วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556

Faith: สุภาพบุรุษยอดองครักษ์ ตอนที่ 4




ยางซาเล่าประวัติความเป็นมาของชเวยองให้คีชอลฟัง ทำให้คีชอลอยากได้ชเวยองมาเป็นพวก เขาจึงสั่งให้ยางซาทำทุกอย่างเพื่อดึงตัวชเวยองมาให้ได้ ชเวยองเริ่มมีอาการอักเสบติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด แต่เขายังคงปกปิดเป็นความลับและไม่ยอมรับการรักษาทำให้อาการทรุดหนัก พระเจ้าคงมินวางแผนเปิดตัวอึนซูในฐานะหมอใหญ่และผู้หยั่งรู้อนาคตที่มาจากสวรรค์ แต่แผนของพระองค์กลับถูกขัดจังหวะเพราะคีชอลบุกเข้ามาวางอำนาจถึงในวัง

เนื้อหา:


คีชอลได้รับรายงานจากยางซาซึ่งอ้างถึงคำบอกเล่าของขันทีที่ตนส่งไปสอดแนมในตำหนักของพระเจ้าคงมินว่า พระเจ้าคงมิน ทรงไว้วางพระทัยชเวยองมากถึงขนาดลั่นวาจาต่อหน้าชเวยองว่า เขาเป็นคนเดียวที่พระองค์ทรงเชื่อใจ ทำให้คีชอลเริ่มสนใจในตัวชเวยอง เขาถามยางซาว่าบิดาของชเวยองคือใคร ยางซาตอบว่า บัณฑิตชเว วอนชิก ซึ่งสืบสายเลือดมาจากขุนพลชเว ชุงฮอน หนึ่งในผู้นำทหารที่มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งราชวงศ์โครยอ ส่วนปู่ของเขาก็คือราชบัณฑิตชเว ฮอง ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของพระเจ้าชุงนยอล*

* พระเจ้าชุงนยอล เป็นกษัตริย์องค์ที่ 25 แห่งราชวงศ์โครยอ พระองค์ทรงอภิเษกกับธิดาของสมเด็จพระจักรพรรดิกุบไล ข่าน  (หลานเจงกีส ข่าน และยังเป็นจักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์หยวน) 

คีชอลสงสัยว่า ทำไมลูกขุนนางใหญ่ที่มีชาติตระกูลอันสูงส่งถึงได้เป็นเพียงองครักษ์ ยางซาตอบว่า หลังสูญเสียบิดาในวัยเพียง 16 ปี ชเวยองก็ผันตัวเองมาเป็นทหาร และเขาก็เป็นผู้บังคับบัญชาที่อายุน้อยที่สุดของหน่วยชองวอลแด (ทีมสังหารหรือหน่วยนักฆ่าลับที่ล้วนมีฝีมือระดับเทพ) คีชอลถึงกับหูผึ่งเพราะรู้ว่าชองวอลแดเป็นหน่วยงานลับของสุดยอดนักรบโครยอ และทหารหน่วยนี้ก็มีความเชี่ยวชาญในต่อสู้ด้วยพลังภายใน  ยางซาเสริมว่า ทหารหน่วยดังกล่าวสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเงียบเชียบและไร้ร่องรอยเสมือนเงาจึงมักถูกเรียกว่า ควีวอลแด  กิตติศัพท์ของทหารเหล่านี้เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว แค่เห็นธงรูปพระจันทร์เสี้ยวสีแดง (สัญลักษณ์ของหน่วยชองวอลแด) ชาวต่างชาติที่บุกเข้ามารุกรานก็จะพากันแตกตื่นและวิ่งหนีขวัญกระเจิง

คีชอลรู้ว่าอะไรทำให้หน่วยชองวอลแดอันเลื่องชื่อต้องมาพบกับจุดจบ เขาลุกขึ้นแล้วครุ่นคิดเรื่องที่ยางซาบอกว่าชเวยองเคยเป็นถึงผู้นำของหน่วยชองวอลแด เขาถามยางซาว่า ชเวยองคือต้นเหตุที่ทำให้แผนลอบปลงชนม์พระมเหสีล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าใช่ไหม ยางซาตอบว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะพระเจ้าคงมินทรงมีพระวรกายที่อ่อนแอและขี่ม้าไม่เป็นด้วยซ้ำ คีชอลกล่าวว่าเขาต้องการตัวชเวยอง และพร้อมที่จะให้ชเวยองทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ  ดังนั้น ยางซาจะต้องทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อดึงชเวยองมาเป็นพวกให้ได้


ในความฝัน ชเวยองซึ่งอยู่ในชุดนักรบกำลังยืนอยู่บนทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็ง เมื่อหันไปมองโดยรอบเขาก็พบว่ามีชายสูงอายุคนหนึ่งกำลังนั่งตกปลาด้วยท่าทีที่สงบ เมื่อเดินไปหาชายชรา ชายผู้นั้นก็หันมามองและถามเป็นปริศนาว่า "เจ้ายังหาไม่พบอีกหรือ"  

ชเวยองตื่นจากความฝันเพราะมีอาการเจ็บบาดแผลอย่างรุนแรง เมื่อชุงซอกเข้ามารายงานว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาก็ลุกขึ้นแล้วฝืนทำตัวเป็นปกติ จากนั้นก็ถามว่า "ระดมมาได้ทั้งหมดกี่คน" ชุงซอกตอบว่า ตนคัดเฉพาะคนทีไว้ใจได้เลยมีไม่เกินหนึ่งร้อยคน เขาสงสัยว่าคีชอลจะกล้าเข้ามาทำร้ายพระราชาและพระมเหสีถึงในวังเชียวหรือ ชเวยองตอบว่า เขาเองก็เคยคิดว่าในวังปลอดภัยสำหรับทั้งสองพระองค์ แต่หลังจากได้พบคีชอลเมื่อวานนี้ เขาก็รู้ว่าคีชอลเป็นคนที่น่ากลัวมาก

ชุงซอกถามว่า ถ้าตอนนั้น (ตอนที่ไปงานเลี้ยงเพื่อมอบราชโองการให้คีซอล) เขาและชเวยองใช้กำลังจะเกิดอะไรขึ้น ชเวยองตอบว่าหากถูกกดดันมากเข้า คีชอลก็จะพุ่งเป้าไปที่พระราชาแทนที่จะเป็นตน และถ้าเกิดเหตุลอบปลงพระชนม์ขึ้นมา คนกลุ่มแรกที่จะต้องหลั่งเลือดก็คือ  "อูดัลจิ" (ทหารองครักษ์ของพระราชา) ชุงซอกถามต่อว่า ชเวยองจะปล่อยให้เหล่าขุนนางทรยศที่สมควรโดนฉีกเป็นชิ้นๆ ลอยนวลอยู่อย่างนี้หรือ ชเวยองยืนพิงเสาอย่างอ่อนแรงแล้วเตือนชุงซอกว่าอย่าห้าว เขาบอกให้ชุงซอกเก็บพลังงานเอาไว้เพราะไม่มีใครรู้ว่าทหารองครักษ์อย่างพวกเขาจะต้องคอยเฝ้าระวังอย่างนี้ไปอีกกี่คืน


เมื่อชุงซอกเดินออกไปแล้ว ชเวยองก็เลิกฝืนและแสดงอาการเจ็บปวดออกมาให้เห็น แทมานเป็นคนเดียวที่รู้ว่าหัวหน้าของตนมีอาการน่าเป็นห่วง จึงถามว่า "ท่านปวดมากใช่ไหม ก่อนหน้านี้เทพแห่งการรักษาจากสวรรค์บอกว่า...." แทมานพูดยังไม่ทันจบชเวยองก็สั่งด้วยน้ำเสียงอันอ่อนแรงว่า "หุบปาก" เขาย้ำถึงคำพูดของชุงซอกที่บอกว่า "ทั้งโครยอมีคนที่สามารถไว้ใจได้ไม่เกินหนึ่งร้อยคน" และพูดให้แทมานฉุกคิดว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากผู้นำของคนเหล่านั้นเกิดล้มเจ็บขึ้นมา ชเวยองค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งพิงเสา (แทมานจะช่วยพยุงแต่ชเวยองห้ามไว้) แล้วกล่าวว่า ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ หากเขาเป็นอะไรไปในตอนนี้ เขาก็จะสูญเสีย "โอกาสสุดท้าย" ไป


อีกด้านหนึ่ง อึนซูก็กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าพลางบ่นให้หมอชางบิน (ซึ่งพยายามจดจ่ออยู่กับการอ่านตำราแพทย์) ฟังว่า "ถ้าความจริงตรงหน้าไม่ใช่ความฝันแล้วจะเรียกว่าอะไร ชั้นมาที่นี่ด้วยเครื่องไทม์แมชชีนงั้นหรือ" จากนั้นก็เดินออกมาถามหมอหลวงชางบินว่า "ชุดนี้เล็กไปหรือเปล่า" (อึนซูมาจากยุคปัจจุบัน จึงมองว่าชุดดังกล่าวไม่โป๊ เพราะแม้จะเป็นชุดที่บางเบาแต่ก็มีแขนขายาว... แต่สำหรับยุคโครยอแล้วที่เธอสวมใส่คือ "ชุดชั้นใน" ที่หญิงชาวโครยอใส่ไว้ด้านในก่อนสวมเสื้อคลุมทับอีกชั้น)  

หมอหลวงชางบินหันไปมองอึนซูแล้วเบือนหน้ากลับไปมองตำราอีกครั้ง ก่อนถามว่า "แล้วชุดที่เหลือล่ะ"  อึนซูตอบว่า เธอไม่ค่อยชอบสไตล์ของชุดที่เขานำมาให้สักเท่าไหร่ เพราะมันใส่ค่อนข้างยากและก็ต้องสวมทับกันหลายชั้น หมอหลวงชางบินจึงบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า ชุดที่เธอใส่อยู่นั้นคือเสื้อและกางเกงซับใน ซึ่งไม่ควรใส่ออกมาให้ใครดู อึนซูเดินกลับเข้าไปสวมเสื้อผ้าอีกชั้นแต่โดยดี แต่ก็ยังไม่วายเพ้อเรือ่งการเดินทางข้ามเวลาโดยอ้างถึงหนังข้ามมิติทะลุจักรวาล "สตาร์เกท" และทฤษฎีสัมพัทธภาพของอัลเบิร์ต ไอน์ส หมอหลวงชางบินฟังแล้วมึนงงเลยหันหน้าไปมองอึนซู พอเห็นว่าอึนซูยังสวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย (ยังติดกระดุมเสื้ออยู่) เขาก็รีบหันกลับไปมองตำรา


เมื่อเห็นโทกีเดินถือสมุนไพรและตัวยาเข้ามา หมอหลวงชางบินก็แนะนำว่า โทกีคือผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคด้วยสมุนไพร  และยังเป็นเจ้าของสวนสมุนไพรในสำนักหมอหลวงด้วย อึนซูถามว่าทั้งหมดนี้คืออะไร หมอหลวงชางบินตอบว่า เป็นส่วนผสมของยาที่ใช้ขับพิษออกจากร่างกายผู้ป่วย และย้อนถามอึนซูว่า เธอต้องการนำยาที่มีสรรพคุณดังกล่าวไปรักษาหัวหน้าอูดัลจิ (ชเวยอง) ไม่ใช่หรือ อึนซูเห็นก้อนยาสีดำจึงหยิบขึ้นมาดมและลองกัดดูเพราะนึกว่าเป็นไม้ไผ่ หมอหลวงชางบินยิ้มแล้วบอกว่าที่เธอกำลังกัดอยู่นั้นมาจาก "คางคก" โทกีอธิบายเป็นภาษามือว่า ก้อนสีดำนั้นคือพิษของคางคก ที่ได้มาจากการบีบต่อมกลางแสกหน้าคางคกแล้วนำมาตากไว้ในที่มืดเป็นเวลาหนึ่งคืน

* ส่วนผสมที่โทกีนำมานั้นเป็นตำรับยาจีนแผนโบราณที่เรียกว่า  “venenum bufonis“ ซึ่งมีสรรพคุณในการขับพิษ โดยมีเมือกหรือหนังคางคกที่มีพิษเป็นตัวยาหลัก เมื่อปรุงแล้วสามารถใช้เป็นตำรับยาเดี่ยว หรือเข้าสูตรตำรับร่วมกับเครื่องยาอื่นได้ มีข้อบ่งใช้รักษาโรคได้กว้างขวาง ใช้ได้ทั้งภายในและภายนอก  เช่น  ใช้รับประทานเป็นยาขับพิษ รักษาแผลฝีหนองชนิดต่าง ๆ บรรเทาอาการปวดโดยเฉพาะปวดฟัน บำรุงหัวใจ ใช้ทดแทนยากลุ่ม ดิจิทาลิสเพื่อรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว นอกจากนี้ยังใช้รักษามะเร็งชนิดต่าง ๆ เช่นมะเร็งเม็ดเลือดขาว  มะเร็งปอดและตับ เนื้องอกต่าง ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังใช้ภายนอกเป็นยาชา บรรเทาอาการปวดได้อีกด้วย (ที่มา: ข้อมูลเรื่องพิษวิทยา ของสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ)

หมอหลวงชางบินกล่าวเสริมว่า ส่วนใหญ่ที่นี่จะนำพิษคางคกมาใช้ในการรักษาฝีฝักบัวและโรคบิด จากนั้นก็ถามอึนซูว่า บนสวรรค์ไม่ใช้ตัวยานี้หรือ เมื่อเห็นอึนซูส่ายหน้า หมอหลวงชางบินก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะเขาได้ยินมาว่าเธอเป็นลูกศิษย์ของฮวาตาซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นหมอเทวดา อึนซูตอบว่า ตอนนี้โลกเปลี่ยนไปมากแล้ว  หมออย่างพวกเธอจึงหันมากล่าว “คำปฏิญาณของฮิปโปเครติส” แทน พูดจบเธอก็ยกมือขึ้นทำท่าปฏิญาณแล้วพูดเป็นตัวอย่างให้ดูว่า "ข้าพเจ้าจะอุทิศตนเพื่อรักษาเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างสุดกำลังความสามารถ" และ "ข้าพเจ้าจะคำนึงถึงสุขภาพของผู้ป่วยเป็นสิ่งแรก"

* ฮิปโปเครตีส เป็นบิดาแห่งวิชาการแพทย์แผนปัจจุบัน และเป็นนายแพทย์คนแรกของโลกที่ทำการรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีการสมัยใหม่ คือ วินิจฉัยถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคก่อนแล้วจึงทำการรักษา ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันมาจนทุกวันนี้ 


ขุนนางประจำพระองค์มาตามอึนซูที่สำนักหมอหลวง โดยบอกว่าพระเจ้าคงมินมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า เมื่อมาถึงตำหนักส่วนพระองค์ อึนซูหันไปเห็นเครื่องปั้นดินเผาแล้วถึงกับตาโต เธอหันไปถามขันทีว่า "ใบนี้ราคาเท่าไหร่" และอยากรู้ว่าจะหาซื้อแจกันแบบนี้ได้ที่ไหน  (หากนำแจกันในยุคโครยอกลับไปยังกรุงโซลด้วยจะกลายเป็นแจกันโบราณล้ำค่า เมื่อนำไปขายก็จะได้เงินมหาศาล - ก่อนมาโครยออึนซูกำลังร้อนเงิน) พระเจ้าคงมินเห็นเธอสนใจแจกันเลยถามว่า "ท่านชอบมันหรือ" อึนซูเห็นพระเจ้าคงมินเดินเข้ามาจึงถวายความเคารพด้วยการถอนสายบัวแบบฝรั่งแล้วกล่าวสวัสดี  ก่อนออกตัวว่าเธอไม่เคยเข้าเฝ้าพระราชามาก่อนเลยไม่รู้วิธีปฏิบัติตัวต่อหน้าพระราชา พระเจ้าคงมินตรัสว่า พระองค์ก็เพิ่งเคยพบเทพแห่งสวรรค์เป็นครั้งแรกจึงวางตัวไม่ถูกเช่นกัน ดังนั้น จึงควรคุยนั่งพูดกันแบบสบายๆ โดยไม่ต้องมีพิธีรีตอง 

พระเจ้าคงมินถามอึนซูว่า เป็นอย่างไรบ้าง อึนซูเลยถือโอกาสฟ้องว่า อาหารที่นี่รสชาติไม่ถูกปาก แถมกิมจิก็ไม่มี และตอนนี้เธอก็อยากแช่น้ำอุ่นเต็มทน พระเจ้าคงมินหันไปมองหน้าขันที ขันทีรู้หน้าที่จึงกล่าวว่าตนจะรีบไปจัดการให้ หลังจากนั้นพระเจ้าคงมินก็ตรัสถามอึนซูว่า "ท่านจะยอมรับคำบัญชาจากข้าไหม"


พระมเหสีถามชเวยองขณะเดินผ่านห้องโถงว่า ชาวโครยอทุกคนอยากให้พระเจ้าคงมินและพระองค์ตายใช่ไหม ชเวยองตอบว่าไม่ใช่ทุกคน พระมเหสีจึงถามว่าใครกันที่อยากให้ทั้งสองพระองค์ตาย ชเวยองพูดบ่ายเบี่ยงเหมือนที่เคยกราบทูลพระเจ้าคงมิน (ในตอนที่ 1) ว่า "กระหม่อมเป็นเพียงนักรบจึงไม่ค่อยรู้เรื่องการเมือง" และถามกลับว่า พระองค์ทรงเรียนภาษาโครยอตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงได้พูดคล่องขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ทรงอภิเษกกับพระเจ้าคงมินได้เพียง 2 ปี   พระมเหสีรู้ว่าชเวยองหลีกเลี่ยงคำถามจึงถามชเวยองว่า เขาปฏิเสธที่จะพูดเรื่องโครยอกับคนที่มาจากต้าหยวนใช่ไหม ชเวยองยิ้มเมื่อเห็นพระมเหสีรู้ทัน จากนั้นก็ขออภัยที่ล้ำเส้นและขอถอนคำถาม

ระหว่างเดินเข้ามาในห้องๆ หนึ่ง พระมเหสีก็ตอบว่า "เมื่อ 8 ก่อน" พระองค์เจอใครบางคนที่มาจากโครยอเมื่อ 8 ปีที่แล้วและอยากพูดคุยกับเขาเลยเรียนภาษาโครยอ เมื่อตอบคำถามชเวยองแล้ว พระมเหสีก็บอกให้ชเวยองตอบคำถามตามตรงเหมือนพระองค์บ้าง ชเวยองตอบว่าบนแผ่นดินโครยอ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยากให้พระเจ้าคงมินและพระองค์สิ้นพระชนม์ พระมเหสีถามว่า "พระเชษฐาของจักรพรรดินีฉี (คีชอล) ใช่ไหม...  พลังอำนาจของเขายิ่งใหญ่และรุนแรงยิ่งกว่าพายุ ส่วนพลังของพวกเราประหนึ่งเปลวเทียนในสายลม" ซึ่งชเวยองเองก็ยอมรับแต่โดยดี

พระมเหสีมองหน้าชเวยองแล้วถามว่า "หากเขาฆ่าพวกเราแล้วขึ้นครองบัลลังก์ เจ้าก็จะกลายเป็นองครักษ์ของเขาใช่ไหม เจ้าจะคอยอารักขาทั้งคืนเพื่อปกป้องเขา และจะเอาชีวิตตนเองเข้าแลกเพื่อต่อสู้กับศัตรูของเขา"  ชเวยองตอบว่า "หากกระหม่อมไม่ตายไปเสียก่อน นั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นพะยะค่ะ" พระมเหสีถามอีกว่า "และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เจ้าอยากตายใช่ไหม....เจ้ากลัวว่าจะต้องเสี่ยงชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อพระราชาองค์นี้และองค์ต่อๆ ไป ดังนั้น เจ้าจึงอยากตายเพื่อให้มันจบๆ ไปใช่ไหม"



เมื่อล่วงรู้ความคิดของชเวยองแล้วพระมเหสีก็ลุกขึ้น ชเวยองจะลุกตามแต่ถูกพระมเหสีกดไหล่ให้นั่งลง จากนั้นพระองค์ก็เอื้อมมือไปอังหน้าผากของชเวยองด้วยความเป็นห่วง แล้วบอกว่าเขาตัวร้อนเป็นไฟ (แม้ไม่อยากให้ใครรู้ว่าสภาพร่างกายตนเองกำลังย่ำแย่ แต่เขาไม่อาจปัดมือพระมเหสีออกได้) พระมเหสีรู้ว่าชเวยองไม่ยอมรับการรักษาจึงรู้สึกเป็นห่วง ชเวยองเตือนพระมเหสีให้เอามือออกจากหน้าผากของตนเพราะเป็นเรื่องไม่เหมาะสม พระมเหสีจึงเอามือออกแล้วบอกว่า "อย่าตายนะ... ข้าขอสั่งเจ้าในฐานะพระมเหสี"
  
ในเวลาเดียวกันนั้น พระเจ้าคงมินก็แต่งตั้งอึนซูให้เป็นหมอใหญ่ประจำโครยอ (ฐานะเทียบเท่าขุนนางระดับสูงหรือเป็นเจ้ากรมแพทย์) แต่อึนซูปฏิเสธโดยบอกว่าเธอจำเป็นต้องกลับบ้าน  เธอถูกลักพาตัวมาที่นี่ พอมาแล้วก็ถูก (พวกหยวน) ลักพาตัวซ้ำและเกือบถูกฆ่าตาย เธอจะลืมเรื่องทั้งหมดและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหากพระองค์อนุญาตให้เธอนำเครื่องปั้นดินเผาหรือภาพวาดสัก 2-3 แผ่นติดมือกลับไปด้วย โจ อิลชินได้ยินแล้วรู้สึกขำจึงถามอึนซูว่า จะกลับยังไง ในเมื่อเธอเองก็เห็นกับตาว่าประตูสวรรค์ปิดแล้ว อึนซูตอบว่าในเมื่อปิดได้ก็ต้องเปิดได้อีก อิลชินจึงบอกว่าประตูสวรรค์เปิดรับฮวาตาเมื่อ 1 พันปีก่อน หลังจากนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าประตูดังกล่าวจะเปิดอีกเมื่อไหร่  ทำให้อึนซูไม่พอใจมาก


พระเจ้าคงมินตรัสอย่างใจเย็นว่า ตลอดสิบปีที่ผ่านมาโครยอตกอยูภายใต้การครอบงำของราชวงศ์หยวน  ทำให้ประชาชนชาวโครยอมีชีวิตที่ทุกข์ยากแสนเข็ญ เพราะต้องดิ้นรนส่งส่วยให้ครบตามจำนวนที่พวกหยวนต้องการ ที่ร้ายกว่าหยวนก็คือกลุ่มคนที่ถูกพวกหยวนหนุนหลังจนมีอำนาจบาตรใหญ่.... อึนซูแทรกขึ้นว่า ที่พระองค์ตรัสมานั้นไม่ต่างจากคำกล่าวของนักการเมืองที่มักหยิบยกประชาชนมาอ้างโน่นอ้างนี้ แต่สุดท้ายผู้มีอำนาจคือคนเดียวที่สามารถตัดสินใจว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร โจ อิลชินเตือนอึนซูให้ระวังคำพูด อึนซูจึงบอกว่า "เห็นมั๊ยเพคะ พอประชาชนออกความเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์ เจ้าหน้าที่ก็จะโกรธเป็นฟืนไฟ" พระเจ้าคงมินจึงหันไปบอกโจ อิลชินด้วยสีหน้าอ่อนใจว่าให้ยืนฟังเงียบๆ

พระเจ้าคงมินตรัสต่อว่า หลังโครยอตกอยู่ภายใต้การครอบงำของราชวงศ์หยวน อดีตพระราชา 6 พระองค์ของโครยอ (ชุงนยอล, ชุงซอน, ชุงซุก, ชุงฮเย, ชุงมก, ชุงจอง) ก็ถูกจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หยวน พระราชทานพระนาม (หลังสิ้นพระชนม์) ให้ขึ้นต้นด้วยคำว่า "ชุง" ซึ่งแปลว่า จงรักภักดี (เหยียดหยามว่าเป็นพระราชาที่อยู่ภายใต้การครอบงำของราชวงศ์หยวน)  โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ชายคยองชาง หรือพระเจ้าชุงมก ซึ่งเป็นอดีตพระราชา...

* พระเจ้าชุงมก เป็นพระราชาองค์ที่ 29 แห่งโครยอ พระองค์เป็นพระโอรสของพระเจ้าชุงฮเย กับเจ้าหญิงแห่งมองโกล ก่อนครองราชย์ กษัตริย์มองโกลแห่งราชวงศ์หยวนของจีนได้เรียกพระองค์ซึ่งยังทรงพระเยาว์เข้าไปไต่ถามว่า จะทรงเอาแบบอย่างจากพระบิดาหรือพระมารดา พระองค์ตอบว่า เอาอย่างพระมารดา จึงทำให้ได้เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์โครยอ


เมื่อได้ยินชื่อพระเจ้าชุงมก อึนซูก็รู้ทันทีว่าเธอกำลังอยู่ในยุคปลายของราชวงศ์โครยอ (ยุคต่อมาคือราชวงศ์โชซอน)  เธอกล่าวว่าแม้ตนเองจะอ่อนวิชาประวัติศาสตร์แต่ก็มีความจำเป็นเลิศ เธอจึงร้องเพลงที่เคยท่องตอนเป็นเด็กให้ฟัง (เพลงช่วยจำรายชื่อพระราชาแห่งราชวงศ์โครยอทั้ง 34 พระองค์ โดยเรียงลำดับตั้งแต่พระองค์แรกถึงองค์สุดท้าย)   เมื่อไล่เลียงไปเรื่อยๆ อึนซูก็ถามว่า พระองค์คือพระเจ้าคงมินใช่ไหม พระเจ้าคงมินตรัสถามว่า ผู้คนบนสวรรค์รู้จักพระองค์ในนามพระเจ้าคงมินหรือ เมื่อเห็นว่าพระเจ้าคงมินไม่ได้ถูกจารึกชื่อโดยมีคำนำหน้าว่า "ชุง" หลังสิ้นพระชนม์ (แปลว่าไม่ได้อยู่ภายใต้การครอบงำของราชวงศ์หยวน) โจ อิลชิน ก็กล่าวแสดงความยินดีกับพระองค์

อึนซูถามว่าองค์หญิงหยวน (พระมเหสี) คือ องค์หญิงโนกุกใช่ไหม พระเจ้าคงมินทำหน้างง (เพราะ "โนกุก" เป็นชื่อเกาหลีของพระมเหสีที่ถูกตั้งขึ้นในภายหลัง)  อึนซูกล่าวอย่างตื่นเต้นว่าพระองค์และพระมเหสีทรง "สุดยอดมาก"  (เธอยกนิ้วโป้งให้) ทั้งยังบอกด้วยน้ำเสียงชื่นชมว่าทั้งสองพระองค์ "ทรงดังสุดๆ"  เธอถามพระเจ้าคงมินว่าพระองค์ทรงมีพรสวรรค์ด้านการวาดภาพใช่ไหม พระเจ้าคงมินกล่าวอย่างถ่อมตัวว่า พอวาดได้นิดหน่อย อึนซูบอกว่าเธอเคยเห็นภาพวาดของพระองค์ในสุสานของพระเจ้าคงมินที่ตั้งอยู่ในเขตมาโป ในนั้นมีภาพวาดของพระองค์และยังมีสุสานของขุนพลชเวยองด้วย โจ อิลชิน ถามอย่างไม่สบอารมณ์ว่า ทำไมบนสวรรค์จึงมีสุสานของหัวหน้าองครักษ์ อึนซูถึงกับอึ้งเมื่อรู้ว่าคนที่ลักพาตัวเธอมา คนที่เธอกล่าวหาว่าเป็นไอ้โรคจิตและยังใช้ดาบแทงเขาจนปางตาย คือ วีรบุรุษของชาติ

เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของอึนซู ขันทีประจำพระองค์ก็เก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ เลยออกมาเล่าให้เหล่าขันทีที่อยู่ทางด้านนอกฟัง จนกลายเป็นข่าวลือแพร่ไปทั่ววังหลวง


ชเวยองนำจดหมายเปื้อนเลือดมาให้หมอหลวงชางบินช่วยตรวจสอบว่า คราบเลือดที่ปรากฏในนั้นเป็นคราบเลือดธรรมดาหรือคราบเลือดของผู้ที่ถูกวางยาพิษ  หมอหลวงชางบินหยิบจดหมายขึ้นมาดมและส่องดู ก่อนกล่าวว่า การตรวจหาสารพิษในเลือดไม่ใช่เรื่องยาก แต่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เลยจะขอตรวจสอบดูก่อนว่าเป็นเลือดของคนจริงหรือเปล่า (ระหว่างนั้นชเวยองหันไปเห็นลูกน้องกำลังนั่งจับกลุ่มคุยกัน)  หลังคุยกันเสร็จแล้วชเวยองก็เดินมาส่งหมอหลวงชางบินที่หน้าประตู แล้วถามจูซอกว่าเมื่อสักครู่คุยกันเรื่องอะไร 

จูซอกบอกว่า พวกนั้นไม่เชื่อเรื่องหมอใหญ่ (อึนซู) ทั้งๆ ที่ตนยืนยันว่า ชเวยองเป็นคนพาหมอใหญ่มาจากสวรรค์ด้วยตนเอง ชเวยองโกรธมากจึงเตะขาจูซอกจนล้มทรุดลงไปกองกับพื้นโทษฐานที่เปิดเผยความลับ และถามว่าใครเป็นคนปล่อยข่าว จูซอกบอกว่า ไม่ใช่พวกตนแต่เป็นขันทีในวัง  ต็อกมานเสริมว่าตอนนี้ข่าวลือแพร่ไปนอกวังแล้ว โทลแบเสริมว่า แม้แต่ผู้คนบนถนนและตามตรอกซอกซอยก็พากันจับกลุ่มคุยกันเรื่องหมอจากสวรรค์ช่วยชีวิตพระมเหสีเอาไว้ แถมหมอผู้นั้นยังหยั่งรู้อนาคตอีกด้วย จูซอกยืนยันว่าพวกตนก็แค่ตอบคำถามว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความจริง แต่ไม่ได้ปล่อยข่าวอย่างที่ชเวยองเข้าใจ  ชเวยองมีสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัดและเดินออกจากหน่วยองครักษ์ทันที


ชเวซังกุงพาอึนซู มาดูห้องพักที่อยู่ใกล้กับห้องเก็บยาสมุนไพร  (อึนซูอุ้มแจกันของพระเจ้าคงมินมาด้วย) โดยบอกว่าหากเธอไม่พอใจห้องนี้ ก็สามารถเลือกพักห้องอื่นได้ตามใจชอบ  อึนซูรู้สึกตื่นเต้นมากจึงอุ้มแจกันเดินไปที่ประตู (จะออกไปเลือกห้อง) แต่ชเวยองเดินเข้าห้องมาพอดี เขาจึงลากอึนซูกลับไปที่สำนักหมอหลวง อึนซูพยายามถามว่าเขาคือชเวยองใช่ไหม  ชเวยองไม่ตอบเพราะมัวแต่กังวลเรื่องความปลอดภัยของอึนซู เขาบอกเธอว่า แม้เขาจะไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ แต่เขาจะส่งองครักษ์มากฝีมือไปคอยอารักขาเธอ  หากเสร็จธุระแล้วให้รีบไปจากวังหลวงทันที เพราะในนี้ไม่ปลอดภัย และ 'คนพวกนั้น' กำลังจับตาดูเธออยู่ 

อึนซูถามว่า ใครและทำไม ชเวยองอ่อนใจกับความดื้อรั้นและขี้สงสัยของอึนซู จึงขอให้เธอเลิกสงสัยแล้วทำตามที่เขาบอก อึนซูยืนกรานว่าจะไม่ไปไหน เพราะตอนนี้เธอมีพระเจ้าคงมินคอยหนุนหลังแล้ว  แถมพระเจ้าคงมินยังแต่งตั้งให้เธอเป็นหมอใหญ่ประจำโครยออีกด้วย ดังนั้น เขาก็น่าจะตอบคำถามของขุนนางระดับสูงอย่างเธอบ้าง ที่สำคัญตอนนี้เขายังไม่ได้เป็นแม่ทัพ แต่เป็นแค่หัวหน้าหน่วยองครักษ์เท่านั้น  เมื่อเห็นว่าคงคุยกันไม่รู้เรื่อง ชเวยองจึงเรียกโทกีเสียงเข้ม  (ชักเริ่มมีอารมณ์) แล้วถามว่าเธอมีผ้าป่านหรืออะไรที่คล้ายๆ กันไหม  เมื่อเห็นโทกีหยิบผ้าออกมาจากกระเป๋า ชเวยองก็สั่งให้โทกีช่วยมัดอึนซู เพื่อที่เขาจะได้ลากตัวเธอออกไปได้โดยสะดวก และยังสั่งให้มัดปากอึนซูด้วย


โทกียิ่งกว่าเต็มใจ เพราะเธอเองก็อยากทำอย่างนี้กับอึนซูเต็มแก่ แต่หมอหลวงชางบินเข้ามาห้ามเอาไว้ เสียก่อน โดยบอกว่าพระเจ้าคงมินมีราชโองการให้ทุกคนในสำนักหมอหลวงเชื่อฟังและคอยปกป้องท่านหมอใหญ่ ชเวยองยิ้มแล้วกล่าวว่า โจ อิลชินคงเป็นคนจัดการเรื่องนี้สินะ  หมอหลวงชางบินเตือนว่า ถึงกระนั้นก็ยังเป็นพระบัญชา ทันใดนั้น ชเวยองก็เริ่มมีอาการตาพร่า หน้ามืด และหมดสติต่อหน้าทุกคน อึนซูเห็นดังนั้นก็ตกใจจนเผลอทำแจกันล้ำค่าหล่นแตก 

ระหว่างที่คีชอลกำลังทำสปาหน้า ยางซาก็พูดถึงข่าวลือเกี่ยวกับหมอที่มาจากสวรรค์ ซึ่งสามารถชุบชีวิตคนตายและหยั่งรู้อนาคตของโครยอ แถมยังได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งการรักษาที่คอยปกป้องช่วยเหลือพระราชาองค์ใหม่ โดยบอกว่าตนไม่เชื่อเรื่องนี้และมองว่าเป็นแค่ข่าวลือขำๆ เมื่อเห็นฮวา ซูอินเดินเข้ามา ยางซาก็รีบเดินไปทักทาย แต่ฮวา ซูอินไม่สนใจและถามเสียงเข้มว่ากำลังทำอะไรกัน ยางซาจึงตอบว่า เขาปรุงน้ำมันบำรุงผิวจากสมุนไพร 21 ชนิด และกำลังจะจุดไฟเพื่อให้ตัวยาซึมซาบเข้าสู่ผิวหน้าของคีชอล 


ฮวา ซูอินเดินไปหาคีชอล แล้วเรียก "ซาฮยอง! (ท่านพี่ - ใช้เรียกผู้ชายที่อายุมากกว่าหรือมีตำแหน่งสูงกว่า) ท่านรู้รึเปล่าว่าเขากำลังจะจุดไฟ" คีชอลตอบว่า "ก็แค่เล่นกับไฟ เจ้าอยากลองดูมั๊ยล่ะ" ฮวา ซูอินรีบถอดถุงมือแล้วถามว่า เธอทำได้จริงๆ หรือ  ยางซาเตือนว่าอย่าให้ร้อนมากเกินไป ต้องรีบจุดแล้วดับทันที หลังทดลองจุดไฟให้ยางซาดูแล้ว ฮวา ซูอินก็ใช้พลังภายในจุดไฟลงบนผ้าชุบสมุนไพรบำรุงผิวที่วางปิดหน้าคีชอล (แสดงว่าคีชอลไว้ใจฮวา ซูอินมาก) 

เมื่อเสริมหล่อเสร็จแล้ว คีชอลก็เอ่ยถึงอึนซู ฮวา ซูอินได้ยินมาว่า นักฆ่าฟันลำคอพระมเหสีจนเป็นแผลฉกรรจ์ แต่อึนซูก็ช่วยเย็บปิดบาดแผลให้ คีชอลถามฮวา ซูอินว่า เธอไม่เห็นกับตาและแค่ได้ยินมาใช่ไหม ฮวา ซูอินกล่าวว่าหากเธอเห็นกับตาคงพาพาหมอคนนั้นมาที่นี่แล้ว มีรึที่เธอจะปล่อยใครไปง่ายๆ ยางซาแย้งว่า ทำเช่นนั้นไม่ได้  ไม่ว่าจะข่าวลือนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่.... คีชอลพูดแทรกขึ้นมาว่า  หากคนหน้าโง่พวกนั้นเชื่อข่าวลือนี้ก็จะไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายเรา ฮวา ซูอินได้ข่าวว่าอึนซูพักอยู่ในวังหลวงจึงถามคีชอลว่าจะให้เธอไปจับตัวหมอที่ว่ามาไหม หรือจะให้เธอเผาหมอจนตายคามือ คีชอลกล่าวว่า ตนจะเข้าวังวันพรุ่งนี้ และสั่งยางซาให้ไปบอกเหล่าขุนนางในราชสำนักว่าตนจะไปเข้าเฝ้าพระราชา แต่ก่อนอื่น....คีชอลพูดค้างไว้แล้วหันไปส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้ฮวา ซูอิน


ชเวยองลุกขึ้นนั่งทันทีที่ฟื้นและถามหมอหลวงชางบินว่าตนหมดสติไปนานแค่ไหน หมอหลวงชางบินตอบว่า ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากเป็นลม ชเวยองแย้งว่า "ข้าไม่ได้เป็นลม" หมอหลวงชางบินรู้ว่าชเวยองต้องการเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับจึงพูดแกมหยอกว่า "ไม่มีใครรู้ว่าท่านหมดสติแต่ไม่ได้เป็นลม นอกจากโทกี ข้า และผู้ที่นั่งอยู่ตรงนั้น"  ชเวยองหันไปมองทางด้านหลังและพบว่าอึนซูกำลังนั่งมองอยู่ เธอบอกชเวยองว่า เพราะแผลผ่าตัดอักเสบติดเชื้อเลยทำให้เขามีไข้  เธอถามหมอหลวงชางบินว่า หญ้านั่นมีสรรพคุณคล้ายยาปฏิชีวนะจริงๆ หรือ  หมอหลวงชางบินตอบว่า "ข้านึกว่าท่านจะเลิกถามแล้วซะอีก" อึนซูจึงออกตัวว่าเธอไม่คุ้นเคยกับการรักษาด้วยยาสมุนไพร

หมอหลวงชางบินบอกชเวยองให้รอสักครู่ แล้วขอตัวไปหยิบยามาให้  เมื่อหมอชางบินเดินออกไปแล้ว อึนซูก็หยิบเสื้อคลุมมาส่งให้ชเวยองแล้วกล่าวชมว่า กล้ามเนื้อหน้าท้องของเขาสวยงามและเฟิร์มมากๆ ตอนที่เธอผ่าตัดช่องท้องของเขา เธอแอบกลัวว่าอวัยวะอื่นๆ อาจได้รับบาดเจ็บ โชคดีที่มีเพียงตับเท่านั้นที่เสียหาย และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งและสวยงามของชเวยอง จากนั้นก็ถามว่า "นายชื่อชเวยองใช่ไหม ในโครยอไม่มีคนอื่นที่ชื่อชเวยองอีกแล้วใช่หรือเปล่า" ชเวยองกำลังง่วนอยู่กับการสวมเสื้อผ้าเลยขี้เกียจตอบ อึนซูจึงบอกชเวยองว่า อีกหน่อยเขาจะได้เป็นแม่ทัพ ดังนั้น แม่ทัพชเวยองจึงต้องมีชีวิตอยู่ไป เพราะเป็นทางเดียวที่เขาจะสามารถปกป้องโครยอ และถูกจารึกชื่อเอาไว้ในประวัติศาสตร์


ชเวยองชักเริ่มสนใจเลยหันมาถามว่า ผู้คนบนสวรรค์สามารถหยั่งรู้อนาคตได้จริงหรือ อึนซูตอบว่า เธอไม่ได้มาจากสวรรค์แต่มาจากอนาคต เธอจึงกลัวว่าหากชเวยองตายด้วยน้ำมือเธอ ประวัติศาสตร์ก็จะถูกบิดเบือน เธอไม่อยากให้เป็นเหมือนในหนัง ทันใดนั้น ชเวยองก็รู้สึกว่ามีผู้บุกรุก ไม่นานก็มีคนปาระเบิดควันเข้ามาในห้อง เขาจึงพาอึนซูไปหลบอยู่ด้านหลังเตียงคนไข้แล้วกดหัวเธอลง เมื่อมองไปทางด้านนอกเขาก็พบฮวา ซูอิน ยืนถือระเบิดควันพลางจ้องหน้าเขาอย่างท้าทาย ชเวยองหันไปมองดาบคู่กาย แต่กลับพบว่าอยู่ไกลเกินเอื้อมถึง

เมื่อหมอหลวงชางบินเปิดประตูเข้ามา ฮวา ซูอินก็ปาระเบิดควันใส่ ชเวยองจึงตรงเข้าไปหยิบดาบแล้วออกไล่ล่าเธอทันที หมอหลวงชางบินเห็นอึนซูนั่งเอามือกุมหัวอยู่ข้างเตียงจึงรีบเข้าไปสำรวจ (ด้วยการจับตัวเธอโยกไปมาเหมือนตุ๊กตาล้มลุก) ว่าอึนซูได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เมื่อได้ยินเสียงโทกีเปิดประตู อึนซูก็สติแตกและโผเข้าหาหมอหลวงชางบินทันที หมอหลวงชางบินได้แต่นั่งนิ่งให้อึนซูกอดโดยไม่ได้กอดเธอกลับ แต่ภาพที่โทกีเห็นไม่ได้เป็นเช่นนั้น เธอจึงได้แต่ยืนมองด้วยความตกตะลึง (หากมองจากมุมของเธอจะแลดูเหมือนทั้งคู่กำลังกอดกันกลม)  

เมื่อถูกชเวยองดักหน้า ฮวา ซูอินก็ถามว่าเขาคือองครักษ์ชเวยองใช่ไหม ชเวยองชักดาบออกมาแล้วกล่าวว่า เก็บคำทักทายไว้ใช้คราวหน้าดีกว่าไหม จากนั้นก็ตรงเข้าจู่โจมทันที ฮวา ซูอินไม่ตอบโต้แต่ใช้วิธีหลบเลี่ยงแทน เธอใช้พลังภายในจุดระเบิดควันแล้วปาใส่ชเวยองเล่น จากนั้นก็บอกอย่างยั่วยวนว่าเธอมีเรื่องจะคุยกับเขาแบบสองต่อสอง  ชเวยองไม่เล่นด้วย เขาจ่อดาบเข้าที่ลำคอของฮวา ซูอิน แล้วบอกว่าไม่อยากฟังอะไรจากเธอทั้งนั้น ฮวา ซูอินพูดอย่างตัดพ้อแกมออดอ้อนว่า "นี่เจ้าทำเกินไปแล้วนะ" ชเวยองขู่ว่า ถ้าอย่างนั้นก็จงตายซะและเข้าโจมตีฮวา ซูอินอีกครั้ง (เหมือนไล่ให้กลับไปมากกว่าต้องการฆ่าจริงๆ) เมื่อเห็นว่าชเวยองเอาจริง ฮวา ซูอินก็เลิกยั่วแล้วจากไป


คืนนั้น พระเจ้าคงมินเข้ามาสำรวจความเสียหายของสำนักหมอหลวง เมื่อพบกับชเวยองพระองค์ก็ถามว่า ผู้บุกรุกมีเป้าหมายที่หมอใหญ่ (อึนซู) ใช่ไหม ชเวยองไม่ตอบแต่รายงานว่าในบรรดาลูกสมุนของคีชอลมีอยู่สองคนที่ใช้เสียงเพลงและไฟเป็นอาวุธสังหาร ดูเหมือนว่าเธอ (ฮวา ซูอิน) จะเป็นหนึ่งในสองคนนั้น เมื่อพระเจ้าคงมินตรัสถามว่าหมอใหญ่ปลอดภัยดีใช่ไหม ชเวยองก็พยักหน้าและกล่าวว่าเป็นเพราะบารมีของพระองค์ พระเจ้าคงมินหัวเราะเพราะรู้ว่าชเวยองแค่พูดเอาใจ และกล่าวว่า หมอใหญ่ (อึนซู) เกือบต้องมาตายเพราะพระองค์ ดังนั้น ผู้ที่สมควรได้รับการยกย่องก็คือชเวยองไม่ใช่พระองค์  

ชเวยองยื่นจดหมายเปื้อนเลือดให้พระเจ้าคงมินทอดพระเนตร และกล่าวว่า จดหมายนี้ถูกพบที่ตำหนักซอนอินชอน (ภายในเป็นที่ตั้งของท้องพระโรงสำหรับว่าราชกิจ) ซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกเขียนและนำมาซ่อนโดยหนึ่งในขุนนางที่ถูกวางยาพิษ คราบเลือดที่ติดอยู่บนจดหมายยังแลดูคล้ายคราบเลือดที่ผู้เขียนกระอักออกมาก่อนตาย แต่หมอหลวงชางบินตรวจสอบแล้วพบว่า คราบเลือดที่ติดอยู่บนจดหมายไม่ใช่เลือดมนุษย์ ชเวยองกรีดมือตนเองแล้วหยดเลือดลงบนกระดาษที่มีตะขาบเลื้อยอยู่  พลางอธิบายว่าปกติแล้วตะขาบจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเลือดมนุษย์ แต่มีเลือดของสัตว์ชนิดหนึ่งที่ตะขาบชอบ.... เมื่อลองหยิบจดหมายเปื้อนเลือดมาวางใกล้ตะขาบ ปรากฏว่าตะขาบทุกตัวต่างเลื้อยไปที่จดหมาย พระเจ้าคงมินเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นมาดูด้วยความสงสัย ชเวยองจึงเฉลยว่า "เลือดไก่ พะยะค่ะ"


เมื่อรู้ว่ามีคนสร้างหลักฐานเท็จ พระเจ้าคงมินก็นึกสงสัยว่าเป็นฝีมือใครและทำไปเพื่ออะไร ชเวยองกล่าวว่า คนผู้นั้นอยากให้โลกเห็นจดหมายลับฉบับนี้ พระเจ้าคงมินสงสัยว่าเพื่ออะไร ชเวยองจึงขอให้พระองค์อดทนรอแล้วเขาผู้นั้นจะมาพบพระองค์ด้วยตนเอง เพราะนั่นเป็นเหตุผลที่คนๆ นั้นสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมา พระเจ้าคงมินถามว่า สิ่งที่พระองค์ต้องทำคือการนำหลักฐานเท็จมาเปิดโปงใช่ไหม ชเวยองตอบว่า ไม่ว่าจะเปิดโปงหรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ พระองค์ก็ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง

พระเจ้าคงมินกล่าวว่า หากพระองค์เลือกที่จะเปิดเผยความจริงก็เท่ากับประกาศตนเป็นศัตรูกับฝ่ายตรงข้าม แต่ถ้าแกล้งทำเป็นไม่รู้ก็จะเข้าทางศัตรูและหมายความว่าพระองค์ยอมศิโรราบแต่โดยดี พระองค์ถามชเวยองว่า เขาจะปล่อยให้พระองค์เลือกทางใดทางหนึ่งด้วยตนเองงั้นหรือ ชเวยองพยักหน้ารับแล้วตอบว่า "พะยะค่ะ" พระเจ้าคงมินจึงถามต่อว่า เมื่อคนๆ นั้นมาพบพระองค์ ไม่ว่าพระองค์จะเลือกทางใด ชเวยองก็จะยอมรับและไม่รู้สึกทุกข์ร้อนใดๆ เพราะถือว่าทำภารกิจสุดท้ายสำเร็จลุล่วงแล้ว และจะออกจากวังหลวงไปใช่ไหม ชเวยองมองหน้าพระเจ้าคงมินอย่างชั่งใจ ก่อนทวงสัญญาที่พระองค์เคยให้ไว้ (หากทำงานเสร็จจะพิจารณาเรื่องการลาออกของเขา) พระเจ้าคงมินถามชเวยองด้วยสีหน้าเจ็บปวดใจว่า เขาจะไปทั้งๆ ที่รู้ว่าพระองค์ต้องการเขามากกว่าใครงั้นหรือ


อึนซูเดินผ่านมาและได้ยินเสียงพระราชาจึงหยุดฟัง พระเจ้าคงมินถามชเวยองว่า "เพราะข้าทำให้เจ้าผิดคำมั่นตอนที่สั่งให้เจ้าจับท่านหมอใหญ่กลับมาอีกครั้ง เจ้าจึงรู้สึกอึดอัดใจใช่ไหม ข้าต้องการคนที่สามารถไว้ใจได้ และตอนนี้เจ้าก็รู้แล้วว่าคนที่ข้าพูดถึงคือเจ้า... ข้านำตัวท่านหมอมาที่นี่เพื่อกอบกู้สถานการณ์ของข้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าท่านหมออาจตกอยู่ในอันตราย การที่ต้องจงรักภักดีกับพระราชาที่ทำตัวเช่นนี้ ทำให้เจ้าผิดหวังมากใช่ไหม" ชเวยองปฏิเสธโดยกล่าวว่า ตนคิดที่จะออกจากวังมานานแล้ว (ไม่ได้เป็นเพราะพระเจ้าคงมิน) 

พระเจ้าคงมินไม่ยอมแพ้ง่ายๆ จึงขอให้เขาบอกเหตุผลเพื่อเป็นการยืนยัน แต่ชเวยองยังคงดื้อรั้นและพูดอย่างตัดรอนว่า พระองค์ไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผล ทำให้พระเจ้าคงมินรู้สึกหนักใจที่ไม่สามารถปราบพยศและเปิดใจชเวยองได้  ชเวยองกล่าวว่า ก็แค่เรื่องเล็กน้อย พระเจ้าคงมินจึงตรัสว่า "หากเจ้าไม่อยากเล่าให้พระราชาฟัง ก็จงเล่าให้คนที่คิดว่าเจ้าเป็น 'เพื่อน' เพียงคนเดียวของเขาฟัง... ข้าพูดขนาดนี้แล้วเจ้าจะยังคงปฏิเสธคำขอร้องของข้าอีกไหม" 


ชเวยองเล่าว่า ตนเคยอยู่หน่วยชองวอลแด ไม่ว่าภูมิหลังหรือสถานะของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร ทุกคนจะมารวมตัวกันเพื่อฝึกฝนการใช้พลังภายในสำหรับนำมาใช้ในการปกป้องโครยอ ทุกคนมาด้วยใจและมีเป้าหมายเดียวกันคือการปกป้องชาติ ด้วยความที่ตนเพิ่งสูญเสียบิดา สมาชิกทุกคนจึงเปรียบเสมือนครอบครัวของตน หัวหน้าหน่วยเป็นทั้งอาจารย์และพ่อคนที่สอง ส่วนเพื่อนร่วมขบวนการก็เป็นเหมือนพี่น้อง ภารกิจหลักของพวกเราคือการเผาเรือของศัตรู หรือไม่ก็แอบบุกเข้าไปทางด้านหลัง เพื่อลอบสังหารแม่ทัพของศัตรู

แต่ไม่ว่าจะเชี่ยวชาญในการรบสักแค่ไหน คนของเราก็มีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับกำลังพลของศัตรู และไม่ว่าศัตรูจะเกรงขามพวกเราเพียงใด พวกเราก็ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน เพราะเป็นหน่วยงานลับพวกเราจึงไม่ได้รับความช่วยเหลือทั้งในด้านของใช้จำเป็นและกำลังเสริม หลังผ่านการสู้รบครั้งแล้วครั้งเล่า จำนวนสมาชิกที่เคยมีทั้งหมด 70 คน ก็เหลือรอดเพียงครึ่งหนึ่ง เราได้แต่เฝ้ามองร่างอันไร้ลมหายใจของเหล่าพี่น้องในอ้อมแขน และรับภารกิจใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า หน่วยงานของเราเป็นที่ไว้วางใจได้เสมอ แต่บางครั้งก็ถูกศัตรูล่อหลอกให้ตกหลุมพราง กว่าจะรู้ตัวพวกเราก็ถูกลอบโจมตีแล้ว*

* ละครนำเสนอภาพการ์ตูนเพื่อจำลองเหตุการณ์ขณะที่เหล่านักรบชองวอลแดพากันถอยหนีเพื่อเอาตัวรอด แต่นักรบหญิงคนหนึ่งเกิดสะดุดล้มเลยถูกศัตรูรายล้อม หัวหน้าหน่วยจึงวิ่งกลับไปช่วยตามลำพังและแบกเธอออกมา ทันใดนั้นกองทัพของศัตรูก็ไล่ตามมาจนทัน หัวหน้าหน่วยต่อสู้ไม่ถนัดเพราะต้องแบกร่างของนักรบหญิงทำให้ถูกฟันแขนขวาขาด แม้จะเสียแขนไปหนึ่งข้าง หัวหน้าคนดังกล่าวก็ยังทำหน้าที่ปกป้องชาติต่อไป) 


วันหนึ่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิ พระราชามีรับสั่งให้นักรบชองวอลแดเข้าเฝ้า   พวกเขาคิดว่าคงเป็นเพราะผลงานอันโดดเด่นจึงทำให้ได้รับเกียรตินั้น และต่างก็รู้สึกเหมือนฝัน ชเวยองตื่นเต้นมากที่จะได้เข้าวัง เขารู้สึกดีใจที่หัวหน้าหน่วยจะได้รับการยกย่องเชิดชูจากพระราชาและเหล่าขุนนางในราชสำนัก ทั้งยังเชื่อว่าพวกตนจะได้รับพระราชทานรางวัล จึงถามความเห็นหัวหน้าว่าจะขอม้าด้วยดีไหม เขาบอกว่า "ข้าอยากได้ม้าหนุ่มๆ ที่แข็งแรงมานานแล้ว ที่ผ่านมาเรามีแต่ม้าแก่ๆ...." ชเวยองพูดยังไม่ทันจบหัวหน้าก็พูดเสียงเข้มว่า "เจ้าจงฟังและจำไว้ให้ดี" จากนั้นก็หันหน้ามาหาชเวยองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด (เขามีแขนขวาข้างเดียว - แต่ในการ์ตูนประกอบคำบรรยายของชเวยอง หัวหน้าหน่วยโดนฟันแขนขวาขาด) 

หัวหน้าหน่วยเตือนชเวยองและลูกน้องคนอื่นๆ ของตนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า  วันนี้พวกเราจะได้เข้าเฝ้าพระราชา ซึ่งเป็นผู้ที่ทุกคนเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้อง  ถึงแม้พระองค์อาจแตกต่างจากภาพพระราชาในจินตนาการของทุกคน ก็จงนึกถึงเหล่าผู้สละชีวิตเพื่อหน่วยชองวอลแดเอาไว้  ทุกคำพูดและการกระทำของทุกคนจะส่งผลต่อทั้งหน่วย ดังนั้น จงอย่าทำอะไรโดยขาดความยั้งคิดเด็ดขาด... เมื่อขันทีมาตามให้ทุกคนไปเข้าเฝ้า หัวหน้าหน่วยก็มีสีหน้าวิตกกังวลและถอนหายใจออกมา

ชเวยองและนักรบหญิงเดินยิ้มด้วยความปลาบปลื้มตลอดทางระหว่างเดินไปเข้าเฝ้า  คงมีเพียงหัวหน้าหน่วยที่มีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา ขณะนั้น ในท้องพระโรงกำลังมีการเฉลิมฉลองด้วยการดื่มสุราเคล้านารีที่ล้วนแต่งตัวโป๊ เมื่อเหล่านักรบชองวอลแดเดินไปถึงหน้าท้องพระโรง เหล่านางรำก็ออกมาเต้นด้วยทีท่าเชื้อเชิญโดยสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้น (สำหรับยุคนั้น) ทำให้เหล่านักรบถึงกับยืนตะลึง เมื่อเห็นหัวหน้าหน่วยชองวอลแดยืนจ้องอย่างดุดันและไร้อารมณ์ เหล่านางรำก็รู้สึกหวาดกลัวจึงรีบเปิดทางให้ พอเดินเข้าไปทางด้านใน ทุกคนก็ได้ยินเสียงเอะอะ เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้ายิ่งทำให้ทุกคนตกตะลึง 


ชเวยองถึงกับหุบยิ้มเมื่อเห็นขุนนางใหญ่ในราชสำนักและพระราชาแห่งโครยอ พากันดื่มเหล้าและคลอเคลียหญิงสาวต่อหน้าต่อตา นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดคิดว่าจะได้เห็น ที่ผานมาเขาต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องประเทศชาติและราชบัลลังก์ เขานึกว่าพระราชาจะชื่นชมผลงานและต้อนรับพวกตนอย่างสมเกียรติในฐานะนักรบ และทรงเป็นประมุขที่คู่ควรกับการเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้อง เขาได้แต่ยืนมองพระราชาที่เอาแต่ดื่มเหล้าเมามายและจุมพิตหญิงสาวอย่างดูดดื่มต่อหน้าข้าราชบริพารด้วยความผิดหวัง

ถึงกระนั้นทุกคนก็ยังคุกเข่าถวายความเคารพ หัวหน้าหน่วยรายงานตัวว่า "กระหม่อมหัวหน้าหน่วยชองวอลแด มูน ชีโอ พร้อมด้วยเหล่านักรบชองวอลแด ขอถวายบังคมพะยะค่ะ" เมื่อได้ยินว่าเป็นหน่วยชองวอลแด พระราชาก็รีบเดินเข้าไปหาในสภาพเมามาย จากนั้นก็ใช้นิ้วจิ้มไปที่รูปพระจันทร์เสี้ยวสีแดงบนผ้าโพกศีรษะของหัวหน้าหน่วยอย่างแรงจนแทบหน้าหงาย (ซึ่งเป็นการกระทำที่หยามเกียรติ) แล้วบอกว่าพระองค์รู้จักสัญลักษณ์นี้ดีและได้ยินว่าเป็นหน่วยกล้าตาย เมื่อสั่งให้ทุกคนลุกขึ้นพระองค์ก็เริ่มสนใจดาบในมือของหัวหน้าหน่วยมูน ชีโอ จึงชักออกมาดูเล่นและนึกสงสัยว่าดาบนี้ฆ่าคนตายมากี่ศพแล้ว (ปกติแล้วนักรบจะไม่ยอมให้ใครมายุ่งกับดาบคู่กายง่ายๆ)


หัวหน้าหน่วยยืนมองพระราชาอย่างอดทน ส่วนชเวยองถึงกับน้ำตาซึมด้วยความผิดหวัง เมื่อเห็นว่ามีนักรบหญิงในหน่วยชองวอลแดด้วย พระองค์ก็เริ่มสนใจ หัวหน้าหน่วยแนะนำว่าเธอคือผู้บัญชาการระดับสาม (รองจากชเวยอง) นามว่า ทัน เบฮี เธอผ่านการฝึกฝนมาตั้งแต่ยังเด็กและเชี่ยวชาญด้านการใช้อาวุธแส้ พระราชาอยากรู้ว่าเบฮีจะแตกต่างผู้หญิงทั่วไปไหม จึงเข้าไปสำรวจเรือนร่างเธอใกล้ๆ  ก่อนจ่อดาบไปที่เธอแล้วสั่งให้ถอดเสื้อผ้าออก ชเวยองแทบไม่เชื่อหูตัวเอง แต่เขาก็ทำได้แค่หันไปมองหน้าพระราชาอย่างอดกลั้น 

เมื่อเห็นเบฮียังคงยืนนิ่ง พระราชาก็สั่งให้เธอถอดเสื้อผ้าออกให้หมด เบฮีชำเลืองมองชเวยองอย่างสิ้นหวัง พระราชาเห็นเธอยังคงอิดออดจึงบอกว่าเป็นพระบัญชา เบฮีจึงค่อยๆ ปลดเข็มขัดและถอดเสื้อชั้นนอกออกต่อหน้าทุกคนในท้องพระโรง ชเวยองทนดูไม่ได้จึงก้มหน้าอย่างอัดอั้น เขารู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถปกป้องเบฮีได้  พระราชาเริ่มหงุดหงิดที่เห็นเบฮีค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าออกทีละชั้น จึงโวยวายเสียงดังลั่นและสั่งให้รีบถอดชุดที่เหลือ (กางเกงและเสื้อซับใน) ออกไวๆ เมื่อเห็นเบฮีไม่ยอมถอดพระองค์จึงยื่นดาบไปที่สายเสื้อซับในของเบฮีแล้วทำท่าเหมือนจะตัดออกด้วยตนเอง


หลังอดกลั้นอยู่นาน ในที่สุดหัวหน้าหน่วยก็อดรนทนไม่ไหว จึงเอื้อมมือที่เหลือเพียงข้างเดียวเข้ามาขวาง และผายมือไปทางด้านหลังเพื่อส่งสัญญาณให้เบฮีถอยไป  ทำให้พระราชาโกรธจัดและโวยวายลั่นท้องพระโรงเหมือนเด็กถูกขัดใจ ก่อนเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมาว่า พระองค์ทรงอิจฉาหัวหน้าหน่วยชองวอลแดที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากกว่าพระองค์ทั้งๆ ที่พระองค์เป็นถึงพระราชา พระองค์จ่อดาบไปที่ลำคอของหัวหน้าหน่วยแล้วพูดย้ำว่า "เจ้าสินะ ที่ประชาชนรักใคร่และไว้วางใจมากกว่าข้าซึ่งเป็นพระราชา จงตอบข้ามาหัวหน้าหน่วยชองวอลแด...คนที่ปกป้องประชาชนไม่ใช่พระราชาอย่างข้า แต่เป็นนักรบชองวอลแดใช่ไหม"  หัวหน้าหน่วยปฏิเสธว่าไม่ใช่ แต่พระราชายังคงถามต่อว่า "เจ้าสามารถขัดคำสั่งของข้าได้ตามอำเภอใจใช่ไหม"   

เมื่อหัวหน้าหน่วยชองวอลแดยืนยันว่าตนไม่เคยขัดพระบัญชา พระราชาจึงสั่งให้เบฮีเดินออกมาทางด้านหน้าแล้วตรัสว่า "ข้าขอสั่งให้เจ้าถอดเสื้อผ้าออกให้หมด"  ชเวยองได้ยินแล้วถึงกับน้ำตาร่วง เบฮีเดินออกมาทางด้านหน้าแต่ยังคงยืนนิ่งน้ำตาคลอ และไม่ยอมถอดเสื้อผ้าที่เหลือ เธอหลับตาลงอย่างสิ้นหวังเพราะรู้ว่ามีโทษถึงตาย  พระราชาเห็นว่าเบฮีไม่ยอมทำตามคำสั่งจึงกล่าวด้วยความโมโหว่า ความผิดฐานขัดพระบัญชามีโทษประหารสามชั่วโคตร พูดจบพระองค์ก็ถือดาบพุ่งเข้าหาเบฮี แต่หัวหน้าหน่วยเอาตัวเข้ามาขวางจึงทำให้ถูกดาบแทง ชเวยองแทบช็อคเมื่อเห็นหัวหน้าที่เขารักและเคารพดุจเป็นพ่อคนที่สอง ถูกแทงด้วยน้ำมือของคนที่พวกตนเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้อง


แทนที่จะเสียใจและสำนึกผิดพระราชากลับรู้สึกทึ่งที่ดาบคมจนพระองค์สามารถแทงทะลุได้ หัวหน้าหน่วยดึงดาบออกจากร่างแล้วจ่อไปที่ชเวยองซึ่งกำลังจะเดินไปจัดการพระราชา จากนั้นก็สั่งให้ชเวยองถอยไป  ชเวยองสุดที่จะกลั้นความคับแค้นใจ หัวหน้าหน่วยสั่งเสียทั้งน้ำตา (ที่ไหลออกมาเป็นเลือด) ต่อหน้าพระราชาว่า "ยอง! เจ้าจงเชื่อฟังคำสั่งของพระราชา นับจากนี้ไปเจ้าจะกลายเป็นเงาของพระองค์ และเป็นผู้ปกป้องราชวงศ์ราชวงศ์โครยอ รับปากข้ามาเดี๋ยวนี้" เมื่อเห็นชเวยองยังคงยืนนิ่งและเต็มไปด้วยความคับแค้นใจจนแทบระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ หัวหน้าหน่วยจึงกระซิบบอกชเวยองว่า "นี่เป็นทางเดียวที่จะปกป้องหน่วยชองวอลแดและเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายของเจ้าได้" ชเวยองได้ยินดังนั้นก็ได้แต่เสียใจจนน้ำตาร่วง

เมื่อเห็นหัวหน้าหน่วยเงยหน้าขึ้นมามอง ชเวยองก็เบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากให้หัวหน้าเห็นน้ำตาของตน  หัวหน้าหน่วยขอให้ชเวยองรับปากว่าจะปกป้องเพื่อนๆ เขาไม่มีทางเลือกจึงต้องรับปากและเก็บดาบทันที  หัวหน้าหน่วยหันไปกล่าวขออภัยพระราชาสำหรับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เขาคุกเข่าลงตรงหน้าพระราชาแล้วกล่าวว่า "กระหม่อมนำเหล่านักรบมาถวายการรับใช้ ขอพระองค์จงเก็บพวกเขาไว้ข้างกาย แต่ละคนมีพละกำลังที่แข็งแกร่งเทียบเท่าคนหนึ่งร้อยคน  เขาเหล่านี้จะปกป้องพระองค์พะยะค่ะ" หลังฝากฝังลูกน้องของตนไว้กับพระราชาแล้วหัวหน้าหน่วยก็ขาดใจตาย เหล่านักรบพากันคุกเข่าลงตรงหน้าพระราชาเพื่อถวายตัวและแสดงความจงรักภักดี เมื่อเห็นว่าหน่วยชองวอลแดยอมศิโรราบ พระราชาก็หัวเราะลั่นอย่างพึงพอใจ


ตัดกลับมายังเหตุการณ์ปัจจุบัน หลังได้ฟังเรื่องราวในอดีตของชเวยองแล้วพระเจ้าคงมินก็ถึงกับอึ้ง นั่นคือจุดเริ่มต้นในการเป็นอู ดัลจิ (ทหารองครักษ์ของพระราชา) ของชเวยอง พระเจ้าคงมินถามว่าตอนนี้มีเหล่าอูดัลจิ (ที่มาจากหน่วยชองวอลแด) อยู่ในวังกี่คน ชเวยองตอบว่าบางคนถูกส่งออกไปนอกวัง บ้างก็เสียชีวิต ตอนนี้เลยเหลือตนเพียงคนเดียว  พระเจ้าคงมินถามว่า "เพราะไม่เหลือใคร เจ้าจึงไม่มีใครให้ปกป้องอีก เลยคิดที่จะออกจากวังไปใช่ไหม"  ชเวยองยอมรับตามตรงว่า ใช่  พระเจ้าคงมินรู้ว่า คนที่ฆ่าอาจารย์ของชเวยอง (หัวหน้าหน่วย) คือ พระเจ้าชุงฮเย* ซึ่งเป็นพระเชษฐาผู้ล่วงลับของพระองค์ จึงถามชเวยองว่า เขาแค้นเคืองพระองค์มาตั้งแต่ต้น เพราะพระองค์เป็นพระอนุชาของพระเจ้าชุงฮเยใช่ไหม ชเวยองได้แต่นั่งนิ่งไม่ยอมตอบ

*พระเจ้าชุงฮเย เป็นกษัตริย์องค์ที่ 28 แห่งราชวงศ์โครยอ มีพระนามภาษามองโกลว่า "บุดดาชี" ในปี ค.ศ. 1330 (พ.ศ. 1873 - ซึ่งตรงกับสมัยสุโขทัยของไทย) องค์ชายบุดดาชีได้ยึดอำนาจจากพระเจ้าชุงซุก (พระราชบิดา) และขึ้นเป็นกษัตริย์เกาหลีนามว่า พระเจ้าชุงฮเย  แต่ถูกพระราชบิดายึดอำนาจคืนเมื่อปี ค.ศ. 1332 (พ.ศ. 1875) ครั้นพอพระเจ้าชุงซุกสวรรคตในปี ค.ศ. 1339  (พ.ศ. 1882) พระเจ้าชุงฮเยก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ดังเดิม 

พระเจ้าคงมินถามชเวยองด้วยความเป็นห่วงว่า หลังออกจากวังแล้วเขามีแผนที่จะทำอะไร ชเวยองบอกว่าสิ่งแรกที่เขาจะทำคือการส่งท่านหมอใหญ่กลับสวรรค์ ระหว่างรอประตูสวรรค์เปิด เขาคิดที่จะเป็นชาวประมงและโม้ว่าตนตกปลาเก่ง พระเจ้าคงมินถามต่อว่าหลังส่งหมอใหญ่กลับสวรรค์แล้วเขามีแผนที่จะทำอะไร ชเวยองยอมรับว่าตนยังไม่มีแผน และกำลังคิดหาเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นกัน พระเจ้าคงมินลุกขึ้นแล้วตัดบทว่า ภารกิจของชเวยองยังไม่ลุล่วง ชเวยองพยายามประท้วง แต่พระเจ้าคงมินไม่สนใจและบอกว่าไม่ต้องเดินไปส่ง เพราะพระองค์รู้สึกละอายใจเกินกว่าจะสู้หน้าชเวยอง


อึนซูยังคงแอบฟังอยู่ทางด้านนอก เธอเห็นชเวยองเอามือกุมท้องแล้วทรุดลงไปกองกับพื้น จึงร้องเรียก "คนโรคจิต!" หมอหลวงชางบิน และชุงซอก ได้ยินเสียงกรีดร้องของอึนซูจึงรีบตามเข้าไปดูในห้อง อึนซูตรงเข้าไปประคองชเวยองแต่เขาก็หมดสติและล้มลงไปนอนกับพื้น จากนั้นก็มีอาการชัก เมื่อหมอหลวงชางบินเข้ามาในห้อง อึนซูก็บอกว่าชเวยองมีอาการช็อคหมดสติ เธอบอกชุงซอกให้ช่วยยกขาชเวยองขึ้นไปพาดบนเก้าอี้เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองและหัวใจได้ดี และบอกหมอหลวงชางบินกับโทกีว่าต้องการน้ำเกลือ น้ำหวาน และผ้าห่ม ชุงซอกเห็นชเวยองนอนกระตุกจึงร้องถามด้วยความตกใจว่าหัวหน้าตนเป็นอะไร อึนซูจึงบอกว่าชเวยองมีอาการชัก 

อึนซูบ่นว่าอยากได้ออกซิเจนและยาเพิ่มความดันแต่ที่นี่ไม่มี เมื่อเห็นหมอหลวงชางบินถือแก้วน้ำเกลือเข้ามา ชุงซอกก็รีบเอื้อมมือไปรับและทำท่าว่าจะป้อนแต่ถูกอึนซูห้ามเอาไว้ เธอเตือนว่าถ้าไม่ระวังอาจทำให้ชเวยองสำลักได้  อึนซูบ่นอย่างหนักใจว่าถ้ามีเครื่องให้สารเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดก็คงดี แต่ในเมื่อที่นี่ไม่มีเธอจึงต้องประคองศีรษะของชเวยองแล้วค่อยๆ ป้อนน้ำเกลือให้ หมอหลวงชางบินบอกว่า ชีพจรของชเวยองเต้นเร็วมากและค่อนข้างอ่อน ทำให้อึนซูรู้สึกหนักใจเพราะที่นี่ไม่มียาและอุปกรณ์ที่เธอต้องการเลย

ในความฝัน ชเวยองกำลังนั่งตกปลาอยู่กับผู้เป็นบิดา เขาถามว่าให้ตนอยู่ที่นี่ด้วยไม่ได้หรือ (อยากตายเต็มทน) พ่อของเขาได้แต่หลับตานิ่งและถอนหายใจ... ขณะนั้นหมอหลวงชางบินพยายามยื้อชีวิตชเวยองด้วยการฝังเข็มแต่ก็ไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ ซ้ำร้ายยังจับชีพจรแทบไม่ได้  เขาจึงได้แต่นึกสงสัยว่าชเวยองจะยอมกลับมาแต่โดยดีไหม 


ชเวซังกุงบอกอึนซูว่า เธอได้รับพระบัญชาให้มาช่วยเตรียมความพร้อมให้อึนซู อึนซูเห็นนางในนำเสื้อผ้ามาให้จึงสงสัยว่าทำไมเธอต้องเตรียมพร้อมด้วย แทนที่จะได้รับความกระจ่าง ชเวซังกุงกลับตอบเพียงสั้นๆ ว่า "เป็นพระบัญชา" ทำให้อึนซูรู้สึกอ่อนใจ ระหว่างนั้น พระเจ้าคงมินและพระมเหสีต่างกำลังมุ่งหน้าไปที่ท้องพระโรง อยู่ๆ พระเจ้าคงมินก็หยุดเดินและกล่าวกับพระมเหสีว่า พระองค์ยังไม่ได้ตัดสินพระทัย และไม่ว่าจะเลือกทางใดภาพลักษณ์พระราชาที่อยู่ตรงหน้าพระมเหสีอาจยิ่งมัวหมองลงไปกว่าเดิม พระมเหสีถามว่าต้องเลือกระหว่างอะไรกับอะไร และพระองค์กำลังตรัสถึงเรื่องใดกันแน่

หระเจ้าคงมินตรัสว่า ข้อแรกเปิดโปงแผนชั่วแล้วถูกบีบให้สละบัลลังก์ ซึ่งจะทำให้ชีวิตของพระองค์และมเหสีจะตกอยู่ในอันตราย ส่วนข้อสองต้องทนถูกหยามเกียรติและเป็นเพียงหุ่นเชิดให้ใครบางคนเพื่อรักษาราชบัลลังก์เอาไว้  พระองค์ถามความเห็นพระมเหสีว่า ระหว่างตายกับอยู่อย่างเสียเกียรติพระมเหสีจะทนรับอย่างไหนได้มากที่สุด พระมเหสีตอบว่าพระองค์รับไม่ได้ทั้งสองข้อ ซึ่งก็เป็นอย่างที่พระเจ้าคงมินทรงคิดไว้ตั้งแต่ต้น

พระมเหสีไม่เห็นชเวยองจึงถามว่าหัวหน้าองครักษ์อยู่ที่ไหน พระเจ้าคงมินตอบว่า เขามาที่นี่ไม่ได้เพราะไม่สบายกระทันหัน และตรัสว่าในเมื่อชเวยองไม่อาจมาที่นี่ได้ พระองค์คงต้องเลือกข้อสาม พระมเหสีเดาว่าข้อสามคงเป็นคำแนะนำของโจ อิลชิน พระเจ้าคงมินตรัสว่า โจ อิลชิน เป็นคนเดียวที่จงรักภักดีต่อพระองค์ พระมเหสีสงสัยว่าพระเจ้าคงมินทรงเล่าเรื่องนี้ให้พระองค์ฟังทำไม พระเจ้าคงมินตอบว่า นั่นเป็นเพราะไม่ว่าพระองค์จะถูกหยามเกียรติหรือต้องพบกับจุดจบ พระมเหสีจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องประสบเคราะห์กรรมพร้อมกับพระองค์


พระเจ้าคงมินและพระมเหสีออกว่าราชกิจในท้องพระโรงเป็นครั้งแรก เหล่าขุนนางที่แปรพักตร์ไปภักดีกับพวกหยวนต่างแสร้งทำเป็นจงรักภักดี และกล่าวขอบคุณสวรรค์ที่พระองค์และพระมเหสีเสด็จกลับมาโครยออย่างปลอดภัย พระเจ้าคงมินตรัสว่า "งั้นรึ นั่นสินะ ข้าเองก็รู้สึกขอบคุณสวรรค์เช่นกัน ไม่แน่ใจว่าพวกเจ้าได้ยินข่าวกันบ้างหรือยัง แต่หนทางกลับสู่แผ่นดินเกิดของข้าช่างน่าอันตรายจริงๆ  พระมเหสีเกือบต้องมาสังเวยชีวิต" เหล่าขุนนางต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พระเจ้าคงมินจึงกล่าวว่า "ทำไมพวกเจ้าถึงทำท่าตกใจอย่างนั้น ในเมื่อนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเจ้าได้ยินข่าวนี้ พวกเจ้าทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้กันดีอยู่แล้ว ... สวรรค์ได้เปิดประตู ฮวาตาเพื่อส่งเทพแห่งการรักษาโรคมาช่วยชีวิตพระมเหสี" 

ทันใดนั้น ม่านที่บังอึนซูเอาไว้ก็เปิดออก อึนซูมองเหล่าขุนนางในท้องพระโรง (ที่ต่างก็พากันจ้องมาที่เธอ) แล้วคิดที่จะลุกหนี แต่ชเวซังกุงกดตัวเธอให้นั่งลงดังเดิม  พระเจ้าคงมินตรัสต่อว่า "ข้าพยายามนั่งสมาธิแล้วใช้สติพิจารณาว่าสวรรค์มีจุดประสงค์อะไร ทำไมสวรรค์จึงไม่ส่งนางให้หยวน หรือซอยอก แต่กลับส่งนางมาให้โครยอ ทำไมสวรรค์จึงส่งเทพแห่งการรักษาโรคมาให้พระราชาที่อ่อนแออย่างข้า แล้วขุนนางอย่างพวกเจ้าล่ะคิดว่ายังไง ท่านหมอใหญ่ยังบอกด้วยว่า ข้าจะต้องทำอะไร จะทำอะไรได้บ้าง นางยังบอกด้วยว่าอนาคตของโครยอได้ถูกจารึกเอาไว้บนสวรรค์นานแล้ว เหล่าขุนนางอย่างพวกเจ้าไม่อยากฟังเรื่องดังกล่าวบ้างเลยหรือ"


ขณะที่เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องดังกล่าวด้วยความอยากรู้ คีชอลและพวกก็บุกเข้ามาวางอำนาจในท้องพระโรง ทันทีที่เขาเดินเข้ามา เหล่าขุนนางต่างพากันก้มหัวคำนับอย่างพร้อมเพรียง คีชอลเดินตรงไปที่บัลลังก์ของพระเจ้าคงมินอย่างไม่ยำเกรง จากนั้นก็ยืนค้ำหัวแล้วบอกว่า ที่พระองค์พูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ อาจเป็นเพราะพระองค์ยังทรงพระเยาว์และไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเสียนาน จึงได้หลงเชื่อเรื่องแปลกประหลาดอย่างนี้ แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ทรงเป็นพระราชาแห่งโครยอ

คีชอลแสร้งทำเป็นจงรักภักดีโดยตะคอกถามเหล่าขุนนางว่า "ไอ้สารเลวคนไหนที่มันบังอาจล่อลวงพระราชา และกล้าทูลเรื่องเหลวไหลไร้สาระให้พระองค์ฟัง" เหล่าขุนนางได้ยินแล้วต่างพากันสะดุ้งตกใจกลัว คีชอลชี้ไปที่อึนซูแล้วกล่าวหาว่าเธอเป็นปีศาจในคราบผู้หญิง (เพื่อให้หมดความน่าเชื่อถือ)  จากนั้นก็ข่มขู่ด้วยเสียงอันดังลั่นว่า "ตอบข้ามา" เมื่อเห็นว่าอึนซูยังคงนั่งนิ่ง คีชอลก็ตะคอกใส่อีกครั้งว่า "นังปีศาจ จงตอบข้ามา"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา