วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เรื่องย่อ 7 วันบัลลังก์ราชินี (Queen for Seven Days)




กำกับ: ลี จองซอบ
เขียนบท: ชเว จินยอง
แนวละคร: อิงประวัติศาสตร์, โรแมนติก
จำนวนตอน: 20
ออกอากาศ: เกาหลี - 31 พฤษภาคม 2560 - 3 สิงหาคม 2560 ทางเคบีเอส2
                       ไทย - ทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 18.20-19.15 น. และวันศุกร์ เวลา 18.00-19.00 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (หมายเลข 13) ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2561 - 27 สิงหาคม 2561

เรื่องย่อ



ละคร "7 วันบัลลังก์ราชินี (Queen for Seven Days)" นำเสนอเรื่องราวของ "พระมเหสีทันคยอง" ในพระเจ้าจุงจงแห่งโชซอน ซึ่งถูกถอดจากตำแหน่งและโดนเนรเทศออกจากวัง หลังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระมเหสีคู่บัลลังก์เพียงเจ็ดวัน

เรื่งราวในละครถูกแต่งขึ้นโดยนำเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มาอ้างอิง จึงาจมีเนื้หาที่แตกต่างจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ โดยละครเปิดฉากขึ้นในปี ค.ศ. 1506 (พ.ศ. 2049) ซึ่งเป็นปีแรกในรัชสมัยพระเจ้าจุงจง หญิงสาวคนหนึ่งถูกคุมตัวออกจากวังหลวงด้วยใบหน้าซีดเผือด เธอเดินเหมือนร่างไร้วิญญาณและมีสีหน้าสิ้นหวังประหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปหาความตาย เหล่าชาวบ้านเห็นดังนั้นจึงพากันสงสารและเห็นใจเพราะอย่างน้อยเธอก็เคยเป็นถึงพระมเหสี แต่บางคนกลับรู้สึกสมเพชที่เธอรักษาตำแหน่งไว้ได้ไม่ถึงสิบวัน



เธอผู้นั้นคือ "ชิน แช-คยอง" อดีตพระมเหสีใน "พระเจ้าจุงจง" (หรื "ลี ย็ก" พระราชาองค์ที่ 11 แห่งราชวงศ์โชซอน) ขณะเดินไปรับโทษทัณฑ์นอกวังหลวง เธอหวนนึกถึงภาพบิดามารดานอนจมกองเลือด (หลังขุนนางกลุ่มหนึ่งทำรัฐประหารพระราชาองค์ก่อนแล้วไล่สังหารขุนนางที่จงรักภักดีต่ออดีตพระราชาอย่างโหดเหี้ยม) หลังจากนั้นภาพก็ตัดไปยังท้องพระโรง แชคยองในชุดพระมเหสีเดินเข้าไปหาพระสวามีที่กำลังนั่งดูราชโองการอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก  พระเจ้าจุงจงแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นแชคยองยืนอยู่ตรงหน้า ครั้นตั้งสติได้จึงรีบวิ่งลงไปหาและสวมกอดเธอทันที แชคยองหลั่งน้ำตาก่อนหยิบมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อออกมา เธอจะลอบปลงพระชนม์พระสวามีแต่พระองค์เกิดไหวตัวทันจึงคว้าข้อมือเธอไว้เสียก่อนจากนั้นก็ผลักเธอออก พระเจ้าจุงจงถึงกับพูดไม่ออกจึงได้แต่มองแชคยองด้วยความเจ็บปวดใจ แชคยองตัดพ้อทั้งน้ำตาว่าเธอน่าจะฆ่าเขาเสีย พระเจ้าจุงจงได้ยินดังนั้นก็ถึงกับน้ำตาร่วง

ตัดกลับไปยังลานประหาร แชคยองกำลังจะถูกลงโทษ (ตามพระราชโองการ) ด้วยการแขวนคอ เธอกวาดตามองไปรอบๆ คล้ายกำลังมองหาใครบางคน จากนั้นก็เงยหน้ามองนกบนฟ้าก่อนหันไปมองตำหนักพระราชาที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า (ในตอนนั้นพระเจ้าจุงจงกำลังยืนอยู่หน้าบัลลังก์ในท้องพระโรงด้วยสีหน้าท่าทางร้อนรุ่ม) แชคยองน้ำตาร่วงขณะทูลพระเจ้าจุงจงในใจว่า "ถ้าชาติหน้ามีจริง...ขออย่าได้พบเจอกันอีกเลย"

ย้อนกลับไปเมื่อเจ็ดปีก่อน ซึ่งตรงกับปีที่ห้าในรัชสมัย "ยอนซานกุน"  (หรื "ลี ยุง" พระราชาองค์ที่ 10 แห่งราชวงศ์โชซอน ซึ่งถูกถดพระยศหลังโดนยึดอำนาจ ทำให้ถูกจารึกชื่ในฐานะ "งค์ชายยนซาน" หรือ "นซานกุน" ทรงครงราชย์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1494–1506 ) 



เสนาฯ ซ้าย "ชิน ซูกึน" (บิดาแชคยอง / พี่ชายพระมเหสี) เล่าให้คนดูฟังว่า "ยอนซานกุน" ได้สั่งประหารเหล่าขุนนางและบัณฑิตที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์ หมายปกป้องพระราชอำนาจตลอดจนราชบัลลังก์ (เรียกว่า "การสังหารหมู่ปราชญ์ปีมูโอ" เป็นการสังหารหมู่ครั้งที่หนึ่งในรัชสมัยของพระองค์ เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1498) หลังจากนั้นไม่นาน ได้เกิดภัยแล้งขึ้นอย่างรุนแรง  ราษฎรจึงพากันโจษจันว่าภัยธรรมชาติในครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากโชซอนมีพระราชาที่ไร้ซึ่งคุณธรรม ทำให้ยอนซานกุนกริ้วมาก (ในเวลาเดียวกันนั้น ยอนซานกุนซึ่งสวมชุดสำหรับประกบพิธีกรรมกำลังเดินกจากตำหนักและหยุดมงแสงแดดอันร้นแรง) 

อีกด้านหนึ่ง "ลี ย็อก" หรือ "ชินซองแทกุน" ("องค์ชายชินซอง" / "พระเจ้าจุงจง" ในอนาคต) พระอนุชาต่างมารดาของยอนซานกุน พยายามชะเง้อคอมองหาใครบางคนบนต้นไม้โดยมีเหล่าขันทีและนางในยืนลุ้นทางด้านล่างด้วยใจระทึก ครั้นเห็นสองพระสหาย "โช ควางโอ" กับ "แพค ซ็อกฮี" ช่วยกันแบกไหอันหนักอึ้งมาให้ องค์ชายชินซองก็กระโดดลงจากต้นไม้แล้วรีบวิ่งไปดูสิ่งที่อยู่ในไหด้วยความดีใจ ปรากฏว่าภายในไหมีน้ำและตัวซาลาแมนเดอร์ (สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดหนึ่ง ใช้เป็นตัวแทน "มังกร" ในพิธีขอฝน) เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วองค์ชายชินซองก็ร้องหาใบบัวและกิ่งไม้จากนางใน จากนั้นก็เริ่มอ้อนวอนขอฝน (เป็นความเชื่อของชาวโชซอนที่ว่า ถ้าจับตัวแทนมังกรมาขังไว้ในไหหรือตุ่มใส่น้ำภายใต้แสงแดดอันร้อนแรง มังกรจะยอมทำให้ฝนตกเพื่อแลกกับอิสรภาพ)

* หมายเหตุ: คำว่า "แทกุน" ใช้กับองค์ชายที่เป็นพระโอรสของพระราชากับพระมเหสี และไม่ได้เป็นองค์รัชทายาท ส่วนคำว่า "กุน" ใช้กับองค์ชายที่เป็นพระโอรสของพระราชากับพระสนม หรือเป็นหลานของพระราชาที่ไม่ใช่โอรสขององค์รัชทายาท (หากยังเด็กจะเรียกว่า "วังจา")



เมื่อยอนซานกุนผ่านมาพบเข้าจึงหยุดดู เหล่าขันที นางใน และพระสหายทั้งสองขององค์ชายชินซองเห็นพระราชายืนอยู่ตรงหน้าจึงรีบก้มหมอบ องค์ชายชินซองซึ่งกำลังหลับหูหลับตาร้องขอฝนรู้สึกเอะใจที่บรรยากาศรอบข้างเงียบกริบจึงลืมตาแล้วหันหลังกลับไปมอง ครั้นเห็นยอนซานกุนยืนอยู่ตรงหน้า องค์ชายชินซองก็เผลอเรียกพระองค์ว่า "เสด็จพี่" ด้วยความดีใจ (เสนาฯ ชินยิ้มอย่างเอ็นดู แต่ขันทีคนสนิทขงยอนซานกุนกลับมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก) พอนึกขึ้นได้องค์ชายชินซองก็ปรี่เข้าไปคำนับแล้วเรียกใหม่ให้ถูกต้องว่า "ฝ่าบาท" ยอนซานกุนจ้องมองไหอย่างครุ่นคิด ก่อนเงยหน้ามองพระอนุชาด้วยสีหน้าเรียบเฉย (แต่แววตาและท่าทางเหมือนไม่ค่อยปลื้ม) แล้วบอกว่า "จงเล่นให้สนุก"  องค์ชายชินซองแย้งว่าพวกตนไม่ได้ทำเล่นๆ แต่ยอนซานกุนไม่สนใจและหันหลังเดินจากไปทันที


แทนที่จะว่าราชการยามเช้าในท้องพระโรงตามปกติ ยอนซานกุนกลับออกว่าราชการกลางแจ้ง เหล่าขุนนางจึงต้องเข้าเฝ้าและถวายรายงานท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนระอุ (ยอนซานกุนเองก็นั่งตากแดดด้วยสีหน้าบึ้งตึงโดยไม่มีร่มเช่นกัน) พระองค์ไม่พอใจการถวายรายงานเรื่องราชกิจของเหล่าขุนนาง จึงไม่รอฟังจนจบ ซ้ำยังโยนรายงานทิ้ง เหล่าขุนนางในราชสำนักซึ่งต่างก็มีเหงื่อโทรมกายจึงได้แต่ก้มหน้านิ่งด้วยความหวั่นเกรง ยอนซานกุนจ้องมองเหล่าขุนนางที่พากันยืนปาดเหงื่อ จากนั้นก็เดินลงไปโวยเหล่าขุนนางที่ไม่มีใครคิดหาทางรับมือภัยแล้งหรือแก้ปัญหาพืชผลทางเกษตรแห้งตาย เป็นเหตุให้ราษฎรอดอยากหิวโหยและกำลังจะเฉาตายกันหมดแล้ว พระองค์ยังบอกอีกว่าขนาดเด็กตัวเล็กๆ ยังรู้จักรวมตัวกันทำพิธีขอฝน แต่เหล่าขุนนางในราชสำนักกลับพากันร้องขอให้พระองค์ทรงอภัย

ยอนซานกุนชี้ว่า แต่ไหนแต่ไรมาเวลาเกิดภัยธรรมชาติ ราษฎรมักเชื่อว่าเป็นเพราะพระราชาไร้ซึ่งคุณธรรม  ต่อให้ทำดีมาโดยตลอดแต่ถ้าเกิดภัยแล้งรุนแรงเช่นนี้ราษฎรก็จะโทษพระองค์อยู่ดี รวมถึงทุกคนในที่นี้ด้วย (เหล่าขุนนางในราชสำนัก) พระองค์ไม่อยากได้ยินเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับตนเองหรือโชซอนอีกต่อไปจึงสั่งให้เหล่าขุนนางช่วยกันคิดหาทางรับมือภัยแล้งกลางแดด โดยบอกว่าถ้ายังหาทางแก้ไม่ได้ห้ามทุกคนขยับตัวไปไหนโดยเด็ดขาด พูดจบพระองค์ก็เดินออกจากบริเวณดังกล่าว



หลังระดมสมองกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สามขุนนางใหญ่จึงมาเข้าเฝ้ายอนซานกุนในท้องพระโรงเพื่อนำเสนอวิธีแก้ไขภัยแล้ง ยอนซานกุนตำหนิ "อิม ซา" (ขุนนางอาวุโส ขั้น 3) ซึ่งเป็นทั้งราชเลขาและหัวหน้าสำนักซกยอกซอ (สำนักประกอบพิธีกรรมด้านความเชื่ที่ได้รับอิทธิพลจากลัทธิเต๋า) ที่ไม่เตือนพระองค์ล่วงหน้าว่าจะสวรรค์จะทำให้เกิดภัยแล้งรุนแรงเช่นนี้ ราชเลขาอิมพยายามอธิบายว่าภัยแล้งเกิดจากพลังหยินและหยางไม่สมดุล (ขาดพลังหยิน) ตนจึงแก้ปัญหาด้วยการปิดประตูด้านทิศใต้ซึ่งเต็มไปด้วยพลังหยิน แล้วเปิดประตูด้านทิศเหนือแทน ยอนซานกุนฟังแล้วไม่ปลื้มจึงตัดบทด้วยการขอฟังวิธีแก้ปัญหาแบบอื่นที่เป็นรูปธรรมและมีความเป็นไปได้ (ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง) มากกว่านี้

เสนาฯ ซ้าย "ชิน ซูกึน" (ขุนนางอาวุโส ขั้น 1) เสนอให้ยอนซานกุนทำพิธีขอฝนด้วยตนเองที่ซอนนงดัน (สถานที่ๆ พระราชาใช้ประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษเพื่อขอให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ในปีหน้า) และแท่นบูชาทวยเทพ ยอนซานกุนถามด้วยความไม่พอใจว่าจะให้พระราชาอย่างตนเอาใจสวรรค์งั้นหรือ เสนาฯ ชินทูลว่าวิธีนี้จะช่วยเยียวยาหัวใจที่แสนอ่อนล้าของราษฎร และเป็นการแสดงความจริงใจต่อสวรรค์ ยอนซานกุนฟังแล้วได้แต่ถอนใจจึงถามหาวิธีใหม่ "ปาร์ค วนจง" (ขุนนางาวุโสขั้น 2*) อ้างคำกล่าวงผู้รู้ที่บว่าการจัดพระราชพิธีภิเษกจะช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งได้ จากนั้นก็เสนให้จัดพิธีอภิเษกให้องค์ชายชินซอง พร้อมทั้งอธิบายว่าพิธีอภิเษกจะช่วยเสริมพลังหยินให้แก่ราชวงศ์ และยังรักษาสมดุลขพลังหยินหยางอีกด้วย 

* ตำแหน่งขุนนางในยุคโชซน แบ่งออกเป็น 18 ลำดับชั้น  ชั้นสูงสุดคือตำแหน่งขุนนางาวุโส ขั้น 1 ส่วนชั้นล่างสุดคือตำแหน่งขุนนางชั้นผู้น้ย ขั้น 9 (ขุนนางาวุโส ขั้น 1-3 จะสวมชุดสีแดง) 


ยอนซานกุนเพิ่งตระหนักว่าพระอนุชาถึงวัยอภิเษกแล้ว พระงค์จึงเดินลงไปหาชิน ซูกึนแล้วขให้มาเป็นพ่ตาองค์ชายชินซอง เสนาฯ ชินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตกใจ เขาทรุดตัวก้มหมอบหมายให้พระองค์ทรงใคร่ครวญอีกครั้ง  ยอนซานกุนได้ยินว่าเขาซ่อนลูกสาวไว้ที่บ้านในชนบทห่างไกล ณ เมืองกอชาง ทั้งยังปฏิเสธที่จะเกี่ยวดองกับหลายสกุลใหญ่ที่มาติดต่อขอทาบทามลูกสาว จึงอยากรู้ว่าเขาจะกล้าปฏิเสธข้เสนเรื่งการแต่งงานขงตนด้วยไหม 


ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองกอชาง "ชิน แชคยอง" ช่วยนวดท้องพลางผิวปากให้ลาท้องผูกของชาวบ้านฟัง (เสียงผิวปากของเธอมีผลต่อปฏิกิริยาของสัตว์) หลังช่วยให้ลาขับถ่ายได้สำเร็จเธอจึงแนะวิธีทำปุ๋ยคอก เมื่อเจ้าของลาพาลูกสาวมาขอบคุณแชคยองที่ช่วยให้ลาของตนหายท้องผูกเสียที  แถมพวกตนยังมีรายได้จากการขายมูลลาอีกต่างหาก (เจ้าของลาเรียกแชคยองว่า "คุณหนู") แชคยองจึงบอกว่านั่นเป็นเพราะเธอกับลูกสาวเจ้าของลาเป็นเพื่อนกัน หลังจากนั้นเธอก็รีบวิ่งกลับบ้านเพราะกลัวโดนพี่เลี้ยงดุที่เนื้อตัวมอมแมมอีกตามเคย ครั้นเห็นต้นไม้ใหญ่กำลังจะยืนต้นตายเพราะขาดน้ำ แชคยองจึงเปรยว่าอาการหนักแบบนี้ต่อให้ใส่ปุ๋ยคอกก็คงเอาไม่อยู่ เธอนึกขึ้นได้ว่าลืมของบางอย่างจึงรีบวิ่งกลับไปที่บ้านเจ้าของลา ทำให้ได้ยินสองแม่ลูกพูดคุยกัน

"กาฮี" ผู้เป็นลูกสาวอวดว่าแชคยองช่วยรักษาลาเพราะพวกตนเป็นเพื่อนกัน แม่ของเธอแย้งว่าชนชั้นต่ำอย่างพวกตนจะเป็นเพื่อนกับชนชั้นสูงได้อย่างไร เธอเตือนลูกว่าอย่าทำตัวตีเสมอและต้องให้ยกย่องให้เกียรติหญิงสูงส่งอย่างแชคยอง กาฮีสวนกลับว่า ไหนแม่เคยบอกว่าแชคยองเป็นลูกเป็ดขี้เหร่ที่ถูกพ่อแม่ทิ้ง และให้ตนดีกับแชคยองมากๆ เพราะเธอเป็นเด็กที่น่าสงสาร ครั้นโดนแม่ดุว่าพูดมาก กาฮีก็โวยลั่นว่าตนพูดผิดตรงไหนในเมื่อพ่อแม่ของแชคยองใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในฮันยาง (เมืองหลวง) แต่แชคยองกลับต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในหมู่บ้านเล็กๆ โดยมีเพียงพี่เลี้ยงคอยดูแล แถมแม่ยังเคยบอกด้วยว่าแชคยองน่ารำคาญ แชคยองได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเศร้าใจ



เมื่อกลับถึงบ้านแล้วเห็นข้ารับใช้ของพ่อนำจดหมายมาส่งแชคยองจึงรู้สึกดีใจ แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อพ่อไม่อนุญาตให้เธอไปหาที่ฮันยางอีกตามเคย ซ้ำยังบอกด้วยว่าอีกไม่นานพ่อกับแม่จะเดินทางมาที่นี่ ครั้นเห็นแชคยองโวยลั่น พี่เลี้ยงจึงบอกให้เธอเลิกหวัง แชคยองสงสัยว่าเธอเกิดมาทำไม จึงถามพี่เลี้ยงด้วยเสียงอันดังลั่นว่าถ้าพ่อกับแม่ต้องการซุกเธอไว้ในหมู่บ้านเล็กๆ แล้วจะให้เธอเกิดมาเพื่ออะไร เมื่อพี่เลี้ยงปรามว่าอย่าพูดเช่นนั้น แชคยองจึงสวนกลับทันควันว่าถ้าเช่นนั้นเป็นเพราะอะไร แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอยู่ดี พอเห็นพี่เลี้ยงแอบยื่นจดหมายให้ข้ารับใช้หนุ่มโดยกำชับว่าต้องส่งให้ถึงมือใต้เท้าชิน (พ่อของแชคยอง) เพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก แชคยองจึงชะโงกหน้าดูจดหมายด้วยความสงสัย

อีกด้านหนึ่งในเมืองฮันยาง "นายหญิงควอน" (แม่แชคยอง) แทบช็อคเมื่อทราบข่าวเรื่องการอภิเษกระหว่างลูกสาวตนกับองค์ชายชินซอง ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเธอกับสามีต้องแบกรับความเจ็บปวดที่ต้องพลัดพรากจากลูกสาว แต่สุดท้ายการซ่อนลูกไว้ในที่ห่างไกลกลับไม่เป็นผลและสูญเปล่า ที่แชคยองต้องเร้นกายในชนบทห่างไกลเป็นเพราะเธอไม่อาจข้องแวะหรือเกี่ยวดองกับสมาชิกราชวงศ์  (เป็นการหลีกเลี่ยงโชคชะตา) นึกไม่ถึงว่าต่อให้หนีไปไกลสุดหล้าก็ไม่อาจหลีกหนีโชคชะตา แถมว่าที่คู่ครองของเธอยังเป็นถึงพระอนุชาของฝ่าบาทอย่างองค์ชายชินซอง



"พระพันปีจาซุน" (พระมเหสีองค์ที่สามในพระเจ้าซองจง / พระมารดาขององค์ชายชินซอง และพระมารดาบุญธรรมของยอนซานกุน) ตำหนิองค์ชายชินซองที่ทำเรื่องโง่เขลาต่อหน้าธารกำนัล องค์ชายชินซองไม่คิดว่าตนทำผิดจึงหยิบยกคำที่พระมารดาพร่ำสอนมากล่าวประชดว่า "จงอย่าคิดทำสิ่งใด และต้องไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น" จากนั้นก็ถามว่าในฐานะที่เป็นพระอนุชา ตนจะแสดงความจงรักภักดีต่อพระเชษฐาบ้างไม่ได้เลยหรือ พระพันปีแย้งว่าพิธีขอฝนเป็นเรื่องของชาติบ้านเมืองจึงอยู่ในความรับผิดชอบของพระราชา หาใช่หน้าที่ของผู้เป็นองค์ชาย องค์ชายชินซองแย้งกลับว่าพิธีขอฝนก็เป็นเรื่องของราษฎรด้วยเช่นกัน พระพันปีชี้ว่าองค์ชายชินซองไม่ใช่ราษฎรธรรมดาทั่วไป ถ้าอยากทำอะไรเพื่อพระราชาจริงๆ ทำไมไม่หยิบเข็มกับด้ายมาปักอะไรสักอย่างให้พระองค์ดังเช่นสตรีทำกัน องค์ชายชินซองได้ยินดังนั้นจึงประชดว่า ถ้าเช่นนั้นตนจะออกไปหาซื้อเข็มกับด้าย หลังจากนั้นองค์ชายชินซองก็เดินออกจากตำหนักพระมารดาด้วยอารมณ์หงุดหงิด ขณะเดินผ่านลานกว้างหน้าพระตำหนัก เขาก็หันกลับไปมองทางเดินเบื้องล่างพลางนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งยังเยาว์วัย ในตอนนั้นเขากับยอนซานกุน (ซึ่งยังเป็นเพียงองค์ชายรัชทายาท) รักและสนิทสนมกันมากราวกับเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน



ยอนซานกุนเดินขึ้นมาบนสะพานที่องค์ชายชินซองทำพิธีขอฝนก่อนหน้านี้ จากนั้นก็หยุดมองไหที่มีใบบัวคลุมอยู่พลางนึกถึงเหตุการณ์สมัยยังทรงพระเยาว์ ในตอนนั้นพระองค์ผ่านมาเห็นพระบิดา (พระเจ้าซองจง) กำลังสอนองค์ชายชินซองทำพิธีขอฝนอยู่บนสะพานด้วยความรักใคร่เอ็นดู และนั่นก็ทำให้พระองค์รู้สึกอิจฉา น้อยใจ และเคียดแค้น หลังนึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นยอนซานกุนก็เปรยด้วยความรู้สึกเจ็บแค้นว่า "เจ้าเด็กนั่นโตขึ้นมากแล้ว" จากนั้นก็ถีบไหขอฝนของพระอนุชาจนล้มคว่ำ


  
แชคยองอยากไปหาพ่อแม่ที่เมืองหลวงจึงปลอมตัวเป็นชายแล้วหนีออกจากบ้าน ก่อนลงเรือมุ่งหน้าไปยังเมืองฮันยางโดยขโมยจดหมายสำคัญของพ่อมาด้วย (เธอตั้งใจว่าจะนำไปส่งมอบให้พ่อด้วยตนเอง) กว่าพี่เลี้ยงจะรู้ว่าแชคยองหายตัวไปพร้อมจดหมายก็สายเกินไป อีกด้านหนึ่งในเมืองฮันยาง องค์ชายชินซองนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ ณ มุมหนึ่งของตลาด โดยปฏิเสธที่จะไปกับควางโอและซ็อกฮีทั้งที่สัญญากันไว้แล้ว ซ็อกฮีโวยลั่นที่องค์ชายชินซองงอนไม่เลิกหลังโดนพระพันปีเรียกไปตำหนิ และบ่นว่าทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วย หลังเขย่าแขนแล้วองค์ชายชินซองยังคงนั่งนิ่ง ซ็อกฮีจึงควักหนังสือเล่มหนึ่งออกมาโชว์และขู่ว่าขืนยังทำตัวแบบนี้ตนจะไม่ให้ดู ทันทีที่เห็นหนังสือเล่มดังกล่าวองค์ชายชินซองก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือและกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันใด พอรู้ว่าควางโออ่านหนังสือเล่มดังกล่าวแล้ว องค์ชายชินซองก็อยากอ่านบ้างจึงพยายามแย่งหนังสือจากซ็อกฮี


หลังยื้อแย่งกันไปมาหนังสือเล่มดังกล่าวก็ลอยละลิ่วปลิวขึ้นไปในอากาศ องค์ชายชินซองเห็นดังนั้นจึงรีบกระโดดตะครุบ ปรากฏว่าหนังสือตกลงตรงหน้าแชคยองเธอจึงก้มลงเก็บ และนั่นก็ทำให้ศีรษะของเธอชนกับศีรษะองค์ชายชินซองอย่างจังจนหงายเงิบทั้งคู่ องค์ชายชินซองยื่นมือให้แชคยอง (ซึ่งปลอมตัวเป็นชาย) หมายช่วยดึงเธอให้ลุกขึ้นแบบแมนๆ แต่แชคยองไม่ยอมจับและลุกขึ้นด้วยตัวเอง เมื่อเห็นว่าหนังสือที่ตกอยู่บนพื้นเป็นหนังสือโป๊แชคยองจึงแย่งมาดูและบอกว่าจะคืนให้หลังได้รับคำขอโทษ องค์ชายชินซองแย้งว่าในเมื่อต่างฝ่ายต่างบังเอิญชนกันจนหกล้มแล้วทำไมตนต้องขอโทษด้วย ตนไม่ได้ชนผู้หญิงซักหน่อย (องค์ชายพยายามแย่งหนังสืคืนแต่แชคยองรู้ทัน) แชคยองชี้ว่าถ้าเขาทำให้ผู้อื่นเจ็บตัวก็ควรขอโทษ และถามว่าชายชาวฮันยางนิสัยแย่แบบนี้ทุกคนหรือไม่ องค์ชายชินซองแย้งว่าพวกตนแค่บังเอิญชนกันอย่าถือสาหาความกันนักเลย ไม่เคยมีเพื่อนใช่ไหม แชคยองได้ยินแล้วของขึ้นจึงไม่ทันระวังตัว องค์ชายชินซองเลยสบโอกาสชิงหนังสือคืน จากนั้นจึงชวนควางโอกับซ็อกฮีไปดูอะไรดีๆ แชคยองได้แต่บ่นกับตัวเองว่า สามหนุ่มเป็นคุณชายแท้ๆ แต่ดันทำตัวก้าวร้าวเหมือนแก๊งอันธพาล ถึงกระนั้นเธอก็อดสงสัยไม่ได้ว่า "อะไรดีๆ" ที่สามหนุ่มพูดถึงคืออะไรกันแน่



ที่แท้องค์ชายชินซองและพระสหายทั้งสองพากันไปแอบดูสาวๆ อาบน้ำในลำธาร เพราะซ็อกฮีต้องการบันทึกเป็นภาพวาดลงในหนังสือโป๊หรือนิยายประโลมโลกที่เขาเขียน (ควางโอพยายามเอาตำราเข้าข่ม ขณะที่ซ็อกฮีกับองค์ชายชินซองจ้องมองสาวๆ อย่างเพลิดเพลิน) เมื่อแชคยองตามมาพบเข้าก็ยิ่งมีอคติต่อองค์ชายชินซองและผองเพื่อน เธอจึงแกล้งพูดเสียงดังเพื่อให้สาวๆ รู้ตัว บรรดาสาวๆ เลยพากันกรีดร้องด้วยความตกใจก่อนระดมปาก้อนหินใส่สามหนุ่มจนวิ่งหนีแทบไม่ทัน องค์ชายชินซองแค้นหนักจึงวิ่งไล่จับแชคยองซึ่งเผ่นแน่บเข้าไปในป่า หลังไล่ตามไปติดๆ เขาก็กระโดดตะครุบตัวแชคยองจนกลิ้งตกจากภูเขาทั้งคู่


แชคยอง (ซึ่งนอนหนุนไหล่องค์ชายชินซองอยู่ริมเนิน) ลืมตาขึ้นแบบงงๆ ก่อนเหลือบมองใบหน้าองค์ชายในระยะประชิด เมื่อองค์ชายลืมตาก็พบว่าแชคยองกำลังนอนจ้องหน้าตนอยู่ ทั้งคู่นอนจ้องตากันครู่หนึ่งก็มีนกเจ้ากรรมอึลงบนแก้มแชคยอง แชคยองเอามือปาดแก้มตามสัญชาตญาณแล้วป้ายอึนก (เช็ดมือ) ลงบนคอเสื้อองค์ชายชินซองหน้าตาเฉย (เธอไม่รู้ว่าเป็นอึนก) ครั้นเห็นว่าตนทำเสื้อองค์ชายเปื้อนแชคยองก็อุทานเบาๆ ด้วยความตกใจ พอรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นองค์ชายชินซองก็กรีดร้องลั่นป่าด้วยความโกรธ แชคยองจึงรีบลุกขึ้นแล้วถีบองค์ชายลงจากเนินก่อนวิ่งหนีไป นับว่ายังโชคดีที่องค์ชายจับกิ่งไม้เอาไว้ได้ทัน เมื่อควางโอกับซ็อกฮีตามมาพบเข้าจึงช่วยดึงตัวขึ้นมา องค์ชายชินซองสั่งให้พระสหายทั้งสองช่วยกันจับ "เจ้าเด็กขี้นก" ก่อนรีบวิ่งตามแชคยองไป แชคยองรู้ตัวว่าวิ่งหนีไม่ทันแน่จึงไปหลบซ่อนตัวอยู่หลังโขดหิน หลังจับไม่ได้ไล่ไม่ทันองค์ชายชินซองก็ร้องตะโกนด้วยความโกรธแค้นว่า ฝากไว้ก่อน...พวกตนต้องได้เจอกันอีกแน่  แชคยองได้ยินดังนั้นจึงบ่นว่า "เพี้ยนรึไง ใครจะอยากเจอเจ้าอีก"


ณ สำนักซกยอกซอ ราชเลขาอิมทูลถามยอนซานกุนว่า พระองค์จะให้องค์ชายชินซองอภิเษกกับบุตรีของเจ้ากรมราชเลขา (เสนาฯ ชิน) จริงๆ หรือ ยอนซานกุนรู้ว่าราชเลขาอิมกังวลเรื่องอะไรจึงกล่าวอย่างมั่นใจว่าตนเป็นผู้กุมอำนาจทั้งหมด และจะไม่ยอมยกอำนาจนี้ให้ใครหน้าไหน  ราชเลขาอิมเตือนว่าเจ้ากรมราชเลขาเป็นทั้งพี่ชายพระมเหสี ลุงขององค์ชายรัชทายาท และกำลังจะเป็นพ่อตาของแทกุน (องค์ชายชินซอง) หากคนของเขาเกิดความโลภและมักใหญ่ใฝ่สูงขึ้นมาพระองค์จะทรงทำเช่นไร ยอนซานกุนถามกลับด้วยความไม่พอใจว่าราชเลขาอิมคิดที่จะเสี้ยมให้ตนกับเจ้ากรมราชเลขาผิดใจกันหรือ ราชเลขาอิมแย้งว่าตนกำลังพูดถึงพระองค์กับองค์ชายชินซองต่างหาก

เขาชี้ว่าหากเกิดความมักใหญ่ใฝ่สูงแล้วนำความชอบธรรมมาเป็นข้ออ้าง ไม่ว่าใคร...รวมทั้งชิน ซูกึน ก็สามารถก่อกบฏได้ ยอนซานกุนได้ยินดังนั้นจึงถามเสียงดังลั่นว่าเขาต้องการพูดเรื่องอะไรกันแน่  เมื่อราชเลขาอิมเตือนเรื่องคำสั่งเสียของอดีตพระราชา (พระเจ้าซองจง) ยอนซานกุนจึงตวาดและทุบโต๊ะด้วยความโกรธ ราชเลขาอิมถวายสารฉบับหนึ่งให้ยอนซานกุนพลางทูลว่านี่คือร่างของสารฉบับหนึ่งในอดีตที่ถูกคัดลอกแล้วนำออกมาอย่างลับๆ ยอนซานกุนอ่านข้อความแล้วถึงกับตกตะลึงมือไม้สั่น ครั้นราชเลขาอิมทูลว่าพระประสงค์ของอดีตพระราชาได้ถูกจัดทำเป็นราชโองการลับ ยอนซานกุนก็ถึงกับช็อค


ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน เหล่าขุนนางใหญ่เห็นว่าพระเจ้าซองจงกำลังประชวรหนักจึงรบเร้าให้พระองค์ทรงเขียนพินัยกรรมแต่งตั้งองค์ชายชินซองเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์  ก่อนสวรรคตพระเจ้าซองจงได้เรียกยอนซานกุน (ซึ่งเป็นองค์รัชทายาทในขณะนั้น) มาสั่งเสีย โดยกล่าวว่าหากองค์ชายชินซองเติบใหญ่ ให้ยอนซานกุนสละราชสมบัติและยกบัลลังก์ให้แก่องค์ชายชินซอง เพราะยอนซานกุนจะนำความวิบัติมาสู่โชซอน

เมื่อนึกถึงคำสั่งเสียของพระบิดายอนซานกุนก็ทั้งโกรธและน้อยใจ ยิ่งรู้ว่าพระบิดาทิ้งราชโองการลับเอาไว้พระองค์ก็ยิ่งรู้สึกเจ็บแค้น จึงระบายความรู้สึกด้วยการยิงธนูพลางตัดพ้อว่าทำไมพระบิดาถึงไม่ไว้ใจตน หรือเพราะตนเป็นโอรสของพระมเหสีที่ถูกปลด เช่นนั้นแล้วองค์ชายชินซองมีดีอะไร ตั้งแต่เกิดมาไม่เห็นเคยทำอะไร ทำไมอยู่ๆ ตนต้องกลัวพระอนุชาด้วย ครั้นนึกถึงภาพตอนที่พระบิดาอุ้มองค์ชายชินซองด้วยความเอ็นดูพลางชมว่าเป็นเด็กฉลาด ยอนซานกุนก็ตัดพ้อว่าพระบิดารักและเป็นห่วงแต่ 'เด็กนั่น' ตราบจนลมหายใจสุดท้ายได้อย่างไร ยิ่งคิดยอนซานกุนก็ยิ่งแค้น พอง้างธนูสุดแรงจนสายธนูขาดและบาดมือพระองค์ก็ขว้างธนูทิ้งด้วยความโมโห  จากนั้นก็ร้องหา "ย็อก" ("ลี ย็อก" - ชื่อจริงขององค์ชายชินซอง) ด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด



องค์ชายชินซองมาเดินเล่นในตลาดรอสองพระสหายที่บังเอิญพลัดหลงกัน ครั้นเห็นแชคยอง (ซึ่งยังมีคราบขี้นกบนใบหน้า) ยืนเลือกของไปฝากบิดาและกำลังจะหยิบเครื่องปั้นรูปตัวซาลาแมนเดอร์ขึ้นมาดู องค์ชายก็รีบคว้าไว้ ครั้นเจอโจทก์เก่าแชคยองก็ถึงกับผงะด้วยความตกใจเพราะนึกว่าเขาดั้นด้นมาจับเธอถึงที่นี่ เมื่อแชคยองปล่อยมือจากเครื่องปั้นองค์ชายก็ถามพ่อค้าหน้าตาเฉยว่าของชิ้นนี้ราคาเท่าไหร่ แชคยองได้ยินดังนั้นจึงพยายามแย่งคืนพลางโวยลั่นว่าเขาทำเช่นนี้เพราะต้องการเอาคืนเธอใช่ไหม พ่อค้าหัวใสเห็นทั้งคู่แย่งกันซื้อจึงรีบปิดม่านบังของในสต็อก (ซึ่งมีสินค้าแบบเดียวกันเพียบ) จากนั้นก็โกหกว่าทั้งร้านมีแค่ตัวเดียวและโก่งราคาอีกเท่าตัว ถึงกระนั้นองค์ชายกับแชคยองยังคงแข่งกันเสนอราคา

ครั้นเห็นว่าองค์ชายชินซองจะเอาชนะเธอให้ได้ แชคยองจึงบอกพ่อค้าว่าเธอจะซื้อของชิ้นนี้ไปฝากผู้ที่มีตำแหน่งสูงมากๆ (แชคยองมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาเถียงจึงไม่รู้ตัวว่าโดน "ซอโน" ล้วงกระเป๋าเาถุงเงินพร้มจดหมายสำคัญของพ่อติดมือไป) องค์ชายเกทับว่าคนที่ตนจะนำของสิ่งนี้ไปมอบให้มีตำแหน่งสูงส่งกว่าคนของแชคยองมาก แชคยองจึงโม้ว่าคนจะซื้อไปฝากพระราชาในฐานะที่เป็นพระราชนัดดา องค์ชายจึงประกาศว่าตนเป็นพระอนุชาของฝ่าบาท แชคยองนึกว่าองค์ชายโม้เหมือนตนเลยหลุดปากพูดว่าถ้าเขาเป็นน้องพระราชาตนก็คงเป็นพระมเหสี องค์ชายและพ่อค้าได้ยินดังนั้นก็ถึงกับอึ้งเพราะนึกไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าจะมีใจเป็นหญิง (แชคยองลืมว่าตนเองปลอมตัวเป็นชาย) แชคยองฉวยโอกาสแย่งของในมือองค์ชายกลับคืนแล้วยื่นให้พ่อค้า พ่อค้าจึงบอกว่าตนจะขายสิ่งนี้ให้แก่คนที่จ่ายเงิน (สูงกว่าราคาขายสามเท่า) ก่อน องค์ชายจึงควักเงินจ่ายทันที แชคยองจะหยิบเงินในถุงผ้าแต่แล้วกลับพบว่าทั้งเงินและจดหมายของพ่อหายไป เธอเห็นว่าองค์ชายได้ของแล้วรีบเผ่นเลยคิดว่าเขาตั้งใจมาล้วงกระเป๋าเพื่อแก้แค้นเธอ



ที่แท้องค์ชายชินซองโกยแน่บเพราะกลัวแชคยองตามมาแย่งของ หลังชำระแค้นสำเร็จเขาก็บ่นว่าเสียทีที่แชคยองเกิดเป็นชาย (แต่ดันยากเป็นพระมเหสี)  และตั้งใจว่าจะนำของที่แย่งซื้อมาได้ไปฝากพระเชษฐา ครั้นเห็นควางโอกับซ็อกฮีเดินหาตนทั่วตลาดด้วยความร้อนใจ องค์ชายชินซองก็วิ่งเข้าไปกระโดดกอดคอก่อนแกล้งทำเป็นขาแพลงหมายให้พระสหายทั้งสองแบกตนกลับวัง ซ็อกฮีโวยลั่นว่านึกแล้วเชียว ส่วนควางโอเปรยว่า องค์ชายไม่ควรทำให้เพื่อนเดือดร้อนหากเป็นเพื่อนรักกันจริง ถึงกระนั้นทั้งคู่ก็ช่วยกันแบกองค์ชายชินซองแต่โดยดี ซ้ำยังกระโดดโลดเต้นและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝัน เมื่อยอนซานกุน (ซึ่งกำลังโกรธแค้นพระบิดาและองค์ชายชินซอง) เสด็จมาหา ควางโอกับซ็อกฮีรีบปล่อยองค์ชายลงแล้วทรุดตัวลงหมอบ ครั้นเห็นพระสหายทั้งสองช่วยกันแบกองค์ชายชินซองกลับวังดุจกำลังนั่งเสลี่ยง ยอนซานกุนก็จึงลงจากหลังม้าแล้วเหน็บพระอนุชาว่า "ดูเหมือนเจ้าจะเป็นพระราชาขงคนแถวนี้" องค์ชายชินซองรีบปฏิเสธก่อนทูลว่าตนเป็นแค่หัวโจกเท่านั้น



ยอนซานกุนหันไปถามพระสหายคนสนิททั้งสองขององค์ชายชินซองว่าได้เข้ามาทำงานรับใช้ราชสำนักหรือยัง ควางโอทูลว่าพวกตนจะมีสิทธิเข้าสอบในปีหน้า ส่วนซ็อกฮีทูลว่าตนจะสมัครเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ ยอนซานกุนได้ยินดังนั้นจึงเปรยว่าในเมื่อทั้งคู่ยังไม่ได้ถวายตัวเป็นข้าราชบริพาร พระองค์จึงไม่อาจคาดหวังว่าจะได้ความจงรักภักดีจากทั้งคู่ ควางโอชี้ว่าชาวโชซอนทุกคนล้วนจงรักภักดีต่อพระองค์ ซ็อกฮีหลุดปากพูดว่าพวกตนจงรักภักดีมากกว่าขุนนางในราชสำนัก... ยอนซานกุนจึงถามทั้งคู่ว่าจะยอมตายเพื่อตนไหม ควางโอกับซ็อกฮีตอบทันควันว่านับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ยอนซานกุนถามต่อว่าหากไฟไหม้ตำหนักแล้วพระองค์กับ 'ย็อก' ติดอยู่ข้างใน ทั้งคู่จะช่วยใครก่อน ซ็อกฮีเกือบพลั้งปากพูดสิ่งที่อยู่ในใจ นับว่ายังโชคดีที่หุบปากทัน หลังนิ่งไปชั่วขณะควางโอก็ตอบอย่างชาญฉลาดว่าตนต้องช่วยฝ่าบาทก่อนอย่างแน่นอน หลังจากนั้นจึงค่อยกลับไปช่วยองค์ชายชินซอง ยอนซานกุนได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ แต่ซ็อกฮีดันทูลว่าตนก็จะทำเช่นเดียวกัน ต่อให้กลับไปช่วยองค์ชายแล้วออกมาไม่ได้ ตนจะขอตายกับเพื่อน



ยอนซานกุนได้ยินดังนั้นจึงถามย้ำว่า ทั้งคู่จะช่วยพระราชาอย่างพระองค์ (ตามหน้าที่) แต่จะยอมพลีชีพเพื่อองค์ชายงั้นหรือ องค์ชายชินซองเห็นท่าไม่ดีจึงรีบคุกเข่าขอความเมตตาและช่วยแก้ตัวให้พระสหาย แต่นั่นยิ่งทำให้ยอนซานกุนโกรธเกรี้ยวหนักขึ้น พระองค์กล่าวว่า "ต่อหน้าข้า เจ้าเพิ่งลั่นวาจาว่าจะยอมพลีชีพเพื่อองค์ชาย ซึ่งเป็นน้องชายต่างมารดาของข้า และเป็นทายาทโดยชอบธรรมของบ้านเมือง (ผู้มีสิทธิสืบทอดราชบัลลังก์)" จากนั้นก็หันไปถามเหล่าผู้ติดตามว่าการกระทำดังกล่าวมีความผิดสถานใด ทั้งองค์ชายและสองพระสหายต่างตกใจกลัวเมื่อราชเลขาอิมชี้ว่ามีความผิดฐานเป็นกบฏ ยอนซานกุนบอกองค์ชายชินซองว่าหากต้องการช่วยชีวิตเพื่อนก็ต้องเอาชนะพระองค์ให้ได้ พระองค์ยกม้าสีขาว (ตัวที่เพิ่งขี่ม้า) ให้องค์ชายชินซองโดยบอกว่าหากไปถึงวังก่อนพระองค์ พระองค์จะไว้ชีวิตองค์ชายและเพื่อนทั้งสอง แต่ถ้าไปถึงช้ากว่าแม้เพียงก้าวเดียว พระองค์จะตัดหัวองค์ชายชินซองเป็นคนแรก พูดจบยอนซานกุนก็เดินไปขี่ม้าของทหารองครักษ์แล้วออกเดินทางทันที

องค์ชายชินซองได้ยินแล้วถึงกับน้ำตาร่วง ซ็อกฮีเห็นองค์ชายยังคงนั่งนิ่งจึงช่วยเรียกสติแล้วพาไปขึ้นหลังม้าโดยแนะนำให้ใช้ทางลัด องค์ชายชินซองจึงรีบควบม้าเข้าวังโดยมีชีวิตตนเองและเพื่อนเป็นเดิมพัน ขณะอยู่บนหลังม้ายอนซานกุนนึกถึงคำพูดของราชเลขาอิมที่บอกว่าพินัยกรรมของอดีตพระราชาได้ถูกจัดทำเป็นราชโองการลับ ก่อนนึกถึงคำสั่งเสียของพระบิดาที่บอกให้พระองค์สละราชสมบัติแล้วยกบัลลังก์ให้องค์ชายชินซอง ยิ่งคิดยอนซานกุนก็ยิ่งโกรธแค้น พระองค์ใช้แส้หวดม้าเต็มแรงพลางนึกในใจว่า ให้ตนไปตายยังดีเสียกว่า ตนไม่มีวันยกบัลลังก์ให้พระอนุชา เพราะนั่นคือสิ่งเดียวในโลกนี้ที่เป็นของตนอย่างแท้จริง แล้วพระบิดาจะพรากแม้กระทั่งสิ่งนี้ไปจากตนได้อย่างไร (นกจากไม่ได้รับความรักและความไว้วางใจจากพระบิดาแล้ว ยอนซานกุนยังมีปมในใจเรื่องพระมารดาซึ่งเป็นอดีตพระมเหสีที่ถูกปลดและโดนเนรเทศออกนอกวังก่นถูกประทานยาพิษ พระองค์จึงต้องอยู่ในความดูแลและเป็นโอรสบุญธรรมของพระพันปีจาซุน ซึ่งเป็นพระมารดาขององค์ชายชินซอง)


ขณะรีบควบม้าเข้าวังโดยใช้ทางลัด องค์ชายชินซองได้แต่นึกสงสัยว่าทำไมอยู่ๆ พระเชษฐาถึงมีท่าทีเปลี่ยนไป อะไรทำให้พระองค์เกรี้ยวกราดได้ขนาดนี้ ในที่สุดองค์ชายก็ใกล้ถึงประตูวังเต็มแก่ (มาถึงก่อนยอนซานกุน) แต่โชคร้ายที่บังเอิญควบม้าผ่านหน้าแชคยอง (ซึ่งกำลังจะไปหาบิดาแต่เกิดหลงทาง) เมื่อเธอเห็นเข้าเลยผิวปากสั่งให้ม้าหยุดวิ่ง องค์ชายชินซองจึงพลัดตกจากหลังม้า เขาจะรีบกลับไปขึ้นม้าแต่แชคยองเข้ามาขวางพลางทวงเงินและจดหมาย องค์ชายชินซองร้อนใจจึงผลักแชคยองจนล้มลงแล้วปีนขึ้นหลังม้า ครั้นเห็นยอนซานกุนควบม้าตรงมาโดยไม่มีที่ท่าว่าจะชะลอทั้งที่เห็นแชคยองยืนขวางถนน แถมเธอยังตกใจกลัวจนก้าวขาไม่ออก เขาจึงรีบเข้าไปช่วยเธอ พอเห็นยอนซานกุนควบม้าผ่านไป องค์ชายชินซองจึงรีบลุกขึ้นและจะวิ่งกลับไปที่ม้าแต่ถูกแชคยองดึงขาไว้ เขาจึงสะบัดขาเต็มแรงจนแชคยองล้มคว่ำ จากนั้นก็รีบควบม้าตามยอนซานกุนไป



ในที่สุดองค์ชายชินซองก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ยอนซานกุนจึงชักดาบในมือองครักษ์แล้วนำมาจ่อที่ลำคอพระอนุชา องค์ชายชินซองทูลถามว่าอะไรทำให้ยอนซานกุนกริ้วมากขนาดนี้ และสงสัยว่าบางทีอาจเป็นเรื่องเข้าใจผิด ยอนซานกุนได้ยินดังนั้นจึงตวัดปลายดาบเข้าที่ลำคอองค์ชายจนเป็นแผลเลือดซิบ พลางถามด้วยความโมโหว่าสถานการณ์เช่นนี้ยังคิดว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดอีกหรือ จากนั้นจึงชี้ว่าพระองค์จะตัดหัวองค์ชายชินซองตามที่ลั่นวาจาเอาไว้ องค์ชายชินซองขอทราบเหตุผลโดยกล่าวว่าหากเป็นเรื่องสมควรตายตนก็ยินดี ยอนซานกุนถามว่าดุลพินิจขององค์ชายอยู่เหนือความประสงค์ของพระราชาอย่างพระองค์งั้นหรือ องค์ชายชินซองร่ำไห้พลางแย้งว่าตนไม่ได้หมายความเช่นนั้น

ยอนซานกุนขอเหตุผลที่พระองค์ไม่ควรเอาชีวิตองค์ชาย องค์ชายชินซองทูลว่าตนเป็นพระอนุชาและพวกตนก็มีพระบิดาคนเดียวกัน ยอนซานกุนชี้ว่านั่นเป็นเหตุผลข้อแรกที่เขาสมควรตาย องค์ชายชินซองให้เหตุผลว่าตนเป็นองค์ชายแห่งโชซอน ยอนซานกุนแย้งว่าองค์ชายอย่างเขาไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้ราชสำนักและชาติบ้านเมือง องค์ชายชินซองทูลว่าตนก็เป็นชาวโชซอนคนหนึ่ง ยอนซานกุนชี้ว่าองค์ชายชินซองเป็นชนชั้นสูงที่มียศฐาบรรดาศักดิ์สูงส่งเลยได้รับเบี้ยหวัดจำนวนมหาศาล เขาจึงเป็นคนหนึ่งที่ถลุงเงินในท้องพระคลังมากที่สุด องค์ชายชินซองแย้งว่าตนไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นเลยสักนิด ยอนซานกุนจึงถามพระอนุชาว่าถ้าเช่นนั้นเขาต้องการอะไร... "บัลลังก์ของข้า ใช่ไหม?" 


องค์ชายชินซองพยายามชี้แจงเหตุผล ซ้ำยังสวนกลับอย่างไม่ลดราวาศอกแทนที่จะร้องขอชีวิตเพราะมั่นใจว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิดและเชื่อว่าพระเชษฐาจะไม่สังหารตน แต่นั่นยิ่งทำให้ยอนซานกุนรู้สึกโกรธ เมื่อราชเลขาอิมและเจ้าหน้าที่คุมตัวควางโอกับซ็อกฮีมารับโทษ องค์ชายชินซองจึงยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียวและขอให้ละเว้นชีวิตพระสหายทั้งสอง ยอนซานกุนรับปากและเตรียมลงมือสังหารองค์ชายหมายให้จบสิ้นเรื่องราว ขณะเงื้อดาบจนสุดแขนยอนซานกุนหวนนึกถึงวันเวลาเก่าๆ ที่พระองค์กับองค์ชายชินซองเคยรักใคร่และสนิทสนมกันมาก พระองค์จึงเกิดความลังเลและพยายามต่อสู้กับความคิดตนเอง



ทันใดนั้นก็มีเสียงพระพันปีร้องห้าม ยอนซานกุนได้ยินดังนั้นจึงลดดาบลงแล้วกล่าวกับองค์ชายชินซองว่า ที่แท้พระพันปีนี่เองที่ทำให้เขามั่นใจนัก (ว่าจะไม่โดนพระองค์สังหาร) และยังมีพระบิดาอีกคนที่คอยหนุนหลังเขาเสมอแม้จะจากไปแล้วก็ตาม องค์ชายชินซองปฏิเสธทั้งน้ำตา ก่อนชี้ว่าคนที่ทำให้ตนมั่นใจอย่างแรงกล้าคือ...ยอนซานกุน เพราะพระเชษฐาซึ่งเป็นพระราชาแห่งโชซอนรักและเอ็นดูตน ตนจึงมั่นใจตราบจนทุกวันนี้ ยอนซานกุนได้ยินดังนั้นก็ถึงกับอึ้งเพราะนึกไม่ถึงว่าพระอนุชาจะเชื่อใจตน พระองค์ส่งดาบคืนองครักษ์แล้วเดินจากไปทันที พระพันปีปรี่เข้าไปหายอนซานกุนพลางถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ยอนซานกุนเบือนหน้าหนี ก่อนปัดมือพระพันปีออกแล้วเดินจากไปโดยไม่ยอมพูดจา

ขณะสรงน้ำ ยอนซานกุนนึกถึงคำพูดขององค์ชายชินซองที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวพระองค์แล้วรู้สึกเจ็บใจ อีกด้านหนึ่งแชคยองยังคงเดินเตร็ดเตร่ไม่ไกลจากประตูวังมากนักเพราะไม่รู้ว่าจะกลับบ้านยังไง แม้เธอจะปักใจเชื่อว่าองค์ชายชินซองเป็นคนล้วงกระเป๋า แต่พอนึกถึงตอนที่เขาช่วยชีวิตเธอแล้ว เธอก็เริ่มรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างที่คิด


พระพันปีทายารักษาแผลให้องค์ชายชินซองพลางกล่าวว่า ในที่สุดยอนซานกุนก็เผยธาตุแท้ออกมา พระองค์ทรงหวาดระแวงเพราะองค์ชายชินซองเริ่มเติบใหญ่และถึงวัยที่สามารถอภิเษกได้แล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้คงทำให้องค์ชายรู้ซึ้งถึงความกังวลของเธอ และเข้าใจว่าทำไมเธอถึงพร่ำเตือนให้ระวังตัว องค์ชายชินซองไม่เชื่อว่าการที่ตนเติบใหญ่และถึงวัยอภิเษกจะเป็นภัยคุกคามพระเชษฐาจนนำมาสู่เหตุการณ์ในวันนี้ พระพันปีอธิบายว่าหากองค์ชายที่อยู่ในสายลำดับราชสันตติวงศ์ (เป็นโอรสอดีตพระราชากับพระมเหสี ไม่ใช่โอรสของพระสนม) อภิเษกกับธิดาของตระกูลที่มั่งคั่งและเรืองอำนาจ เขาอาจใช้อำนาจนั้นยึดครองบัลลังก์ได้ องค์ชายชินซองแย้งว่านั่นเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี (เพราะเขาไม่คิดชิงบัลลังก์จากพระเชษฐา) พระพันปีเลยชี้ว่าอำนาจเป็นสิ่งที่อยู่เหนือหลักการและเหตุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีบัลลังก์เป็นเดิมพัน

บังเอิญว่าในตอนนั้นยอนซานกุน (ซึ่งเริ่มใจอ่อนเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง) เสด็จมาที่ตำหนักขององค์ชายชินซองหมายนำยาทาแผลมาให้ ครั้นได้ยินสองแม่ลูกคุยกันจึงหยุดฟังที่หน้าประตู พระพันปีกล่าวกับองค์ชายชินซองว่า ที่ผ่านมาเธอเคยบอกหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือว่า องค์ชายจะเชื่อใจใครก็ได้ในโลกนี้ แต่คนเดียวที่เขาต้องระวังและห้ามไว้ใจโดยเด็ดขาดคือ...ยอนซานกุน องค์ชายชินซองจะแย้งเพราะไม่เห็นด้วย พระพันปีจึงบอกให้องค์ชายย้อนดูประวัติศาสตร์ราชวงศ์โชซอนที่ญาติพี่น้องเข่นฆ่ากันเพื่อแย่งชิงอำนาจและราชบัลลังก์ แล้วชี้ว่ายอนซานกุนก็ไม่ต่างจากคนเหล่านั้น ที่สำคัญองค์ชายชินซองกับยอนซานกุนไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกัน ในเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นมาแล้ว การอภิเษกจึงเป็นทางเดียวที่จะปกป้ององค์ชายชินซองได้



ยอนซานกุนได้ยินดังนั้นจึงบุกเข้าไปในห้องแล้วถามพระพันปีว่า ให้ลูกสาวเจ้ากรมราชเลขาฯ ชินเป็นเกราะป้องกันองค์ชายชินซองดีไหม พระองค์ชี้ว่าเจ้ากรมราชเลขาฯ เป็นทั้งพี่ชายพระมเหสีและข้าราชบริพารที่จงรักภักดีต่อพระองค์มากที่สุด ต่อให้โดนดาบจ่อคอเขาก็ไม่มีวันทรยศพระองค์และไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นด้วย เพราะทุกวันนี้เขามีอำนาจเหนือพ่อตาพระราชา (พระสสุระ) อยู่แล้ว พระองค์ไม่เปิดโอกาสให้พระพันปีแก้ตัว และมีรับสั่งให้องค์ชายชินซองอภิเษกกับลูกสาวชิน ซูกึน โดยให้แต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงแล้วย้ายไปใช้ชีวิตเงียบๆ ในชนบทที่เมืงกชาง แต่ห้ามมีลูกเด็ดขาด และจงย่าให้เสียงหายใจดังเล็ดลออกมาจากบ้าน เช่นนั้นแล้วพระงค์จึงจะไว้ชีวิตองค์ชายชินซอง

องค์ชายชินซองถามพระเชษฐาว่าทำไมตนต้องใช้ชีวิตเยี่ยงนั้น และชี้ว่าตนเชื่อใจพระองค์ ยอนซานกุนตอบทันควันว่าตนไม่เชื่อใจองค์ชายและ 'ทุกสิ่ง' ที่อยู่รอบตัวเขา พูดจบพระองค์ก็เหลือบมองพระพันปีแล้วหันหลังเดินจากไป แต่แล้วก็หันกลับมาบอกองค์ชายชินซองว่า ถ้าอยากพิสูจน์ให้ตนเห็นถึงความจงรักภักดีก็จงไปตายแล้วเกิดใหม่เป็นสามัญชนแทนที่จะเป็นพระอนุชาของพระองค์ และถ้าจะให้ดีก็ควรเกิดเป็นสตรี พูดจบพระองค์ก็เสด็จออกจากตำหนัก พระพันปีบอกองค์ชายชินซองว่านี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของยอนซานกุน แต่องค์ชายชินซองไม่คิดเช่นนั้นเพราะเห็นว่าตนยังมีชีวิตอยู่ตราบจนทุกวันนี้ เขาเล่าว่าวันนี้ตนพลัดตกจากหลังม้าแต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงและมีรอยถลอกที่หัวเข่าเพียงเล็กน้อย ทั้งนี้เพราะตนรู้ว่าควรตกลงมาอย่างไรให้เจ็บตัวน้อยที่สุด และคนที่สอนให้ตนทำเช่นนั้นก็คือพระเชษฐา พระพันปีแย้งว่าตอนนั้นองค์ชายชินซองกับยอนซานกุนยังเด็กนัก องค์ชายชินซองจึงแย้งกลับว่าหากยอนซานกุนเป็นอย่างที่พระมารดาพูดจริง ทำไมพระองค์ถึงไม่ฆ่าตนก่อนที่จะเติบใหญ่และรู้จักวิธีตกจากหลังม้า  เพราะมันง่ายกว่าเป็นไหนๆ



ทันทีที่กลับถึงตำหนักยอนซานกุนก็ร้องลั่นว่า พระองค์จะออกไปปลีกวิเวกข้างนอก อยู่ในวังแล้วรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออกเพราะมีแต่คนไม่เชื่อใจพระองค์ "จาง นกซู" เห็นว่าทหารยามกำลังจะผลัดเปลี่ยนเวรจึงแนะให้ยอนซานกุนลอบออกจากวังโดยปลอมตัวเป็นทหารยามเพื่อจะได้ไม่มีใครสงสัย ทั้งยังแนะนำให้ไปที่บ่อน้ำพุร้อนเพราะจะทำให้รู้สึกดีขึ้น ซึ่งยอนซานกุนก็ยอมทำตามแต่โดยดี แชคยองเห็นทหารยามคนหนึ่งควบม้าสีขาวออกจากวังหลวง เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้คู่ปรับของตน (องค์ชายชินซอง) ขี่ม้าตัวดังกล่าวจึงรีบวิ่งตามไปจนออกนอกประตูเมืองโดยไม่รู้ตัว

ในเวลาเดียวกันนั้นองค์ชายชินซองได้บุกไปที่ตำหนักของยอนซานกุนหมายเล่นดนตรีขับกล่อมและปรับความเข้าใจกับพระเชษฐา นกซูจึงออกมารับหน้าโดยโกหกว่ายอนซานกุนต้องการพักผ่อนและแนะให้มาใหม่ในวันรุ่งขึ้น แต่องค์ชายชินซองกลับทรุดตัวลงนั่งหน้าห้องบรรทมโดยยืนกรานว่าจะบรรเลงเพลงกล่อมพระเชษฐาก่อนไป นกซูปล่อยให้องค์ชายบรรเลงเพลงตามความประสงค์แล้วเดินกลับเข้าห้องบรรทมที่ว่างเปล่า ขณะบรรเลงเพลงองค์ชายชินซองนึกในใจว่า ตนไม่สนว่าคนอื่นจะพูดเช่นไร การที่ตนยังมีชีวิตอยู่ตราบจนบัดนี้เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าพระเชษฐารักตน นกซูไม่อยากจะเชื่อว่าองค์ชายชินซองหวังให้คนอย่างยอนซานกุนซาบซึ้งใจด้วยการบรรเลงดนตรีให้ฟังเพียงอย่างเดียว และครุ่นคิดว่าควรรับมือกับคนอ่อนหัดเช่นองค์ชายอย่างไรดี




แชคยองวิ่งตามรอยเท้าม้าเข้าไปในป่า พอเจอม้ายืนอยู่ไม่ไกลจากบ่อน้ำพุร้อนเธอก็ร้องเรียก "คุณชาย!" เธอเห็นลางๆ ว่ามีใครคนหนึ่งอยู่ในบ่อน้ำจึงวิ่งเข้าไปดูใกล้ๆ พลางร้องเรียก ยอนซานกุนนึกว่ามีคนคิดปองร้ายจึงโยนเสื้อคลุมใส่แชคยองแล้วชักมีดสั้นเตรียมป้องกันตัว หลังโดนผ้าคลุมหัวแชคยองก็เสียหลักและพลัดตกลงไปในน้ำ เธอดิ้นขลุกขลักในน้ำครู่หนึ่งก่อนทะลึ่งตัวขึ้นมาหายใจ (ต่อหน้ายอนซานกุนซึ่งถือมีดสั้นอยู่ในมือ)  ครั้นเปิดผ้าที่คลุมหัวออกแล้วเจอชายหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้าเธอก็ถึงกับช็อค

ยอนซานกุนถามว่าเธอเป็นใคร ครั้นเห็นเธอตกตะลึงอ้าปากค้างหลังกวาดตามองตั้งแต่สะดือถึงใบหน้า ยอนซานกุนจึงเก็บมีดแล้วถามว่าสายตาที่จับจ้องตนหมายความเช่นไร (แชคยองปลอมตัวเป็นชาย)  แชคยองได้ยินแล้วถึงกับสำลัก เธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเลยมุดหัวลงไปในน้ำอีกครั้งแล้วพยายามกลั้นหายใจให้นานที่สุดหมายหลบหน้า ยอนซานกุนเห็นดังนั้นจึงก้มหน้าลงไปรอเพราะรู้ว่าเธอจะทนได้อีกไม่นาน ครั้นโผล่หน้าขึ้นมาหายใจแล้วเจอใบหน้าชายหนุ่มในระยะประชิด แชคยองก็ตกใจยิ่งกว่าเดิม

*** จบตนที่ 1 ***

* เนื้อหาโดย luvasianseries / ภาพจากเคบีเอส






รายชื่อนักแสดง 


นักแสดงนำ


ปาร์ค มินยอง 
รับบท ชิน แชคยอง / พระมเหสีทันคยอง



ยอน อูจิน
รับบท ลีย็อก / ชินซงแทกุน / พระเจ้าจุงจง



ลี ดงก
รับบท ลียุง / ยอนซานกุน

ฝ่ายยนซานกุน


ซง จีอิ
รับบท พระมเหสีตระกูลชิน (ภายหลังถูกถอดจากตำแหน่งเช่นเดียวกับยอนซานกุน)



ซน อึนซ
รับบท จาง นกซู (ดีตนางโลม / พระสนมคนโปรดและคนสนิทของยอนซานกุน)



จาง ฮยนซ
รับบท ชิน ซูกึน



คัง ชินอิ
รับบท อิม ซา



คิม จองยอง
รับบท นายหญิงควอน

ฝ่ายปฏิวัติ


โท จีวอน
รับบท พระพันปีจาซุน



ฮวาง ชานซอง (วง 2PM)
รับบท ซโน



โก โบคย
รับบท ยูน มยเย (พระมเหสีชางคยงในพระเจ้าจุงจง / หลานสาวปาร์ค วนจง)



ปาร์ค วนซัง
รับบท ปาร์ค วนจง (ผู้นำคณะรัฐประหาร)



คัง กีย
รับบท โช ควางโ



คิม มินโ
รับบท แพค ซ็ฮี



รวมคลิปตัวอย่างจากเคบีเอส เวิลด์



รวมคลิปเบื้องหลังจาก เคบีเอส


*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา