วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

Faith: สุภาพบุรุษยอดองครักษ์ ตอนที่ 5




คีชอลไม่ต้องการให้เหล่าขุนนางในราชสำนักเชื่อว่าอึนซูเป็นผู้ที่สวรรค์ส่งมาปกป้องพระราชา จึงคิดหาทางกำจัดเธอเสีย พระเจ้าคงมินรู้ว่าอึนซูกำลังตกอยู่ในอันตรายแต่ก็ยอมมอบอึนซูให้คีชอลแต่โดยดี และมีข้อแม้ว่าคีชอลต้องเอาชนะใจอึนซูให้ได้ภายใน 7 วัน หากทำไม่สำเร็จเขาจะต้องส่งเธอคืนให้พระองค์อย่างปลอดภัย เมื่อชเวยองฟื้นขึ้นมาและรู้ข่าวว่าอึนซูโดนลากตัวไป เขาก็รีบตามไปช่วยเธอที่บ้านคีชอลทันที

เนื้อหา:


คีชอลไม่ต้องการให้เหล่าขุนนางในราชสำนักหลงเชื่อข่าวลือ เรื่องที่มีเทพแห่งการรักษาโรคออกจากประตูสวรรค์มาช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของพระมเหสีและยังเป็นผู้หยั่งรู้อนาคต เขาจึงบุกมาก่อกวนถึงในท้องพระโรง โดยแสร้งทำเป็นจงรักภักดีและอ้างว่าพระเจ้าคงมินทรงหลงเชื่อคำเพ็ดทูลของคนชั่ว เขาจึงมาที่นี่เพื่อนำตัวคนพูดเท็จไปประหาร คีชอลชี้ไปที่อึนซูแล้วกล่าวหาว่าเธอเป็นปีศาจร้าย จากนั้นก็วางท่าและพูดจาข่มขู่ให้อึนซูรู้สึกหวาดกลัว อึนซูจะลุกหนีแต่ชเวซังกุงห้ามเอาไว้ เธอจึงหันไปทางหมอหลวงชางบินเพื่อขอคำแนะนำ หมอหลวงชางบินเตือนอึนซูว่า หากลุกหนีไปในตอนนี้เธอจะมีโทษถึงตาย 

ระหว่างที่คีชอลพยายามบีบบังคับและกดดันให้อึนซูยอมรับสารภาพว่าเธอกุเรื่องขึ้น พระเจ้าคงมินก็ทำลายบรรยากาศอันตึงเครียดด้วยการหัวเราะออกมา  จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วตรัสว่า "ท่านคือใต้เท้าต็อกซองจริงๆ ด้วย  ตอนข้าอยู่ต้าหยวนพระจักรพรรดินีฉี* มักพูดถึงท่านให้ข้าฟังบ่อยครั้ง และข้าก็รู้ด้วยว่าที่ข้าได้ขึ้นครองตำแหน่งนี้เป็นเพราะมีท่านทั้งสองช่วยผลักดัน"


พระองค์ยังตรัสด้วยว่า ก่อนออกจากต้าหยวนพระจักรพรรดินีฉีได้เตือนพระองค์ว่า "เมื่อเจ้าไปถึงโครยอ ใต้เท้าต็อกซองจะคอยจับตาดูเจ้าทุกฝีก้าว ถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวล หากเขาวางตัวไม่เหมาะสมต่อหน้าพระพักตร์ และบุกมาเข้าเฝ้าพระองค์โดยไม่แจ้งล่วงหน้าก็อย่าทรงตกพระทัย และถ้าเหล่าขุนนางในราชสำนักรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นพฤติกรรมดังกล่าว ก็ให้ยุติความกังวลของพวกเขาโดยบอกว่า ที่ใต้เท้าต็อกซองคีชอล พระเชษฐาของพระจักรพรรดินีฉี ทำตัวเยี่ยงนี้ไม่ได้เป็นเพราะขาดความจงรักภักดีต่อพระราชา แต่เป็นเพราะเขามีความภักดีเปี่ยมล้นจนไม่อาจเก็บงำความรู้สึกเอาไว้ได้อีกต่อไป " 

* พระจักรพรรดินีฉี  เป็นหญิงชาวโครยอที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นจักรพรรดินีของพระจักรพรรดิหยวนฮุ่ยจง โตคุน เตมูร์ข่าน พระจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์หยวน (และเป็นน้องสาวของคีชอล) 

พระเจ้าคงมินหันไปบอกเหล่าขุนนางว่า "พวกเจ้าดูสิ (พระองค์ชี้นิ้วไปที่คีชอล) ท่านผู้นี้รีบบึ่งมาที่นี่เพราะกลัวว่าพระราชาจะเพลี่ยงพล้ำเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ... ช่างจงรักภักดีเสียนี่กระไร" พูดจบพระองค์ก็หันไปยิ้มให้คีชอล  คีชอลถึงกับอึ้งเมื่อเห็นเด็กเมื่อวานซืนอย่างพระเจ้าคงมินรู้จักใช้ไหวพริบแก้ไขสถานการณ์แทนที่จะยอมจำนน


คีชอลเดินไปหาพระเจ้าคงมินอย่างไม่ยำเกรงแล้วถามว่า  "พระองค์กำลังจะบอกว่าคนผู้นั้นมาจากสวรรค์จริงๆ ใช่ไหม พระองค์ทรงเชื่อเรื่องประหลาดเหล่านี้จริงๆ หรือ" ทันใดนั้น พระมเหสีก็ตรัสว่า "ข้าเชื่อ!" พระองค์ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า "ข้า พระมเหสีของพวกเจ้า และธิดาองค์ชายแห่งเว่ยของราชวงศ์หยวน 'โบลัว เตมูร์ '..." พระองค์มองหน้าคีชอลแล้วกล่าวต่อว่า "...ถูกนักฆ่าที่ใครบางคนส่งมา ลอบทำร้ายและใช้ดาบฟันเข้าที่ลำคอ" พระองค์เปิดผ้าก็อซปิดแผลออกเพื่อโชว์รอยเย็บให้ทุกคนดู แล้วหันไปมองอึนซูพลางกล่าวว่า "นี่คือลำคอที่ท่านหมอใหญ่ซึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นช่วยเย็บปิดบาดแผลให้ ในแผ่นดินนี้มีหมอคนใดทำเช่นนางได้บ้าง" 

หมอหลวงชางบินกระซิบบอกอึนซูให้วางท่าเหมือนคนที่มาจากสวรรค์ อึนซูถามกลับอย่างจนปัญญาว่าจะให้เธอทำตัวยังไง ชเวซังกุงเตือนว่า อย่าโวยวาย และอย่าตื่นตระหนก หมอหลวงชางบินจึงแนะนำให้อึนซูทำตัวตามปกติเหมือนตอนที่อยู่บนสวรรค์  

คีชอลแสร้งทำเป็นเห็นใจที่พระราชาและพระมเหสีต่างก็ถูกหลอก ก่อนถามพระเจ้าคงมินว่า "ใครกันที่ทำให้พระองค์ทรงหลงเชื่อเรื่องเหลวไหลไร้สาระพวกนี้ อูดัลจิ*ชเวยองใช่ไหมพะยะค่ะ ใช่ชเวยองหรือเปล่าที่นำปีศาจน้อยตนนี้มา แล้วกุเรื่องหลอกให้ทั้งสองพระองค์ทรงหลงเชื่อว่านางมาจากสวรรค์ หม่อมชั้นได้ยินมาเช่นนั้น เป็นความจริงใช่ไหมพะยะค่ะ" พูดจบคีชอลก็ถามหาชเวยอง และตะคอกถามกึ่งสั่งพระเจ้าคงมินเสียงดังลั่นว่า "ฝ่าบาทจะไม่ทรงลากตัวคนทรยศ ไอ้คนสารเลวที่ไม่จงรักภักดีมาที่นี่เดี๋ยวนี้หรือพะยะค่ะ"

* อูดัลจิ หมายถึง ทหารองครักษ์ของพระราชา


อึนซูได้ยินดังนั้นจึงออกโรงขวางโดยบอกว่า "ทำเช่นนั้นไม่ได้" คีชอลหันไปหาอึนซูแล้วพูดว่า ปีศาจตนนี้พูดภาษาคนได้ด้วยหรือ (หลังนั่งนิ่งอยู่นานโดยไม่ยอมตอบคำถาม) อึนซูลุกขึ้นกล่าวอย่างตะกุกตะกัก (แต่เอาจริง) ว่า  อูดัลจิชเวยองเป็นคนไข้ของเธอ ในฐานะที่เธอเป็นแพทย์เจ้าของไข้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากเธอ ใครหน้าไหนก็ห้ามนำตัวเขาไปโดยเด็ดขาด คีชอลก้าวออกมาหาอึนซูด้วยความโกรธพลางสบถว่า  "นังเด็กตัวแสบ กล้าดียังไงถึงได้พูดจาสามหาวกับข้า" 

อึนซูได้ยินแล้วชักเริ่มไม่สบอารมณ์ จึงโวยใส่คีชอลต่อหน้าทุกคน (กึ่งสั่งสอนกึ่งออกแนวมาเฟีย) ว่า "คุณนั่นแหล่ะที่ต้องระวังปาก รู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังพูดอยู่กับใคร ถึงได้ใช้ถ้อยคำหยาบคายอย่างนั้น" คีชอลได้แต่อึ้งพูดไม่ออกเพราะไม่เคยมีใครกล้าพูดกับเขาเช่นนี้มาก่อน อึนซูเครื่องเริ่มร้อนจึงเสยผมแล้วเดินไปเผชิญหน้ากับคีชอลพลางพูดว่า "ให้ตายสิ  ชั้นไม่รู้หรอกนะว่าถูกลากเข้ามาในท่อประหลาดๆ ของกาแลคซีแอนโดรเมด้า* นี่ได้ยังไง  แต่การถูกเรียกอย่างหยาบคายว่า  "นังเด็กตัวแสบ" ในวัยอย่างชั้นเนี่ย...."  (เธออายุ 33 ปีและเป็นศัลยแพทย์)  อึนซูรู้สึกเหลืออดจนพูดไม่ออก

* กาแลคซีแอนโดรเมด้า เป็นกาแลคซีเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ทางช้างเผือกมากที่สุด โดยอยู่ห่างออกไปราว 2.2 ล้านปีแสง มีลักษณะคล้ายคู่แฝดของทางช้างเผือกแต่ขนาดใหญ่กว่าหนึ่งเท่าตัว (กาแล็กซีของเราคือ “กาแลคซีทางช้างเผือก”) 

เธอตัดบทด้วยการถามคีชอลอย่างท้าทายว่า "คุณอายุเท่าไหร่กันเชียว... ไม่ว่าสารรูปชั้นจะเป็นยังไง แต่ชั้นเป็นถึงหมอศัลยกรรมพลาสติกแห่งย่านกังนัม ซึ่งหมายความว่าในแต่ละเดือนชั้นต้องรับมือกับคนไข้กวนๆ เพียบ... โธ่เอ๊ย! อย่าคิดนะว่าฉันจะหงอเพียงเพราะชั้นไม่พูดคำหยาบ แต่เนื่องจากตอนนี้เราอยู่ต่อหน้าพระราชา ดังนั้น ชั้นจะไม่เอาเรื่องคุณ เราจบกันแค่นี้ก็แล้วกัน" พูดจบอึนซูก็หันไปหาพระเจ้าคงมินแล้วขอตัวไปดูแลคนไข้ พระเจ้าคงมินยิ้มชอบใจแล้วทรงอนุญาตอย่างรู้กัน


อึนซูรีบชิ่งหนีแต่ถูกคีชอลขวางเอาไว้แล้วขู่ว่า "นังปีศาจ อยากตายนักรึไง" แทนที่จะกลัวจนตัวสั่น อึนซูกลับชี้หน้าคีชอลเพราะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอหันไปถามพระเจ้าคงมินว่าชายผู้นี้ชื่อคีชอลใช่ไหม เมื่อพระเจ้าคงมินยิ้มรับ อึนซูก็บอกว่าเธอนึกออกแล้ว เธอพยายามไล่เรียงความทรงจำเกี่ยววิชาประวัติศาสตร์แล้วบอกว่าทุกอย่างล้วนอยู่ในข้อสอบ จากนั้นก็หันไปโม้กับพระเจ้าคงมินว่าเธอเรียนเก่ง  อึนซูหันกลับไปบอกคีชอลว่า อีกไม่นานราชวงศ์หยวนจะล่มสลาย และจะมีการสถาปนาราชวงศ์หมิงขึ้นมาแทนที่   คีชอลได้ยินแล้วถึงกับอึ้ง ขณะที่เหล่าขุนนางต่างพากันจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อเห็นกับตาและได้ยินกับหูว่าท่านหมอใหญ่แห่งโครยอเป็นผู้หยั่งรู้อนาคต

อึนซูยังบอกด้วยว่า "คุณคีชอล! ชั้นยังจำได้ด้วยนะว่าคุณตายยังไง แต่ชั้นจะไม่บอกคุณหรอก เพราะว่าคุณมันงี่เง่า" อึนซูวางมาดนักเลงสาวแบบงกๆ เงิ่นๆ พลางชี้หน้าคีชอลแล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า "เฮ้ ยู! เอฟ-ยู-ซี-เค... โก ทู เฮลล์" พูดจบอึนซูก็เดินจากไป ทิ้งให้คีชอลยืนงงเพราะรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจที่อึนซูพูด  อึนซูเดินออกจากท้องพระโรงอย่างอ่อนแรง เพราะก่อนหน้านี้เธอฮึดสู้ทั้งๆ ที่กลัวใจแทบขาด และในขณะที่เธอกำลังจะทรุดลงไปกองกับพื้นหมอหลวงชางบินก็เข้ามาประคองเธอเอาไว้ เขาสวมกอดเธอแล้วกล่าวอย่างชื่นชมว่า เธอทำได้ดีมาก ถึงแม้จะเกิน (เวอร์) ไปหน่อยก็ตาม


อึนซูกลับมาดูแลชเวยองที่สำนักหมอหลวง (แทมานคอยเฝ้าชเวยองไม่ห่าง) หมอหลวงชางบินถามอึนซูว่า เธอยอมรับอูดัลจิ (ชเวยอง) เป็นคนไข้ของเธอแล้วใช่ไหม อึนซูตอบแบบเลี่ยงๆ ว่า เธอจะไม่อยู่ที่นี่นานนัก และชักจะเริ่มทนไม่ไหวแล้ว เธออยากกลับบ้านเต็มแก่ แต่ชเวยองเป็นคนเดียวที่จะส่งเธอกลับได้  ดังนั้น เธอจำเป็นต้องช่วยชีวิตเขา

หมอหลวงชางบินบอกว่าแผลชเวยองมีหนองคั่งอยู่ข้างใน อึนซูจึงกรีดผิวหนังบริเวณบาดแผลเพื่อให้หนองไหลออกมา แล้วอธิบายว่าส่วนที่มีสีเทาอ่อนๆ คือบริเวณที่ติดเชื้อหรือเป็นแผลเนื้อเน่า เธอไม่รู้ว่าข้างในแผลอักเสบมากน้อยแค่ไหน แต่เธอจำเป็นต้องขจัดเนื้อตายออก หมอหลวงชางบินบดยาแล้วกล่าวว่าสิ่งนี้น่าจะใช้แทน "แอลกอฮอล์" ที่อึนซูต้องการได้ หลังจากนั้นเขาและโทกีก็ช่วยกันปรุงยาสมุนไพร "จอแจทัง" โดยอธิบายว่าหากทายานี้ลงบนแผลอักเสบติดเชื้อจะทำให้หนองและเนื้อเน่าหลุดออกมา  ทั้งยังช่วยรักษาเนื้อที่กำลังจะเน่าอีกด้วย


ในเวลาเดียวกันนั้น ชเวยองก็กำลังฝันว่าตนเองกำลังนั่งตกปลากับท่านพ่อกลางทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็ง พ่อของเขาถามว่า "นางยังอยู่ในใจเจ้าใช่ไหม" ชเวยองหันมามองหน้าท่านพ่อแล้วยอมรับว่าใช่ เขานึกถึงวันสุดท้ายที่ได้ประลองเพลงดาบของตนกับแส้ของทัน เบฮีกลางทุ่งหญ้า เบฮีบอกระหว่างประลองว่า "ไม่ต้องห่วงหลัง เพราะข้าจะคอยระวังหลังให้เจ้าเสมอ" ชเวยองจับเบฮีหมุนแล้วกดตัวลงไปนอนกับพื้นก่อนกล่าวว่า "อย่าออกนอกสายตาข้า เพื่อที่ข้าจะได้คอยปกป้องเจ้า พูดจบเขาก็หลับตาแล้วค่อยๆ ยื่นหน้าไปหาใบหน้าของเบฮี แต่แล้วอยู่ๆ เบฮีก็หายไป ชเวยองรู้สึกสังหรณ์ใจจึงรีบวิ่งเข้าไปในป่าเพื่อตามหาเบฮี  เบฮีทนไม่ได้ที่ถูกพระราชาหยามเกียรติและยังเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าต้องมาตายแทน เธอจึงคิดสั้นฆ่าตัวตาย ทำให้ชเวยองเสียใจมาก

อยู่ๆ ร่างของชเวยองก็ชักเกร็ง แทมานจึงร้องเรียกอึนซูและหมอหลวงชางบิน อึนซูซึ่งนอนเฝ้าข้างเตียงได้แต่ตื่นขึ้นมามองโดยไม่ลงมือทำอะไร หมอหลวงชางบินและผู้ช่วยรีบวิ่งเข้ามาดูในห้อง เขานำผ้าพันไม้มาใส่ไว้ปากของชเวยองเพื่อป้องกันไม่ให้ชเวยองกัดลิ้นตัวเอง ส่วนเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ รวมทั้งแทมานต่างช่วยกันจับแขนขาชเวยองเอาไว้ คงมีเพียงอึนซูที่ได้แต่ยืนนิ่ง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมชเวยองถึงไม่ยอมฟื้น ทั้งๆ ที่เธอช่วยรักษาเขาอย่างเต็มที่จนอาการดีขึ้นแล้ว เธอจึงรู้สึกหงุดหงิดและเดินหนีออกจากห้องไป

  
อึนซูเดินเข้ามาในสวนสมุนไพรโดยไม่รู้ว่าโทกีกำลังเก็บสมุนไพรอยู่ เมื่อเห็นอึนซูเดินเข้ามาโทกีก็รีบวิ่งไปหลบและแอบดูอยู่ห่างๆ อึนซูเตะถังน้ำด้วยความโมโห หมองหลวงชางบินเดินตามเข้ามาและเก็บถังน้ำเข้าที่เดิมก่อนเดินไปหาอึนซู อึนซูโวยวายว่าเธอช่วยระบายหนองออกจากแผลชเวยองทั้งคืน จนเลือดไหลเวียนกลับเข้าไปเลี้ยงเนื้อเยื่อได้แล้ว ส่วนความดันฯ ก็ปกติ แถมไข้ยังลดลงแล้ว แต่ทำไมชเวยองถึงยังไม่ยอมฟื้น หมอหลวงชางบินตอบว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชเวยองถูกดาบแทงจนได้รับบาดเจ็บ  สำหรับคนที่มีพลังภายในอันแก่กล้าอย่างชเวยอง  ต่อให้ไม่มียาเขาก็สามารถสมานแผลและสร้างเนื้อขึ้นใหม่ด้วยตนเองได้  อึนซูจึงย้อนอย่างมีอารมณ์ว่าถ้าเก่งขนาดนั้นแล้วทำไมคราวนี้เขาถึงยังไม่ฟื้น 

หมองหลวงชางบินหยิบยกสุภาษิตจีนมากล่าวอ้าง ก่อนแปลเป็นภาษาโครยอว่า "หมอระดับล่างรักษาโรค หมอระดับกลางรักษาคน"  เขาบอกอึนซูว่า "ท่านรักษาบาดแผลให้หัวหน้าองครักษ์ แต่ (ใจ) คนยังไม่ได้รับการเยียวยา" อึนซูเล่าว่า สมัยยังเป็นนักเรียนแพทย์ อาจารย์ของเธอมักกล่าวว่า ไม่ว่าหมอจะรักษาเก่งหรือเชี่ยวชาญสักแค่ไหน แต่ถ้าคนไข้ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ยากที่จะรักษาชีวิตคนไข้เอาไว้ได้ หมอหลวงชางบินรู้สึกประหลาดใจที่บนสวรรค์ก็มีคนไข้ที่ไม่ต้องการรับการรักษาเช่นเดียวกับบนโลกมนุษย์  อึนซูบอกว่า เธอไม่อาจทนทำงานในสภาพนั้นได้ (รักษาแทบตายแต่คนไข้กลับไม่อยากมีชีวิต) ด้วยเหตุนี้ เธอจึงหันมาเป็นหมอศัลยกรรมตกแต่ง ทั้งๆ ที่เธอเชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมโรคทรวงอก


เธอเล่าว่า หัวหน้าทีมของเธอเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคมะเร็งปอดที่สุดในเกาหลี เขาผ่าตัดเสร็จเร็วกว่าหมอคนอื่นๆ ถึง 1.5 เท่า ส่วนเธอก็เจริญรอยตามหัวหน้าจนผ่าตัดเสร็จเร็วกว่ามาตรฐาน 1.2 เท่า แม้เธอจะเชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดและตัวเธอเองก็ชอบการผ่าตัด แต่เธอไม่ชอบคนป่วย เธอเลยมาเป็นหมอศัลยกรรมตกแต่งแทน เพราะการเป็นหมอศัลยกรรมทั่วไปมีความเสี่ยงสูงมากและได้ค่าตอบแทนน้อย   แต่การผ่าตัดทำตาสองชั้นสร้างรายได้ให้เธอตั้งแต่  5 แสนถึง  1 ล้านวอน (เกือบ 1.3 หมื่นบาท ถึง 25,700 บาท) ทันทีที่ผ่าตัดเสร็จ แถมการผ่าตัดโรคทรวงอกต้องใช้เวลาครั้งละหลายชั่วโมง กว่าจะผ่าตัดเสร็จเธอทั้งเครียดและเหนื่อยล้าจนแทบเดินไม่ไหว แต่กลับได้ค่าจ้างไม่คุ้มค่า

แม้หมอหลวงชางบินจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่อึนซูเล่าเท่าไรนัก แต่เขาก็เข้าใจความรู้สึกของเธอดี เขาถามอึนซูว่า "ท่านเคยฆ่าคนไข้ไหม" อึนซูตอบว่า "ไม่เคย" และยังไม่เคยมีคนไข้ในความรับผิดชอบของเธอเสียชีวิตแม้แต่คนเดียว หมอหลวงชางบินจึงพูดต่อว่า "ข้าเดาว่าท่านคงกลัวว่าตัวเองจะยอมให้เขาตาย หากหัวหน้าองครักษ์ชเวยองตาย เขาจะเป็นคนแรกที่ท่านยอมปล่อยให้ตายจากไปใช่ไหม" (หมอหลวงชางบินรู้ว่าอึนซูไม่อยากเป็นแพทย์เจ้าของไข้ชเวยอง เพราะกลัวว่าตนเองจะยื้อชีวิตชเวยองไม่ได้     และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ชเวยองก็จะเป็นคนไข้คนแรกของเธอที่เสียชีวิต แต่เนื่องจากหมองหลวงชางบินเชื่อว่าอึนซูเป็นหมอจากสวรรค์ เขาเลยคิดว่าถ้าเธอไม่ยอมถอดใจ ชเวยองก็จะไม่ตาย และยังให้ข้อคิดว่า การมองดูเฉยๆ เพราะคิดว่าหมดทางรักษาก็เท่ากับเป็นการฆ่าคนไข้)  

ในตอนนั้นชเวยองยังคงอยู่ในห้วงความฝัน เขานั่งตกปลากลางทะเลสาบน้ำแข็งตามลำพังอย่างโดดเดี่ยว และมีน้ำแข็งเกาะตามใบหน้าและลำตัว 

อีกด้านหนึ่ง คีวอน (น้องชายคีชอล) ก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องหมอจากสวรรค์กับยางซาอย่างออกรส ยางซาพยายามบอกคีวอนว่าเรื่องทั้งหมดที่อึนซูพูดในท้องพระโรงเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ แต่คีวอนชักเริ่มไขว้เขวและไม่แน่ใจ เขาถามยางซาว่า ในเมื่อยางซาเป็นคนเคร่งศาสนาและนับถือทวยเทพที่อยู่บนสรวงสวรรค์ แต่พอฟังหมอจากสวรรค์พูดแล้วทำไมเขาถึงได้ออกอาการหงุดหงิดกว่าใคร ยางซาตอบว่า เขาเห็นบ้านเมืองระส่ำระสายเพราะนังปีศาจร้ายเพียงตนเดียวแล้วรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนจนแทบทนไม่ได้   (ในตอนนั้นคีชอลกำลังนอนแช่ตัวในน้ำอุ่นและฟังทั้งคู่คุยกันอยู่) 

ยางซากล่าวต่อว่า ตอนนี้มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่า หมอใหญ่ถูกสวรรค์ส่งมาปกป้องพระราชาองค์ใหม่  คีวอนยอมรับว่าตอนที่เห็นหมอใหญ่พูดกับพี่ชายตนโดยไม่รู้สึกกลัวเขาเองก็รู้สึกตกใจ ยางซาเตือนว่าอย่าพูดเสียงดัง คีวอนจึงกระซิบบอกยางซาว่า ไหนจะเรื่องที่หมอใหญ่ทำนายว่าราชวงศ์หยวนกำลังจะล่มสลาย มิหนำซ้ำเธอยังรู้ด้วยว่าพี่ชายตนจะตายยังไง  ยางซาย้ำว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ แต่คีวอนแย้งว่า ยางซาเองก็ได้ยินคำสาปของอึนซูไม่ใช่หรือ ทุกคนที่ได้ยินต่างก็เชื่อว่านั่นคือคำสาปแช่งให้มีอันเป็นไป  (คีชอลฟังแล้วก็นึกถึงคำพูดของอึนซูที่บอกว่า "เฮ้ ยู! เอฟ-ยู-ซี-เค โกทูเฮลล์")  

หลังได้ฟังเรื่องที่ทั้งคู่คุยกัน คีชอลก็ตัดสินใจว่าจะไปพบอึนซูอีกครั้ง คีวอนกล่าวว่าจริงๆ แล้วเขาตั้งใจว่าจะลากตัวอึนซูมาที่นี่ แต่เหล่าอูดัลจิตั้งแถวขวางทางเข้าเอาไว้โดยอ้างว่าเป็นพระบัญชา เพราะฝ่าบาทไม่ต้องการให้ใครเข้าไปรบกวนหมอใหญ่ (พระองค์รู้ว่าอึนซูกำลังตกอยู่ในอันตราย) คีชอลถามน้องชายว่าทำไมถึงไม่นำตัวชเวยองมาที่นี่ตามคำสั่ง ยางซาตอบว่ามีบางอย่างน่าสงสัย แต่เนื่องจากในวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาเขาจึงยังไม่ทราบรายละเอียดมากนัก เขาได้ยินมาว่าชเวยองต้องคำสาป มีคนบอกว่าหมอใหญ่เข้าไปดูอาการของชเวยองที่ค่ายทหารองครักษ์  ชเวยองคงทำบางอย่างให้หมอใหญ่โกรธ เลยโดนหมอใหญ่สาปแช่งจนอาการทรุดหนัก และในตอนนี้ชีวิตของชเวยองก็กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย คีชอลได้ฟังดังนั้นจึงตัดสินใจว่าจะไปเข้าเฝ้าพระเจ้าคงมิน


คืนนั้นคีชอลขอเข้าเฝ้าพระเจ้าคงมินตามธรรมเนียมปฏิบัติ โดยแจ้งล่วงหน้าและมีขันทีเป็นผู้นำตัวเข้ามา ทันทีที่คีชอลเดินเข้ามาในท้องพระโรง เหล่าทหารองครักษ์นำโดยชูซอก โทลแบ และจุงซอก ต่างเตรียมพร้อมรับมือเต็มที่ แต่คีชอลกลับทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดฝัน นั่นก็คือการคุกเข่าถวายความเคารพพระเจ้าคงมินอย่างนอบน้อม ก่อนรายงานตัวและขออนุญาตเข้าเฝ้า เมื่อเห็นว่าพระเจ้าคงมินยังคงนั่งนิ่ง (อย่างจงใจ) คีชอลจึงเงยหน้าขึ้นมาดู พระเจ้าคงมินออกตัวว่า "ข้ามัวแต่ตกตะลึงที่อยู่ๆ ก็ได้รับการปฏิบัติอย่างนอบน้อมจากท่าน เลยปล่อยให้ท่านก้มศีรษะนานเกินไป เชิญท่านนั่งตามสบาย"

คีชอลยิ้มแล้วนั่งขัดสมาธิตรงหน้าพระเจ้าคงมิน พระเจ้าคงมินตรัสถามถึงเหตุผลที่เขาขอเข้าเฝ้าพระองค์กลางดึก คีชอลล้วงมือเข้าไปในเสื้อ (เหล่าอูดัลจิต่างพากันชักดาบเพราะนึกว่าคีชอลจะหยิบอาวุธ) คีชอลหัวเราะในลำคอแล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา พลางบอกว่านี่คือความหมายของตัวอักษรที่ปรากฏอยู่ในจดหมายเปื้อนเลือด เมื่อพระเจ้าคงมินเปิดออกดูก็พบตัวอักษรจีน "คังนึง วีมังจา กุยลิป เดอึย" คีชอลอธิบายว่า "คังนึง* วีมังจา" หมายถึง "หากวันใดแม่น้ำและภูเขามีทางเดินพาดผ่าน พระอาทิตย์จะเริ่มไหวเอนและร่วงลง" ส่วนคำว่า "กุยลิป เดอึย" หมายถึง "จงออกไปทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่และปกป้องพระอาทิตย์" 

 * คังนึง คือ ชื่อของพระเจ้าคงมินก่อนขึ้นครองบัลลังก์ (องค์ชายคังนึง)


คีชอลแปลความหมายให้พระเจ้าคงมินฟังว่า "หากองค์ชายคังนึงได้ขึ้นเป็นพระราชา ข้า 'องค์ชายคยองชาง*' จะถึงแก่ความตาย เหล่าข้าราชบริพารที่รักยิ่งของข้าจงออกมาและปกป้องข้า" พระเจ้าคงมินหยิบจดหมายเปื้อนเลือดออกมาดู พลางนึกถึงคำพูดของชเวยองที่บอกให้พระองค์ทรงอดทนรอ แล้วผู้ที่สร้างหลักฐานเท็จจะมาพบพระองค์ด้วยตนเอง พระองค์ชูจดหมายเปื้อนเลือดให้คีชอลดูแล้วตรัสว่า  นี่คือจดหมาย (หรือคำสั่งลับ) ที่ถูกค้นพบในที่เกิดเหตุ แสดงว่าเหล่าขุนนาง 24 คนที่มาประชุมร่วมกันในตำหนักซอนเฮชองต่างก็ได้รับจดหมายฉบับนี้ จึงมารวมตัวกันเพื่อวางแผนปกป้องพระราชาองค์ก่อนใช่หรือไม่ คีชอลตอบว่า ถ้าไม่ใช่องค์ชายคยองชางที่ถูกเนรเทศแล้วจะเป็นใครที่กล้าเขียนจดหมายลักษณะนี้  พระเจ้าคงมินจึงถามว่า แล้วใครกันที่ฆ่าขุนนางเหล่านั้น คีชอบตอบทันควันว่า "กระหม่อมเอง พะยะค่ะ"

* พระเจ้าคงมิน เป็นสมเด็จพระปิตุลา (ลุง) ขององค์ชายคยองชาง (พระราชาองค์ก่อนที่ถูกคีชอลโค่นบัลลังก์และโดนเนรเทศออกจากวัง)

พระเจ้าคงมินรู้ดีว่าคีชอลวางแผนกำจัดเหล่าขุนนางที่จงรักภักดีต่อพระองค์ โดยใส่ความว่าพวกเขาเป็นกบฏ แถมคราบเลือดในจดหมายก็ไม่ใช่เลือดคน แต่พระองค์ก็แกล้งทำเป็นถามคีชอลว่า เขาทำเช่นนั้นเพื่อพระองค์หรือ คีชอลตอบว่า "กระหม่อมทำเพื่อพระองค์และโครยอ" พระเจ้าคงมินชั่งใจว่าเปิดโปงแผนชั่วของคีชอลดีไหม จึงลองถามหยั่งเชิงดูว่า "แล้วถ้าจดหมายฉบับนี้ไม่ใช่คำสั่งลับที่เหล่าขุนนางได้รับในวันนั้น แต่เป็นของปลอมที่ถูกทำขึ้นหลังจากพวกเขาถูกวางยาพิษล่ะ"  คีชอลตอบหน้าตาเฉยว่า   ใครกันที่จะทำเรื่องเช่นนั้นและจะทำไปเพื่ออะไร พระเจ้าคงมินได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะและตัดสินพระทัยว่าจะยังไม่ทำอะไรในตอนนี้


พระองค์ยังตรัสด้วยว่าจะตบรางวัลใหญ่ให้แก่คีชอลในฐานะที่ช่วยจัดการคนทรยศอย่างลับๆ ให้กับพระองค์ จากนั้นก็ถามคีชอลว่า เขาอยากได้อะไรเป็นรางวัล คีชอลอ้างว่า ที่บ้านเขามีคนป่วยหนักที่หมอฮวาตาเท่านั้นจึงจะรักษาได้ เขาจึงอยากนำตัวหมอใหญ่กลับไปด้วย  หากเธอเป็นผู้ที่มาจากสวรรค์จริง จะต้องรักษาโรคนี้ได้อย่างแน่นอน  แต่ถ้าเธอรักษาไม่หาย เขาจะจัดการเธอเงียบๆ เพื่อพระองค์ พระเจ้าคงมินตรัสถามว่า เขาคิดที่จะฆ่าหมอใหญ่ใช่ไหม คีชอลไม่ตอบตรงๆ แต่ยังคงอ้างคำเดิมว่า "กระหม่อมทำเพื่อฝ่าบาท"

พระเจ้าคงมินถามว่า "เพราะท่านกลัวว่าผู้หญิงคนนั้นจะคอยหนุนหลังข้างั้นรึ...ใต้เท้าต็อกซอน นี่ท่านขี้ขลาดถึงขนาดกลัวผู้หญิงแล้วรึ"  คีชอลตอบว่า "คนที่กระหม่อมกลัวไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น แต่เป็นพระองค์"   พระเจ้าคงมินบอกคีชอลให้เลิกเล่นลิ้นแล้วพูดตามตรงว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ คีชอลตอบว่า "กระหม่อมไม่ได้เล่นลิ้น สิ่งที่กระหม่อมต้องการมากที่สุดก็คือฝ่าบาท เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากพระองค์และให้พระองค์ทรงมาอยู่ข้างกระหม่อม กระหม่อมจึงวางแผนกำจัดทุกคนที่เข้ามาขวางทางระหว่างเรา...ทีละคน ไม่ว่าจะเป็นหมอใหญ่หรืออูดัลจิก็ตาม 


พระเจ้าคงมินถามตรงๆ ว่า คีชอลต้องการให้พระองค์เป็นพระราชาหุ่นเชิดที่ยอมจำนนและเชื่อฟังคำสั่งเขาใช่ไหม  คีชอลตอบว่า สิ่งที่เขาต้องการต่างจากที่พระองค์ทรงตรัสเมื่อสักครู่เล็กน้อย เพราะเขาต้องการ 'หัวใจและจิตวิญญาณ' (ความจงรักภักดี) ของพระองค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ครอบครองได้ยากและน่าไขว่คว้ามากกว่า คีชอลยังบอกด้วยว่า การออกไล่ล่าหัวใจและจิตวิญญาณของผู้คนนับเป็นความสนุกสนานและท้าทายอย่างหนึ่งในชีวิตเขา (เขาชอบเอาชนะใจหรือซื้อใจคนที่ตนต้องการ แทนที่จะใช้กำลังบังคับให้ยอมมาเป็นพวก)

พระเจ้าคงมินท้าให้คีชอลลองไข่วคว้าหัวใจและจิตวิญญาณอึนซูดู โดยบอกให้คีชอลนำตัวเธอไปและให้เวลา 7 วัน  หากเขาครอบครองหัวใจและจิตวิญญาณของอึนซูได้ เธอจะเป็นของเขา (สามารถกำจัดได้ตามต้องการ) แต่ถ้าเขาไม่สามารถเอาชนะใจเธอได้ภายใน 7 วัน เขาจะต้องส่งเธอคืนให้พระองค์อย่างทะนุถนอมและปลอดภัย เมื่อเห็นคีชอลก้มหน้าครุ่นคิด พระองค์จึงตรัสถามว่าเขาไม่มั่นใจงั้นหรือ คีชอลจึงรีบเงยหน้าและยอมรับคำท้าของพระเจ้าคงมิน


โทกีเดินกระปรกกระเปลี้ยเข้ามาตามอึนซูในห้องยา แล้วลากตัวเธอไปดูอาการชเวยอง แทมานรีบบอกว่าชเวยองตัวเย็นมาก และเขาก็ไม่สามารถจับชีพจรของชเวยองได้ อึนซูได้แต่ยืนดูแล้วถามหาหมอหลวงชางบิน แต่แทมานบอกว่าเขาออกไปดูคนไข้ได้สักพักแล้ว แทมานเห็นอึนซูได้แต่ยืนนิ่งจึงถามว่าเธอไม่คิดที่จะทำอะไรบ้างเลยหรือ เขาเร่งให้เธอทำอะไรสักอย่างไม่ว่าจะเป็นการฝังเข็มหรือให้ยา และยังถามด้วยว่าจะให้ตนไปหยิบเครื่องมือมาให้ไหม เพราะตนทำสิ่งที่เธอเรียกว่าฆ่าเชื้อโรคให้แล้ว

อึนซูบ่นว่าเธออยากได้มิเตอร์วัดออกซิเจนในเลือดและวัดอัตราการเต้นของหัวใจ หรือไม่ก็เครื่องช่วยหายใจ แทมานไม่เข้าใจจึงถามว่าอึนซูหมายถึงอะไร  อึนซูบอกว่า ที่เธอพูดเมื่อสักครู่หมายความว่าเธอทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว (เธอทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว เพราะโครยอไม่มีเครื่องมือ ยา และอุปกรณ์สมัยใหม่ที่จำเป็น) แทมานรู้สึกผิดหวังที่แม้แต่หมอใหญ่ยังช่วยชเวยองไม่ได้ จึงรีบวิ่งออกไปตามหมอหลวงชางบิน

เมื่ออยู่กับชเวยองตามลำพังอึนซูจึงพูดว่า "นี่นาย ชั้นแอบฟังเรื่องที่นายคุยกับพระราชา ชั้นรู้แล้วว่าที่ผ่านมานายต้องประสบกับชะตากรรมอันเลวร้ายและมีชีวิตที่ขมขื่น ชั้นเข้าใจความรู้สึกของนายดี และรู้ด้วยว่าทำไมนายถึงกลายเป็นคนโรคจิตอย่างทุกวันนี้ แต่นายไม่ได้เป็นคนเดียวในโลกที่ต้องทนอยู่อย่างทุกข์ทรมาน ถึงยังไงคนเราก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป คนอื่นๆ เขายังทนอยู่และพยายามต่อสู้ดิ้นรน  เพราะ... เพราะว่า...."  เธอสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ จึงเอามือจับชีพจรที่คอของชเวยอง ก่อนเอาหูแนบปากและจมูกเพื่อฟังเสียงลมหายใจ พร้อมทั้งวางมือทาบหน้าอกของเขาเพื่อสังเกตการเคลื่อนไหวที่บริเวณหน้าอก



เมื่อพบว่าชเวยองไม่หายใจและหัวใจหยุดเต้น  อึนซูก็ดึงหมอนรองศีรษะออกและทำซีพีอาร์* (ในตอนนั้นชเวยองยังคงนั่งตกปลาตามลำพังกลางทะเลสาบน้ำแข็งท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ ตามใบหน้าและตามลำตัวของเขามีน้ำแข็งจับ) หมอหลวงชางบินและแทมานเข้ามาเห็นอึนซูกำลังผายปอดจึงจ้องมองอย่างตกตะลึง อึนซูรีบปั๊มหัวใจชเวยองอีกครั้ง   หมอหลวงชางบินตรงเข้าไปจับชีพจรของชเวยองแต่ไม่พบสัญญาณชีพ เมื่อเห็นอึนซูไม่ยอมแพ้และพยายามปั๊มหัวใจทั้งน้ำตา หมอหลวงชางบินก็จับแขนเธอไว้แล้วบอกว่า "เขาหยุดหายใจแล้ว" อึนซูร่ำไห้และบอกชเวยองว่าอย่าทิ้งเธอไว้ที่นี่ เธอไม่ยอมให้ชเวยองจากไปจึงพยายามปั๊มปัวใจและทวงสัญญาที่เขาเคยให้ไว้ จากนั้นก็ผายปอดและปั๊มหัวใจอีกครั้ง ระหว่างปั๊มหัวใจน้ำตาของอึนซูก็หยดลงบนใบหน้าของชเวยอง

ชเวยองซึ่งนั่งเหม่ออยู่กลางทะเลสาบน้ำแข็ง เริ่มรู้สึกตัวเมื่อมีน้ำอุ่นๆ หยดลงบนแก้ม เขาได้ยินเสียงอึนซูดังก้องหูว่า "นายเคยสัญญาว่าจะปกป้องชั้น" ไม่นานน้ำแข็งที่เกาะบนใบหน้าชเวยองก็เริ่มละลายและกระเทาะออก หมอหลวงชางบินแทบไม่เชื่อสายตาตนเองเมื่อพบว่าชีพจรและการหายใจของชเวยองเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ เขาจึงบอกอึนซูแบบงงๆ ว่า ลมหายใจของชเวยองกลับมาแล้ว

* ซีพีอาร์ คือ การกู้ชีพด้วยการปั๊มหัวใจ (เพื่อให้หัวใจทำการหมุนเวียนเลือดที่มีออกซิเจน) สลับกับการผายปอด (เพื่อช่วยเพิ่มออกซิเจน)  ซึ่งจะทำได้ต่อเมื่อผู้ป่วย "หมดสติ ไม่หายใจ และหัวใจหยุดเต้น" แต่ผู้ทำซีพีอาร์ต้องผ่านการฝึกอบรมมาแล้วเท่านั้น


เมื่อรู้ว่าพระเจ้าคงมินยอมให้คีชอลนำตัวหมอใหญ่ไป พระมเหสีก็บุกเข้าไปหาพระเจ้าคงมินถึงในตำหนักพระราชา และทูลถามว่า พระองค์ทรงมอบตัวหมอใหญ่ให้ 'คีชอล' หรือ พระเจ้าคงมินเตือนว่าที่นี่คือวังหลวง จึงควรเรียกคีชอลว่า 'ใต้เท้าต็อกซอง' พระมเหสีทูลว่า หมอใหญ่ต้องอยู่ที่นี่เพื่อรักษาชเวยองและช่วยชีวิตเขา พระเจ้าคงมินตรัสว่า "ข้ารู้"  พระมเหสีแย้งเสียงแข็งว่า "ไม่เพคะ พระองค์ไม่รู้" และยืนจ้องหน้าพระเจ้าคงมินด้วยแววตาแข็งกร้าว พระเจ้าคงมินตำหนิพระมเหสีที่ไม่รู้จักวางตัวให้เหมาะสมต่อหน้าพระพักตร์ทั้งๆ เป็นถึงองค์หญิง  พระมเหสีตรัสว่า สิ่งที่สำคัญกว่ามารยาทของพระองค์ก็คือการวางตัวของพระราชา

พระมเหสีตรัสถามเชิงตำหนิว่า พระราชาแบบไหนกันที่ส่งมอบคนของตนให้กับศัตรูทีละคน....หรือว่าทำเช่นนั้นแล้วพระองค์จะเป็นคนเดียวที่อยู่รอดปลอดภัย พระเจ้าคงมินส่งสัญญาณบอกให้ขันทีออกไปนอกห้อง ก่อนหันไปถามพระมเหสีว่า พระองค์เป็นใครในสายตาของพระมเหสี การที่พระมเหสีกล้าพูดกับพระองค์ด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวแบบนี้ เป็นเพราะนิสัยไม่ดี หรือเพราะเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์หยวนที่เรืองอำนาจ ส่วนพระองค์เป็นเพียงพระราชาหุ่นเชิดแห่งโครยอที่ไร้ซึ่งอำนาจใดๆ... พระมเหสีตรัสถามว่า  พระองค์ไม่รู้จริงๆ หรือ พระเจ้าคงมินสวนขึ้นทันทีว่า "ข้าถามเพราะไม่รู้ ดังนั้นจงตอบข้ามา"


พระมเหสีตอบว่า "ไก่ฟ้าที่ถูกไล่ล่าจะซุกหัวของมันไว้แล้วคิดว่าไม่มีใครเห็น พระองค์ทรงเป็นไก่ฟ้าในทุ่งหญ้าหรือเพคะ" เมื่อเห็นว่าพระเจ้าคงมินไม่เข้าใจที่พระองค์พูด พระมเหสีจึงตรัสว่า "ฝ่าบาทไม่รู้จริงๆ หรือเพคะว่าใครอยู่ข้างพระองค์ และใครคือคนที่พระองค์ควรปกป้องเพื่อความอยู่รอดของพระองค์เอง   หากพระองค์ส่งตัวหมอใหญ่ไปและปล่อยให้ชเวยองตาย แล้วในโลกนี้จะเหลือใครคอยอยู่ข้างกายพระองค์"

พระเจ้าคงมินได้ยินดังนั้นจึงตรัสอย่างเหน็บแนมว่า "องค์หญิง (ไม่ยอมเรียกว่าพระมเหสี) เจ้ากำลังจะบอกว่าที่เจ้ารีบบึ่งมาหาข้าถึงที่นี่ เป็นเพราะเจ้าห่วงข้างั้นรึ  ข้าได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้เจ้าเรียกชเวยองไปพบที่ตำหนักของเจ้าอย่างลับๆ .... เจ้าทำเช่นนั้นเพื่อข้าด้วยใช่ไหม" พระมเหสีมองหน้าพระเจ้าคงมิน จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินหนี     ก่อนออกจากห้องพระมเหสีหันมาตรัสว่า "หม่อมชั้นไม่เคยรู้มาก่อนว่า ฝ่าบาททรงสนพระทัยในสิ่งที่หม่อมชั้นทำมากขนาดนี้" พระเจ้าคงมินถามย้ำว่า พระมเหสีเรียกชเวยองไปพบที่ตำหนักทำไม และใครกันแน่ที่พระมเหสีทรงห่วงใย

พระมเหสีตอบโดยไม่มองหน้าว่า "หากฝ่าบาทล้ม หม่อมชั้นก็จะพลอยล้มไปด้วย หากฝ่าบาทโดนเหยียบย่ำ หม่อมชั้นก็จะถูกเหยียบย่ำเช่นกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หม่อมชั้นรู้สึกเป็นห่วงฝ่าบาท หม่อมชั้นไม่อาจนั่งกังวลเงียบๆ อยู่แต่ในห้อง จึงรีบมาที่นี่ด้วยความร้อนใจและบุกเข้ามาพบพระองค์โดยไม่ได้คำนึงถึงธรรมเนียมปฏิบัติ" พระมเหสีเสียงสั่นเครือด้วยความน้อยใจ พระเจ้าคงมินถึงกับอึ้งและเพิ่งเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของพระมเหสี เมื่อเห็นพระเจ้าคงมินเดินตรงเข้ามาหา พระมเหสีก็หันไปเผชิญหน้าด้วยท่าทีแข็งกร้าวอีกครั้ง (ทำให้พระเจ้าคงมินหยุดกึก) และกล่าวทั้งน้ำตาว่า "หม่อมชั้นผิดเองที่มาที่นี่ และคิดผิดที่ทูลถามเรื่องนี้กับฝ่าบาท ต่อไปนี้หม่อมชั้นจะไม่มาพบพระองค์และจะไม่ถามอะไรอีก ดังนั้น ขอพระองค์ทรงอภัยให้หม่อมชั้นด้วยเพคะ" พูดจบพระมเหสีก็เดินออกจากห้องไป 


คีวอนพาทหารส่วนตัวของคีชอลมารับตัวอึนซูที่สำนักหมอหลวง จูซอกซึ่งรับพระบัญชาให้มาทำหน้าที่คุ้มกันอึนซู รีบตรงเข้าไปขวาง แทมานเห็นท่าไม่ดีจึงถือโล่ตำรวจจากสวรรค์กำบังตัวเอาไว้ แล้วค่อยๆ ถอยเข้ามาในห้องเพื่ออารักขาชเวยองและเตรียมรับมือผู้บุกรุก เมื่อได้ยินคีวอนร้องหาหมอใหญ่ หมอหลวงชางบินจึงรีบเดินออกไปดู

จูซอกเตือนว่า ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้พวกตนคอยคุ้มกันสวนสมุนไพรในสำนักหมอหลวง  และถามคีวอนว่าเขากล้าดียังไงถึงได้นำทหารบุกเข้ามา คีวอนตอบว่า ตนได้รับพระบัญชาให้มานำตัวหมอตัวใหญ่ไป และขอให้จูซอกเปิดทางให้ จูซอกไม่เชื่อจึงชักดาบออกมาขู่  ทหารทั้งสองฝ่ายจึงต่างถือดาบเข้าหากัน    หมอหลวงชางบินบอกคีวอนว่า หมอใหญ่กำลังรักษาคนไข้อยู่ แต่คีวอนไม่สนใจและอ้างว่าตนมาที่นี่ตามพระบัญชา หมอหลวงชางบินจึงขอดูคำสั่งที่เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อเป็นการยืนยันว่าพระเจ้าคงมินทรงมีพระบัญชาลงมาจริงๆ จูซอกกล่าวเสริมว่าพวกตนก็ได้รับพระบัญชาให้มาคอยอารักขาที่นี่เช่นกัน ดังนั้น ถ้าไม่มีหลักฐานมาแสดงตนจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนเข้าไปข้างในโดยเด็ดขาด


คีวอนสั่งให้เหล่าทหารฆ่าคนที่ขวางทางให้หมด ทั้งสองฝ่ายจึงต่อสู้กันอย่างชุลมุน อึนซูได้ยินเสียงคนกำลังต่อสู้กันจึงเปิดประตูออกมาดู เมื่อเห็นว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเธอก็ร้องด้วยความตกใจ คีวอนหันมาเห็นอึนซูก็ตกใจกลัว อึนซูจะเดินไปดูทหารที่ได้รับบาดเจ็บแต่หมอหลวงชางบินห้ามเอาไว้และบอกให้เธอกลับเข้าไปในห้อง เมื่อเห็นว่าทหารคนหนึ่งยังไม่ตายเธอจึงบอกคีวอนว่า 'ขอเวลานอก'  และขอตรวจดูอาการของทหาร (ฝ่ายคีวอน) ที่ได้รับบาดเจ็บก่อน คีวอนบอกอึนซูให้ฟังตนพูด แต่อึนซูบอกว่าเธอจะฟังเขาพูดทีหลัง เพราะเวลาเป็นสิ่งมีค่าสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉิน (ถ้ารักษาทันก็มีโอกาสรอด) 

เธอย้ำว่าตัวเองเป็นหมอ ปกติแล้วทหารจะไม่ฆ่าหมอแม้กำลังต่อสู้อยู่ในสนามรบ เธอชี้หน้าคีวอนแล้วพูดว่า "กาชาด"  (เพราะกาชาดวางตัวเป็นกลางและมุ่งให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในสนามรบโดยมิเลือกปฏิบัติ)  คีชอลและลูกสมุนได้ยินคำว่า "กาชาด" ก็ถึงกับผงะเพราะนึกว่ากำลังต้องคำสาป อึนซูเห็นคีวอนและสมุนมีทีท่าหวาดกลัวจึงทำนิ้วเป็นเครื่องหมายกากบาทใส่ แล้วย้ำคำว่า "กาชาด" อีกครั้ง คีวอนและสมุนจึงถอยห่างออกไป อึนซูรีบวิ่งไปดูอาการทหารที่ได้รับบาดเจ็บ แล้วร้องบอกหมอหลวงชางบินให้มาช่วยกดจุดห้ามเลือด คีวอนจึงฉวยโอกาสจ่อดาบเข้าที่ลำคอของหมอหลวงชางบิน (ทั้งๆ ที่เขากำลังช่วยเหลือทหารของฝ่ายคีวอนเอง) 

คีวอนสั่งให้อึนซูลุกขึ้น อึนซูถามว่าถ้าไม่ลุกจะเกิดอะไรขึ้น คีวอนจึงกดดาบเข้าที่ลำคอของหมอหลวงชางบิน อึนซูรีบร้องห้าม ส่วนจุงซอกเงื้อดาบหมายสังหารคีวอน แต่ชุงซอก (รองหัวหน้าทหารองครักษ์) ห้ามเอาไว้และยืนยันว่าคีวอนได้รับพระบัญชามาจากฝ่าบาทจริงๆ ทุกคนจึงจำเป็นต้องปล่อยให้คีวอนนำตัวอึนซูไป


วันรุ่งขึ้น ชเวซังกุงเข้ามารายงานพระมเหสีว่า หมอใหญ่ถูกลากตัวไปกลางดึก พระมเหสีตรัสถามว่า "นางไม่ได้ถูกพาตัวไป แต่ถูกลากออกไปงั้นหรือ"  พระองค์สงสัยว่าคีชอลจะฆ่าอึนซูหรือไม่ ชเวซังกุงกล่าวว่า หากคีชอลเห็นว่าเธอยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง เขาอาจไว้ชีวิตเธอสักระยะหนึ่ง พระมเหสีจึงเปรยว่า "หากนางไม่มีค่าพอที่จะนำมาใช้ประโยชน์เมื่อไหร่ เขาก็จะฆ่าเธองั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้น แล้วชเวยองล่ะ เขาจะตายด้วยหรือเปล่า"

ขณะที่พระเจ้าคงมินกำลังยืนมองพระมเหสีที่ริมหน้าต่าง โจ อิลชินก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาแล้วขอให้พระองค์ทรงมีพระบัญชา โดยอ้างว่าตนพร้อมจะเอาชีวิตเข้าแลก แม้ต้องปลุกวิญญาณคนตายขึ้นมาตนก็จะทำ ถึงจะนำมาซึ่งเหตุการณ์นองเลือดและเกิดความปั่นป่วนในเมืองแค-กยองเขาก็จะไป และจะนำตัวหมอใหญ่กลับมาให้พระองค์ทันที  ขอเพียงพระองค์ทรงมีพระบัญชา และมอบทหารหน่วยมังกรพยัคฆ์กับอูดัลจิให้ตน แล้วตนจะบุกไปชิงตัวหมอใหญ่กลับมาให้ได้... พระเจ้าคงมินปล่อยให้โจ อิลชินพูดพล่ามราวกับไม่ได้ใส่ใจฟัง พระองค์มีสีหน้าเคร่งเครียดราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นก็หันไปมองเงาของพระองค์ในกระจก


ในเวลาเดียวกันนั้นชเวยองก็เริ่มรู้สึกตัว เขายกแขนขึ้นบังแดดเพราะรู้สึกแสบตา แทมานเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งมาหาและช่วยยืนบังแดดให้ พลางยิ้มด้วยความดีใจ เมื่อแทมานมารายงานว่าชเวยองฟื้นแล้ว  หมอหลวงชางบินก็ถามแทมานว่าเขาบอกชเวยองทุกอย่าง รวมทั้งเรื่องที่อึนซูถูกลากตัวไปด้วยหรือ แทมานจึงถามกลับด้วยความซื่อว่า "ขะ...ข้า ไม่ควรตอบ ทั้งๆ ที่ถูกถามงั้นหรือ ก็หัวหน้าถามข้านี่นา"

ขณะที่ชเวยองกำลังนั่งแต่งตัว (ในชุดนอกราชการ) หมอหลวงชางบินก็เดินเข้ามาหาและตรวจจับชีพจรที่ข้อมือชเวยองทันที ชเวยองยอมให้หมอหลวงชางบินตรวจดูอาการอย่างไม่ขัดขืน แต่ยังคงง่วนอยู่กับการแต่งตัว หมอหลวงชางบินบอกว่าเขาหมดสติไปหนึ่งวันเต็มๆ และรอดตายมาได้เพราะอึนซู  ชเวยองแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยและจะเดินไปหยิบโล่ตำรวจ แต่หมอหลวงชางบินแนะนำให้เขาพักผ่อนเพราะระดับพลังภายในของเขายังอ่อนอยู่ ชเวยองจึงหันกลับมาตำหนิหมอหลวงชางบินที่ปล่อยให้อึนซูโดนลากตัวออกไป เมื่อหมอหลวงชางบินบอกว่าเป็นพระบัญชา ชเวยองจึงแย้งอย่างโกรธๆ ว่าเขาน่าจะฝังเข็มหรือซัดเธอสักที หรือทำอะไรก็ได้ให้เธอหมดสติ เพื่อจะได้ใช้เป็นข้ออ้างว่าเธอไม่สามารถออกไปไหนได้  


พูดจบชเวยองก็หยิบโล่แล้วทำท่าว่าจะเดินออกไป แต่หมอหลวงชางบินขวางเอาไว้แล้วถามอย่างคาดคั้นว่า "ในฐานะหัวหน้าอูดัลจิซึ่งมีหน้าที่ปกป้องพระราชา เจ้ามีเจตนาที่จะขัดพระบัญชาของฝ่าบาทจริงๆ หรือ" ชเวยองกล่าวอย่างอ่อนแรงว่า "อย่างที่เจ้าพูด ตอนนี้ข้าไม่ค่อยมีกำลัง อย่าบีบให้ข้าต้องใช้พลังอันมีค่าที่มีอยู่อย่างจำกัดเลย โปรดหลีกทางให้ข้าด้วย" หมอหลวงชางบินส่งถุงยาให้ชเวยองโดยบอกว่าเป็นยาบำรุงพลังและเหลืออยู่แค่ 3 เม็ด แต่ก็มากพอที่จะทำให้เขามีพลังตลอดทั้งวัน (ชเวยองรีบหยิบใส่ปาก 1 เม็ดทันที) หมอหลวงชางบินยังเตือนชเวยองด้วยว่า ถ้าเป็นไปได้อย่าใช้พลังภายใน เพราะจะทำให้ศูนย์กลางแห่งพลังของเขาอ่อนแรงลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งถ้าหากโชคร้ายเขาอาจใช้พลังภายในไม่ได้อีกเลย

ชเวยองจะเดินออกจากห้อง แต่หมอหลวงชางบินคว้าตัวเขาไว้แล้วเตือนว่า  ตอนนี้คีชอลกำลังสร้างสถานการณ์เพื่อหาข้ออ้างในการประหารอึนซูกลางแจ้ง โดยกล่าวหาว่าเธอเป็นปีศาจร้ายที่หลอกลวงพระราชา ส่วนชเวยองเองก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง จากนั้นก็ถามชเวยองด้วยความเป็นห่วงว่าเขามีแผนรองรับแล้วหรือยัง ชเวยองพยักหน้าเล็กน้อย (เหมือนไม่ค่อยมั่นใจนัก) หมอหลวงชางบินจึงถามว่าแผนการของเขาคืออะไร ชเวยองตอบหน้าตาเฉยว่า "โจมตีซึ่งหน้า"  

ชเวยองเดินทางไปที่บ้านคีชอลตามลำพัง แต่ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าแทมานแอบตามมาด้วยความเป็นห่วง (เพราะแอบยิ้ม) เมื่อไปถึงเขาก็แจ้งว่า "ข้า... ยอง จากตระกูลชเวแห่งชองวอน มาที่นี่เพื่อขอพบใต้เท้าต็อกซอง"


เมื่อรู้ว่าชเวยองมาขอเข้าพบ คีชอลก็ตำหนิยางซาที่เคยรายงานว่า ชีวิตของชเวยองเหมือนกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย ยางซาออกตัวว่า ตนได้ยินมาเช่นนั้น และออกความเห็นว่าบางทีหมอใหญ่อาจช่วยชีวิตชเวยองเอาไว้ คีชอลได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกไม่พอใจที่ยางซาพูดกลับไปกลับมา เพราะก่อนหน้านี้ยางซาเองที่เป็นคนค้านหัวชนฝาว่าเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับหมอใหญ่ล้วนเหลวไหลไร้สาระ ทำให้ยางซาถึงกับหน้าถอดสี คีชอลลุกขึ้นยืนจ้องหน้ายางซาสักครู่ แล้วเอื้อมมือไปตบไหล่โดยไม่ลงโทษหรือดุด่าสักคำ แต่เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าข่าวลือทั้งหมดอาจเป็นเรื่องจริง (ยางซาพยายามแย้งว่าเป็นเรื่องเหลวไหลแต่คีชอลไม่สนใจ)

คีชอลเดินมานั่งเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้าชอน อึมจา (ซึ่งกำลังนั่งลูบหัวแมว) แล้วถามว่าชเวยองมาคนเดียวหรือ เมื่อรู้ว่าชเวยองมาคนเดียว เขาก็นึกสงสัยว่าจะมีผู้หญิงคนไหนในโครยอที่กล้ายืนจ้องหน้าและถามตนว่าอายุเท่าไหร่ ทั้งยังรู้ด้วยว่าตนตายยังไง และจะมีผู้ชายคนอื่นอีกไหมโครยอที่กล้าสั่งให้ตนคุกเข่าและก้มศีรษะต่อหน้า คีชอลกล่าวอย่างมีแผนว่า "ตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ในบ้านข้า" ยางซาถามว่าจะให้ตนนำตัวชเวยองมาที่นี่หรือจะให้นำตัวไปขัง คีชอลตอบว่า ถ้าทำอย่างนั้นก็ไม่สนุก พูดจบเขาก็หันไปมองหน้าอึมจาแล้วเลิกคิ้ว อึนจาเห็นแล้วก็เข้าใจทันทีว่าตนต้องทำอะไร  


'โดจิ' ขันทีประจำพระองค์ เข้ามารายงานว่าชเวยองออกไปพบคีชอล พระเจ้าคงมินซึ่งกำลังนั่งวาดรูปอยู่ ตรัสถามถึงอาการป่วยของชเวยองเป็นลำดับแรก เมื่อรู้ว่าชเวยองเพิ่งก้าวข้ามความตายมาหมาดๆ  พระองค์ก็ตรัสว่า "คนที่อยู่ในสภาพนั้นออกไปพบใต้เท้าต็อกซองตามลำพังอย่างนั้นหรือ" ยิ่งรู้ว่าแผนของชเวยองคือการบุกจู่โจมซึ่งหน้า พระเจ้าคงมินก็ยิ่งรู้สึกผิดหวังและเสียใจ ขันทีทูลว่า หากชเวยองนำตัวอึนซูกลับมา เขาจะมีความผิดฐานขัดพระบัญชา (และจะถูกลงโทษประหาร) และถามว่าพระองค์จะทรงนั่งดูเฉยๆ อย่างนั้นหรือ

พระเจ้าคงมินตรัสด้วยความเจ็บปวดใจว่า "ข้าไว้ใจเขา และบอกเขาแล้วว่าข้าไว้ใจ แต่ข้ารู้แล้วว่าเขาไม่ไว้ใจข้าเลย พระมเหสีบุกมาหาข้าถึงที่นี่และขึ้นเสียงกับข้าเพราะนางไม่เชื่อใจข้า ส่วนชเวยองก็ออกไปตามลำพังและพร้อมที่จะตายเพราะไม่ไว้ใจข้า โดยไม่บอกข้าสักคำ เขาคงเชื่อว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาพบข้าที่นี่เพื่อคัดค้าน ในเมื่อคนที่ถูกเรียกว่าพระราชาเป็นคนขี้ขลาด ไร้ความสามารถ และไร้ยางอาย แล้วจะหวังสิ่งใดได้"  พระเจ้าคงมินร่ำไห้เมื่อกล่าวว่า ถ้าชเวยองรู้ว่าพระราชาอย่างพระองค์ส่งตัวหมอใหญ่ไปโดยมีแผนการซ่อนอยู่เบื้องหลัง เขาคงมองเป็นเรื่องแปลกและยากที่จะเชื่อ  พระองค์จึงรู้สึกสงสัยว่าจะทนอยู่ในตำแหน่งพระราชาได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีใครเชื่อถือศรัทธาหรือคาดหวังว่าพระองค์จะทำการใดได้สำเร็จ 


หลังนั่งรอที่หน้าประตูได้สักพัก อึมจาก็ออกมารับและพาชเวยองเข้าไปทางด้านใน ชเวยองกวาดตามองไปรอบๆ เพื่อดูทางหนีทีไล่และตรวจสอบจำนวนทหารยาม ระหว่างที่เดินเข้าไปข้างใน เขาหันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งสวมชุดสีขาวถูกมัดติดเก้าอี้จึงเดินฝ่าทหารยามเข้าไปหาและต่อสู้ด้วยมือเปล่า (ไม่ได้ตั้งใจฆ่าแค่เหวี่ยงหรือถีบให้พ้นทาง)  แต่เมื่อไปถึงจึงพบว่าหญิงที่ (แกล้งทำเป็น) ถูกมัดคือฮวา ซูอิน  

ฮวา ซูอินเปิดฉากทักทายด้วยการปล่อยพลังไฟใส่ถ้วยน้ำร้อนแล้วโยนใส่ชเวยอง แต่ชเวยองนำโล่ตำรวจจากสวรรค์มากำบังเอาไว้ได้ทัน ถ้วยน้ำร้อนจึงไม่ระเบิดใส่หน้า ซูอินบ่นเสียดายที่หลอกชเวยองไม่สำเร็จ ชเวยองยอมรับว่าเขาเองก็เกือบโดนหลอกแล้วเหมือนกัน ซูอินถามว่าเธอไม่เหมือนผู้หญิงที่เขากำลังตามหาหรือ ชเวยองตอบว่า ผู้หญิงที่เขารู้จักไม่ใช่คนที่จะนั่งรออยู่เฉยๆ โดยไม่โวยวาย  หลังทักทายกันเสร็จชเวยองเดินเข้าหาหมายจัดการซูอินทันที แต่เขาถูกทหารยามล้อมไว้เสียก่อน ซูอินเลยขึ้นไปนั่งดูการต่อสู้บนหลังคา  


แทมานเห็นหัวหน้าของตนโดนทหารโอบล้อมจึงรู้สึกเป็นห่วง แต่เขาไม่สามารถออกไปช่วยได้ ถึงกระนั้นชเวยองก็จัดทหารทั้งหมดจนล้มคว่ำด้วยโล่ เท้า และมือเปล่า หลังจากนั้นจึงหยิบดาบของทหารคนหนึ่งขึ้นมาใช้เป็นอาวุธ ระหว่างที่ชเวยองกำลังต่อสู้กับทหาร ซูอินถือโอกาสเขวี้ยงกระเบื้องปูหลังคาใส่เขา แต่เขารู้ตัวก่อนจึงใช้ดาบฟันจนแตกกระเด็น ชเวยองจะเดินไปจัดการซูอินแต่อึมจากระโดดเข้ามาขวางไว้ ชเวยองไม่ยอมเสียแรงสู้ด้วย จึงโยนดาบใส่อึมจาแล้วกระโจนหนีไป 

เมื่อเดินลึกเข้าไปข้างใน ก็มีเหล่าทหารยามถือดาบกรูเข้ามาขวาง ชเวยองจึงชักดาบของตน (ที่ผูกติดกับโล่) ออกมาเชือดเหล่าทหารด้วยลีลาสุดเท่ (อึมจาเดินตามมาดูห่างๆ)  คีชอลเห็นว่าชเวยองไม่ยอมใช้พลังภายใน จึงคิดที่จะให้อึมจาใช้เพลงสังหาร ยางซาแย้งว่า ถึงแม้จะฝึกทุกวันแต่อึมจายังไม่สามารถเล็งพลังเสียงไปที่จุดใดจุดหนึ่งได้ แต่คีซอลไม่สนใจจึงออกคำสั่งด้วยตนเอง ทั้งๆ ที่รู้ว่าอาจทำให้ทหารของตนพลอยตายไปด้วย  


ชอน อึมจาเริ่มบรรเลงเพลงสังหาร ชเวยองได้ยินเสียงอันบาดหูแล้วถึงกับชะงัก เหล่าทหารของคีชอลพากันร่วงลงไปกองกับพื้นและชักดิ้นอย่างทุรนทุราย ไม่นานชเวยองก็ทรุดตัวลงกับพื้น เขามีเลือดไหลออกจากปากและหูทั้งสองข้าง ชเวยองใช้ดาบพยุงกายเอาไว้ จากนั้นก็พยายามรวบรวมกำลังแล้วลุกขึ้นอีกครั้ง เมื่อไม่มีทางเลือกเขาจึงจำเป็นต้องใช้พลังภายในเพื่อรักษาชีวิต จากนั้นก็เดินถือโล่ตรงเข้าหาอึมจา 

อึมจาชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นชเวยองเดินเข้ามาหา แต่เขาก็ยังเป่าขลุ่ยต่อไป ยิ่งเดินเข้ามาใกล้พลังเพลงพิฆาตของอึมจาก็ยิ่งมีอานุภาพ ทำให้โล่ของชเวยองเริ่มแตกร้าว ชเวยองจึงใช้พลังภายในและโล่สะท้อนพลังเพลงพิฆาตกลับไปหาอึมจาและเดินตรงเข้าหาอึมจาทันที แต่แทมานเป่านกหวีดเรียกเสียก่อน คีชอลเห็นฝีมือชเวยองแล้วยิ่งรู้สึกประทับใจ และทำให้เขาอยากได้ชเวยองมาเป็นพวกมากขึ้น


ชุงซอกนำเหล่าอูดัลจิมาเข้าเฝ้าพระเจ้าคงมิน เพื่อขอให้พระองค์ทรงอนุญาตให้ตนนำทหารอูดัลจิ 12 นายบุกเข้าไปช่วยชเวยองที่บ้านคีชอล  พระเจ้าคงมินปฏิเสธทันควัน ชุงซอกจึงกล่าวว่า "กระหม่อมเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาท่านหัวหน้ามา 7 ปี... ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ท่านหัวหน้าในฐานะนักรบอูดัลจิ เพื่อความปลอดภัยของพระราชาแล้ว เขาไม่เคยลังเลที่จะเอาชีวิตของตนเข้าแลก ฝ่าบาทเองก็รู้ดีว่าท่านหัวหน้ามีความจงรักภักดีแค่ไหนไม่ใช่หรือพะยะค่ะ" พระเจ้าคงมินไม่ตอบ แต่ทรงมีรับสั่งให้ชุงซอกพาลูกน้องกลับไป

ชุงซอกไม่ยอมแพ้และยังคงอ้อนวอนว่า หัวหน้าของตนต้องมีเหตุผลสำคัญบางอย่างถึงได้กล้าขัดพระบัญชา จึงต้องรีบช่วยหัวหน้าก่อนเพื่อจะได้รู้ว่าเหตุผลดังกล่าวคืออะไร พระเจ้าคงมินสวนขึ้นทันทีว่า "หัวหน้าอูดัลจิไม่สามารถขัดบัญชาของข้าได้  สิ่งนั้นต้องไม่เกิดขึ้น" เหล่าอูดัลจิจึงพากันอ้อนวอนพระเจ้าคงมิน   พระเจ้าคงมินลุกขึ้นด้วยความโกรธแล้วตะคอกถามอย่างเหลืออดว่า "พวกเจ้ามีสมองคิดกันบ้างไหม ข้าในฐานะพระราชา มีบัญชาให้ส่งตัวท่านหมอใหญ่ไป และเนื่องจากในตอนนั้นพวกเจ้าทุกคนล้วนอยู่ที่นี่ พวกเจ้าจึงได้ยินคำสั่งของข้า และตอนนี้พวกเจ้ายังจะออกไปชิงตัวท่านหมอใหญ่กลับมางั้นรึ"

ชุงซอกกล่าวว่า "พวกเราแค่อยากไปช่วยท่านหัวหน้าพะยะค่ะ"  พระเจ้าคงมินสวนทันควันว่า "นั่นคือการขัดคำสั่งของข้า และโทษสถานเดียวของคนทรยศก็คือความตาย ตอนนี้เหลือแค่วิธีเดียวที่เจ้าจะช่วยหัวหน้าของพวกเจ้าได้.... พวกเจ้าทุกคนรู้ว่าข้ามีบัญชาแต่ชเวยองไม่รู้ ดังนั้น พวกเจ้าทุกคนห้ามบุกไปช่วยชเวชองโดยเด็ดขาด ทำไมถึงไปไม่ได้... เพราะพวกเจ้าทุกคนไม่ได้เจอชเวยองตั้งแต่เมื่อวานนี้ ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน... นี่พวกเจ้ายังไม่เข้าใจกันอีกหรือ" ชุงซอกถึงกับอึ้งเมื่อรู้ว่าแท้จริงแล้วพระเจ้าคงมินกำลังปกป้องหัวหน้าของตนอยู่


แทมานพาชเวยองไปยังห้องที่อึนซูถูกขัง เมื่อไปถึงหน้าประตูเขาก็หยุดเช็ดเลือดที่ปากและหู แล้วจึงใช้ดาบฟันกุญแจประตู เมื่อชเวยองเดินเข้าไปในห้อง อึนซูก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปดูเป็นใคร พอเห็นว่าเป็นชเวยอง อึนซูก็ทั้งตกตะลึงและโล่งอก เธอเรียกเขาว่า "นายโรคจิต" ชเวยองกล่าวขออภัยที่ตนมาช้าไปสักหน่อย  อึนซูน้ำตาคลอเบ้า ทั้งคู่เดินเข้าหากัน อึนซูกล่าวด้วยความดีใจว่า "นายยังไม่ตาย" ชเวยองถามด้วยความเป็นห่วงว่า "ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม" อึนซูเอื้อมมือไปจับแก้มชเวยองเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิ   ชเวยองยืนนิ่งให้จับโดยไม่ปัดป้องเหมือนทุกครั้ง อึนซูดีใจมากเมื่อรู้ว่าไข้ลดแล้ว เธอบอกชเวยองว่า "นายปลอดภัยแล้วคนโรคจิต ฉันช่วยนายได้"

อึนซูกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า "แต่ตอนนี้ชั้นถูกจับขังไว้ที่นี่" ชเวยองตอบว่า "ข้ารู้" อึนซูฟ้องว่า "ชั้นถูกลากตัวมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืน และถูกขังอยู่ในห้องนี้ตลอดทั้งคืนเลย" ทันใดนั้น ก็มีเสียงคนชักดาบ อึนซูหันไปมองด้วยความตกใจ ชเวยองจึงหันตาม ในตอนนั้นคีชอลแอนด์เดอะแกงค์กำลังเดินมุ่งหน้ามาที่ห้องอึนซู สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่แทมานอย่างประสงค์ร้ายและพร้อมที่จะโจมตีทุกเมื่อ ชเวยองรีบเดินเข้ามาขวางเพื่อป้องกันไม่ให้ใครทำร้ายสมุนน้อยของตน


คีชอลเปิดฉากกล่าวคำทักทายชเวยอง ส่วนชเวยองก้มศีรษะคำนับแล้วพูดว่า "เจอกันอีกแล้วขอรับ" เมื่อได้ยินคีชอลเรียกอึนซูว่า "นี่เจ้า" ชเวยองก็เตือนอย่างสุภาพ (แต่สายตาแข็งกร้าว) ว่าพระเจ้าคงมินทรงแต่งตั้งให้อึนซูเป็นท่านหมอใหญ่ จึงควรเรียกเธออย่างให้เกียรติ เขายังเตือนคีชอลอีกว่า "ครั้งสุดท้ายที่เราพบกัน ท่านก็ปฏิเสธที่จะทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ" (ไม่ยอมคุกเข่าและก้มศีรษะลงแนบพื้นเพื่อรับราชโองการ) คีชอลจึงถามชเวยองว่า เขาห่วงเรื่องมารยาทและการวางตัวมากกว่าชีวิตงั้นหรือ ชเวยองยิ้มแล้วกล่าวว่า "จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ ข้าก็แค่หยิบยกเรื่องมารยาทมาพูดเพื่อซื้อเวลาเท่านั้น" คีชอลถามว่า "แล้วเจ้าต้องการเวลาไปเพื่ออะไร" ชเวยองตอบว่า "ข้ากำลังคิดหาแผนการที่จะพาผู้หญิงซึ่งยืนอยู่ข้างหลังข้าหลบหนี ท่านก็เห็นอยู่แล้วนี่ขอรับ" 

คีชอลหัวเราะแล้วถามว่า "เจ้าจะฝ่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังข้าและตัวข้า แล้วหลบหนีไป เจ้ากำลังบอกข้าอย่างนี้ใช่ไหม และที่สำคัญเจ้าจะหนีไปกับผู้หญิงคนนั้น" ชเวยองถามว่า "เป็นไปไม่ได้หรือขอรับ" คีชอลถาม "เจ้าคงไม่ได้นำกองกำลังอูดัลจิมาซ่อนไว้บนหลังคาบ้านข้าใช้ไหม"   ชเวยองตอบว่า "ไม่ขอรับ เนื่องจากข้ามาที่นี่ด้วยเหตุผลส่วนตัว ฝ่าบาทจึงไม่รู้ว่าข้ามาที่นี่ เหล่าอูดัลจิจะไม่เคลื่อนไหวถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากพระราชา"  คีชอลสงสัยว่าเขามีเหตุผลอะไรและทำไมต้องบุกมา ชเวยองตอบว่า "ท่านไม่รู้ความหมายของคำว่าส่วนตัวหรือขอรับ ข้ามาที่นี่เพราะ..." ชเวยองหันไปทางอึนซู แล้วพูดต่อว่า "ข้ารักผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหลังข้าเป็นการส่วนตัว" (ทุกคนในที่นั้นต่างพากันตกตะลึง รวมทั้งอึนซู) 



คีชอลไม่เชื่อหูจึงถามย้ำ "เจ้าพูดว่าอะไรนะ" ชเวยองตอบว่า "เมื่อรู้ว่าผู้หญิงที่ตนรักถูกลากตัวไปกลางดึกและถูกจับขัง จะให้ผู้ชายอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรได้ยังไง ด้วยเหตุนี้ข้าถึงได้รีบบุกมาที่นี่ ดังนั้น เพื่อไม่ให้มีใครได้รับบาดเจ็บมากไปกว่านี้ ท่านจะไม่ปล่อยให้เราผ่านไปแต่โดยดีหรือขอรับ" คีชอลฟังแล้วได้แต่หัวเราะชอบใจ ขณะที่อึนซูยังคงยืนตะลึงตาค้าง เพราะไม่คิดว่าคำพูดดังกล่าวจะหลุดออกจากปากคนโรคจิตและวีรบุรุษของชาตินามว่า "ชเวยอง"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา