วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เรื่องย่อ ลิขิตรักนางทาส (Maids)




กำกับ: โจ ฮยอนทัค
เขียนบท: โจ ฮยอนคยอง 
แนวละคร: อิงประวัติศาสตร์, ย้อนยุค, โรแมนติก, แอ็คชั่น
จำนวนตอน: 20
ออกอากาศ: เกาหลี - 23 มกราคม 2558 - 28 มีนาคม 2558 ทางเจทีบีซี
                 ไทย - ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 9.00-10.30 น. ทางพีพีทีวี ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2558 - 7 กุมภาพันธ์ 2559

ละคร "ลิขิตรักนางทาส (Maids)" ออกอากาศครั้งแรกที่ประเทศเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2557 แต่ออกอากาศได้เพียงตอนเดียวก็เกิดเพลิงไหม้ฉากถ่ายทำในวันรุ่งขึ้น เป็นเหตุให้สูญเสียทีมงาน (ผู้ประสานงานสคริปต์) ไป 1 คน ละครจึงหยุดออกอากาศนาน 6 สัปดาห์ หลังสร้างฉากใหม่แล้วเสร็จจึงเริ่มถ่ายทำใหม่อีกครั้งในวันที่ 12 มกราคม 2558 โดยเริ่มออกอากาศใหม่อีกครั้งตั้งแต่ตอนแรก (เวอร์ชั่นตัดต่อใหม่) ในวันที่ 23 มกราคม 2558

เรื่องย่อ




"ลิขิตรักนางทาส (Maids)" กล่าวถึงชีวิตที่พลิกผันของ "กุก อินยอพ" บุตรสาวคนเดียวของขุนนางใหญ่แห่งโชซอน ซึ่งมีรูปโฉมงดงามและเพียบพร้อมจนเป็นที่หมายปองของใครหลายคน หนึ่งในนั้นคือ "คิม อึนกี" บัณฑิตหนุ่มแห่งซองคยูนกวานและทายาทตระกูลอันมั่งคั่งซึ่งหลงรักอินยอพมาตั้งแต่เด็ก แต่หลังจากพ่อของอินยอพถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ คุณหนูสูงศักดิ์ผู้ถือดีอย่างอินยอพต้องกลับกลายเป็นทาสในชั่วข้ามคืน ด้วยความที่ถูกเลี้ยงดูดั่งไข่ในหินและมีชีวิตที่สุขสบายมาตั้งแต่เกิด จึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอที่จะปรับตัวปรับใจ ซ้ำยังต้องมาเป็นทาสรับใช้ที่บ้านคู่ปรับอีกด้วย

แต่ในที่สุดเธอก็เรียนรู้ที่จะปรับตัวเพื่อความอยู่รอด โดยอาศัยไหวพริบและการผูกมิตรกับเหล่าทาสด้วยกัน รวมทั้ง "ซาวอล" อดีตทาสสาวประจำตัวของเธอเอง และทาสหนุ่มผู้เนื้อหอมและแสนลึกลับนามว่า "มู-มยอง" (แปลว่า "นิรนาม") ซึ่งเคยช่วยชีวิตเธอตอนที่เธอยังเป็นชนชั้นสูง (ความจริงแล้วเขาไม่ใช่ทาส แต่เป็นนักรบของกลุ่มมันวอลดังที่แฝงตัวมาทำภารกิจลับทางการเมือง - เป้าหมายคือการกอบกู้ราชวงศ์โครยอ) ถึงแม้ว่าอึนกีจะยังคงยึดมั่นในรักที่มีต่ออินยอพ แต่การที่เธอเปลี่ยนสถานะมาเป็นชนชั้นต่ำจึงเป็นอุปสรรคที่ทำให้ทั้งคู่ไม่อาจลงเอย ที่สำคัญ อินยอพเกิดตกหลุมรักมู-มยอง ทำให้อึนกีกับมู-มยองต้องกลายมาเป็นศัตรูหัวใจ  ขณะที่นางโลมอันดับหนึ่งและอดีตคนรักของมู-มยอง "คา ฮีอา" (มีตัวตนจริง) ก็หมายปองและหวังครอบครองมู-มยองเช่นกัน




* เนื้อหาในละครเป็นเรื่องสมมุติแต่มีการนำเหตุการณ์จริงและบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์มาอ้างอิง

ละครเปิดฉากขึ้นในคืนอันหนาวเหน็บและมีหิมะโปรยปรายในตอนต้นของราชวงศ์โชซอน "กุก อินยอพ" ซึ่งอยู่ในชุดเจ้าสาวและกลายสถานะเป็นทาสมาหมาดๆ เริ่มอ่อนล้าและเหนื่อยหอบหลังเดินเท้าเปล่าฝ่าความหนาวเย็นมาได้ระยะหนึ่ง "มู-มยอง" เห็นเธอเจ็บเท้าจนเดินต่อไปแทบไม่ไหวจึงถอดรองเท้าสานของตนมาให้อินยอพสวม (เธอมีเลือดออกที่เล็บเท้า) พลางบอกว่าถ้าไม่อยากโดนลากตัวไปเหมือนกระสอบก็ต้องเดินด้วยขาตนเอง อินยอพซึ่งยังคงติดนิสัยเจ้ายศเจ้าอย่างจ้องหน้ามู-มยองสลับกับมองรองเท้าของเขาพลางถอยหลังหนี (รองเท้าสานเป็นรองเท้าสำหรับชนชั้นต่ำ) มู-มยองจึงโยนบ่วงเชือกคล้องคออินยอพแล้วลากตัวเธอกลับมาอย่างป่าเถื่อน ก่อนดึงตัวเธอให้ลุกขึ้นยืน


เมื่ออินยอพซึ่งคุ้นชินกับการใช้ชีวิตแบบคุณหนูผู้สูงส่งถูกกระทำอย่างโหดร้ายทารุณ เธอจึงกรีดร้องและทุบตีมู-มยองด้วยความโกรธ มู-มยองเลยใช้เชือกมัดตัวเธอไว้ อินยอพจ้องหน้ามู-มยองพลางตำหนิด้วยความโกรธแค้นที่เขา (และคนอื่นๆ) เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือหลังสถานะทางสังคมของเธอเปลี่ยนไป เธอกล่าวว่าเขาเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน เมื่อวานเขายังก้มศีรษะให้เธออยู่เลย แต่มาวันนี้เขากลับถ่มน้ำลายใส่เธอ (ดูถูกเหยียบย่ำ) แล้วอย่างนี้เขายังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นคนอีกหรือ มู-มยองกล่าวว่า "จริงอย่างที่คุณหนูพูด พวกข้าไม่ใช่คน จงทำใจยอมรับซะ เพราะท่านเองก็ไม่ใช่คน* อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นทาสรับใช้เช่นเดียวกับพวกข้า" อินยอพปฏิเสธทั้งน้ำตาว่าเธอไม่ใช่ทาส มู-มยองจึงตะคอกกรอกหูเธอว่า ตอนนี้เธอเป็นทาสรับใช้เช่นเดียวกับพวกตนและเธอก็ไม่ใช่คนอีกต่อไป อินยอพทำใจยอมรับความจริงไม่ได้ เธอยอมตายแต่ไม่ยอมเป็นทาสจึงกระโดดลงจากหน้าผาก่อนดำดิ่งลงไปในน้ำทั้งๆ ที่โดนมัด

* ในยุคโชซอนไม่ถือว่าทาสเป็นคน แต่เป็นเสมือนสิ่งของที่สามารถซื้อขายได้

ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ก่อนหน้านี้



ทาสรับใช้นามว่า "ซาวอล" นำน้ำล้างหน้ามาให้นายสาว "กุก อินยอพ" ที่ห้อง พร้อมทั้งนำดอกไม้มามอบให้เธอ พลางกล่าวอย่างชื่นชมว่า "วันนี้ดอกซูกุก (ไฮเดรนเยีย)  เจ้าค่ะ ไม่รู้ว่านายน้อยไปสรรหาดอกไม้ที่ไม่ซ้ำกันมาได้ยังไงทุกวันเลย" อินยอพดอมดมดอกไม้ด้วยความปลาบปลื้ม เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ตนเองมีภารกิจสำคัญที่ต้องทำ เธอจึงถามซาวอลถึงเรื่องให้ให้ไปสืบ พอรู้ว่าจะมีเหล่าขุนนางใหญ่มาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดเจ้ากรมกลาโหมกันพร้อมหน้า เธอจึงสั่งให้ทาสรับใช้ในบ้านแบกเกี้ยวมาให้เธอเลือกทีละหลังทั้งๆ ที่เดินไปดูเองง่ายกว่า แต่แบกมาจนหมดบ้านก็ยังไม่มีเกี้ยวที่ถูกใจ เธอจึงสั่งให้ทาสรับใช้ที่ชื่อ "พุงงี" ไปเช่าเกี้ยวที่ร้านโดยเลือกเกี้ยวที่ใหม่และดีที่สุดมาให้เธอ

อินยอพเปรยว่าตนเตรียมของขวัญวันเกิดให้เจ้ากรมกลาโหมแล้ว แต่ยังไม่ได้เลือกผ้าไหมให้ "ฮอ ยุน-อก"  (ธิดาเจ้ากรมกลาโหม) จึงบอกให้ซาวอลไปนำผ้าไหมที่มีอยู่มาให้เธอเลือก หลังซาวอลแบกม้วนผ้าไหมมาให้เธอดูหลายสิบรอบจนผ้ากองเต็มห้อง  อินยอพก็ยังไม่ถูกใจ เธอจึงบอกให้ซาวอลไปนำผ้าไหมในตู้มาให้เธอ ซาวอลแย้งว่านั่นเป็นผ้าไหมที่อินยอพเตรียมไว้ใช้ในวันแต่งงาน อินยอพกล่าวว่าถ้าพ่อของเธอไม่กลับมา งานแต่งงานก็ไร้ความหมาย   และที่เธอลงทุนไปทั้งหมดก็เพื่อให้เจ้ากรมกลาโหมช่วยตามสืบข่าวพ่อของเธอ


ขณะเดียวกัน เหล่าบรรดาทาสรับใช้หลายสิบชีวิตที่บ้านของเจ้ากรมกลาโหมต่างกำลังจัดเตรียมอาหารและสถานที่สำหรับงานเลี้ยง มีเพียง "ทันจี" ที่แอบไปมีสัมพันธ์สวาทกับนายน้อย "ฮอ ยุนซอ" (บุตรชายเจ้ากรมกลาโหม) เมื่อเห็นทันจีแต่งตัวอย่างเร่งรีบยุนซอก็พยายามรั้งเธอไว้โดยบอกว่าบ้านตนมีทาสรับใช้ตั้งมากมายขาดเธอไปแค่คนเดียวจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทันจีแย้งว่าวันนี้มีงานใหญ่เธอจึงต้องรีบไปช่วยงานในครัว ยุนซอกล่าวว่าที่ของเธอไม่ได้อยู่ในครัวแต่อยู่กับตนที่นี่ (โพรงถ้ำใต้ดิน) ทันจีสบโอกาสจึงขอให้ยุนซอรับผิดชอบตนโดยบอกว่าชายชาตรีไม่ควรแอบลักกินขโมยกิน ยูนซอได้ยินดังนั้นจึงเฉไฉพูดเรื่องอื่นและมอบแหวนวงใหญ่ยักษ์เป็นของขวัญให้ทันจี  ทันจีแย้งว่าตนไม่ใช่นางคณิกาและปาแหวนทิ้ง จากนั้นก็ไล่ยุนซอออกจากห้อง พอกลับมาทำงานในครัวทันจีก็แอบนำชาข้าวบาเลย์ของเจ้านายมาชงให้ทาสรับใช้ที่ชื่อ "ต็อกเซ" เพื่อเป็นการขอบคุณที่เขาช่วยอำนวยความสะดวกให้เธอ (เธอโกหกต็อกเซว่าตนเองไปแอบงีบ)

"นายหญิงยูน" (ภรรยาเจ้ากรมกลาโหม) ถามแม่สื่อว่า วันนี้ว่าที่ลูกเขยของตนจะมาร่วมงานด้วยใช่ไหม แม่สื่อกล่าวว่าครอบครัวของฝ่ายชายรับปากว่าจะให้บุตรชายของตนมาร่วมงานวันนี้ พลางชมว่าฝ่ายชายประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย เขาผ่านการสอบระดับชาติและกำลังศึกษาที่ซองคยูนกวานด้วยผลการเรียนอันยอดเยี่ยม จึงเป็นชายหนุ่มที่มีอนาคตไกล แถมหน้าตายังหล่อเหลา มิหนำซ้ำฐานะทางบ้านยังร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆ ของโชซอน* อีกด้วย นายหญิงยูนกล่าวว่าเรื่องนั้นตนรู้ดีเพราะฝ่ายชายเป็นเพื่อนกับลูกชายตน

* เกร็ดความรู้:


อาณาจักรโชซอนในยุคนั้นแบ่งการปกครองออกเป็น 8 มณฑล ได้แก่ 

ชุงชอง (เมืองหลวงชื่อ คงจู)
คังวอน (เมืองหลวงชื่อ วอนจู)
คยองกี (เมืองหลวงชื่อ ซูวอน) - เมือง "ฮันยาง" หรือ "ฮันซอง" (กรุงโซลในปัจจุบัน)  ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโชซอนตั้งอยู่ในมณฑลนี้
คยองซัง  (เมืองหลวงชื่อ แดกู)
ฮัมคยอง (เมืองหลวงชื่อ  "ฮัมฮึง")
ฮวางแฮ (เมืองหลวงชื่อ แฮจู)
ชอลลา   (เมืองหลวงชื่อ ชอนจู) 
พยองอัน (เมืองหลวงชื่อ พยองยาง หรือเปียงยาง)

* สมัยนั้นเกาหลียังไม่แยกเป็นเกาหลีเหนือ-ใต้ มณฑลที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จึงไม่ใช่จังหวัดในปัจจุบันของเกาหลีใต้ถึงแม้จะใช้ชื่อเดียวกันก็ตาม 

ภาพจาก: วิกิพีเดีย (คลิกที่รูปเพื่อดูภาพขยาย)



"นายหญิงฮัน" (ภรรยา "คิม ชิควอน" / มารดาของ "คิม อึนกี") เรียกมู-มยองมาพบเพื่อถามว่าเธอต้องจ่ายเงินสักเท่าไหร่เขาถึงจะยอมย้ายมาเป็นทาสรับใช้ที่บ้านเธอ มู-มยองปฏิเสธอย่างสุภาพพลางกล่าวว่าตนไม่อาจละทิ้งหน้าที่ได้ นายหญิงฮันได้ยินดังนั้นจึงแย้งว่าชีวิตของชนชั้นต่ำอย่างเขาอยู่ในกำมือชนชั้นสูง เขาจึงไม่สามารถเลือกทางเดินเองได้ แม้บ้านเจ้ากรมกลาโหมที่เขาทำงานอยู่จะมีอำนาจมากกว่าบ้านของเธอ แต่บ้านของเธอก็ไม่ได้มั่งคั่งน้อยกว่า เธอเชื่อว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เงินซื้อไม่ได้ เมื่อเห็นว่ามู-มยองไม่ต้องการย้ายมาทำงานที่บ้านเธอจริงๆ เธอจึงคิดที่จะช่วยให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยวิธีอื่นจึงมอบ (โยน) ปื่นปักผมทองคำให้ มู-มยองขยับเข้ามาดูปิ่นทองใกล้ๆ แทนที่จะรับไว้เขากลับนำปิ่นไปปักผมคืนให้นายหญิงฮันพลางกล่าวว่าลูกผู้ชายชอบเป็นฝ่ายให้มากกว่าฝ่ายรับ หากวันใดตนเป็นฝ่ายให้ได้ตนจะกลับมาพบนายหญิงฮันอีกครั้ง แต่นายหญิงฮันไม่ยอมปล่อยมู-มยองไปง่ายๆ เธอพยายามถอดเสื้อมู-มยองเพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าเขาคุ้มค่าสมกับการรอคอยหรือไม่ ระหว่างยื้อยุดกันอยู่นั้นก็มีเสียงคนตะโกนบอกว่า "นายหญิง! นายน้อยอึนกีกลับมาจากซองคยูนกวานแล้วขอรับ " 

อึนกีเห็นมู-มยองเดินออกมาจากบ้านของตน (เรือนชั้นใน) จึงรู้สึกไม่พอใจ พอรู้ว่ามู-มยองเป็นทาสรับใช้ที่บ้านเจ้ากรมกลาโหม อึนกีก็ถามด้วยท่าทางเอาเรื่องว่าทำไมเขาถึงเดินออกมาจากบ้านของตน ขนาดทาสรับใช้ในบ้านตนยังไม่สามารถเข้านอกออกในได้ตามใจชอบ เมื่อรู้ว่ามู-มยองได้รับคำสั่งให้เข้าไปทางด้านใน อึนกีจึงหยิบยกกฏระเบียบมาเตือนว่าทาสรับใช้ที่ไม่ใช่คนในบ้านห้ามเข้าเรือนในของชนชั้นสูง นายหญิงฮันเห็นลูกชายไม่ยอมเลิกราจึงไล่ให้มู-มยองไปเลือกคนงานที่เรือนทาสรับใช้ของตน


หลังจากนั้นนายหญิงฮันก็แก้ตัวกับลูกชายว่า เธอได้ยินคนในบ้านเจ้ากรมกลาโหมชมว่ามู-มยองทำงานเก่งเลยคิดทาบทามให้มาช่วยงานที่บ้าน อึนกีแย้งว่าที่บ้านมีชองชิกและตนคอยช่วยงานอยู่แล้ว เขาตำหนิมารดาที่เชิญคนแปลกหน้าเข้าบ้าน นายหญิงฮันจึงตัดบทโดยบอกให้ลูกชายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบไปพบพ่อเพราะเขาต้องไปร่วมงานวันเกิดเจ้ากรมกลาโหม และให้ถือโอกาสนี้สู่ขอธิดาของท่านเจ้ากรมเสียเลย อึนกีแย้งว่าตนให้คำมั่นเอาไว้ว่าจะแต่งงานกับใครบางคน นายหญิงฮันจึงชี้ว่าการเกี่ยวก้อยสัญญาแบบเด็กๆ เป็นเรื่องไร้สาระ ไม่นับเป็นการหมั้นหมาย แถมตอนนี้สถานะของ 'บ้านนั้น' ก็ไม่สู้ดี ที่สำคัญ การแต่งงานเป็นเรื่องของครอบครัว เขาจึงไม่สามารถตัดสินใจเองได้

มู-มยองมาที่เรือนคนใช้บ้านนายหญิงฮันเพื่อขอแรงทาสรับใช้บางส่วนไปช่วยงานที่บ้านเจ้ากรมกลาโหม โดยบอกว่ามีค่าจ้างพิเศษพร้อมอาหารชุดใหญ่ให้สามมื้อ ด้วยรูปร่างหน้าตาที่หล่อล่ำของมู-มยองจึงมีเหล่าทาสสาวอาสาไปช่วยงานหลายคน ขณะที่มู-มยองพาทาสสาวเดินไปที่บ้านเจ้ากรมกลาโหม เกี้ยวของอินยอพก็ลัดเลาะออกมาจากตรอกเล็กๆ พอดี เขาจึงหลีกทางให้คนแบกเกี้ยวเดินนำไปก่อน มู-มยองรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงหยุดเดิน ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้หญิงกรีดร้องให้ช่วย เมื่อหันไปดูก็พบผู้คนกำลังวิ่งหนีวัวคลั่งซึ่งไล่ชนคนและข้าวของทุกอย่างที่ขวางหน้า เมื่อเห็นวัวสองตัววิ่งตรงมาที่พวกตน พุงงี (หนึ่งในคนแบกเกี้ยว) จึงพยายามถอยหลบแต่เกิดสะดุดล้มทำให้เกี้ยวของอินยอพตกกระแทกกับพื้น



มู-มยองบอกให้เหล่าทาสที่มากับตนวิ่งหนีไปก่อน ขณะที่ซาวอลบอกให้อินยอพรีบออกจากเกี้ยว เพราะวัวกำลังวิ่งตรงมาทางพวกตน เมื่อเห็นว่าอินยอพไม่ยอมลุกออกจากเกี้ยวสักที ซาวอลจึงเอาตัวบังเกี้ยวไว้ พุงงีเห็นดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นมาผลักซาวอลให้พ้นทางทั้งๆ ที่ตนเองกำลังขาเจ็บ กว่าอินยอพจะลุกออกจากเกี้ยว วัวคลั่ง 2 ตัวก็วิ่งเข้ามาใกล้เต็มที อินยอพเห็นดังนั้นจึงตกใจจนก้าวขาไม่ออก เลยได้แต่ยืนมองวัววิ่งเข้าหาตน โชคดีที่มู-มยองช่วยดึงตัวเธอออกจากบริเวณดังกล่าวได้ทัน แต่นั่นก็ทำให้ทั้งคู่เสียหลักล้มลงโดยที่ร่างของอินยอพล้มทับมู-มยอง แถมปากของทั้งคู่ยังชนกันอย่างจังอีกด้วย (แม้ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานอินยอพก็ยังถือช่อดอกไม้เอาไว้ในมือตลอดเวลา) 

เมื่อหายตกใจแล้ว อินยอพก็ตบหน้ามู-มยองเพื่อกลบเกลื่อนความอับอาย และสั่งสอนที่ชนชั้นต่ำอย่างเขาบังอาจแตะต้องหญิงสูงศักดิ์อย่างตน ขณะที่ซาวอลรีบก้มศีรษะขอบคุณมู-มยองอย่างนอบน้อม แม้ทุกคนจะปลอดภัยแต่เกี้ยวที่เช่ามาถูกวัวชนเสียหายไม่น้อย แถมพุงงียังมีอาการบาดเจ็บที่เท้าทำให้ไม่สามารถแบกเกี้ยวต่อไปได้ ซาวอลจึงบอกว่าตนจะรีบกลับบ้านเพื่อนำเกี้ยวหลังใหม่มาเปลี่ยนให้ แต่อินยอพแย้งว่าเลยเวลาเริ่มงานแล้ว เธอดึงประตูเกี้ยวที่พังยับออกมาและจะนั่งเกี้ยวทั้งที่ไม่มีประตู ซาวอลขอร้องให้มู-มยองช่วยแบกเกี้ยวแทนพุงงี แต่มู-มยองปฏิเสธโดยอ้างว่าตนไม่ใช่คนแบกเกี้ยว แม้อินยอพจะบอก (ผ่านซาวอล) ว่าเธอยินดีจ่ายค่าแรงให้อย่างงาม แต่มู-มยองไม่สนใจ เขากล่าวเพียงว่าตนกำลังยุ่งและเดินจากไปทันที


อินยอพถามมู-มยองว่าเขาทำงานให้บ้านไหน มู-มยองถอนใจและหันกลับไปตอบว่าบ้านเจ้ากรมกลาโหม อินยอพได้ยินดังนั้นจึงบอกว่าเธอกำลังจะไปบ้านเจ้ากรมกลาโหมพอดี จากนั้นก็เข้าไปนั่งรอในเกี้ยว มู-มยองกล่าวว่า "ทำไมคุณหนูไม่เดินไปเองล่ะขอรับ" ซาวอลฟังแล้วถึงกับอ้าปากค้าง อินยอพไม่พอใจที่ถูกทาสรับใช้ลามปาม จึงเดินเข้าไปถามอย่างเอาเรื่องว่าเมื่อครู่นี้เขาพูดว่าอะไร มู-มยองกล่าวว่าเดินไปอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว อินยอพจึงชี้ว่ามู-มยองเป็นแค่ทาสรับใช้ ส่วนตนเป็นถึงลูกสาวคนเดียวของตระกูลกุกซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งราชวงศ์โชซอน ดังนั้น สถานะทางสังคมของตนกับมู-มยองจึงต่างกันราวฟ้ากับเหว  (ดังนั้นจงอย่าริบังอาจมาแข็งข้อกับเธอ) พูดจบอินยอพก็เดินเข้าไปนั่งในเกี้ยวโดยไม่สนใจว่าพุงงีจะไปต่อได้หรือไม่

ซาวอลแกล้งพูดให้มู-มยองได้ยินว่าสงสัยเธอต้องแบกเกี้ยวแทนพุงงี พุงงีเดินกระเผลกเข้ามาหาซาวอลพลางพูดเสียงดังลั่นว่า ถึงตนจะข้อเท้าหักไปข้างหนึ่งแต่ก็ยังเหลือขาที่ใช้การได้อีกหนึ่งข้าง จากนั้นก็แกล้งร้องโหยหวนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ออกแรงยกเกี้ยว ซาวอลแกล้งร้องห้ามว่าอย่ายกเพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นอัมพาต อินยอพเห็นทาสรับใช้ของตนเล่นละครตรงหน้าจึงบอกว่าเธอจะเดินไปเอง แต่ซาวอลและพุงงียืนกรานว่าพวกตนยอมตายแต่จะไม่ยอมปล่อยให้คุณหนูของพวกตนเดินไปเองเด็ดขาด แม้จะรู้ทันมุกตื้นๆ ของทั้งคู่แต่มู-มยองก็รู้สึกเห็นใจและอดช่วยเหลือไม่ได้


ทันจีนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เธอเขวี้ยงแหวนของยุนซอทิ้งจึงรู้สึกเสียดายและจะรีบไปหาแต่ถูกต็อกเซเห็นเข้าเสียก่อน  ต็อกเซนำแหวนดอกไม้มามอบให้ทันจีแต่ทันจีไม่ยอมรับและบอกว่าเขากำลังเข้าใจผิด เธอไม่ต้องการคบกับเขาในฐานะคนรักแต่อยากให้ต่างฝ่ายต่างเป็นที่พึ่งของกันและกัน เธออยากมีอนาคตที่ดีแต่การคบชนชั้นต่ำด้วยกันไม่มีวันทำให้ชีวิตเธอดีขึ้นได้ ต็อกเซจึงถามว่าอนาคตของเธอคือนายน้อยยุนซอใช่ไหม เธออยากเป็นเพียงของเล่นของนายน้อยงั้นหรือ ทันจีได้ยินแล้วเจ็บปวดใจจึงเตะขาต็อกเซด้วยความโกรธและยืนกรานว่าเธอไม่ใช่ของเล่น จากนั้นก็รีบไปหาแหวน


"พระเจ้าแทจง" (ลี บังวอน) พระราชาองค์ที่สามของโชซอนและโอรสองค์ที่ 5 ของ "พระเจ้าแทโจ" (ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โชซอน เดิมชื่อ "ลี ซองกเย") กล่าวต่อหน้าขุนนางในราชสำนักว่า พระองค์จะไปที่เมืองฮัมฮึงเพื่อเจรจากับพระบิดาด้วยตนเอง  ที่ผ่านมาทูตทุกคนที่ถูกส่งไปยังเมืองฮัมฮึงล้วนถูกพระบิดาของพระองค์ฆ่าตาย และพระองค์ก็ไม่ได้ข่าวคราวของคนที่พระองค์ไว้ใจมากที่สุดมานานหลายเดือนแล้ว พระองค์จึงเชื่อว่าพระบิดาคงกำลังบอกเป็นนัยๆ ให้พระองค์เดินทางไปที่นั่นด้วยตนเอง

"ฮอ อึงชัม" (เจ้ากรมกลาโหม) ได้ยินดังนั้นจึงรีบคัดค้านเพราะเกรงว่าจะเกิดสงครามกลางเมือง และขอให้พระองค์ทรงคำนึงถึงความเหมาะสม พระเจ้าแทจงย้อนว่าคนที่ไม่คำนึงถึงความเหมาะสมคือตัวอึงชัมเองที่บังอาจขัดขวางพระราชาอย่างตน  อึงชัมทูลว่าแม้ต้องเอาชีวิตเข้าแลกตนก็จะห้ามไม่ให้พระองค์เดินทางไปในที่ๆ อันตรายอย่างเมืองฮัมฮึง พระเจ้าแทจงได้ยินดังนั้นจึงบอกให้อึงชัมเดินทางไปยังเมืองฮัมฮึงแทนตน อึงชัมอึ้งไปชั่วขณะก่อนทูลขอให้พระองค์ปลดตนออกจากตำแหน่งเจ้ากรมกลาโหมก่อน ตนจะไป (ตาย) ที่นั่นได้ต่อเมื่ออยู่ในฐานะคนต่ำต้อยที่ไร้ตำแหน่งใดๆ พระเจ้าแทจงทรงตัดพ้อว่าแม้แต่อึงชัมก็ทำให้พระองค์ตกที่นั่งลำบาก พระองค์ชี้ไปที่บัลลังก์แล้วตรัสว่า พระบิดากำลังบีบโอรสอย่างตนให้จนมุมที่ขอบหน้าผา


อีกด้านหนึ่ง "พระเจ้าแทโจ" ซึ่งประทับอยู่ที่พระตำหนักในเมืองฮัมฮึง (บ้านเกิด)  หลังสละราชสมบัติ ถาม "กุกยู" ซึ่งถูกส่งมาเป็นทูตและอยู่ในระหว่างโดนควบคุมตัวว่า "เจ้าบอกว่ามีลูกสาวงั้นรึ" กูกยูทูลว่า "นางชื่ออินยอพ พะย่ะค่ะ" พระเจ้าแทโจตรัสว่า "เจ้าต้องรอดชีวิตกลับไป เพื่อจะได้เห็นลูกสาวแต่งงาน และอีกหน่อยก็ได้เห็นหน้าหลานด้วย บังวอน...ไอ้สารเลวนั่น มันมีทั้ง "ฮอ อึงชัม" และ "คิม ชิควอน" (เจ้ากรมคลัง / พ่อ "คิม อึนกี")  อยู่ข้างกาย แล้วทำไมมันถึงส่งเจ้าซึ่งเป็นหนึ่งในคนของข้ามาที่นี่  มันเคยบอกว่าอยากให้พ่อยอมรับมันแต่ดันส่งคนของข้ามาต่อต้านข้า... ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจงรักภักดีกับใครกันแน่" 

กุกยูทูลว่าตนจงรักภักดีต่อโชซอน และชี้ว่าหลังสถาปนาราชวงศ์โชซอนได้ไม่นานก็เกิดความขัดแย้งระหว่างพระเจ้าแทโจและพระโอรส (พระเจ้าแทจง) มาโดยตลอด ทำให้ความเชื่อมั่นตลอดจนขวัญและกำลังใจของราษฎรตกต่ำมานาน พระองค์จึงควรยุติความบาดหมางแล้วลืมความขัดแย้งที่มีมานานหลายปี พระเจ้าแทโจได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโกรธจึงบอกว่า "เจ้าไม่ใช่คนของข้าแต่เป็นคนของบังวอน จงเตรียมตัวตายได้เลย"

* เกร็ดความรู้ (ที่มาของความบาดหมางและการสังหารทูตที่ฮัมฮึง)

"ลี บังวอน" (พระเจ้าแทจง) บุตรชายคนที่ 5 ของ "ลี ซองกเย" (พระเจ้าแทโจ) มีบทบาทสำคัญในการช่วยพ่อล้มลางราชวงศ์โครยอและสถาปนาราชวงศ์โชซอน หลังจากลี ซองกเยได้ขึ้นเป็น "พระแจ้าแทโจ" ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โชซอน องค์ชายบังวอนก็หวังว่าตนจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์ชายรัชทายาท แต่พระเจ้าแทโจกลับสถาปนาองค์ชาย "ลี บังซอก" (โอรสองค์ที่ 8 ซึ่งเกิดจากพระมเหสีคนที่ 2 นามว่า "ชินด็อก") เป็นรัชทายาทแทน ทำให้เหล่าบรรดาองค์ชายโดยเฉพาะอย่างยิ่งบังวอนไม่พอใจมาก องค์ชายบังวอนจึงถือโอกาสตอนที่พระเจ้าแทโจกำลังโศกเศร้าและไว้ทุกข์ให้กับพระมเหสีชินด็อก ลอบสังหารองค์ชายบังบอนและบังซอก (ซึ่งเป็นโอรสของพระมเหสีชินด็อกทั้งคู่) รวมทั้งอัครมหาเสนาบดี "ชอง โดจอน" ที่ให้การสนับสนุนองค์ชายลีบังซอกเป็นรัชทายาท (เขาเป็นขุนนางที่พระเจ้าแทโจทรงโปรดปรานและไว้วางพระทัยมากที่สุด)

พระเจ้าแทโจทรงเสียพระทัยที่พระโอรสฆ่าฟันกันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจ ประกอบกับสภาพจิตใจย่ำแย่หลังสูญเสียพระมเหสีชินด็อก จึงสละราชบัลลังก์แล้วแต่งตั้งพระโอรสองค์ที่สอง "ลี บังกวา" เป็นพระราชาองค์ที่สองแห่งโชซอน (พระเจ้าจองจง) หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดศึกสายเลือดอีกครั้งระหว่างองค์ชายบังกันกับองค์ชายบังวอน ปรากฏว่าองค์ชายบังวอนเป็นฝ่ายชนะ พระเจ้าจองจงเกรงกลัวอำนาจขององค์ชายบังวอนจึงยอมสละราชบัลลังก์หลังครองราชย์ได้เพียง 1 ปี หลังจากนั้นองค์ชายบังวอนก็ได้เป็นพระราชาองค์ที่สามของราชวงศ์โชซอนสมใจ แต่ทว่าตราพระราชลัญจกรอันเป็นสัญลักษณ์ของพระราชอำนาจยังอยู่ที่พระเจ้าแทโจ พระเจ้าแทจงจึงส่งทูตไปหาพระบิดาที่เมืองฮัมฮึงหลายครั้งเพื่อทูลขอตราแผ่นดิน แต่พระเจ้าแทโจกลับสังหารทูตทุกคนที่ถูกส่งมา พระเจ้าแทจงจึงพยายามพิสูจน์ว่าพระองค์มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นพระราชา ด้วยการวางรากฐานอาณาจักรใหม่อย่างเป็นระบบและทรงบริหารบ้านเมืองเป็นอย่างดี




ชิควอนพานางโลมชื่อดัง "คา ฮีอา" มาแสดงการร่ายรำในงานวันเกิดของอึงชัม สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับแขกที่มาร่วมงานเป็นอย่างมาก แต่คนที่ปลื้มจนออกนอกหน้าคือยุนซอ บุตรชายเจ้ากรมกลาโหม ยุนซอบอกเพื่อนๆ (รวมทั้งอึนกี) ขณะจ้องมองฮีอาด้วยน้ำเสียงกึ่งเพ้อว่า "นางโลมเลื่องชื่อที่เพิ่งย้ายเข้ามาในเมือง ทุกคนต่างรู้จักชื่อของนาง แต่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าพบนางได้... คา ฮีอา" อึนกีเห็นยุนซอยังคงบ้าผู้หญิงเหมือนเดิมจึงเตือนต่อหน้าเพื่อนๆ ว่าเขาแต่งงานแล้ว ยุนซอแย้งว่าตนเป็นคนคงเส้นคงวา ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้ ก่อนแต่ง หรือหลังแต่งงาน ตนก็ยังบ้าผู้หญิงไม่เคยเปลี่ยน

เมื่อข้ารับใช้นำจดหมายมาให้ อึนกีก็ออกจากบริเวณงานทันที หลังอึนกีออกไปได้ไม่นาน อินยอพก็เดินเข้ามาในบริเวณบ้านของอึงชัม เมื่อเห็นมู-มยองยืนเฝ้าประตูอยู่เธอก็ขอเข้าไปทางด้านใน มู-มยองบอกว่าข้างในกำลังมีงานเลี้ยง ซาวอลจึงบอกให้อินยอพอดทนรอจนกว่าการแสดงจะจบลง อินยอพตัดพ้อว่าทุกคนใจร้ายมาก พ่อของเธอกำลังตกระกำลำบากอยู่ต่างเมืองโดยไม่ทราบชะตากรรม แต่คนพวกนี้กลับมานั่งดูนางโลมร่ายรำอย่างสบายใจ เมื่อเห็นว่างานเลี้ยงไม่มีทีท่าว่าจะเลิกรา  อินยอพจึงบุกเข้าไปทางด้านในโดยไม่ฟังคำทัดทานของมู-มยองทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นการเสียมารยาทและไม่สมควรเพราะเป็นงานสำหรับผู้ใหญ่ (ผู้ชาย) เท่านั้น


เมื่ออินยอพเปิดประตูเข้าไปการแสดงก็หยุดลงกลางคัน สายตาทุกคู่ต่างหันมามองอินยอพด้วยความงุนงง รวมทั้งเหล่าทาสรับใช้และมู-มยองที่อยู่ทางด้านนอก ชิควอนไม่พอใจมากที่เด็กสาวอย่างอินยอพพรวดพราดเข้ามาในงานโดยไม่ได้รับอนุญาตจนทำให้งานล่ม อินยอพกล่าวว่าตนมาที่นี่เพื่ออวยพรวันเกิดให้เจ้ากรมกลาโหม ก่อนแนะนำตัวว่าเธอเป็นลูกสาวทูตที่ถูกส่งไปยังเมืองฮัมฮึง  อึงชัมจำได้ว่าอินยอพเป็นเพื่อนยุน-อกลูกสาวตน จึงแสดงความเห็นใจที่เธอต้องดูแลบ้านหลังใหญ่โตแทนแม่ทั้งๆ ที่ยังอายุน้อย อินยอพกล่าวว่าด้วยเหตุนี้เธอจึงเฝ้ารอการกลับมาของพ่อ หลังจากนั้นเธอก็นำงานเขียนอักษรพู่กันจีนของศิลปิน "ลีฮัน"  มามอบเป็นของขวัญวันเกิดให้อึงชัม เนื้อความในนั้นเป็นบทกวีดัง "ดื่มเดียวดายใต้เงาจันทร์" (ภาษาเกาหลีเรียกว่า "วอลฮา ทกชา") ของนักกวีชาวจีนผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ถัง นามว่า "หลี่ไป๋"

* บทกวี "ดื่มเดียวดายใต้เงาจันทร์" 

花間一壺酒 。 ไหสุราประหนึ่งดัง ดอกไม้
獨酌無相親 。 ไร้เพื่อนดื่มเคียงกาย ผู้เดียว
舉杯邀明月 。 ยกจอกขึ้นเชื้อเชิญจันทร์ กระจ่างใส
對影成三人 。 ทอแสงรวมเงาข้า เป็นสาม

月既不解飲 。 จันทร์เจ้าลอยเลื่อน ไม่อาจ ดื่มได้
影徒隨我身 。 เงาเจ้าคล้อยเคลื่อนตาม ติดไหว
暫伴月將影 。 มีทั้งจันทร์และเงาอยู่เป็นเพื่อน
行樂須及春 。 เริงรื่น ก่อนฤดูไม้พรรณพฤกษ ผลิใบ

我歌月徘徊 。 เมื่อข้าร้องเพลง จันทร์ทอแสง
我舞影零亂 。 เมื่อข้าเริงระบำ เงาสั่นไหว
醒時同交歡 。 เมื่อยังตื่น ร่วมสรวลเสเฮฮา
醉後各分散 。 เมื่อเมาแล้ว ต่างต้องแยกจากกัน
永結無情遊 。 มิตรภาพของเรายังคงอยู่ตลอดไป
相期邈雲漢 。 แล้วพบกันใหม่ในธารดารา


* ธารดารา หมายถึงทางช้างเผือก
ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย

อินยอพกล่าวว่าเนื้อหาในบทกวีกล่าวถึงความรู้สึกเดียวดายและคิดถึงเพื่อน ซึ่งคงไม่แตกต่างจากความรู้สึกของพ่อเธอที่อยู่ต่างเมืองตามลำพังและคงกำลังคิดถึงเพื่อนเช่นกัน "เผลอแป๊บเดียวก็ผ่านไป 100 วันแล้ว ไม่ว่าข้าจะส่งจดหมายไปกี่ฉบับก็ไม่ได้รับคำตอบและไม่เคยได้ยินข่าวคราวเลย หากมีใครได้ข่าวจากเมืองฮัมฮึง โปรดแจ้งให้ข้าทราบด้วย ข้าขอร้องล่ะเจ้าค่ะ"  ชิควอนกล่าวว่าเธอไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องการเมือง ส่วนอึงชัมชี้ว่าในตอนนี้พระเจ้าแทจงทรงให้ความสำคัญกับเรื่องที่เมืองฮัมฮึงมาก เชื่อว่าอีกไม่นานคงทราบข่าว หากตนได้รับรายงานเมื่อไหร่จะรีบส่งข่าวให้เธอทราบทันที 

นายหญิงยูนเข้ามาดูแลความเรียบร้อยภายในห้องครัว และพบว่าทาสสาวคนหนึ่งมีอาการคลื่นไส้ ขณะที่ "นายหญิงคัง" (ลูกสะใภ้นายหญิงยูน / ภรรยายุนซอ) เพิ่งรู้ตัวว่าแหวนที่ตนเตรียมไว้ใส่ในงานหายไป จึงขอให้นายหญิงยูนค้นตัวเหล่านางโลมและทาสรับใช้ สาวใช้คนหนึ่งแย้งว่าใครจะกล้าขโมยของในบ้านเจ้ากรมกลาโหม นายหญิงยูนจึงตัดบทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งห่วงเรื่องแหวนหาย แต่ควรใส่ใจเรื่องการรับรองแขกคนสำคัญทางการเมืองที่มารวมตัวอยู่ในบ้านโดยไม่ให้ขาดตกบกพร่อง


อินยอพวานทาสสาวคนหนึ่งให้ช่วยนำผ้าไหมไปมอบให้ยุน-อก แต่ยุน-อกมาพบเข้าเสียก่อน เมื่อรู้ว่าผ้าไหมพับนี้ พ่อของอินยอพได้มาจากในวัง ยุน-อกเลยคิดที่จะนำไปตัดชุดเจ้าสาว อินยอพแย้งว่ายุน-อกจะตัดชุดเจ้าสาวทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เลือกชายที่จะมาเป็นสามีงั้นหรือ ยุน-อกจึงแอบกระซิบว่าสามีในอนาคตของตนมาร่วมงานวันเกิดในวันนี้ด้วย เธอกำลังจะไปพบเขาพอดีจึงชวนอินยอพไปเป็นเพื่อน โดยบอกว่าเธอนัดเขาให้มาพบที่สวนหลังบ้าน ระหว่างเดินไปที่สวนหลังบ้าน ยุน-อกบรรยายสรรพคุณของว่าที่สามีด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้มว่า เขาเคยเรียนที่เดียวกับพี่ชายตน ฐานะทางบ้านร่ำรวยมาก หน้าตาก็ดี ที่สำคัญเธอแอบชอบเขามาตั้งแต่เด็กๆ ยุน-อกขอให้อินยอพเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ และบอกว่าตอนนี้เขาคนนั้นกำลังศึกษาที่ซองคยูนกวาน  อินยอพได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเอะใจ

เมื่อพบว่าชายหนุ่มที่ยุน-อกกล่าวถึงคืออึนกีคนรักของตน อินยอพก็รู้สึกโกรธและตกใจ ผิดกับอึนกีที่เดินเข้ามาหาเธอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม พอรู้ว่าคนที่ส่งจดหมายมาให้ตนไม่ใช่อินยอพแต่เป็นยุน-อก อึนกีก็รู้สึกแปลกใจ อินยอพแกล้งทำเป็นไม่รู้จักอึนกีและถามด้วยสายตาคาดคั้นว่าเขากำลังจะแต่งงานกับยุน-อกงั้นหรือ เธอชี้ว่าหากเขาคิดที่จะหมั้นหมายกับหญิงอื่นจริงก็ควรเลิกรากับคนเก่าที่หมั้นหมายกันมานานเสียก่อน ยุน-อกได้ยินดังนั้นจึงถามอินยอพว่ารู้จักอึนกีด้วยหรือ อึนกีชิงตอบว่าตนกับอินยอพสัญญาว่าจะแต่งงานกัน เขาขอให้ยุน-อกกลับไปก่อน โดยบอกว่าตนกับอินยอพมีเรื่องต้องหารือกัน ทำให้ยุน-อกไม่พอใจมาก


อึนกีเห็นอินยอพโมโหหึงก็รู้สึกขำ เขาบอกเธอว่าเรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของแม่สื่อและตนจะจัดการปัญหาเรื่องนี้ด้วยตัวเอง อินยอพสารภาพว่าเธอเพิ่งก่อเรื่องที่บ้านเจ้ากรมกลาโหมต่อหน้าพ่อของเขา และยังขอให้พ่อของเขาช่วยส่งข่าวเรื่องพ่อของเธอ ตอนนี้พ่อของเขาคงไม่ชอบเธอมากๆ อึนกีขอโทษที่เอาใจใส่เรื่องพ่อของเธอน้อยเกินไป จากนั้นก็ปลอบอินยอพว่าพ่อของเธอจะต้องไม่เป็นอะไร และจะรีบกลับมาร่วมงานแต่งงานของเธอกับเขาแน่ๆ

ยุน-อกเรียกทันจี (แม่ทันจีเป็นแม่นมของยุนอก) และ "เกตุงงี" มาคาดคั้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอินยอพกับอึนกี ทันจีกล่าวว่าก่อนย้ายมาอยู่ฮันยาง* ทั้งคู่เคยอยู่บ้านติดกันและสนิทกันดุจพี่น้อง คนทั้งหมู่บ้านจึงเชื่อว่าทั้งคู่จะได้ลงเอยกัน ยุน-อกได้ยินดังนั้นจึงตำหนิทั้งคู่ที่ไม่ยอมบอกตนเกี่ยวกับเรื่องนี้จนทำให้ตนกลายเป็นคนโง่ เมื่อรู้ว่าอินยอพกำลังจะกลับ ยุน-อกจึงเชิญอินยอพมาพบและทานของว่างในห้องตามมารยาท

* หลังพระเจ้าแทโจปฐมกษัตริย์แห่งโชซอน ล้มล้างราชวงศ์โครยอได้สำเร็จก็ทรงย้ายเมืองหลวงจาก "แคซอง" มาอยู่ที่ "ฮันยาง" แต่หลังจากพระเจ้าจองจงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดาก็ทรงย้ายเมืองหลวงกลับไปที่แคซอง ครั้นพระเจ้าแทจงยึดบัลลังก์มาจากพระเจ้าจองจงได้แล้วจึงทำการย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ฮันยางดังเดิม (พระเจ้าแทโจ ทรงครองราชย์นาน 6 ปี / พระเจ้าจองจง ครองราชย์นาน 1 ปี / พระเจ้าแทจง ครองราชย์นาน 18 ปี)



มู-มยองทำหน้าที่คอยส่งแขก เมื่อฮีอาเดินออกมา เหล่าทาสรับใช้ต่างพากันชื่นชมในความงาม คาฮีหยุดทักทายมู-มยอง แต่มู-มยองไม่อยากเสวนาด้วยจึงบอกให้เธอกลับไปเสีย เขาจะเดินเข้าไปทางด้านใน แต่ฮีอาขวางไว้และชวนให้เขามาทำงานกับตน มู-มยองกล่าวว่าเรื่องของพวกตนจบลงนานแล้ว ฮีอาแย้งว่าถึงจบแล้วก็เริ่มใหม่ได้ แต่มู-มยองยืนกรานว่าทุกอย่างเป็นอดีตไปแล้วและไม่มีวันเริ่มต้นใหม่ได้

เมื่อลูกสะใภ้มารายงานเรื่องที่อินยอพบุกเข้าไปทำลายงานเลี้ยง นายหญิงยูนก็รู้สึกโกรธ พอรู้ว่าอินยอพกำลังคุยกับลูกสาวตน เธอจึงรีบไปหาอินยอพทันที  อินยอพเอ่ยปากขอโทษยุน-อกที่เธอและอึนกีไม่เคยปริปากบอกเรื่องของพวกตนมาก่อน ยุน-อกสงสัยว่าในเมื่อทั้งคู่หมั้นหมายกันแล้ว ทำไมครอบครัวของอึนกีถึงส่งคนมาทาบทามตน อินยอพกล่าวว่าเป็นความผิดพลาดของแม่สื่อ แต่ยุนอกไม่เชื่อและแย้งว่าแม่สื่อคนนี้เป็นมืออาชีพจึงไม่น่าทำงานผิดพลาด ทันจีซึ่งแอบฟังอยู่ทางด้านนอกได้ยินดังนั้นก็หัวเราะชอบใจและลุ้นให้ทั้งคู่ตีกัน พอเห็นรองเท้าคู่สวยของอินยอพวางอยู่หน้าห้อง ทันจีก็นำมาสวมเล่น ซาวอลรู้นิสัยนายสาวของตนดีจึงบอกให้ทันจีรีบถอดออก แต่ทันจีกลับสวมรองเท้าเดินร่อนไปมา


 

นายหญิงยูนจะเข้าไปเอาเรื่องอินยอพในห้อง พอได้ยินอินยอพคุยกับลูกสาวตน เธอจึงยืนฟังอยู่ทางด้านนอก อินยอพกล่าวว่าเธอเข้าใจความรู้สึกของยุน-อกดี แต่เรื่องของความรักสองหัวใจต้องหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ยุน-อกหัวเราะร่าพลางแย้งว่าตนไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิดเพราะยังมีคนอื่นให้เลือกอีกมากมาย ผิดอินยอพที่ไม่รู้ชะตากรรมของพ่อเลยจำเป็นต้องพึ่งพาสามี  อินยอพถึงกับหน้าถอดสีเมื่อยุน-อกบอกว่าพ่อของเธอเสียชีวิตแล้ว เธอตะคอกถามด้วยความโกรธว่ายุน-อกไปเอาข่าวลือนี้มาจากไหน นายหญิงยูนจึงเดินเข้ามาในห้องและกล่าวว่าตนเป็นคนบอกยุน-อกเอง  เมื่ออินยอพร้องหาหลักฐาน  นายหญิงยูนจึงกล่าวว่าหลักฐานก็คือการที่พ่อของเธอไม่ส่งข่าวมาหาลูกสาวทั้งๆ ที่รู้ว่าลูกสาวเฝ้ารออยู่ที่บ้านตามลำพัง การที่พ่อของเธอไม่กลับมาและไม่มีข่าวการตาย หมายความว่าพ่อของเธอได้ตายไปนานแล้ว

อินยอพเถียงทั้งน้ำตาว่าพ่อของตนยังมีชีวิตอยู่ เพราะท่านสัญญาว่าจะมีชีวิตรอดกลับมา นายหญิงยูนจึงย้อนถามอินยอพว่า ก่อนที่แม่ของเธอจะตายได้บอกเธอล่วงหน้าหรือไม่  จากนั้นก็ตำหนิอินยอพที่ทำตัวไร้มารยาท "นี่ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะเที่ยวมาเดินเพ่นพ่านทำลายงานเลี้ยงบ้านคนอื่น จงไปซะ ไปหาศพของพ่อเจ้าโน่น" อินยอพขอโทษที่เธอทำงานเลี้ยงล่มและยอมรับว่าตนทำตัวไม่เหมาะสม แต่เธอไม่ให้อภัยสองแม่ลูกที่พูดจาพล่อยๆ จึงตำหนิยุน-อกต่อหน้านายหญิงยูนว่า "ทั้งเจ้าและข้าต่างถูกท่านพ่อท่านแม่อบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี เจ้าจึงควรระวังปากให้มากกว่านี้ ลองคิดดูสิว่าท่านแม่ของเจ้าจะอับอายขายหน้าขนาดไหน



อินยอพโกรธมากเมื่อเห็นกับตาว่าทันจีสวมรองเท้าของตนอยู่ เมื่อทันจีถอดมาวางคืนให้ เธอก็บอกให้ซาวอลนำไปทิ้ง เพราะเธอไม่มีวันสวมรองเท้าคู่เดียวกับทาสรับใช้ เมื่อซาวอลเตือนว่าเธอต้องเดินออกไปขึ้นเกี้ยวทางด้านนอก อินยอพก็บอกให้ซาวอลไปนำเกี้ยวมารับเธอที่นี่ มู-มยองได้ยินดังนั้นจึงเดินมาบอกว่าเกี้ยวผ่านเข้าประตูกลางไม่ได้ ถึงกระนั้นอินยอพก็ยังคงยืนกรานให้นำเกี้ยวมา ยุน-อกได้ยินเสียงอินยอพโวยวายลั่นบ้านจึงเดินออกมาดู เธอจะให้อินยอพยืมรองเท้า แต่อินยอพปฏิเสธโดยบอกว่าเธอไม่สวมรองเท้าของคนอื่น มู-มยองจึงเสนอให้อินยอพขี่หลังตน เมื่อเห็นว่าอินยอพรังเกียจหลังทาสรับใช้อย่างตน มู-มยองจึงถามกึ่งประชดว่า "รึจะให้ข้านำผ้าไหมมาปูเป็นทางให้คุณหนูเดินขอรับ" ยุน-อกแอบยิ้มอย่างสะใจ  แต่อินยอพกลับบอกว่า "ได้สิ เชิญเลย ข้าก็อยากเห็นเจ้าปูผ้าไหมให้ข้าเดินเหมือนกัน"  

เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรติดตามชมได้ใน "ลิขิตรักนางทาส (Maids)"ทางพีพีทีวี

* เนื้อหาโดย luvasianseries


นักแสดงนำ


ชอง ยูมี
รับบท กุก อินยอพ



โอ จีโฮ
รับบท มู-มยอง



คิม ดงวุค
รับบท คิม อึนกี



ลี ชีอา
รับบท ฮอ ยุน-อก




ลี อีคยอง
รับบท ฮอ ยุนซอ



ชอน โซมิน
รับบท ทันจี




คลิปตัวอย่างจาก youtube/PPTV HD Thailand



คลิปตัวอย่างจาก เจทีบีซี ดราม่า


*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา