บทประพันธ์: จินยง [กิมย้ง]
กำกับ: เจี่ยงเจียจวิ้น (ชาวฮ่องกง)
กำกับ: เจี่ยงเจียจวิ้น (ชาวฮ่องกง)
เขียนบท: ป๋อหัว ("กวนจ่านป๋อ" และ "เฉินลี่หัว" สองนักเขียนบทชาวฮ่องกง), หรวนเสี่ยวน่า, กวนหมิ่น, ข่งฉุยหลิ่ว, จูเหวินจิง, เฉินเชียน, เฉินเป่าหัว, หลีหมิ่นฮุ่ย
แนวละคร: กำลังภายใน
จำนวนตอน: 50
ออกอากาศ: จีน - 27 กุมภาพันธ์ 2562 - 17 เมษายน 2562 ทางเว็บไซต์เถิงซวิ่นวิดีโอ (Tencent)
ไทย - ทุกวันเสาร์ เวลา 14.00-16.00 น. ทางช่อง MCOT HD (หมายเลข 30) ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2562 - 18 เมษายน 2563
ออกอากาศ: จีน - 27 กุมภาพันธ์ 2562 - 17 เมษายน 2562 ทางเว็บไซต์เถิงซวิ่นวิดีโอ (Tencent)
ไทย - ทุกวันเสาร์ เวลา 14.00-16.00 น. ทางช่อง MCOT HD (หมายเลข 30) ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2562 - 18 เมษายน 2563
เรื่องย่อ
ละคร "ดาบมังกรหยก" (Heavenly Sword and Dragon Slaying Sabre) ดัดแปลงจากนิยายกำลังภายในชื่อเรื่องเดียวกันของกิมย้ง (บ้างก็เรียก "มังกรหยกภาค 3" หรือ "กระบี่อิงฟ้า ดาบฆ่ามังกร") เนื้อหากล่าวถึงเหตุการณ์ยุคปลายราชวงศ์หยวน (ซึ่งดินแดนของชาวฮั่นถูกปกครองโดยชาวมองโกล) เรื่องราวสืบเนื่องมาจากคำกล่าวขานที่ว่า "เทิดทูนทั่วหล้า ดาบฆ่ามังกร ประกาศิตทุกชีวิต มิกล้าฝ่าฝืน อิงฟ้าไม่มา ใครหาญกล้าต่อกร" หลังมีเสียงร่ำลือว่าผู้ใดได้ครอบครองกระบี่อิงฟ้าและดาบฆ่ามังกรจะเป็นใหญ่ในใต้หล้า ยุทธภพก็เกิดความปั่นป่วน เหล่าชาวยุทธต่างเข่นฆ่ากันหมายแย่งชิงยอดศาสตราวุธทั้งสองมาครอบครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาบฆ่ามังกรที่ใครเห็นเป็นต้องยอมศิโรราบ
* ชื่อต่างๆ ในที่นี้เป็นภาษาจีนกลาง ส่วน [ในวงเล็บ] เป็นภาษาจีนสำเนียงแต้จิ๋ว
ขณะที่ "อวี๋ไต้เหยียน" [ยู้ไต้ง้ำ] ศิษย์คนที่สามแห่งสำนักอู่ตัง [บู๊ตึ๊ง] กำลังเดินทางกลับสำนัก เขาได้พบเห็นจอมยุทธเข่นฆ่ากันอย่างโหดเหี้ยมเพื่อแย่งชิงดาบฆ่ามังกร ครั้นได้ดาบเล่มดังกล่าวมาครองโดยบังเอิญ เขาจึงคิดที่จะนำกลับสำนักหมายยุติการเข่นฆ่าและให้อาจารย์เป็นผู้พิจารณาว่าควรจัดการเช่นไร แต่กลับโดน "อินเหย่หวัง" [ฮึงเอี๊ยอ้วง] กับ "อินซู่ซู่" [ฮึงซู่ซู่] สองพี่น้องแห่งนิกายเทียนอิง (อินทรีฟ้า) ลอบทำร้ายด้วยเข็มพิษแล้วชิงดาบฆ่ามังกรไป อินเหย่หวังจะสังหารอวี๋ไต้เหยียนแต่อินซู่ซู่ห้ามไว้ ทั้งยังว่าจ้างสำนักคุ้มภัยหลงเหมินให้พาร่างอันแน่นิ่งของอวี๋ไต้เหยียนไปส่งที่เขาอู่ตัง แต่ยังไม่ทันได้ขึ้นเขาอวี๋ไต้เหยียนก็ถูกทำร้ายและทรมานอย่างโหดเหี้ยมจนกระดูกหักทั่วร่าง เพราะไม่ยอมบอกว่าดาบฆ่ามังกรอยู่ที่ใด
"จางชุ่ยซาน" [เตียชุ่ยซัว] ศิษย์คนที่ห้าแห่งสำนักอู่ตัง เดินทางไปสืบหาเบาะแสคนร้ายและเรื่องราวของดาบฆ่ามังกร แต่กลับถูกหลวงจีนวัดเส้าหลิน [เสี้ยวลิ้มยี่] เข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นคนฆ่าล้างสำนักคุ้มภัยหลงเหมินจึงเกิดการต่อสู้กัน ครั้นมีคนลอบทำร้ายหลวงจีนวัดเส้าหลินแล้วหลบหนีไป จางชุ่ยซานจึงรีบไล่ตามทันที และนั่นก็ทำให้เขาได้พบกับอินซู่ซู่ซึ่งมีใจให้เขาตั้งแต่แรกพบ โดยเขาได้ช่วยถอนลูกดอก 'ดอกเหมย' อาบยาพิษให้เธอ (ลูกดอกดอกเหมยเป็นอาวุธลับของเส้าหลิน แต่ปกติแล้วจะไม่เคลือบยาพิษ) (จางชุ่ยซานรู้เพียงว่าอินซู่ซู่เป็นคนว่าจ้างสำนักคุ้มภัยให้ไปส่งพี่สามของตน ทั้งยังเป็นคนฆ่าล้างสำนักคุ้มภัยหลงเหมินและทำร้ายศิษย์เส้าหลิน แต่ไม่รู้ว่าเธอลอบทำร้ายอวี๋ไต้เหยียนด้วยเข็มพิษแล้วชิงดาบฆ่ามังกรไป) หลังจากนั้นทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้งในงานประกาศศักดาดาบฆ่ามังกร ขณะที่อินซู่ซู่นำดาบฆ่ามังกรมาอวดสายตาชาวยุทธ "เซี่ยซวิ่น" [เจี่ยซุ่น] (ฉายา "พญาราชสีห์ขนทอง") ได้บุกมาชิงดาบ ทั้งยังฆ่าปิดปากทุกคนบนเกาะก่อนจับตัวอินซู่ซู่และจางชุ่ยซานไป เขาตั้งใจว่าจะล่องเรือไปยังเกาะร้างอันไกลโพ้นหมายค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ในดาบโดยไม่มีใครมารบกวน แต่ทว่าระหว่างทางเกิดคลุ้มคลั่งจึงตรงเข้าทำร้ายจางชุ่ยซานและอินซู่ซู่ เขาเลยถูกอินซู่ซู่ซัดพิษใส่จนตาบอดทั้งสองข้าง
หลังเรือล่มทั้งสามคนจึงติดอยู่บนเกาะน้ำแข็งอัคคี จางชุ่ยซานและอินซู่ซู่สาบานรักบนเกาะและมีโซ่ทองคล้องใจเป็นบุตรชาย ทั้งคู่ยกลูกน้อยให้เป็นบุตรบุญธรรมของเซี่ยซวิ่นเพื่อไม่ให้ลูกน้อยถูกทำร้ายแม้ในยามที่เขาเกิดคลุ้มคลั่ง ทั้งยังตั้งชื่อลูกน้อยว่า "เซี่ยอู๋จี้" [เจี่ยบ่อกี้] ตามชื่อบุตรชายผู้ล่วงลับของเซี่ยซวิ่น (ภายหลังอู๋จี้ได้เปลี่ยนมาใช้แซ่จางตามบิดา จึงมีนามว่า "จางอู๋จี้" [เตียบ่อกี้]) หลังจากนั้นจางชุ่ยซานและเซี่ยซวิ่นก็สาบานเป็นพี่น้องกัน ขณะอยู่บนเกาะน้ำแข็งอัคคี อู๋จี้น้อยได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้ต่างๆ จากบิดา มารดา และเซี่ยซวิ่น นอกจากนี้เซี่ยซวิ่นยังเล่าความเป็นมาของตนให้สามพ่อแม่ลูกฟัง โดยบอกว่าเมื่อหลายปีก่อนเขาถูกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ทำร้ายและสังหารคนในครอบครัวรวม 13 ชีวิต โดยผู้เป็นอาจารย์ไม่เพียงสังหาร บิดา มารดา น้องชาย น้องสาว ตลอดจนบ่าวไพร่ทุกคนในบ้าน แต่ยังฆ่าข่มขืนภรรยา และจับลูกชายวัยหนึ่งขวบของตนทุ่มลงกับพื้นจนร่างแหลกเหลวอีกด้วย หลังหายจากอาการบาดเจ็บเซี่ยซวิ่นได้ฝึกวิชา "หมัดเจ็ดทำร้าย" ของสำนักคงถง [คงท้ง] จนสำเร็จ หลังจากนั้นจึงออกตามหาผู้เป็นอาจารย์จนทั่วยุทธภพหมายชำระแค้น ครั้นไม่เบาะแสและร่องรอยใดๆ เซี่ยซวิ่นจึงก่อกรรมทำเข็ญและเข่นฆ่าชาวยุทธมากมายก่อนป้ายความผิดให้อาจารย์หมายบีบให้ปรากฏตัว อินซู่ซู่ได้ยินดังนั้นก็เดาได้ทันทีว่าอาจารย์ของเซี่ยซวิ่นคือหัตถ์อัสนีบาต "เฉิงคุน" [เซ่งคุน]
หลังก่อเหตุมากมายแต่ไม่เป็นผล เซี่ยซวิ่นจึงคิดสร้างวีรกรรมชนิดสะเทือนฟ้าสะเทือนดินด้วยการสังหารศิษย์สำนักใหญ่ๆ เขาจะสังหาร "ซ่งยฺเหวี่ยนเฉียว" [ซ่งเอี้ยงเกี๊ยว] (ศิษย์พี่ใหญ่ของจางชุ่ยซาน) แต่หลวงจีน "คงเจี้ยน" [คงเกี่ยงไต้ซือ] หนึ่งในสี่ยอดบรรพชิตแห่งวัดเส้าหลินเข้ามาขวาง พร้อมเตือนว่าฝีมือของเซี่ยซวิ่นยังห่างชั้นเฉิงคุนมาก หลวงจีนคงเจี้ยนไม่ต้องการให้เซี่ยซวิ่นเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์อีกจึงขอรับหมัดเจ็ดทำร้ายจากเขาสิบสามหมัด (ตามจำนวนคนในครอบครัวเซี่ยซวิ่นที่ถูกสังหาร) โดยกล่าวว่าหากเซี่ยซวิ่นทำร้ายตนได้ ตนจะไม่ขัดขวางและจะให้เฉิงคุนปรากฏตัว แต่ถ้าเซี่ยซวิ่นไม่อาจทำร้ายตนขอให้ยุติความแค้นไว้เพียงเท่านี้และอย่าเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ เซี่ยซวิ่นไม่อยากทำร้ายบรรพชิตผู้สูงส่ง ทั้งยังรู้สึกเลื่อมใสแต่จำต้องลงมือ ในที่สุดหลวงจีนคงเจี้ยนก็ถูกเซี่ยซวิ่นทำร้ายจนอวัยวะภายในแหลกสลายและใกล้หมดลม แต่ทว่าเฉิงคุนกลับไม่ยอมปรากฏตัวดังที่ตกลงกันไว้ ก่อนสิ้นใจหลวงจีนคงเจี้ยนยังคงเตือนเซี่ยซวิ่นว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉิงคุน เว้นเสียแต่ว่าเขาจะตามหาดาบฆ่ามังกรแล้วค้นพบความลับที่ซ่อนในดาบ... พูดเพียงเท่านี้หลวงจีนคงเจี้ยนก็มรณภาพ
* หมัดเจ็ดทำร้ายของสำนักคงถง [คงท้ง] แฝงพลังที่แตกต่างเจ็ดรูปแบบ ศัตรูจึงยากรับมือ แต่ทว่าเป็นเคล็ดวิชาที่ทำร้ายตัวผู้ฝึกเองก่อนจึงค่อยทำร้ายศัตรูทำให้ยากที่จะฝึกสำเร็จ และผู้ที่จะฝึกได้ต้องมีกำลังภายในขั้นสูงเท่านั้น ทั้งนี้ในร่างกายคนประกอบด้วยธาตุทั้งห้า หัวใจธาตุไฟ ปอดธาตุทอง ไตธาตุน้ำ ม้ามธาตุดิน ตับธาตุไม้ นอกจากนี้ยังมีพลังร้อน พลังเย็น เมื่อฝึกฝนวิชาดังกล่าวอวัยวะภายในจะถูกทำร้ายทั้งเจ็ดสิ่ง หากฝีมือเพิ่มพูนขึ้นขั้นหนึ่ง อวัยวะภายในจะถูกทำลายอีกขั้นเช่นกัน
* หมัดเจ็ดทำร้ายของสำนักคงถง [คงท้ง] แฝงพลังที่แตกต่างเจ็ดรูปแบบ ศัตรูจึงยากรับมือ แต่ทว่าเป็นเคล็ดวิชาที่ทำร้ายตัวผู้ฝึกเองก่อนจึงค่อยทำร้ายศัตรูทำให้ยากที่จะฝึกสำเร็จ และผู้ที่จะฝึกได้ต้องมีกำลังภายในขั้นสูงเท่านั้น ทั้งนี้ในร่างกายคนประกอบด้วยธาตุทั้งห้า หัวใจธาตุไฟ ปอดธาตุทอง ไตธาตุน้ำ ม้ามธาตุดิน ตับธาตุไม้ นอกจากนี้ยังมีพลังร้อน พลังเย็น เมื่อฝึกฝนวิชาดังกล่าวอวัยวะภายในจะถูกทำร้ายทั้งเจ็ดสิ่ง หากฝีมือเพิ่มพูนขึ้นขั้นหนึ่ง อวัยวะภายในจะถูกทำลายอีกขั้นเช่นกัน
เกือบสิบปีที่ผ่านมาเซี่ยซวิ่นพยายามค้นหาความลับในดาบอย่างหมกมุ่นแต่ไม่เป็นผล เขาจึงหันมาถ่ายทอดวิชาแก่อู๋จี้อย่างเข้มงวดและเร่งรัด โดยเน้นให้ท่องจำจนขึ้นใจแทนการฝึกฝนเพราะใช้เวลาน้อยกว่า ประกอบกับอู๋จี้ยังเด็กนัก หลังจากนั้นจึงส่งสามพ่อแม่ลูกล่องแพไม้กลับแผ่นดินใหญ่ในแดนจงหยวน (ที่ราบภาคกลาง) เพราะไม่อยากให้อู๋จี้ติดเกาะจนวันตาย แต่ทว่าการหวนคืนสู่ยุทธภพของจางชุ่ยซานและอินซู่ซู่กลับนำมาซึ่งความบาดหมาง มิหนำซ้ำอู๋จี้ยังถูกยอดฝีมือที่สวมรอยเป็นทหารมองโกล (ราชวงศ์หยวน) ลักพาตัวไป หลังถูกหกสำนักใหญ่ฝ่ายธรรมะบีบให้เผยที่ซ่อนของเซี่ยซวิ่นซึ่งก่อกรรมทำเข็ญและเป็นผู้ครอบครองดาบฆ่ามังกร จางชุ่ยซานและอินซู่ซู่จึงชิงฆ่าตัวตาย (จางชุ่ยซานฆ่าตัวตายเพื่อรักษาความลับและชดใช้ความผิดที่อินซู่ซู่เคยก่อ ส่วนอินซู่ซู่สร้างความร้าวฉานให้หกสำนักใหญ่ฝ่ายธรรมะ ก่อนฆ่าตัวตายตามสามีโดยไม่ปริปากบอกที่ซ่อนของเซี่ยซวิ่นและดาบฆ่ามังกร) อู๋จี้ไม่เพียงเห็นพ่อแม่ตายต่อหน้าต่อตาแต่ยังถูกพลังฝ่ามือเสวียนหมิงทำร้ายจนพิษไอเย็นแทรกทั่วร่าง
ครั้นเห็นว่าทางเดียวที่จะขจัดพิษเย็นในกายได้คือการใช้พลังภายในอันร้อนระอุสลายพิษเย็น โดยอู๋จี้จะต้องฝึกพลังภายในจากคัมภีร์จิ่วหยาง [เก้าเอี๊ยง] (คัมภีร์นวภพ / เก้าสุริยัน) ด้วยตนเอง "จางซานฟง" [เตียซำฮง] (เจ้าสำนักอู่ตัง [บู๊ตึ๊ง]) รู้เคล็ดวิชาดังกล่าวเพียงบางส่วนจึงพาอู๋จี้เดินทางไปยังวัดเส้าหลินเพื่อขอแลกเปลี่ยนเคล็ดวิชา แต่กลับโดนหยามและถูกบ่ายเบี่ยงอย่างไม่ไยดี ระหว่างเดินทางกลับจางซานฟงได้ช่วยชีวิต "ฉางอวี้ชุน" [เซี้ยง่อชุน] ซึ่งเป็นคนของหมิงเจี้ยว [เม้งก่า] ฉางอวี้ชุนสำนึกในบุญคุณจึงอาสาพาอู๋จี้ไปรักษาตัวกับหมอเทวดา "หูชิงหนิว" [โอ้วแชงู้] แห่งหุบเขาผีเสื้อ อู๋จี้เลยได้รับการถ่ายทอดวิชาแพทย์จากที่นั่น แม้อายุยังน้อยแต่อู๋จี้ได้พบชาวยุทธมากมาย ทั้งยังผ่านความเป็นความตายนานัปการและต้องเผชิญโลกกว้างตามลำพัง ครั้นโตขึ้นเขาได้พบคัมภีร์จิ่วหยางฉบับสมบูรณ์โดยบังเอิญเลยฝึกพลังภายในจากคัมภีร์ดังกล่าวจนขจัดพิษเย็นในร่างได้หมดสิ้น ในเวลาต่อมาเขาได้พบเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายจักรวาลของหมิงเจี้ยวโดยบังเอิญและจำต้องฝึกจนสำเร็จเพื่อให้มีชีวิตรอด หลังช่วยไกล่เกลี่ยความบาดหมางระหว่างหมิงเจี้ยวกับหกสำนักใหญ่ฝ่ายธรรมะ เขาจึงได้เป็นประมุขหมิงเจี้ยวสาขาจงหยวน (สาขาใหญ่อยู่ในแดนเปอร์เซีย ให้การสนับสนุนมองโกลราชวงศ์หยวน แต่สาขาจงหยวนต้องการกอบกู้แผ่นดินชาวฮั่นและขับไล่มองโกล )
ด้วยความที่เป็นคนอ่อนโยน จิตใจดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จึงมีหญิงงามหลายคนมาหลงรักอู๋จี้ ไม่ว่าจะเป็น "จ้าวหมิ่น" [เตี๋ยเมี่ยง] ธิดาแม่ทัพใหญ่มองโกลราชวงศ์หยวน, "โจวจื่อรั่ว" [จิวจี้เยียก] ศิษย์สำนักเอ๋อเหมย [ง๊อไบ๊], "อินหลี" (จูเออร์) [ฮึงลี้ / ตูยี้] ลูกพี่ลูกน้องของอู๋จี้ ซึ่งเป็นศิษย์รับใช้ "แม่เฒ่าจินฮัว" [แม่เฒ่ากิมฮวย] และ "เสี่ยวเจา" [เสี่ยวเจียว] ลูกสาวแม่เฒ่าจินฮัว ขณะเดียวกันดาบฆ่ามังกรยังคงเป็นที่หมายปองของเหล่าชาวยุทธ พวกเขาจึงตามล่าเซี่ยซวิ่นหมายแย่งชิงดาบฆ่ามังกรไม่เลิกรา หลังล่วงรู้ความลับเกี่ยวกับกระบี่อิงฟ้าและดาบฆ่ามังกร โจวจื่อรั่วจึงยอมทำทุกวิถีทางเพื่อครอบครองสุดยอดเคล็ดวิชาที่ซ่อนอยู่ในศาตราวุธทั้งสอง อู๋จี้รู้ธาตุแท้ของโจวจื่อรั่วแต่ไม่อาจชิงชังนาง หลังสลายความบาดหมางและรู้ซึ้งถึงสัจธรรมในยุทธภพ อู๋จี้จึงสละตำแหน่งประมุขและถอนตัวจากยุทธภพ โดยหันไปใช้ชีวิตอย่างสงบกับจ้าวหมิ่นในมองโกเลีย
เนื้อหาตอนที่ 1
"อวี๋ไต้เหยียน" [ยู้ไต้ง้ำ] ศิษย์คนที่สามแห่งสำนักอู่ตัง [บู๊ตึ๊ง] ใช้วิชาตัวเบา "ทะยานบันไดเมฆ" ล่องลอยเหนือยอดไม้และสายน้ำ หมายเร่งรุดเดินทางกลับเขาอู่ตังให้ทันวันเกิดครบรอบ 90 ปีของผู้เป็นอาจารย์ ก่อนพักดื่มน้ำริมลำธารพลางชื่นชมความงามของทัศนียภาพที่อยู่ตรงหน้า
ในเรือนไม้ขนาดใหญ่ใกล้ผุพังไม่ไกลกันนัก เหล่า "สามวิหคแห่งเขาฉางไป๋" ช่วยกันเร่งไฟในเตาเผาที่มีดาบฆ่ามังกรปักอยู่หมายค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ในดาบ ทันใดนั้นก็มีชายลึกลับสวมเสื้อคลุมสีขาวบุกเข้ามาพลางตำหนิเหล่าสามวิหคที่คิดทำลายดาบล้ำค่า เขาดึงโซ่เหล็กเส้นหนึ่ง (ที่ห้อยลงมาจากเพดาน) มาตวัดรัดด้ามดาบและพยายามดึงออกจากเตา หนึ่งในสามวิหคเห็นดังนั้นจึงรีบใช้ค้อนทุบดาบฆ่ามังกรให้ปักลึกลงดังเดิมทำให้ถูกชายเสื้อคลุมขาวใช้โซ่ฟาดกระเด็น หลังจากนั้นชายเสื้อคลุมขาวก็ใช้โซ่ตวัดด้ามดาบอีกครั้ง สองในสามสามวิหคเห็นดังนั้นเลยแย่งกันแสดงความเป็นเจ้าของโดยขึ้นไปยื้อยุดดาบร้อนๆ บนเตา ชายคนหนึ่งสวมถุงมือ แต่ชายอีกคนซึ่งมีนามว่า "เต๋อเฉิง" [เต็กเซ้ง] ลงทุนจับด้ามดาบด้วยมือเปล่า แม้จะสองมือจะถูกความร้อนลวกจนควันพุ่งและมีเสียงดังฉี่ ฉี่ แต่เขากลับไม่ยอมปล่อยมือ
หลังช่วยกันดึงจนดาบอันหนักอึ้งเริ่มขยับ (ชายเสื้อคลุมขาวใช้โซ่ดึงจากด้านล่างเช่นกัน) ชายที่สวมถุงมือก็เตะดาบฆ่ามังกรจนหลุดออกจากเตา ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครยอมปล่อยมือจากดาบ ชายที่สวมถุงมือจึงเตะดาบกระเด็นขึ้นไปติดอยู่บนโซ่ด้านบน ชายคนแรกที่โดนโซ่ฟาดรีบไต่โซ่เส้นหนึ่งขึ้นไปชิงดาบและถีบพรรคพวกตัวเอง (ที่ไต่โซ่คนละเส้น) จนร่วงลงไปกระแทกพื้นทั้งสองคน เขาจะหยิบดาบแต่ชายเสื้อคลุมขาวใช้โซ่ในมือตวัดด้ามดาบเอาไว้ ซ้ำยังบังคับดาบให้ตัดโซ่ที่ชายคนดังกล่าวห้อยโหนอยู่ จากนั้นก็เหวี่ยงดาบทำลายเตาเผาเพื่อให้ร่างของชายโชคร้ายร่วงลงสู่กองเพลิงและถูกเผาทั้งเป็น แต่นั่นก็ทำให้ปลายโซ่ที่คล้องดาบไว้ขาดสะบั้น ทำให้ดาบกระเด็นขึ้นไปเสียบคาผนังไม้ด้านบน
อวี๋ไต้เหยียนซึ่งใช้วิชาตัวเบาลอยผ่านหลังคา เห็นกลุ่มควันพวยพุ่งและได้ยินเสียงคนต่อสู้กันในเรือนร้างจึงแอบซุ่มดูเหตุการณ์ และเห็นชายเสื้อคลุมขาวใช้วิชาที่โหดเหี้ยมทำร้ายและสังหารคู่ต่อสู้ (ชายสวมถุงมือถูกฆ่าตายแล้ว) ครั้นเห็นว่าเต๋อเฉิง (ซึ่งชิงดาบฆ่ามังกรมาได้) กำลังจะร่วงลงสู่กองเพลิง อวี๋ไต้เหยียนจึงรีบเข้าไปช่วยทันที ชายเสื้อคลุมขาวเห็นกระบวนท่า (วิชาตัวเบา) ของอวี๋ไต้เหยียนก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นศิษย์สำนักอู่ตัง [บู๊ตึ๊ง] อวี๋ไต้เหยียนจึงแนะนำตัวก่อนถามชายเสื้อคลุมขาวว่า เขาเป็นคนของสำนักใด ทำไมถึงใช้วิชาที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ ชายเสื้อคลุมขาวไม่ตอบ เขานึกว่าสำนักอู่ตังส่งอวี๋ไต้เหยียนมาที่นี่เพื่อชิงดาบฆ่ามังกรเช่นกัน อวี๋ไต้เหยียนชี้ว่าตนไม่ได้มาชิงดาบ แค่ทำตามคำสั่งสอนของอาจารย์ที่ให้ผดุงความเป็นธรรม ชายเสื้อคลุมขาวเตือนอวี๋ไต้เหยียนว่าในเมื่อไม่เกี่ยวจงถอยไป อย่าขวางทางตน จากนั้นก็บอกเต๋อเฉิงซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเขม่าและยืนกอดดาบแน่นว่า ตนจะไม่เอาชีวิตหากยอมมอบดาบแต่โดยดี
ครั้นเต๋อเฉิงยืนกรานว่าถึงตายก็ไม่ให้เพราะดาบนี้เป็นของตน ชายเสื้อคลุมขาวจึงลงมือจู่โจมทันที เต๋อเฉิงเห็นท่าไม่ดีจึงผลักอวี๋ไต้เหยียน (ซึ่งช่วยชีวิตเขามาหมาดๆ) ให้รับเคราะห์แทนตน แต่อวี๋ไต้เหยียนหลบหลีกและโต้กลับได้ทัน หลังจากนั้นชายเสื้อคลุมขาวก็เล่นงานเต๋อเฉิงอย่างไม่ปราณี ในที่สุดทั้งเต๋อเฉิงและดาบฆ่ามังกรก็กระเด็นไปตกบนกังหันน้ำ ถึงฝีมือจะเป็นรองแต่เต๋อเฉิงซึ่งมีดาบฆ่ามังกรอยู่ในมือยังคงสู้ไม่ถอย แม้โดนชายเสื้อคลุมขาวตามทำร้ายจนสะบักสะบอมแต่เต๋อเฉิงยังคงจับดาบแน่น ขณะที่ทั้งคู่กำลังต่อสู้กันบนกังหันน้ำอย่างดุเดือด อยู่ๆ ก็มีสี่ยอดฝีมือจากสำนักไห่ซา ("ไห่ซาพ่าย" [ไฮ้ซัว] หรือ "สำนักทรายสมุทร" ซึ่งลักลอบค้าเกลือเถื่อน) โผล่มาจากใต้น้ำแล้วขว้างตระกร้าสานใส่ทั้งคู่ทันที เต๋อเฉิงแกว่งดาบฟาดฟันตระกร้าโดยไม่รู้ว่าข้างในมีเกลือพิษ ทำให้โดนพิษสาดใส่บริเวณลำตัวและใบหน้า ชายเสื้อคลุมขาวเห็นใบหน้าเต๋อเฉิงมีแผลไหม้พุพอง ทั้งยังนอนดิ้นทุรนทุราย (แต่ยังกอดดาบแน่น) เลยรีบสลัดเสื้อคลุมทิ้งแล้วกระโจนหนีลงน้ำทันที
อวี๋ไต้เหยียนซึ่งตามเฝ้าดูอยู่ห่างๆ เห็นใบหน้าของชายชุดขาวอย่างชัดเจน ที่แท้ชายคนดังกล่าวคือ "อาซาน" [อาซา] ยอดฝีมือ 'ดรรชนีวัชระ' จากสำนักจินกังเหมินในแดนซีอวี้ ซึ่งรับใช้มองโกลราชวงศ์หยวน ("ซีอวี้" คือ ดินแดนด้านทิศตะวันตกของจีน อยู่ติดมองโกเลีย คาซัคสถาน ฯลฯ สำนักของอาซานถูกเรียกว่า "เส้าหลินตะวันตก" ก่อตั้งโดยหลวงจีนทรยศแห่งวัดเส้าหลินที่หนีไปตั้งสำนักในแดนซีอวี้) ครั้นเห็นเต๋อเฉิงถูกคนของสำนักไห่ซาใช้ขอเหล็กเกี่ยวต้นแขนและขาทั้งสองข้างแล้วดึงจนร่างลอยขึ้นพลางขู่ว่าจะแยกร่างหากไม่ยอมมอบดาบให้พวกตน อวี๋ไต้เหยียนจึงยื่นมือเข้าช่วยเต๋อเฉิงอีกครั้ง
อีกด้านหนึ่ง "จางชุ่ยซาน" [เตียชุ่ยซัว] (ศิษย์คนที่ห้าของสำนักอู่ตัง) เพิ่งเดินทางกลับมาถึงสำนัก ทันทีที่มาถึงเขาก็ตรงไปยังห้องโถงใหญ่เพื่อแสดงความเคารพรูปปั้นพระโพธิสัตว์ โดยเปล่งวาจาว่า "ฝูเซิงอู๋เลี่ยงเทียนจุน" (เป็นคำกล่าวตามแบบลัทธิเต๋า หากเป็นศาสนาพุทธจะกล่าวว่า "อามิตตาพุทธ") ในเวลาต่อมาหกในเจ็ดศิษย์เอกรุ่นแรก (เจ็ดจอมยุทธ) ของสำนักอู่ตังได้มารวมตัวกันเพื่อคารวะเจ้าสำนัก "จางซานฟง" [เตียซำฮง] (ผู้คิดค้นวิชาไท้เก๊ก) หลังต่างคนต่างเพิ่งกลับจากปฏิบัติภารกิจ คงมีเพียงอวี๋ไต้เหยียนที่มีกำหนดกลับในอีกสองวันข้างหน้า ครั้นผู้เป็นอาจารย์ถามว่าศิษย์แต่ละคนทำภารกิจอะไรเป็นของขวัญวันเกิดตนในปีนี้บ้าง จางชุ่ยซานจึงนำภาพที่ทุกคนช่วยกันวาดมาให้อาจารย์ดู
จางซานฟงเห็นลายเส้นแล้วรู้ทันทีว่า 'ต้นสน' วาดโดย "ซ่งยฺเหวี่ยนเฉียว" [ซ่งเอี้ยงเกี๊ยว] (จอมยุทธลำดับที่หนึ่ง) 'ภูเขา' วาดโดย "อวี๋เหลียนโจว" [ยู้เน้ยจิว] (จอมยุทธลำดับที่สอง) 'น้ำตก' วาดโดย "จางซงซี" [เตียซ่งโคย] (จอมยุทธลำดับที่สี่) 'สายน้ำ' วาดโดย "อินหลีถิง" [ฮึงหลีเต็ง] (จอมยุทธลำดับที่หก) 'ก้อนหิน' วาดโดย "โม่เซิงกู่" [มกเซียก๊อก] (จอมยุทธลำดับที่เจ็ด) ส่วนบทกวีเขียนโดย "จางชุ่ยซาน" [เตียชุ่ยซัว] (จอมยุทธลำดับที่ห้า) เนื้อหาในบทกวีกล่าวยกย่องและอวยพรจางซานฟง ก่อนบรรยายว่าศิษย์แต่ละคนไปทำภารกิจอะไรมา โดยศิษย์ทั้งหกล้วนลงเขาไปช่วยเหลือชาวบ้าน ขจัดภัยพาล ปราบโจรผู้ร้าย กำจัดทหารมองโกล และขจัดขุนนางฉ้อฉล ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นสิ่งที่เหล่าผู้ฝึกยุทธควรทำ (ณ ตอนนี้แผ่นดินจีนไม่ได้ปกครองโดยชาวฮั่น แต่ปกครองโดยมองโกลราชวงศ์หยวน เหล่าจอมยุทธจึงพยายามโค่นล้มราชวงศ์หยวนหมายกอบกู้แผ่นดินให้กลับมาเป็นของชาวฮั่นดังเดิม)
อวี๋ไต้เหยียนพาเต๋อเฉิงไปหลบซ่อนตัวที่ศาลเจ้าเทพสมุทรซึ่งอยู่ในสภาพรกร้าง แต่เต๋อเฉิงยังคงไม่ไว้ใจอวี๋ไต้เหยียนเพราะเกรงว่าเขาจะชิงดาบฆ่ามังกรไป อวี๋ไต้เหยียนเห็นว่าพิษได้แทรกซึมเข้าสู่อวัยวะสำคัญของเต๋อเฉิงแล้วจึงทำได้เพียงมอบยาถอนพิษเทียนซิน ซึ่งจะช่วยยื้อชีวิตเต๋อเฉิงได้อีกสามวัน จากนั้นก็แนะให้เต๋อเฉิงรีบนำดาบไปแลกยาถอนพิษที่สำนักไห่ซา เพราะนี่เป็นทางรอดเดียวของเขา เต๋อเฉิงปฏิเสธทันควัน เขายังคงยืนกรานว่าตนยอมตายแต่ไม่มีทางนำดาบไปแลกยาถอนพิษ อวี๋ไต้เหยียนเห็นว่าหมดเรื่องตนแล้วจึงหันหลังเดินจากไป ครั้นเต๋อเฉิงกระอักเลือดเขาจึงรีบกลับมาเทยาให้ แต่เต๋อเฉิงดันกรอกยาเม็ดใส่ปากรวดเดียวหมด อวี๋ไต้เหยียนรีบร้องห้ามแต่ไม่ทัน เต๋อเฉิงไม่อยากถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังจึงรีบคลานไปกอดขาอวี๋ไต้เหยียนเอาไว้ ก่อนเสนอว่าจะแบ่งผลประโยชน์ที่ได้จากดาบฆ่ามังกรให้อวี๋ไต้เหยียนครึ่งหนึ่ง อวี๋ไต้เหยียนได้ยินแล้วรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ เขาไม่สนใจดาบนั่น และสำนักอู่ตังไม่ช่วยคนหวังผล
เต๋อเฉิงกล่าวว่าอวี๋ไต้เหยียนไม่คิดแย่งชิงดาบเพราะไม่รู้จักอานุภาพของมัน เขาถามอวี๋ไต้เหยียนว่าเคยได้ยินคำกล่าว "เทิดทูนทั่วหล้า ดาบฆ่ามังกร ประกาศิตทุกชีวิต มิกล้าฝ่าฝืน" หรือไม่ อวี๋ไต้เหยียนแค่นหัวเราะแล้วแย้งว่านั่นเป็นเพียงคำที่ร่ำลือในยุทธภพ เขาชี้ว่าต่อจากนี้ยังมีถ้อยคำ "อิงฟ้าไม่มา ใครหาญกล้าต่อกร" ซึ่งหมายความว่ากระบี่อิงฟ้าสยบดาบฆ่ามังกรได้ (ตราบใดที่กระบี่อิงฟ้าไม่ปรากฏ ดาบฆ่ามังกรจะเป็นสุดยอดศาสตราวุธ) อวี๋ไต้เหยียนได้ยินเสียงคนเคลื่อนไหวทางด้านนอกจึงร้องเตือนเต๋อเฉิงให้ระวังตัว ปรากฏว่าสำนักไห่ซายังตามราวีไม่เลิก แถมยังโยนถุงใส่เกลือพิษเข้ามาในศาลเจ้าร้างเป็นจำนวนมาก อวี๋ไต้เหยียนจะช่วยเต๋อเฉิงแต่กลับถูกเต๋อเฉิงกวัดแกว่งดาบใส่เพราะกลัวถูกแย่งดาบไป อวี๋ไต้เหยียนจนปัญญาช่วยเลยรีบหาที่หลบซ่อนตัวเพราะไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ เต๋อเฉิงฟาดฟันถุงเกลือพิษที่พุ่งเข้ามาหาตนทำให้พิษยิ่งกระจายไปทั่ว ครั้นถูกถุงเกลือพิษกระแทกอกเขาเลยเสียหลักล้มทำให้ดาบฆ่ามังกรอันหนักอึ้งหลุดมือ ก่อนกระเด็นไปปักข้างๆ อวี๋ไต้เหยียนโดยมีผ้าที่ขาดหลุดรุ่ยบังอยู่
หลังจากนั้นคนของสำนักไห่ซาก็บุกเข้ามาด้านใน ผู้เป็นหัวหน้าบีบเต๋อเฉิงให้บอกที่ซ่อนดาบฆ่ามังกรเพื่อแลกกับยาถอนพิษ เต๋อเฉิงซึ่งนอนดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดยืนกรานว่าดาบเป็นของตนก่อนสิ้นใจตาย ทันใดนั้น คนของนิกายเทียนอิงนำโดย "หลี่เทียนหยวน" ก็บุกเข้ามาสังหารคนของสำนักไห่ซาจนเกือบหมด ครั้นหลี่เทียนหยวนถามหาดาบฆ่ามังกรด้วยน้ำเสียงดุดัน คนของสำนักไห่ซา (หัวโจก) จึงตอบด้วยน้ำเสียงยำเกรงว่าเดิมทีดาบอยู่ที่เต๋อเฉิงแต่พวกตนหาจนทั่วแล้วยังไม่เจอ หลี่เทียนหยวนสงสัยว่าคนของสำนักไห่ซาเล่นตุกติกคิดครอบครองดาบฆ่ามังกรเสียเอง คนของสำนักไห่ซาปฏิเสธและเล่าว่าก่อนหน้านี้มีจอมยุทธที่ใช้วิชาตัวเบาของสำนักอู่ตังช่วยเต๋อเฉิงเอาไว้ ไม่แน่ว่าตอนนี้ดาบอาจอยู่ในมือจอมยุทธผู้นั้น
หลังรู้เบาะแสของดาบ หลี่เทียนหยวนจึงคิดฆ่าคนปิดปาก แต่คนของสำนักไห่ซาไหวตัวทันจึงซัดอาวุธลับและสาดเกลือพิษตอบโต้ก่อนหนีออกจากศาลเจ้าร้าง แต่สุดท้ายกลับหนีไม่พ้นเพราะถูกนกอินทรีและ "อินเหย่หวัง" [ฮึงเอี๊ยอ้วง] แห่งนิกายเทียนอิงขวางไว้เสียก่อน หลังลูกน้องทั้งหมดโดนสังหาร ส่วนตนเองถูกนกอินทรีเล่นงานจนสูญเสียดวงตาข้างหนึ่ง หัวหน้านำขบวนของสำนักไห่ซาจึงยอมจำนนต่อหน้าอินเหย่หวัง เขายืนยันว่าพวกตนไม่รู้ที่ซ่อนดาบฆ่ามังกร หากรู้ว่านิกายเทียนอิงต้องการดาบฆ่ามังกรพวกตนคงวางมือตั้งแต่ต้น ไฉนเลยจะกล้าซ่อนเอาไว้ อินเหย่หวังไม่เชื่อจึงสั่งให้สมุนตรวจค้นภายในศาลเจ้า จากนั้นก็สังหารชายคนดังกล่าวทันที (เขายังคงอยู่ในท่าคุกเข่าหลังโดนกระแทกจุดตาย) ครั้นหลี่เทียนหยวนรายงานว่าไม่พบดาบ อินเหย่หวังจึงสั่งให้ตามล่าผู้ที่นำดาบไป
หลังบรรยากาศเงียบสงบอวี๋ไต้เหยียนจึงออกจากที่ซ่อน ครั้นพบว่าคนของสำนักไห่ซาล้วนถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม อวี๋ไต้เหยียนถึงกับน้ำตาคลอ เขาดึงดาบฆ่ามังกรออกมาพิจารณาด้วยความโกรธแค้น พลางคิดว่าดาบเล่มนี้ไม่ใช่ของวิเศษแต่เป็นสิ่งอัปมงคลที่ทำให้ผู้คนล้มตาย เขามองว่าการปรากฏตัวของดาบเล่มนี้มีแต่จะทำให้ยุทธภพวุ่นวายและเกิดเหตุนองเลือด เลยตัดสินใจนำดาบกลับสำนักเพื่อให้อาจารย์ตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไร โดยจุดไฟเผาศาลเจ้าที่เต็มไปด้วยเกลือพิษและศพก่อนจากไป
ขณะนั่งเรือลำน้อยข้ามแม่น้ำ อวี๋ไต้เหยียนรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แถมอยู่ๆ คนแจวเรือก็กระโจนหนีลงน้ำ หลังจากนั้นไม่นานก็มีเรือลำใหญ่ยักษ์พุ่งตรงเข้ามาหาเรือลำน้อย อวี๋ไต้เหยียนไม่มีทางเลือกเลยจำต้องใช้วิชาตัวเบากระโจนขึ้นสู่เรือใหญ่ก่อนที่เรือลำน้อยจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เขากวาดตามองไปรอบๆ แต่ไม่พบคนบนเรือ ทันใดนั้น มีเสียงชายคนหนึ่งกล่าวชมวิชาตัวเบาของอวี๋ไต้เหยียน ชายคนดังกล่าวรู้ว่านั่นคือวิชาตัวเบา "ทะยานบันไดเมฆ" ของสำนักอู่ตัง [บู๊ตึ๊ง] จึงเดาว่าอวี๋ไต้เหยียนคงเป็นหนึ่งในเจ็ดจอมยุทธ อวี๋ไต้เหยียนได้ยินดังนั้นจึงแนะนำตัว เขารู้ว่าตนถูกชายคนดังกล่าวบีบให้ขึ้นมาบนเรือหมายชิงดาบฆ่ามังกร จึงตำหนิชายคนดังกล่าวที่ไม่แสดงตัว และบอกให้ออกมาสู้กันซึ่งหน้า
อินเหย่หวังได้ยินดังนั้นจึงเผยตัว แต่เขาไม่ยอมบอกชื่อแซ่ของตนโดยอ้างว่าไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง อินเหย่หวังได้ยินว่าอวี๋ไต้เหยียนเป็นจอมยุทธที่ผดุงคุณธรรม ทั้งยังสังหารทหารราชวงศ์หยวน (มองโกล) มากมายหมายปกป้องผู้บริสุทธิ์ เขาจึงยกย่องคนอย่างอวี๋ไต้เหยียนในฐานะที่เป็นชาวฮั่นเหมือนกัน เขากล่าวว่าตราบใดที่อวี๋ไต้เหยียนยอมมอบดาบฆ่ามังกรให้ตนแต่โดยดี ตนจะไม่เอาชีวิตอวี๋ไต้เหยียน อวี๋ไต้เหยียนแย้งว่าหากปล่อยให้ยอดศาสตราวุธตกอยู่ในมือคนใจโฉดโหดเหี้ยมก็เท่ากับตนนำภัยมาสู่ยุทธภพ หลังขอดีๆ ไม่เป็นผลอินเหย่หวังจึงลงมือจู่โจมทันที แต่ทว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอวี๋ไต้เหยียน อวี๋ไต้เหยียนจะสังหารอินเหย่หวังแต่ถูกลอบกัดด้วยเข็มพิษเสียก่อน อินเหย่หวังสบโอกาสซัดฝ่ามือใส่อวี๋ไต้เหยียน เขาจะสังหารอวี๋ไต้เหยียนแต่หญิงสาวคนหนึ่งร้องห้ามเอาไว้ อวี๋ไต้เหยียนพยายามเงยหน้ามองหญิงสาวคนดังกล่าว แต่สายตาของเขาเริ่มพร่ามัวและหมดสติไปเสียก่อน
เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งอวี๋ไต้เหยียนก็พบว่าตนถูกหญิงสาวคนหนึ่งนำตัวมาที่สำนักคุ้มภัยหลงเหมิน [เหล็งมึ้ง] แม้ขยับตัวไม่ได้และสายตายังคงพร่ามัวแต่เขาได้ยินทุกอย่าง ครั้นหญิงสาวคนดังกล่าว (ซึ่งแต่งกายเลียนแบบผู้ชาย) ขนทองคำสองพันตำลึงมาเป็นค่าจ้างในการส่งอวี๋ไต้เหยียนกลับสำนักอู่ตัง "ตูต้าจิ่น" [โตวไต้กิ้ม] หัวหน้าสำนักคุ้มภัยหลงเหมินจึงชี้ว่างานที่มีเงื่อนงำหรือมีที่มาไม่กระจ่างพวกตนไม่รับ (เป็นเงื่อนไขปกติของสำนัก) หญิงสาวกล่าวว่าต่อให้เขารับงานนี้ก็ใช่ว่าจะทำได้โดยง่าย เพราะเธอมีเงื่อนไขสามข้อ หนึ่งหัวหน้าสำนักคุ้มภัยต้องไปส่งด้วยตนเอง สองต้องเร่งรุดเดินทางจากเมืองหลินอันไปยังเขาอู่ตังที่เมืองเซียงหยางโดยไม่หยุดพักทั้งกลางวันและกลางคืน ภายในสิบวันต้องส่งคนถึงมือเจ้าสำนักจางซานฟง สามหากมีเรื่องผิดพลาดเธอจะสังหารทุกคนในสำนักคุ้มภัยหลงเหมิน
หลังโดนท้าทาย ประกอบกับได้ค่าจ้างสูงลิ่ว ในที่สุดสำนักคุ้มภัยหลงเหมินก็ยอมรับงานนี้ เมื่อตูต้าจิ่นและพวกเดินทางมาถึงเชิงเขาอู่ตัง อยู่ๆ ก็มีชายหกคนซึ่งแต่งกายคล้ายศิษย์สำนักอู่ตังควบม้ามาดักหน้าก่อนที่ทุกคนจะผ่านเข้าประตูสำนัก ตูต้าจิ่นรีบแนะนำตัวก่อนร้องถามชื่อแซ่ของชายทั้งหก หนึ่งในนั้นถามกลับว่าตูต้าจิ่นมาที่นี่ในวันนี้ด้วยเหตุผลใด ตูต้าจิ่นชี้ว่าตนถูกว่าจ้างให้มาส่งผู้บาดเจ็บบนเขาแห่งนี้และต้องส่งเขาให้ถึงมือเจ้าสำนักจาง ที่แท้หนึ่งในชายที่อยู่บนหลังม้าคืออาซาน (ชายเสื้อคลุมขาวตอนต้นเรื่อง) เขาและพวกสวมรอยเป็นศิษย์สำนักอู่ตังเพื่อตามหาอวี๋ไต้เหยียนและดาบฆ่ามังกร อาซานขอให้ตูต้าจิ่นพาตนไปดูผู้บาดเจ็บพลางถามว่าคนเจ็บเป็นใคร บาดเจ็บได้อย่างไร ตูต้าจิ่นออกตัวว่าพวกตนแค่ทำงานตามที่คนแซ่อิน [แซ่ฮึง] ว่าจ้างจึงไม่รู้และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ (ในตอนนั้นมีใครคนหนึ่งแอบซุ่มดูอยู่ห่างๆ) อาซานสงสัยว่าคนแซ่อินมีรูปร่างหน้าตาเช่นไร ตูต้าจิ่นตอบว่าเป็นบุรุษที่ทั้งหล่อและสง่างาม
"อาเอ้อร์" ซึ่งอยู่บนหลังม้าชักเริ่มหงุดหงิดที่เห็นอาซานมัวแต่ถามโน่นนี่ไม่ยอมเข้าเรื่องเสียที เขาจึงตะโกนถามดื้อๆ ว่าดาบฆ่ามังกรอยู่ที่ไหน (อวี๋ไต้เหยียนได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าตนกำลังมีภัยแต่เขาไม่สามารถขยับตัวได้) ตูต้าจิ่นสงสัยว่าดาบฆ่ามังกรคืออะไร อาซานจึงรีบตัดบทด้วยการขอดูผู้บาดเจ็บที่อยู่ในรถม้า พอเปิดม่านดูแล้วพบว่าเป็นอวี๋ไต้เหยียน อาซานจึงแกล้งร้องว่า "อวี๋ซานตี้" (น้องสามแซ่อวี๋) อวี๋ไต้เหยียนเห็นอาซานแล้วจำได้ทันที เขาพยายามขยับเยื้อนร่างกายแต่ไม่สามารถทำได้ อาซานโกหกตูต้าจิ่นว่าคนที่อยู่ในรถม้าคือน้องสามของตนและขอรับตัวกลับไปรักษา ตูต้าจิ่นนึกว่าอาซานคือหนึ่งในเจ็ดจอมยุทธผู้เลื่องชื่อของสำนักอู่ตังจึงรีบคารวะด้วยความยกย่อง อาซานออกตัวว่าตนชื่อเสียงต้อยต่ำไม่ควรค่าแก่การเอ่ยอ้าง เขาขอบคุณตูต้าจิ่นที่เดินทางรอนแรมมาไกล จากนั้นก็โยนทองคำก้อนหนึ่งให้เป็นสินน้ำใจและคุมรถม้าจากไปทันที
จางชุ่ยซานควบม้าผ่านมาพบตูต้าจิ่นและพวก (ซึ่งกำลังพักดื่มน้ำระหว่างเดินทางกลับ) จึงเข้าไปสอบถามว่าพวกเขามาจากสำนักคุ้มภัยหลงเหมินใช่หรือไม่ ตูต้าจิ่นและพวกต่างรู้สึกแปลกใจเมื่อชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าบอกว่าตนคือจางชุ่ยซานแห่งสำนักอู่ตัง พวกเขารู้ว่าจางชุ่ยซานคือชื่อของจอมยุทธลำดับที่ห้า แต่ทว่าพวกเขาเพิ่งเจอเจ็ดจอมยุทธ (รวมอวี๋ไต้เหยียน) ของสำนักอู่ตังมาหมาดๆ จางชุ่ยซานยืนยันว่าตนคือศิษย์คนที่ห้าของสำนักอู่ตัง ก่อนถามว่าระหว่างเดินทางจากหลินอันมาที่นี่ได้พบเจอเหตุการณ์ใดหรือไม่ เขาชี้ว่าพี่สามของตนลงเขาไปปฏิบัติภารกิจ ยามนี้ควรกลับถึงสำนักแล้วแต่ตนยังไม่เห็นแม้เงา ครั้นรู้ว่าพี่สามที่จางชุ่ยซานเอ่ย่ถึงคืออวี๋ไต้เหยียน ตูต้าจิ่นก็รู้สึกสังหรณ์ใจ เขาถามจางชุ่ยซานว่าเหล่าจอมยุทธอู่ตังพาอวี๋ไต้เหยียนขึ้นเขาไปแล้วมิใช่หรือ จางชุ่ยซานแย้งว่าตนเพิ่งลงจากเขา ตลอดทางไม่พบเจอใคร จากนั้นก็ถามว่าตูต้าจิ่นว่าพบพี่สามตนที่ไหน
อีกด้านหนึ่งอาซานพยายามเค้นถามอวี๋ไต้เหยียนว่าดาบฆ่ามังกรอยู่ที่คนสกุลอินใช่หรือไม่ เขารู้ว่าอวี๋ไต้เหยียนพูดไม่ได้จึงบอกให้กระพริบตาแทนคำตอบ หลังไม่ได้รับการตอบสนองอาซานจึงบิดหักกระดูกเส้นเอ็นแขนขาอวี๋ไต้เหยียนด้วยพลังดรรชนีวชิระ (วิชาดรรชนีวชิระเป็นของสำนักเส้าหลิน) ก่อนนำร่างของอวี๋ไต้เหยียนไปทิ้งไว้ในป่า ครั้นจางชุ่ยซานมาพบเข้าจึงรีบแบกร่างอวี๋ไต้เหยียนกลับสำนักหมายให้อาจารย์ช่วยรักษา (ใช้วิชาตัวเบาลอยขึ้นเขาแทนการขี่ม้า) หลังพบว่าอวี๋ไต้เหยียนแขนขาหักผิดรูป ซ่งยฺเหวี่ยนเฉียว [ซ่งเอี้ยงเกี๊ยว] (ศิษย์พี่ใหญ่) ก็ร้องบอกเหล่าศิษย์น้องและอาจารย์ว่าอวี๋ไต้เหยียนถูกพลังดรรชนีวชิระทำร้าย ทุกคนได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกตกใจ (ที่ผ่านมาเส้าหลินกับอู่ตัง [บู๊ตึ๊ง] ไม่ข้องแวะกัน)
จางซานฟงใช้พลังภายในช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้อวี๋ไต้เหยียน ไม่นานเข็มพิษสามเล่มที่ฝังอยู่ในตัวของอวี๋ไต้เหยียนก็ถูกขับออกมา จางชุ่ยซานถามอาจารย์ว่าพี่สามจะรอดหรือไม่ จางซานฟงตอบว่าต้องดูอาการนานหนึ่งเดือนจึงจะรู้แน่ชัด จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าวิตกกังวลว่าข้อต่อกระดูกของอวี๋ไต้เหยียนล้วนถูกบิดหักจนเกินเยียวยา ตนเกรงว่าเขาอาจเดินไม่ได้อีกเลย จางซงซี [เตียซ่งโคย] (ศิษย์คนที่สี่) นำเข็มพิษสามเล่มที่กระเด็นออกจากร่างอวี๋ไต้เหยียนมาให้อาจารย์ดู พลางกล่าวว่าอวี๋ไต้เหยียนไม่เพียงถูกทำร้ายด้วยพลังดรรชนีวชิระแต่ยังโดนเข็มพิษเล่นงานด้วย จางซานฟงพิจารณาดูเข็มพิษดังกล่าวแต่เขาไม่เคยพบเห็นเข็มชนิดนี้มาก่อน
ครั้นรู้ว่าคนของสำนักคุ้มภัยหลงเหมินมาขอพบอาจารย์เพื่อสอบถามอาการบาดเจ็บของพี่สาม จางชุ่ยซานจึงออกไปทำร้ายตูต้าจิ่นและพวกด้วยความโกรธแค้นทันที ศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปห้าม ตูต้าจิ่นโวยลั่นว่าตนมาขอเข้าพบด้วยความจริงใจ ไยอู่ตังถึงไร้มารยาทขาดเหตุผลเช่นนี้ เขายืนยันว่าพวกตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำร้ายอวี๋ไต้เหยียน ก่อนเล่าว่าลูกค้าแซ่อิน [แซ่ฮึง] จ้างพวกตนสองพันตำลึงทองให้คุ้มครองและพา "อวี๋ซานเสีย" (จอมยุทธสามแซ่อวี๋) มาส่งที่อู่ตัง จางชุ่ยซานได้ยินแล้วยิ่งโกรธ เขาโวยว่าตูต้าจิ่นได้ค่าจ้างจำนวนมหาศาลแต่กลับไม่รักษาสัญญาและไม่สามารถพาพี่สามของตนมาส่งยังที่หมาย ตูต้าจิ่นยอมรับว่าตนทำงานบกพร่องและสมควรตาย พวกตนจึงมาที่นี่เพื่อสารภาพผิด เขากล่าวว่าหากอวี๋ไต้เหยียนเกิดเป็นอะไรไปจริงๆ สำนักหลงเหมิน 71 ชีวิตจะถูกกวาดล้างให้ตายตกไปตามกัน เช่นนี้แล้วสมใจ "จางอู่เสีย" (จอมยุทธห้าแซ่จาง) หรือยัง
จางซานฟงถามตูต้าจิ่นว่าเขาหมายความเช่นไร ตูต้าจิ่นชี้ว่าหากพวกตนทำงานผิดพลาด คนแซ่อินจะสังหารทุกชีวิตในสำนักคุ้มภัยหลงเหมิน เขาเห็นว่าจางชุ่ยซานระบายโทสะกับพวกตนแล้วจึงขอตัว แต่โม่เซิงกู่ [มกเซียก๊อก] (ศิษย์คนที่เจ็ด) ยังคงเคียดแค้นจึงไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ หลังถูกโม่เซิงกู่คว้าคอเสื้อ ตูต้าจิ่นจึงโวยลั่นพลางปัดแขนโม่เซิงกู่เต็มแรง และนั่นก็ทำให้ทองก้อนหนึ่งที่อยู่ในเสื้อของตูต้าจิ่นร่วงลงพื้น จางชุ่ยซานสังเกตเห็นรอยบุ๋มบนก้อนทองจึงหยิบขึ้นมาให้ทุกคนดูพลางขี้ว่ารอยบุ๋มนี้เหมือนร่องรอยที่ปรากฏบนตัวพี่สาม เขาสงสัยว่าตูต้าจิ่นเห็นแก่ทองก้อนนี้จึงส่งตัวพี่สามของตนให้คนต่ำช้า
ซ่งยฺเหวี่ยนเฉียวยื่นทองให้อาจารย์ดูพลางบอกว่าเป็นร่องรอยของวิชาดรรชนีวชิระ ตูต้าจิ่นนึกขึ้นได้จึงเล่าว่า ก่อนหน้านี้พวกที่สวมรอยเป็นศิษย์อู่ตังแล้วพาอวี๋ไต้เหยียนไปได้เอ่ยถามตนเรื่องดาบฆ่ามังกร จางซานฟงได้ยินดังนั้นจึงสั่งให้อินหลีถิง [ฮึงหลีเต็ง] (ศิษย์คนที่หก) พาโม่เซิงกู่เดินทางไปยังเมืองหลินอันพร้อมคณะของตูต้าจิ่น หมายให้ช่วยปกป้องคนของสำนักคุ้มภัยหลงเหมินและครอบครัว จางชุ่ยซานแทบไม่เชื่อหูเมื่อได้ยินเช่นนั้น อินหลีถิงกับโม่เซิงกู่ต่างพากันอิดออดเพราะยังคงโกรธแค้นตูต้าจิ่นและพวก ส่วนตูต้าจิ่น (ซึ่งพยายามระงับความโกรธ) รีบปฏิเสธทันควันและขอตัวกลับทันที
จางซานฟง (ซึ่งเคยดูแลหอเก็บคัมภีร์ของวัดเส้าหลินกับผู้เป็นอาจารย์ในเมื่อครั้งยังเยาว์ แต่ภายหลังมีเหตุให้ต้องหลบหนีออกจากวัด) มองรอยนิ้วบนก้อนทองพลางกล่าวว่ามีน้อยคนนักในวัดเส้าหลินที่สำเร็จวิชาดรรชนีวชิระ ผู้สำเร็จวิชาขั้นนี้ล้วนเป็นปรมาจารย์ทั้งสิ้น พวกเขาไม่มีทางทำเรื่องโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ โม่เซิงกู่ฟันธงว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับวัดเส้าหลินแน่เพราะตูต้าจิ่นก็เป็นศิษย์เส้าหลินเช่นกัน จางซานฟงตำหนิโม่เซิงกู่ที่วู่วามและคิดแต่จะเอาคืน พลางชี้ว่าสำนักคุ้มภัยหลงเหมินไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอวี๋ไต้เหยียน ที่สำคัญพวกเขาจะทำร้ายอวี๋ไต้เหยียนให้ตนเองและครอบครัวเดือดร้อนทำไม จางซงซี [เตียซ่งโคย] ซึ่งเป็นคนเจ้าปัญญาและเงียบขรึมเชื่อว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับดาบฆ่ามังกรเป็นแน่ จางซานฟงกล่าวว่ากิตติศัพท์ของดาบฆ่ามังกรเป็นที่กล่าวขานในยุทธภพมานานหลายสิบปี ถึงกระนั้นก็ไม่เคยปรากฏให้เห็น จางชุ่ยซานกล่าวว่าในที่สุดดาบเล่มนี้ก็ปรากฏอีกครั้งและกำลังเป็นที่หมายปองของเหล่าคนใจโฉดโหดเหี้ยม ไม่แน่ว่าวัดเส้าหลินอาจยำเกรงเพลงยุทธของสำนักตนเลยร่วมวงตามหาดาบฆ่ามังกร
จางซานฟงถามตูต้าจิ่นว่าเขาหมายความเช่นไร ตูต้าจิ่นชี้ว่าหากพวกตนทำงานผิดพลาด คนแซ่อินจะสังหารทุกชีวิตในสำนักคุ้มภัยหลงเหมิน เขาเห็นว่าจางชุ่ยซานระบายโทสะกับพวกตนแล้วจึงขอตัว แต่โม่เซิงกู่ [มกเซียก๊อก] (ศิษย์คนที่เจ็ด) ยังคงเคียดแค้นจึงไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ หลังถูกโม่เซิงกู่คว้าคอเสื้อ ตูต้าจิ่นจึงโวยลั่นพลางปัดแขนโม่เซิงกู่เต็มแรง และนั่นก็ทำให้ทองก้อนหนึ่งที่อยู่ในเสื้อของตูต้าจิ่นร่วงลงพื้น จางชุ่ยซานสังเกตเห็นรอยบุ๋มบนก้อนทองจึงหยิบขึ้นมาให้ทุกคนดูพลางขี้ว่ารอยบุ๋มนี้เหมือนร่องรอยที่ปรากฏบนตัวพี่สาม เขาสงสัยว่าตูต้าจิ่นเห็นแก่ทองก้อนนี้จึงส่งตัวพี่สามของตนให้คนต่ำช้า
ซ่งยฺเหวี่ยนเฉียวยื่นทองให้อาจารย์ดูพลางบอกว่าเป็นร่องรอยของวิชาดรรชนีวชิระ ตูต้าจิ่นนึกขึ้นได้จึงเล่าว่า ก่อนหน้านี้พวกที่สวมรอยเป็นศิษย์อู่ตังแล้วพาอวี๋ไต้เหยียนไปได้เอ่ยถามตนเรื่องดาบฆ่ามังกร จางซานฟงได้ยินดังนั้นจึงสั่งให้อินหลีถิง [ฮึงหลีเต็ง] (ศิษย์คนที่หก) พาโม่เซิงกู่เดินทางไปยังเมืองหลินอันพร้อมคณะของตูต้าจิ่น หมายให้ช่วยปกป้องคนของสำนักคุ้มภัยหลงเหมินและครอบครัว จางชุ่ยซานแทบไม่เชื่อหูเมื่อได้ยินเช่นนั้น อินหลีถิงกับโม่เซิงกู่ต่างพากันอิดออดเพราะยังคงโกรธแค้นตูต้าจิ่นและพวก ส่วนตูต้าจิ่น (ซึ่งพยายามระงับความโกรธ) รีบปฏิเสธทันควันและขอตัวกลับทันที
จางซานฟง (ซึ่งเคยดูแลหอเก็บคัมภีร์ของวัดเส้าหลินกับผู้เป็นอาจารย์ในเมื่อครั้งยังเยาว์ แต่ภายหลังมีเหตุให้ต้องหลบหนีออกจากวัด) มองรอยนิ้วบนก้อนทองพลางกล่าวว่ามีน้อยคนนักในวัดเส้าหลินที่สำเร็จวิชาดรรชนีวชิระ ผู้สำเร็จวิชาขั้นนี้ล้วนเป็นปรมาจารย์ทั้งสิ้น พวกเขาไม่มีทางทำเรื่องโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ โม่เซิงกู่ฟันธงว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับวัดเส้าหลินแน่เพราะตูต้าจิ่นก็เป็นศิษย์เส้าหลินเช่นกัน จางซานฟงตำหนิโม่เซิงกู่ที่วู่วามและคิดแต่จะเอาคืน พลางชี้ว่าสำนักคุ้มภัยหลงเหมินไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอวี๋ไต้เหยียน ที่สำคัญพวกเขาจะทำร้ายอวี๋ไต้เหยียนให้ตนเองและครอบครัวเดือดร้อนทำไม จางซงซี [เตียซ่งโคย] ซึ่งเป็นคนเจ้าปัญญาและเงียบขรึมเชื่อว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับดาบฆ่ามังกรเป็นแน่ จางซานฟงกล่าวว่ากิตติศัพท์ของดาบฆ่ามังกรเป็นที่กล่าวขานในยุทธภพมานานหลายสิบปี ถึงกระนั้นก็ไม่เคยปรากฏให้เห็น จางชุ่ยซานกล่าวว่าในที่สุดดาบเล่มนี้ก็ปรากฏอีกครั้งและกำลังเป็นที่หมายปองของเหล่าคนใจโฉดโหดเหี้ยม ไม่แน่ว่าวัดเส้าหลินอาจยำเกรงเพลงยุทธของสำนักตนเลยร่วมวงตามหาดาบฆ่ามังกร
จางซานฟงสั่งให้ซ่งยฺเหวี่ยนเฉียว (ศิษย์คนแรก) และจางซงซี (ศิษย์คนที่สี่) เดินทางไปยังวัดเส้าหลินเพื่อสอบถามว่าเคยมีใครลอบฝึกวิชาดรรชนีวชิระหรือไม่ โดยกำชับให้วางตัวอย่างเหมาะสมและรักษากิริยา อย่าลืมว่าตนมาจากสำนักเส้าหลินเช่นกัน จางชุ่ยซานขออนุญาเดินทางไปยังที่เมืองหลินอันเพื่อสืบสาวเรื่องราวเกี่ยวกับดาบฆ่ามังกรและคนแซ่อิน [แซ่ฮึง] เขาต้องการสืบหาตัวผู้ที่ทำร้ายและซัดเข็มพิษใส่อวี๋ไต้เหยียนจึงคิดถามไถ่คนแซ่อินหวังได้เบาะแสเพิ่ม ก่อนออกเดินทางจางชุ่ยซานเข้าไปป้อนยาและเช็ดตัวให้อวี๋ไต้เหยียน (ในบรรดาเจ็ดจอมยุทธทั้งคู่สนิทกันมากที่สุด) จากนั้นก็สัญญาว่าจะตามล่าตัวคนร้ายให้ได้และขอให้อวี๋ไต้เหยียนรอตน
เมื่อจางชุ่ยซานเดินทางไปถึงสำนักคุ้มภัยหลงเหมินในเมืองหลินอัน กลับพบว่าคนในสำนักและครอบครัวล้วนถูกฆ่าตายจนหมดสิ้น คงมีเพียงตูต้าจิ่นที่ยังมีชีวิต ตูต้าจิ่นประณามจางชุ่ยซานว่าโหดเหี้ยมอำมหิตเกินคน ตนเก็บทองไว้แค่ 200 ตำลึงเขากลับฆ่าล้างสำนักตนได้ลงคอ (ละครตอนที่หนึ่งไม่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ระหว่างเดินทางมายังเมืองหลินอันจางชุ่ยซานเห็นชาวบ้านเดือดร้อนหนักจากเหตุอุทกภัย จึงบีบให้ตูต้าจิ่นนำทอง (ค่าจ้าง) สองพันตำลึงมาช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั้งหมด ด้วยเห็นว่าเขาทำงานพลาดจึงไม่สมควรรับค่าจ้าง ทั้งยังขู่ด้วยว่าหากเม้มไว้เพียงนิดตนจะฆ่าทุกชีวิตในสำนักคุ้มภัยให้สิ้นซาก) จางชุ่ยซานพยายามอธิบายว่าไม่ใช่ฝีมือตนแต่ไม่เป็นผล ตูต้าจิ่นซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสโกรธแค้นจางชุ่ยซานจึงคิดที่จะสังหารเขา แต่ยังไม่ทันได้ลงมือก็ทรุดลงตรงหน้าจางชุ่ยซาน เมื่อหลวงจีนวัดเส้าหลินมาถึง ตูต้าจิ่นจึงชี้ไปที่จางชุ่ยซานพลางฟ้องว่าจางชุ่ยซานแห่งสำนักอู่ตังฆ่าล้างสำนักตน จากนั้นก็สิ้นใจตาย (ตูต้าจิ่นเป็นศิษย์ฆราวาสวัดเส้าหลิน เขารู้ว่าสำนักตนกำลังมีภัยจึงติดต่อขอให้อาจารย์ลุงและอาจารย์อานำศิษย์เส้าหลินมาช่วย)
ครั้นเห็นตูต้าจิ่นขาดใจตายต่อหน้า เหล่าหลวงจีนวัดเส้าหลินจึงคิดใช้เลือดล้างหนี้เลือดโดยไม่ถามไถ่ไต่สวน จางชุ่ยซานไม่ต้องการให้อู่ตังกับเส้าหลินแตกหักกันเพราะตนจึงได้แต่ปัดป้องและพยายามชี้แจงว่าตูต้าจิ่นเข้าใจผิด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝีมือตน เขาขอให้ทุกคนหยุดต่อสู้แล้วมาช่วยกันสืบหาความจริงให้กระจ่าง หลวงจีนวัดเส้าหลินประกาศว่าอู่ตังสังหารศิษย์เส้าหลิน คืนนี้พวกตนจะใช้เลือดล้างหนี้เลือดให้จงได้ พูดจบเหล่าหลวงจีนวัดเส้าหลินก็รุมเล่นงานจางชุ่ยซานทันที จางชุ่ยซานไม่คิดทำร้ายหลวงจีนวัดเส้าหลินจึงได้แต่หลบหลีกและปัดป้อง (เขาไม่ชักกระบี่ออกจากฝัก) ขณะที่จางชุ่ยซานตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ (โดนคฑาและไม้พลองล็อคตัว) อยู่ๆ ก็มีคนลอบซัดอาวุธลับใส่หลวงจีนรูปหนึ่งที่ดวงตา จางชุ่ยซานจึงหลุดรอดมาได้ หลังจากนั้นก็มีหลวงจีนอีกรูปโดนอาวุธลับทำร้ายดวงตาข้างหนึ่งเช่นกัน จางชุ่ยซานเห็นใครคนหนึ่งวิ่งหนีไปจึงร้องบอกเหล่าหลวงจีนว่าคนร้ายตัวจริงยังอยู่ที่นี่ จากนั้นก็วิ่งไล่ตามคนร้ายไป
จางชุ่ยซานไล่ตามคนร้ายมาที่ริมน้ำท่ามกลางสายฝน แต่คนร้ายกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เขาสงสัยว่าคนร้ายอาจซ่อนตัวบนเรือลำหนึ่งที่ลอยอยู่กลางน้ำเลยใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นหัวเรือลำดังกล่าว แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปสำรวจด้านในก็มีหญิงงามคนหนึ่งเดินออกมาเสียก่อน (เธอคือ "อินซู่ซู่" [ฮึงซู่ซู่]) จางชุ่ยซานเห็นดังนั้นจึงรีบถอยด้วยความตกใจและขออภัยเธอ หญิงสาวถามว่าเหตุใดเขาถึงบุกขึ้นมาบนเรือเธอในยามวิกาล ครั้นเห็นใบหน้าหญิงสาวชัดๆ จางชุ่ยซานถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ เขาแนะนำตัวก่อนตอบว่าตนกำลังตามหาคนสำคัญจึงบุ่มบ่ามขึ้นมาบนเรือ หญิงสาวถามว่าเขาพบคนที่กำลังตามหาหรือไม่ จางชุ่ยซานตอบว่ายังไม่พบและถามเธอว่าเห็นคนน่าสงสัยแถวนี้หรือไม่ หญิงสาวตอบว่าบนเรือลำนี้มีเพียงเธอ จางชุ่ยซานถามชื่อแซ่หญิงสาวแต่เธอนิ่งเงียบไม่ยอมตอบ เขาเห็นว่าฝนกำลังตกจึงบอกให้เธอกลับเข้าไปหลบฝนข้างในและขอตัว
หญิงสาวบอกให้เขารอสักครู่จากนั้นก็หยิบร่มกระดาษออกมากางแล้วยื่นให้เขา บนร่มมีภาพวาดสีจางๆ แต่กลับมีตัวอักษรขนาดใหญ่และโดดเด่นเหมือนเธอจงใจเขียนให้เขาอ่าน ข้อความระบุว่า "ลมโชยฝนพรำ ไม่จำเป็นต้องคืนกลับ" (เป็นประโยคอันโด่งดังจากลำนำสมัยราชวงศ์ถังของ "จางจื้อเหอ" (ลำนำคนหาปลา) เนื้อหาดั้งเดิมในลำนำกล่าวถึงชายชราที่กำลังนั่งตกปลาอย่างมีความสุขท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม เขาหลงใหลทัศนียภาพอันงดงามของฤดูใบไม้ผลิจนลืมกลับบ้านแม้มีลมฝน) หญิงสาวถามจางชุ่ยซานว่าตัวอักษรที่อยู่บนร่มควรค่าแก่การแลมองหรือไม่ (ข้อความดังกล่าวแฝงความนัยว่าเธอมีใจให้เขา) จางชุ่ยซานได้แต่วิเคราะห์วิจารณ์ลายเส้นโดยบอกได้ทันทีว่าเธอคัดลอกลายมือของ "เว่ยฟูเหริน" (นักเขียนอักษรพู่กันจีน (หญิง) ชื่อดังสมัยราชวงศ์จิน)
หลังจางชุ่ยซานช่วยชี้แนะเรื่องการเขียนตัวอักษร หญิงสาวจึงมองเห็นข้อผิดพลาดของตนได้อย่างปรุโปร่ง เธอขอบคุณเขาโดยกล่าวว่าสนทนากับเขาเพียงครั้งดีกว่าอ่านตำรานับสิบปี หลังสบตากันครู่หนึ่งจางชุ่ยซานก็ขอตัวทันทีโดยบอกว่าตนมีธุระสำคัญ จากนั้นก็คืนร่มให้เธอ หญิงสาวรับร่มแล้วบอกจางชุ่ยซานว่าตนแซ่อิน [แซ่ฮึง] จางชุ่ยซานได้ยินแล้วหูผึ่ง เขารีบถามเธอว่ารู้จักพี่สามของตนหรือไม่
รายชื่อนักแสดง
* ชื่อตัวละครเป็นภาษาจีนกลาง ส่วน [ในวงเล็บ] คือชื่อที่ออกเสียงสำเนียงแต้จิ๋วนักแสดงนำ
เจิงซุ่นซี
รับบท จางอู๋จี้ [เตียบ่อกี้]
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)
เฉินอวี้ฉี
รับบท จ้าวหมิ่น [เตี๋ยเมี่ยง] (ชื่อมองโกล: หมินหมิ่นเท่อมู่เอ่อร์)
(นักแสดง ชาวจีน)
จู้ซวี่ตาน
รับบท โจวจื่อรั่ว [จิวจี้เยียก]
(นักแสดง ชาวจีน)
* ชื่อนักแสดงในภาพด้านล่างเรียงลำดับจากซ้ายไปขวา
สำนักอู่ตัง [บู๊ตึ๊ง]
- หวังเต๋อซุ่น รับบท จางซานฟง [เตียซำฮง] - เจ้าสำนัก - (นักแสดง ชาวจีน)
- กัวจวิน รับบท ซ่งยฺเหวี่ยนเฉียว [ซ่งเอี้ยงเกี๊ยว] - ศิษย์คนที่หนึ่ง - (นักแสดง ชาวจีน)
- หวงเชียน รับบท อวี๋เหลียนโจว [ยู้เน้ยจิว] - ศิษย์คนที่สอง - (นักแสดง / นายแบบ ชาวจีน)
- กงเจิ้งหนาน รับบท อินหลีถิง [ฮึงหลีเต็ง] - ศิษย์คนที่หก - (นักแสดง ชาวจีน)
- เฉินเจี้ยน รับบท โม่เซิงกู่ [มกเซียก๊อก] - ศิษย์คนที่เจ็ด - (นักแสดง ชาวจีน)
- จางเชาเหริน รับบท ซ่งชิงซู [ซ่งแชจือ] - ลูกชาย "ซ่งยฺเหวี่ยนเฉียว" [ซ่งเอี้ยงเกี๊ยว] - (นักแสดง ชาวจีน)
หมิงเจี้ยว [นิกายเม้งก่า] หรือพรรคจรัส
- อวี๋โป รับบท หยางติ่งเทียน [เอี้ยเต็งที] - ประมุขรุ่นที่ 33 - (นักแสดง ชาวจีน)
- หลี่อีเสี่ยว รับบท หลิ่วซินหรู - หยางฟูเหริน (ภรรยาหยางติ่งเทียน) - (นักแสดง ชาวจีน)
- หลินอวี่เซิน รับบท หยางเซียว [เอี้ยเซียว] - ทูตซ้าย - (นักแสดง ชาวจีน)
- จงเฟิงเหยียน รับบท ฟ่านเหยา [ฮ่วมเอี้ยว] - ทูตขวา - (นักแสดง ชาวจีน)
- หยางหมิงน่า รับบท ไต้ฉี่ซือ [ไดอีซี่] / แม่เฒ่าจินฮัว [แม่เฒ่ากิมฮวย] - หนึ่งใน 4 ผู้คุมกฎ ฉายา "มังกรเสื้อม่วง" ความจริงเป็นธิดาประมุขสาขาใหญ่ที่เปอร์เซีย และเป็นมารดาเสี่ยวเจียว - (นักแสดง ชาวจีน)
- เสี้ยวหรงเซิง รับบท อินเทียนเจิ้ง [ฮึงทีเจี่ย] - หนึ่งใน 4 ผู้คุมกฎ ฉายา "พญาอินทรีคิ้วขาว" ภายหลังออกมาก่อตั้งนิกายเทียนอิง - (นักแสดง ชาวจีน)
- เฮยจื่อ รับบท เซี่ยซวิ่น [เจี่ยซุ่น] - หนึ่งใน 4 ผู้คุมกฎ ฉายา "พญาราชสีห์ขนทอง" - (นักแสดง ชาวจีน)
- เฉินช่วง รับบท เหวยอี๋เสี้ยว [อุ้ยเจ็กเฉีย] - หนึ่งใน 4 ผู้คุมกฎ ฉายา "พญาค้างคาวปีกเขียว" - (นักแสดง ชาวจีน)
- หยางอี้เวย รับบท โจวเตียน [จิวเตียง] - หนึ่งในห้าพเนจร - (นักแสดง ชาวจีน)
- หลินอี่เจิ้ง รับบท หลวงจีนซัวปู้เต๋อ [ซ่วยปุกติกไต้ซือ] (ซัวปู้เต๋อ แปลว่า "บอกไม่ได้") - หนึ่งในห้าพเนจร - (นักแสดง ชาวจีน)
- สวีหย่าถิง รับบท หานเจา / เสี่ยวเจา [เสี่ยวเจียว] - ลูกสาวไต้ฉี่ซือ [ไดอีซี่] หรือแม่เฒ่าจินฮัว [แม่เฒ่ากิมฮวย] กับ หานเชียนเย่ - (นักแสดง / นักร้อง ชาวฮ่องกง)
- ซุนอันเข่อ รับบท หยางปู้หุ่ย [เอี้ยปุ๊กหุ่ย] - ลูกสาวหยางเซียว [เอี้ยเซียว] กับ จี้เสี่ยวฝู [กีเฮียวพู้] - (นักแสดง ชาวจีน)
- หลี่ฮ่าวเซวียน รับบท ฉางอวี้ชุน [เซี้ยง่อชุน] - สังกัดกองธงรุ่ยจิน (หนึ่งในกองธงห้าธาตุ) - (นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)
- จินเจา รับบท จูหยวนจาง [จูง้วนเจียง] - สังกัดกองธงหงสุ่ย (หนึ่งในกองธงห้าธาตุ) เขาเป็นผู้ก่อตั้งและปฐมจักรพรรดิราชวงศ์หมิง (จักรพรรดิหงอู่) โดยชื่อราชวงศ์ (หมิง) มาจากชื่อนิกาย "หมิงเจี้ยว" [เม้งก่า] นั่นเอง - (นักแสดง ชาวจีน)
- หนิงเหวินถง รับบท หูชิงหนิว [โอ้วแชงู้] - หมอเทวดาแห่งหุบเขาผีเสื้อ - (นักแสดง ชาวจีน)
- เจิงหลี รับบท หวังหนานกู [เฮ้งลั้งโกว] - ภรรยาหูชิงหนิว [โอ้วแชงู้] - (นักแสดง ชาวจีน)
นิกายเทียนอิง (เทียนอิงเจี้ยว) หรือนิกายอินทรีฟ้า
- หร่วนเซิ่งเหวิน รับบท อินเหย่หวัง [ฮึงเอี๊ยอ้วง] - (นักแสดง / นายแบบ ชาวจีน)
- เฉินซินอวี่ รับบท อินซู่ซู่ [ฮึงซู่ซู่] - (นักแสดง ชาวจีน)
- เฉาซีเยว่ รับบท อินหลี (จูเออร์) [ฮึงลี้ / ตูยี้] - (นักแสดง ชาวจีน)
สำนักเอ๋อเหมย [สำนักง้อไบ๊]
- โจวไห่เม่ย รับบท เมี่ยเจวี๋ยซือไท่ [มิกจ้อซือไท่] - เจ้าสำนัก - (นักแสดง ชาวฮ่องกง)
- อูจิ้งจิ้ง รับบท จี้เสี่ยวฝู [กีเฮียวพู้] - มารดาหยางปู้หุ่ย [เอี้ยปุ๊กหุ่ย] - (นักแสดง ชาวจีน)
- เถาลั่วอี รับบท ติงหมินจวิน [เต็งเมี่ยงกุน] - (นักแสดง ชาวจีน)
วัดเส้าหลิน [เสี้ยวลิ้มยี่]
- ฝานเส้าหวง รับบท เฉิงคุน [เซ่งคุน] / หลวงจีนหยวนเจิน [อี้จินไต้ซือ] - "หัตถ์อัสนีบาต" อาจารย์ของเซี่ยซวิ่น [เจี่ยซุ่น] เดิมอยู่นิกายเม้งก่า - (นักแสดง ชาวฮ่องกง)
- สวีหมิง รับบท หลวงจีนคงเหวิน [คงบุ๊งไต้ซือ] - เจ้าอาวาส เป็นหนึ่งในสี่ยอดบรรพชิต - (นักแสดง ชาวจีน)
- อู่จิ้ง รับบท หลวงจีนคงจื้อ [คงตี่ไต้ซือ] - หนึ่งในสี่ยอดบรรพชิต - (นักแสดง ชาวจีน)
- อวี๋อ้ายฉวิน รับบท หลวงจีนคงซิ่ง [คงแซไต้ซือ] - หนึ่งในสี่ยอดบรรพชิต - (นักแสดง ชาวจีน)
- เฉินเป่าผิง รับบท หลวงจีนคงเจี้ยน [คงเกี่ยงไต้ซือ] - หนึ่งในสี่ยอดบรรพชิต - (นักแสดง ชาวจีน)
- หลี่จิ้นหรง รับบท เหอไท่ชง [ฮ่อไท้ชง] - เจ้าสำนัก ฉายาพิณเหล็ก - (นักแสดง ชาวจีน)
- หูเสี่ยวถิง รับบท ปานซูเสียน [ปังซกเฮี้ยง] - (นักแสดง ชาวจีน)
สำนักคงถง [สำนักคงท้ง]
- เหรินซีหง รับบท ถังเหวินเลี่ยง [ถังบุ้นเหลียง] - เจ้าสำนัก - (นักแสดง ชาวจีน)
สำนักฮั่วซาน [สำนักฮั้วซัว]
- จางกง รับบท เซียนอวี๋ทง [เซียงอูทง] - (นักแสดง ชาวจีน)
- ถานเจี้ยนชาง รับบท อาวุโสเกา - (นักแสดง ชาวจีน)
จวนหรู่หยางหวัง [ลื่อเอี้ยงอ๋อง] (ชาวมองโกล)
- หลี่เจิ้นฉี่ รับบท ฉาหั่นเท่อมู่เอ่อร์ [ชาฮังเตอมูยือ] / หรู่หยางหวัง [ลื่อเอี้ยงอ๋อง] - แม่ทัพใหญ่ราชวงศ์หยวน - (นักแสดง ชาวจีน)
- ซุนอี้ฝาน รับบท คู่คู่เท่อมู่เอ่อร์ [คูคู่เตอมูยือ] / หวังเป๋าเป่า [เฮ้งป่อป้อ] - บุตรชายหรู่หยางหวัง [ลื่อเอี้ยงอ๋อง] - (นักแสดง ชาวจีน)
- อันเจ๋อหาว รับบท เฮ่อปี่เวิง [เฮาะปิก-อง] - หนึ่งในสองผู้เฒ่าเสวียนหมิง (ผู้เฒ่าทมิฬ) - (นักแสดง ชาวจีน)
- ฟู่เจวี้ยน รับบท ลู่จ้างเค่อ - หนึ่งในสองผู้เฒ่าเสวียนหมิง (ผู้เฒ่าทมิฬ) - (นักแสดง ชาวจีน)
พรรคกระยาจก
- ซือเสี่ยวหง รับบท หลิวอ้าว (ซึ่งสวมรอยเป็นประมุข "สื่อหั่วหลง" [ซือฮวยเล้ง]) - (นักแสดง ชาวจีน)
- โหวรุ่ยเสียง รับบท เฉินโหย่วเลี่ยง [ตั้งอิ้วเหลียง] - (นักแสดง ชาวจีน)
หงเหมยซานจวง (หมู่ตึกเหมยแดง บนเขาคุนหลุน)
- ลู่จง รับบท จูฉางหลิง [จูเชี่ยงเล้ง] - (นักแสดง ชาวจีน)
- จงฉี รับบท จูจิ่วเจิน [จูเก้าจิน] - (นักแสดง / ผู้ดำเนินรายการ ชาวจีน)
อื่นๆ
- จ้าวอิงจื่อ รับบท แม่นางเสื้อเหลือง - เจ้าสำนักสุสานโบราณ - (นักแสดง ชาวจีน)
- หลีเจี่ย รับบท หานเชียนเย่ [ฮั่งโชยเฮียะ] - ฉายา "ใบไม้เงิน" แห่งเกาะงูศักดิ์สิทธิ์ เป็นสามีไต้ฉี่ซือ [ไดอีซี่] และบิดาเสี่ยวเจา [เสี่ยวเจียว] - (นักแสดง ชาวจีน)
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา