วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

เรื่องย่อ ศึกรักสะท้านแผ่นดิน (Lan Ling Wang)




กำกับ: จงซู่เจีย (ชาวฮ่องกง), โจวเสี่ยวเผิง (ชาวไต้หวัน)
เขียนบท: อู๋ต้าเหว่ย, หวงโหรวโหรว, เฉินเสี่ยวหาว, เมิ่งจือ
แนวละคร: ย้อนยุค, โรแมนติก, อิงประวัติศาสตร์, ดราม่า
จำนวนตอน: 46 (จีน) / 22 (ไต้หวัน - ตอนละ 120 น.)
ออกอากาศ: จีน - เริ่มวันที่ 14 สิงหาคม 2556 ทางเจ้อเจียงทีวี, ดราก้อนทีวี, เซินเจิ้นทีวี, ยูนนานทีวี
            ไต้หวัน - เริ่มวันที่ 23 สิงหาคม 2556 ทางซีทีวี              
                ไทย - ทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา. 03.10 น. ทางช่อง 7 สี ตั้งแต่คืนวันที่ 29 มีนาคม 2559 - 26 พฤษภาคม 2559

เรื่องย่อ

"ศึกรักสะท้านแผ่นดิน (Lan Ling Wang)" เป็นละครรักอิงประวัติศาสตร์ที่ผู้ผลิตละครจากประเทศจีนและไต้หวันได้จับมือกันสร้างสรรค์ขึ้นโดยใช้งบประมาณมหาศาลเกือบ 100 ล้านหยวน (เกือบ 540 ล้านบาท) และใช้เวลาในการเตรียมงานนานถึง 5 ปี เนื้อหากล่าวถึงเรื่องราวความรักระหว่างนักรบหนุ่มรูปงามในตำนาน "หลานหลิงหวัง (เกาฉางกง)" แห่งราชวงศ์เป่ยฉี (ฉีเหนือ) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านการรบจนได้รับการยกย่องว่าเป็น "เทพแห่งสงคราม" กับ "หยางเสวี่ยอู่" ธิดาสวรรค์คนสุดท้ายของเผ่าคนทรง (ทายาทของยอดคนทรงและหมอดูในตำนาน "อูเสียน") ซึ่งยอมทำทุกอย่างรวมทั้งการเอาชีวิตเข้าแลก เพื่อปกป้องหลานหลิงหวังให้รอดพ้นจากชะตากรรมอันเลวร้ายและคำทำนายอันน่าเศร้า

เกร็ดความรู้: "หลานหลิงหวัง" (แปลว่า องค์ชาย/อ๋องแห่งหลานหลิง - เป็นชื่อตำแหน่ง) มีชื่อว่า "เกาฉางกง" เป็นหนึ่งใน 4 บุรุษหนุ่มที่ถูกจารึกว่ารูปงามที่สุดในประวัติศาสตร์จีนโบราณ ด้วยเหตุนี้เขาจึงซ่อนใบหน้าที่งดงามดุจเทพบุตรไว้ภายใต้หน้ากากปีศาจที่ดุดันเพื่อให้ศัตรูเกรงขามในระหว่างออกรบ 



แผนที่ราชวงศ์เหนือใต้ยุคที่ถูกกล่าวถึงในละคร - ราชวงศ์เหนือ ประกอบด้วยแคว้นโจว (周)  และแคว้นฉี (齐) ส่วนราชวงศ์ใต้ ประกอบด้วย แคว้นเฉิน (陳) และแคว้นเหลียง (梁) - ภาพจาก วิกิพีเดีย

เหตุการณ์ในละครเกิดขึ้นเมื่อกว่า 1,400 ปีก่อน โดยเรื่องราวเริ่มต้นในปี ค.ศ. 557 (พ.ศ. 1100) ณ ดินแดนทางตอนเหนือที่เรียกว่า "เซียนเป่ย" (ปัจจุบันคือดินแดนทางภาคตะวันออกของประเทศมองโกเลีย, เขตปกครองตนเองมองโกเลียในและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน) ซึ่งในเวลานั้น "ราชวงศ์เป่ยฉี" (ฉีเหนือ) เพิ่งถูกก่อตั้งได้เพียง 7 ปี ส่วน "ราชวงศ์เป่ยโจว" (โจวเหนือ) เพิ่งถูกสถาปนาขึ้นมาหมาดๆ แทนที่ราชวงศ์เว่ยตะวันตก

เกร็ดความรู้: ราชวงศ์เป่ยฉี
(ค.ศ. 550-577) มีรากฐานมาจากราชวงศ์เว่ยตะวันออก ปฐมจักรพรรดิคือ "เกาหยาง" หรือ "จักรพรรดิเหวินเซวียนแห่งราชวงศ์ฉี" (บุตรชายของ "เกาฮวน") เมืองหลวงคือ "เย่" หรือ "เย่เฉิง"ส่วน ราชวงศ์เป่ยโจว (ค.ศ. 557-581) มีเมืองหลวงชื่อ "ฉางอัน"  ปฐมจักรพรรดิคือ "อวี่เหวินเจวี๋ย" หรือ "จักรพรรดิเสี้ยวหมินแห่งราชวงศ์โจว(บุตรชาย "อวี่เหวินไท่") 



 

เมื่อนักรบเสื้อคลุมดำนามว่า "หยางเจียน" เดินทางมาถึงบริเวณที่เรียกว่า "หูโข่ว" ในแถบแม่น้ำฮวงโห ก็พบว่าบริเวณดังกล่าวกลายสภาพเป็นเมืองร้างที่แสนทุรกันดาร และมีชายแต่งกายซอมซ่อสองคนกำลังย่างปลากินเป็นอาหาร ไม่นานทั้งคู่ก็ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจหลังพบว่าในท้องปลามีนิ้วคน หยางเจียนเห็นดังนั้นจึงบอกทั้งคู่ว่าทหารโจวเพิ่งรบชนะทหารฉีและยึดเมืองตานโจวซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำได้สำเร็จ ด้วยเหตุนี้ศพของทหารฉีจึงถูกนำมาทิ้งลงในแม่น้ำฮวงโหและถูกปลากัดกิน จากนั้นก็แนะว่าไม่ควรกินปลาในช่วงเวลา 2-3 เดือนนี้

เมื่อหยางเจียนเดินทางมาถึงจุดหมายซึ่งเป็นดินแดนที่ปกคลุมด้วยเมฆหมอกหนาทึบ เขาก็ปล่อยนกห้าสีเข้าไปยังเมืองในหมอก ปรากฏว่าภายในแตกต่างจากหมู่บ้านอื่นๆ ที่อยู่ภายนอกโดยสิ้นเชิง เพราะเป็นดินแดนที่เขียวชอุ่ม อุดมสมบูรณ์  และสวยงามดุจแดนสวรรค์   ผู้คนในนั้นต่างมีชีวิตที่สงบสุข แถมยังเก็บเกี่ยวผลผลิตทางเกษตรได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนขยายยุ้งฉางเท่าไหร่ก็ไม่พอใส่ เพราะใช้เทคนิคในการเพาะปลูกที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษนามว่า "อูเสียน" (อูเสียน คือ คนทรงและหมอดูชื่อดังที่มีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ซาง หรือเมื่อกว่า 3 พันปีก่อน เป็นผู้ที่มีความสามารถในด้านโหราศาสตร์ ดวงดาว ร่ายบทสวด ประกอบพิธีกรรม เรียกลมฝน รักษาโรค และเป็นหนึ่งในสามนักโหราศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในยุคจีนโบราณ)


  

นกน้อยบินตรงไปที่บ้านคนทรงนามว่า "หยางหลินซื่อ"  ซึ่งเป็นหญิงชราตาบอดและเป็นยายของ "หยางเสวี่ยอู่" เมื่อหญิงชรารู้ว่าหยางเจียนมาหา เธอก็ร่ายมนต์ให้เมฆหมอกที่ปกคลุมหมู่บ้านมลายหายไป (เธอจะเปิดโอกาสให้นกห้าสีพาแขกคนพิเศษเข้ามาพบในหมู่บ้านทุกๆ 10 ปี) หยางเจียนบอกหญิงชราว่าสงครามระหว่างกองทัพฉีและโจวยังไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้นลง ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องบาดเจ็บล้มตาย เขาจึงอยากให้หญิงชราช่วยสนับสนุนฮ่องเต้เหมือนที่บรรพบุรุษของเธอ (อูเสียน) เคยทำ เพื่อที่จะสงครามจะได้ยุติลง แทนที่จะหลบซ่อนตัวและตัดขาดจากโลกภายนอกดังเช่นทุกวันนี้

หญิงชรากล่าวอย่างเคียดแค้นว่า ที่ผ่านมาชนเผ่าของพวกตนต้องประสบเคราะห์กรรมเพราะถูกฮ่องเต้หลอกใช้ หลังธิดาสวรรค์ (แม่หมอ) ของพวกตนช่วยให้ฮ่องเต้ครองโลก (รวบรวมดินแดน) ได้สำเร็จ ฮ่องเต้ก็เกิดความหวาดระแวงว่าธิดาสวรรค์อาจตกอยู่ในมือของศัตรูจึงสั่งกวาดล้างเผ่าอูของตน ผลของการฆ่าล้างเผ่าอย่างโหดเหี้ยมในครั้งนั้น ทำให้คนในเผ่าของตนเหลือรอดเพียงไม่กี่คน ผู้อาวุโสประจำเผ่าต้องการรักษาสายเลือดชนเผ่าอูเอาไว้จึงพาผู้ที่รอดชีวิตมาหลบซ่อนตัวและตั้งรกรากอยู่ที่นี่นานนับร้อยปีแล้ว พวกตนเรียกที่นี่ว่าหมู่บ้านไป๋ซานและร่ายมนต์หมอกคุ้มภัยปิดผนึกทางเข้าหมู่บ้านเอาไว้เพื่อตัดขาดจากโลกภายนอก (ทั้งคู่ไม่รู้ว่าเสวี่ยอู่กำลังแอบฟัง)


หยางเจียนแย้งว่าตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมาผู้คนยังคงเชื่อเรื่องราวในตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาว่า ผู้ใดมีธิดาสวรรค์อยู่ข้างกายจะได้ครองโลก ไม่ว่าฮ่องเต้หรือชาวไร่ชาวนาต่างเชื่อว่าธิดาสวรรค์จะช่วยให้ฮ่องเต้รวบรวมแว่นแคว้นจนเป็นปึกแผ่นได้อีกครั้ง หญิงชราได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ เธอกล่าวว่าหากตนไม่เป็นหนี้บุญคุณหัวหน้าเผ่าของหยางเจียนจนต้องตอบแทนด้วยการมอบนกห้าสีไว้คอยนำทางเข้าหมู่บ้านเพื่อมาฟังคำทำนายทุกๆ 10 ปี ตนคงไม่ยอมให้หยางเจียนเข้ามาในหมู่บ้านอย่างง่ายดายเช่นนี้แน่นอน

หญิงชราถามหยางเจียนว่าอยากรู้เรื่องอะไร หยางเจียนขออภัยที่ทำให้หญิงชราไม่พอใจ จากนั้นก็กล่าวว่าตนเป็นนักรบจึงอยากรู้ว่าอีกสิบปีข้างหน้าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด เขาบอกหญิงชราว่าตอนนี้โลก (จีน) แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ดินแดนทางตอนเหนือและดินแดนทางตอนใต้ หญิงชรากล่าวว่า ดินแดนทางตอนเหนือจะมีสองแคว้นที่แข็งแกร่งคือ ฉี กับโจว ส่วนดินแดนทางตอนใต้ที่แข็งแกร่งยังคงเป็นแคว้นเฉิน แต่แคว้นเฉินจะอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ผู้คว้าชัยในสงครามจะอยู่ที่ดินแดนทางตอนเหนือ


เมื่อหยางเจียนถามว่าแคว้นฉีหรือโจวจะเป็นฝ่ายชนะ หญิงชรากล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงของโลกจะเกี่ยวพันกับชะตาของคนสี่คน คือ "อวี่เหวินฮู่" ผู้กุมอำนาจในราชสำนักเป่ยโจว ซึ่งสมัยยังหนุ่มเคยเป็นแม่ทัพที่กล้าหาญและจงรักภักดี แต่ความกระหายในอำนาจจะทำให้เขาเลือกทางเดินที่อันตรายและถึงกับปลงพระชนม์ฮ่องเต้ (ซึ่งเป็นหลานแท้ๆ ถึง 2 พระองค์) อีกคนคือ "อวี่เหวินยง" (โจวอู่ตี้) หลานชายของอวี่เหวินฮู่ ซึ่งจะได้ขึ้นครองบัลลังก์เป่ยโจว (แทนพระเชษฐาที่ถูกปลงพระชนม์) ตั้งแต่อายุยังน้อยจึงตกอยู่ภายใต้การครองงำของอวี่เหวินฮู่ แต่ภายหลังพระองค์จะลุกขึ้นสู้ทำให้แคว้นโจวเกิดสงครามภายใน ส่วนผลแพ้ชนะจะเป็นอย่างไรคงต้องรอดูกันต่อไป


หยางเจียนเห็นว่าสองคนแรกอยู่ในแคว้นของตน จึงถามว่าอีกสองคนที่เหลืออยู่ในแคว้นฉีใช่หรือไม่ หญิงชราพยักหน้าและกล่าวว่า หนึ่งในนั้นคือ "เกาเหว่ย" องค์ชายรัชทายาทคนปัจจุบันของแคว้นฉี แม้เขาจะมีกลุ่มดาวหงส์คอยปกป้องแต่พลังอ่อนแรงมาก หากได้ขึ้นครองบัลลังก์เขาจะเป็นเหมือนนกน้อยตัวหนึ่ง ถึงแม้จะแลดูงามสง่าแต่ก็ยากที่จะอะไรได้สำเร็จ

หยางเจียนได้ยินดังนั้นจึงนึกสงสัยว่าใครกันคือผู้ที่จะชี้ชะตาแคว้นฉี หญิงชราตอบว่า หลานชาย "เกาฮวน" นามว่า "เกาฉางกง" ซึ่งเป็นพระญาติขององค์ชายรัชทายาทเกาเหว่ย เขาเป็นเจ้าครองนครหลานหลิงจึงถูกเรียกว่า "หลานหลิงหวัง" กล่าวกันว่าแม้เขาจะเป็นเชื้อพระวงศ์แต่ก็เป็นคนจิตใจดี ไม่ถือตัว ทั้งยังมีรูปโฉมงดงามและมีความสามารถในสู้รบเป็นเลิศจนยากจะหาใครเทียม ผู้คนจึงยกย่องให้เขาเป็น "เทพแห่งสงคราม" และชะตาของเขาก็เปรียบดั่งหงส์ไฟ (หรือ "หงส์แดง" ซึ่งเป็นเจ้าแห่งปักษา เป็นสัตว์วิเศษ และสัตว์มงคลตามความเชื่อของจีนโบราณ)

เมื่อถูกถามว่าเกาฉางกงคือผู้ที่คู่ควรกับตำแหน่งฮ่องเต้มากที่สุดใช่หรือไม่ หญิงชรากล่าวว่าน่าเสียดายที่หลานหลิงหวังเป็นหงส์ไฟที่ปราศจากกรงเล็บ แม้จะบินได้ไกลถึงสวรรค์ชั้นฟ้าแต่จะเกาะขอนไม้หรือหยุดพักได้อย่างไรถ้าไม่มีกรงเล็บ หากไม่มีคนคอยช่วยเหลือหรือชี้แนะเขาจะร่วงตกจากฟ้าอย่างรวดเร็ว มิหนำซ้ำ เขายังถูกกำหนดให้ตายด้วยเงื้อมมือญาติพี่น้องของตนเองอีกด้วย (ประวัติศาสตร์จารึกว่า เกาฉางกงถูกเกาเหว่ยประทานยาพิษในปี ค.ศ. 573)



เมื่อนกห้าสีบินไปเล่นกับเสวี่ยอู่ หญิงชราตาบอดก็รู้ได้ทันทีว่าหลานสาวจอมซนแอบฟังคำทำนายอยู่ทางด้านนอก จึงไล่เธอด้วยน้ำเสียงดุดัน หยางเจียนเห็นว่าเสวี่ยอู่เป็นสายเลือดของธิดาสวรรค์ที่ทำให้หงส์ไฟไร้กรงเล็บบินไปเล่นหยอกล้อกับเธอได้ จึงถามหญิงชราว่าเสวี่ยอู่และหลานหลิงหวังมีวาสนาต่อกันใช่หรือไม่ หญิงชรารีบปฏิเสธว่าไม่ เพราะเสวี่ยอู่ไม่มีวันล่วงรู้ชะตาของตนเอง ตนจะไม่ยอมให้เสวี่ยอู่ออกไปเผชิญโลกภายนอกและต้องแบกรับภารกิจของชนเผ่าอูโดยเด็ดขาด หลังล่วงรู้ชะตาของหลานหลิงหวัง เสวี่ยอู่ก็รู้สึกเห็นใจและสงสาร แม้จะรู้ว่าคำทำนายของผู้เป็นยายไม่เคยผิดพลาด แต่เธอก็ยังแอบขอพรให้หลานหลิงหวังซึ่งเป็นเทพแห่งสงครามที่เอาชนะศัตรูมานับครั้งไม่ถ้วน สามารถเอาชนะโชคชะตาอันเลวร้ายของตนเองได้

10 ปีต่อมา



หลานหลิงหวังซึ่งเป็นแม่ทัพของราชวงศ์เป่ยฉี นำทหารที่ด่านหูโข่วตามไปสมทบกับขุนพล "หยางซื่อเซิน" และ "หูลวี่ซวีต๋า" ซึ่งเป็นทัพหน้าที่กำลังสู้ยิบตาในสภาพตกเป็นรองเพราะมีกำลังน้อยกว่ากองทัพของราชวงศ์เป่ยโจวมาก แม่ทัพ "อวี้ฉีจย่ง" ของแคว้นโจวเห็นว่าทัพฉีมีทหารเพียงสองพันนาย ขณะที่ฝ่ายตนมีกำลังมากถึงหลักหมื่นจึงย่ามใจว่าพวกตนต้องเป็นฝ่ายชนะแน่ เขาเห็นว่าซวี ต๋าเป็นกำลังสำคัญของหลานหลิงหวังจึงตั้งค่าหัว 500 ตำลึงทอง ครั้นพอเห็นนักรบสวมหน้ากากควบม้าเข้ามาในสนามรบ แม่ทัพอวี้ฉีก็รู้ทันทีว่าเป็นหลานหลิงหวังเลยหมายมั่นว่าจะถอดหน้ากากเพื่อดูโฉมหน้าที่แท้จริงของหลานหลิงหวังให้ได้ เขาจึงประกาศกับทหารของตนว่าหากใครจับหลานหลิงหวังมาให้ตนจะได้รางวัล 1,000 ตำลึงทองพร้อมเลื่อนตำแหน่ง 3 ขั้น

เมื่อซวีต๋าเห็นหลานหลิงหวังตามมาสมทบจึงปลุกขวัญทหารของตนโดยบอกว่า "องค์ชายสี่" มาช่วยแล้ว หลานหลิงหวังต้องการพาซวี ต๋า ซื่อเซิน และพี่น้องทหารหาญของตนฝ่าวงล้อมของทัพโจว จึงเริ่มทำตามแผนด้วยการเอาตนเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อเปิดทางให้ทุกคนหลบหนี แต่ซวีต๋าไม่อาจปล่อยให้หลานหลิงหวังเผชิญอันตรายตามลำพังจึงย้อนกลับมาช่วย  แม่ทัพอวี้ฉีต้องการจับหลานหลิงหวังจึงเบนเป้าหมายจากการยึดด่านหูโขว่มาเป็นการนำกำลังออกไล่ล่าหลานหลิงหวัง โดยไม่สนใจคำเตือนของผู้ใต้บังคับบัญชาที่บอกว่านี่อาจเป็นกับดัก เพราะหลานหลิงหวังมุ่งหน้าไปยังบริเวณที่มีทรายดูด



อีกด้านหนึ่ง "องค์ชายห้า"  (ชื่อ "เกาเหยียนจง" ตำแหน่ง "อันเต๋อหวัง") ซึ่งคุมกำลังส่วนหนึ่งรออยู่ที่หน้าด่านหูโขว่ก็เริ่มทำตามแผนที่หลานหลินหวังวางไว้ด้วยการนำกำลังตามไปสมทบ ในตอนนั้น ทหารและม้าของทัพโจวต่างถูกทรายดูดกลืนเป็นจำนวนมาก และนี่ก็เป็นแผนตัดกำลังข้าศึกและซื้อเวลาระหว่างรอทัพเสริมขององค์ชายห้า ถึงแม้จะเสียทหารไปเป็นจำนวนมากแต่แม่ทัพอวี้ฉีเห็นหลานหลิงหวังอยู่ตรงหน้าจึงไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป เขาสั่งให้ทหารของตนเดินหน้าด้วยการเหยียบบนร่างม้าและทหารที่ถูกทรายดูดเพื่อตามไปจับตัวหลานหลิงหวังให้ได้ หลานหลิงหวังและซวีต๋าเห็นดังนั้นจึงเริ่มแผนสอง ซึ่งเป็นการล่อทหารโจวให้เข้าไปจนมุมในซอกเขาจนตกเป็นเป้านิ่งให้พลธนูขององค์ชายห้าที่ดักรออยู่ หลังลดทอนกำลังของทัพโจวลงเกือบครึ่งการสู้รบที่แท้จริงจึงเริ่มต้นขึ้น โดยซื่อเซินเป็นทัพหน้านำทหารเข้าต่อกรกับแม่ทัพอวี้ฉีของแคว้นโจว



แต่หลังจาก "ท่าเสวี่ย" ม้าคู่ใจถูกดาบฟันที่ข้อเท้า หลานหลินหวังก็หยุดการตามไล่ล่าแม่ทัพอวี้ฉีทันที องค์ชายห้าเห็นพระเชษฐาปล่อยให้ศัตรูหนีไปก็รู้สึกแปลกใจ หลานหลินหวังให้เหตุผลว่าถึงจะตัดกำลังทหารของทัพโจวได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง แต่กำลังพลของพวกตนยังน้อยกว่าทัพโจวเกินครึ่งอยู่ดี ทางที่ดีควรรอให้แม่ทัพ "หูลวี่กวง" (บิดาของหูลวี่ซวีต๋า) นำกำลังเสริมมาสมทบเสียก่อน แล้วค่อยข้ามแม่น้ำไปต่อกรกับทัพโจวอีกครั้ง ซวีต๋า (ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและผู้ใต้บังคับบัญชาของหลานหลิงหวัง) ได้ยินดังนั้นก็บ่นด้วยความผิดหวังและเสียดายว่าตนยังฆ่าทหารโจวไม่สะใจ ทำให้ถูกหลานหลิงหวังตำหนิที่ขัดคำสั่งตนจนทำให้ทุกคนตกอยู่ในอันตราย

และเพื่อเป็นการลงโทษ หลานหลิงหวังจึงสั่งให้องค์ชายห้ายึดเบี้ยหวัดของซวีต๋าเป็นเวลา 3 ปีและลดตำแหน่งลง 3 ขั้น เพื่อให้ซวีต๋ากลับไปฝึกฝนและทบทวนหน้าที่ตนเองอีกครั้ง เมื่อองค์ชายห้าแย้งว่าที่ซวีต๋าทำเช่นนั้นเพราะเป็นห่วงหลานหลิงหวัง หลานหลิงหวังเลยประกาศว่าจะแบ่งเบี้ยหวัดครึ่งหนึ่งของตนให้ซวีต๋าเป็นเวลา 3 ปี ซวีต๋ากล่าวขอบคุณแล้วหัวเราะชอบใจ หลานหลิงหวังกล่าวว่าถ้าอยากขอบคุณตนก็คอยช่วยองค์ชายห้าเฝ้าระวังด่านหูโขว่และห้ามทำอะไรบุ่มบ่ามตามใจชอบอีก ที่สำคัญหากไม่ได้รับคำสั่งจากตนห้ามทุกคนออกจากด่านหูโขว่โดยเด็ดขาด

ซื่อเซิน (เพื่อนและข้ารับใช้ของหลานหลิงหวัง) เห็นว่าแผลใหม่ของท่าเสวี่ยทำให้อาการบาดเจ็บที่มีแต่เดิมกำเริบขึ้นมา จึงชวนหลานหลิงหวังไปที่บ่อน้ำพุร้อนใกล้ด่านหูโขว่ซึ่งเป็นสถานที่เงียบสงบ ทิวทัศน์งดงาม และมีเทพยดาเร้นกายอยู่ โดยบอกว่าน้ำพุร้อนจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและรักษาบาดแผลให้ท่าเสวี่ยได้ หลานหลิงหวังเห็นดีด้วย แต่เนื่องจากเหล่าทหารต่างสู้รบจนอ่อนล้า เขาจึงสั่งให้องค์ชายห้า ซวีต๋า และซื่อเซิน พาทหารกลับไปพักผ่อนที่ค่าย ส่วนตนจะพาท่าเสวี่ยไปแช่น้ำพุร้อนตามลำพัง โดยย้ำให้จัดเวรยามคอยคุ้มกันด่านหูโขว่อย่างแน่นหนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลากลางคืน เพราะยังมีทหารโจวดักซุ่มอยู่แถวนี้



หลังกลับมาที่ค่ายทหาร องค์ชายห้าบอกซวีต๋าและซื่อเซินให้คอยเฝ้าระวังด่านหูโขว่เพราะตอนนี้ทหารโจวได้เคลื่อนทัพมาปักหลักที่เมืองตานโจวแล้ว แต่เชื่อว่าอีกไม่นานกำลังเสริมของแม่ทัพหูลวี่กวงคงตามมาสมทบกับพวกตนที่นี่ ซวีต๋ายอมรับว่าหากไม่ได้แผนเด็ดของหลานหลิงหวังคงเสียด่านหูโขว่และเมืองลั่วหยางไปแล้ว องค์ชายห้านึกขึ้นได้ว่าบริเวณบ่อน้ำพุร้อนใกล้ด่านหูโขว่ไม่ได้ขึ้นชื่อเรื่องทัศนียภาพที่งดงามเท่านั้น แต่ยังมีตำนานเล่าขานว่าบริเวณดังกล่าวมีสายเลือดชนเผ่าอูของอูเสียนมาตั้งรกรากอยู่อย่างลับๆ ซวีต๋ากล่าวว่าตนเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ ว่า หากใครพบธิดาสวรรค์ของเผ่าอูจะได้ครองโลก น่าเสียดายที่เผ่าอูหายสาบสูญไปนานแล้ว ตนเลยไม่รู้ว่าที่ได้ยินมาเป็นเรื่องจริงหรือแค่เรื่องเล่าในตำนาน

องค์ชายห้ากล่าวว่า ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าธิดาสวรรค์ของเผ่าอูไม่เพียงทำนายดวงชะตาแม่นดุจตาเห็น แต่ยังช่วยฮ่องเต้กำจัดศัตรู รักษาโรคภัย ทำให้น้ำสกปรกกลายเป็นน้ำใสสะอาดได้ แถมยังมีรูปโฉมและเรือนร่างงดงามอีกต่างหาก พูดจบองค์ชายห้าก็รู้สึกเสียดายที่ลืมบอกให้หลานหลิงหวังพาธิดาสวรรค์ตัวเป็นๆ มาให้ตนยลโฉมด้วย


 

ในเวลาเดียวกันนั้น ธิดาสวรรค์หยางเสวี่ยอู่ก็หวิดทำบ้านบึ้มหลังทดลองทำดอกไม้ไฟตามตำราโดยผสมดินประสิว ถ่าน กำมะถัน ยางสน และผงตะกั่ว เข้าด้วยกัน แต่ลองทำมาครึ่งวันจนกำมะถันหมดก็ยังไม่สำเร็จ เธอเลยคิดที่จะแอบออกไปเก็บกำมะถันนอกหมู่บ้านแต่ยายของเธอมาพบเข้าเสียก่อน ถึงแม้ตาจะบอดแต่ยายได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นจึงถามเสวี่ยอู่ว่าเธอไม่ได้กำลังประดิษฐ์อะไรอีกตามเคยใช่ไหม เสวี่ยอู่รู้ว่ายายอยากให้เธอเป็นกุลสตรีจึงโกหกว่าเธอกำลังปักผ้าคาดเอวสำหรับใช้ในพิธี "เปลี่ยนสถานะเป็นผู้ใหญ่" (เฉิงเหนียนหลี่) ในวันพรุ่งนี้ เมื่อยายแย้งว่าภายในห้องมีกลิ่นควันคละคลุ้ง เสวี่ยอู่จึงโกหกว่าเธอก่อไฟเพื่อสร้างความอบอุ่นภายในห้องเพราะเธอเป็นคนกลัวหนาวมาแต่ไหนแต่ไร (ภาวะหยางพร่อง) 

ยายของเสวี่ยอู่ได้ยินดังนั้นจึงถามว่าสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการดังกล่าวมีอะไรบ้าง เสวี่ยอู่จึงนึกไปท่องไปว่า กุยจือ (กิ่งอบเชยจีน) , กันเฉ่า (ชะเอมเทศ), หวงฉี (อึ่งคี้, ปักคี้) อบ... แต่นึกได้แค่นี้ก็ถูกยายตีด้วยไม้เท้า เพราะเธอท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองโดยไม่พิจารณาอาการก่อนว่าเกิดจากจุดใดในอวัยวะภายในทั้งห้า (หัวใจ, ปอด, ม้าม, ตับ, ไต) หลังถูกยายทำโทษด้วยการห้ามออกจากบ้านและให้ศึกษาตำราแพทย์ เสวี่ยอู่จึงแย้งว่า ยายเองก็รู้ว่าตนไม่สนใจวิชาแพทย์แล้วทำไมถึงไม่ให้ตนเรียนรู้ในสิ่งที่ตนต้องการ เธอสารภาพว่าการที่บ้านเต็มไปด้วยกลิ่นควันเป็นเพราะเธออยากทำดอกไม้ไฟเพื่อจะได้นำมาจุดเฉลิมฉลองตอนที่หมู่บ้านจัดงานวันเกิดครบรอบ 80 ปีให้ยาย  และอดถามด้วยความน้อยใจไม่ได้ว่าทำไมยายถึงไม่ภาคภูมิใจในตัวหลานอย่างเธอบ้าง ยายของเสวี่ยอู่จึงกล่าวว่าเธอจะรู้สึกภาคภูมิใจมากกว่าหากเสวี่ยอู่สนใจงานบ้านงานเรือน เพื่อจะได้นำไปปรนนิบัติดูแลสามีและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกๆ ในอนาคต

แม้เสวี่ยอู่จะเป็นธิดาสวรรค์คนสุดท้ายของเผ่าอู แต่ยายไม่ต้องการให้เสวี่ยอู่ทำหน้าที่ธิดาสวรรค์จึงไม่ถ่ายทอดวิชาโหราศาสตร์ให้ทั้งๆ ที่รู้ว่าเสวี่ยอู่สนใจในเรื่องนี้  และเพื่อป้องกันไม่ให้เสวี่ยอู่มีโอกาสพบหลานหลิงหวัง ยายจึงบังคับให้เสวี่ยอู่อยู่แต่ในหมู่บ้านไป๋ซาน (พยายามฝืนพรหมลิขิต เพราะไม่อยากให้มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น) โดยหวังว่าหลังเข้าพิธีเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ใหญ่ (เข้าสู่วัยสาว) ในวันพรุ่งนี้  เสวี่ยอู่จะได้ลงเอยกับใครสักคน เพราะตามธรรมเนียมแล้วภายในงานจะมีชายหนุ่มในหมู่บ้านมารับผ้าคาดเอวของหญิงสาวที่ตนหมายปองหรือยอมรับเป็นภรรยา ยายจึงบังคับให้เสวี่ยอู่ปักผ้าคาดเอวสุดฝีมือ



เสวี่ยอู่อยากออกไปเก็บกำมะถันที่บ่อน้ำพุร้อนนอกหมู่บ้าน แต่กลับถูกยายขู่ว่าถ้าออกไปนอกหมู่บ้านอีกครั้ง ตนจะร่ายมนต์หมอกคุ้มภัยปิดผนึกทางเข้าหมู่บ้านเอาไว้เพื่อไม่ให้เสวี่ยอู่กลับบ้านได้อีกเลย  เสวี่ยอู่ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งน้อยใจ เธอกล่าวด้วยความอัดอั้นว่าที่ผ่านมายายชอบดุด่าตนเพราะเห็นว่าตนไม่มีพ่อแม่คอยปกป้องใช่ไหม ยายพยายามบังคับเคี่ยวเข็ญให้ตนทำตัวเป็นกุลสตรี ทั้งๆ ที่รู้ว่าตนไม่ใช่คนแบบนั้นและยายเองก็เห็นมาโดยตลอดว่าทุกคนในหมู่บ้านต่างพากันหัวเราะเยาะตน เสวี่ยอู่ยังฟันธงด้วยว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นวันที่เธออับอายจนแทบแทรกแผ่นหนี เพราะไม่มีชายใดยอมรับผ้าคาดเอวของเธออย่างแน่นอน

หลังถูกยายห้ามไม่ให้ออกนอกหมู่บ้านในวันนี้โดยเด็ดขาด เสวี่ยอู่ก็วิ่งไล่จับแม่ไก่ที่ไม่ยอมออกไข่มาฝังเข็ม (ถึงไม่อยากเป็นหมอ แต่สำหรับเธอแล้วการใช้เข็มรักษาโรคยังดีกว่าการใช้เข็มปักผ้า) ขณะที่เธอกำลังจะปักเข็มลงบนตัวแม่ไก่ อยู่ๆ ก็มีเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าทำให้แม่ไก่ตกใจจนวิ่งหนีเตลิดออกไปนอกหมู่บ้านโดยมีเสวี่ยอู่วิ่งตามไปติดๆ และนั่นก็ทำให้ยายของเสวี่ยอู่เริ่มยอมจำนนต่อโชคชะตาเพราะรู้ว่าตนไม่สามารถฝืนพรหมลิขิตได้



ในขณะที่หลานหลิงวังพาท่าเสวี่ยมาแช่น้ำพุร้อนเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ แม่ไก่ก็พาเสวี่ยอู่มาที่บ่อน้ำพุร้อนเช่นกัน เสวี่ยอู่เลยคิดใช้โอกาสนี้เก็บกำมะถันติดมือกลับบ้านด้วย และเนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าบ่อน้ำพุในบริเวณนี้เป็นบ่อน้ำพุร้อนสำหรับผู้หญิง เสวี่ยอู่จึงวางใจเพราะไม่คิดว่าจะมีชายใดย่างกรายเข้ามาที่นี่ พอเห็นหลังอันเปลือยเปล่าของหลานหลิงหวังเธอก็ถึงกับตกตะลึง หลานหลิงหวังรู้สึกได้ว่ามีคนจับจ้องตนอยู่จึงหันไปดู เสวี่ยอู่รีบเอามือปิดตาพลางขอโทษ พอหลานหลิงหวังหันกลับไปเสวี่ยอู่ก็เอามือที่ปิดตาออกแล้วบอกหลานหลิงหวังว่า เธอไม่ได้ตั้งใจแอบดูแต่ภาพที่เธอเห็นเมื่อสักครู่นั้นแสนงดงามจนเธอไม่อาจละสายตา ที่ผ่านมาเธอแอบออกมาเที่ยวเล่นนอกหมู่บ้านบ่อยๆ แต่ยังไม่เคยเจอคนนอกหมู่บ้านเลยสักครั้ง



เสวี่ยอู่รีบหันหลังพลางกล่าวขอโทษที่ทำให้รู้สึกอึดอัด เธอบอกหลานหลิงหวังว่าที่หมู่บ้านของเธอเต็มไปด้วยเด็กกับคนแก่ ส่วนเด็กสาววัยไล่เลี่ยกับเธอถ้าไม่อ้วนตุ้ยนุ้ยก็ตัวดำปี๋ ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยเห็น "ผู้หญิง" คนไหนมีเรือนร่างที่งดงามและสวยใสไร้ที่ติเช่นนี้มาก่อน หลานหลิงหวังได้ยินดังนั้นก็ได้แต่อึ้งพูดไม่ออกจึงพยายามลุยน้ำออกไปห่างๆ  เสวี่ยอู่เห็นดังนั้นจึงร้องเรียก "พี่สาวคนสวย" จากนั้นก็ชวนเขามาแช่น้ำด้วยกันโดยบอกว่าพวกตนต่างก็เป็นผู้หญิงไม่จำเป็นต้องอาย พูดจบเสวี่ยอู่ก็ลงมือถอดเสื้อผ้า หลานหลิงหวังเห็นแล้วตกใจจนทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่ยืนหันหลังให้ หลังถอดชุดชั้นนอกออกหมดแล้ว เสวี่ยอู่ก็ลุยน้ำเข้าไปหาหลานหลิงหวัง แล้วบอกว่าถึงแม้พวกตนจะไม่ได้เกิดวันเดือนปีเดียวกัน แต่การที่ได้มาแช่น้ำพุร้อนด้วยกันในวันนี้ถือเป็นวาสนาจึงน่าจะมาคบหาเป็นเพื่อนกัน หลานหลิงหวังไม่ตอบและพยายามหันหลังหลบเสวี่ยอู่ตลอดเวลา เสวี่ยอู่จึงทึกทักเอาเองว่าเขาตอบตกลง เธอดีใจที่คนแปลกหน้าอย่างเขายอมรับเธอเป็นเพื่อน ขณะที่ไม่มีใครในหมู่บ้านยอมเป็นเพื่อนกับเธอ

ทันใดนั้นก็มีทหารโจวบุกมาที่บ่อน้ำพุร้อน เสวี่ยอู่คิดว่าทหารโจวเป็นพวกโรคจิตที่มาแอบดูผู้หญิงลงเล่นน้ำ จึงปลอบหลานหลินหวังว่าอย่ากลัวเพราะเธอจะปกป้องเขาเอง เธอเดินตรงเข้าไปหาทหารที่ถืออาวุธโดยลืมไปว่าตนเองสวมเพียงชุดชั้นในบางเฉียบสีขาวแถมยังเปียกน้ำอีกต่างหาก จากนั้นก็ขู่ว่าห้ามแอบดูหรือบังอาจแตะต้องพี่สาวคนสวยของเธอโดยเด็ดขาด ทำเอาทหารโจวอึ้งและงงไปตามๆ กัน แม้จะมีเพียงก้อนกำมะถันในมือแต่เสวี่ยอู่ก็พร้อมใช้เป็นอาวุธ เธอเขวี้ยงก้อนกำมะถันใส่หัวทหารคนหนึ่งจากนั้นก็จับหัวทหารคนดังกล่าวกดน้ำและทุบตีไม่ยั้งโทษฐานที่มาแอบดูพี่สาวคนสวยของเธอ


หลานหลินหวังเห็นดังนั้นก็รู้สึกประทับใจในความกล้าหาญและน้ำใจอันงดงามของเสวี่ยอู่ ขณะที่เสวี่ยอู่กำลังสั่งสอนทหารโชคร้ายอย่างเมามัน หลานหลินหวังก็กระโดดขึ้นจากน้ำเพื่อกำจัดทหารที่เหลือ เสวี่ยอู่เห็นว่าพี่สาวคนสวยเป็นยอดฝีมือก็รู้สึกทึ่งจึงกล่าวชมและทำท่าคารวะ เมื่อหลานหลินหวัง (ซึ่งยืนหันหลังให้เสวี่ยอู่) กล่าวขอบคุณ เสวี่ยอู่ก็รู้สึกแปลกใจที่พี่สาวเกิดมาสวยแต่กลับมีเสียงเหมือนผู้ชาย ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ติดใจสงสัยและบอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ซ้ำยังปลอบใจว่าเสียงเหมือนผู้ชายยังดีกว่าเกิดมาเป็นชาย เพราะผู้ชายที่หมู่บ้านเธอล้วนห่วยแตกและชอบดูถูกเธอ พูดจบเสวี่ยอู่ก็ชวนเขาขึ้นจากน้ำเพราะถ้าหากแช่น้ำพุร้อนนานเกินไปอาจทำให้หน้ามืดวิงเวียนได้ (ความจริงแล้วหลานหลิงหวังยืนอยู่ริมฝั่ง แต่เสวี่ยอู่นั่นแหล่ะที่ยังแช่อยู่ในน้ำ)


หลานหลินหวังไม่มีทางเลือกจึงหันหน้ามาหาเสวี่ยอู่และกล่าวขอโทษ เสวี่ยอู่แทบช็อคเมื่อรู้ว่าแท้จริงแล้วพี่สาวคนสวยเป็นผู้ชาย ทันใดนั้น ทหารที่ถูกเสวี่ยอู่จัดการจนสลบเหมือดก็รู้สึกตัวและเงื้อดาบหมายฆ่าเสวี่ยอู่ หลานหลินหวังจึงเตะก้อนหินใส่ทหารคนดังกล่าวจนล้มแน่นิ่งไปอีกครั้ง เสวี่ยอู่รู้สึกอายที่โชว์เรือนร่างให้เขาเห็นจึงรีบมุดตัวลงไปแช่ในน้ำจนเกิดหน้ามืด หลานหลินหวังจึงต้องลงไปอุ้มเธอขึ้นมา และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวความรักของทั้งคู่ ส่วนจะสนุกสนาน ซาบซึ้งใจ และน่าประทับใจแค่ไหน เสวี่ยอู่จะช่วยปกป้องหลานหลินหวังจากโชคชะตาอันโหดร้ายได้หรือไม่ มาร่วมลุ้นไปกับเขาและเธอได้ใน "ศึกรักสะท้านแผ่นดิน (Lan Ling Wang)" ทางช่อง 7 สี



* เนื้อหาโดย luvasianseries


นักแสดงนำ

 

เฝิงเส้าเฟิง (วิลเลียม เฝิง)
รับบท เกาฉางกง (หลานหลิงหวัง) 
(นักแสดงชาวจีน)

เกร็ดความรู้: "เกาฉางกง" เป็นหลานของ "เกาฮวน" (อดีตแม่ทัพใหญ่แห่งราชวงศ์เว่ยเหนือ ภายหลังเป็นผู้กุมอำนาจในราชวงศ์เว่ยตะวันออก หลังเสียชีวิตได้รับการอวยยศเป็น "จักรพรรดิเสินอู่" แห่งราชวงศ์เป่ยฉี) และบุตรคนที่สี่ของ "เกาเฉิง" หรือ "ป๋อไห่เหวินเซียงหวัง" (พระเชษฐาของปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เป่ยฉีแม้จะไม่เคยขึ้นครองบัลลังก์แต่หลังจากเสียชีวิตได้รับการอวยยศเป็น "จักรพรรดิเหวินเซียง" แห่งราชวงศ์เป่ยฉี)

คาแรคเตอร์ในละคร: "เกาฉางกง" หรือ "หลานหลิงหวัง" ได้รับยกย่องว่าเป็นเทพ (บุตร) แห่งสงคราม เพราะเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจและเชี่ยวชาญในการทำศึกชนิดยากหาใครเทียม เขาไม่เพียงมีรูปโฉมและเรือนร่างที่งดงามดุจเทพบุตรแต่ยังมีพละกำลังที่แข็งแกร่งและสติปัญญาฉลาดเฉลียวอีกด้วย ถึงแม้จะเป็นเชื้อพระวงศ์แต่เขากลับไม่ถือตัว ทั้งยังปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีฐานะหรือชาติตระกูลที่ต่ำต้อยเพียงใดก็ตาม เขาทำสงครามโดยหวังว่าทุกครั้งที่ออกรบจะทำให้เขาเข้าใกล้เป้าหมายที่ต้องการให้โลกสงบสุข แม้เขาจะเป็นคนจิตใจดีมีความเมตตาแต่ทุกครั้งที่ออกรบภายใต้หน้ากากปีศาจอันดุดัน เขาจะกลายเป็นแม่ทัพที่เหี้ยมโหดและไร้ความปราณีต่อข้าศึก เขาเห็นมารดามีชีวิตที่โศกเศร้าหงอยเหงาเพราะไม่ได้ครองคู่กับคนรัก จึงตั้งใจว่าชาตินี้จะรักและแต่งงานกับหญิงสาวเพียงคนเดียว เพราะไม่ต้องการให้ภรรยาของตนประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับมารดา

***************


 

หลินอี้เฉิน (เอเรียล หลิน)
รับบท หยางเสวี่ยอู่
(นักร้อง / นักแสดง ชาวไต้หวัน)

"หยางเสวี่ยอู่" เป็นธิดาสวรรค์และทายาทคนสุดท้ายของคนทรง/นักโหราศาสตร์ในตำนานนามว่า "อูเสียน" เธอเป็นเด็กสาวใสซื่อ ร่าเริง ฉลาด จิตใจดี ชื่นชอบการประดิษฐ์คิดค้นและทดลองสิ่งใหม่ๆ แต่การทดลองมักผิดพลาดจนสร้างความแตกตื่นให้คนในหมู่บ้านเสมอ ด้วยความที่เธอถูกยายห้ามไม่ให้ออกนอกหมู่บ้าน เธอจึงไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกภายนอกและมักหลงเชื่อคนง่าย ถึงกระนั้นเธอก็เป็นเด็กสาวที่กล้าหาญ พร้อมที่จะออกหน้าปกป้องผู้อื่นหรือผดุงความเป็นธรรมเสมอ แม้ที่ผ่านมาเธอจะไม่ค่อยใส่ใจเรียนวิชาแพทย์มากนัก แต่เธอก็สามารถรักษาโรคได้หลายชนิด ประกอบกับเธอเป็นคนฉลาด ผู้คนจึงต่างพากันยกย่องเธอในฐานะธิดาสวรรค์

***************


 

เฉินเสี่ยวตง (แดเนียล ชาน)
รับบท อวี่เหวินยง (จักรพรรดิอู่แห่งราชวงศ์โจว) 
(นักร้อง / นักแต่งเพลง / นักแสดง ชาวฮ่องกง)

เกร็ดความรู้: "อวี่เหวินยง" หรือ "โจวอู่ตี้"  เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์เป่ยโจว และเป็นบุตรชายคนที่สี่ของ "อวี่เหวินไท่" (แม่ทัพใหญ่แห่งราชวงศ์เว่ยตะวันตก และบิดาของ "อวี่เหวินเจว๋" หรือ "เสี้ยวหมินตี้" ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เป่ยโจว) - หลังเสียชีวิตได้รับการอวยยศเป็นจักรพรรดิเหวินแห่งเป่ยโจว) ทรงขึ้นครองราชย์ขณะมีพระชนม์เพียง 17 พรรษา หลังพระเชษฐา "เสี้ยวหมินตี้" (จักรพรรดิองค์ที่หนึ่งแห่งราชวงศ์เป่ยโจว) และ  "โจวหมิงตี้" (จักรพรรดิองค์ที่สอง) ถูกอวี่เหวินฮู่ (หลาน "อวี่เหวินไท่" ซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจในราชสำนัก) ปลงพระชนม์  

คาแรคเตอร์ในละคร: "อวี่เหวินยง" เป็นฮ่องเต้หน้าตาดี ฉลาด สุขุม เข้มแข็ง มั่นใจในตัวเอง และมีวิสัยทัศน์ก้าวไกล แต่ถ้าถูกใครทรยศหักหลังจะตอบโต้ด้วยวิธีที่โหดเหี้ยม ด้วยความที่ถูกอวี่เหวินฮู่เข้าครอบงำตั้งแต่เล็กจนกระทั่งขึ้นครองบัลลังก์ เขาจึงเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดเพื่อปกป้องชีวิตและบัลลังก์ของตนโดยไม่ยอมเผยไต๋และจุดอ่อนให้ใครรู้ เขาไม่สามารถพูดคุยกับใครได้อย่างเปิดอกและไม่อาจเปิดใจให้ใครเพราะคนรอบกายส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนของอวี่เหวินฮู่ จนกระทั่งได้มาพบกับเสวี่ยอู่เขาจึงพูดคุยกับเธอได้อย่างสนิทใจ แม้หลานหลิงหวังจะเป็นแม่ทัพของแคว้นศัตรูที่เขาไม่อาจต่อกรได้ ทั้งยังเป็นคนรักของหญิงสาวที่ตนมีใจให้ แต่เขาก็นับถือและยกย่องในความสามารถของศัตรูตัวฉกาจอย่างหลานหลิงหวัง เขามีหลานรักชื่อ "อวี่เหวินเจิน" (เจินเอ๋อร์) ซึ่งเป็นเป็นธิดาของฮ่องเต้องค์ก่อนและเป็นเด็กขี้โรค (โรคประจำตัวคือหอบหืด) เขาจึงดูแลและคอยปกป้องหลานด้วยชีวิต ทั้งยังตามใจหลานคนนี้มากถึงขนาดยอมให้หลานเรียกฮ่องเต้อย่างตนว่า "เสี่ยวหม่าเอ๋อร์" (ม้าน้อย)

***************


 

หูอวี่เวย (จอร์จ หู)
รับบท เกาเหยียนจง (องค์ชายห้า หรืออันเต๋อหวัง)
(นักแสดง / นักร้อง ชาวไต้หวัน - สัญชาติอเมริกัน)

เกร็ดความรู้: "เกาเหยียนจง" เป็นบุตรคนที่ห้าของ "เกาเฉิง" และเป็นพระอนุชาต่างมารดาของหลานหลิงหวัง หลังเกาเฉิงถูกข้ารับใช้สังหาร "เกาหยาง" (น้องชายเกาเฉิงและปฐมจักรพรรดิของราชวงศ์เป่ยฉี "เหวินเซวียนตี้ ") ก็นำเขาเข้ามาเลี้ยงดูในวัง และแต่งตั้งเป็น "อันเต๋อหวัง"

คาแรคเตอร์ในละคร: "เกาเหยียนจง" หรือ "อันเต๋อหวัง" เป็นพระอนุชาคนสนิท ขุนพลคู่ใจ และผู้ช่วยหลานหลิงหวังทั้งในเรื่องการทำศึกและชีวิตส่วนตัว ด้วยความที่ถูกส่งตัวเข้ามาอยู่ในวังในเวลาไล่เลี่ยกันกับหลานหลิงหวังตั้งแต่ยังเด็ก เขาจึงสนิทสนมกับหลานหลิงหวังมากเป็นพิเศษ ทั้งยังคอยปกป้อง เชื่อฟัง และทำตามคำสั่งของหลานหลิงหวังทุกอย่าง ด้วยความที่เป็นคนเจ้าเสน่ห์ ปากหวาน เจ้าชู้ และเอาใจเก่ง เขาจึงมีชายารองเต็มบ้าน ทั้งยังเป็นพ่อสื่อให้หลานหลิงหวังและเสวี่ยอู่อีกด้วย

***************


 

ไจ๋เทียนหลิน
รับบท เกาเหว่ย (องค์ชายรัชทายาทของราชวงศ์เป่ยฉี/เป่ยฉีโฮ่วจู่)
(นักแสดง ชาวจีน)

เกร็ดความรู้: "เกาเหว่ย" เป็นโอรสของ "เกาจั้น" หรือ "(เป่ย) ฉีอู่เฉิงตี้" (จักรพรรดิองค์ที่สี่ของราชวงศ์เป่ยฉี, พระอนุชาของ "เกาเฉิง" หรือ "เหวินเซวียนตี้" ปฐมจักรพรรดิของราชวงศ์เป่ยฉี และเป็นบุตรชายคนที่หกของ "เกาฮวน")

คาแรคเตอร์ในละคร: ด้วยความที่เกิดมาเป็นองค์ชายรัชทายาท "เกาเหว่ย" จึงกลายเป็นความหวังของทุกคน ด้วยเหตุนี้พระบิดาจึงเลี้ยงดูเขาอย่างเข้มงวดกวดขันมาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่และด้อยค่า คงมีเพียงพระมารดาและเจิ้งเอ๋อร์ (เฝิงเสี่ยวเหลียน) ที่ใจดีกับเขา ลึกๆ แล้วเขาเป็นคนจิตใจดี แต่พอเห็นว่าตนเป็นรองหลานหลิงหวังทุกด้านก็รู้สึกอิจฉาจึงพยายามพิสูจน์ความสามารถของตนให้คนอื่นได้เห็น เดิมทีเขาสามารถละวางความริษยาในใจเพราะเห็นแก่บ้านเมือง แต่ภายหลังกลับกลายเป็นคนโหดร้ายและตีหลายหน้า มีหลายครั้งที่เขาด่วนตัดสินใจในเรื่องสำคัญเพียงเพราะต้องการแสดงอำนาจในฐานะที่เป็นองค์ชายรัชทายาท และยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ขึ้นครองบัลลังก์รวมทั้งการปลงพระชนม์ฮ่องเต้ซึ่งเป็นพระบิดาของตนเอง เขาตกหลุมรักเจิ้งเอ๋อร์มาตั้งแต่เด็กๆ และความรักก็ทำให้เขาตาบอดถึงขั้นยอมให้เจิ้งเอ๋อร์หลอกใช้เป็นเครื่องมือในการแก้แค้นหลานหลิงหวังกับเสวี่ยอู่ 

***************


 

เหมาหลินหลิน (นิกิต้า เหมา)
รับบท เจิ้งเอ๋อร์ / เฝิงเสี่ยวเหลียน (เฝิงซู่เฟย)
(นักแสดง ชาวจีน)

เกร็ดความรู้: "เฝิงเสี่ยวเหลียน" เดิมเป็นสาวใช้ของ "มู่เซ่อลี่" ชายาคนที่ 3 ของเกาเหว่ย แต่หลังจากมู่เซ่อลี่ไม่เป็นที่โปรดปราน เธอจึงมอบเฝิงเสี่ยวเหลียนให้เป็นสนมของเกาเหว่ยและกลายเป็นคนโปรดจนได้รับการแต่งตั้งเป็น "ซู่เฟย" ในที่สุด เธอมีความสามารถเป็นเลิศทั้งในด้านการร้องเพลง ร่ายรำ และเล่นผีผา นักประวัติศาสตร์จีนบางคนระบุว่าเธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้ราชวงศ์เป่ยฉีล่มสลาย (ครั้งหนึ่งทหารโจวยกทัพมาตีเมืองผิงหยางในขณะที่เฝิงเสี่ยวเหลียนและเกาเหว่ยกำลังออกล่าสัตว์ เมื่อเกาเหว่ยได้รับรายงานจึงรีบจัดทัพไปชิงเมืองคืน แต่เฝิงเสี่ยวเหลียนกลับขอให้เขาออกล่าสัตว์กับเธอต่ออีกรอบหนึ่งก่อน ซึ่งเกาเหว่ยก็ยอมทำตามแต่โดยดี)

คาแรคเตอร์ในละคร: "เจิ้งเอ๋อร์" เป็นอดีตสาวใช้ของ "หูฮองเฮา" (พระมารดาของเกาเหว่ย) เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย ใสซื่อ หลงรักหลานหลิงหวังตั้งแต่แรกเห็น ภายหลังถูกหูฮองเฮาส่งมาเข้าร่วมการคัดเลือกเพื่อเป็นชายาของหลานหลิงหวัง โดยมาพร้อมคุณสมบัติอันโดดเด่นไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร เล่นดนตรี ร้องเพลง หรือร่ายรำ เสวี่ยอู่รู้มาว่าหลานหลิงหวังถูกลิขิตให้ครองคู่กับผู้หญิงแซ่เจิ้ง จึงบอกเจิ้งเอ๋อร์ว่าเธอจะได้เป็นชายาของหลานหลิงหวัง ทั้งยังสนับสนุนให้ทั้งคู่ได้ลงเอยกันทำให้เจิ้งเอ๋อร์มีความหวัง ต่อมาเธอถูกจับได้ (หลังถูกหูฮองเฮาและจู่ทิงหลอกใช้) ว่าให้ร้ายเสวี่ยอู่และหลานหลิงหวังจึงถูกส่งตัวไปเป็นทาสทำให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ทั้งยังโดนหักหลังอย่างเจ็บแสบและเกือบเอาชีวิตไม่รอด สุดท้ายเธอก็หนีกลับมาหาหลานหลินหวังที่จวนได้สำเร็จ แต่พอมาถึงกลับพบว่าหลานหลินหวังกำลังจะแต่งงานกับเสวี่ยอู่ เธอคิดว่าเสวี่ยอู่หลอกลวงตนจึงพยายามทำทุกวิถีทางให้เสวี่ยอู่กับหลานหลินหวังเลิกกัน แต่สุดท้ายก็ถูกจับได้และโดนไล่ออกจากจวนเป็นเหตุให้เธอโดนชายสองคนข่มขืน นับจากนั้นความรักก็แปรเปลี่ยนเป็นไฟแค้น เธอใช้ชื่อใหม่ว่า "เฝิงเสี่ยวเหลียน" และกลายเป็นจักรพรรดินีของราชวงศ์เป่ยฉี (หรือฮองเฮาของ "เกาเหว่ย") ในที่สุด หลังจากนั้น เธอก็คอยชักใยอยู่เบื้องหลังและใช้เกาเหว่ยเป็นเครื่องมือในการล้างแค้นหลานหลิงหวังกับเสวี่ยอู่

***************


 

เว่ยเชียนเสียง
รับบท หานเสี่ยวตง
(นักแสดง ชาวจีน)

"หานเสี่ยวตง" เป็นทั้งเพื่อนที่ซื่อสัตย์และองครักษ์พิทักษ์เสวี่ยอู่ เดิมเป็นเด็กยากจนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านขอทานซึ่งตั้งอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างแคว้นฉีกับแคว้นโจว ด้วยความที่ต้องหาเงินมาซื้อยารักษายายที่กำลังป่วยหนัก เขาเลยต้องหลอกลวงและขายเสวี่ยอู่ให้กับคนค้าทาส หลังเสวี่ยอู่หนีออกมาได้และพบว่าเขาทำไปเพราะความจำเป็น เธอไม่เพียงให้อภัยเขาแต่ยังปกป้องและช่วยรักษาคนป่วยในหมู่บ้านของเขาอีกด้วย นับแต่นั้นเขาก็คอยช่วยเหลือและติดตามเสวี่ยอู่ จนกระทั่งได้เข้าไปทำงานในจวนของหลานหลิงหวังแต่ภายหลังกลับถูกเจิ้งเอ๋อร์ไล่ออกจากจวน แม้เขาจะมีชาติกำเนิดต่ำต้อยแต่เสวี่ยอู่ก็นับถือเขาเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่ง แม้เขาจะแอบหลงรักเสวี่ยอู่ แต่เขารู้ดีว่าเสวี่ยอู่รักหลานหลินหวัง ซ้ำยังอยู่ไกลเกินเอื้อมจึงได้แต่เฝ้าดูอย่างชื่นชมและคอยปกป้องโดยไม่คิดครอบครอง เขาเป็นคนแรกที่เห็นธาตุแท้ของเจิ้งเอ๋อร์และพยายามเปิดโปงเธอ

***************


 

จูไห่จวิน 
รับบท เสี่ยวชุ่ย 
(นักร้อง ชาวไต้หวัน)

"เสี่ยวชุ่ย" เป็นสาวใช้ที่จวนของหลานหลิงหวัง คอยดูแลเสวี่ยอู่ด้วยความรักและซื่อสัตย์จึงสนิทสนมกันดุจพี่น้องมากกว่านายกับบ่าว เธอเป็นอีกคนหนึ่งที่สงสัยในพฤติกรรมของเจิ้งเอ๋อร์จึงคอยปกป้องเสวี่ยอู่ เธอเป็นคนเดียวที่อยู่เคียงข้างอันเต๋อหวังหลังชายารองทุกคนต่างพร้อมใจกันทอดทิ้งเขา

***************


 

จางกั๋วชิ่ง 
รับบท จู่ทิง 
(นักแสดง ชาวจีน)

เกร็ดความรู้: "จู่ทิง" เป็นขุนนางของราชวงศ์เป่ยฉี มีความสามารถอันโดดเด่นในด้านวรรณกรรมและการบริหาร แต่ภายหลังตาบอด

คาแรคเตอร์ในละคร: "จู่ทิง" เป็นขุนนางของแคว้นฉีและที่ปรึกษาของเกาเหว่ย  ชอบเสี้ยมให้เกาเหว่ยกับหลานหลิงหวังผิดใจกัน ภายหลังกลายเป็นกบฏที่คิดคดต่อแคว้นฉีโดยใช้วิธีวางยาและเข้าครอบงำอวี่เหวินยง (เขามีความสามารถในด้านโหราศาสตร์และคุณไสย) กองทัพฉีจึงเห็นเขาเป็นศัตรู สุดท้ายก็ถูกหลานหลินหวังฆ่าตาย

***************


 

หลี่ตงฮั่น
รับบท หยางซื่อเซิน
(นักแสดง ชาวจีน)

* "หยางซื่อเซิน" เป็นหนึ่งในแม่ทัพของราชวงศ์เป่ยฉี มีบทบาทสำคัญในการทำศึกหลายครั้ง เขาเป็นทั้งเพื่อนที่ซื่อสัตย์และผู้ใต้บังคับบัญชาที่จงรักภักดีของหลานหลิงหวัง แต่ไม่ถูกชะตากับเสี่ยวอู่ในช่วงแรก 

***************


 

หลูหย่ง
รับบท หูลวี่กวง
(นักแสดง ชาวจีน)

เกร็ดความรู้: "หูลวี่กวง" เป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นเป่ยฉี ได้รับยกย่องว่าเป็นเสาหลักของบ้านเมืองและกองทัพ เขากับจู่ทิงเป็นคู่อริกัน ภายหลังถูกจู่ทิงกล่าวหาแบบผิดๆ ว่าคิดก่อกบฏ ทำให้ถูกเกาเหว่ยประหาร หลังจากนั้นไม่นานราชวงศ์เป่ยฉีก็ล่มสลาย

คาแรคเตอร์ในละคร: "หูลวี่กวง" เป็นแม่ทัพใหญ่ที่จงรักภักดีต่อแคว้นเป่ยฉี และเป็นบิดาของ  "หูลวี่ซวีต๋า" ถูกเกาเหว่ยสังหารหลังแสดงความเห็นเกี่ยวกับเกาเหว่ยอย่างตรงไปตรงมา

***************


 

เฮ่อเชียง
รับบท ต้วนเสา (มีตัวตนจริง)
(นักแสดงชาวจีน)

* "ต้วนเสา" เป็นอาจารย์ของหลานหลิงหวัง และเป็นคนเดินทางไปรับหลานหลิงหวังซึ่งอยู่ในวัย 6 ขวบเข้าวังด้วยตนเอง

***************


 

หวังตี๋
รับบท อาสื่อน่าฮองเฮา (จักรพรรดินีอาสื่อน่าแห่งราชวงศ์เป่ยโจว)  
(นักแสดงชาวจีน)

เกร็ดความรู้: "อาสื่อน่า" เป็นธิดาของท่านข่านคนที่สามแห่งชนเผ่าเร่ร่อน "ทูเจว๋" (เชื้อสายเติร์ก) ซึ่งแยกตัวออกมาจากโหรวหร่าน (ข่านคนแรกของทูเจว๋เป็นอดีตข้าราชบริพารของข่านแห่งโหรวหร่าน) และยึดอำนาจการปกครองดินแดนส่วนใหญ่ของโหรวหร่านมาได้ หลังจากนั้นก็เข้าครอบครองดินแดนทุ่งหญ้าก่อนแผ่ขยายอิทธิพลเข้าไปยังดินแดนทางตอนเหนือของจีน (ราชวงศ์เหนือ)

คาแรคเตอร์ในละคร: "อาสื่อน่า" เป็นฮองเฮาของอวี่เหวินยง แม้เธอกับเขาจะแต่งงานกันด้วยเหตุผลทางการเมือง แต่เธอก็รักอวี่เหวินยงจนหมดใจ ด้วยความที่เป็นผู้หญิงฉลาดและมีความรอบรู้ เธอจึงช่วยอวี่เหวินยงรวบรวมดินแดนจนกลายเป็นผู้ปกครองอาณาจักรทางตอนเหนือ ถึงแม้เธอจะทำทุกอย่างเพื่ออวี่เหวินยงแต่เธอก็ไม่อาจคว้าหัวใจของเขามาครองได้อยู่ดี

***************


 

หวังเจิง
รับบท อวี่เหวินเสินจวี่ (มีตัวตนจริง)
(นักแสดงชาวจีน)

* "อวี่เหวินเสินจวี่" เป็นคนสนิทที่ซื่อสัตย์และองครักษ์คู่ใจของอวี่เหวินยง

***************


 

หานตง 
รับบท หยางเจียน 
(นักแสดงชาวจีน)

เกร็ดความรู้: "หยางเจียน" เดิมเป็นแม่ทัพของราชวงศ์เป่ยโจว และเป็นบิดาของหยางฮองเฮาในจักรพรรดิเสวียนตี้ (โอรสองค์โตของโจวอู่ตี้) หลังโค่นล้มราชวงศ์เป่ยโจวได้สำเร็จจึงสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์แรกแห่งราชวงศ์สุย

* เป็นดารารับเชิญในตอนที่ 1 และตอนที่ 44-46



รวมคลิปตัวอย่างและเพลงประกอบ



รวมคลิปเบื้องหลัง


*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

5 ความคิดเห็น:

  1. ดูจบแล้ว เป็นละครที่ดีมาก ๆๆ นักแสดงนำ ทุกคนเลือกได้ดีมาก แสดงดีมาก คู่ พระ นาง เคมี แสดงดีมาก เคมีเข้ากันมาก อินมากคะ น่าจะได้รางวัลนะคะคู่นี้ ละครก้น่าจะได้รางวัลนะคะ ผู้กำกับดีมาก เนื้อเรื่องดีมาก บทเขียนดีมาก ดีทุกอย่างเลยคะ perfect มากคะ เพราะมีทุกรส ในละครเรื่องนี้ ทำให้ชอบมาก เป็นซี่รี่ที่ดีมีคุณภาพมากเรื่องหนึ่งของจีนที่ดูมา ซ้ำยังได้รุ้ประวัติศาสตร์จีนอีกด้วย อยากให้ทำละครดีๆอย่างนี้ออกมาเยอะๆคะ

    ตอบลบ
  2. เพิ่งดูจบพากย์ไทยคะ ชอบคู่ พระเอก นางเอกมากก น่ารักมาก เคมเข้ากันมาก ฟินคะ ต้องชมนักแสดงและ ผู้กำกับคะ ขนาดดูรวมคลิปเบื้องหลัง ยังน่ารักเลยคุ่นี้ ชอบบ อยากให้แสดงคู่กันอีก แนวนี้ ชอบเฮียเฝิง เพราะเรื่องนี้เลยคะ แต่จะดูซับไทย อีกรอบคะ ^^ จรองชอบแบบซับมากกว่าคะ ได้ฟังภาษาจีนจริงๆ ได้ feel มากกว่า

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ9 ธันวาคม 2560 เวลา 11:13

    ชอบพระเอกนางเอกคู่นี้มาก ๆ

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ22 ธันวาคม 2560 เวลา 20:18

    เพิ่งมาดูเรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่ฉายนานแล้ว สนุก เศร้ามาก ใครที่ชอบดูแนวรัก ๆ แต่ตอนจบไม่.... ลองดูเรื่องนี้ได้นะ

    ตอบลบ
  5. ชอบซีรีย์เรื่องนี้มาก ดูหลายรอบไม่มีเบื่อ เป็นละครที่ยิ่งใหญ่ อิงประวัติศาสตร์ เดินเรื่องเร็วฉากสวยงาม นักแสดงฝีมือยอดเยี่ยม ขอบคุณ เพจนี้ สำหรับข้อมูลของแต่ละตัวละคร รวมถึง เกร็ดความรู้ ทางประวัติศาสตร์ ขอบคุณจริงๆ

    ตอบลบ

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา