วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เรื่องย่อ หยุนเสียน หมอหญิงวังจักรพรรดิ (The Imperial Doctress)




กำกับ: หลี่กั๋วลี่ (ชาวฮ่องกง)
เขียนบท: จางเว่ย
แนวละคร: ย้อนยุค, โรแมนติก
จำนวนตอน: 50
ออกอากาศ: จีน - 13 กุมภาพันธ์ 2559 ทางเจียงซูทีวี และดราก้อนทีวี
                ไทย - ทุกวันเสาร์ เวลา 16.00-18.00 น. และวันอาทิตย์ เวลา 17.00-18.00 น. ทางเวิร์คพอยท์ทีวี ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2559 - 13 สิงหาคม 2559

เรื่องย่อ



"หยุนเสียน หมอหญิงวังจักรพรรดิ (The Imperial Doctress)" นำเสนอเรื่องราวของหญิงสาวที่มีความรู้ความสามารถด้านการแพทย์ นามว่า "ถานหยุนเสียน" ซึ่งฝ่าฟันกฏเหล็กตลอดจนปัญหาและอุปสรรคต่างๆ นานา จนกลายเป็นหมอหญิงชื่อดังแห่งราชวงศ์หมิงในที่สุด โดยละครได้นำเรื่องราวของหยุนเสียนมาผนวกรวมกับเรื่องราวของ "จักรพรรดินีซู่เซี่ยว" (หังฮองเฮา - ฮองเฮาพระองค์ที่ 2 ในจักรพรรดิจิ่งไท่) ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเป็นคนละคน แถมยังมีชีวิตอยู่คนละยุคสมัยกัน โดยหยุนเสียนมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1461–1554 (พ.ศ. 2004-2097) ส่วนจักรพรรดินีซู่เซี่ยวสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1456 (พ.ศ. 1999) หยุนเสียนในละครจึงต่างจากตัวจริงตรงที่ไม่เพียงเป็นหมอหญิงมากฝีมือ แต่ยังเป็นต้นเหตุของรักสามเส้า ทั้งยังเป็นพระสนมและฮองเฮาของฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงอีกด้วย

เนื้อหาตอนที่ 1

ละครเปิดฉากขึ้นในยุคกลางของราชวงศ์หมิง ซึ่งเป็นช่วงที่ปรัชญาลัทธิขงจื๊อใหม่* เป็นที่แพร่หลายและมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก แต่การมีหลักปรัชญาด้านจริยธรรมที่เคร่งครัดกลับทำให้ผู้หญิงมีสถานะทางสังคมด้อยกว่าผู้ชาย โดยหญิงสาวจากตระกูลขุนนางไม่อาจปรากฏกายในที่สาธารณะได้อย่างเปิดเผย (ต้องมีผ้าปกคลุมใบหน้า) ทั้งยังไม่มีสิทธิเป็นขุนนางหรือแม้กระทั่งหมอ พอถึงคราวล้มป่วยก็ไม่ได้รับการรักษา (จากหมอที่ล้วนเป็นผู้ชาย) อย่างทันท่วงทีด้วยความที่มีหัวอนุรักษ์นิยม (รักนวลสงวนตัว) หรือไม่สมาชิกในครอบครัวที่เป็นชายก็ยึดมั่นในหลักจารีต จึงไม่ยอมให้หมอแตะเนื้อต้องตัวคนในครอบครัวที่เป็นสตรี   ส่วนหมอตำแยหรือหมอชาวบ้านที่เป็นผู้หญิงซึ่งมีอยู่น้อยนิดก็ถูกตั้งแง่รังเกียจว่าเป็นคนชั้นต่ำที่ชอบแส่เรื่องชาวบ้าน



ด้วยความที่ "จักรพรรดิหมิงอิงจง* " (จักรพรรดิเจิ้งถ่ง) แห่งราชวงศ์หมิงทรงขึ้นครองราชย์ขณะยังทรงพระเยาว์ ซุนไทเฮา* จึงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนและว่าราชการหลังม่านเรื่อยมา แม้กาลเวลาจะล่วงเลยจนฮ่องเต้ทรงเจริญวัย แต่ซุนไทเฮากลับไม่ยอมคืนพระราชอำนาจโดยนำเรื่องที่ฮ่องเต้ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะมาเป็นข้ออ้างหวังรักษาอำนาจทางการเมืองเอาไว้  ฮ่องเต้หนุ่มทรงเชื่อฟังคำยุแยงของขันที "หวังเจิ้น" (หรือ "หวังกงกง" ซึ่งปกครองสำนักตงฉ่าง*) จึงเริ่มแข็งข้อต่อซุนไทเฮา ซุนไทเฮาเลยแอบสั่งให้ "เฉิงอ๋อง* " เดินทางมาเมืองหลวงอย่างลับๆ หมายแต่งตั้งให้เป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เมื่อหวังเจิ้นรู้เข้าก็เกรงว่าตำแหน่งของตนจะสั่นคลอนจึงสั่งให้นักฆ่าของสำนักตงฉ่างลอบสังหารเฉิงอ๋องก่อนที่เฉิงอ๋องจะเดินทางมาถึงเมืองหลวง

เกร็ดความรู้ 
ปรัชญาลัทธิขงจื๊อใหม่   (Neo-Confucianism) ได้รับอิทธิพลมาจากปรัชญาขงจื๊อ ปรัชญาเต๋า และพุทธศาสนา แต่ปฏิเสธการเชื่อถือในโชคลางและเรื่องลึกลับของลัทธิเต๋าและพุทธศาสนา 
จักรพรรดิหมิงอิงจง ทรงเป็นฮ่องเต้พระองค์ที่ 6 และ 8 ของราชวงศ์หมิง  เดิมชื่อองค์ชาย "จูฉีเจิน" เป็นพระโอรสของจักรพรรดิเซวียนเต๋อ และเป็นโอรสบุญธรรมของสนมซุน ทรงขึ้นครองราชย์เป็น "ฮ่องเต้เจิ้งถ่ง" ขณะมีพระชนมายุเพียง 8 พรรษา จึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของขันทีหวังเจิ้น (ทรงเป็นฮ่องเต้วัยเยาว์พระองค์แรกของราชวงศ์หมิง) ระหว่างทำศึกกับมองโกลตามคำแนะนำของขันทีหวังเจิ้นพระองค์ทรงถูกจับเป็นเชลย เฉิงอ๋องซึ่งเป็นพระอนุชาต่างพระชนนีจึงถูกแต่งตั้งเป็นฮ่องเต้ (จักรพรรดิจิ่งไท่) แทน นับแต่นั้นพระองค์จึงมีฐานะเป็น "ไท่ซ่างอ๋อง" (ฮ่องเต้สละราชย์) หลังถูกมองโกลปล่อยตัวในอีกหนึ่งปีต่อมา พระองค์ก็ถูกพระอนุชาที่กลายเป็นฮ่องเต้กักขังไว้ที่ตำหนักใต้ภายในพระราชวังต้องห้ามเป็นเวลาเกือบเจ็ดปี ก่อนยึดบัลลังก์กลับคืนมาได้เป็นผลสำเร็จ และทรงขึ้นครองราชย์อีกครั้งโดยใช้รัชศก "เทียนซุ่น"   
สำนักตงฉ่าง (ตงจีซื่อฉ่าง) คือ หน่วยสืบราชการลับสมัยราชวงศ์หมิงที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้และมีหัวหน้าเป็นขันที ก่อตั้งโดยจักรพรรดิหย่งเล่อ (ฮ่องเต้องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์หมิง)  
เฉิงอ๋อง เดิมชื่อ องค์ชาย "จูฉีอวี้" เป็นพระโอรสองค์ที่สองของจักรพรรดิเซวียนเต๋อกับสนมอู่  หลังเกิดวิกฤตการตูมู่ (ทัพต้าหมิงพ่ายทัพมองโกล และฮ่องเต้เจิ้งถ่งซึ่งนำทัพด้วยพระองค์เองถูกจับเป็นตัวประกัน) พระองค์ทรงถูกแต่งตั้งเป็นฮ่องเต้แทนที่พระเชษฐา หลังจากพระเชษฐาถูกมองโกลปล่อยตัว พระองค์ทรงมีรับสั่งให้พระเชษฐาไปประทับที่ตำหนักใต้ ทั้งยังให้องค์รักษ์คอยคุ้มกันอย่างแน่นหนาเพราะเกรงว่าพระเชษฐาจะยึดบัลลังก์คืน แต่สุดท้ายก็ถูกพระเชษฐาโค่นบัลลังก์อยู่ดี
ไทเฮา (ฮองไทเฮา) คือ มารดาพระเจ้าแผ่นดิน หรือฮองเฮาของพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในรัชกาลปัจจุบัน



ขุนนางใหญ่ "สวีซื่อหลาง" จัดงานวันเกิดครบรอบ 70 ปีให้มารดา โดยตั้งใจว่าจะใช้โอกาสนี้พิจารณาคัดเลือกว่าที่ลูกสะใภ้ เหล่าขุนนางจึงพร้อมใจกันพาบุตรสาวมาร่วมอวยพรและมอบของขวัญวันเกิดให้ "สวีเล่าฮูหยิน" (ฮูหยินอาวุโสสกุลสวี) หนึ่งในนั้นคือ "หังหยุนเสียน" ซึ่งเป็นบุตรสาว "หังกัง" แม่ทัพประจำด่านเซวียนอู่ (พ่อของหยุนเสียนเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ขั้น 4 เดิมคุมด่านบริเวณชายแดนทางตอนเหนือ เพิ่งถูกสวีซื่อหลางย้ายกลับมาที่เมืองหลวงได้ไม่นาน

หยุนเสียนมาที่จวนสกุลสวีพร้อมสาวใช้นามว่า "จื่อซู" เพื่อนำโสม 1 ราก และเห็ดหลินจือ 2 หัว มามอบเป็นของขวัญและร่วมอวยพรวันเกิดให้สวีเล่าฮูหยิน ปรากฏว่าของขวัญวันเกิดที่เธอนำมามีจำนวนน้อยด้อยค่าและธรรมดาที่สุดเมื่อเทียบกับของขวัญวันเกิดที่บุตรสาวขุนนางคนอื่นๆ นำมา  ทำให้โดนดูถูก และนินทา หลังมอบของขวัญและอวยพรวันเกิดแล้วหยุนเสียนก็ถูกเชิญไปชมสวนดอกไม้ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ (เป็นงานสำหรับผู้หญิงเท่านั้น)  ระหว่างทางหยุนเสียนทั้งตื่นเต้นและแปลกใจเมื่อพบกล้วยไม้หายากสกุลหวาย "เถี่ยผีสือหู"  (Dendrobium officinale)  ขึ้นอยู่บนโขดหินภายในจวนของสกุลสวี  (ลำลูกกล้วยของกล้วยไม้พันธุ์ดังกล่าวสามารถนำมาทำยาสมุนไพรได้)


ขณะอยู่ในงานเลี้ยงหยุนเสียนยังคงรู้สึกคาใจว่าทำไมกล้วยไม้พันธุ์หายากที่ปกติแล้วจะขึ้นอยู่ตามซอกหินบนภูเขาสูง (เพราะชอบอากาศหนาวเย็นจัดและความชื้นสูง) ถึงเจริญเติบโตในจวนสกุลสวีได้ "วังเหม่ยหลิน" (องค์หญิงอันเหอ) เห็นว่าหยุนเสียนเป็นคนเดียวที่มีสีหน้าเรียบเฉยและไม่แสดงอาการชื่นชมยินดีเหมือนคนอื่นๆ หลังเธอบรรเลงดนตรีให้ฟัง จึงถามหยุนเสียนต่อหน้าทุกคนว่าฝีมือของตนไม่ดีพอหรือ หยุนเสียนซึ่งมัวแต่ครุ่นคิดเรื่องกล้วยไม้ตอบอย่างเอาใจว่าฝีมือบรรเลงเพลง 'ฉิน' ของวังเหม่ยหลินไพเราะมากจนทำให้ตนตกอยู่ในภวังค์  "สวีฮูหยิน" (ภรรยาของสวีซื่อหลาง) จึงชี้ว่าเครื่องดนตรีดังกล่าว คือ (กู่) 'เจิง' เป็นของขวัญที่ไทเฮาทรงประทานให้ครอบครัวตน

หยุนเสียนต้องการปลีกตัวไปดูกล้วยไม้จึงอ้างว่าตนรู้สึกเวียนหัว แต่เหล่าคุณหนูผู้สูงศักดิ์คิดว่าเธอขอตัวเพื่อหนีความอับอายจึงพากันหัวเราะเยาะอย่างดูถูก ทั้งยังนินทาว่าเธอเป็นสาวบ้านนอกแต่งตัวเชยที่แยกความแตกต่างระหว่างฉินกับเจิงไม่ออก แต่หยุนเสียนไม่สนใจเสียงนกเสียงกาด้วยคิดว่าตนมาส่งของขวัญแทนพ่อไม่ได้มาชิงดีชิงเด่นกับใคร (เธอรู้ว่าสกุลสวีจัดงานนี้ขึ้นเพื่อหาคู่ให้บุตรชาย) สิ่งที่หยุนเสียนสนใจมีเพียงอย่างเดียวคือกล้วยไม้หายาก เธอใช้มือดึงต้นกล้วยไม้ดังกล่าวออกมาจากรอยแยกของหินอย่างทะนุถนอม พลางบอกจื่อซูว่าในตำรายาสมุนไพร "เสินหนงเปิ่นฉ่าวจิง" ของเสินหนงระบุว่ากล้วยไม้ชนิดดังกล่าวเป็นสมุนไพรมหัศจรรย์ที่ช่วยชีวิตคนได้ ทั้งยังมีสรรพคุณโดดเด่นกว่าโสมจึงนับว่ามาแล้วไม่เสียเที่ยว



"เฉิงอ๋อง" ซึ่งถูกนักฆ่าของสำนักตงฉ่างทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและแอบมาหลบซ่อนตัวในบริเวณดังกล่าว ได้ยินดังนั้นจึงล็อคคอหยุนเสียนแล้วลากตัวเธอเข้าไปในถ้ำพลางใช้ดาบสั้นข่มขู่ จื่อซูร้องขอความช่วยเหลือและจะวิ่งออกจากถ้ำหวังไปตามคนมาช่วย เลยโดนเฉิงอ๋องจับเป็นตัวประกันแทน หยุนเสียนขอให้เฉิงอ๋องไว้ชีวิตจื่อซูและถามว่าเขาต้องการอะไร เฉิงอ๋องกล่าวว่าตนอยากได้สมุนไพรช่วยชีวิตในมือหยุนเสียน  หยุนเสียนเห็นแผลที่มือเฉิงอ๋องถึงได้รู้ว่าเขาโดนพิษ เธอจะมอบกล้วยไม้ให้เฉิงอ๋องแต่เฉิงอ๋องหมดสติไปเสียก่อน จื่อซูเลยบอกให้หยุนเสียนรีบหนีไป หยุนเสียนเห็นชายหนุ่มนอนหนาวสั่นและเพ้อหาแม่จึงรีบวิ่งไปเก็บสมุนไพรมารักษาและกลับมาพร้อมต้นหวงเหลียนป่า (ช่วยขจัดพิษ ต้านการอักเสบและติดเชื้อ) 

ทันทีที่รู้สึกตัวเฉิงอ๋องก็ขอบคุณหยุนเสียนที่ช่วยชีวิต และขอโทษที่ใช้ดาบสั้นข่มขู่ก่อนหน้านี้ เขากล่าวว่าตนไม่ใช่คนร้ายแต่กำลังถูกศัตรูตามล่า ดังนั้นจงอย่าบอกใครว่าพบตนที่นี่ หยุนเสียนเห็นชายหนุ่มหมดสติไปอีกครั้งก็รู้สึกเป็นห่วงจึงคิดที่จะช่วยพาเขาหนี จื่อซูไม่เห็นด้วยและเตือนว่าหากมีคนรู้เข้าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่และอาจทำให้แม่ทัพหัง (พ่อของหยุนเสียน) พลอยเดือดร้อนไปด้วย หยุนเสียนไม่อยากให้พ่อเดือดร้อนเลยจำต้องไปจากเขา  ก่อนไปเธอป้อนยาให้เขาหนึ่งเม็ดและหวังว่าเย่าซือยูไล (เอี๊ยะซือหยูไล หรือ พระไภษัชยคุรุตถาคต*) จะช่วยให้เขาอยู่รอดปลอดภัย

* พระไภษัชยคุรุตถาคต เป็นพระพุทธเจ้าในนิกายมหายานและบรมครูแห่งยารักษาโรค




"เฉาจี๋เสียง" แห่งสำนักตงฉ่าง (ลูกน้องหวังเจิ้น) พลิกแผ่นดินหาเฉิงอ๋องจนทั่วแต่ก็ยังหาไม่พบ เหลือเพียงจวนสกุลสวีเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ได้ค้นหา เขาจึงพาลูกน้องบุกเข้าไปค้นทั้งๆ ที่รู้ว่าภายในมีงานเฉลิมฉลองและมีแขกเหรื่อมากมาย หนึ่งในนั้นคือ "วังกั๋ว กง" (พ่อของวังเหม่ยหลิน) หลังบุกค้นจนทั่วทั้งในสวนดอกไม้ทางด้านนอกและบริเวณโดยรอบแล้วไม่เจอ เฉาจี๋เสียงเลยคิดที่จะนำคนบุกไปค้นบริเวณสวนของเรือนชั้นในซึ่งเป็นส่วนของผู้หญิงและมีฉากกั้นเอาไว้ 

สวีซื่อหลางและวังกั๋วกงพยายามห้ามปรามเพราะเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมและเป็นการหยามเกียรติสตรี แต่เฉาจี๋เสียงไม่สนใจหลักจริยธรรม เขาเชื่อว่าวังกั๋วกงเองก็รู้ว่าตนกำลังตามหาใครถึงได้พยายามขัดขวาง วังกั๋วกงเตือนว่าซุนไทเฮาไม่พอพระทัยเป็นอย่างมากที่ระยะหลังๆ สำนักตงฉ่างกำเริบเสิบสาน เฉาจี๋เสียงไม่สนว่าไทเฮาจะกริ้วสักเพียงไหน เพราะตงฉ่างขึ้นตรงต่อฮ่องเต้เพียงองค์เดียว พูดจบเฉาจี๋เสียงก็พังฉากกั้นแล้วสั่งให้ลูกน้องบุกเข้าไปค้นทางด้านใน ทำให้เหล่าคุณหนูและบรรดาสาวใช้ต่างพากันกรีดร้องด้วยความตกใจกลัว หยุนเสียนกับจื่อซูเห็นดังนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าคนของสำนักตงฉ่างกำลังตามหาคุณชายที่เธอเพิ่งช่วยชีวิต



อยู่ๆ สวีเล่าฮูหยิน (มารดาสวีซื่อหลาง)  ก็มดสติ  หน้าเบี้ยว  ตัวเกร็ง (เป็นอาการเฉียบพลันของโรคลมอัมพาต (สโตรก) หรืออุบัติเหตุจากหลอดเลือดสมองอัมพาต อันเนื่องมาจากหลอดเลือดในสมองตีบตัน) สวีซื่อหลางสั่งให้คนไปตามหมอแต่เฉาจี๋เสียงห้ามทุกคนออกจากจวน หยุนเสียนดูออกว่าสวีเล่าฮูหยินไม่ได้เป็นลมธรรมดาจึงห้ามไม่ให้เคลื่อนย้ายเพราะอาจเป็นอันตราย  เหม่ยหลินแย้งว่าหยุนเสียนไม่ใช่หมอ และชี้ว่าสวีเล่าฮูหยินอายุมากแล้วแถมร่างกายยังอ่อนแอ หากไม่รีบพากลับห้องพักอาจทำให้ป่วยไข้ได้ สวีซื่อหลางไม่มีทางเลือก เขาเห็นว่าหยุนเสียนมีความรู้ด้านการแพทย์จึงขอให้เธอช่วยรักษามารดาของตน หยุนเสียนเลยร้องขอเข็มเย็บผ้า

วังกั๋วกงแอบบอกให้เหม่ยหลินแกล้งเป็นลม โดยให้เหตุผลว่าคนของสำนักตงฉ่างกำลังตามล่าเฉิงอ๋องหลังรู้ว่าไทเฮาแอบเรียกเฉิง อ๋องเข้าเมืองหลวงหมายผลักดันให้เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ พวกตนจึงต้องรีบตามหาและช่วยเหลือเฉิงอ๋องซึ่งคาดว่าจะแอบหลบอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในจวนสกุลสวี พอเหม่ยหลินแกล้งเป็นลมวังกั๋วกงก็สั่งให้สาวใช้พาเธอไปพักที่เรือนรับรอง เฉาจี๋เสียงเห็นดังนั้นจึงสั่งให้ลูกน้องคอยจับตาดูวังกั๋วกง วังกั๋วกงรู้ว่ามีคนสะกดรอยตามจึงแกล้งฝากลูกสาวไว้กับสาวใช้โดยบอกว่าตนจะกลับไปดูอาการของสวีเล่าฮูหยิน (หลอกให้ลูกน้องเฉาจี๋เสียงสะกดรอยตามตนไป เพื่อเปิดทางให้เหม่ยหลินออกไปตามหาเฉิงอ๋อง) ครั้นพอสบโอกาสเหม่ยหลินก็รีบออกตามหาเฉิงอ๋องโดยให้สาวใช้คนหนึ่งแกล้งนอนบนเตียงแทนตน



หยุนเสียนช่วยรักษาสวีเล่าฮูหยินด้วยการใช้เข็มทิ่มที่ติ่งหูและปลายนิ้วทั้งสิบ จากนั้นก็บีบให้เลือดออก (เป็นเทคนิคโบราณในการฝังเข็ม ใช้ปรับการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตและพลังชี่ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นคืนสติ แต่วิธีนี้ห้ามนำมาใช้ในชีวิตจริงโดยเด็ดขาด! เพราะนอกจากจะไม่ได้ผลแล้วยังอาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยอีกด้วย) จากนั้นก็กดจุดแก้เป็นลมบริเวณใต้จมูก (จุดหยินจง) เมื่อเห็นว่าทำแล้วสวีเล่าฮูหยินยังไม่ดีขึ้นและไม่รู้สึกตัว หยุนเสียนจึงใช้เข็มแทงบริเวณใต้จมูก ฝ่าเท้า และนิ้วเท้าของนาง ไม่นานสวีเล่าฮูหยินก็เริ่มรู้สึกตัวและหายจากอาการหน้าเบี้ยวตัวเกร็ง สวีซื่อหลางและภรรยาเห็นดังนั้นก็รู้สึกทึ่งในความสามารถทางด้านการแพทย์ของหยุนเสียน แม้หยุนเสียนจะออกตัวว่าตนรู้แค่ผิวเผิน แต่สวีฮูหยินเห็นกับตาจึงเชื่อในฝีมือและขอให้หยุนเสียนจัดเทียบยาให้


เหม่ยหลินพบเฉิงอ๋องนอนหมดสติภายในถ้ำจึงรีบปลุกแล้วช่วยประคองออกจากถ้ำ เฉิงอ๋องเห็นกล้วยไม้สมุนไพรหล่นอยู่บนพื้นจึงหยิบติดมือไปด้วยแต่กลับลืมดาบสั้นเอาไว้ในถ้ำ สวีฮูหยินเดินมาส่งหยุนเสียนพลางกล่าวขอบคุณที่ช่วยรักษาแม่สามีของตน หยุนเสียนขอ ร้องว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับครอบครัวเธอแต่ก็สายเกินไป เพราะสวีซื่อหลางส่งหนังสือขอบคุณไปที่บ้านหยุนเสียนแล้ว ในเวลาเดียวกันนั้น เฉาจี๋เสียงซึ่งพาคนไปค้นทุกซอกทุกมุมในจวนสกุลสวีแต่กลับไม่พบร่องรอยของเฉิงอ๋อง ได้เคลื่อนกำลังมาดักตรวจแขกเหรื่อที่จะออกจากจวน เหม่ยหลินให้เฉิงอ๋องหลบอยู่ในเกี้ยวของเธอจึงหลบหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย

  

เมื่อหยุนเสียนกลับถึงบ้านก็โดนแม่ทัพ "หังกัง" ผู้เป็นบิดาตำหนิอย่างรุนแรง โทษฐานไม่เชื่อฟังทั้งยังละเมิดกฏเหล็กประจำบ้านที่ห้ามไม่ให้ทำตัวเป็นจุดสนใจและห้ามเป็นหมอโดยเด็ดขาด  หยุนเสียนพยายามอธิบายว่าเป็นเหตุฉุกเฉิน โดยบอกว่าหากตนไม่ช่วยสวีเล่าฮูหยิน ป่านนี้นางคงเสียชีวิตไปแล้ว ตนทำไปเพราะต้องการช่วยชีวิตคนไม่ได้คิดอวดเก่ง เมื่อถูกคาดคั้นว่าใครสอนวิชาแพทย์ให้ หยุนเสียนยืนยันว่าตนอ่านตำราและศึกษาด้วยตนเอง แต่หังกังไม่เชื่อจึงใช้แส้ฟาดเธอไม่ยั้ง ยิ่งอธิบายหยุนเสียนก็ยิ่งโดนเฆี่ยน  ถึงกระนั้นเธอก็ยืนกรานว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิดและไม่คิดว่าการช่วยชีวิตผู้อื่นในยามคับขันเป็นเรื่องเลวร้าย หังกังได้ยินดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกโกรธจึงกระหน่ำฟาดหยุนเสียนเต็มแรง  "หรูซื่อ" ย่าของหยุนเสียนมาเห็นเข้าจึงรีบห้ามปรามและเอาตัวบังไว้ จากนั้นก็สารภาพว่าตนเป็นคนสอนหยุนเสียนเอง

จื่อซูเห็นบาดแผลตามร่างกายของหยุนเสียนแล้วรู้สึกสงสารและเห็นใจ แต่หยุนเสียนกลับไม่รู้สึกอะไรเพราะรู้ดีว่าบิดาไม่ชอบและยังไม่ให้อภัยเธอ จื่อซูอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมแม่ทัพหังกังถึงห้ามไม่ให้หยุนเสียนเรียนวิชาแพทย์ หยุนเสียนจึงเล่าให้ฟังว่าความจริงแล้วพวกตนเป็นคนสกุลถานซึ่งสืบทอดวิชาแพทย์ประจำตระกูลมาหลายชั่วอายุคน "ถานฟู่" ปู่ของตนเคยเป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวง หลังพระสนมซุน (หรือซุนไทเฮาในปัจจุบัน) ตกพระโลหิตก็มีคนพบผงดอกคำฝอย* ในชาดทาปากและแก้มที่พวกตนส่งเข้าวัง  ทำให้คนสกุลถานทั้งหมดถูกจับขังคุก หลังถูกใส่ร้ายจนทำให้คนในครอบครัวทั้งหมดพลอยเดือดร้อน ปู่ของตนก็ผูกคอตายในคุก

* หญิงมีครรภ์ไม่ควรทานดอกคำฝอย เพราะเป็นยาบำรุงเลือดและช่วยขับประจำเดือน หากได้รับในปริมาณมากๆ อาจทำให้แท้งบุตรได้

ส่วน "หยุนเหลียง" พี่ชายของตนได้รับบาดเจ็บสาหัสระหว่างพาตนหลบหนี หากตอนนั้นตนรู้ว่าต้นเชี่ยนเฉ่า (ต้นแมดเดอร์) ช่วยห้ามเลือดได้ พี่ชายของตนคงไม่จบชีวิตลงอย่างน่าอนาถ ก่อนตายพี่ชายขอร้องให้ตนศึกษาและสืบทอดวิชาแพทย์แทน แม้ภายหลัง "ใต้เท้าเฉียน" ซึ่งเป็นเพื่อนรักของปู่จะช่วยให้ครอบครัวตนได้รับการอภัยโทษจากไทฮองไทเฮา (พระพันปีหลวง) แต่เพื่อความปลอดภัยพ่อของตนจึงเปลี่ยนชื่อสกุลจาก "ถาน" เป็น "หัง" แล้วผันตัวไปเป็นทหาร โดยหวังว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งในเร็ววันเพื่อจะได้ทวงความเป็นธรรมและล้างมลทินให้ปู่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกตนปักหลักอยู่บริเวณชายแดนทางตอนเหนือ เพิ่งย้ายกลับเมืองหลวงเมื่อไม่นานมานี้ จื่อซูสงสัยว่าผงดอกคำฝอยไปอยู่ในเครื่องสำอางได้อย่างไร หยุนเสียนยอมรับว่าเธอเป็นคนใส่ผงดอกคำฝอยลงไปเอง ในตอนนั้นมีชายคนหนึ่งนำผงดอกคำฝอยมาให้แล้วหลอกเธอว่าถ้าใส่ผงนี้ลงไปจะทำให้ชาดทาปากและแก้มเสร็จเร็วขึ้น เธอจำหน้าชายคนนั้นไม่ได้แต่จำได้ว่าเขามีปานแดงที่มือ


หลังลงโทษหยุนเสียนแล้วหังกังก็ตำหนิมารดาที่แอบสอนวิชาแพทย์ให้ลูกสาวตน หรูซื่อยอมรับว่าตนเป็นคนผิดที่สอนให้หยุนเสียน อ่านตำราแพทย์ ด้วยความที่ตนแก่ชราลงทุกวันสมรรถภาพร่างกายเลยเสื่อมถอย หยุนเสียนจึงช่วยฝังเข็มให้ตนครั้งหนึ่งด้วยความกตัญญู ตนไม่เห็นว่าการที่หยุนเสียนเรียนรู้จากประสบการณ์เพียงเล็กน้อยจะมีอะไรเสียหายตรงไหน  ตนรู้ดีว่าหังกังไม่อนุญาตให้หยุนเสียนเรียนวิชาแพทย์เพราะไม่อยากนึกถึงเรื่องราวอันน่าเศร้าในอดีต และกลัวว่าฐานะที่แท้จริงของพวกตนจะถูกเปิดเผย ถึงกระนั้นก็ไม่ควรปล่อยให้วิชาแพทย์ประจำตระกูลไร้ผู้สืบทอด

หรูซื่อยังบอกด้วยว่าหยุนเสียนเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์ จิตใจดี และไม่เคยลืมคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับหยุนเหลียง ตอนแรกตนก็ไม่คิดที่จะถ่ายทอดวิชาให้หยุนเสียน นึกไม่ถึงว่าหยุนเสียนจะแอบพบตำราเกี่ยวกับจุดฝังเข็มและเส้นลมปราณ ทั้งยังจดจำตำแหน่งต่างๆ ได้ทั้งหมด เห็นหยุนเสียนแล้วตนอดนึกถึงหยุนเหลียงไม่ได้ หังกังได้ยินดังนั้นก็น้ำตาคลอ แต่เขายังอดเป็นกังวลไม่ได้เพราะหยุนเสียน รักษามารดาของสวีซื่อหลางต่อหน้าคนของสำนักตงฉ่าง และถ้าหากไทเฮาทรงรู้เข้าคงไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ ถึงแม้ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นเมื่อหลายปีก่อนตนจะยังไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โต แต่ก็อาจมีคนที่ยังจำตนได้

หรูซื่อแย้งว่าตอนที่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ได้พระราชทานอภัยโทษให้ทุกคน แม้แต่บิดาของหังกังก็ถูกลบล้างความผิดแล้ว ต่อให้ไทเฮาจำหังกังได้ก็ไม่สามารถเอาผิดได้อีก หังกังแย้งว่าพ่อของตนไม่ได้ทำอะไรผิดแต่กลับถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม ตอนนี้ไทเฮาทรงว่าราชการหลังม่าน แม้นางไม่อยากเอาชีวิตพวกตน แต่ถ้าเหล่าขุนนางสอพลอรู้เรื่องนี้เข้าคงไม่ปล่อยพวกตนไปแน่ๆ แม่ทัพอย่างตนถ้าไม่สร้างผลงานด้วยการออกรบไหนเลยจะได้เลื่อนตำแหน่ง ตนจึงเลือกเดินทางลัดด้วยการขอย้ายจากชายแดนทางเหนือ (ซึ่งปัจจุบันสงบสุขแล้ว) มาประจำที่เมืองหลวงโดยหวังว่าจะถูกส่งไปรบกับต้าหลี่ในไม่ช้า หากตนสร้างผลงานจนได้รับพระราชทานป้ายเหล็ก (ป้ายเว้นโทษตาย) ตนจึงจะกล้ากลับมาใช้แซ่ถานและเรียกร้องความเป็นธรรม แต่แผนของตนคงล้มไม่เป็นท่าหากหยุนเสียนทำให้สวีเล่าฮูหยินซึ่งเป็นมารดาของผู้บังคับบัญชาตนมีอาการทรุดลง ก่อนหน้านี้หยุนเสียนเคยนำหายนะมาสู่สกุลถานแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้น ตนจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมอีกเด็ดขาด


สวีซื่อหลางเห็นอาการของมารดาแย่ลงหลังทานยาที่หยุนเสียนแนะนำ จึงตามหมอหลิว (หลิวผิงอัน) มาช่วยตรวจดูอาการโดยบอกว่าวันนี้แม่ของตนเป็นโรคลมอัมพาต พอถูกเข็มเจาะแล้วบีบเอาเลือดออกเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตแม่ของตนก็อาการดีขึ้น แต่หลังจากกินยาตามใบสั่งในตอนบ่ายอาการกลับทรุดลง หมอหลิวจึงขอดูใบสั่งยา พอเห็นว่าตัวยาประกอบด้วย ผงเขากวาง ผงเปลือกหอยเป๋าฮื้อ ฯลฯ หมอหลิวจึงถามว่าใครเป็นคนสั่งยาให้ สวีซื่อหลางกล่าวว่าคุณหนูหังที่เจาะเลือดแม่ของตนเป็นคนแนะนำตัวยาดังกล่าว ตนเห็นว่านางช่วยทำให้แม่ตนฟื้นเลยเชื่อที่นางบอก หมอหลิวแทบไม่เชื่อหูเมื่อรู้ว่าคนสั่งยาและช่วยรักษามารดาของสวีซื่อหลางเป็นผู้หญิง



 

อีกด้านหนึ่งวังกั๋วกงก็ไปตามหมอเฉิง (เฉิงสือซาน - ซึ่งมีปานแดงที่มือ) ให้มาดูอาการของเฉิงอ๋อง หมอเฉิงกล่าวว่าอาการบาดเจ็บของเฉิงอ๋องค่อนข้างสาหัส โชคดีที่มีคนมาช่วยทันเวลา แถมคนๆ นั้นยังเป็นผู้รอบรู้ เพราะนอกจากจะนำสมุนไพรมาช่วยขจัดพิษแล้วยังให้เฉิงอ๋องกินโสมอีกด้วย วังกั๋วกงเห็นลูกสาวยืนลุ้นหน้าห้องด้วยความเป็นห่วงจึงบอกว่าอาการเฉิงอ๋องจะดีขึ้นในไม่ช้าเพราะได้เฉิงสือซานจากสำนักหมอหลวงคอยดูแล แถมเขายังเป็นคนที่ป้าของเหม่ยหลิน (ซุนไทเฮา) เชื่อใจมากที่สุด วังกั๋วกงยังบอกอีกว่านี่เป็นโอกาสที่สวรรค์ประทานมาให้ เธอจึงต้องคว้าเอาไว้และคอยเอาใจใส่ดูแลเฉิงอ๋องให้ดี เพื่อให้เหม่ยหลินสมหวังตนยอมทุ่มจนหมดหน้าตัก ส่วนเหม่ยหลินจะได้เป็นนกฟงหวง (นกฟีนิกซ์ หรือหงส์ไฟ เป็นสัญลักษณ์ของฮองเฮา) หรือไม่ ขึ้นอยู่กับโอกาสในครั้งนี้ เหม่ยหลินสงสัยว่าทำไมอยู่ๆ ไทเฮาถึงต้องการเปลี่ยนฮ่องเต้ วังกั๋วกงยอมรับว่าเป็นฝีมือตน ตนเป็นคนยุแยงให้ซุนไทเฮาผิดใจกับฮ่องเต้ โดยทำให้ไทเฮาเชื่อว่าฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัยไทเฮาที่ไม่ยอมคืนพระราชอำนาจเลยมีแผนปลดพระองค์ เหม่ยหลินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตกใจ

 

หลังกำจัดเฉิงอ๋องไม่สำเร็จ เฉาจี๋เสียงจึงไปขอรับโทษจากขันทีหวังเจิ้น หวังเจิ้นสั่งให้เฉาจี๋เสียงปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับและห้ามให้ฮ่องเต้ล่วงรู้โดยเด็ดขาด เขายังสั่งให้คุมเข้มประตูวังทุกด้านเพื่อป้องกันไม่ให้เฉิงอ๋องมีโอกาสเข้าเฝ้าไทเฮา เฉาจี๋เสียงกล่าวว่าตอนแรกซุนไทเฮามองหวังเจิ้นเป็นหนามยอกอกจึงคิดที่จะยึดสำนักตงฉ่างไปอยู่ภายใต้ความดูแลของตน ครั้นพอทำไม่สำเร็จก็หันไปสนับสนุนวังกั๋วกงและอนุญาตให้เขาควบคุมกองทัพ เห็นได้ชัดว่าไทเฮาพยายามเลียนแบบ "อู่โฮ่ว" (บูเช็กเทียน  - สตรีคนแรกและคนเดียวในประวัติศาสตร์จีนที่ขึ้นครองราชย์ในฐานะกษัตริย์) ดังที่หวังเจิ้นเคยพูดไว้จริงๆ

หวังเจิ้นกล่าวว่าไทเฮาเห็นตนเป็นหนามยอกอกมาตั้งแต่ต้น ในตอนนั้นนางพยายามเสี้ยมให้ตนกับไทฮองไทเฮาผิดใจกัน แต่ไม่ว่ายังไงผู้หญิงก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ นางผมยาวแต่สายตาสั้นเลยไม่ทันคิดว่าเป็นการยากที่จะได้ใจบุตรบุญธรรม เฉาจี๋เสียงเกรงว่าเฉิง อ๋องจะก่อกบฏขึ้นมาจริงๆ จึงถามว่าทำไมไม่ทูลเรื่องนี้กับฮ่องเต้ หวังเจิ้นกล่าวว่าฮ่องเต้เป็นคนจิตใจดีมีเมตตา เฉิงอ๋องเป็นพระอนุชา (ต่างพระชนนี) เพียงองค์เดียวของพระองค์ ต่อให้คิดทำเช่นนั้นจริงฮ่องเต้ก็คงไม่ลงอาญา ที่ผ่านมาตนเคยคิดว่าคนอย่างเฉิงอ๋องไม่มีทางเป็นเสี้ยนหนามแต่ดูเหมือนตนจะคิดผิด ดังนั้นถ้าเจอเฉิงอ๋องเมื่อไหร่ให้กำจัดทันที


หวังเจิ้นย่ามใจว่าตอนนี้ฮ่องเต้เชื่อฟังตนเพียงคนเดียว เขาบอกเฉาจี๋เสียงว่าหากพวกตนกำจัดทุกคนที่เป็นภัยต่อราชบัลลังก์ ในไม่ช้าอนาคตของต้าหมิงจะตกอยู่ในกำมือของพวกตน เฉาจี๋เสียงเริ่มเข้าใจและนึกภาพออกว่าเมื่อวันนั้นมาถึงอำนาจทั้งหมดจะอยู่ในมือหวังเจิ้น และหวังเจิ้นจะมีสถานะเป็นรองเพียงฮ่องเต้เท่านั้น

เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ติดตามชมได้ใน "หยุนเสียน หมอหญิงวังจักรพรรดิ (The Imperial Doctress)" ทางช่องเวิร์คพอยท์ทีวี

* เนื้อหาโดย luvasianseries


นักแสดงนำ

 

หลิวซือซือ
รับบท หังหยุนเสียน / ถานหยุนเสียน 
(นักแสดง ชาวจีน)


 

ฮั่วเจี้ยนหัว (วอลเลซ ฮั่ว)
รับบท  จูฉีเจิน (เจิ้งฉี) / จักรพรรดิอิงจงแห่งราชวงศ์หมิง
(นักแสดง / นักร้อง ชาวไต้หวัน)


 

หวงเซวียน
รับบท จูฉีอวี้ (เฉิงอ๋อง) / จักรพรรดิจิ่งไท่แห่งราชวงศ์หมิง 
(นักแสดง ชาวจีน)


 

 เยวี๋ยนเหวินคัง 
รับบท เหย่เซียน
(นักแสดง ชาวจีน)


 

หลี่เฉิงเยวี่ยน 
รับบท เฉียนฮองเฮา / จักรพรรดินีเซี่ยวจวงรุ่ย
(นักแสดง ชาวจีน)



จินเฉิน
รับบท วังเหม่ยหลิน
(นักแสดง ชาวจีน)



เหอฉิง
รับบท ซุนไทเฮา
(นักแสดง ชาวจีน)



คลิปตัวอย่างจาก youtube/Workpoint Chinese Series 



รวมคลิปตัวอย่างจากเอสเอ็มจีทีวี



รวมคลิปเบื้องหลังจากเอสเอ็มจีทีวี



คลิปละครย้อนหลังจาก youtube/Workpoint Chinese Series 


*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา