วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556

Faith: สุภาพบุรุษยอดองครักษ์ ตอนที่ 7




หลังถูกคีชอลจัดฉากกล่าวหาว่าเป็นกบฏที่คิดโค่นล้มราชบัลลังก์ ชเวยอง องค์ชายคยองชาง และอึนซูก็ไปหลบซ่อนตัวในกระท่อมร้าง เมื่อจูซอกตามมาพบ ชเวยองก็สั่งให้จูซอกนำความไปกราบบังคมทูลพระเจ้าคงมิน จากนั้นก็ไปรอฟังคำตอบจากพระองค์ที่จวนของเจ้าเมือง คีชอลตามไปพบองค์ชายที่จวนและมอบยาพิษให้ โดยบอกว่าถ้ามอบยานี้ให้ชเวยอง พระองค์จะพ้นผิดและจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่องค์ชายรู้ดีว่าตนจะอยู่ได้อีกไม่นานจึงเลือกดื่มยาพิษเพื่อรักษาชีวิตชเวยอง เมื่อชเวยองพบว่าองค์ชายดื่มยาพิษแทนตนและต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เขาจึงปลอดปล่อยองค์ชายจากความเจ็บปวดด้วยการปลิดชีวิตพระองค์

เนื้อหา


หลังถูกสร้างสถานการณ์ให้กลายเป็นผู้ก่อกบฏที่คิดโค่นบัลลังก์พระเจ้าคงมิน ชเวยองก็ได้แต่ยืนมองทหารยามถูกนักฆ่าของคีชอลสังหารด้วยอาการตกตะลึง ฮวา ซูอิน กดดันชเวยองให้รีบตัดสินใจก่อนที่ทหารยามของพระราชาจะถูกสังหารจนหมด ว่าจะกลับไปในฐานะนักโทษกบฏหรือยอมไปกับเธอแต่โดยดี ชเวยองไม่ต้องการเป็นนักโทษกบฏและไม่อยากไปกับฮวา ซูอินจึงตอบว่า "ให้ข้ากลับบ้านดีๆ ไม่ได้หรือ นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ"  ซูอินพยายามเร่งให้ชเวยองตัดสินใจโดยอ้างว่ายิ่งคิดนานยิ่งมีคนตายมากขึ้น แต่ชเวยองไม่สนใจคำขู่ของซูอินจึงตอบอย่างไม่ใยดีว่า "นั่นมันปัญหาของเจ้า"

อึนซูเห็นเหล่าทหารและนักฆ่ากำลังต่อสู้กันตรงหน้าจึงถามชเวยองว่า "คนพวกนั้นกำลังฆ่ากันเพราะเรางั้นเหรอ" เมื่อชเวยองตอบว่าใช่ เธอก็ถามแบบงงๆ ว่า "แล้วเราอยู่ฝ่ายไหน" (ในเมื่อทหารยามบุกมาจับชเวยองข้อหากบฏ ส่วนเหล่านักฆ่าก็เป็นพวกของฮวา ซูอิน ที่เพิ่งต่อสู้กับชเวยองก่อนหน้านี้) ชเวยองหันไปมองทหารยามและเหล่านักฆ่าที่กำลังต่อสู้กันพลางตอบด้วยสีหน้าหนักใจว่า ทั้งหมดเป็นหลุมพราง อึนซูจึงออกความเห็นว่า "ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เขาสู้กันไปสิ เรารีบเผ่นก่อนดีกว่า" ชเวยองได้ยินแล้วก็ยิ้มออก เขาบอกเส้นทางแล้วสั่งให้อึนซูรีบพาองค์ชายหนีไปก่อน  (องค์ชายลังเลเพราะกลัว 'ยอง' ได้รับอันตราย แต่ชเวยองบอกว่าตนไม่เป็นไร) หลังอึนซูและองค์ชายวิ่งหนีไปแล้ว ชเวยองก็หันไปหาฮวา ซูอินด้วยสายตาเอาเรื่อง ฮวา ซูอินเห็นอึนซูพาองค์ชายหนีจึงปาระเบิดแอปเปิ้ลใส่ แต่ชเวยองใช้ดาบสกัดเอาไว้ได้ทัน


ขณะตามอึนซูและองค์ชายเข้าไปในป่า (ตอนกลางคืนท่ามกลางฟ้าแลบ ) ฮวา ซูอินและเหล่านักฆ่ายังคงตามราวีชเวยองไม่เลิก แต่ชเวยองก็สามารถหลบหลีกออกมาหาอึนซูและองค์ชายที่จูงม้ามาแอบหลบอยู่หลังโชดหินได้ เขาอุ้มองค์ชายขึ้นบนหลังม้าพลางบอกเส้นทาง จากนั้นก็สั่งให้อึนซูรีบพาองค์ชายหนีไปให้ไกลที่สุด โดยบอกว่าฝนใกล้ตกแล้ว หากฝนตกเหล่านักฆ่าจะออกติดตามได้ช้าลง  ดังนั้น เธอควรพาองค์ชายไปหาที่หลบฝน ส่วนตัวเขาจะตามไปทีหลัง 

พอรู้ว่าต้องพาองค์ชายหนีไปตามลำพัง อึนซูก็โวยวายตามสไตล์เดิมๆ ว่าทำไมต้องให้เธอและองค์ชายหนีไปก่อนด้วย ชเวยองตอบอย่างอ่อนใจว่า "ขอแค่ครั้งเดียว อย่าถามว่าทำไม แค่ทำตามที่ข้าบอกได้ไหม" เขาจับมืออึนซูแล้วส่งสายจูงม้าให้ จากนั้นก็เดินไปหยิบดาบและโล่ตำรวจ (สภาพแตกร้าว) พลางบอกว่า "ไม่ว่าท่านจะหนีไปที่ใด ข้าก็จะตามไปพบท่าน ดังนั้น จงหลบซ่อนตัวให้ดี" พูดจบชเวยองก็วิ่งกลับไปฟาดฟันกับเหล่านักฆ่าในป่าอีกครั้ง


เมื่อจูซอก (ผู้นำลำดับที่ 3 ของหน่วยอูดัลจิ - รองจากชเวยองและชุงซอก) เดินทางมาถึงเกาะคังฮวา เขาก็พบว่ามีทหารออกมาตั้งค่ายกลางป่าเป็นจำนวนมาก เขาจูงม้าไปดักซุ่มดูหลังต้นไม้พลางนึกถึงคำพูดของชุงซอกที่บอกว่า 'หากเกิดอะไรขึ้น หัวหน้าชเวยองจะถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎทันที แถมในตอนนี้พระราชาก็เริ่มรู้สึกหวาดระแวงแล้ว ดังนั้น เจ้าต้องบอกให้หัวหน้าชเวยองยุติทุกอย่างแล้วรีบเดินทางกลับเข้าวังทันที'

จูซอกรู้สึกได้ว่ามีคนเดินมาทางด้านหลังจึงยกดาบขึ้นในท่าเตรียมพร้อม แต่ชายคนดังกล่าวส่งสัญญาณบอกให้ใจเย็นๆ และกล่าวว่าตนไม่ใช่ศัตรูของจูซอก จูซอกถามกลับว่า "เจ้ารู้ได้ไงว่าข้าไม่ใช่ศัตรู ในเมื่อเจ้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าเป็นใคร" ชายคนดังกล่าวมองเข็มขัดจูซอกแล้วบอกว่าดูจากลักษณะการแต่งตัวแล้วเขาคงเป็นอูดัลจิ (ทหารองครักษ์ของพระราชา) จูซอกได้ยินแล้วถึงกับปลื้มที่เห็นว่าแม้แต่นายพรานยังรู้จักพวกตน เมื่อชายคนดังกล่าวบอกว่าเขาเองก็มาตามหาหัวหน้าชเวยอง จูซอกจึงจ่อดาบไปที่ลำคอของเขาอีกครั้ง แล้วถามว่าเขาเป็นใครกันแน่ ชายคนดังกล่าวตอบว่า ตนได้รับคำสั่งให้มาตามหาและพาหัวหน้าชเวยองไปพบใครบางคน จูซอกมองธนูในมือชายคนดังกล่าวแล้วชั่งใจว่าจะไว้ใจดีหรือไม่

ในที่สุดจูซอกก็เชื่อนายพรานคนดังกล่าวจึงออกตามหาชเวยองด้วยกัน ระหว่างทางนายพรานบอกจูซอกว่า ในตอนนี้สถานการณ์บนเกาะคังฮวาไม่สู้ดีนัก มีข่าวว่าชเวยองถูกจับได้ขณะกำลังพาองค์ชายคยองชางหลบหนี โดยมีแนวร่วมเป็นกองกำลังหลายร้อยคนที่สนับสนุนให้องค์ชายคยองชางกลับไปขึ้นครองบัลลังก์อีกครั้ง จูซอกพยายามแก้ต่างให้ชเวยอง แต่ถูกนายพรานดักคอว่า "อย่าบอกนะว่าท่านไม่รู้ เพราะทุกคนบนเกาะคังฮวารู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เหล่าทหารเคลื่อนกำลังพลมาดักรอที่นี่" จูซอกถามนายพรานว่าเขารู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ นายพรานบอกว่า เช้าวานนี้ และเหล่าทหารก็ได้รับคำสั่งให้พร้อมรบแล้วด้วย จูซอกถึงกับอึ้งเมื่อรู้ว่าตนมาช้าเกินไป

อีกด้านหนึ่ง โจ อิลชิน ก็กำลังยุแยงพระเจ้าคงมินว่า ตนเคยทูลพระองค์ตั้งแต่แรกแล้วว่าชเวยองไม่น่าไว้ใจ และที่ผ่านมาตนก็พยายามเตือนพระองค์มาโดยตลอด ทั้งยังบอกด้วยว่า "กระหม่อมไม่รู้ว่าคีชอลกราบทูลเรื่องอะไรกับพระองค์ แต่พระองค์ต้องรีบตัดสินพระทัย เพราะชเวยองเป็นพวกเดียวกับคีชอลมาตั้งแต่แรก เขาไปที่บ้านของคีชอล ลักพาตัวหมอใหญ่ แล้วไปหาองค์ชายคยองชาง แถมยังมีกองกำลังนับร้อยคอยหนุนหลังจนสามารถชิงตัวองค์ชายออกมาจากสถานที่กักกัน เขาจะทำทั้งหมดนี้ได้อย่างไรกัน ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคีชอล"


ในเวลาเดียวกันนั้น ขันทีก็เข้ามารายงานพระมเหสีว่าสถานการณ์บนเกาะคังฮวาไม่สู้ดีนัก หลังได้รับรายงาน พระมเหสีก็สั่งให้ชเวซังกุงรีบไปนำตัวแทมานมาเข้าเฝ้าที่ตำหนัก ชเวซังกุงเองก็รู้สึกร้อนใจและอยากรู้ว่าหลานของตน (ชเวยอง)  คิดจะทำอะไรกันแน่ จึงแอบถกกระโปรงขึ้นแล้วรีบบึ่งไปที่สำนักหมอหลวง พอไปถึงโทกีก็ส่งสัญญาณมือใส่ ชเวซังกุงถามว่า "เจ้าหนูที่วิ่งเร็วๆ ฟื้นหรือยัง" เมื่อเห็นโทกีหันไปมองห้องๆ หนึ่ง เธอก็รีบบุกเข้าไปทันที

เมื่อไปถึงเตียงคนไข้ ชเวซังกุงก็รีบจับแทมานให้ลุกขึ้นนั่งทั้งๆ ที่ยังสลึมสลือ หมอหลวงชางบินพยายามห้ามโดยบอกว่าแทมานยังไม่ฟื้นตัวดี  ชเวซังกุงพูดขณะใส่เสื้อผ้าให้แทมานอย่างร้อนรนว่าพระมเหสีมีรับสั่งให้แทมานไปเข้าเฝ้าเดี๋ยวนี้ จากนั้นก็หันไปถามแทมานว่าอาการเป็นยังไง เดินไหวไหม ต้องให้อุ้มไปรึเปล่า เมื่อเห็นแทมานลงจากเตียงในสภาพอ่อนแรงเธอก็คว้าคอเสื้อเขาเอาไว้แล้วจูงออกไป โทกีรีบเข้ามาขวางแล้วส่งสัญญาณมือใส่แต่ชเวซังกุงไม่เข้าใจ หมอหลวงชางบินจึงบอกโทกีว่า ไม่ต้องห่วง เพราะตนจะไปกับแทมานด้วย


ในที่สุด แทมานก็ไปเข้าเฝ้าพระมเหสีที่ตำหนักส่วนพระองค์ในสภาพหัวฟู (กว่าเดิม) พระมเหสีไม่รอช้ารีบยิงคำถามใส่แทมานว่า "เจ้าไปที่บ้านคีชอลกับชเวยองใช่ไหม" เมื่อแทมานยอมรับว่าใช่ พระมเหสีก็ถามต่อว่า "คีชอลมอบตัวท่านหมอใหญ่ให้ชเวยองทันทีที่ไปถึงเลยหรือเปล่า" แทมานตอบ "พะยะค่ะ...แต่" พระมเหสีถามต่อทันทีว่า "ชเวยองและท่านหมอใหญ่ไปที่เกาะคังฮวาตามคำสั่งของคีชอลไช่ไหม" เมื่อแทมานตอบว่า "พะยะค่ะ...แต่" พระมเหสีก็สวนขึ้นทันควันว่า "ทำไม!" แทมานถามกลับแบบงงๆ ว่า "อะไรหรือ พะยะค่ะ" พระมเหสีถามต่อว่า "เพราะตอนนี้ชเวยองอยู่ฝ่ายคีชอลแล้วใช่ไหม"  แทมานรีบตอบว่า "ไม่ใช่พะยะค่ะ" พระมเหสีถามว่า "ถ้าไม่ใช่ แล้วทำไมชเวยองถึงทำตามคำสั่งของคีชอล"  แทมานได้แต่เกาหัวเพราะไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี พระมเหสีจึงไล่ให้แทมานกลับไป

ชเวซังกุงกลัวพระมเหสีเข้าใจชเวยองผิด จึงส่งสัญญาณบอกหมอหลวงชางบินให้ช่วยพูดแก้ต่างให้ชเวยอง หมอหลวงชางบินจึงทูลว่า "ที่ชเวยองทำเช่นนั้นอาจเป็นเพราะถูกสถานการณ์บังคับพะยะค่ะ ใต้เท้าต็อกซอง (คีชอล) อาจใช้หมอใหญ่เป็นเครื่องมือในการข่มขู่" ชเวซังกุงรีบเสริมว่า "ชเวยองคงถูกใต้เท้าต็อกซองขู่ว่าถ้าไม่ไปรักษาองค์ชายคยองชาง เขาจะตัดหัวท่านหมอใหญ่เพคะ" พระมเหสีเห็นทั้งคู่พยายามหาเหตุผลมาอธิบายแทนชเวยองจึงตรัสว่า "ข้าไม่อยากรู้ และไม่อยากฟังอะไรอีกต่อไปแล้ว" ชเวซังกุงพยายามหว่านล้อมให้พระมเหสีเชื่อใจชเวยอง พระมเหสีจึงกล่าวเสียงเข้มว่า "ข้าไม่สนว่าชเวยองทำอย่างนั้นทำไมและอย่างไร" จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ว่า "แทนที่จะเข้าข้างคนผิด มันง่ายกว่ามากที่ประณามเขา  แล้วก็ยังสนุกกว่าด้วย"

ระหว่างนั้นชเวยองยังคงต่อสู้กับเหล่านักฆ่าของคีชอลกลางป่า แต่สุดท้ายก็หาทางหลบหนีไปได้ อีกด้านหนึ่งอึนซูก็พาองค์ชายเข้ามาหลบอยู่ในกระท่อมร้างท่ามกลางสายฝน หลังหาภาชนะไปวางรองน้ำฝนที่รั่วลงมาจากหลังคาหลายจุด  และปล่อยให้องค์ชายคยองชางนอนหนุนกระเป๋าใบโปรดของตัวเองบนแคร่แล้ว อึนซูก็นำอาหารออกไปป้อนให้ม้ากิน ระหว่างนั้นเธอได้ยินเสียงเหมือนมีใครบางคนเดินเข้ามาในบริเวณกระท่อม จึงรีบชักมีดสั้นของชเวยองออกมาเตรียมป้องกันตัว และหลับหูหลับตาถือมีดพุ่งเข้าใส่ ปรากฏว่าผู้ที่เดินเข้ามาในกระท่อมก็คือชเวยอง


เมื่อถูกอึนซูจู่โจม ชเวยองก็ตำหนิว่า ทำไมไม่ถามก่อนว่าเป็นใครแล้วค่อยแทง อึนซูแย้งว่า แม้จะตกอยู่ในอันตรายก็แทงก่อนไม่ได้งั้นหรือ ชเวยองแนะนำว่า ถ้ารู้ตัวว่าแทงไม่โดนก็อย่าชักอาวุธใส่ใครเลยจะดีกว่า เพราะมีดไม่รู้หรอกว่าใครเป็นเจ้าของและใครเป็นศัตรู พูดจบเขาก็เดินเข้าไปดูองค์ชายในกระท่อม อึนซูเดินตามมาบ่นว่าทำไมเขาถึงมาช้า และถามว่าเขาหาเธอและองค์ชายเจอได้อย่างไร ในเมื่อเธอนำม้าเข้ามาซ่อนไว้ทางด้านใน ชเวยองไม่ตอบ เขานั่งมององค์ชายด้วยความเป็นห่วง ทันใดนั้น ก็มีฟ้าแลบฟ้าร้อง อึนซูเพิ่งเห็นว่าชเวยองมีคราบเลือดกระเซ็นเต็มแก้ม จึงถามด้วยความเป็นห่วงว่าเขาได้รับบาดเจ็บมากน้อยแค่ไหนและรีบขอดูบาดแผล ชเวยองเบือนหน้าหลบแล้วตอบว่า "นั่นไม่ใช่เลือดของข้า" อึนซูจึงส่งผ้าให้แล้วบอกให้เขาเช็ดคราบเลือดออก

ชเวยองจะนำผ้าไปชุบน้ำในอ่างที่วางอยู่ข้างศีรษะองค์ชาย แต่อึนซูผลักเขาออกอย่างแรงแล้วบอกให้ไปล้างที่อื่น โดยบอกว่า "อย่าทำให้ 'เด็ก' ตื่น" ชเวยองตำหนิอึนซูที่ใช้คำว่า "เด็ก" กับอดีตพระราชา อึนซูได้แต่นั่งนิ่งโดยไม่ยอมมองหน้าหรือพูดจาใดๆ กับชเวยอง (ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือดจึงแลดูน่าสยดสยอง) เมื่อเห็นว่าองค์ชายแสดงสีหน้าเจ็บปวด อึนซูก็ใช้มือลูบศีรษะองค์ชายเบาๆ ชเวยองเห็นดังนั้นก็รู้ว่าอึนซูทั้งเอ็นดูและเป็นห่วงองค์ชาย เขาจึงเดินหลบไปนั่งเช็ดเลือดตรงมุมห้อง พลางลอบมองอึนซู (ขณะฟ้าแลบ) อย่างไม่วางตา (ตกตะลึงในความงาม) 


อึนซูตื่นมาเห็นชเวยองนั่งหลับตาพิงกำแพง จึงเรียกเบาๆ เพื่อเช็คว่าเขาหลับหรือยัง แต่ชเวยองลืมตาขึ้นทันที อึนซูจึงถามว่าเขาได้นอนพักบ้างหรือยัง พอเห็นชเวยองเบือนหน้าหนี อึนซูก็รู้ได้ทันทีว่าเขามัวแต่เฝ้ายามจึงยังไม่ได้นอนหลับเลยสักตื่นทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านการเดินทางและต่อสู้มาอย่างหนักหน่วง เธอจึงเดินไปนั่งข้างๆ ชเวยอง (ซึ่งกำลังนั่งหลับตา) ทำให้ชเวยองถึงกับสะดุ้ง  หลังมองหน้าอึนซูแบบงงๆ ได้สักพัก เขาก็ลุกหนีไปนั่งพิงเสาอีกด้านหนึ่งด้วยท่าทางอิดโรย  แต่อึนซูยังคงเดินตามไปนั่งข้างๆ เขา

ชเวยองเห็นดังนั้นจึงถามว่า "ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่" อึนซูตบไหล่ตัวเองแล้วบอกให้ชเวยองนอนพิงไหล่เธอ  จากนั้นก็ขยับไหล่เข้าไปใกล้ๆ ศีรษะของชเวยอง  เมื่อเห็นชเวยองก้มมองไหล่อันบอบบางของเธอแบบงงๆ  อึนซูจึงพูดว่า "จากนี้ไป ชั้นจะคอยเฝ้าระวังให้นายเอง นายนอนพักบ้างเถอะ" ชเวยองถาม  "ท่านกำลังบอกให้ผู้ชายนอนพิงไหล่ผู้หญิงงั้นรึ"  อึนซูตอบ  "ชั้นกำลังบอกให้คนที่เหนื่อยล้า นอนพิงไหล่ใครบางคนที่ไม่เหนื่อยต่างหาก แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องผู้หญิงผู้ชายด้วย...เอาเลย พิงไหล่ชั้นแล้วก็นอนพักซะ ชั้นจะเฝ้ายามให้เอง"


ชเวยองปรายตามองไหล่อึนซูแล้วเบือนหน้าหนี อึนซูเห็นชเวยองกลัวเสียฟอร์มจึงกล่าวว่า "ชั้นเคยได้ยินลูกน้องของนายพูดว่านายน่ะชอบนอนสุดๆ...(จากนั้นก็พูดเลียนแบบลูกน้องชเวยอง)  'ถ้าปล่อยให้เขานอนตามสบาย เขาจะหลับติดต่อกัน 4 วัน 3 คืน  พอตื่นขึ้นเขาก็จะกินชดเชยช่วงเวลาที่หลับไป  4 วัน 3 คืนในคราวเดียว จากนั้นก็จะนอนหลับต่อ จะว่าไปแล้วหัวหน้าของเรานี่สุดยอดไปเลย '... คนที่ชอบนอนมากขนาดนั้นไม่ควรมานั่งถือทิฐิ  เพราะฉะนั้นนายควรพิงไหล่ชั้นแล้วนอนพักซะ คนเราถ้านอนไม่พอจะเบื่ออาหาร ขาดสมาธิ หดหู่ และอาจกลายเป็นโรคอ้วนได้ด้วยนะ นอนพักเถอะน่า ชั้นไม่...."   อึนซูพูดยังไม่ทันจบชเวยองก็เอนศีรษะลงมาซบไหล่เธอ

อึนซูเอื้อมมือไปจับชีพจรที่ข้อมือของชเวยอง ก่อนใช้มืออีกข้างแตะที่หน้าผากของเขาเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิในร่างกาย เมื่อพบว่าทุกอย่างปกติเธอก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ หลังจากนั้นอึนซูก็ก้มหน้าลงไปดมผมของชเวยองแล้วทำหน้าเบ้พลางบ่นว่า "กลิ่นเลือดหึ่งเลย"  ชเวยองได้ยินดังนั้นจึงลืมตาขึ้นก่อนที่จะนอนหลับต่อ

หลังฝนหยุดตกจูซอกและนายพรานก็ออกจากที่กำบัง จูซอกสังเกตเห็นว่ากองกำลังของคีชอลหายไปแล้วจึงสงสัยว่าเป็นเพราะได้รับคำสั่งให้ถอนกำลังหรือเจอตัวชเวยองแล้วกันแน่  นายพรานตอบว่าชเวยองคงกำลังมุ่งหน้าออกจากเกาะ เพราะกองทัพของพระราชาจะทำการตรวจค้นส่วนที่เหลือรอบๆ เกาะ เขายังบอกด้วยว่า คนที่กำลังถูกไล่ล่าอย่างชเวยองคงทำทุกวิถีทางเพื่อหลบหนีและที่นี่ก็มีเส้นทางหลบหนีเพียงทางเดียวเท่านั้น นั่นเป็นสิ่งที่เขา (นายพราน) จะทำถ้าหากเขาเป็นชเวยอง... จูซอกเดินไปจูงม้าเตรียมออกตามหาโดยบอกว่าถ้าหัวหน้าชเวยองอยู่ตามลำพังเขาคงเดาไม่ถูกว่าป่านนี้ชเวยองอยู่ที่ไหน แต่ถ้าชเวยองพาคนอื่นหลบหนีไปด้วย เขาเชื่อว่าทุกคนคงจะยังหลบหนีไปได้ไม่ไกลนัก นายพรานสังเกตเห็นรอยเท้าม้าบนพื้นจึงช่วยนำทางไป


อึนซูตรวจช่องหูให้องค์ชายแล้วซักถามอาการว่าเจ็บตรงไหน เจ็บแค่ไหน และเจ็บบ่อยมั๊ย ชเวยองเห็นอึนซูซักไม่หยุดจึงถามว่า ทำไมถามคนป่วยเยอะจัง อึนซูบอกว่าเนื้องอกในหูกดทับเส้นประสาทขององค์ชายทำให้องค์ชายรู้สึกเจ็บปวด  เธอถามหาแอสไพรินกับชเวยอง ชเวยองจึงควักขวดยาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ระหว่างป้อนยาองค์ชายอึนซูอธิบายว่า แอสไพรินเป็นยาบรรเทาปวดที่มีฤทธิ์ไม่แรงนัก แต่เนื่องจากองค์ชายยังไม่มีภูมิต้านทานยาแผนปัจจุบัน พระองค์จึงน่าจะรู้สึกดีขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว จากนั้นก็สรุปว่า "ที่พอหวังได้ก็มีเท่านี้"

เธอบอกองค์ชายให้อดทนสักพักแล้วจะรู้สึกดีขึ้นเองในไม่ช้า ชเวยองเห็นองค์ชายทรมานจากอาการเจ็บปวดจึงถามอย่างร้อนใจว่า ในไม่ช้าคือเมื่อไหร่กันแน่ เขาแนะให้อึนซูทำอะไรบางอย่างนอกเหนือจากการให้ยาอย่างเช่น การฝังเข็ม เป็นต้น เมื่ออึนซูตอบว่าเธอไม่ถนัดเรื่องการฝังเข็ม ชเวยองจึงถามอย่างผิดหวังว่า "ท่านทำได้เท่านี้เองหรือ" เมื่อถูกกดดันมากๆ เข้าอึนซูจึงกล่าวกึงประขดว่า "ขอโทษนะ ตอนที่นายลักพาตัวชั้นมา ชั้นไม่มีโอกาสหอบยาติดมือมาด้วย  ก็นายไม่ได้บอกชั้นล่วงหน้านี่นา ถ้านายบอกชั้นก่อน ชั้นคงขนยาแก้ปวดมาเยอะกว่านี้" จากนั้นก็แอบเหน็บว่า "ของที่โจรลักพาตัวต้องการมีเยอะจริงๆ" ชเวยองแทบไม่เชื่อหูเมื่อได้ยินอึนซูเรียกตนว่าเป็น "โจร"


อึนซูสอนวิธีเอาชนะความเจ็บปวดให้องค์ชาย โดยหยิบยกเอาประโยคเด็ดของ "ยาง ฮีอึน*" มาสอนให้องค์ชายพูดตามว่า "เจ้าชื่ออะไร... เจ้าเป็นใครถึงทำให้ข้ารู้สึกเจ็บปวดได้มากขนาดนี้" เมื่อองค์ชายว่าตามแล้ว อึนซูก็บอกให้พระองค์เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดอย่างกล้าหาญ จากนั้นก็ร้องเพลง  "Evergreen Tree" ของยาง ฮีอึน ด้วยเสียงโซปราโน่สุดเพี้ยนให้องค์ชายฟัง (เธอร้องท่อนแรกที่มีความหมายว่า...ดูต้นสนกลางทุ่งเหล่านั้นสิ ถึงแม้ไม่มีใครเหลียวแลพวกมัน แม้ว่าพวกมันจะกรำลมฝนและหิมะ แต่ต้นสนเหล่านั้นก็ยังเขียวขจี) ชเวยองเห็นอึนซูร้องเพลงแล้วไห้แต่นั่งขำ แต่ไม่นานเขาก็รู้สึกว่ามีคนมุ่งหน้ามาที่กระท่อมจึงส่งสัญญาณบอกให้อึนซูเงียบ แล้วรีบเดินออกไปทันที

หมายเหตุ:
- "ยาง ฮีอึน" เป็นนักร้องหญิงชื่อดังรุ่นใหญ่ชาวเกาหลี 
- เนื้อเพลง "Evergreen Tree" ของเธอ กล่าวถึงการยืนหยัดเผชิญหน้ากับความยากลำบากเช่นเดียวกับต้นสนที่ต้องฝ่าลมฝนและหิมะ แล้วสักวันจะประสบชัยชนะ
- ฟังเพลงดังกล่าวได้ ที่นี่


ในตอนนั้น นายพรานนำทางจูซอกมาที่กระท่อม ระหว่างที่จูซอกกำลังซุ่มดูว่ามีใครอยู่ในกระท่อมหรือไม่ เขาก็ได้ยินเสียงนายพรานร้องลั่น เมื่อหันกลับไปดูก็พบว่านายพรานถูกชเวยองจับตัวเอาไว้


ฮวา ซูอินรายงานคีชอลว่า ชเวยองว่องไวราวกับหนู แถมบริเวณนั้นยังเป็นป่าและเป็นเวลากลางคืนอีกด้วย คีชอลถามว่าแล้วผลเป็นไง ฮวา ซูอินตอบเสียงอ่อยว่า ชเวยองพาอึนซูและองค์ชายหนีไปได้  คีชอลหันขวับแล้วกล่าวว่า "ทำได้ดีมาก ถ้าเจ้าจับเขาได้ก็ไม่สนุกน่ะสิ"  พูดจบคีชอลก็หันกลับไปยิ้มให้ตัวเองและเดินจากไป  ซูอินได้แต่ยืนงงที่ทำงานพลาดแล้วได้รับคำชม จึงหันไปบ่นกับชอน อึมจา ด้วยไม่รู้ว่าคีชอลคิดอะไรกันแน่ เธอยังกล่าวด้วยว่าคีชอลมีพิษสงรอบตัว แถมยังเลวได้ใจและยังเจ้าเล่ห์อีกด้วย อึมจาเห็นว่าซูอินเริ่มพูดมากจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดปากเธอ

นายพรานบอกชเวยองว่า เขาได้รับคำสั่งจากท่านเจ้าเมืองให้ออกตามหาและพาชเวยองไปที่จวน เพราะเจ้าเมืองต้องการฟังเรื่องราวจากปากชเวยองโดยตรงก่อนพิจารณาว่า ชเวยองเป็นเพียงเหยื่อที่ถูกล่อให้ไปติดกับหรือเป็นผู้ก่อกบฏตัวจริงกันแน่ จูซอกฟังแล้วคิดว่าเป็นข่าวดีเพราะอย่างน้อยก็ยังมีคนที่เชื่อใจชเวยอง ชเวยองถามนายพรานเพื่อเป็นการหยั่งเชิงว่า "แล้วถ้าข้าคิดก่อกบฏจริงๆ ล่ะ...เขายังอยากให้เจ้าพาข้าไปหาอีกไหม" นายพรานตอบว่า "หากท่านคิดก่อกบฏจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องไปกับข้า"


อึนซูเป็นห่วงองค์ชายจึงบอกว่า การพาองค์ชายเดินทางไกลบนหลังม้าจะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของพระองค์  แต่จูซอกเป็นห่วงชเวยองมากกว่าจึงถามว่า "ท่านรู้จักเจ้าเมืองคังฮวามั๊ย... เราจะไว้ใจเขาได้หรือเปล่า"   ชเวยองลุกขึ้นไปดูองค์ชายพลางตอบว่า "ข้าไม่รู้จักเขาและไม่อาจไว้ใจเขาด้วย แต่ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว  ข้าไม่อาจพาองค์ชายหนีไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย" จูซอกจึงเสนอทางเลือกใหม่โดยบอกว่าตนจะช่วยหาที่หลบซ่อนตัวให้

เมื่อชเวยองสั่งให้จูซอกกลับเข้าวัง จูซอกก็คุกเข่าลงตรงหน้าแล้วถามว่า "จะให้ข้าทิ้งท่านหัวหน้าไว้ตามลำพังงั้นหรือ"  ชเวยองกล่าวว่าตนต้องการให้จูซอกนำความไปกราบบังคมทูลพระเจ้าคงมิน  จูซอกรู้ดีว่าตอนนี้พระเจ้าคงมินเริ่มรู้สึกหวาดระแวงจึงแย้งว่า "ความจริงแล้ว ข้าแอบออกมาพบท่านหัวหน้าแบบลับๆ ตามคำสั่งของรองหัวหน้า  หากฝ่าบาทรู้ว่าข้าออกมาพบท่านแบบลับๆ..." ชเวยองแทรกขึ้นว่า "ฝ่าบาทจะไม่เอาชีวิตเจ้า หากพระองค์ได้ฟังในสิ่งที่เจ้าจะนำขึ้นกราบทูล" จูซอกถามย้ำว่า "ข้าจะไม่โดนประหารแน่นะ " ชเวยองพูดหน้าตาเฉยว่า "บอกตามตรง ข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก....หากเจ้านำคำพูดของข้าไปกราบทูลฝ่าบาทแล้วยังมีชีวิตอยู่ เจ้าต้องกลับมาหาข้าพร้อมกับคำตอบของพระองค์ ระหว่างนั้นข้าจะระวังไม่ให้เกิดเรื่อง"

จูซอกไม่เชื่อว่าพระเจ้าคงมินจะไม่เอาชีวิตตน และไม่คิดว่าพระองค์จะทรงตอบคำถามจึงแย้งว่า "ฝ่าบาทจะทรงให้คำตอบงั้นหรือ กับท่านเนี่ยนะ ข้าบอกท่านแล้วไงว่า..." ชเวยองพูดคำเดิม "ข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก" จากนั้นก็ยื่นหน้าลงไปหาจูซอกแล้วเอามือจับไหล่เขาพลางกล่าวว่า "ถ้าหากเจ้าต้องมาตายเพราะข้าจริงๆ ข้าก็ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า....ข้าขอโทษ"   จูซอกได้ยินแล้วถึงกับอึ้ง


พระเจ้าคงมินและพระมเหสีเผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พระมเหสีแอบเสด็จออกนอกวังคราวที่แล้ว (เพื่อไปบ้านคีชอล) โดยมีหมอหลวงชางบินทำหน้าที่เป็นคนกลาง... พระเจ้าคงมินมองหน้าพระมเหสีพลางตรัสเสียงเข้มว่า "จงถามนางว่ามีเรื่องร้อนใจรึเปล่า" หมอหลวงชางบินหันไปกล่าวกับพระมเหสีว่า "ฝ่าบาททรงถามว่าพระองค์มีเรื่องร้อนพระทัยรึเปล่าพะยะค่ะ" พระมเหสีจ้องหน้าพระเจ้าคงมินพลางตรัสว่า "มี...คือคำตอบของข้า"  หมอหลวงชางบินจึงหันไปทูลพระเจ้าคงมิน "พระมเหสีตรัสว่า มี พะยะค่ะ"

พระเจ้าคงมินจ้องหน้าพระมเหสีพลางตรัสด้วยสีหน้าเจ็บปวดใจว่า "อูดัลจิชเวยอง...นางเป็นห่วงเขามากถึงขนาดกล้าออกไปก่อเรื่องโดยไม่บอกข้าก่อน  เอาล่ะ...เจ้าจงถามนางว่า ต้องการให้ข้าช่วยอะไร" หมอหลวงชางบินหันไปทูลพระมเหสี "ฝ่าบาทตรัสถามว่า 'ต้องการให้ช่วยอะไร' พะยะค่ะ" พระมเหสีตอบว่า "จงทูลฝ่าบาทว่าข้าจะไปบ้านคีชอล (อีกครั้ง) และข้ามาที่นี่เพื่อขออนุญาติ" หมอหลวงชางบินรีบเตือน "พระมเหสี!" จึงถูกพระมเหสีตวาดว่า "ข้าสั่งให้เจ้าทูลถามฝ่าบาท" 

เมื่อได้ยินดังนั้น พระเจ้าคงมินจึงบอกหมอหลวงชางบินโดยจ้องหน้าพระมเหสีไม่วางตาว่า "นี่คือสาเหตุที่ข้าสั่งให้เจ้ามาอยู่ที่นี่ด้วย ดูเหมือนว่าสุขภาพจิตของพระมเหสีไม่ค่อยเป็นปกตินัก  อาการบาดเจ็บที่คอส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของนางได้อย่างไรกัน ช่างน่าแปลกยิ่งนัก เจ้าจงรักษาอาการเจ็บป่วยให้นางด้วย" พูดจบพระเจ้าคงมินก็ลุกหนี พระมเหสีรีบลุกขึ้นกราบทูลว่า "ฝ่าบาท! หม่อมชั้นจะไปเพื่อเสนอข้อแลกเปลี่ยนเพคะ" เมื่อเห็นพระเจ้าคงมินหยุดเดินแล้วหันกลับมามอง พระมเหสีจึงกล่าวต่อว่า "หัวหน้าอูดัลจิและท่านหมอใหญ่...หม่อมชั้นจะเสนอตัวเองเพื่อแลกกับสองคนนี้" พระเจ้าคงมินตรัสว่า "นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน"


พระมเหสีอธิบายว่า พระองค์เป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์หยวน ต่อให้คีชอลมีอำนาจบาตรใหญ่แค่ไหน เขาก็ไม่สามารถทำอะไรพระองค์ได้ตามใจชอบภายในบ้านของตนเอง นอกจากนี้ พระองค์ยังคิดที่จะมอบสิ่งตอบแทนอื่นๆ ให้คีชอลด้วย ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทองหรือแม้กระทั่งอำนาจ พระเจ้าคงมินฟังแล้วรู้สึกอดรนทนไม่ได้ จึงตรงเข้าไปหาพระมเหสีแล้วถามว่า "จะทำให้ข้าสมเพชตัวเองอีกสักแค่ไหน เจ้าถึงจะพอใจ" จากนั้นก็ตรัสว่า "พระราชาของแผ่นดินนี้เพิ่งสูญเสียข้าราชบริพารที่จงรักภักดีมากที่สุดไป ถ้าหากเขาหันหลังให้ข้าจริงๆ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด  แต่ตอนนี้ แม้แต่พระมเหสีของข้าก็เริ่มเหนื่อยหน่ายกับความไม่เอาไหนของข้าจนคิดที่จะโยนข้าทิ้ง และบอกว่าจะทำอะไรนะ...."

พระองค์ขยับเข้าไปใกล้พระมเหสีแล้วกระซิบถามด้วยความเจ็บปวดใจว่า "เจ้าเห็นข้าเป็นคนน่าเวทนาขนาดนั้นเลยหรือ....นี่เจ้าชอบเขามากขนาดนั้นเลยใช่มั๊ย ทำไมเจ้าต้องทำเพื่อเขามากถึงเพียงนี้" พระมเหสีตอบด้วยน้ำตาคลอเบ้า  "หม่อมชั้นเชื่อว่าฝ่าบาทต้องการคนอย่างเขามากกว่าหม่อมชั้นเพคะ"   พระเจ้าคงมินถามว่า "หมายความว่ายังไง" พระมเหสีจึงกล่าวว่า "ฝ่าบาทอาจไม่รู้ หรือไม่ต้องการรับรู้ แต่หม่อมชั้น...." พระมเหสียังไม่ทันได้สารภาพความในใจก็มีเสียงคนบุกเข้ามา


โจ อิลชิน และขุนนางระดับสูงคนหนึ่ง (ที่เป็นพวกคีชอล) พยายามบุกเข้ามาหาพระเจ้าคงมินในท้องพระโรงพร้อมด้วยทหารจำนวนหนึ่ง แต่ถูกเหล่าอูดัลจิขวางเอาไว้ โจ อิลชินร้องบอกพระเจ้าคงมินว่าตนมาช่วยพระองค์ด้วยความจงรักภักดี ส่วนขุนนางอีกคนโวยวายเหล่าอูดัลจิที่คิดจับพระเจ้าคงมินเป็นตัวประกัน ชุงซอกได้ยินแล้วถึงกับอึ้ง ขุนนางคนดังกล่าวทูลพระเจ้าคงมินว่า พระองค์ถูกเหล่าอูดัลจิทรยศ  ตนได้ยินมาว่าหัวหน้าอูดัลจิก่อกบฏ ดังนั้น พระองค์จึงไม่ควรปล่อยให้ลูกน้องของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นกบฏมาอยู่ข้างกาย ชุงซอกรีบหันไปกราบทูลพระเจ้าคงมินว่า สิ่งที่ขุนนางคนดังกล่าวพูดมานั้นเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ พระเจ้าคงมินจึงตรัสกับโจ อิลชิน และขุนนางคนดังกล่าวว่า "พวกเขามาทำหน้าที่อารักขาตามที่ข้ามีบัญชา ไม่เกี่ยวอะไรกับความสัมพันธ์ที่มีต่อหัวหน้าอูดัลจิ ดังนั้น..."

พระเจ้าคงมินพูดยังไม่ทับจบโจ อิลชินก็แทรกขึ้นว่า พวกตนได้รับรายงานว่าเหล่าอูดัลจิแอบติดต่อกับหัวหน้าชเวยองอย่างลับๆ ทันทีที่รู้ข่าวพวกตนก็รีบมาที่นี่ ขุนนางที่มาด้วยกันตะคอกใส่เหล่าอูดัลจิว่าเป็นพวกคิดคด และขู่วาจะเรียกมาสอบปากคำทีละคน หากไม่ยอมรับสารภาพว่าใครเป็นคนแอบติดต่อกับชเวยอง เขายังถามเพื่อเป็นการกดดันเหล่าอูดัลจิด้วยว่า หรือจะจับพระราชาเป็นตัวประกันและสร้างความขัดแย้งอยู่อย่างนี้ (ตอนนั้นเหล่าทหารที่มากับโจ อิลชินและขุนนาง กำลังยืนเผชิญหน้ากับเหล่าอูดัลจิ


เมื่อได้ยินว่าอูดัลจิแอบติดต่อกับชเวยองลับหลังพระองค์ พระเจ้าคงมินก็เดินเข้าไปหาชุงซอกพลางจ้องหน้าเขาอย่างคาดคั้น แล้วถามว่า "เป็นความจริงหรือ....ลับหลังข้า เจ้าแอบติดต่อกับชเวยองใช่ไหม" ชุงซอกแสดงท่าทีมีพิรุธ เขาไม่อาจโกหกพระราชาจึงรีบคุกเข่าขออภัย (อูดัลจิทุกคนต่างวางดาบและคุกเข่าตาม) พระเจ้าคงมินเห็นดังนั้นก็ถึงกับหน้าถอดสี ทุกคนที่อยู้รอบกายพระองค์ต่างต้องการช่วยชเวยองถึงขนาดตัดสินใจทำอะไรด้วยตนเองโดยไม่บอกให้พระองค์รู้ ไม่เว้นแม้กระทั่งพระมเหสี พระองค์ปรายตามองพระมเหสีที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ขณะที่พระมเหสีได้แต่มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสิ้นหวัง

คีวอนนำกำลังทหารบุกมาที่ค่ายอูดัลจิ โดยบอกว่า "ลูกน้องของชเวยองจงฟังให้ดี อีกไม่นานแผนก่อกบฏของหัวหน้าเจ้าจะถูกเปิดโปง จนกว่าจะถึงตอนนั้น หากพวกเจ้ายังคงยืนยันในความบริสุทธิ์ของตนเองล่ะก็  อย่าได้ก้าวเท้าออกจากค่ายแม้แต่ก้าวเดียว จงอดกลั้นและยอมจำนนแต่โดยดี หากข้าพบว่ามีใครในที่นี้ส่อแววก่อกบฏ ค่ายอูดัลจิแห่งนี้จะกลายเป็นทะเลเพลิงทันที"


ในเวลาเดียวกันนั้น นายพรานก็พาชเวยอง อึนซู และองค์คยองชางเข้ามาในจวนของเจ้าเมืองคังฮวา ชเวยองสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ บริเวณ และไม่พบว่ามีทหารหรือเจ้าหน้าที่ประจำการอยู่ด้านใน เจ้าเมืองคังฮวารีบออกมาถวายการต้อนรับองค์ชาย และทักอึนซูว่า "ท่านคือท่านหมอใหญ่ใช่ไหม" อึนซูตอบว่า "เอ่อ...ข้าเดาว่าน่าจะใช่ สวัสดีค่ะ"  เมื่อถูกทักทายด้วยถ้อยคำในยุคปัจจุบัน เจ้าเมืองคังฮวาก็ทำหน้างงๆ  เขาหันไปหาชเวยองแล้วทักว่า "ท่านคืออูดัลจิชเวยองใช่ไหม"  อึนซูแทรกขึ้นว่า องค์ชายต้องการสถานที่พักผ่อนเพราะในตอนนี้พระองค์เหนื่อยมาก จึงขอให้พาองค์ชายไปพักก่อนแล้วค่อยทักทายกันทีหลัง เจ้าเมืองคังฮวาได้ยินดังนั้นจึงรีบนำทางไป

อึนซูถามองค์ชายว่า เป็นอย่างไรบ้าง องค์ชายตอบว่า "อาการปวดหายไปแล้ว ยาที่เจ้าให้ข้าได้ผลจริงๆ นั่นเป็นยาจากสวรรค์ใช่ไหม" อึนซูยิ้มแล้วนึกขึ้นได้ว่าตอนที่เธอเดินเข้ามาในจวน เธอเห็นสมุนไพรบางชนิดขึ้นอยู่ข้างทางเดิน และน่าจะมีต้นเปปเปอร์มินท์ด้วย เธอเลยบอกองค์ชายว่าจะนำใบเปปเปอร์มินท์มาทำเป็นยาแก้ปวด ซึ่งถ้าหากนำมาทาลงบนผิวหนังก็จะมีคุณสมบัติเหมือนขี้ผึ้ง องค์ชายเสริมว่า "ข้าคิดว่าคาถานั่นก็ใช้ได้ผลเหมือนกัน" อึนซูไม่เข้าใจว่าคาถาอะไรเลยถามว่า "คาถาอะไรเหรอเพคะ" องค์ชายจึงพูดว่า "เจ้าชื่ออะไร... ถ้าเจ้าอยากทำให้ข้าเจ็บปวดล่ะก็ ได้เห็นดีกัน" 


ชเวยองบอกเจ้าเมืองคังฮวาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นกับดัก เจ้าเมืองจึงถามว่า "เจ้ามั่นใจว่าฝ่าบาทจะทรงเชื่อว่านี่คือกับดักงั้นรึ" เมื่อชเวยองตอบว่าใช่ เจ้าเมืองจึงถามอีกว่า "ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงรอรับสั่งจากฝ่าบาทใช่ไหม" ชเวยองยังคงตอบสั้นๆ เหมือนเดิมว่าใช่ เจ้าเมืองหันไปถามชเวยองว่า "เจ้าคิดว่าข้าเชื่อเรื่องนี้งั้นรึ"  ชเวยองตอบว่า "ท่านต้องเชื่อข้าอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่เอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่อันตรายแบบนี้" 

เจ้าเมืองตอบว่า "ก็จริง การนำพระราชาที่ถูกปลดกลับไปขึ้นครองบัลลังก์ เท่ากับเป็นการก่อกบฎ การยืนเคียงข้างคนเช่นนั้นนับเป็นเรื่องอันตราย"  ชเวยองกล่าวว่า "ท่านไม่เพียงยืนเคียงข้างข้า แต่ยังให้ที่ซ่อนข้าด้วย....ความจริงแล้วข้ารู้สึกสงสัยว่าท่านทำเช่นนี้ทำไม" เจ้าเมืองถามกลับว่า "เจ้าสงสัยข้างั้นหรือ"  ชเวยองกล่าวว่า "ในเมื่อเราไม่เคยพบกันมาก่อน จึงเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะทำเพื่อข้า หรือว่าท่านเองก็อยากให้องค์ชายคยองชางกลับไปครองบัลลังก์" เมื่อเห็นเจ้าเมืองหัวเราะ ชเวยองก็ถามย้ำว่า "เป็นเช่นนั้นใช่หรือเปล่าขอรับ"


เจ้าเมืองถามกลับ "เจ้าบอกว่าชื่อของเจ้าคือชเวยองใช่ไหม"  ชเวยองตอบ "ใช่ ขอรับ" เจ้าเมืองกล่าวว่า "ข้าเป็นข้ารับใช้ของแผ่นดินนี้ หากข้าต้องการเป็นข้ารับใช้ของแผ่นเดินที่สงบสุข สามสิ่งใดที่เจ้าคิดว่าสำคัญมากที่สุด" ชเวยองตอบว่าตนไม่แน่ใจและไม่เคยคิดเรื่องนั้น เมื่อเห็นอึนซูเดินถือตะกร้าออกมาชเวยองก็มองตามอย่างไม่วางตา เจ้าเมืองจึงตัดบทว่า "ไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสข้าจะสอนเจ้า...ทีละขั้นตอน ข้าจะสอนให้กระจ่างเลย"

ขณะที่อึนซูออกมาเก็บใบเปปเปอร์มินท์ เธอหันไปเห็นดอกไม้สีเหลืองจึงลุกไปชื่นชม ชเวยองเดินมาดูด้วยความสงสัยและถามอึนซูว่าเธอกำลังทำอะไร อึนซูตอบว่าเธอมาเก็บสมุนไพรไปทำยาแก้ปวด จากนั้นก็ชูก้านเปปเปอร์มินท์ให้ดูพลางบอกว่า "นี่คือ 'เปปเปอร์มินท์' ชั้นรู้จักมันนิดหน่อย เพราะมันอยู่ในค็อกเทลแก้วโปรดของฉัน...ค็อกเทล 'โมฮิโต้'* น่ะ มันอร่อยมากๆ เลย"


หมายเหต:

 * "โมฮิโต้" เป็นค็อกเทลยอดนิยมสัญชาติคิวบา ที่เข้ามาแพร่หลายและได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในอเมริกา ราวปี 1980 (พ.ศ. 2523)  หลังจากนั้นจึงได้รับความนิยมไปทั่วโลก เครื่องดื่มชนิดนี้มีรสชาติจัดจ้านและหอมละมุนด้วยของกลิ่นมินต์และมะนาว ทั้งยังมีส่วนผสมของเหล้ารัมและโซดา จึงช่วยดับกระหายคลายร้อนได้เป็นอย่างดี คำว่า ”โมฮิโต้” เป็นศัพท์ของชนเผ่าหนึ่งในประเทศคิวบา มาจากคำว่าโมโจ ที่แปลว่า “ร่ายเวทมนต์” และเครื่องดื่มชนิดนี้ก็กำลังเป็นที่นิยมในหมู่นักดื่มค็อกเทลชาวไทย




ชเวยองเป็นห่วงองค์ชายจึงเร่งให้อึนซูรีบเก็บสมุนไพร อึนซูถามว่าที่นี่ไม่ปลอดภัยหรือ และบอกว่าหากเป็นห่วงองค์ชายมากนักก็ให้เขากลับไปหาองค์ชายก่อน ส่วนเธอจะเก็บสมุนไพรต่ออีกสักพัก ชเวยองหันไปมองห้องที่องค์ชายนอนพักผ่อนตามลำพังด้วยความเป็นห่วง แต่เขาก็เป็นห่วงอึนซูเช่นกันจึงยังคงยืนรอ อึนซูกล่าวขณะเก็บสมุนไพรว่า เธอไม่รู้ว่าจะนำสมุนไพรเหล่านี้ไปทำเป็นยาได้อย่างไร ทั้งยังสงสัยว่าควรสับและนำไปคั้นน้ำหรือว่าจะนำไปต้มดี  ชเวยองได้ยินดังนั้นจึงถามว่า "ท่านเป็นหมอไม่ใช่หรือ" อึนซูตอบว่าในยุคของเธอ หมอไม่ต้องปรุงยาเอง


เธอเด็ดดอกไม้สีเหลืองมาหนึ่งดอกแล้วเดินไปหาชเวยอง จากนั้นก็อธิบายว่า บริษัทยาจะผลิตยาออกมาคราวละมากๆ และยาเหล่านั้นก็จะถูกนำออกขายโดยภาคธุรกิจ ส่วนหมอถ้าอยากได้ยาอะไรก็แค่พิมพ์ข้อความลงในคอมพิวเตอร์ ยาทุกชนิดที่เธอรู้จักสามารถหาได้ในคอมพิวเตอร์ พูดจบเธอก็ยื่นดอกไม้ให้ชเวยอง เมื่อเห็นชเวยองมองดอกไม้แบบงงๆ อึนซูก็บอกให้เขารับดอกไม้จากเธอ โดยบอกว่าเป็น "ของขวัญ"


ชเวยองมองดอกไม้ในมืออึนซูแต่ไม่ยอมรับ เขาตัดบทด้วยการชวนเธอกลับไปหาองค์ชายแล้วหันหลังเดินนำไปทันที  อึนซูรีบบอกให้เขารอก่อน เธอจับไหล่เขาแล้วบอกให้ยืนนิ่งๆ ชเวยองหันมาถามกึ่งโวยวายเล็กน้อยว่าทำไม อึนซูอ้างว่ามีอะไรบางอย่างอยู่บนศีรษะของชเวยอง  จากนั้นก็นำดอกไม้ไปเสียบหูให้เขาแล้วหัวเราะชอบใจ ชเวยองเห็นอึนซูหัวเราะคิกคักก็ได้แต่ยืนงง อึนซูหันไปมองหน้าชเวยองอีกครั้งแล้วขำกลิ้ง จากนั้นก็บอกว่า "มันรับกับหน้านายมากเลย ฮ่าๆๆๆ" ชเวยองเอื้อมมือไปแตะหูทำให้ดอกไม้ร่วงลงมา พอรู้ว่าโดนแกล้งเขาก็ทำหน้าอ่อนใจและถามว่า "มันน่าขำนักหรือไง" อึนซูตอบว่า "ดอกไม้หอมมากๆ ฉันเลยคิดว่ามันน่าจะกลบกลิ่นคาวเลือดได้" พูดจบเธอก็หันหลังแล้วเดินจากไป ส่วนชเวยองก้มมองดอกไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้น

ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังเดินกลับไปยังที่ประทับขององค์ชาย ชเวยองเห็นว่าอยู่ๆ ก็มีทหารยามหลายนายยืนประจำการหน้าที่ประทับ จึงรีบเดินไปยังตำหนักองค์ชายทันที  เจ้าเมืองคังฮวารีบวิ่งออกมาขวางไว้โดยอ้างว่าองค์ชายกำลังนอนหลับ และอธิบายว่าทหารมายืนเฝ้าหน้าที่ประทับเพราะได้รับคำสั่งจากตน ชเวยองรู้สึกไม่ไว้วางใจจึงจะเข้าไปตรวจสอบ แต่เจ้าเมืองยืนยันว่า แม้ฝีมือของทหารเหล่านี้ไม่อาจเทียบชั้นกับอูดัลจิแต่ก็มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการใช้ดาบ จึงมั่นใจได้ว่าทหารของตนจะสามารถปกป้ององค์ชายได้

เจ้าเมืองหันไปถามอึนซูว่า เธอทานอาหารเช้าหรือยัง อึนซูรีบตอบว่าเธอยังไม่ได้ทานอะไรเลยนับตั้งแต่เมื่อคืน จากนั้นก็หันไปมองชเวยองแล้วกล่าวว่า ถึงแม้จะมีใครบางคนคอยคุ้มกันเธอ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยสนใจเรื่องกินสักเท่าไหร่ (ชเวยองหันขวับเมื่อรู้ว่าโดนเหน็บ) เจ้าเมืองหันไปบอกชเวยองว่าตนเตรียมอาหารเช้าเอาไว้ให้แล้ว และเอ่ยปากเชิญเขากับอึนซูให้ไปทานอาหารเช้าด้วยกัน เมื่อเห็นอึนซูดีใจจนออกนอกหน้าที่จะได้กินข้าว ชเวยองก็หันไปมองห้องพักขององค์ชายอย่างชั่งใจ จากนั้นก็ถอนใจและเดินตามเจ้าเมืองไปอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก


เขาไม่รู้ว่าในตอนนั้น คีชอลอยู่ในห้องบรรทมกับองค์ชายคยองชาง คีชอลรู้ว่าชเวยองอยู่หน้าที่ประทับจึงทูลองค์ชายว่า "หากองค์ชายร้องออกมาในตอนนี้ ชเวยองจะได้ยินเสียงพระองค์พะยะค่ะ"   องค์ชายถามว่า "ถ้าข้าเรียกยอง เจ้าจะทำอะไรเขา"  คีชอลถามว่า "องค์ชายถามเพราะไม่รู้จริงๆ หรือพะยะค่ะ...เขาหลอกลวงพระองค์ แล้วลากพระองค์ออกจากบ้าน" องค์ชายรีบเถียงว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง คีชอลจึงกล่าวต่อว่า "เขาพยายามนำพระองค์ซึ่งถูกโค่นบัลลังก์อย่างไม่เป็นธรรมกลับไปครองบัลลังก์ในฐานะพระราชาอีกครั้ง"  องค์ชายรีบปฏิเสธว่าไม่ใช่

คีชอลกล่าวว่า "เหล่าอูดัลจิที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของชเวยองถูกปราบหมดแล้ว นั่นเป็นพระบัญชาของฝ่าบาท ซึ่งเป็นพระปิตุลา (ลุง) ของพระองค์พะยะค่ะ  ตอนนี้เหลือแค่จับชเวยองแล้วส่งตัวไปให้ฝ่าบาททรงลงโทษด้วยวิธีการอันเหี้ยมโหดที่สุดในฐานะที่เป็นนักโทษกบฏ" องค์ชายกล่าวทั้งน้ำตาว่า "ทั้งหมดนี้เป็นกับดัก ข้ารู้ ยองก็แค่...." คีชอลแทรกว่า "แน่นอนพะยะค่ะ มันเป็นกับดัก.... มันเป็นกับดักที่กระหม่อมวางไว้เอง กระหม่อมถนัดนักเรื่องการวางแผนลักษณะนี้" องค์ชายแทบไม่เชื่อหูตนเอง จึงถามว่าเพราะอะไร คีชอลตอบว่ามีหลายเหตุผล "ข้อแรก กระหม่อมอยากให้ชเวยองมาอยู่ข้างกระหม่อม และดูเหมือนว่าถ้ากระหม่อมได้ตัวชเวยองมาแล้ว ท่านหมอใหญ่ก็จะตามมาอยู่ฝ่ายกระหม่อมด้วย ที่สำคัญ กระหม่อมไม่ค่อยชอบพระราชาองค์ใหม่สักเท่าไหร่ จึงอยากสั่งสอนอะไรฝ่าบาทสักเล็กน้อย กระหม่อมควรทำยังไงดี หรือว่า...พระองค์อยากกลับมาเป็นพระราชาอีกครั้งไหมพะยะค่ะ หากพระองค์ต้องการก็แค่ออกคำสั่งมา แล้วกระหม่อมจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยให้พระองค์สมหวังพะยะค่ะ"


ขณะที่อึนซูกำลังกินอาหารเช้าอย่างเอร็ดอร่อย ชเวยองก็คอยมองไปยังที่ประทับขององค์ชายตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าอึนซูไม่มีทีท่าว่าจะอิ่มเสียที ชเวยองจึงถามว่า "ท่านยังไม่อิ่มอีกหรือ" อึนซูตอบว่า "เงียบน่า หุบปากไปเลย" ชเวยองประชดว่า " ท่านเก็บอาหารทั้งหมดเอาไว้ที่ใดกันแน่" อึนซูกล่าวว่า "ดูท่าทางสำนวนนี้จะยังไม่ถูกคิดขึ้นสินะ 'อย่ากวนหมาเวลามันกินข้าว' นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะได้กินอาหารมื้อต่อไปเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น เวลาที่ชั้นได้กิน...." ชเวยองทนรอไม่ไหวจึงตัดบทว่า "ถ้าเช่นนั้นท่านก็กินต่อไป ข้าจะไปดูองค์ชายก่อน" ชเวยองรีบลุกขึ้นแต่ถูกเจ้าเมืองเรียกตัวเอาไว้ เขาจึงจำเป็นต้องนั่งลง

ระหว่างนั้น องค์ชายคยองชางบอกคีชอลทั้งน้ำตาว่า "ข้ายังเด็กและโง่ จึงไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก  แต่สิ่งที่ข้ารู้ดีก็คือ... ใต้เท้าต็อกซอง! ยองที่ข้ารู้จักไม่ใช่คนที่จะคิดก่อกบฏ" คีชอลกล่าวว่า "องค์ชายอาจไม่รู้ว่าคนเรานั้นยอมทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ต่อให้ชเวยองมีความจงรักภักดีมากแค่ไหน..." องค์ชายคยองชางกล่าวว่า "ยองขี้เกียจเกินกว่าจะทำเรื่องเช่นนั้น"  คีชอลหัวเราะแล้วถามว่า "เพราะเขาเป็นคนขี้เกียจงั้นหรือพะยะค่ะ"  องค์ชายกล่าวต่อว่า "ยองที่ข้ารู้จัก ไม่หนักแน่นพอที่จะเอาตัวเองไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยากอย่างเช่นการก่อกบฏ...นั่นคือความจริง" คีชอลแย้ง "แต่ว่า...องค์ชาย! ในตอนนี้ ชเวยองจะก่อกบฏจริงหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยพะยะค่ะ คำถามก็คือ กระหม่อมควรกล่าวหาเขาว่าเป็นกบฏแล้วปล่อยให้เขาถูกลงโทษประหาร หรือว่ากระหม่อมควรจะช่วยเขาดี"

องค์ชายถามว่า "มีทางเลือกแค่สองทางใช่มั๊ย หากยองคุกเข่าต่อหน้าท่าน ท่านบอกว่าจะไว้ชีวิตเขาอย่างนั้นหรือ" เมื่อคีชอลตอบว่าใช่ องค์ชายจึงกล่าวว่า "ยองจะไม่ทำเช่นนั้น" คีชอลหุบยิ้มแล้วถามว่า ทำไม องค์ชายตอบว่า "ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่ายองขี้เกียจ ดังนั้น การคุกเข่าต่อหน้าคนที่เขาไม่ชอบและร้องขอชีวิต จึงไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำ"  คีชอลท้า "เรามาพนันกันดีมั๊ยพะยะค่ะ ชเวยองก็เหมือนคนอื่นๆ เพื่อรักษาชีวิตตนแล้วเขาจะยอมทำทุกอย่าง ถ้าหากจำเป็นเขาก็จะทอดทิ้งพระองค์หรือแม้กระทั่งฝ่าบาท คนเราก็เป็นเช่นนี้พะยะค่ะ" องค์ชายคยองชางได้แต่ส่ายหน้าทั้งน้ำตา


เจ้าเมืองถามชเวยองว่า เขาจะทำยังไงถ้าหากองค์ชายคยองชางอยากขึ้นครองบัลลังก์อีกครั้งและขอร้องให้เขาช่วย ชเวยองกล่าวอย่างไม่พอใจว่า ตนจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่เจ้าเมืองถาม แต่เจ้าเมืองหัวเราะแล้วแย้งว่าเขาได้ยินหมดแล้ว จากนั้นก็บอกให้เขาลองคิดดู ชเวยองตอบว่า ถึงตนจะเป็นแค่ทหารแต่ก็มีสมอง แล้วคนมีสมองที่ไหนจะตอบคำถามแบบนั้นในสถานการณ์เช่นนี้  เจ้าเมืองได้ยินดังนั้นจึงอ้างว่า ตนเองก็เสี่ยงชีวิตที่ยอมให้ชเวยองเข้าบ้านและทานอาหารของตน หากไม่ได้ฟังคำตอบจากชเวยอง ตนคงรู้สึกผิดหวัง ชเวยองได้แต่นั่งอึ้ง ส่วนอึนซูฟังแล้วถึงกับกลืนข้าวไม่ลง  

ขณะเดียวกัน คีชอลก็หยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขาขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ องค์ชายแล้วยื่นขวดสีเขียวๆ ให้ดูพลางถามว่า "องค๋ชายรู้มั๊ยพะยะค่ะว่าสิ่งนี้คืออะไร เขาว่าถ้าคนเราดื่มยาพิษนี้เข้าไป อวัยวะภายในทั้งหมดจะถูกแผดเผา...ตั้งแต่ลำคอลงไปถึงอวัยวะภายในทีละชิ้นๆ มันจะเผาไหม้อวัยวะทั้งหมดช้าๆ กระหม่อมได้ยินว่าความเจ็บปวดนั้นเหลือประมาณจนไม่อาจเทียบได้กับสิ่งใดในโลกนี้ องค์ชายจงมอบสิ่งนี้ให้กับชเวยอง แล้วถามเขาว่า...'เจ้าจะดื่มยาพิษนี้และตายเพื่อข้าได้หรือไม่  หากเจ้ายอมดื่ม คีชอลจะเห็นเจ้าเป็นศัตรูแค่คนเดียวและจะไว้ชีวิตข้า'...พระองค์คิดว่าชเวยองจะยอมดื่มยาพิษนี้แต่โดยดีหรือไม่.... พระองค์ไม่อยากรู้เรื่องนี้หรือพะยะค่ะ" 

อีกด้านหนึ่งเจ้าเมืองคังฮวายังคงกดดันชเวยองให้ตอบคำถามว่า หากองค์ชายคยองชางต้องการขึ้นครองบัลลังก์อีกครั้งและขอร้องให้เขาช่วย เขาจะทำอย่างไร ชเวยองจ้องหน้าเจ้าเมืองแล้วตอบว่า "ข้าจำเป็นต้องสังหารองค์ชายคยองชาง ข้าเป็นอูดัลจิที่มีหน้าที่ปกป้องพระราชา หากใครคิดคุกคามฝ่าบาท ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นใคร การกำจัดเขาคือหน้าที่ของข้า"  อึนซูได้ยินแล้วถึงกับหน้าจ๋อย ส่วนเจ้าเมืองได้แต่นั่งยิ้มและมองหน้าชเวยองอย่างครุ่นคิด


องค์ชายคยองชางมองขวดยาพิษแล้วเริ่มมีอาการทรุดหนัก คีชอลจึงคว้าตัวองค์ชายไว้แล้วกล่าวว่า ความจริงแล้วองค์ชายไม่ได้ทำอะไรผิด ตราบใดที่ชเวยองตายแบบเงียบๆ ตนจะแกล้งทำเป็นว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  หากองค์ชายไม่ยอมมอบยาพิษให้ชเวยอง องค์ชายจะต้องตายและถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ ทั้งยังขู่ด้วยว่าพระองค์จะถูกประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ องค์ชายแย้งทั้งน้ำตาว่า "ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าอยากได้ยอง แล้วทำไมท่านถึงคิดฆ่าเขา" คีชอลตอบว่า "องค์ชายไม่รู้หรือพะยะค่ะ พระองค์ไม่รู้เลยสักนิดว่าคนเราเป็นยังไง เพราะเหตุนี้ กระหม่อมถึงได้พยายามสอนพระองค์ ไหนๆ ชเวยองก็ต้องตายอยู่แล้ว (โทษฐานก่อกบฏ) จึงควรบอกเขาให้ช่วยพระองค์ก่อนแล้วค่อยตาย"  

องค์ชายคยองชางจับมือคีชอลแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "ยอง...ยอง...ไม่มีทางที่จะช่วยเขาได้เลยหรือ" คีชอลตอบว่า "ถ้าอย่างนั้นองค์ชายก็ต้องยอมสละชีวิตของพระองค์เอง เมื่อไม่มีพระราชาองค์อื่นมาแย่งชิงบัลลังก์ ก็จะไม่มีใครทำผิดโทษฐานก่อกบฏ"


ชเวยองรีบเดินนำไปยังที่ประทับขององค์ชายแต่ถูกอึนซูขวางไว้ ชเวยองร้อนใจจึงบอกว่า ถ้ามีอะไรจะพูดก็ให้พูดตอนไปถึงที่นั่นแล้ว อึนซูเองก็ร้อนใจไม่แพ้กันจึงบอกให้เขาพาองค์ชายกับเธอไปที่ประตูสวรรค์ เธอจะพาองค์ชายไปผ่าตัดและทำเคมีบำบัดในโลกของเธอ  มีเพียงวิธีนี้จึงจะช่วยชีวิตองค์ชายได้ ชเวยองแย้งว่าถึงไปที่นั่นก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าประตูสวรรค์จะเปิดหรือไม่ อึนซูจึงสวนกลับว่า อยู่ที่นี่แล้วเธอมีอะไรมารับประกันในเมื่อเขาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อกบฏ เธอยังบอกด้วยว่า ตนเองดูละครอิงประวัติศาสตร์มาเยอะจึงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป สุดท้ายทุกคนจะตายกันหมด หากยังอยู่ที่นี่เธอเองก็อาจตายด้วย เมื่อเห็นว่าชเวยองได้แต่ยืนนิ่ง เธอจึงคาดคั้นให้เขาพูดอะไรสักอย่าง ชเวยองจึงถามว่า เธอรู้จักทางไปที่นั่นงั้นหรือ อึนซูตอบว่าเธอจะถามทางไปเรื่อยๆ  ชเวยองถามต่อว่า เธอจะหลบหนีทหารทั้งกองทัพได้อย่างไร เมื่อเห็นว่าอึนซูได้แต่อ้ำอึ้ง ชเวยองก็เดินจากไปทันที อึนซูร้องถามว่า "เราหนีไปด้วยกันไม่ได้เหรอ (ชเวยองหยุดเดินทันที) อยู่ที่นั่นแล้วนายก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าใครอีกต่อไป เพราะฉะนั้น ไปด้วยกันเถอะนะ ไปสวรรค์กับชั้น" ชเวยองน้ำตาคลอเบ้า เขาไม่พูดอะไรและเดินจากไป (ยังที่ประทับองค์ชาย) เงียบๆ
  
เมื่อมาถึงบริเวณด้านหน้าที่ประทับ ชเวยองก็พบว่าเหล่าทหารที่ยืนเฝ้ายามก่อนหน้านี้หายไปหมดแล้ว เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงรีบวิ่งเข้าไปดูองค์ชาย พอเห็นว่าองค์ชายนอนอยู่บนเตียงเขาก็ยิ้มด้วยความโล่งอกแล้วถามองค์ชายว่า พระองค์ได้บรรทมบ้างรึยัง เมื่อเห็นว่าองค์ชายแสดงอาการเจ็บปวด ชเวยองก็ถามว่า ทรงรู้สึกเจ็บอีกแล้วหรือ พอเห็นองค์ชายนอนเหงื่อท่วม ตัวสั่น และแสดงอาการทุกข์ทรมาน ชเวยองก็ร้องเรียกอึนซูทันที

แม้จะรู้ว่าเสี่ยงต่อชีวิต แต่จูซอกก็กลับเข้าวังตามคำสั่งของชเวยอง ทันทีที่มาถึงเขาก็พบว่ามีทหารประจำการอยู่ในวังมากผิดปกติจึงแอบซุ่มดูสถานการณ์ แต่แล้วก็ถูกทหารยามควบคุมตัวเอาไว้ จูซอกไม่พอใจที่ถูกทหารยามลบหลู่จึงกล่าวว่าตนเป็นอูดัลจิที่มีหน้าที่ปกป้องพระราชา หัวหน้าทหารยามกล่าวว่ามีคำสั่งให้ควบคุมตัวอูดัลจิทุกคน จูซอกไม่ยอมให้จับตัวแต่โดยดีเพราะมีภารกิจสำคัญที่ต้องทำ เขาจึงต่อสู้กับเหล่าทหาร แต่พอปราบหน่วยหนึ่งได้ก็มีทหารยามหน่วยใหม่เข้ามาเสริม โชคดีที่แทมานช่วยยิงหนังสติ๊กสกัดเหล่าทหารจากบนหลังคา จูซอกจึงหนีรอดไปได้


อึนซูได้ยินเสียงร้องเรียกจึงรีบเข้าไปดูอาการองค์ชายในห้อง เธอจะจับชีพจรที่ข้อมือองค์ชายแต่กลับพบว่าบนผิวหนังขององค์ชายเต็มไปด้วยรอยแดงไหม้  ชเวยองเห็นขวดยาในมือองค์ชายจึงหยิบขึ้นมาดมแล้วถามว่าพระองค์เสวยยานี้เข้าไปรึเปล่า แต่องค์ชายนอนนิ่งไม่ยอมตอบ ชเวยองจึงถามว่าใครมอบยานี้ให้พระองค์ อึนซูร้องถามว่า ที่ชเวยองพูดถึงคือยาอะไร  ชเวยองตอบว่า "นั่นเป็นยาพิษ หากใครดื่มเข้าไปอวัยวะภายในจะไหม้ ชเวยองรีบถอดเสื้อองค์ชายออก ทั้งเขาและอึนซูต่างตกตะลึงเมื่อพบว่าบริเวณหน้าอกขององค์ชายมีรอยไหม้แดงและเต็มไปด้วยแผลพุพอง 

อึนซูสงสัยว่าองค์ชายอาจเสวยสารพิษประเภทกรดเข้าไป แต่เธอไม่รู้ว่าเป็นพิษชนิดไหน จึงถูกชเวยองตะคอกใส่ว่า "ข้าบอกท่านแล้วไงว่ามันคือยาพิษ ท่านไม่รู้ได้อย่างไร รีบทำอะไรสักอย่างสิ"  อึนซูได้แต่ถามว่ายานี้ร้ายแรงแค่ไหน ชเวยองตอบว่า ถ้าใครดื่มยานี้เข้าไปจะไม่อาจตายได้โดยง่าย แม้อวัยวะภายในถูกทำลายแต่ก็จะตายช้าๆ อึนซูจนปัญญาเพราะไม่รู้ว่าจะรักษาอย่างไรดีจึงได้แต่นั่งนิ่งและกล่าวคำขอโทษ  ชเวยองจึงสั่งให้อึนซูนำน้ำเย็นมาให้ อย่างน้อยก็พอจะช่วยให้ไข้ขององค์ชายลดลงได้บ้าง


ชเวยองประคององค์ชายให้ลุกนั่ง องค์ชายพยายามร้องเรียก "ยอง! ยอง!" แล้วบอกว่า "ใต้เท้าต็อกซองสอนวิธีช่วยเจ้าให้กับข้า" ชเวยองถามองค์ชายด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า "คีชอล...เขามาที่นี่หรือพะยะค่ะ...เป็นเขาใช่มั๊ยพะยะค่ะ" องค์ชายพูดต่อ "เขาต้องไม่รู้แน่ๆ เลยว่า....." ชเวยองรีบถาม "เขาให้ยาพิษนั่นกับพระองค์หรือพะยะค่ะ เขาให้มันกับพระองค์ใช่มั๊ย" องค์ชายพูดต่อจากเมื่อครู่ "....ถึงยังไงข้าก็อยู่ได้อีกไม่นาน แต่เขาไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้น เขาจึงบอกให้ข้ามอบยาพิษนี้แก่เจ้า แต่ว่า...ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร" ชเวยองได้ยินดังนั้นจึงถามองค์ชายทั้งน้ำตาว่า "เพื่อกระหม่อม พระองค์จึงเสวยยานั่นแทนใช่ไหม พระองค์เสวยมันเข้าไปใช่หรือเปล่าพะยะค่ะ"

เมื่อเห็นองค์ชายเริ่มหายใจติดขัด ชเวยองก็ถามด้วยน้ำตานองหน้าว่า "ทรงเจ็บมากมั๊ยพะยะค่ะ" องค์ชายถามว่า "ข้าก็ไปได้เช่นกันใช่ไหม ที่นั่น...ไปสวรรค์" ชเวยองตอบ "ได้แน่นอนพะยะค่ะ"  องค์ชายจึงบอกให้เขาเล่าเรื่องสวรรค์ให้ฟัง ชเวยองรีบอุ้มองค์ชายไว้แนบอก แล้วเล่าว่า บนสวรรค์มีรถม้าที่วิ่งได้เองโดยไม่ต้องใช้ม้าลาก บนถนนที่กว้างขวางคราคร่ำไปด้วยรถม้าเหล่านี้ อีกทั้งยังมีแสงไฟสว่างไสว องค์ชายแทรกขึ้นว่า "ข้าเจ็บ มันเจ็บจังเลย ยอง" ชเวยองพยายามเล่าต่อทั้งน้ำตาว่า ถ้าองค์ชายไปที่นั่น  ไม่ว่ากลางคืนจะมืดแค่ไหน พระองค์ก็จะไม่หลงทาง" แต่องค์ชายยังคงร้องว่า "ข้าเจ็บเหลือเกิน"


ชเวยองสงสารองค์ชายที่ต้องทนทุกข์ทรมานจึงจับพระองค์ให้นั่งตรงหน้า แล้วกล่าวว่า "กระหม่อมจะช่วยให้องค์ชายหายเจ็บเองพะยะค่ะ  ทรงอนุญาตให้กระหม่อมทำเช่นนั้นได้ไหม" องค์ชายร่ำไห้แล้วตอบว่า "ได้สิ  ช่วยข้าด้วย ข้าเจ็บเหลือเกิน" ชเวยองเอื้อมมือไปหยิบมีดสั้นที่เอว จากนั้นก็สวมกอดองค์ชาย แล้วใช้มีดแทงทะลุขั้วหัวใจ  เมื่อได้ยินเสียงอึนซูเปิดประตู ชเวยองก็รีบเช็ดน้ำตา  อึนซูแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นองค์ชายมีเลือดออกที่บริเวณหน้าอก ส่วนชเวยองก็ถือมีดที่เต็มไปด้วยเลือด เธอถามชเวยองว่า เขาฆ่าองค์ชายใช่ไหม ชเวยองไม่ตอบและไม่อธิบาย เขาเก็บมีดแล้วกล่าวเพียงว่า "ข้าคิดว่าเจ้าเมืองหักหลังเรา เราต้องรีบหนีเดี๋ยวนี้ ท่านรออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะออกไปดูสถานการณ์ข้างนอกสักครู่" อึนซูรับไม่ได้เมื่อรู้ว่าชเวยองฆ่าองค์ชาย จึงพยายามวิ่งหนีแต่ชเวยองคว้าตัวเธอเอาไว้แล้วดึงเข้าหาตน จากนั้นก็พูดว่า "จงทำตามที่ข้าบอก ข้าบอกให้ท่านอยู่ข้างกายข้า นั่นเป็นวิธีเดียวที่ข้าจะปกป้องท่านได้ ข้าต้องบอกท่านอีกสักกี่ครั้งท่านถึงจะจำได้"

อึนซูกำลังช็อคกับเหตุการณ์ตรงหน้า เธอรู้สึกว่าชเวยองเป็นฆาตกรที่มีจิตใจเหี้ยมโหด ฆ่าได้แม้กระทั่งเด็ก จึงสะบัดตัวออกจากชเวยอง  แล้วบอกว่าอย่าเอามือสกปรกมาแตะต้องตัวเธอ จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป ชเวยองขอร้องอึนซูว่าอย่าออกจากห้อง แต่อึนซูไม่ฟัง  ทำให้ชเวยองรู้สึกเสียใจและผิดหวังมาก  เขาหยิบดาบและโล่แล้วรีบตามอึนซูออกไป อึนซูร้องไห้และพยายามวิ่งหนี ด้วยความที่มัวแต่หันหลังกลับมองชเวยอง เธอจึงพลัดตกบันได โชคดีที่คีชอลเข้ามารับไว้ได้ทัน


ชเวยองเห็นดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกแค้น  เขาเข้าไปเผชิญหน้ากับคีชอลแล้วถามว่า "ทำไมท่านไม่ปล่อยนางลง ข้ามีเรื่องที่ต้องสะสางกับท่าน" พูดจบเขาก็ชักดาบแล้วเดินตรงเข้าไปหาคีชอล (ซึ่งยังไม่ยอมปล่อยอึนซู) แต่ชอน อึมจาเข้ามาขวางไว้และโจมตีชเวยองทันที ระหว่างนั้นอึนซูพยายามดิ้นเพื่อให้คีชอลปล่อยตัวเธอลง จากนั้นก็ทำท่าว่าเดินไปหาชเวยองแต่ถูกคีชอลขวางไว้ ชเวยองเห็นอึมจาเตรียมเป่าเพลงสังหารจึงตรงเข้าจู่โจม เมื่อเห็นฮวา ซูอินก็เดินมายืนขนาบข้างอึนซู ชเวยองก็รู้สึกเป็นห่วง เขาจึงใช้พลังภายในจัดการกับอึมจา แล้วขว้างโล่ใส่ฮวา ซูอิน แต่คีชอลปล่อยพลังเยือกแข็งจากฝ่ามือสกัดเอาไว้ และทำลายโล่จนระเบิดเป็นจุล 
    
คีชอลถามชเวยองด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ว่า องค์ชายคยองชางอยู่ที่ไหน  ชเวยองตวาดใส่ด้วยความเคียดแค้นว่า "ท่านช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก ทำไมท่านถึงไม่รู้ ทำไมท่านจึงไม่รู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน!" ชเวยองจะเดินเข้าไปจัดการชเวยอง แต่ถูกทหารของเจ้าเมืองล้อมไว้ ถึงกระนั้นเขาก็ยังกวัดแกว่งดาบใส่จนทหารพากันล่าถอย คีชอลบอกทหารว่า ชเวยองคือคนร้ายที่ชิงตัวองค์ชายคยองชางซึ่งถูกขับออกจากราชบัลลังก์และคิดก่อกบฏ เขาสั่งให้ทหารจับชเวยองคุกเข่าต่อหน้าตน ชเวยองเห็นฮวา ซูอินถอดถุงมือแล้วปล่อยหลังไฟใส่อึนซูเพื่อเป็นการข่มขู่  (ถึงจะรู้สึกร้อนแต่อึนซูก็พยายามอดทนและเก็บอาการเอาไว้ เพื่อไม่ให้ชเวยองเป็นห่วง) ชเวยองเห็นดังนั้นจึงยอมวางดาบและคุกเข่าลงตรงหน้าคีชอลแต่โดยดี


เมื่อยอมจำนนแล้วชเวยองก็เงยหน้ามองอึนซู แต่อึนซูเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตา ชเวยองจึงก้มหน้าครุ่นคิด แต่แล้วอยู่ๆ เขาก็ยิ้มออกมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา