านเป็นอะไรกันเนี่ย แค่คนไข้ติดฝิ่นคนเดียว หมอของเจจุงวอนกลับมารวมตัวที่นี่กันจนหมดเลย เดี๋ยวข้าจะตรวจอาการของเค้าเอง พวกท่านออกไปกันได้แล้ว” ฮวางจองบอก ในใจกลับมีแผนที่จะรู้ความจริง ซ๊อกรันพอจะเดาออก ฮวางจองเลยบอกให้หมอโกพาซ๊อกรันออกไปด้วย




“ดูท่าทางเจ้าจะรู้จักพ่อของข้าดีนี่ บอกมาสิว่าเจ้ายังรู้เรื่องอะไรอีก?” ฮวางจองถามขึ้น

“ในโลกใบนี้ ไม่มีอะไรได้ฟรีหรอก แฮ่ก ๆ ๆ มอร์ฟีนเหรอ งั้นก็ฉีดให้ข้าเร็ว แฮ่ก ๆ ๆ เร็ว ๆ แฮ่ก ๆ ๆ”

“รีบบอกเรื่องของท่านพ่อข้ามาก่อน” ฮวางจองต่อรอง

“ทำไมถึงไม่ยอมฉีดให้สักที รีบฉีดให้ข้าเดี๋ยวนี้ แฮ่ก ๆ ๆ ตอนแรกคิดว่าจะฆ่าเจ้าก่อน ในคืนที่เจ้าย้ายไปอยู่บ้านใหม่ไง แต่เจ้าดันไม่ตาย ข้าก็เลย...ต้องเปลี่ยนไปฆ่าพ่อของเจ้าแทน?”

นักฆ่าพร่ำต่อ ทำให้ชักแทและหมอโกอารมณ์โกรธมาก ที่นักฆ่าใจคอโหดเหี้ยมมากที่เห็นคนเป็นผักปลา




“แล้วเจ้า...เป็นใครหะ?” ฮวางจองตวาดเสียงดัง

“ข้าเป็นใครไม่สำคัญหรอก ข้าเป็นแค่ชาวบ้านคนนึง”

“ใครเป็นคนสั่งเจ้า?” ฮวางจองเค้นถาม

“ข้าบอกไม่ได้ ๆ จนกว่าเจ้าจะฉีดให้ ข้าจะไม่บอก ไม่บอกหรอก”

“บอกมาเดี๋ยวนี้”

“ไม่ได้ ๆ ให้ตายข้าก็ไม่บอก รีบฉีดมอร์ฟีนให้เร็ว เร็วเข้า ๆ แฮ่ก ๆ มอร์ฟีน ๆ อะไร เจ้าจะไปไหน เจ้ากรม เจ้ากรมกลาโหมสั่ง เค้าต้องการให้เจ้าเจ็บปวดจากการเสียคนรัก เค้าเป็นคนบงการ แฮ่ก ๆ ๆ ข้าบอกเจ้าแล้วไงล่ะ ฉีดมอร์ฟีนให้ข้าเร็วเข้า มอร์ฟีน แฮ่ก ๆ เอามอร์ฟีนให้ข้าสิ” นักฆ่าอ้อนวอน เพราะรู้สึกทรมานเหลือเกิน

“คุณหมอโกครับ ท่านช่วยฉีดยา ให้กับคนไข้แทนข้าทีนะ ตอนนี้เค้าเริ่มจะลงแดง และมีอาการเหงื่อออกจนซีดแล้ว” ฮวางจองบอก 

ฮวางจองอาศัยช่วงที่นักฆ่าต้องการความช่วยเหลือเรื่องการฉีดมอร์ฟีน บังคับจนนักฆ่าสารภาพว่าคนที่สั่งให้ฆ่ามาตังแกคือเจ้ากรมกลาโหม ฮวางจองแน่ใจมาก

“เจ้ากรมกลาโหมพ้นจากตำแหน่ง ก็ไปก่อเรื่องเอาไว้ไม่น้อย ตอนเค้ายังอยู่ในตำแหน่ง ก็ทำเรื่องเลวร้ายเอาไว้มาก เลยมีทหารคุ้มกันส่วนตัวอยู่” ผู้จัดการโอบ่น

“ต้องมีทหารคุ้มกันแปลว่าคงจะเลวจริง เฮ้อ” ชักแทพยักหน้า

“โอ้ย..เฮ้อ เอาแต่จะฉีดมอร์ฟีน จนป่านนี้คนไข้ยังร้องโวยวายไม่ยอมหยุดเลย” หมอโกมองไปที่นักฆ่าที่ยังทุรนทุรายอยู่ ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง

“ข้าพอจะรู้เรื่องเจ้ากรมคนนี้มานิดหน่อย หลายวันก่อน ได้ยินเพื่อนบอกว่าเห็นภาพวาดเค้าแขวนอยู่ที่สำนักศิลปะ สงสัยว่าคงจะใกล้ตายแล้วล่ะ”

ชักแทเห็นด้วย “เป็นเพราะทำกรรมชั่วไว้มาก ก็สมควรได้รับกรรมแล้วล่ะ”

“นี่เจ้า พูดแทรกไม่มีมารยาทเลย แต่ก็จริงนะ เห็นว่าที่เค้าออกจากตำแหน่งก็เพราะว่าป่วยเป็นโรคหัวใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนัก ดังนั้นความรู้สึกโกรธแค้นของคุณหมอฮวางข้าเข้าใจมันดี แต่ก็คิดซะว่า เวลาได้ แก้แค้นให้เจ้าแล้วก็แล้วกัน” ผู้จัดการโอพยายามปลอบ

“นั่นน่ะสิคะคุณหมอฮวาง” ซ๊อกรันเห็นใจฮวางจองมาก



“อย่างนี้จะเรียกว่าแก้แค้นได้ยังไง มันต้องเอามีดไปกะซวกมันสักทีก่อนตายถึงจะเรียกว่าแก้แค้น” ชักแทพูดอย่างโกรธแทน จนซ๊อกรันต้องต่อว่ากราย ๆ ชักแทหน้าเจื่อน ๆ “ข้าก็แค่บอกว่ามัน ควรทำแบบนี้เท่านั้นเอง”

“ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก ท่านอาจจะไปแจ้งความก็ได้ เพราะเค้าขัดราชโองการ และตอนนี้ท่านก็มีพยานอยู่ด้วย เค้าต้องได้รับการลงโทษอย่างหนักแน่” ซ๊อกรันปลอบใจ แต่ตอนนี้ฮวางจองทั้งโกรธทั้งเสียใจ “ข้าอยากจะ..อยู่คนเดียวสักพักนึง”

ฮวางจองทนไม่ไหวจึงมาขอพบเจ้ากรมกลาโหม

“ตอนนี้ท่านไม่อยู่” คนที่จวนเจ้ากรมกลาโหมบอก

“ข้ารู้ว่าท่านอยู่ข้างใน ข้าเป็นหมอจากเจจุงวอน มีชื่อว่าฮวางจอง เข้าไปบอกท่านด้วย ว่าคนที่ได้รับการเลื่อนชนชั้นจากพระราชาต้องการพบเค้า”

“ถ้างั้นรอตรงนี้ก่อน”

ชักแทซึ่งตามฮวางจองมาพยายามห้าม เพราะรู้ว่าฮวางจองกำลังโกรธ “ฮวางจอง เจ้าอย่าวู่วามนะ หะ เรากลับกันดีกว่า เจ้าจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ นะ ฮวางจอง”




ไม่นานนักคนในจวนเจ้ากรมก็เดินออกมาบอก “ท่านบอกว่าไม่รู้จักเจ้า ท่านไม่ให้เจ้าเข้าพบ” ฮวางจองไม่ยอมพยายามจะบุกเข้าไป แต่ถูกคนในจวนกันไว้ “นี่เจ้าเป็นบ้ารึไง รีบกลับไปซะ ข้าเตือนแล้วนะ”

ฮวางจองอัดอั้นตันใจมาก “เจ้ากรมกลาโหม ไม่กลัวสวรรค์ลงโทษรึไง ข้าจะต้องแก้แค้นท่านให้จงได้ ไม่มีวัน ไม่มีวันให้อภัยท่านเด็ดขาด” ฮวางจองตะโกนอย่างคั่งแค้น

ทูตญี่ปุ่นแสดงความดีใจกับพ่อของนาโอโกะ ที่นาโอโกะจะได้แต่งงานกับโดยังเสียที แต่วาตานาเบ้ยังเป็นห่วง เพราะรู้ดีว่าโดยังเป็นคนที่มีนิสัยไม่ยอมอยู่ใต้คำสั่งของใครง่าย ๆ

“ผมขออนุญาตพูดหน่อยนะครับ คุณหมอเบ๊กโดยัง เป็นคนที่อาจคุมยากสักหน่อย เพราะเค้าสามารถปฏิเสธได้ตลอดเวลา”

“แต่ว่าเค้าคงปฏิเสธไม่ได้ง่าย ๆ หรอก เพราะเค้ารู้ว่า ท่านออกค่าเล่าเรียนให้และเป็น คนออกคำสั่งให้สังหารพระมเหสีโชซอน ฮะๆ ถึงแม้ก่อนหน้านี้ เค้าจะเคยทำตัวเป็นปัญหาอยู่บ้าง เพราะคิดว่าเป็นแค่ลูกจ้างของโรงพยาบาลแต่จะไม่เป็นอย่างนั้นแล้วครับ” ทูตบอก

“อ้อ ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เองเหรอ?”

“ถ้าเค้าก้าวออกจากโรงพยาบาลฮันซองไปเมื่อไหร่ หนังสือพิมพ์ฮันซองก็จะทำการประโคมข่าวเปิดโปงเบ๊กโดยังทันที ซึ่งมันจะทำให้เบ๊กโดยัง ..กลายเป็นคนโชซอนที่ขายชาติทันที และอาจถูกรุมประชาทัณฑ์จากผู้คน และตามกฎหมายโชซอน เอ่อ คนขายชาติของโชซอน จะต้องถูกลงโทษหนักถึงสามชั่วโคตร” ทูตญี่ปุ่นยิ้มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า

“สามชั่วโคตร สามชั่วโคตรคืออะไร เพื่ออะไรฮะ?” พ่อนาโอโกะยังไม่เข้าใจ

“ไฮ้ เอ่อ คือว่า หนึ่งโคตร สองโคตร สามโคตร มั้งครับ”

เจอุ๊กรีบอธิบาย “ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าอยากจะอยู่ในโชซอนก็ควรทำความเข้าใจประเพณีและกฎหมายของโชซอนด้วย สามชั่วโคตร ตระกูลพ่อ ตระกูลเมีย และตระกูลของแม่ไงครับ ดังนั้นการประหารสามชั่วโคตร หมายความว่า ญาติในตระกูลนี้ทั้งหมด จะต้องถูกประหาร จนไม่เหลือเลยซักคน”

“ฮะ ๆ ๆ คุณยูน คุณนี่รอบรู้จัง ฮะ ๆ ๆ” วาตานาเบ้ชอบใจ

“นี่ชาที่สั่งครับ เชิญดื่มครับ”

“ฮะ ๆ ๆ อย่างนี้นี่เอง เป็นกฎหมายที่น่าสนใจดีนะ” พ่อนาโอโกะหัวเราะชอบใจ ทำเอาทุกคนหัวเราะตามไปด้วย

“ไม่ทราบว่า ทำไมท่านรัฐมนตรี ถึงได้ให้ความสำคัญกับเบ๊กโดยังนักล่ะครับ? จนป่านนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย” วาตานาเบ้ถามขึ้น

“เพราะเบ๊กโดยังเป็นแพทย์ที่มีความสามารถโดดเด่น เคยผ่าตัดรักษาคนใหญ่คนโตของประเทศญี่ปุ่นมาแล้วมากมาย ทั้งที่ในญี่ปุ่นมีศาสตราจารย์อยู่มากมาย คุณนึกภาพออกมั้ย ว่ามีคนใหญ่คนโตมากมายในญี่ปุ่นที่รอดชีวิตจากคมมีดผ่าตัดของเค้า หึ ๆ ๆ ดังนั้นคนเก่งแบบนี้ ผมไม่มีเหตุผลจะต้องปฏิเสธนี่ อีกอย่างเค้าก็เคยช่วยลูกสาวผมไว้ และเธอเองก็รักเค้ามากซะด้วย ฮ่า ๆ ๆ”

“ฮ่า ๆ ๆ ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง ผมเข้าใจแล้วครับ”

“เบ๊กโดยังคือเพชรที่ผมไปขุดเจอมาเอง ฮ่า ๆ ๆ ๆ แค่ก ๆ ๆ ฮะ ฮ่า ๆ แค่ก ๆ ๆ ๆ ฮะ ๆ ๆ” วาตานาเบ้คุยโว ก่อนจะสำลักน้ำชา

นาโอโกะมาหาโดยังที่พักและจะขอค้างคืนด้วย แต่โดยังปฏิเสธ


“คุณโดยังนี่เป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ แต่ยังไง..ฉันเป็นผู้หญิงของคุณนะ และ..ฉันก็เตรียมใจมาพร้อมแล้วด้วยเบ๊กโดยัง ที่จริงฉันก็อยากจะให้รอ ให้เลื่อนตามที่คุณต้องการ แต่ในเมื่อท่านพ่อของฉันมาถึงที่นี่แล้ว คุณก็เลยตามเลย เราก็แต่งงานกันเลยละกันนะ”

“คุณคิดจะให้การแต่งงานเป็นเรื่องการเมืองเหรอ?” โดยังถามขึ้น

“ก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่ ขอแค่เรารู้ดีแก่ใจก็พอแล้ว”

“ไม่ได้หรอก ผมคงทำตามที่พ่อคุณต้องการไม่ได้” โดยังพูดตรง ๆ

“เบ๊กโดยังคะ คุณมีเหตุผลอื่นใช่มั้ย?”

โดยังหรี่ตา “หมายความว่ายังไงครับ?”

“ฉันรู้ดีว่า ระหว่างเบ๊กโดยัง กับยูซ๊อกรัน ไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกันธรรมดา”

“อะไรนะ?”

“แค่ฉันได้เห็นสายตาที่คุณมองเธอก็รู้แล้ว เพราะฉะนั้น ฉันถึงรู้สึกทนไม่ได้ไงคะ เบ๊กโดยังคะ ได้โปรดลืมยูซ๊อกรันไปสักทีเถอะ เพราะว่าเธอ เป็นคนรักของคนอื่นไปแล้ว” นาโอโกะพูดเปิดใจ

“แต่ว่าเรื่องนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับซ๊อกรัน” โดยังรีบปฏิเสธ

“แต่ทุกครั้งที่คุณพูดว่าไม่ ฉันกลับรู้สึกไม่เชื่อเลย” นาโอโกะจ้องตาโดยังราวกับต้องการรู้ความจริง

โดยังรู้เรื่องที่เจ้ากรมกลาโหมเป็นคนสั่งฆ่ามาตังแกก็ตกใจมาก ฮวางจองจ้องหน้าโดยังถามว่าไม่รู้เรื่องจริงหรือ เพราะโดยังสนิทสนมกับเจ้ากรมกลาโหมมาก


“ข้าสาบานว่าข้าไม่รู้” โดยังยืนยัน

“ท่านน่าจะรู้ดีที่สุดว่าคุณชายเบ๊กไม่ใช่คนโกหกหรอก” ซ๊อกรันบอก

“ถ้าอย่างนั้นคุณหมอก็ต้องไปแจ้งความแล้ว” โดยังแนะนำ

“ข้าก็แนะนำเค้าไปแล้ว แต่ว่าเค้าไม่ยอมฟังข้าเลย ถ้าหากท่านไม่ยอมที่จะไปแจ้งความ ก็ควรถวายฎีกาไปถึงพระราชา ท่านไม่ควรจะแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเอง”

ฮวางจองหน้าเครียด “ทำไม่ได้หรอก ไม่มีใครมาแก้ปัญหาแทนข้าได้”

“แต่การวู่วามมีแต่จะทำให้ท่านสูญเสียทุกอย่างที่ท่านมีไปนะ อนาคตข้างหน้ายังอีกตั้งไกล ทำไมจะต้องจมอยู่กับอดีตด้วย” ซ๊อกรันบอกอย่างเป็นห่วง

“ข้าคิดว่าซ๊อกรันพูดก็ถูกนะ”

“ข้าพูดจาวู่วามไปหน่อย ไว้พบกันใหม่” ฮวางจองรีบเลี่ยงออกไป

เจ้ากรมกลาโหมซุนฮองป่วยจึงมาที่ฮันซองและโดยังเป็นผู้ตรวจร่างกายให้ “ท่านรู้สึกปวดแบบไหน”

“แฮ่ก ๆ ๆ มันรู้สึกเจ็บเหมือนมีเข็มมาทิ่มน่ะ” เจ้ากรมกลาโหมไอไม่หยุด หลังจากตรวจร่างกายเสร็จแล้ว โดยังก็วินิจฉัยโรค “เป็นมะเร็งปอดครับ และเซลล์มะเร็งก็กระจายไปทั่วปอดแล้วด้วย”


“แล้วมันหมายความว่ายังไง?” เจ้ากรมกลาโหมตกใจ

“ในปอดของท่านมีเนื้อร้ายเกิดขึ้นมา เราอาจจะต้องตัดปอดส่วนนึงทิ้งไปน่ะครับ”

“เฮ้อ ผ่าตัดใหญ่มาก ผ่าตัดใหญ่” วาตานาเบ้อธิบาย

“ข้าเกลียดการที่เอามีดมากรีดเฉือนบนตัวที่สุด ตอนนี้ กลับจะต้องมาถูกผ่าตัดอย่างนั้นรึ?”

“เราต้องผ่าตัดโดยเร็วที่สุด” โดยังแนะนำ

“ผ่าตัดเร็วที่สุด หมายความว่ายังไงห๊ะ?”

“แปลว่าถ้าท่านไม่รีบทำการผ่าตัด คงมีชีวิตได้อีกไม่นาน” โดยังบอก

“ถ้าไม่ผ่า ข้าจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่?”

“มากสุด ก็คงไม่เกินหนึ่งเดือน”

“แล้วถ้าข้าผ่าตัดล่ะ?”

“มันต้องเกินหนึ่งเดือนอย่างแน่นอน หรือไม่ก็อาจจะอยู่ได้อีกนานตามที่ท่านต้องการ”

เจ้ากรมกลมโหมลังเล วาตานาเบ้รีบบอก “อา ท่านเชื่อฝีมือของคุณหมอเบ๊กได้ ท่านก็แค่หลับไปแป๊บเดียวเท่านั้นเอง”

“แต่ว่าไม่มีปอด จะชีวิตอยู่ได้เหรอ?”

“ยังมีปอดเหลือข้างนึง ท่านก็ยังอยู่ได้”

“ผ่าตัดมันก็ได้อยู่หรอก แต่ข้า จะไม่ผ่าตัดในโรงพยาบาลของต่างชาติ เจ้าช่วยย้ายข้าไปโรงพยาบาลอื่นได้มั้ย?” เจ้ากรมซุนฮองขอร้อง

“แต่ว่าหมอที่สามารถผ่าตัดมะเร็งปอดได้มีไม่มาก มีแต่ข้า แล้วก็หมอฮวางจองของเจจุงวอนเท่านั้นครับ?” โดยังบอก เพราะรู้แล้วว่าเจ้ากรมซุนฮองเป็นผู้สั่งฆ่าพ่อของฮวางจอง

“ห๊ะ เจ้าบอกว่าเจ้าฮวางจองคนนั้นเหรอ?” ซุนฮองตกใจ

“ใช่แล้วครับท่าน”

“เหอะ แค่ก ๆ ๆ ถ้าให้ไอ้เจ้านั่นมาผ่าตัดให้กับข้า มันก็เท่ากับข้าเอาชีวิตไปทิ้งน่ะสิ”

“ท่านพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง หมอฮวางจองจะ..เจื๋อนคุณให้ตายรึครับ?” วาตานาเบ้ซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราว ถามขึ้น

“ฮะ ๆ ๆ ข้ากับเค้ามีความแค้นเก่าอยู่ นี่เบ๊กโดยังเจ้าว่า ข้าควรจะทำยังไงดีล่ะ ฮะ” ซุนฮองถามความเห็น แต่ก็ยังไอไม่หยุด

โดยังรีบบอก “ท่านรับการผ่าตัดที่นี่ดีกว่า ข้าจะต้องช่วยรักษาของชีวิตท่านไว้ให้ได้”

เจ้ากรมกลาโหมซุนฮองตัดสินใจที่จะผ่าตัดที่ฮันซอง “วันนี้ท่านจะต้องอดอาหาร พรุ่งนี้เราจะเริ่มการผ่าตัดกัน” โดยังบอกเจ้ากรมกลาโหม

“เอ่อ คือว่า เมื่อคืนข้าคิดเรื่องนี้อยู่ทั้งคืน ข้าคิดว่าข้า..แค่ก ๆ ๆ..เอ่อ คงให้ผ่าหน้าอก แล้วเอาปอดของข้าออกมาไม่ได้”

วาตานาเบ้ให้กำลังใจ “เอ่อ ท่านเจ้ากรมกลาโหม พวกผมไม่ได้จะเอาปอดท่านออกมาซักหน่อย แต่หมอเบ๊กจะช่วยตัดเนื้อร้ายของท่านออกมาให้เท่านั้น แล้วก็เอาปอดของท่านใส่กลับเข้าไปใหม่ ตัวผมเองก็เป็นห่วง และให้ความสำคัญกับการผ่าตัดครั้งนี้มาก แต่ว่า มันจะต้องสำเร็จแน่นอน”

“แต่ว่าข้าได้ไปสอบถามกับใต้เท้าอียงอิกมาแล้วนะ เค้าบอกว่าทางที่ดีอย่าดีกว่า เพราะตัวเค้าเองก็เกือบจะตายอยู่ที่นี่” ซุนฮองกล่าวอย่างกังวล

“ใช่ครับ ก่อนหน้ามีเรื่องที่ไม่ดีนักเกิดขึ้น แต่ถ้าหากท่านอียงอิกไม่ได้รับการผ่าตัดจากที่นี่ ก็คงไม่มีชีวิตอยู่มาถึงวันนี้ และก็คงไม่มีโอกาสได้มาบอกเรื่องนี้กับท่านด้วย” โดยังบอก

“อืม ถูกต้องที่สุดเลยครับ และเพื่อให้การผ่าตัดสำเร็จได้ด้วยดี พวกข้าจะ..พยายามอย่างเต็มที่เลยครับ” วาตานาเบ้รีบเสริม

“เข้าใจแล้ว วันพรุ่งนี้มันจะเป็นวันตาย หรือว่าจะเป็นวันเกิดใหม่ของข้า ก็ลองดู”

“ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมากจริง ๆ” วาตานาเบ้ยิ้ม ก่อนจะไอออกมาเช่นกัน

วาตานาเบ้ไอหนักขึ้นจึงมาตรวจร่างกาย และพบว่าเขาป่วยเป็นมะเร็งปอดเช่นกัน

นาโอโกะเครียดจัดเรื่องโดยังและซ๊อกรันจึงออกมานั่งดื่ม และเจอเข้ากับเจอุ๊ก เจอุ๊กเล่าเรื่องโดยังรักซ๊อกรันมานานแล้ว เพราะทั้งสองรู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก และซ๊อกรันก็เป็นคนที่ให้โดยังต้องหนีไปเรียนที่ญี่ปุ่น นาโอโกะยิ่งเสียใจเพราะดูเหมือนโดยังจะยังรักซ๊อกรันอยู่ และบ่ายเบี่ยงที่จะแต่งงานกับเธอ นาโอโกะจึงกินยานอนหลับเข้าไปเกิดขนาด ดีที่ล้างท้องทันทำให้นาโอโกะพ้นขีดอันตราย




เบ๊กโดยังมาหานาโอโกะหลังจากที่เธอฟื้นขึ้นมา

“คุณมาทำไม มาเพราะสงสารฉันอีกใช่มั้ย ฉันน่าสงสารขนาดนั้นเลยเหรอ?” นาโอโกะพูดน้ำเสียงน้อยใจ

“ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่อย่างนั้น ผมไม่เคยรู้สึกสงสารคุณเลย ผมขอโทษที่ทำให้คุณคิดอย่างนั้น รอผมนะ รอผมอีกหน่อยได้มั้ย รอจนกว่า หัวใจของผม จะไปอยู่ใกล้คุณมากกว่านี้ จากนี้ไปผมจะพยายาม” โดยังบอก

“เบ๊กโดยัง” นาโอโกะยิ้มอย่างมีความหวัง

ฮวางจองรู้ว่าเจ้ากรมกลาโหมไปหาหมอที่ฮันซองจึงตามไป เพื่อต้องการให้เจ้ากรมกลาโหมขอโทษเรื่องที่สั่งฆ่ามาตังแก และเจอกับวาตานาเบ้ซึ่งกำลังป่วยเขาจึงตรวจร่างกายให้


“ได้ตรวจ ผอ.โรงพยาบาลของญี่ปุ่น คุณมีความรู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”

“ช่วยหายใจลึก ๆ หน่อยครับ” ฮวางจองบอก

“ฟู่ ทุกครั้งที่เห็นคุณทีไรผมก็รู้สึกเสียดายทุกที เฮ้อ ถ้าตอนนั้นคุณยอมมาอยู่นี่ ตอนนี้ก็คงจะกลายเป็นหมอที่ดังกว่านี้ไปแล้ว” วาตานาเบ้พูดอย่างเสียดายในความสามารถของฮวางจอง

“เป็นมานานเท่าไหร่แล้วครับ?” ฮวางจองไม่โต้ตอบ พยายามถามอาการ

“เอ่อ ฮะ ๆ ๆ ถามคำถามเดิม ๆ กันอีกแล้ว ตรวจถึงแค่นี้ก็พอแล้ว”

“เป็นมานานเท่าไหร่แล้ว แล้วทำไมถึงปล่อยไว้อย่างนี้”

“ผมรู้จักร่างกายของตัวเองดี ไม่มีอะไรหรอก ผมรู้ตัวเองดี ฮะ ๆ ๆ แต่คุณ..มาที่นี่ตอนนี้ทำไม อืม..หรือว่าคุณจะมาฆ่าท่านเจ้ากรมเพื่อแก้แค้นให้พ่อล่ะ”

“ท่านรู้เรื่องหมดแล้ว” ฮวางจองแปลกใจที่วาตานาเบ้รู้เรื่องของเขา

“แน่นอน อันที่จริง ผมกับคุณหมอฮวางเองก็สนิทกันไม่น้อยนะ”

“ใครจะเป็นคนผ่าตัดให้เจ้ากรมกลาโหม”

“เรื่องนี้ก็ต้องเป็นเบ๊กโดยังอยู่แล้ว เค้าจะเริ่มผ่าตัดในเช้าวันพรุ่งนี้ ถ้าจะเข้าไป ผมจะอนุญาตให้ดูการผ่าตัดเป็นการพิเศษ เป็นการผ่าตัดที่อันตราย เค้าอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยก็ได้ เอ่อ ช่วงเวลาที่ยังพูดคุยได้อย่างมีสติ ก็คงมีแต่ตอนนี้เท่านั้นแหละ ไปหาเค้าสิ ฮะ ๆ ๆ”

ฮวางจองเข้าไปหาเจ้ากรมกลาโหมในห้องพักผู้ป่วย แต่ถูกคนเฝ้าหน้าห้องขวางไว้

“ท่านเจ้ากรมครับ ท่านอยู่ข้างในรึเปล่า ข้า คือฮวางจองที่ได้รับการเลื่อนชนชั้น ให้พ้นจากคนฆ่าสัตว์ไง ข้ามาเยี่ยมท่านโดยเฉพาะ อยู่ข้างในรึเปล่า?” ฮวางจองตะโกนเข้าไปในห้อง

“ให้เค้าเข้ามา” เสียงซุนฮองตะโกนออกมา ฮวางจองจึงเดินเข้ามาและเอ่ยทัก “ท่านเจ้ากรมครับ ช่วงที่ผ่านมาท่านสบายดีเหรอครับ?”



“เราพบกันครั้งสุดท้ายตอนที่เจ้าได้เลื่อนชนชั้น ตอนนี้เจ้าไม่เหลือคราบชนชั้นต่ำเลยนี่”

“ท่านคงจะรู้ดีว่า ข้ามาที่นี่ทำไม?” ฮวางจองจ้องหน้า

“อะไรกัน ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าเจ้าจะมาหาข้าทำไม อ้อ เจ้าอาจจะได้ยินว่าข้าเป็นโรคร้าย เลยอยากจะมาขอให้ข้าเข้าใจ เรื่องที่ทำให้ลูกสาวข้าต้องตายสิ ขอร้องมาสิ ถึงข้าไม่อยากให้อภัยก็เถอะ”

“ท่านเลยสั่งฆ่าเค้าใช่มั้ย?”

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร?”

“มันคงเป็นจังหวะที่โชคช่วย ทำให้ข้าได้เจอชายที่มีแผลเป็นคนนั้น เค้าบอกข้าว่าท่านเป็น คนสั่งให้เค้าลงมือสังหารพ่อของข้าในวันนั้น”

“รู้สึกว่าข้าจะไม่รู้เรื่องนะ เพราะว่าข้าเป็นถึงขุนนางใหญ่ของบ้านเมือง...จะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง ถึงแม้ใจของข้าจะอยากฉีกพวกเจ้าเป็นชิ้น ๆ ก็ตาม แต่ข้าก็คงทำอย่างนั้นไม่ได้”

“ท่านเจ้ากรมกลาโหมครับ ท่านอาจจะไม่อยากฟังนักแต่ข้าก็คงจะต้องพูด ท่านรู้มั้ยว่าพ่อข้าเป็นคนที่มักจะเห็นความสำคัญของคนอื่นมาก่อนตัวเองเสมอ จนกระทั่งวันนึงท่านพ่อข้า ได้เลื่อนจากชนชั้นต่ำ นั่นเป็นครั้งแรกที่ท่านใส่ชุดแพร แล้วก็อยากจะออกไปเดินเล่นข้างนอก ท่านบอกกับข้าว่า ท่านอยากจะออกไปกินซุปซักถ้วยนึง แต่ตอนที่พ่อข้า กำลังกินซุปถ้วยนั้น หืม? ท่านกลับถูกทุบตี จนตายเหมือนกับสุนัข”

ฮวางจองพูดอย่างคลั่งแค้น แต่ซุนฮองไม่รู้สำนึก กลับมองเป็นเรื่องตลก “จุ๊ ๆ ๆ ช่างโชคร้ายซะจริง ๆ แต่คนเราควรเจียมตัวว่าควรอยู่หรือไม่ควรอยู่ที่ไหน ไหนเล่าต่อไปสิ”

“ถ้าหากท่านเจ้ากรมไม่ได้ส่งมือสังหารไปฆ่าพ่อของข้า สถานที่ต่อไปที่พ่อข้าอยากจะไปก็คือ จะไปกราบไหว้สุสานท่านแม่ของข้า เพื่อจะไปบอกท่านแม่ของข้าว่า ตอนนี้ลูกเราได้เลื่อนชนชั้นแล้ว แล้วข้าก็เลยได้เลื่อนชนชั้นไปด้วย พอครบรอบปีหน้า พวกเราจะซื้อชุดแพร เอาชุดสวย ๆ มาเปลี่ยนให้เจ้าใส่ได้แล้ว ท่านเข้าใจรึเปล่า?”

“แค่ก ๆ ๆ ข้าคงทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว เจ้าออกไปจากห้องของข้าได้แล้ว แค่ก ๆ”

“ได้ ข้าจะต้องออกไปแน่ แต่ก่อนที่จะไป ข้าต้องการได้ยินคำขอโทษจากใจของใต้เท้าก่อน” ฮวางจองเสียงแข็งอย่างเอาเรื่อง



“ขอโทษ ข้าทำอะไรผิดต่อเจ้าไปรึไงถึงต้องขอโทษน่ะ”

“ท่านเป็นคนจ้างวานคนไปฆ่าพ่อของข้า?”

“ข้าน่ะเหรอ? ขอนึก..ดูก่อน.. จริงสิ ข้าพอจะนึกออกแล้ว ดูเหมือนข้าจะทำจริง ๆ ใช่แล้ว ถ้างั้น ตอนนี้เจ้ารู้ตัวรึยังล่ะ ข้าส่งพวกเค้าไปให้บทเรียนกับเจ้าเองแหละ”

“เหอะ ให้บทเรียนเหรอ?”

“ถูกต้องแล้ว เป็นบทเรียน ความผิดของคนฆ่าสัตว์ที่มันไม่ยอมเจียมตัว” ซุนฮองกล่าวอย่างถือดี

“ข้าว่าท่านคงจะต้องรักษาหูของท่านก่อนแล้วมั้ง ท่านหูหนวกรึไงหะ? เพราะว่าพ่อของข้า ไม่ได้เป็นชนชั้นต่ำอีกแล้ว ไม่ใช่แล้ว” ฮวางจองตะโกนใส่หน้า

“การเลื่อนชนชั้นครั้งนั้น เป็นเรื่องที่พระราชาทรงทำไม่ถูก เรื่องนี้พระองค์ ทรงตัดสินพระทัยผิด เอาเป็นว่า ข้าแค่คิดจะสั่งสอนเจ้าก็เท่านั้น แต่เค้ากลับโชคร้ายตายไปเอง ชีวิตคนเราจะเอาอะไรนักหนาล่ะ แค่ก้าวพลาดนิดเดียวก็อาจเหยียบมดตายได้แล้ว แค่โบกมือหน่อยก็ปัดถูกแมลงวันตายคามือได้แล้ว เรื่องมันก็แค่นั้น อย่าไปจดจำมันเลย”

“นี่ท่านกำลังจะบอกว่า ชีวิตพ่อข้าไม่ต่างอะไรกับมดหรือแมลงวันใช่มั้ย?”

“ฮึ ๆ เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้วล่ะ ดีนี่ที่ยังเข้าใจได้ หึ ๆ ๆ”

ฮวางจองโกรธจัด “เจ้าเป็นคนฆ่าพ่อข้า ขอโทษข้ามาเดี๋ยวนี้ ถ้าเจ้ายังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง ก็ขอขมาข้าซะ”

“ฆ่าข้าซะเลยซี่ เจ้าจะได้เป็นฆาตกรฆ่าคน มาชดใช้การตายของลูกสาวข้า ฆ่าข้าซะเลยสิ แน่จริงก็ลงมือสิ หึ ๆ ๆ”

“ขอโทษมานะ ขอโทษเดี๋ยวนี้ ๆ” ฮวางจองตรงเข้าไปจับตัวซุนฮองที่นอนป่วยอยู่เขย่าอย่างแรง วาตานาเบ้รีบห้าม แต่ฮวางจองยังแค้น “ขอโทษเดี๋ยวนี้ ขอโทษมา”




ซุนฮองยังไอไม่หยุด ร่างกายอ่อนเพลียมาก แต่ยังไม่ยอมสำนึก “หึ ๆ ๆ เจ้าควรจะต้องตาย ด้วยฝีมือของเจ้าหน้าบากซะตั้งแต่คืนนั้นด้วยซ้ำ เจ้าต้องจะโทษตัวของเจ้าเอง ที่ดันเกิดมาเป็นพวกชนชั้นต่ำ”

“ฮื่อ ๆ ๆ ๆ เจ้า ฮื่อ ๆ ๆ ข้าไม่มีวันให้อภัยเจ้าแน่” ฮวางจองอัดอั้นใจมาก

“อภัยเหรอ คำนี้มันคู่ควรกับคนที่แข็งแกร่งกว่า คนอ่อนแออย่างเจ้านะเหรอ ไม่คู่ควรหรอก ฮ่า ๆ ๆ”

ฮวางจองทั้งโกรธทั้งแค้น แต่ก็ทำอะไรซุนฮองไม่ได้

เนื้อหา: เดลินิวส์ / ภาพจากละคร (เอสบีเอส)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา