วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559

เรื่องย่อ ควีน ออฟ ออฟฟิศ (Queen of Office)




กำกับ: ชอน ชางกึน, โน ซังฮุน
เขียนบท: ยูน นานจุง
แนวละคร: โรแมนติก, คอมเมดี้
จำนวนตอน: 16
ออกอากาศ: เกาหลี - 1 เมษายน 2556 - 21 พฤษภาคม 2556 ทางเคบีเอส2
                 ไทย: ทุกวันอังคาร-เสาร์ เวลา 04.00-05.00 น. ทางเวิร์คพอยท์ทีวี ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2558 - 16 มกราคม 2559

เรื่องย่อ




ละคร "ควีน ออฟ ออฟฟิศ (Queen of Office)" ดัดแปลงมาจากละครญี่ปุ่นเรื่อง "Pride of the Temp (Haken no Hinkaku)" เนื้อหากล่าวถึง "มิสคิม" พนักงาน "สัญญาจ้าง" มืออาชีพ ที่มีความสามารถขั้นเทพในงานด้านต่างๆ ชนิดยากหาใครเทียม แต่เธอมีประวัติความเป็นมาที่ลึกลับ น้อยคนนักที่จะรู้จักชื่อจริงของเธอ (คิม คือ นามสกุล) แถมเธอยังมาพร้อมกฏเหล็กที่แม้แต่นายจ้างหรือหัวหน้าก็ยังต้องยอมรับและปฏิบัติตามแต่โดยดี ด้วยเหตุนี้เธอจึงได้ชื่อว่าเป็น "บอสแห่งบอส" และเมื่อทำงานครบสัญญา 3 เดือนแล้ว เธอจะจากไปอย่างไร้ร่องรอยทันที

เหตุการณ์ในละครเริ่มต้นขึ้นช่วงฤดูหนาวปี ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550) 


"ชอง ชูรี" และแฟนหนุ่มนัดพบกันในวันคริสต์มาสอีฟ หลังแฟนหนุ่มมอบแหวนให้ ทั้งคู่ก็จูบกันอย่างดูดดื่มในที่สาธารณะ โดยไม่สนใจว่าในบริเวณนั้นจะมีทั้งเด็กเล็ก เด็กโต และผู้ใหญ่มายืนฟังกลุ่มนักร้องประสานเสียงร้องเพลงเฉลิมฉลองและอวยพรวันคริสต์มาส ทำให้ผู้ปกครองต้องรีบปิดตาเด็ก ทันใดนั้นก็เกิดระเบิดขึ้นที่ธนาคารแทฮัน ชูรีจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตกตะลึง ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างพากันวิ่งหนีกลับมีผู้หญิงคนหนึ่งพยายามวิ่งฝ่าเจ้าหน้าที่เข้าไปในอาคารที่มีไฟลุกท่วม 

ละครกล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวเพียงเท่านี้ จากนั้นก็ตัดไปที่ปี ค.ศ. 2013 โดยเกริ่นนำเรื่องราวให้ฟังว่า นับเป็นเวลา 16 ปีแล้ว ตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์การเงินในเอเชีย เมื่อปี ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540  - วิกฤติดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นที่ประเทศไทย หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ "วิกฤตต้มยำกุ้ง") เกาหลีใต้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วจนถูกกล่าวขานว่า "ปาฏิหาริย์แห่งแม่น้ำฮัน" ก็พลอยตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่แตก และนั่นก็ทำให้เกาหลีใต้ต้องประสบวิกฤติการณ์ทางการเงินครั้งร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามเกาหลีเป็นต้นมา ส่งผลให้มีการยกเลิกระบบการจ้างงานตลอดชีพและนโยบายสร้างความมั่นคงในงาน เนื่องจากบริษัทต่างๆ มีการปรับโครงสร้างองค์กรและพากันจัดจ้างคนภายนอก (Outsourcing) ส่งผลให้เกิดแรงงานรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า "พนักงานสัญญาจ้าง" ซึ่งจะได้รับเงินเดือนเพียงครึ่งหนึ่งของพนักงานประจำทั้งๆ ที่ปริมาณงานเท่ากัน  แถมพวกเขายังต้องทำงานด้วยความหวาดผวาเพราะกลัวว่าจะถูกไล่ออกหลังทำงานครบสองปีตามสัญญา แต่ในจำนวนนี้กลับมีอยู่คนหนึ่งที่สมัครใจและเลือกที่จะเป็นพนักงานสัญญาจ้างถึงแม้ว่าอนาคตข้างหน้าจะไม่มีความแน่นอนก็ตาม

ที่เมืองรอนดา* ประเทศสเปน ปี 2013
* รอนดา เป็นเมืองเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาในจังหวัดมาลากา (ซึ่งอยู่ในแคว้นปกครองตนเองอันดาลูเซีย) 



หลังนักสู้วัวกระทิงสาว (เด็กๆ ชาวสเปนเรียกเธอว่า "ซุน") ได้รับข้อความทางโทรศัพท์ที่ระบุว่า 'สัญญาว่าจ้างครึ่งปีแรกสิ้นสุดลงแล้ว รีบกลับเกาหลีด่วน' เธอจึงมอบหมวกให้เด็กชายที่ชื่อเฟอร์นันโดพลางบอกว่าเธอต้องกลับแล้ว เมื่อถูกถามว่ากลับไปไหน เธอก็ตอบว่าไปลงสนามต่อสู้วัวกระทิงของจริง

ที่เกาหลีใต้ ณ บริษัท วาย-จาง ฟู้ด




พนักงานฝ่ายขายและการตลาดคนหนึ่งโวยลั่นในห้องประชุมด้วยความไม่พอใจที่พวกตนมักถูกตำหนิฝ่ายเดียวเวลาสินค้ามียอดขายต่ำกว่าเป้า ขณะที่ "มู จองฮัน" ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมพยายามอธิบายว่าลูกค้าแค่ยังไม่คุ้นเคยกับซอสถั่วเหลืองโซเดียมต่ำจึงขอให้ทุกคนอดทนรอ เพราะพวกตนทุ่มเทกับสินค้าตัวนี้มาตลอดทั้งปี "ยอ จางมี" (ผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์)  ตำหนิจองฮันที่เป็นถึงหัวหน้าทีมขายและการตลาดแต่กลับมีข้ออ้างเช่นนั้น เธอกล่าวว่าเซลล์แมนควรเป็นคนที่สามารถขายในสิ่งที่คนอื่นมองว่าไม่น่าขายได้ โดยยกตัวอย่างว่าเซลล์แมนมืออาชีพต้องขายแอร์ฯ ในอลาสก้า หรือขายเต้าเจี้ยวในหมู่บ้านชีสที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้

หลังนั่งฟังอยู่นาน "ฮวาง คับดึก" (ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขายและการตลาด) จึงถามว่าถ้าพวกตนทำยอดขายทะลุเป้าภายในสามเดือน จะยอมให้พวกตนดูแลสินค้าตัวนี้ต่อไหม จางมีกล่าวเชิงดูถูกว่าถ้าขายได้เธอก็ยินดี แต่เธอไม่เชื่อว่าทีมขายของจองฮันจะทำได้สำเร็จ คับดึกจึงกล่าวด้วยความมั่นใจว่าตนรู้จักใครคนหนึ่งที่สามารถขายเต้าเจี้ยวในหมู่บ้านชีสที่สวิตเซอร์แลนด์ได้ "โก จองโด" (ผู้จัดการส่วนสนับสนุนการขายและการตลาด) ได้ยินดังนั้นจึงเปรยว่า "คงไม่ใช่ไอ้บ้านั่นนะ"



ระหว่างเดินทางกลับเกาหลี "ชาง คยูชิค" ซึ่งโดยสารบนที่นั่งชั้นธุรกิจ วางมาดเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารต่อหน้าแอร์โฮสเตส หลังชิมไวน์และสเต็กเนื้อแล้ว เขาก็ลองชิมซอสถั่วเหลืองแล้วแกล้งบอกว่าซอสถั่วเหลืองที่สายการบินใช้มีปัญหา แถมยังบอกด้วยว่าสายการบินอื่นเลิกใช้ซอสถั่วเหลืองชนิดนี้นานแล้ว (เรื่องของเรื่องก็คือ จะขายซอสถัวเหลืองโซเดียมต่ำให้ทางสายการบิน)

หลังทำยอดขายไม่เข้าเป้าจองฮันก็ถูกปลดจากตำแหน่งหัวหน้าทีม สามสาวประจำฝ่ายขายและการตลาด "ยอน ดารา" (พนักงานสัญญาจ้าง อายุงาน 1 ปี) , "โอ จีรัง" (พนักงานสัญญาจ้าง อายุงาน 2 ปี) และ "ปาร์ค บงฮี" (พนักงานสัญญาจ้าง อายุงาน 5 ปี) จึงพากันจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้  ดารากล่าวว่าเธอสงสารหัวหน้ามูที่สู้อุตส่าห์ทุ่มเททำงานอย่างหนักมาตลอดสองปีเต็ม แต่สุดท้ายกลับถูกปลดจากตำแหน่งแบบฟ้าผ่า จากนั้นก็บ่นกับเพื่อนๆ ว่าหัวหน้าทีมคนใหม่ที่มาจากอเมริกาจากจะเก่งสักแค่ไหน จบจากฮาร์วารด์มาหรือยังไง เมื่อบงฮีพยักหน้าบอกว่าใช่ ดาราก็รู้สึกตกใจ


จีรัง (ซึ่งใช้มือถือเปิดดูข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต) บอกดาราว่า หัวหน้าทีมคนใหม่ชื่อ "ชาง คยูชิค" ได้รับเลือกให้เข้ามาทำงานที่วาย-จางกรุ๊ปในฐานะผู้สมัครงานที่ได้คะแนนสูงสุดในบรรดาผู้สมัครทั้งหมดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2008 นับตั้งแต่เข้าทำงานที่นี่เขาก็ทำยอดขายได้สูงสุดมาโดยตลอด เรียกได้ว่าเป็น "สตีฟ จ๊อบ" แห่งวงการเครื่องปรุงรสของเกาหลีก็ว่าได้ นอกจากนี้ คยูชิคยังเป็นสุดยอดพนักงานดีเด่นแห่งปีติดต่อกันสองปีซ้อน และเป็นพนักงานอายุน้อยที่สุดที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการ เขาถูกบริษัทส่งไปเรียนต่อปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ (MBA) ที่โรงเรียนธุรกิจมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่ถูกเลือกอย่างแท้จริง ดาราได้ยินดังนั้นก็เริ่มแปรพักตร์และหันมาชื่นชมคยูชิคอย่างออกนอกหน้า แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าผู้ชายที่เก่งและเพียบพร้อมอย่างคยูชิคทำไมถึงยังครองตัวเป็นโสด





คยูชิคซึ่งกำลังเดินทางกลับเกาหลีแอบย่องขึ้นไปสำรวจที่นั่งผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาส ก่อนนั่งวางมาดบนที่นั่งคนอื่นและหยิบขนม (ของคนอื่น) มากินหน้าตาเฉย จากนั้นก็เปรยว่าถ้าได้เจอเจ้าของที่นั่งสักครั้ง ตนจะต้องทำผลงานทะลุเป้าขายประจำปีของบริษัทในชั่วพริบตา ในขณะที่เขากำลังนึกสงสัยว่าเจ้าของที่นั่งเป็นใครกันแน่ หญิงสาวคนหนึ่งก็เดินมาทวงที่นั่งคืน (เธอพูดกับเขาเป็นภาษาอังกฤษ) คยูชิคลุกขึ้นแต่โดยดีและกล่าวขอโทษเธอเป็นภาษาญี่ปุ่น จากนั้นก็โยนขนมต๊อกหรือเค้กข้าวเกาหลี (ที่หยิบมาจากที่นั่งของหญิงสาว) ใส่ปากแล้วเดินจากไป 

แต่แล้วอยู่ๆ เครื่องบินก็ตกหลุมอากาศทำให้ขนมต๊อกติดคอคยูชิค ขณะที่เขากำลังดิ้นทุรนทุรายเพราะหายใจไม่ออก หญิงสาวคนดังกล่าวก็เดินมาตบหน้าคยูชิคเต็มแรงเพื่อให้เขารู้สึกตัว จากนั้นก็ดึงตัวเขาให้ลุกขึ้นแล้วชกเข้าที่ท้องอย่างจัง หลังขนมต๊อกกระเด็นออกจากปาก คยูชิคก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น ปรากฏว่าขนมต๊อกกระเด็นไปติดแว่นกันแดดของหญิงสาว คยูชิคกล่าวขอบคุณแล้วมอบนามบัตรให้พลางกล่าวว่าตนไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรดี หญิงสาวคนดังกล่าวไม่ยอมรับนามบัตรและเธอก็ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน เพียงแต่ขอให้เขาช่วยนำแว่นตา (ที่มีขนมต๊อกติดอยู่) ไปทิ้ง เมื่อถูกพนักงานบนเครื่องเชิญให้กลับไปยังนั่งที่ของตน คยูชิคจึงเอ่ยถามชื่อของหญิงสาว แต่เธอตอบเพียงว่า "คิม...มิสคิม!"  


ขณะกำลังจะออกไปสัมภาษณ์งาน "ชอง ชูรี" วัย 26 ปี ถูกเจ้าหน้าที่เร่งรัดหนี้สินของธนาคารโทรฯ มาทวงหนี้เงินกู้เพื่อการศึกษาหลังค้างจ่ายมานาน 2 เดือน (เธอเป็นหนี้ทั้งหมด 17 ล้านวอน หรือราวๆ 5 แสนบาท) ชูรีขอความเห็นใจโดยบอกว่าถ้าเธอได้งานเมื่อไหร่จะรีบใช้คืนให้ เจ้าหน้าที่ธนาคารได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเอือมระอาเพราะโทรฯ มาทีไรเธอมักจะพูดแบบนี้ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะใช้หนี้หรือได้งานสักที เขาจึงบอกเธอว่าต่อให้สัมภาษณ์งานผ่านก็ไม่แน่ว่าเธอจะได้ทำงาน เพราะไม่มีใครต้องการจ้างพนักงานที่มีประวัติการเงินไม่ดี

ชูรีรีบวิ่งขึ้นรถเมล์ที่แน่นขนัดเพื่อไปพบ "อัน จงชอล" ผู้จัดการบริษัทนายหน้าจัดหาพนักงานสัญญาจ้าง  (เขาเป็นจ็อบ เมเนเจอร์ ที่รับผิดชอบการจัดหาและจ้างงาน มีประสบการณ์ด้านนี้มานาน 6 ปี รายได้ต่อปี 32 ล้านวอน หรือราวๆ 9.8 แสนบาทเมื่อจงชอลดูเรซูเม่ของชูรีแล้วพบว่าเธอไม่มีอะไรโดดเด่นและไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานมาก่อน เขาจึงบอกให้เธอคิดเสียว่าการพบกันครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ในการสัมภาษณ์งาน (เขาปฏิเสธที่จะส่งเธอไปให้ว่าที่นายจ้างพิจารณา) แต่ชูรียืนกรานว่าเธอจำเป็นต้องได้งานนี้



คยูชิคซาบซึ้งใจที่คับดึกให้ตนนั่งเครื่องบินชั้นธุรกิจกลับเกาหลี (เพราะค่าตั๋วมีมูลค่าเท่ากับซอสถั่วเหลืองหลายร้อยขวด) คับดึกจึงบอกว่าตนจะใช้งานคยูชิคเยี่ยงทาสเพื่อให้คุ้มกับที่บริษัททุ่มเทให้เขา หลังจากนั้นคับดึก (ซึ่งเป็นผู้จัดการทั่วไปของฝ่ายขายและการตลาด อายุ 54 ปี มีรายได้ต่อปี 82 ล้านวอน หรือราวๆ 2.5 ล้านบาท) ก็บอกพนักงานในแผนกให้ตั้งใจทำงานหลังบริษัทมีการปรับโครงสร้างองค์กร และเตือนว่าทุกคนจะได้รับผลกระทบถ้าหากสินค้าตัวใดตัวหนึ่งถูกฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์โละทิ้ง


จองโด (ผู้จัดการส่วนสนับสนุนการขายและการตลาด (ขึ้นตรงกับคับดึก) อายุ 57 ปี มีรายได้ต่อปี 62 ล้านวอน หรือราวๆ 1.9 ล้านบาท) ไม่เห็นห้องทำงานของพวกตน จึงถามว่าโต๊ะทำงานของส่วนสนับสนุนการขายและการตลาดอยู่ชั้นบนหรือ คับดึกบอกให้นั่งรวมกันที่นี่และชี้ไปยังห้องเก็บของในมุมมืดซึ่งมีโต๊ะและลังวางระเกะระกะ จองฮันเห็นดังนั้นก็ยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี ขณะที่คยูชิคลอบมองจองฮันด้วยความรู้สึกผิด คยูชิคและจองฮันจับมือทักทายที่ได้เจอกันอีกครั้ง ทั้งคู่เป็นทั้งเพื่อนและเพื่อนร่วมงานที่เข้ามาทำงานในวาย-จาง ฟู้ด พร้อมกันเมื่อ 5 ปีก่อน แต่คยูชิค (อายุ 32 ปี มีรายได้ต่อปี 57 ล้านวอน หรือราวๆ 1.7 ล้านบาท) ก้าวหน้ารวดเร็วกว่า หลังจบเอ็มบีเอจากสหรัฐอเมริกาเขาก็กลับมารับตำแหน่งหัวหน้าทีมขายและการตลาดแทนจองฮัน ส่วนจองฮัน (อายุ 32 ปี มีรายได้ต่อปี 39 ล้านวอน หรือราวๆ 1.2 ล้านบาท) โดนเด้งมาเป็นหัวหน้าทีมสนับสนุนการขายและการตลาด

แม้คยูชิคจะไม่แสดงออกตรงๆ และพยายามซ่อนความรู้สึกเอาไว้ แต่จองฮันรู้ว่าคยูชิครู้สึกผิดที่มาแย่งตำแหน่งของตน เขาจึงพูดให้คยูชิคสบายใจว่า ไม่ว่าจะมองในด้านผลงานหรือความสามารถ คยูชิคก็คู่ควรกับตำแหน่งหัวหน้าทีมขายและการตลาดมากกว่าตน ตนแค่รับตำแหน่งดังกล่าวไปพลางๆ ในระหว่างที่คยูชิคไม่อยู่และตำแหน่งนั้นก็ไม่เหมาะกันตน ตอนนี้ตนรู้สึกโล่งอกโล่งใจขึ้นมาก ให้ตนร่วมงานกับคยูชิคทุกวัน ยังดีเสียกว่ารับตำแหน่งที่ไม่คู่ควรกับตน



และงานแรกที่ทั้งคู่ต้องมารับหน้าที่ร่วมกันคือการสัมภาษณ์พนักงานสัญญาจ้างซึ่งชูรีก็เป็นหนึ่งในนั้น พอเห็นชูรีคยูชิคก็ตกตะลึงในความงามของเธอ จองฮันจะถามว่าทำไมเธอถึงอยากมาทำงานที่นี่ แต่พูดยังไม่ทันจบคยูชิคก็สวนขึ้นว่า "มีแฟนรึยังครับ" จากนั้นก็ถามแต่เรื่องส่วนตัวราวกับชวนเธอคุยมากว่ากำลังสัมภาษณ์งาน จองฮันตัดบทโดยชี้ว่า หากเธอได้งานนี้ทางบริษัทจะทำสัญญาว่าจ้างเธอเป็นเวลา 3 เดือน และถ้าเธอมีผลงานที่น่าพอใจ บริษัทฯ อาจจ้างเธอต่ออีก 3 เดือน ไม่แน่ว่าหลังจากนั้นเธออาจถูกบรรจุให้เป็นพนักงานประจำแต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่ หรือไม่ก็ไม่มีทางได้รับข้อเสนอดีๆ เช่นนั้นเลย 

ชูรีกล่าวว่าเธอรู้เรื่องเงื่อนไขของสัญญาดี เธอถึงได้มาสมัครงานที่นี่ เธอเปรียบว่าตนเองเป็นแค่ก้อนถั่วเหลืองหมักแห้ง* (หรือที่เรียกว่า "เมจู") เพราะเธอจบการศึกษาจากวิทยาลัยโนเนมในต่างจังหวัด สอบโทอิคได้ 700 คะแนนแบบฉิวเฉียด ไม่เคยไปเรียนภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศ ไม่มีความสามารถพิเศษใดๆ เธอจึงเป็นก้อนถั่วเหลืองหมักแห้งรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดที่ไม่มีแม้กระทั่งรสเค็มหรือรสเผ็ด แต่เธอเชื่อว่าสำหรับวาย-จาง ฟู้ดแล้ว แม้แต่ก้อนถั่วเหลืองหมักแห้งธรรมดาๆ ก็สามารถนำมาทำทเวนจัง* (เต้าเจี้ยวเกาหลี) คุณภาพเยี่ยมได้ ดังนั้นไม่ว่าจะสามหรือหกเดือน เธอก็จะพิสูจน์ให้เห็นว่าตนเองสามารถแปรเปลี่ยนจากก้อนถั่วเหลืองหมักแห้งไปเป็นเต้าเจี้ยวชั้นดีได้ คยูชิคแย้งว่าพวกตนจะรู้ได้อย่างไรว่าสุดท้ายแล้วเธอจะกลายเป็นเต้าเจี้ยวหรือกองอึ ชูรีจึงบอกว่าทางเดียวที่จะรู้ก็คือต้องลองชิมดู... และนั่นก็ทำให้เธอได้งานเป็นครั้งแรก    

*หมายเหตุ:

เมจู (메주)  คือ ก้อนถั่วเหลืองหมักแห้งที่ผ่านการหมักด้วยเชื้อรา Aspergillus oryzae หรือ เชื้อแบคทีเรีย บาซิลลัส ซับทีลีส (BS) ไม่ได้มีไว้สำหรับรับประทานโดยตรง แต่เป็นวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตเครื่องปรุงรสของเกาหลีหลายชนิด เช่น ทเวนจัง (เต้าเจี้ยวเกาหลี),  โคชูจัง (น้ำพริกเกาหลี) และกันจัง (ซอสถั่วเหลือง) เป็นต้น

ภาพจาก วิกิพีเดีย


ส่วน ทเวนจัง (된장) คือ ถั่วเหลืองหมัก หรือเต้าเจี้ยวเกาหลี ลักษณะคล้ายมิโซะของญี่ปุ่น กล่าวคือเป็นเต้าเจี้ยวที่มีเนื้อข้นคล้ายน้ำพริก ไม่เหลวเป็นน้ำเหมือนเต้าเจี้ยวที่วางขายในบ้านเรา สามารถนำมาปรุงรสหรือประกอบอาหารได้หลายอย่าง อาทิ ซุป แกง น้ำจิ้มต่างๆ ฯลฯ

ภาพจาก วิกิพีเดีย


หลังเลิกงานคยูชิคกล่าวชมชูรีว่าเธอเป็นคนสวย แม้จองฮันจะเห็นด้วยและให้เธอผ่านการสัมภาษณ์งานแต่เขาก็อดแย้งไม่ได้ว่า คยูชิคไม่ควรใช้ความสวยเป็นเกณฑ์ในการรับคนเข้าทำงาน (ก่อนหน้านี้ จองฮันเพิ่งปฏิเสธผู้สมัครงานคนหนึ่งหลังพบว่าเธอไม่ชอบทานซุปเต้าเจี้ยว เพราะเต้าเจี้ยวเป็นหนึ่งในสินค้าหลักของวาย-จางฟู้ด พอชูรีเปรียบตัวเองเป็นก้อนถั่วเหลืองที่พร้อมจะกลายเป็นเต้าเจี้ยวชั้นดีเขาเลยรู้สึกประทับใจ) คยูชิคกล่าวว่าต่อให้สวยแค่ไหน แต่ถ้าเป็นแค่พนักงานสัญญาจ้างเขาก็ไม่มีทางสน เขาบอกจองฮันว่า ผู้หญิงในอุดมคติของตนต้องเดินทางชั้นเฟิร์สคลาส แต่งตัวเหมือนหญิงจรจัด กรอกไวน์ขวดละ 3 ล้านวอน (กว่า 9 หมื่นบาท) ใส่ปากโดยตรง และตบหน้าตนเมื่อถึงคราวจำเป็น จองฮันถามว่าในเกาหลีมีผู้หญิงแบบนั้นด้วยหรือ คยูชิคกล่าวอย่างมั่นใจว่ามีแน่นอน เขานำแว่นกันแดดของมิสคิมขึ้นมาสวมแล้วกล่าวว่า "เธอจะต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งในกรุงโซล" (ในตอนนั้นมิสคิมซึ่งอยู่ในห้องพักที่กรุงโซลกำลังตัดผมตัวเองด้วยมีดพับสวิสอาร์มี่)






เมื่อคยูชิคไปถึงที่ทำงานในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เขาก็พบว่าจองฮันกำลังจะไปสัมภาษณ์ผู้สมัครงานเนื่องจากแผนกของตนจะรับพนักงานสัญญาจ้างเพิ่มอีกหนึ่งคน คยูชิคเปรยว่าทำไมถึงมีคนมาสัมภาษณ์งานสัญญาจ้างงี่เง่าเยอะจัง ทันใดนั้น มิสคิมก็เดินเข้ามาในแผนกพร้อมกับนายหน้า คยูชิคเห็นดังนั้นก็เดินปรี่เข้าไปทักเหมือนคนเคยรู้จักและสนิทสนมกันมาก่อน จากนั้นก็โม้ว่าตนอยากพบเธอใจจะขาดแต่ไม่รู้ว่าจะตามหาเธออย่างไรดี (เขาเรียกเธอว่า "คุณผู้หญิง") ผู้จัดการอัน (นายหน้า) เห็นดังนั้นจึงถามคยูชิคว่ารู้จักมิสคิม 'ของเรา' ด้วยหรือ พอรู้ว่ามิสคิมมาที่นี่เรื่องสัญญา คยูชิคก็รู้สึกตื่นเต้นจนออกนอกหน้าเพราะเข้าใจว่าเธอจะมาลงนามเซ็นสัญญาทำธุรกิจร่วมกับบริษัทของตน

จองฮันบอกให้คยูชิคให้รีบไปที่ห้องประชุมเพื่อสัมภาษณ์... เขาพูดยังไม่ทันจบคยูชิคก็แย้งว่า "ใครจะสนเรื่องการสัมภาษณ์พนักงานสัญญาจ้างกระจอกๆ นั่น นายรู้มั๊ยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร เธอจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก..." ผู้จัดการอันชิงตอบว่ามิสคิมคือพนักงานสัญญาจ้างมืออาชีพที่อยู่ในสังกัดตน (บริษัทนายหน้าจัดหาพนักงานชั่วคราว) มานาน 5 ปี คยูชิคได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าเซ็งด้วยความผิดหวัง ทั้งยังมีท่าทีที่เปลี่ยนไป ผู้จัดการอันกล่าวในห้องประชุมว่า ความจริงแล้วมิสคิมไม่อยากรับงานนี้ แต่หลังถูก 'คุณฮวาง' (คับดึก) รบเร้าเธอถึงได้ยอมมา จองฮันจะเริ่มทำการสัมภาษณ์แต่คยูชิคชิงถามว่า ก่อนมาที่นี่เธอเคยทำงานที่ไหนมาก่อน มิสคิมนั่งนิ่งไม่ยอมตอบราวกับไม่ได้ยินหรือไม่เห็นเขามีตัวตน ซ้ำยังจิบกาแฟอย่างใจเย็น แต่พอลิ้มรสกาแฟแล้วมิสคิมก็ทำหน้าเบ้ ก่อนบอกว่าต่อจากนี้เธอจะเป็นคนชงกาแฟเอง

จองฮันกับคยูชิคได้ยินแล้วถึงกับอึ้ง คยูชิคเตือนมิสคิมว่าเธอกำลังอยู่ในระหว่างการสัมภาษณ์งาน ก่อนเน้นย้ำอย่างดูถูกว่า 'ตำแหน่งพนักงานสัญญาจ้าง' เธอจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะมาบอกพวกตนว่าอยากทำหรือไม่อยากทำอะไร ผู้จัดการอันได้ยินดังนั้นจึงแจกเอกสารให้สองหนุ่ม พอเห็นว่าเอกสารคือ 'คู่มือการใช้งานมิสคิม' สองหนุ่มก็มึนหนักกว่าเดิม ผู้จัดการอันอธิบายว่าพวกตนไม่ได้มาที่นี่เพื่อสัมภาษณ์งาน เพราะ 'คุณฮวาง' อนุมัติการจ้างงานมิสคิมแล้ว แต่มาเพื่ออธิบายเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาของมิสคิม

เขากล่าวว่าสัญญาจ้างมีระยะเวลา 3 เดือน วันทำงานคือ จันทร์-ศุกร์ มิสคิมจะเริ่มงานตอนเก้าโมงเช้า พักกลางวันตอนเที่ยงถึงบ่ายโมง และเลิกงานตอนหกโมงเย็น เธอจะไม่ต่อสัญญาไม่ว่ากรณีใดๆ  จะไม่ทำงานอื่นนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในสัญญา  ไม่ทำงานวันหยุด ไม่ทำงานก่อนหรือหลังชั่วโมงการทำงานตามที่ได้ระบุไว้ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ให้ดูในคู่มือการใช้งาน คยูชิคขู่ผู้จัดการอันว่าอยากให้ตนเลิกใช้บริการบริษัทของเขาหรือ ผู้จัดการอันชี้ว่าหัวหน้าของคยูชิค (คับดึก) เซ็นสัญญากับตนเรียบร้อยแล้ว มิสคิมกล่าวอย่างไม่แคร์ว่า ถ้าไม่อยากจ้างเธอก็ให้ไปจ้างพนักงานประจำ 3 คนมาทำหน้าที่นี้ แต่ถ้าอยากประหยัดงบฯ ก็ให้เลือกใช้เธอคนเดียว รับรองได้ว่าตลอดสามเดือนข้างหน้าผลงานของเธอเกินคุ้มอย่างแน่นอน


 


ปรากฏว่าทั้งชูรีและมิสคิมถูกว่าจ้างให้มาช่วยงานส่วนสนับสนุนการขายและการตลาดซึ่งมีจองฮันเป็นหัวหน้าทีม (สามสาวฝ่ายขายและการตลาดแอบดูมิสคิมแล้วพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่เธอยังคงใส่สูทกระดุมสองเม็ดยุคปี 1995 ซึ่งล้าสมัยมาก) และพื้นที่ทำงานของทีมจองฮันก็ตั้งอยู่ในมุมอับใต้บันไดที่เคยเป็นพื้นที่เก็บของและเต็มไปด้วยขี้ฝุ่น เมื่อจองฮันทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ก็พังทันที จองโดจะโทรฯ เรียกช่างแต่มิสคิมแย้งว่านี่คืองานของตน เธอหยิบมีดพับสวิสขึ้นมาแล้วจัดการซ่อมเก้าอี้ด้วยความชำนาญทันที เมื่อจองฮันเปิดดูคู่มือการใช้งานมิสคิมก็พบว่าหนึ่งในหน้าที่ของเธอคือการซ่อมแซมเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์สำนักงาน  หลังจากนั้น ทุกคนก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นมิสคิมจัดเรียงแฟ้มด้วยความเร็วแบบไฮสปีด เมื่อจองฮันเห็นมิสคิมยกลังขึ้นมาจัดเรียงบนชั้นเขาก็ร้องบอกว่าไม่ต้องทำเพราะมันหนัก  มิสคิมจึงบอกว่านี่คืองานของตนและแนะให้เขาสนใจแต่งานของตัวเอง 

ชูรีถามจองฮันว่ามีงานอะไรให้เธอทำบ้าง จองฮันจึงส่งแฟ้มให้ชูรีพลางบอกว่านี่คือ สถิติการขายซอสถั่วเหลืองรายไตรมาสที่จำเป็นต้องใช้ในการประชุมพรุ่งนี้ และขอให้เธอสรุปข้อมูลเป็นรูปแบบตาราง Excel ทันใดนั้น จีรังก็ร้องบอกว่าน้ำในตู้น้ำเย็นหมดแล้ว เธอขอแรงหนุ่มๆ ให้มาช่วยเปลี่ยนขวดน้ำให้ มิสคิมได้ยินดังนั้นจึงรีบวิ่งไปเปลี่ยนขวดน้ำทันที เมื่อจองฮันตรวจดูคู่มือการใช้งานมิสคิมก็พบว่าการเปลี่ยนขวดและซ่อมแซมตู้น้ำเย็นเป็นอีกหน้าที่หนึ่งของมิสคิม



คยูชิครู้สึกหงุดหงิดที่ผู้หญิงในอุดมคติที่เขาเคยยกย่องและชื่นชมเป็นเพียงพนักงานสัญญาจ้าง แถมเขายังทำเรื่องน่าอับอายต่อหน้าเธอทุกครั้งที่เจอกัน เมื่อเห็นว่าปลอดคนเขาก็เข้าไปคุยกับมิสคิมโดยบอกว่าแม้ก่อนหน้านี้จะเกิดเหตุไม่คาดฝันบนเครื่องบิน แต่ที่นี่คือที่ทำงานของพวกตน ตนจึงหวังว่าจะไม่มีเรื่องเข้าใจผิดระหว่างกัน มิสคิมถามว่าเข้าใจผิดเรื่องที่เขาแอบมานั่งที่เธอบนเครื่องบิน หรือเรื่องที่เขาขโมยกินขนมต๊อกของเธอจนติดคอและเกือบสำลักตาย หรือเขาหมายถึงเรื่องที่เธอตบหน้าเขาบนเครื่องบินกัแน่ คยูชิคทนฟังเรื่องน่าอายของตนต่อไปไม่ไหวจึงตวาดว่าตนหมายถึงทุกเรื่อง

มิสคิมเปรยว่า (พวก) เศษสวะก็คือขยะที่จะถูกเผา เธอเห็นเขานำขวดน้ำ (ที่ซื้อมาจากข้างนอก) มาทิ้งในถังขยะของออฟฟิศ จึงพูดเปรียบเปรยว่าอย่านำขยะข้างนอกเข้ามาในที่ทำงาน ขยะที่เขาสร้างขึ้นข้างนอกก็ควรจัดการข้างนอก  (เธอเตือนเขาว่าไม่ควรคุยเรื่องอื่นในที่ทำงาน) จากนั้นก็ถามว่า พวกตนเคยเจอกันมาก่อนงั้นหรือ ถึงกระนั้นคยูชิคก็ยังอยากรู้ว่าเธอเป็นแค่พนักงานสัญญาจ้างแล้วทำไมถึงมีปัญญานั่งเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาส จากนั้นก็ถามว่าฐานะทางบ้านเธอร่ำรวยหรือ มิสคิมยกขวดน้ำใส่ตู้น้ำเย็นพลางตะคอกบอกคยูชิคให้หุบปาก แล้วเดินออกจากห้องแพนทรีไปทันที  คยูชิคเรียกให้มิสคิมหยุดโดยอ้างว่าตนยังพูดไม่จบ แต่มิสคิมบอกว่าได้เวลาพักเที่ยงแล้ว

ชูรีวิ่งตามมิสคิมไปเพื่อขอทานข้าวเที่ยงกับเธอด้วยเห็นว่าทำงานอยู่ทีมเดียวกัน แต่มิสคิมปฏิเสธทันควันทั้งยังบอกให้ชูรีเรียกตนว่า "มิสคิม" แทนคำว่า "รุ่นพี่" ชูรีจึงไปร่วมวงทานข้าวและปรับทุกข์กับสามสาวประจำฝ่ายขายและการตลาด ทำให้รู้ว่าคยูชิค (ฉายา "ศาสดาชาง") เทิดทูนบูชาบริษัทเหนือสิ่งอื่นใดจนแลดูคล้ายเป็นเจ้าลัทธิ ขณะที่จองฮัน (ฉายา "มูผู้นอบน้อม") เป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้ามีปากเสียงหรือต่อกรกับใคร บงฮีเตือนชูรีให้ระวังถูกคยูชิคหมายหัวเพราะถ้าเป็นเช่นนั้นเธอจะทำงานที่นี่อย่างไม่เป็นสุขแน่ ชูรีบอกสามสาวว่าตนจะตั้งใจทำงานเพื่อที่ทางบริษัทจะได้ต่อสัญญาให้กับเธอ โดยหวังว่าถ้าได้ต่อสัญญาครบสองปีแล้วบริษัทจะบรรจุเธอเป็นพนักงานประจำ  สามสาวได้ยินดังนั้นจึงหน้าเจื่อนไปตามกัน (บงฮีกับจีรังเป็นพนักงานสัญญาจ้างที่ต่อสัญญามา 2-3 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้บรรจุเป็นพนักงานประจำ ส่วนดาราเป็นพนักงานสัญญาจ้างที่ต่อสัญญามาแล้ว 1 ปี)  



  
คยูชิคไม่พอใจเมื่อพบว่าลูกน้องที่ชื่อ "ชิน มินกู" (พนักงานประจำ) ไม่ยอมจัดลำดับความสำคัญของงานอีกตามเคย จึงมัวแต่ทำงานอย่างอื่นที่ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วนจนลืมทำรายงานแบบสำรวจผู้บริโภค ทั้งๆ ที่ต้องนำเสนอข้อมูลดังกล่าวในการประชุมวันรุ่งขึ้น  "กู ยองชิค" (พนักงานประจำ ตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าทีม) กล่าวว่างานนี้ควรเป็นหน้าที่ของส่วนสนับสนุนการขายและการตลาดมากกว่า คยู ชิคจึงหอบแฟ้มไปให้มิสคิมทำหวังวางก้ามว่าตนอยู่เหนือกว่า แต่แล้วก็หน้าแตกยับเยินเมื่อมิสคิมปฏิเสธเสียงแข็งและโยนแฟ้มคืน เพราะเขาไม่ใช่หัวหน้าของเธอ (ในคู่มือการใช้งานระบุว่าเธอจะทำตามคำสั่งหัวหน้าทีมเท่านั้น) และงานนี้ไม่ใช่งานของของทีมเธอด้วย (ในตอนนั้นมิสคิมกำลังตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์งานที่ได้รับมอบหมาย) นอกจากนี้ มิสคิมยังเรียกเขาว่า "นายหัวกะหล่ำปลี" ต่อหน้าพนักงานทุกคน (เธอล้อว่าทรงผมคยูชิคเหมือนของตุ๊กตาหัวกะหล่ำปลี) ทำให้คยูชิคทั้งโกรธทั้งอาย จองฮันไม่กล้าปฏิเสธคยูชิคจึงบอกให้ชูรีรับผิดชอบงานนี้ ทั้งๆ ที่เธอเองก็มีงานล้นมือ เธอจึงขอความช่วยเหลือจากสามสาวด้วยเห็นว่าทั้งสามสาวเป็นพนักงานสัญญาจ้างเหมือนตน จึงน่าจะพึ่งพาอาศัยกันได้ แต่กลับไม่มีใครยอมช่วยเธอ

คยูชิคขอให้คับดึกยกเลิกสัญญาของมิสคิมโดยกล่าวว่าเธอเป็นเพียงพนักงานสัญญาจ้างต้อยต่ำแต่กลับไม่ยอมทำงานตามคำสั่งตน คับดึกกล่าวว่ามิสคิมทำหน้าที่ของเธอได้ยอดเยี่ยมและวางใจได้ จึงไม่ควรมีอคติกับเธอ  คยูชิคแย้งว่ามิสคิมทั้งวางก้ามและไม่เห็นหัวตน คับดึกจึงชี้ว่าคนที่วางก้ามคือคยูชิคไม่ใช่มิสคิม เขากล่าวว่าคยูชิคกับมิสคิมคือทีเด็ดของวาย-จางฟู้ด และตำหนิคยูชิคที่ไม่สามารถรับมือพนักงานสัญญาจ้าง 3 เดือน แถมยังมัวเสียเวลาคร่ำครวญเหมือนเด็กขี้ฟ้องทั้งๆ ที่จะมีการประชุมในวันพรุ่งนี้แล้ว เขาบอกให้คยูชิคกลับไปเตรียมเอกสารให้พร้อมสำหรับการประชุม ไม่อย่างนั้นคงได้ร้องไห้ขี้มูกโป่งจริงๆ แน่


จองฮันกลัวว่าชูรีจะทำงานไม่ทันจึงขอร้องมิสคิมให้ช่วยชูรีทำงานโดยบอกว่าตนและจองโดมีประชุมตอนเย็น แต่มิสคิมปฏิเสธเพราะได้เวลาเลิกงานพอดี ชูรีจึงต้องพึ่งตัวเอง เธอหอบงานทั้งหมดกลับไปทำที่บ้านและนั่งทำงานแบบโต้รุ่งจนถึงตี 5 ทำให้นอนตื่นสาย เธอลงทุนนั่งรถแท็กซี่ไปทำงานแต่ดันลืมยูเอสบีรูปนกเพนกวินโปโรโรไว้ในรถแท็กซี่ ทำให้คนในแผนกต้องช่วยกันโทรฯ ตามหารถแท็กซี่คันดังกล่าว มีเพียงมิสคิมที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานในความรับผิดชอบของตน คยูชิคเห็นดังนั้นจึงตำหนิมิสคิมที่ใจจืดใจดำไม่ยอมช่วยเหลือคนอื่นๆ  เมื่อเห็นว่ามิสคิมไม่ยอมรับคำสั่งของคยูชิค จองฮันจึงเอ่ยปากขอให้มิสคิมช่วย แต่มิสคิมยืนกรานว่าจะไม่ทำงานนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในคู่มือ ถ้าต้องการให้เธอทำงานอื่นเพิ่มเติมเธอจะเบิกค่าทำงานล่วงเวลาและใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้น

คยูชิคโกรธจนความดันขึ้น และกล่าวอย่างดูถูกว่าเพราะอย่างนี้มิสคิมถึงเป็นได้แค่พนักงานสัญญาจ้าง เขาตำหนิเธอว่าไม่มีความรับผิดชอบ ไม่รู้จักทำงานเป็นทีม และไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ทำให้ถูกมิสคิมย้อนว่า เพราะอย่างนี้เขาถึงไม่ใช่พนักงานสัญญาจ้าง บริษัทจ่ายค่าตัวให้เขาสูงกว่าแต่กลับทำงานสะเปะสะปะไร้ประสิทธิภาพ ขณะที่พนักงานสัญญาจ้างอย่างเธอจะทำงานตามหน้าที่ๆ ระบุไว้ในสัญญาเท่านั้น การทำงานอื่นนอกเหนือสัญญาจ้างเพราะสำนึกในความรับผิดชอบมีแต่จะทำให้เสียงาน


ในที่สุดบริษัทรถแท็กซี่ก็โทรฯ มาบอกว่าเจอรถแท็กซี่คันที่ทุกคนตามหาแล้ว แต่รถคันดังกล่าวถูกส่งไปเข้าโรงล้าง ทุกคนจึงแห่ไปที่ศูนย์ล้างรถ แต่กลับพบว่ายูเอสบีอยู่ในมือของชายคนหนึ่ง แถมเขายังเซฟไฟล์หนังโป๊ลงไปในยูเอสบีของชูรีแล้วส่งต่อให้เพื่อนๆ ดู ยูเอสบีจึงถูกส่งต่อเป็นทอดๆ  จนมาอยู่ในมือของชายคนหนึ่งที่ทำงานในไซต์งานก่อสร้าง พอรู้ว่าทุกคนมาตามหายูเอสบี เขาก็โยนยูเอสบีลงมาจากอาคารที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างด้วยความหวังดี แต่ยูเอสบีดันตกลงบนกองดินที่สูงราวภูเขาลูกย่อมๆ ชูรีพยายามปีนขึ้นไปเอายูเอสบีโดยไม่หวั่นเกรงอันตรายแต่สุดท้ายก็ลื่นไถลลงมา จองฮันจึงรีบพาชูรีลงมาก่อนที่จะเกิดเรื่องร้ายๆ มากไปกว่านี้ ขณะที่คยูชิคและพนักงานประจำอีกสองคนได้แต่ยืนมองตาปริบๆ (คยูชิคส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ)



คยูชิคเห็นว่าพวกตนคงเตรียมเอกสารไม่ทันแน่ เลยโทรฯ บอกจองโดให้ช่วยรายงานคับดึกตามตรงและขอเลื่อนการประชุม ทันใดนั้นก็มีรถตักดินคันหนึ่งวิ่งเข้ามา ปรากฏว่าคนขับรถคันดังกล่าวคือ...มิสคิม! เธอช่วยตักดินที่มียูเอสบีลงมาอย่างคล่องแคล่ว แต่พอตักดินได้แล้วเธอกลับปล่อยกระบวยไว้กลางอากาศแล้วดับเครื่องกลางคันเพราะได้เวลาพักเที่ยงพอดี หลังจองฮันเซ็นใบเบิกค่าล่วงเวลาให้ เธอจึงสตาร์ทรถแล้วเทดินลงมา พอได้ยูเอสบีคืนแล้วทุกคนก็โล่งอกและรู้สึกดีใจ

ในที่สุดการประชุมก็เริ่มต้นขึ้นตามกำหนด หลังจิบกาแฟที่มิสคิมนำมาเสิร์ฟ จางมีก็เอ่ยถามว่าแผนกขายและการตลาดเปลี่ยนยี่ห้อกาแฟหรือ (เพราะกาแฟมีรสชาติดีขึ้นกว่าเดิม) จองโดกล่าวชมมิสคิมและถามว่าเธอรู้ได้ยังไงว่าต้องไปที่ไซต์งานและทำไมถึงขับรถตักดินได้ มิสคิมตอบว่าจองโดคุยโทรศัพท์เสียงดังลั่นเธอเลยรู้ว่าต้องไปที่ไหน และเธอก็หัดขับรถตักดินด้วยตัวเอง ชูรีจะกล่าวขอบคุณมิสคิมที่ช่วยนำยูเอสบีกลับคืนมาให้ แต่มิสคิมลุกหนีพลางบอกว่าได้เวลาเลิกงานแล้วมีอะไรไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้ จองโดเปรยว่าทำใจให้ชอบมิสคิมยากจริงๆ เพราะเธอมักพูดจาไม่เข้าหูและชอบพูดแดกดัน แต่ชูรีแย้งว่าจริงๆ แล้วมิสคิมอาจไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่แน่ว่าบางทีเธออาจเป็นคนอบอุ่นและจิตใจอ่อนโยน

ชูรีแทบช็อคเมื่อมิสคิมให้ผู้จัดการอัน (บริษัทนายหน้า) นำใบเบิกค่าทำงานล่วงเวลาจำนวน 9 แสนวอน (กว่า 2.7 หมื่นบาท) มาเรียกเก็บเงินจากเธอ พลางบอกว่าสาเหตุที่แพงขนาดนี้เป็นเพราะมีการใช้งานเครื่องจักรกลหนัก และปกติอัตราค่าทำงานล่วงเวลาของมิสคิมก็สูงมากอยู่แล้ว ชูรีแย้งว่ามิสคิมทำงานล่วงเวลาช่วงพักเที่ยงเพียง 20 นาทีเท่านั้น ผู้จัดการอันจึงกล่าวว่าชูรีไม่มีทางเลือกอื่น เพราะถ้าหากพวกตนนำบิลไปเรียกเก็บเงินกับวาย-จาง ฟู้ดแล้วคุณฮวาง (คับดึก) มาเห็นเข้า ชูรีมีหวังโดนไล่ออกทันทีแน่ ชูรีได้ยินดังนั้นจึงยอมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายแต่โดยดี


หลังการประชุมผ่านพ้นไปด้วยดี คยูชิคและจองฮันก็แอบมานั่งดูหนังโป๊ที่อยู่ในยูเอสบีของชูรี  อยู่ๆ คับดึกก็โผล่มาชวนสองหนุ่มออกไปท่องราตรีด้วยกันโดยบอกว่าจะพาไปที่เจ๋งๆ เพราะเห็นว่าสองหนุ่มวิ่งวุ่นมาตลอดทั้งวัน ปรากฏว่าคับดึกพาทั้งคู่ไปที่บาร์มาชูปิกชู ซึ่งเป็นซัลซ่า บาร์  (บาร์สำหรับคนที่ชื่นชอบการเต้นซัลซ่า ซึ่งเป็นการเต้นที่ร้อนแรงสไตลล์อเมริกาใต้ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศคิวบา) หลังคับดึกออกไปเต้นรำ จองฮันก็เปรยกับคยูชิคว่า ตนอยากรู้ว่าจริงๆ แล้วมิสคิมเป็นคนยังไงกันแน่ คยูชิคกล่าวว่ามิสคิมก็แค่สาวใหญ่ที่อุทิศชีวิตเพื่อการทำงาน พลางถามจองฮันว่าผู้หญิงแบบไหนกันที่มีเวลาไปสอบใบอนุญาตขับรถตักดิน

จองฮันกล่าวว่า ตนรู้สึกว่ามิสคิมเป็นคนที่พิเศษมากๆ  คยูชิคแย้งว่าการที่มิสคิมแต่งตัวเชยๆ แสดงให้เห็นว่าเธอไม่เคยมีคู่มาก่อน หลังเลิกงานเธอคงเก็บตัวอยู่แต่ในห้องแล้วนอนดูละครน้ำเน่า เธอมันก็แค่สาวแก่ขึ้นคานทั่วไปที่ไม่มีปัญญาหางานประจำทำ เมื่อคับดึกกลับมาที่โต๊ะคยูชิคก็รีบส่งแก้วเครื่องดื่มให้พลางพูดจาประจบประแจง ทันใดนั้น ไฟรอบข้างก็ดับลงและมีนักเต้นคู่หนึ่งออกมาเต้นซัลซ่าโชว์ด้วยลีลาที่เร่าร้อนบนเวที

ระหว่างเดินคอตกกลับบ้านชูรีเดินผ่านธนาคารแทฮันซึ่งเคยถูกไฟไหม้ต่อหน้าต่อตาเธอเมื่อ 6 ปีก่อน เธอจึงหวนนึกถึงความหลังตอนที่ความรักหวานชื่น พลางกล่าวกับคนดูว่า "พวกเรามักคิดว่าตนเองโดดเด่นเหมือนต้นคริสต์มาส แต่สุดท้ายก็ตระหนักได้ว่าพวกเราเป็นเพียงหนึ่งในหลอดไฟเล็กๆ มากมายที่ประดับอยู่บนต้นไม้" เมื่อกลับถึงบ้านชูรีก็เสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับเหตุเพลิงไหม้ธนาคารแทฮันเมื่อปี 2007 และพบว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้พนักงานสัญญาจ้างหญิงเสียชีวิตหนึ่งคน เธอจึงกล่าวต่อว่า "หลังจากนั้นพวกเราก็ได้พบกับความจริงที่โหดร้ายยิ่งกว่า... แม้แต่หลอดไฟประดับเล็กๆ มากมายก็ยังมีคุณค่าและราคาไม่เท่ากัน"




ภาพตัดไปที่สองนักเต้นเท้าไฟในบาร์มาชูปิกชู เมื่อทางร้านเปิดไฟบนเวทีจองฮันก็ตกตะลึงเมื่อพบว่านักเต้นหญิงที่มีลีลาสุดเร่าร้อนก็คือมิสคิม เขาจึงรีบสะกิดบอกคยูชิค คยูชิคเห็นดังนั้นก็ถึงกับสำลักเครื่องดื่มและตะลึงมองมิสคิมเหมือนโดนมนต์สะกด

บทสรุปของละครเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ติดตามชมได้ใน "ควีน ออฟ ออฟฟิศ (Queen of Office)" ทางช่องเวิร์คพอยท์ทีวี

* เนื้อหาโดย luvasianseries / ภาพ captures จากดราม่าเคบีเอส


นักแสดงนำ


คิม ฮเยซู
รับบท มิสคิม (คิม จอมซุน)

มิสคิมเป็นพนักงานคนแรกของเกาหลีที่สมัครใจเป็น "พนักงานสัญญาจ้าง" เธอมักสวมสูททำงานสีกลางๆ และใช้เน็ตรวบผมอย่างเรียบร้อย เธอมีประกาศนียบัตรรับรองความสามารถในด่านต่างๆ มากถึง 124 ใบ ทำงานฉับไวไร้ที่ติ พูดได้หลายภาษารวมทั้งภาษารัสเซีย เธอตระเวนทำงานให้สำนักงานต่างๆ และจะหายตัวไปหลังครบสัญญา 3 เดือน กิตติศัพท์ของเธอทำให้เพื่อนร่วมงานต่างเกรงขาม แม้แต่คนเป็นหัวหน้าก็ยังกลัวเธอ เธอมาพร้อมเงื่อนไขการทำงานที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้องเวลาพักกลางวัน หรือช่วงเวลาก่อนและหลังชั่วโมงทำงานของเธอ ไม่มีบริษัทใดกล้าขอให้เธอมาทำงานในช่วงวันหยุด ชีวิตส่วนตัวของเธอล้วนเต็มไปด้วยปริศนา แถมประวัติความเป็นมาก็ยังลึกลับดำมืด เธอไม่สุงสิงและไม่สังสรรค์กับใคร ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น ไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่งเรื่องส่วนตัวของตน และเลือกที่จะใช้ชีวิตในแบบฉบับของเธอเอง




โอ จีโฮ
รับบท ชาง คยูชิค 

"ชาง คยูชิค"  (เป็นการเล่นคำกับคำว่า 'ชอง คยูชิค' ซึ่งแปลว่าพนักงานประจำ) จบเอ็มบีเอจากอเมริกา เป็นคนร่าเริง มองโลกในแง่ดี มีความกระตือรือร้น ทั้งยังเป็นมืออาชีพและมีจรรยาบรรณในการทำงาน เขาอุทิศตนให้กับการทำงานและทำทุกอย่างเพื่อบริษัท ไม่ว่าจะทำอะไรก็มักคิดถึงแต่เรื่องงานและบริษัทเสมอ แต่ชอบดูถูกพนักงานสัญญาจ้าง ทั้งยังคิดว่าคนเหล่านี้เป็นเพียงผู้ช่วยที่คอยทำงานรับใช้พนักงานประจำ เขาจึงเป็นคู่กัดกับมิสคิมและพยายามหักหน้าเธอหลายครั้ง แต่มักถูกมิสคิมตอกกลับจนหงายเงิบและหน้าแตกเสียเอง หลังมีเรื่องมีราวและมีปากเสียงกันหลายครั้ง เขาก็ค่อยๆ ยอมรับและตกหลุมรักมิสคิม




ชอง ยูมี
รับบท ชอง ชูรี

ที่ผ่านมา "ชอง ชูรี" ต้องผิดหวังจากการสัมภาษณ์งานมานับครั้งไม่ถ้วน เพราะเธอจบจากมหาวิทยาลัยชั้นปลายแถว  แถมเรซูเม่ยังไม่น่าสนใจและไม่มีอะไรที่โดดเด่น เธอจึงถูกว่าจ้างให้เป็นพนักงานชั่วคราวที่บริษัท วาย-จาง ฟู้ด แม้เธอจะพยายามทำงานตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ แต่ก็มักมีเหตุให้ผิดพลาดเป็นประจำ และทุกครั้งที่อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดเธอมักจะเผลอพูดสำเนียงท้องถิ่นออกมา 



ลี ฮีจุน
รับบท มู จองฮัน (แปลว่า ไม่มีหัวใจ)

"มู จองฮัน" เข้ามาทำงานที่บริษัท วาย-จาง ฟู้ด พร้อม "จาง คยูชิค" ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและผู้ร่วมงานของเขา  แต่คยูชิคมีผลงานอันโดดเด่นจึงก้าวหน้ารวดเร็วกว่า ถึงกระนั้น เขาก็เป็นมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานอย่างเอาจริงเอาจังและชอบทำงานเป็นทีม แม้จะเป็นเพื่อนกันแต่ก็เขาแตกต่างจากคยูชิคทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นนิสัย ทัศนคติ มุมมอง หรือแม้กระทั่งบุคลิก



ชอน ฮเยบิน 
รับบท กึม บิดนา (แปลว่า เปล่งประกายดุจทองคำ)

"กึม บิดนา" เป็นพนักงานใหม่วัย 25 ปีที่เข้ามาทำงานพร้อม "ชอง ชูรี" แต่มีคุณสมบัติที่โดดเด่นกว่าในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นบุคลิก หน้าตา ความรู้ความสามารถ แถมยังมีประวัติการศึกษาที่ยอดเยี่ยม เธอจึงถูกว่าจ้างให้เป็นพนักงานประจำ นอกจากนี้เธอยังเป็นแฟนเก่าของ "ชาง คยูชิค" อีกด้วย 



โจ ควอน
รับบท คเย คยองอู 

พนักงาน (ประจำ) ใหม่ที่แสนสุภาพ ใจซื่อมือสะอาด และรักความเที่ยงธรรม




รวมคลิปตัวอย่างจาก เคบีเอส ดราม่า และ เคบีเอส เวิลด์ ทีวี



รวมคลิปเบื้องหลังจาก เคบีเอส เวิลด์ ทีวี


*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา