กำกับ: เจิ้งเหว่ยเหวิน, เฉินเจียหลิน
เขียนบท: หยางเซี่ย, เติ้งเหย่าอวี๋, หม่าจิ้ง, กัวกวงอวิ้น
แนวละคร: เซียนเสีย
(เกี่ยวกับผู้บำเพ็ญเพียรของลัทธิเต๋า)
จำนวนตอน: 50
ออกอากาศ: จีน - 27 มิถุนายน 2562 - 20 สิงหาคม 2562 ทางเถิงซวิ่น
(Tencent Video)
ไทย - ออกอากาศครบทุกตอนทาง WeTV.vip และทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 14.00 น. ทางช่อง 9 MCOT HD (หมายเลข 30)
ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2565 - 15 พฤษภาคม 2565
เรื่องย่อ
ละคร "ปรมาจารย์ลัทธิมาร" (The Untamed) ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง
"โหมวเต้าจู่ซือ" ของ "โม่เซียงถงซิ่ว" (ฉบับภาษาไทยจัดพิมพ์โดย "สำนักพิมพ์เบเกอรี่บุ๊ค" แปลโดย "อลิส") เนื้อหากล่าวถึงสำนักเซียนห้าตระกูลใหญ่ ได้แก่
สกุลเจียงแห่งอวิ๋นเมิ่ง สกุลจินแห่งหลานหลิง สกุลหลานแห่งกูซู
สกุลเนี่ยแห่งชิงเหอ และสกุลเวินแห่งฉีซาน
ตลอดจนมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างสองหนุ่ม "เว่ยอู๋เซี่ยน" กับ "หลานวั่งจี"
ที่มีบุคลิกนิสัยต่างกันอย่างสุดขั้ว และยึดมั่นในวิถีที่แตกต่าง ทั้งที่ควรเป็นศัตรูแต่ทั้งคู่กลับเป็นคนรู้ใจที่คอยปกป้องซึ่งกันและกัน
เกริ่นนำ:
เรื่องราวในละครสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ในตอนนั้น "เนินป่าช้าอี๋หลิง" ยังเป็นภูเขาเซียน (ภูเขาที่เหล่าเซียนอาศัยอยู่และบำเพ็ญเซียน) ณ ที่นั่น "เซวียฉงไห้" (บรรพบุรุษของ "เซวียหยาง") ได้พำนักอยู่ใน "ตำหนักสยบมาร" (ภายหลังกลายเป็น "ถ้ำสยบมาร" ของปรมาจารย์อี๋หลิง "เว่ยอู๋เซี่ยน") เขาคือปรมาจารย์เต๋าที่มีพลังบำเพ็ญแก่กล้าที่สุด เป็นที่ยกย่องนับถือในหมู่ผู้บำเพ็ญเซียน ทั้งยังเป็นเจ้าของ "เหล็กทมิฬ" (ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์) และเป็นนายของสัตว์อสูรโบราณที่ดุร้าย "ถูลู่เสวียนอู่" (เต่าดำมฤตยู - เป็นสัตว์อสูรโบราณที่ดุร้ายและกินคน) ตราบจนทุกวันนี้ยังไม่มีใครรู้ความจริงว่า เพราะเหตุใดเซวียฉงไห้ผู้เลื่องชื่อถึงเข้าสู่วิถีมาร กล่าวกันว่าเขาไม่เพียงใช้เหล็กทมิฬดูดซับจิตอาฆาตของ 'คนเป็น' แต่ยังนำคนเป็นมาสังเวยเพื่อควบคุมถูลู่เสวียนอู่ให้เข่นฆ่าคนของสำนักเซียน (เรื่องราวดังกล่าวเป็นตำนานเล่าขานที่บอกต่อๆ กันมา)
ความจริงแล้วเหล็กทมิฬเป็นสมบัติของฟ้าดินที่มีจิตวิญญาณ (สามารถดูดซับพลังฟ้าดิน และไม่สามารถทำลายให้สิ้นซากได้) แต่ภายหลังเซวียฉงไห้ได้ป้อนจิตวิญญาณคนเป็น (ดูดกลืนจิตวิญญาณขณะเหยื่อยังมีชีวิต) และพลังปราณของเหล่าผู้บำเพ็ญเซียนเข้าไปมากมาย เหล็กทมิฬเลยมีแรงอาฆาตรุนแรงจนไม่อาจชำระล้างได้ หลังเลือดไหลนองปฐพีและมีคนเสียชีวิตนับไม่ถ้วน สำนักเซียนห้าตระกูลใหญ่จึงผนึกกำลังสังหารเซวียฉงไห้บนภูเขาเซียนอี๋หลิง (นำโดย "เวินเหมา" บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งสำนักเซียนสกุลเวิน) ทั้งยังสยบถูลู่เสวียนอู่ได้สำเร็จ เหตุการณ์นี้มีเหล่านักพรตและผู้บำเพ็ญเซียนเสียชีวิตจำนวนมาก ทั่วทุกหนแห่งมีแต่ร่างไร้วิญญาณ ภูเขาเซียนอี๋หลิงเลยกลายสภาพเป็นเนินป่าช้านับแต่นั้นมา
หลังจากนั้น สำนักเซียนห้าตระกูลใหญ่ได้สยบพลังของเหล็กทมิฬด้วยการแบ่งออกเป็นสี่เสี่ยง แล้วแยกเก็บรักษาไว้อย่างลับๆ ในสถานที่ๆ เปี่ยมไปด้วยพลังจิตวิญญาณทั้งสี่ทิศ (เดิมจะเก็บกันเองแต่ควบคุมเหล็กทมิฬไม่ได้) ด้านทิศตะวันตกถูกผนึกไว้ที่ เขาต้าฟ่าน (ในตัวเทวนารีร่ายรำ), ทิศตะวันออกอยู่ที่ กูซู (ในถ้ำหานถาน หรือถ้ำธารน้ำเย็นหลังเขาของกูซู), ทิศใต้อยู่ที่ ถานโจว (อยู่ที่ภูติดอกไม้ "ซื่อฮวาหนี่ว์") และทิศเหนืออยู่ที่ เยว่หยาง (ความจริงแล้วไม่ได้อยู่ที่สกุลฉางแห่งเยว่หยาง แต่อยู่ในมือเซวียหยางตั้งแต่ต้น เซวียหยางแค่หลอก "เวินรั่วหาน" เพื่อจะได้แก้แค้นเรื่องส่วนตัว) โดยห้าตระกูลใหญ่ได้ตกลงกันว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้เพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย (พวกเขาไม่รู้ว่าความจริงแล้วชิ้นส่วนเหล็กทมิฬมีทั้งหมดห้าชิ้น (มีเพียงเซวียหยางที่รู้เรื่องนี้) ชิ้นที่ห้า ซึ่งหายไปและเป็นหัวใจของเหล็กทมิฬ ซ่อนอยู่ในถ้ำเสวียนอู่ที่เขามู่ซี โดยเหล็กทมิฬชิ้นที่ห้านี้ได้ถูกใครบางคนหลอมเป็นกระบี่เพื่อสยบถูลู่เสวียนอู่เมื่อร้อยปีก่อน)
ในเวลาต่อมา "หลานอี้" ประมุขหญิงคนแรกและคนเดียวของสกุลหลานแห่งกูซู (ประมุขรุ่นสาม) ผู้คิดค้นวิชาสายพิณพิฆาต ได้ล่วงรู่เรื่องราวเกี่ยวกับเหล็กทมิฬเข้า เธอจึงคิดที่จะนำเหล็กทมิฬ (ซึ่งถูกผนึกไว้ในถ้ำหานถาน) มาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสกุลหลาน ทั้งๆ ที่ "เป้าซานส่านเหริน" (นักพรตหญิงและเพื่อนรักของหลานอี้) พยายามห้ามปรามและเตือนว่า เหล็กทมิฬมิอาจควบคุมได้ (แต่จะถูกมันครอบงำแทน) หลานอี้มั่นใจว่าตนควบคุมเหล็กทมิฬได้ แต่สุดท้ายกลับพบว่าตนคิดผิดและได้ทำผิดมหันต์ เพราะเธอไม่สามารถสลายแรงอาฆาตในชิ้นส่วนเหล็กทมิฬได้ ซ้ำยังทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่เพราะหลังคลายผนึกแล้วไม่สามารถผนึกซ้ำได้อีก เธอพยายามหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ แถมยังถูกพลังสะท้อนกลับจนได้รับบาดเจ็บ เลยจำต้องใช้พลังจิตวิญญาณของตนกักชิ้นส่วนเหล็กทมิฬและปิดผนึกบริเวณหลังเขาเอาไว้
นับจากนั้นบริเวณหลังเขาของกูซูก็กลายเป็นแดนต้องห้ามที่ไม่เคยมีใครย่างกรายเข้ามาได้ ขณะที่หลานอี้เองก็ออกจากถ้ำหานถานไม่ได้เช่นกัน (ทุกคนจึงคิดว่าเธอตายแล้ว) เธอสยบเหล็กทมิฬชิ้นนี้และปิดกั้นพื้นที่หลังเขามานานนับร้อยปี แต่ในช่วงสิบปีให้หลังเหล็กทมิฬชิ้นนี้เริ่มมีความเคลื่อนไหว นั่นหมายความเหล็กทมิฬชิ้นอื่นเริ่มปรากฏ (หลังถูกคลายผนึกชิ้นส่วนเหล็กทมิฬซึ่งอยู่ตามที่ต่างๆ จะสามารถสื่อถึงกัน) ด้วยความที่ระยะหลังๆ พลังจิตวิญญาณของหลานอี้เริ่มอ่อนลงเรื่อยๆ พลังอาฆาตของเหล็กทมิฬจึงแทรกซึมลงสู่สายน้ำ (ธารน้ำเย็นบริเวณถ้ำหานถานเป็นแหล่งกำเนิดน้ำพุเย็น) เธอรู้ดีว่าเวลาของตนกำลังจะหมดลงจึงเกรงว่าจะเกิดมหันตภัยครั้งใหญ่ ทั้งนี้เพราะเหล็กทมิฬเกิดจากฟ้าดินจึงไม่สามารถทำลายได้ และการที่มันถูกแบ่งออกเป็นชิ้นส่วนจะยิ่งทำให้แรงอาฆาตแพร่กระจายและดึงดูดสิ่งชั่วร้ายเข้ามาอยู่ในตัว ทางเดียวที่จะหยุดยั้งมหันตภัยได้คือต้องรวบรวมชิ้นส่วนเหล็กทมิฬทั้งหมดมาผนึกไว้ในถ้ำหานถาน
ก่อนที่จิตวิญญาณหลานอี้จะดับสูญ หลานวั่งจี (ในฐานะคนสกุลหลานแห่งกูซู) และเว่ยอู๋เซี่ยน (ในนามเป้าซานส่านเหรินซึ่งเป็นอาจารย์ของมารดาตน) ได้ลั่นวาจาว่าจะรวบรวมชิ้นส่วนทั้งหมดของเหล็กทมิฬมาผนึกไว้ที่นี่ให้ได้ หลานอี้หวังเพียงว่าทั้งคู่จะไม่ทำผิดซ้ำรอยตน และจากไปอย่างหมดห่วง (อาคมที่ผนึกหลังเขาเลยเสื่อมคลายลงด้วย) ในตอนนั้น "เวินรั่วหาน" ประมุขสกุลเวินแห่งฉีซาน ซึ่งดำรงตำแหน่ง "เซียนตู" (ปกครองเหล่าผู้บำเพ็ญเซียน มีอำนาจเหนือสำนักเซียนทั้งปวง) ได้เหล็กทมิฬชิ้นหนึ่งมาไว้ในครอบครองแล้ว (ได้มาจากหัวใจรูปเคารพ "เทวนารีร่ายรำ" บนเขาต้าฟ่านเมื่อสิบปีก่อน) เขากำลังเลียนแบบวิธีการของเซวียฉงไห้ โดยใช้เหล็กทมิฬดูดกลืนจิตวิญญาณคนเป็น หมายเปลี่ยนคนเป็นให้กลายเป็นเครื่องมือฆ่าคน (ลักษณะคล้ายซอมบี้) และให้อยู่ภายใต้การควบคุมของเหล็กทมิฬ (ผิดกับปรมาจารย์อี๋หลิง "เว่ยอู๋เซี่ยน" ที่เลือกนำเฉพาะคนตาย (ศพ) มาใช้งาน) แต่เขายังทำไม่สำเร็จจึงส่งคนออกตามหาเหล็กทมิฬอีกสามชิ้นที่เหลือ ขณะที่หลานวั่งจีกับเว่ยอู๋เซี่ยนก็ออกตามหาเช่นกัน
ทั้งหมดนี้คือจุดเริ่มต้นและที่มาของเรื่องราวในละคร (ซึ่งต่างจากนิยาย) หลังเว่ยอู๋เซี่ยนกลายเป็นปรมาจารย์อี๋หลิงและสร้าง "ตราพยัคฆ์ทมิฬ" จากชิ้นส่วนเหล็กทมิฬอันที่ห้า (ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเหล็กทมิฬที่มีพลังมากที่สุด เพราะสุดท้ายแล้วจิตวิญญาณของเหล็กทมิฬที่แตกเป็นสี่เสี่ยงจะหวนคืนสู่ชิ้นที่ห้า) เขาก็เปรียบเหมือนเซวียฉงไห้คนที่สอง คือถูกตราหน้าว่าเป็นคนนอกรีตที่อำมหิตและเนรคุณ (จากการบอกเล่าแบบปากต่อปากเหมือนกัน) ถูกสำนักเซียนตระกูลใหญ่รุมเล่นงานโดยนำเรื่องการใช้วิชามารมาเป็นข้ออ้างเพื่อชิงอาวุธวิเศษเหมือนกัน ซ้ำยังถูกล้อมปราบในสถานที่เดียวกัน หลังเว่ยอู๋เซี่ยนตกหน้าผาและหายสาบสูญไปนาน 16 ปี กลับมีใครคนหนึ่งปลุกเขาขึ้นมา ทั้งยังเตรียมการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน และสร้างสถานการณ์ต่างๆ เพื่อปูทางไปสู่การไขปริศนา (หาสาเหตุการตายของใครคนหนึ่ง) เปิดโปงคนผิด และหวังให้เว่ยอู๋เซี่ยล้างแค้นแทนตน
หมายเหตุ:
ตัวละครในเรื่องนี้มักมีชื่อเรียกอย่างน้อย 2 ชื่อ ได้แก่ 1. ชื่อจริง เป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ รวมชื่อแซ่แล้วมีแค่สองพยางค์ เช่น "หลานจ้าน" (แซ่หลาน ชื่อจ้าน) 2. ชื่อรอง เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ รวมชื่อแซ่แล้วมักมีสามพยางค์ (ชื่อมีสองพยางค์) เช่น "หลานวั่งจี" (แซ่หลาน ชื่อวั่งจี) ทั้งนี้ คนทั่วไปจะเรียกผู้อื่นด้วยชื่อรอง มีเพียงคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทเท่านั้นที่จะเรียกคนกันเองด้วยชื่อจริง (หากไม่สนิทแล้วเรียกชื่อจริงผู้อื่นจะถือว่าไม่สุภาพหรือไม่ให้เกียรติ) มีเพียงเว่ยอู๋เซี่ยนที่เรียกหลานวั่งจีอย่างสนิทสนมต่อหน้าทุกคนว่า "หลานจ้าน" (แม้แต่พี่ชายแท้ๆ ของหลานวั่งจียังไม่เรียกชื่อจริงน้องชาย แต่เรียกว่า "วั่งจี") ส่วนหลานวั่งจีเองก็เรียกเว่ยอู๋เซี่ยนด้วยชื่อจริง (เว่ยอิง) เช่นกัน 3. ฉายาเซียน เช่น "หานกวงจวิน" (เป็นชื่อที่ศิษย์รุ่นหลังและผู้อื่นเรียกหลานวั่งจีเพื่อแสดงความเคารพยกย่อง) 4. ฉายา (ชื่อที่คนอื่นขนานนามให้) เช่น "ปรมาจารย์อี๋หลิง" (อี๋หลิงเหลาจู่)
เนื้อหาตอนที่หนึ่ง
ละครเปิดฉากด้วยการกล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อ 16 ปีก่อน
ในตอนนั้นสำนักเซียนเสวียนเหมิน (ลัทธิเต๋า) ของสี่ตระกูลใหญ่ได้แก่ "สกุลเจียงแห่งอวิ๋นเมิ่ง" (อวิ๋นเมิ่งเจียง),
"สกุลหลานแห่งกูซู" (กูซูหลาน), "สกุลจินแห่งหลานหลิง" (หลานหลิงจิน) และ
"สกุลเนี่ยแห่งชิงเหอ" (ชิงเหอเนี่ย)
ได้นำกำลังคนนับร้อยตระกูลร่วมล้อมปราบและกวาดล้างเนินป่าช้าอี๋หลิง ซึ่งเป็นรังเก่าของปรมาจารย์อี๋หลิง
"เว่ยอู๋เซี่ยน" (เว่ยอิง)
ทันทีที่ข่าวการตายของเว่ยอู๋เซี่ยนแพร่สะพัดออกไป
ผู้คนต่างสาแก่ใจและพากันวิพากษ์วิจารณ์ว่า
หากสกุลเจียงไม่ร่วมนำทัพกับอีกสามตระกูลใหญ่
ตัวหายนะอย่างเว่ยอู๋เซี่ยนคงยังไม่โดนสังหาร
สกุลเจียงแห่งอวิ๋นเมิ่งอุตส่าห์เก็บเว่ยอู๋เซี่ยนมาเลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก
ทั้งยังช่วยอบรมสั่งสอน แต่เว่ยอู๋เซี่ยนกลับคิดคด อกตัญญู
กลายเป็นศัตรูของสำนักเซียนทุกตระกูล
ชายคนหนึ่งออกความเห็นว่าเว่ยอู๋เซี่ยนทำให้สกุลเจียงหวิดโดนฆ่าล้างตระกูลอย่างน่าอนาถ
หากตนเป็นเจียงเฉินคงปลิดชีพเว่ยอู๋เซี่ยนไปนานแล้ว
แม้ไม่เห็นเองกับตาแต่ทุกคนต่างเชื่อในข่าวลือที่มีคนเล่าต่อๆ กันมา
ทว่าเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าเว่ยอู๋เซี่ยนคือ...
เหล่าผู้บำเพ็ญเซียนจากนับร้อยตระกูล (ที่อ้างว่ามาล้อมปราบคนนอกรีตอย่างเว่ยอู๋เซี่ยน)
กำลังเข่นฆ่ากันเองอย่างโหดเหี้ยมเพื่อแย่งชิงตราพยัคฆ์ทมิฬ*
ที่เหลือเพียงครึ่งเดียว
(เว่ยอู๋เซี่ยนทำลายอีกครึ่งไปแล้ว)
พวกเขาฆ่าฟันกันอย่างเอาเป็นเอาตายทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
(แต่กลับไม่มีใครสนใจเว่ยอู๋เซี่ยน)
เว่ยอู๋เซี่ยนยืนมองเหตุการณ์นองเลือดทั้งน้ำตา
เขาหลับตาลงอย่างสิ้นหวังแล้วทิ้งตัวลงจากหน้าผา แต่คุณชายรองสกุลหลาน "หลานวั่งจี"
(หลานจ้าน / หานกวงจวิน) พุ่งตัวมาดึงแขนเขาไว้ได้ทัน
ครั้นเห็นหลานวั่งจีบาดเจ็บที่แขนจนเลือดไหลอาบเว่ยอู๋เซี่ยนเลยบอกให้เขาปล่อยมือ
แต่หลานวั่งจียังคงรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย
* ตราพยัคฆ์ทมิฬ (อินหู่ฝู)
เป็นอาวุธวิเศษที่เว่ยอู๋เซี่ยนหลอมขึ้นจากกระบี่เหล็กทมิฬที่พบในตัวถูลู่เสวียนอู่ (เต่าดำมฤตยู) มีทั้งหมดสองชิ้น (ต้องนำมาประกบกันจึงจะใช้งานได้อย่างสมบูรณ์)
สามารถเรียกระดมศพและวิญญาณอาฆาตนับพันนับหมื่นให้มาอยู่ใต้อาณัติ
ทั้งยังควบคุมพลังของเหล็กทมิฬได้ แม้มีอานุภาพมหาศาลแต่ก็เป็นดาบสองคม
เพราะถ้าตกอยู่ในมือคนชั่วอาจเกิดภัยมหันต์ (เป็นอาวุธวิเศษที่ไม่ยอมรับเจ้าของ
ใครได้ไว้ในครอบครองก็นำมาใช้งานได้ทั้งสิ้น แต่ใช้แล้วจะมีผลเสียต่อร่างกาย
ดังเช่นเว่ยอู๋เซี่ยนที่ใช้แล้วกระอักเลือดและหมดสติไปสามวัน) เว่ยอู๋เซี่ยนตระหนักในเรื่องนี้จึงทำลายตราพยัคฆ์ครึ่งหนึ่ง (หลังใช้งานไม่กี่ครั้ง) ส่วนอีกครึ่งยังไม่ทันทำลายเขาก็ถูกล้อมปราบเสียก่อน
เมื่อ "เจียงหว่านอิ๋น" (เจียงเฉิน) เดินมาหาพร้อมกระบี่คู่กาย
เว่ยอู๋เซี่ยนจึงทักทายและยิ้มให้
เจียงหว่านอิ๋นเรียกเว่ยอู๋เซี่ยนด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นก่อนเงื้อกระบี่ขึ้น
เว่ยอู๋เซี่ยนเห็นดังนั้นจึงหลับตายอมรับชะตากรรม เจียงหว่านอิ๋นร้องว่า
"เว่ยอู๋เซี่ยน จงตายเสีย!"
แล้วแทงกระบี่ซานตู๋ลงสู่เบื้องล่าง
หลังจากนั้นเว่ยอู๋เซี่ยนก็ตกหน้าผาต่อหน้าหลานวั่งจีและเจียงหว่านอิ๋น
เจียงหว่านอิ๋นเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
ส่วนหลานวั่งจียังคงช็อคกับเหตุการณ์ตรงหน้า
สิบหกปีต่อมา นักเล่านิทานที่หย่งเซียนโหลวนำเรื่องราวของปรมาจารย์อี๋หลิงมาเล่าขานให้แขกผู้มาเยือนฟัง เขากล่าวว่า ...ความจริงแล้วเมื่อสิบหกปีก่อน
เว่ยอู๋เซี่ยนเป็นคุณชายที่งามสง่าและมีหน้ามีตาของสำนักเซียน
มีชื่อเสียงเลื่องลือตั้งแต่อายุยังน้อย แต่สุดท้ายกลับตกหน้าผา หาศพไม่เจอ
มิอาจฟื้นคืนชั่วนิรันดร์... "หลานจิ่งอี๋" ศิษย์สำนักเซียนสกุลหลานแห่งกูซู ถามขึ้นว่า
ตกลงแล้วปรมาจารย์อี๋หลิง "เว่ยอู๋เซี่ยน" สิ้นชีพหรือไม่
นักเล่านิทานหันไปมองชายปริศนาที่นั่งอยู่หลังม่าน
เมื่อชายคนดังกล่าวส่งสัญญาณด้วยการตีพัดลงบนฝ่ามือ
นักเล่านิทานจึงตอบตามโพยที่อยู่บนพัดว่า
"เว่ยอู๋เซี่ยนตกหน้าผาก็จริง ทว่า 16
ปีที่ผ่านมาประมุขน้อยเจียงเฉินได้ค้นหาที่ตีนหน้าผาหลายครั้ง
แต่ก็ยังไม่พบศพ"
หลายจิ่งอี๋กับ "หลานซือจุย" (หลานเยวี่ยน) ได้ยินแล้วต่างหันไปมองหน้ากัน นักเล่านิทานกล่าวต่อว่า
"มีตำนานเล่าขานว่าปรมาจารย์อี๋หลิงสามารถพลิกฟ้าถล่มปฐพี เคลื่อนภูผาคว่ำสมุทร
แม้ที่ผ่านมาใต้หล้าจะสงบสุขมานาน 16 ปี แต่ใครจะรับประกันได้ว่าปรมาจารย์อี๋หลิง "เว่ยอู๋เซี่ยน" จะไม่ฟื้นคืนชีพ...ในวันนี้"
ทันใดนั้น ท้องฟ้ากลับมืดมิด วิปริตแปรปรวน และมีลมโหมพัดแรง (ลมหยิน*) ครั้นเห็นกระบี่คู่กายสั่นระรัวหลานจิ่งอี๋กับหลานซือจุยจึงคว้ากระบี่แล้วรีบออกจากหย่งเซียนโหลวทันที
ในเวลาเดียวกันนั้น ชายคนหนึ่งกำลังทำพิธีเชิญวิญญาณ โดยเขาได้ถือธงวิญญาณแล้วเดินโซเซไปตามถนนในลักษณะเมามาย พลางร้องเรียกวิญญาณให้หวนกลับ ไม่ล่วงลับสู่ปรโลก โดยพูดวนซ้ำๆ ไปตลอดทาง
(มือข้างหนึ่งของเขาถือธงวิญญาณ ส่วนอีกข้างถือขวดสุรา)
ครั้นเดินผ่านบ้านสกุลโม่ธงวิญญาณก็ลอยละลิ่ว (นำทางดวงวิญญาณที่ถูกเชิญมา) ปลิวไปติดที่ประตูเรือนซอมซ่อหลังหนึ่ง ภายในเรือนหลังดังกล่าวเต็มไปด้วยยันต์
ทั้งยังมีเลือดสาดกระเซ็นเต็มผนังและเจิ่งนองบนพื้น
บริเวณกลางห้องมีชายคนหนึ่งนั่งหลับตาอยู่ในวงอาคม
* ลมหยิน คือลมที่เกิดจากพลังวิญญาณ หรือภูติผีปีศาจ
ครั้นได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องเรียกชื่อ "โม่เสวียนอวี่" ชายคนดังกล่าวจึงตื่นจากหลับใหล เขาค่อยๆ
ลืมตาพลางนึกสงสัยว่าเสียงใคร และโม่เสวียนอวี่เป็นใคร ใครคนหนึ่ง
(ซึ่งไม่น่าใช่คนเป็น)
เดินเข้ามาและกล่าวว่า
"เจ้าคือโม่เสวียนอวี่ ข้าต้องทุ่มเทมากมายเพื่อช่วยเจ้า
นับจากนี้เจ้าคือ...โม่เสวียนอวี่" ชายในห้องแย้งว่าตนไม่ใช่โม่เสวียนอวี่ เขาจำได้ว่าตนคือ "เว่ยอู๋เซี่ยน" (บนแขนของเขามีรอยเฉือนสี่รอย) ชายที่มีลักษณะคล้ายศพเดินได้ชี้ว่าตนไม่มีทางเลือกอื่นเลยจำต้องใช้คำสาปพลีชีพ*กับเว่ยอู๋เซี่ยน ที่แท้เขาคือ..."โม่เสวียนอวี่" ตัวจริงเสียงจริง ที่ผ่านมาเขาถูกใส่ร้ายและโดนข่มเหงรังแกอย่างแสนสาหัส เลยใช้คำสาปพลีชีพกับเว่ยอู๋เซี่ยน หมายให้เว่ยอู๋เซี่ยนช่วยแก้แค้นแทนตน โดยอ้อนวอนว่า
"ฆ่าพวกมันให้ข้า ฆ่าพวกมันให้ข้า เว่ยอู๋เซี่ยน...จงแก้แค้นแทนข้า!"
หลังสิ้นเสียงโม่เสวียนอวี่ก็หายตัวไปคงเหลือไว้เพียงหน้ากากเหล็กที่ตกอยู่บนพื้น
* ละครเปลี่ยนจาก "อาคมอุทิศร่าง" มาเป็น "คำสาปพลีชีพ" (เส่อเซินโจ้ว) ซึ่งเป็นอาคมคำสาปที่คิดค้นขึ้นใหม่โดยปรมาจารย์อี๋หลิง (พัฒนาจากเคล็ดวิชาต้องห้ามในคัมภีร์โบราณก่อนที่เขาจะตกหน้าผา) คำสาปที่ว่านี้ผู้ใช้ไม่ต้องอุทิศร่างกายให้วิญญาณร้ายเข้าสิงแทน
แต่เป็นการช่วยฟื้นฟูผู้บาดเจ็บเจียนตายโดยใช้จิตวิญญาณทั้งหมดของผู้ร่ายคำสาปเป็นค่าตอบแทน (จินกวงเหยาพูดถึงเรื่องนี้สั้นๆ ในตอนที่ 42) ผู้ที่ถูกช่วยเหลือจะต้องทำตามความปรารถนาของผู้ร่ายคำสาปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่ทำตามรอยแผลคำสาปบนแขนจะไม่สมาน
* ในนิยาย โม่เสวียนอวี่ใช้ "อาคมอุทิศร่าง" ซึ่งเป็นการเชิญวิญญาณร้ายมาแก้แค้นแทนตน
โดยใช้จิตวิญญาณและกายเนื้อเป็นค่าตอบแทน นับเป็นคำสาปอย่างหนึ่ง (เป็นวิชาต้องห้าม) ผู้ร่ายอาคมต้องใช้อาวุธกรีดเฉือนร่างกายตน
แล้วนำเลือดจากบาดแผลไปวาดวงอาคมและนั่งในวงดังกล่าว
จากนั้นจึงอุทิศร่างของตนให้วิญญาณมารร้าย
ผู้ใช้วิชานี้ต้องมีความปรารถนาหรือความแค้นอย่างแรงกล้า
เพราะหลังเชิญวิญญาณผู้อื่นมาสิงในกายตนแล้ว วิญญาณเจ้าของร่างจะต้องไปสู่ปรโลก ขณะเดียวกันผู้ที่มาสิงร่างจะต้องทำตามความปรารถนาของเจ้าของร่าง (ถึงแม้ว่าจะไม่เต็มใจมาเข้าร่างก็ตาม) หากไม่ทำตามรอยแผลจะไม่สมาน ยิ่งปล่อยไว้นานจะยิ่งลุกลาม และถ้าปล่อยทิ้งไว้นานเกินกำหนดคำสาปจะสะท้อนเข้าตัว ร่างกายถูกดึงทึ้ง
ดวงวิญญาณแตกดับไม่ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป (ในนิยายเว่ยอู๋เซี่ยนฟื้นคืนชีพในร่างของโม่เสวียนอวี่
หน้าตาเขาจึงเปลี่ยนไป)
อยู่ๆ
ชายกลุ่มหนึ่งก็บุกมาทำร้ายเว่ยอู๋เซี่ยนถึงในห้องของโม่เสวียนอวี่ (ถีบกลางอก)
ขณะล้มกลิ้งอย่างอ่อนแรงเว่ยอู๋เซี่ยนได้แต่คิดในใจว่าคนพวกนี้เป็นใคร
กล้าดียังไงถึงทำเช่นนี้กับปรมาจารย์อี๋หลิง หลังจากนั้นไม่นาน "โม่จื่อเยวียน" (ลูกชายป้าของโม่เสวียนอวี่)
ก็ตามเข้ามาในห้อง เขาไม่พอใจที่โม่เสวียนอวี่กล้าฟ้องเรื่องตน
จึงโวยวายเสียงดังลั่นว่า
"ทำไมไม่รู้จักคิดว่าเจ้าอยู่บ้านใคร กินข้าวใคร ใช้เงินใคร
ข้าเอาของเจ้ามาแล้วยังไง เดิมทีของพวกนั้นควรเป็นของข้า" (เขานึกว่าเว่ยอู๋เซี่ยนคือโม่เสวียนอวี่) ระหว่างนั้นเหล่าสมุนของโม่จื่อเยวียนต่างพากันรื้อค้น
และทุบทำลายข้าวของในห้องที่เหลือเพียงน้อยนิด (เขามาค้นหายันต์และพวกเครื่องรางของขลังต่างๆ ที่อาจยังหลงเหลืออยู่
ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่โม่เสวียนอวี่ได้มาจากสำนักเซียนสกุลจินแห่งหลานหลิง
สาเหตุที่ทำเช่นนั้นเป็นเพราะโม่จื่อเยวียนทั้งโกรธและอิจฉาที่ตนไม่ได้เข้าสำนักเซียนสกุลจินเหมือนโม่เสวียนอวี่)
ครั้นพบเพียงเศษกระดาษ โม่จื่อเยวียนจึงนำมาฟาดใส่เว่ยอู๋เซี่ยนพลางเหน็บว่าซ่อนขยะเน่าๆ ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า ทั้งยังกล่าวอย่างดูแคลนว่า
"ไปอยู่สกุลจินแห่งหลานหลิงแค่ไม่กี่ปีคิดว่าตัวเองวิเศษวิโสนักหรือไง
ไม่มีใครยอมรับลูกนอกสมรสอย่างเจ้า
สุดท้ายก็ถูกไล่ตะเพิดเหมือนหมาตัวหนึ่ง" โม่จื่อเยวียนเตือนโม่เสวียนอวี่ (เว่ยอู๋เซี่ยน) ให้เจียมตัว อย่าใฝ่สูงเกินศักดิ์เหมือนผีที่ตายไป
(มารดาของโม่เสวียนอวี่)
เพราะไม่ว่ายังไงคนชั้นต่ำก็คือคนชั้นต่ำ
สกุลจินไม่มีทางนับญาติกับโม่เสวียนอวี่แน่
(มารดาของโม่เสวียนอวี่ คือ คุณหนูรองสกุลโม่
แต่เธอไม่เป็นที่ยอมรับเพราะเกิดจากมารดาที่เป็นสาวใช้
ส่วนบิดาของโม่เสวียนอวี่คือ "จินกวงซ่าน"
ประมุขสกุลจินผู้มากรัก) หลังมารดาส่งคนมาแจ้งว่าเหล่า "เซียนซือ" ที่จะมาช่วยปราบวิญญาณร้ายอยู่ที่ห้องโถงใหญ่แล้ว
โม่จื่อเยวียนจึงรีบไปที่นั่นทันที
* "เซียนซือ" คือ คำเรียกผู้บำเพ็ญเซียนอย่างยกย่องและให้เกียรติ
ขณะล้างหน้าล้างตา เว่ยอู๋เซี่ยนจ้องมองใบหน้าตนในถังน้ำพลางกล่าวว่า
"โม่เสวียนอวี่หนอ โม่เสวียนอวี่ ข้าตายอยู่ดีๆ เหตุไฉนจึงช่วยข้า ซ้ำยังร่ายคำสาปพลีชีพใส่ข้า เจ้ามีความแค้นมากเพียงใดกัน" เว่ยอู๋เซี่ยนรู้ว่าในสายตาผู้อื่น ตน...ปรมาจารย์อี๋หลิง คือ
มารร้ายจอมเนรคุณและบ้าคลั่ง จึงเหมาะที่จะล้างแค้นแทนผู้อื่นมากที่สุด
ทว่าความจริงแล้ว...ถ้าเลือกได้เขาไม่ต้องการทำเช่นนั้น
เว่ยอู๋เซี่ยนมองรอยกรีดเฉือนบนแขน
เขารู้ว่านี่ไม่ใช่แผลธรรมดาแต่เป็นแผลอาคมคำสาป หนึ่งรอยแผลต่อหนึ่งชีวิต
หากศัตรูของโม่เสวียนอวี่ยังไม่ตายแผลเหล่านี้จะไม่มีวันจางหาย
เว่ยอู๋เซี่ยนได้แต่ทอดถอนใจเพราะต้องทำตามความปรารถนาของโม่เสวียนอวี่โดยไม่มีทางเลือก
และโอดครวญว่าปล่อยให้ตนตายยังดีเสียกว่า
"อาถง" (บ่าวของโม่จื่อเยวียนซึ่งมักรังแกโม่เสวียนอวี่เป็นประจำ)
เห็นเว่ยอู๋เซี่ยนก็นึกว่าโม่เสวียนอวี่ออกมาเดินเพ่นพ่านจึงไล่เขากลับห้อง
เว่ยอู๋เซี่ยนถามเพื่อความแน่ใจว่า
"ข้าคือโม่เสวียนอวี่หรือ?"
อาถงเหน็บว่าถ้าไม่ใช่โม่เสวียนอวี่แล้วจะเป็นใครได้
ครั้นเห็นว่าวันนี้โม่เสวียนอวี่ไม่สวมหน้ากาก อาถงก็รู้สึกแปลกใจ
นั่นจึงทำให้เว่ยอู๋เซี่ยนรู้ว่าโม่เสวียนอวี่มักสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า
อาถงเห็นว่าวันนี้โม่เสวียนอวี่พอพูดจารู้เรื่องเลยถามว่า
สกุลจินแห่งหลานหลิงทำอะไรเขากันแน่ หลังกลับจากจินหลินไถ
(ที่พำนักสกุลจิน) แล้วเหตุใดโม่เสวียนอวี่จึงมีสภาพเช่นนี้
(ถ้าไม่ประแป้งจนหน้าขาวโพลนก็สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าตลอดเวลา) เว่ยอู๋เซี่ยนถามอาถงว่าตนไปที่นั่นเมื่อใด
หลังรู้ว่าโม่เสวียนอวี่ไปอยู่สกุลจินตั้งแต่อายุได้ 13 ปี
เว่ยอู๋เซี่ยนจึงเข้าใจแจ่มแจ้งและเดินจากไปทันที
(คนสกุลโม่ไม่เคยเห็นหน้าโม่เสวียนอวี่ตอนโตเป็นผู้ใหญ่
เพราะเขามักทาแป้งและสวมหน้ากากปิดบัง
พอเห็นหน้าเว่ยอู๋เซี่ยนเลยคิดว่าเป็นโม่เสวียนอวี่)
อาถงเห็นเว่ยอู๋เซี่ยนเดินไปทางทิศตะวันออก
(ทางไปห้องโถงใหญ่) แทนที่จะกลับห้อง
เลยนำท่อนไม้มาไล่ตี เว่ยอู๋เซี่ยนใช้พลังเวทย์สะกดอาถงเอาไว้
จากนั้นจึงแย่งถั่วในมืออาถงมาเดินเคี้ยวตุ้ยๆ
แต่มิวายบ่นว่าถั่วไม่อร่อยเหมือนเมื่อ 16 ปีก่อน
ครั้นพบว่าเหล่าผู้บำเพ็ญเซียนที่จะมาปราบวิญญาณร้ายให้หมู่บ้านสกุลโม่คือ
ศิษย์สำนักเซียนสกุลหลานแห่งกูซู
(เป็นศิษย์รุ่นหลัง)
เว่ยอู๋เซี่ยนจึงรู้สึกว่าบังเอิญเกินไป โม่เสวียนอวี่เพิ่งช่วยตนหมาดๆ
ตอนนี้ศิษย์สกุลหลานยังแห่มาที่นี่ เขาเกรงว่าหลานวั่งจี (หลานจ้าน)
จะมาด้วยเลยหยิบหน้ากากขึ้นมาสวม ในเวลาเดียวกันนั้น
ที่หน้าห้องโถงตะวันออกมีผู้คนมากมายมายืนออหน้าประตู ภายในห้อง "โม่ฟูเหริน*" (หรือ "โม่ฮูหยิน") กับสามี กำลังให้การต้อนรับเหล่าเซียนซือสกุลหลานแห่งกูซู
(ซึ่งมาช่วยปราบวิญญาณร้าย หลังมีคนตายหลายคน)
โม่ฟูเหรินจะอวดว่าสกุลโม่มีวาสนาเกี่ยวดองกับตระกูลผู้บำเพ็ญเซียน
จึงกล่าวว่าครั้งหนึ่งลูกหลานสกุลโม่ก็เคยเข้าสำนักเซียน
เว่ยอู๋เซี่ยน (ซึ่งแอบฟังทางด้านนอก) ได้ยินดังนั้นจึงรีบแสดงตัวว่าคนผู้นั้นคือตน
โม่ฟูเหรินไม่พอใจมากจึงสั่งบ่าวไพร่ให้ลากตัวเขาออกไป
* "โม่ฟูเหริน" คือคุณหนูใหญ่สกุลโม่ที่รับช่วงดูแลหมู่บ้านสกุลโม่ต่อจากบิดา
ทั้งยังเป็นป้าของโม่เสวียนอวี่
เว่ยอู๋เซี่ยนต้องการหักหน้าคนสกุลโม่จึงแกล้งบ้า
(สวมบทโม่เสวียนอวี่ที่ทุกคนมองว่าสติไม่สมประกอบ) เขาทิ้งตัวลงบนพื้นแล้วยืนกรานว่าจะไม่ไปไหน
โม่จื่อเยวียนจะลากตัวเขาออกจากห้องแต่หลานซือจุยมิอาจทนดูเลยช่วยประคองเว่ยอู๋เซี่ยนให้ลุกขึ้น เว่ยอู๋เซี่ยนเลยวิ่งไปกอดเสาต้นใหญ่แทน
โม่จื่อเยวียนทั้งโกรธและอับอายแต่ไม่อาจลงมือทำร้าย "เจ้าบ้า" ต่อหน้าทุกคน
เขาจึงสั่งให้อาถงลากตัวเจ้าบ้าออกไป เว่ยอู๋เซี่ยนกอดเสาแน่น
เขาฟ้องทุกคนว่าโม่จื่อเยวียนขโมยของๆ ตนไป และยืนกรานว่าจะไปต่อเมื่อได้ของคืน
หลังโดนแฉต่อหน้าธารกำนัลโม่จื่อเยวียนจึงทำท่าว่าจะกระโดดถีบเว่ยอู๋เซี่ยน
หลานซือจุยเห็นดังนั้นจึงแอบร่ายอาคมใส่โม่จื่อเยวียน
โม่จื่อเยวียนพลาดท่าเสียหลักเลยถีบไม่โดน
เว่ยอู๋เซี่ยนแกล้งล้มกลิ้งและร้องโอดโอย
เพื่อตอกย้ำให้ทุกคนเห็นว่าโม่จื่อเยวียนชอบรังแกคนไม่มีทางสู้
หลังจากนั้นก็ฟ้องทุกคนว่าโม่ฟูเหรินอิจฉาและเคียดแค้นมารดาตน
เขาเปิดเสื้อให้ทุกคนดูรอยช้ำที่หน้าอก
(รอยที่สมุนของโม่จื่อเยวียนถีบเขาก่อนหน้านี้)
แล้วฟ้องว่าทุกคนในบ้านต่างรุมรังแกตน
เหล่าคนที่มามุงดูเห็นดังนั้นจึงต่างสงสารและเห็นใจเขา
ทั้งยังวิพากษ์วิจารณ์ว่าคนสกุลโม่ใจคอโหดร้าย
รังแกได้แม้กระทั่งสายเลือดเดียวกัน
หลายคนเชื่อว่าคนสกุลโม่มีส่วนทำให้โม่เสวียนอวี่ฟั่นเฟือนหนักขึ้น
โม่จื่อเยวียนเกรงว่าเรื่องจะลามไปกันใหญ่เลยสั่งให้เว่ยอู๋เซี่ยนหุบปาก
เว่ยอู๋เซี่ยนแกล้งร่ำไห้แล้วบอกให้เขาคืนของหรือไม่ก็คุกเข่าต่อหน้าตน
โม่จื่อเยวียนได้ยินแล้วของขึ้นจึงหยิบขวดสุรามาเขวี้ยงใส่เว่ยอู๋เซี่ยน
เว่ยอู๋เซี่ยนรีบหลบอย่างไว
หลานซือจุยขอให้โม่จื่อเยวียนค่อยพูดค่อยจา
โม่ฟูเหรินออกตัวว่าโม่เสวียนอวี่เป็นบุตรชายของน้องสาวตน
ทุกคนในบ้านต่างรู้ว่าเขาสติไม่สมประกอบ
เธอบอกหลานซือจุยว่าอย่าเชื่อคำพูดที่เลอะเลือนของหลานชายตน
โดยอ้างว่าเขาเสียสติตั้งแต่อายุยังน้อยและชอบพูดเพ้อเจ้อ
เว่ยอู๋เซี่ยนแย้งว่าตนไม่ได้พูดเพ้อเจ้อ
ทั้งยังลั่นว่าจาว่าต่อจากนี้หากใครกล้าขโมยของๆ ตนอีก ตนจะหักแขนทิ้งเสีย
โม่จื่อเยวียนจะทำร้ายเว่ยอู๋เซี่ยนแต่ถูกบิดาห้ามเลยยิ่งแค้นใจ
เว่ยอู๋เซี่ยนหันไปเห็นขวดสุราเลยหยิบมาขวดหนึ่งแล้วเดินออกจากห้องไป
โม่ฟูเหรินทำท่าว่าจะตามไปเอาเรื่องแต่หลานซือจุยขวางไว้และเบี่ยงประเด็นด้วยการเอ่ยปากขอยืมลานด้านทิศตะวันตกในคืนนี้
เขากำชับว่าหลังตะวันตกดินห้ามทุกคนออกจากห้อง และห้ามเข้าใกล้ลานนั่นโดยเด็ดขาด
(ห้องของโม่เสวียนอวี่อยู่ใกล้ลานด้านทิศตะวันตก)
โม่จื่อเยวียนยังแค้นไม่หายจึงโวยมารดาต่อหน้าเหล่าเซียนซือที่ปล่อยโม่เสวียนอวี่
(เว่ยอู๋เซี่ยน) ไปง่ายๆ ครั้นโดนมารดาตำหนิโม่จื่อเยวียนจึงยิ่งแค้นหนัก
และหมายมั่นว่าจะต้องเอาคืนอย่างสาสม
หลังสร้างความอับอายให้คนสกุลโม่แล้วรอยแผลไม่ดีขึ้น
เว่ยอู๋เซี่ยนจึงตระหนักว่าโม่เสวียนอวี่ต้องการให้ตนฆ่าล้างครัวสกุลโม่
ครั้นเห็นศิษย์สำนักเซียนสกุลหลานแห่งกูซูถือธงเรียกวิญญาณเดินผ่านไป
เว่ยอู๋เซี่ยนจึงตามไปดู
พอเห็นศิษย์สกุลหลานนำธงเรียกวิญญาณมาปักเพื่อเตรียมตั้งค่ายกลเรียกวิญญาณร้ายที่กำลังออกอาละวาดให้มารวมตัวที่นี่
(ใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ)
แล้วค่อยปราบในคราวเดียว
เว่ยอู๋เซี่ยนจึงแอบคิดว่าเหล่าผู้บำเพ็ญเซียนตราหน้าตนว่าเป็นคนนอกรีตและใช้วิชามารจึงรวมหัวกำจัดตน
แต่ยังคงนำธงที่ตนเป็นผู้คิดค้นมาใช้งานหน้าตาเฉย
* "ธงเรียกวิญญาณ" (เจาอินฉี) เป็นธงสีดำลงอักขระอาคมที่ปรมาจารย์อี๋หลิงคิดค้นขึ้น
ใช้ดึงดูดวิญญาณอินหรือวิญญาณหยิน (วิญญาณที่มีห่วงและยังคงวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์) ตลอดจนวิญญาณอาฆาต และศพเดิน (ซอมบี้) ให้ออกมาหา
ผู้ถือธงหรือมีธงอยู่บนตัวจะตกเป็นเป้าให้เหล่าวิญญาณและศพทั้งหมดในละแวกดังกล่าวเข้าโจมตี
เว่ยอู๋เซี่ยนต้องการตรวจสอบว่าธงเรียกวิญญาณลงอักขระอาคมถูกต้องสมบูรณ์หรือไม่จึงเข้าไปดู
หลานจิ่งอี๋เห็นดังนั้นจึงดุด้วยความหวังดี แต่เว่ยอู๋เซี่ยนแกล้งทำหูทวนลม
เขาแกะธงออกมาอันหนึ่งแล้ววิ่งหนีไป
แต่หลานจิ่งอี๋ขวางเอาไว้และทวงธงคืนด้วยท่าทีดุดัน
เว่ยอู๋เซี่ยนแกล้งบ้าโดยบอกว่า
"ข้าไม่คืน ข้าจะเอา"
หลานซือจุยรีบปรามหลานจิ่งอี๋และบอกให้ทวงคืนดีๆ
หลานจิ่งอี๋ตัดพ้อว่าตนไม่คิดลงไม้ลงมือจริงๆ สักหน่อย
เว่ยอู๋เซี่ยนฉวยโอกาสนี้สำรวจตรวจตราธง
และพบว่าธงลงอักขระอาคมได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์
ทว่าคนลงอักขระอาคมยังอ่อนประสบการณ์
ธงดังกล่าวจึงมีพลังเรียกได้เฉพาะภูติผีวิญญาณร้ายที่อยู่ไม่ไกล (รัศมี 5 ลี้
หรือ 2.5 กม.) ถึงกระนั้นก็นับว่ามากพอแล้ว
หลานซือจุยขอให้ "คุณชายโม่" (เว่ยอู๋เซี่ยน) รีบกลับห้องพัก
และเตือนว่าตอนกลางคืนอันตรายมาก
ไม่ว่าคืนนี้ได้ยินเสียงอะไรห้ามออกจากห้องโดยเด็ดขาด เว่ยอู๋เซี่ยนเห็นชุดศิษย์สกุลหลานแห่งกูซูแล้วถึงกับน้ำตาคลอเพราะคิดถึงใครบางคน
เขาระบายอารมณ์ด้วยการทิ้งธงลงบนพื้นแล้วใช้เท้าเหยียบย่ำเหมือนเด็กเอาแต่ใจ
พลางกล่าวว่าแค่ธงกากๆ ใครจะอยากได้ ตนเขียนดีกว่านี้อีก
พูดจบเว่ยอู๋เซี่ยนก็วิ่งหนีไป หลานจิ่งอี๋เก็บธงขึ้นมาปัดอย่างหงุดหงิด
หลานซือจุยตัดบทด้วยการบอกให้ทุกคนกลับไปทำหน้าที่ของตน
ก่อนหันกลับไปมองเว่ยอู๋เซี่ยนอีกครั้ง
คืนนั้น
โม่จื่อเยวียนกับอาถงแอบมาที่ลานฝั่งตะวันตกหมายเอาคืนโม่เสวียนอวี่โดยไม่สนคำเตือน
ครั้นเห็นธงสีดำปักเรียงราย
โม่จื่อเยวียนจึงสั่งให้อาถงไปขโมยมาให้ตนหนึ่งผืนโดยหารู้ไม่ว่าเป็นธงเรียกวิญญาณ
(นึกว่าเป็นของขลังของวิเศษ) ตอนนั้นเหล่าผู้บำเพ็ญเซียนสกุลหลานกำลังตั้งค่ายกลธงเรียกวิญญาณอยู่บนหลังคาเลยไม่ทันเห็นเขา
เว่ยอู๋เซี่ยนนั่งเป่าใบไม้เป็นเพลงพลางนึกถึงหลานวั่งจี หลานซือจุยได้ยินท่วงทำนองเพลงอันคุ้นหูแว่วมาจึงคิดว่าเป็นเพลงของกูซู
แต่หลานจิ่งอี๋ไม่คิดเช่นนั้นเพราะเขาไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อน
ทันใดนั้นบิดาของโม่จื่อเยวียนก็พาคนบุกไปที่ห้องของโม่เสวียนอวี่ หลานซือจุยกับหลานจิ่งอี๋เห็นดังนั้นจึงลงไปตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น
เว่ยอู๋เซี่ยนถูกลากตัวมาที่ห้องโถงฝั่งตะวันออกกลางดึก
ครั้นพบว่าศิษย์สำนักเซียนสกุลหลานแห่งกูซูอยู่ที่นี่ด้วย
เขาจึงรีบเบือนหน้าหนีเพราะไม่ทันได้สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า (ถูกลากตัวมากระทันหัน)
เขารู้ว่าคนสกุลโม่ไม่เคยเห็นใบหน้าโม่เสวียนอวี่ตอนโตเป็นหนุ่ม
แต่ไม่แน่ใจว่าศิษย์สกุลหลานแห่งกูซูจะจำตนได้ไหม
หลังพบว่าศิษย์สกุลหลานไม่รู้ว่าตนคือปรมาจารย์อี๋หลิง
เว่ยอู๋เซี่ยนจึงคลายความกังวล (เมื่อสิบหกปีก่อนศิษย์สกุลหลานรุ่นนี้ยังเป็นเด็กอยู่) ในตอนนั้นโม่จื่อเยวียนถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง
เขาอาละวาดและทำร้ายทุกคนที่อยู่ตรงหน้า หลานซือจุยกับหลานจิ่งอี๋จึงช่วยกันสยบโม่จื่อเยวียน
เมื่อโม่ฟูเหรินมาเห็นสภาพอันน่าอนาถของบุตรชายก็กล่าวโทษโม่เสวียนอวี่
(เว่ยอู๋เซี่ยน) ทันที
* หุ่นเชิด เป็นวิชามารที่ประมุขสกุลเวินจับ "คนเป็น"
มาทำให้เป็นซอมบี้โดยใช้พลังของเหล็กทมิฬเข้าครอบงำ (เกิดขึ้นเมื่อ 16
ปีก่อน)
หลานซือจุยกับหลานจิ่งอี๋รู้ว่าโม่จื่อเยวียนถูกวิญญาณร้ายสิงร่าง
แต่เว่ยอู๋เซี่ยนรู้ว่านี่ไม่ใช่การเข้าสิงธรรมดา
เขาพบว่าที่คอของโม่จื่อเยวียนมีรอยสีดำ
อาถงบอกหลานซือจุยกับหลานจิ่งอี๋ว่าโม่จื่อเยวียนไม่ได้แค่ถูกผีสิง
แต่เขาฆ่าคนตายไปแล้วสองศพ
โม่ฟูเหรินหยิบท่อนไม้แล้วปรี่เข้าหาเว่ยอู๋เซี่ยนทันที
หลานซือจุยรีบเข้ามาห้ามและชี้ว่าวิญญาณร้ายต่างหากที่ทำลายจิตวิญญาณของโม่จื่อเยวียน
แต่โม่ฟูเหรินยังคงโทษว่าเป็นฝีมือของ "เจ้าบ้า...โม่เสวียนอวี่" อยู่ดี
เธออ้างว่าบิดาของโม่เสวียนอวี่เป็นผู้บำเพ็ญเซียน
โม่เสวียนอวี่เลยได้เรียนวิชาอาคมมาไม่น้อย
หลานซือจุยไม่อยากให้โม่ฟูเหรินกล่าวหาผู้อื่นโดยไม่มีหลักฐาน
โม่ฟูเหรินสวนทันควันว่าหลักฐานอยู่บนตัวลูกชายตน และโอดครวญว่า "เจ้าบ้ามันขู่ว่าถ้าเยวียนเอ๋อร์แตะต้องของๆ มัน
มันจะหักแขนเยวียนเอ๋อร์ทิ้ง ช่างน่าเวทนายิ่งนัก เยวียนเอ๋อร์ไม่ได้ขโมยของๆ
มันสักหน่อย มันไม่เพียงใส่ร้ายลูกข้า แต่ยังทำให้ลูกข้ามีสภาพเช่นนี้"
อยู่ๆ โม่จื่อเยวียนก็คลุ้มคลั่ง ดวงตาเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว
เส้นสีดำลักษณะคล้ายรอยเส้นเลือดได้ลุกลามขึ้นมาบนลำคอ
หลานซือจุยใช้อาคมสะกดโม่จื่อเยวียนเอาไว้
โดยไม่รู้ว่าเว่ยอู๋เซี่ยนแอบร่ายอาคมช่วยสยบวิญญาณร้ายอย่างลับๆ
หลังพบว่าในอกเสื้อของโม่จื่อเยวียนมีธงเรียกวิญญาณซ่อนอยู่
เว่ยอู๋เซี่ยนและเหล่าศิษย์สกุลหลานแห่งกูซูจึงรู้ต้นสายปลายเหตุ (โม่จื่อเยวียนขโมยธงเรียกวิญญาณมาซ่อนไว้ที่ตัวเลยตกเป็นเป้าของวิญญาณร้าย) ครั้นเห็นแผลคำสาปหายไปรอยหนึ่งเว่ยอู๋เซี่ยนจึงรู้ว่าโม่จื่อเยวียนตายแล้ว
(แม้ไม่ได้ลงมือฆ่าด้วยตัวเอง
แต่อย่างน้อยเว่ยอู๋เซี่ยนก็เป็นผู้คิดค้นธงเรียกวิญญาณที่นำความตายมาสู่โม่จื่อเยวียน)
โม่ฟูเหรินเห็นลูกชายยืนนิ่งไม่ไหวติงเลยสงสัยว่าเหล่าเซียนซือสกุลหลานทำอะไรลูกชายตนกันแน่
หลานซือจุยกล่าวว่าโม่จื่อเยวียนแค่หมดสติไป
(เหล่าศิษย์สกุลหลานที่มาบ้านสกุลโม่ล้วนเป็นคนรุ่นใหม่ที่ยังด้อยประสบการณ์) ครั้นเห็นโม่ฟูเหรินตำหนิศิษย์สกุลหลานอย่างไม่ไว้หน้า
เว่ยอู๋เซี่ยนจึงโวยว่าผู้บำเพ็ญเซียนสกุลหลานมิใช่บ่าวไพร่ของโม่ฟูเหริน
ทุกคนเดินทางมาตั้งไกลและยังช่วยปราบวิญญาณร้ายให้สกุลโม่โดยไม่คิดค่าตอบแทน
ต้องโทษลูกชายเธอที่ไม่ฟังคำเตือนและรนหาที่ตายเอง โม่ฟูเหรินได้ยินแล้วยิ่งโกรธ
เธอจิกหัวใช้สามีให้ไปตามคนมาเพิ่มแต่สามีเธอกลับยืนนิ่ง ทั้งยังสะบัดมือเธอออก
ที่แท้เขาเพิ่งถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง
โม่ฟูเหรินเห็นสามีฆ่าบ่าวไพร่ในบ้านและบีบคออาถงอย่างโหดเหี้ยมก็ถึงกับเป็นลมล้มพับ
หลานซือจุยเห็นว่าพวกตนเอาไม่อยู่แน่
(วิญญาณร้ายเกินรับมือ)
จึงแนะให้หลานจิ่งอี๋ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจาก "หานกวงจวิน"
เว่ยอู๋เซี่ยนได้ยินดังนั้นจึงปรี่เข้าไปถามว่าหานกวงจวินที่ว่าคือ "หลานจ้าน"
ใช่หรือไม่
เขาพยายามบอกทั้งคู่ว่าไม่ต้องรบกวนหานกวงจวินเพราะตนจัดการเรื่องนี้เองได้
แต่หลานซือจุยกับหลานจิ่งอี๋กำลังร้อนใจเลยไม่ใครสนใจเว่ยอู๋เซี่ยน
แม้ไม่รู้ว่าตอนนี้หานกวงจวินอยู่ที่ใด อีกนานไหมกว่าจะมาถึง
แต่หลานซือจุยกับหลานจิ่งอี๋ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอความช่วยเหลือจากเขา
เว่ยอู๋เซี่ยนเห็นหลานจิ่งอี๋ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือก็ถึงกับเข่าทรุด
เขาไม่อยากให้ใครรู้ว่าตนกลับมาแล้ว แต่ตอนนี้เขายังไปจากสกุลโม่ไม่ได้
เพราะต้องทำตามความปรารถนาของโม่เสวียนอวี่ก่อน
ที่สำคัญเขาต้องช่วยศิษย์สกุลหลานแห่งกูซูรับมือวิญญาณที่แสนอำมหิต
(ขืนปล่อยให้สู้เพียงลำพังคงต้านไม่ไหวแน่)
เขาเลยคิดว่าจะรีบจัดการทุกสิ่งแล้วรีบเผ่น
หลังพบว่ารอยสีดำที่ลำคอของโม่จื่อเยวียนและบิดาเกิดจากตราพยัคฆ์ทมิฬที่ตนสร้างขึ้น
เว่ยอู๋เซี่ยนจึงรู้สึกแปลกใจ
(เพราะตราพยัคฆ์ทมิฬได้ถูกทำลายไปแล้ว) ทันใดนั้น อาถงก็ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงอีกคน
เขาพยายามต่อต้านวิญญาณร้ายแต่สุดท้ายก็ถูกหักคอตาย (ภายนอกดูเหมือนเขาบีบและหักคอตัวเอง) ครั้นพบว่ามือซ้ายของโม่จื่อเยวียนและบิดาล้วนหักจนผิดรูป
เว่ยอู๋เซี่ยนจึงบอกเป็นนัยว่าความจริงแล้วทั้งคู่ถนัดขวาและคนที่อาละวาดไม่ใช่พวกเขา
หลานซือจุยจำได้ว่าตนเห็นบิดาของโม่จื่อเยวียนใช้มือซ้ายฆ่าคน
และเห็นอาถงใช้มือซ้ายหักคอตนเอง
นั่นหมายความว่าทุกคนถูกวิญญาณอาฆาตสิงที่แขนซ้าย
หลานซือจุยขอให้ทุกคนชูมือซ้ายขึ้นแต่กลับไม่พบความผิดปกติใดๆ
ทั้งนี้เพราะวิญญาณอาฆาตแอบสิงที่แขนซ้ายของโม่ฟูเหริน
(เธอเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ชูมือซ้ายให้ตรวจ เพราะยังไม่ฟื้นคืนสติ) เว่ยอู๋เซี่ยนเห็นดังนั้นจึงช่วยหลานซือจุยก่อนที่เขาจะถูกทำร้าย
หลานซือจุยเห็นว่าวิญญาณดังกล่าวกลัวเครื่องแบบของพวกตน
จึงบอกคนของตนให้ถอดเสื้อคลุมออกแล้วเหวี่ยงใส่แขนซ้ายของโม่ฟูเหริน (เสื้อคลุมสำนักเซียนสกุลหลานแห่งกูซูลงอักขระอาคมเอาไว้จึงช่วยคุ้มภัยผู้ใส่) ทว่าวิญญาณที่แขนซ้ายรู้ทันจึงผลักโต๊ะบังไว้ เว่ยอู๋เซี่ยนรู้ว่าหลานซือจุยกับหลานจิ่งอี๋รับมือวิญญาณร้ายตนนี้ไม่ไหวแน่
จึงใช้เท้าเขี่ย (ทำลาย) วงอาคมที่ผนึกร่างโม่จื่อเยวียนกับบิดาเอาไว้
หลังจากนั้นก็ดีดนิ้วเพื่อปลุกทั้งคู่ให้ออกไปทำงาน หลังจากนั้นสองพ่อลูกก็ออกไปสู้กับวิญญาณที่สิงแขนซ้ายของโม่ฟูเหริน
ในตอนนั้นหลานซือจุยกับหลานจิ่งอี๋กำลังตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำพอดี
(หลานวั่งจีเห็นสัญญาณขอความช่วยเหลือจึงคว้าฉิน* แล้วรีบไปทันที)
ครั้นเห็น (ศพ) พ่อแม่ลูกสกุลโม่ต่อสู้กันเองอย่างดุเดือด
เหล่าศิษย์สกุลหลานก็ถึงกับตกตะลึง
แม้สู้กันแบบสองรุมหนึ่งแต่สองพ่อลูกมิอาจต่อกรกับวิญญาณร้ายได้
เว่ยอู๋เซี่ยนเห็นวิญญาณร้าย
(ที่สิงแขนโม่ฟูเหริน)
เบนเป้าไปหาหลานจิ่งอี๋จึงแอบร่ายอาคมสกัดไว้
(เขาช่วยได้เพียงเท่านี้เพราะไม่อยากเปิดเผยตัวตน)
ทว่าวิญญาณดังกล่าวไม่ยอมเลิกราและพุ่งเข้าหาหลานจิ่งอี๋อีกครั้ง แต่แล้วอยู่ๆ
มันก็หยุดชะงักและถอยร่นไป
* ฉิน เป็นเครื่องดนตรีโบราณประเภทเครื่องสายของจีน
ในที่นี้เป็นอาวุธวิเศษของหลานวั่งจี มีชื่อว่า "วั่งจี"
เว่ยอู๋เซี่ยนได้ยินเพลงฉินแว่วมาแต่ไกลเลยรีบไปหลบหลังเสา โชคดีที่หลานวั่งจี
(หลานจ้าน) มาถึงทันเวลา
หลานจิ่งอี๋ร้องเรียก
"หานกวงจวิน!"
ด้วยความดีใจ (ความจริงแล้วผิดกฎสำนักเซียนสกุลหลานแห่งกูซู เพราะไม่สำรวม) หลานวั่งจีบรรเลงเพลงฉิน (บนหลังคา) ได้ไม่นานก็สามารถสยบวิญญาณร้าย
เว่ยอู๋เซี่ยนดีใจที่ได้เห็นหน้าหลานวั่งจีอีกครั้ง ทั้งยังแอบเหน็บหลานวั่งจีว่ายังคงสวมชุดไว้ทุกข์เหมือนเคย
(เมื่อก่อนเขาชอบพูดถากถางว่าเครื่องแบบสกุลหลานแห่งกูซูเป็นผ้ากระสอบไว้ทุกข์)
หลานวั่งจีนำกระบี่ที่ตกอยู่ตรงหน้า (ศพ) โม่ฟูเหรินขึ้นมาพิจารณา
หลานจิ่งอี๋สงสัยว่าวิญญาณชั่วร้ายตนนี้คืออะไรกันแน่
หลานวั่งจีชี้ว่านี่ไม่ใช่วิญญาณชั่วร้ายแต่เป็นจิตวิญญาณของชี่หลิง* (อาวุธวิญญาณ) มันแฝงตัวอยู่ในกระบี่เลยเรียกว่า "วิญญาณกระบี่" (แต่จริงๆ แล้วเป็นวิญญาณดาบ "ป้าเซี่ย" ของอดีตประมุขสกุลเนี่ย "เนี่ยหมิงเจวี๋ย")
* ชี่หลิง หรืออาวุธวิญญาณ คือ อาวุธวิเศษที่มีจิตวิญญาณ
(และมักมีชื่อ) เช่น ขลุ่ยเฉินฉิงและกระบี่สุยเปี้ยนของเว่ยอู๋เซี่ยน,
กระบี่ปี้เฉินและฉินวั่งจีของหลานวั่งจี ตลอดจนแส้จื่อเตี้ยน (วชิระม่วง)
ของเจียงหว่านอิ๋น เป็นต้น
หลานจิ่งอี๋ถามว่าเหตุใดวิญญาณกระบี่จึงมีความอาฆาตแค้นรุนแรงเช่นนี้
ครั้นตรวจสอบแล้วพบว่าวิญญาณกระบี่มีพลังของตราพยัคฆ์ทมิฬแฝงอยู่หลานวั่งจีก็รู้สึกแปลกใจ
หลานจิ่งอี๋สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อตราพยัคฆ์ทมิฬถูกทำลายไปแล้วในศึกที่เมืองปู๋เย่เทียนเมื่อ
16 ปีก่อน แต่แล้วก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าปรมาจารย์อี๋หลิงอาจยังมีชีวิตอยู่
หลานซือจุยไม่เห็นคุณชายโม่ (โม่เสวียนอวี่) จึงมองหา
หลานวั่งจีเห็นชายชุดดำคนหนึ่งวิ่งหนีไปจึงตามไปดูแต่ไม่พบใคร
เขาเลยได้แต่สงสัยว่าใช่ "เว่ยอิง" (เว่ยอู๋เซี่ยน) จริงๆ หรือ
เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่นักเล่านิทานกำลังเปิดประตูหย่งเซียนโหลว อยู่ๆ ชายชุดดำ (ถือพัด) คนหนึ่งก็โยนทองให้เขาโดยไม่พูดจา
ที่แท้ชายชุดดำคนดังกล่าวจ้างนักเล่านิทานให้เล่าเรื่องปรมาจารย์อี๋หลิงติดต่อกันสามวัน
(เขาคือผู้ชักนำโม่เสวียนอวี่ให้ใช้คำสาปพลีชีพกับเว่ยอู๋เซี่ยน
และเป็นจอมวางแผนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวต่างๆ นับจากนี้)
ในตอนนั้นเว่ยอู๋เซี่ยน
(ซึ่งเปลี่ยนมาสวมชุดดำเหมือนเคย) เดินจูงลาน้อยผ่านหน้าหย่งเซียนโหลวพอดี ขณะเดินไปตามถนนอยู่ๆ ก็มีลมพัดแรงจนเว่ยอู๋เซี่ยนแทบลืมตาไม่ขึ้น (บริเวณดังกล่าวมีชายขี้เมาคนเดิมนั่งท่องคำพูดเชิญวิญญาณซ้ำๆ ตลอดเวลา) เว่ยอู๋เซี่ยนพบว่าแผลคำสาปสมานไปแล้ว 3 รอย (หลังสกุลโม่ถูกฆ่าล้างตระกูล)
คงเหลือเพียงแผลใหญ่สุด
(แค้นมากที่สุด) ที่ยังไม่หาย
เว่ยอู๋เซี่ยนจึงสงสัยว่าคนสุดท้ายที่โม่เสวียนอวี่ต้องการแก้แค้นคือใคร
** จบตอนที่หนึ่ง **
* เนื้อหาโดย luvasianseries / ดูอัลบั้มภาพได้
ที่นี่
รายชื่อนักแสดง
นักแสดงนำ
เซียวจ้าน
รับบท เว่ยอู๋เซี่ยน
(ชื่อจริง: เว่ยอิง ฉายา: ปรมาจารย์อี๋หลิง) / โม่เสวียนอวี่
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)
** เว่ยอู๋เซี่ยน เป็นบุตรของ "เว่ยจ่างเจ๋อ" (เพื่อนและบ่าวของเจียงเฟิงเหมียน)
กับ นักพรตหญิง "ฉางเซ่อส่านเหริน"
และเป็นศิษย์สกุลเจียงแห่งอวิ๋นเมิ่ง ส่วน โม่เสวียนอวี่
เป็นบุตรนอกสมรสของจินกวงซ่านกับคุณหนูรองสกุลโม่) **
รับบท หลานวั่งจี
(ชื่อจริง: หลานจ้าน ฉายาเซียน: หานกวงจวิน)
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)
** คุณชายรองสกุลหลานแห่งกูซู **
สกุลเจียงแห่งอวิ๋นเมิ่ง
* ลายประจำตระกูลเป็นรูปดอกบัวเก้ากลีบ อาศัยอยู่ที่เหลียนฮวาอู้
(ท่าเรือสัตตบงกช) บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตระกูลเป็นจอมยุทธ์พเนจร
รับบท เจียงเฟิงเหมียน
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท อวี๋จื่อเยวียน
(ฉายา: จื่อจือจู)
(นักแสดง / ผู้ดำเนินรายการ ชาวจีน)
รับบท เจียงหว่านอิ๋น (ชื่อจริง: เจียงเฉิง ฉายา: ซานตู๋เซิ่งโส่ว)
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท เจียงเยี่ยนหลี
(นักแสดง ชาวจีน)
** พี่สาวเจียงเฉิง ภรรยาจินจื่อเซวียน มารดาจินหลิง **
สกุลหลานแห่งกูซู
* ลายประจำตระกูลเป็นรูปปุยเมฆ ถิ่นพำนักคือแดนเร้นเมฆา
(อวิ๋นเซินปู้จือชู่) บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตระกูลเป็นบรรพชิต ศิษย์ที่ไม่ใช่ทายาทสายตรง หรือเป็นคนนอกตระกูล
จะไม่มีสัญลักษณ์ประจำตระกูล (รูปเมฆ) บนสายคาดหน้าผาก
รับบท หลานซีเฉิน
(ชื่อจริง: หลานฮ่วน ฉายาเซียน: เจ๋ออู๋จวิน)
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท หลานฉี่เหริน
(นักแสดง / ผู้ดำเนินรายการ ชาวจีน)
** อาของหลานวั่งจี **
รับบท หลานซือจุย (ชื่อจริง: หลานเยวี่ยน)
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท หลานจิ่งอี๋
(นักแสดง ชาวจีน)
หลี่รั่วถง
รับบท หลานอี้
(นักแสดง ชาวฮ่องกง)
** ประมุขรุ่นสามของสกุลหลานแห่งกูซู ผู้คิดค้นวิชาสายพิณพิฆาต
**
สกุลเวินแห่งฉีซาน
* ลายประจำตระกูลเป็นรูปดวงอาทิตย์ ถิ่นพำนักคือเมืองปู๋เย่เทียน
รับบท เวินรั่วหาน
(นักแสดง / นักเขียนบท / ผู้กำกับ ชาวจีน)
รับบท เวินซวี่
(นักแสดง ชาวจีน)
** บุตรชายคนโตของเวินรั่วหาน **
เฮ่อเผิง
รับบท เวินเฉา
(นักแสดง ชาวจีน)
** บุตรชายคนรองของเวินรั่วหาน **
เมิ่งจื่ออี้
รับบท เวินฉิง
(นักแสดง ชาวจีน)
อวี๋ปิน
รับบท เวินหนิง (ฉยงหลิน)
(นักแสดง / นักร้อง / ผู้ดำเนินรายการ ชาวจีน)
เฝิงหมิงจิง
รับบท เวินจู๋หลิว
(นักแสดง ชาวจีน)
หลูเอินเจี๋ย
รับบท หวังหลิงเจียว
(นักแสดง ชาวจีน)
สกุลจินแห่งหลานหลิง
*
ลายประจำตระกูลเป็นรูปดอกโบตั๋นจินซิงเสวียล่าง ถิ่นพำนักคือหอเกล็ดทอง
(จินหลินไถ) บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตระกูลเป็นเชื้อพระวงศ์
ทายาทสายตรงจะแต้มจุดชาดสีแดงระหว่างคิ้ว
เป็นสกุลที่ร่ำรวยและหรูหราฟุ้งเฟ้อที่สุดในบรรดาห้าตระกูลใหญ่
เสินเสียวไห่
รับบท จินกวงซ่าน
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท จินฟูเหริน
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท จินกวงเหยา
(ชื่อจริง: เมิ่งเหยา ฉายา: เหลี่ยนฟางจุน)
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท จินจื่อเซวียน
(นักแสดง ชาวจีน)
เหยาซูหาว
รับบท จินจื่อซวิน
(นักแสดง ชาวจีน)
จินลู่อิ๋ง
รับบท ฉินซู่
หวังอี้เฟย
รับบท หลัวชิงหยาง (เหมียนเหมียน)
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท จินฉ่าน
(นักแสดง ชาวจีน)
สกุลเนี่ยแห่งชิงเหอ
* ลายประจำตระกูลเป็นรูปหัวสัตว์ ถิ่นพำนักคือแดนอสุภ (ปู๋จิ้งซื่อ)
บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตระกูลเป็นคนขายเนื้อ
หวังอี้โจว
รับบท เนี่ยหมิงเจวี๋ย (ฉายาเซียน: ชื่อเฟิงจุน)
(นักแสดง ชาวจีน)
จี้หลี่
รับบท เนี่ยหวายซาง
(นักแสดง ชาวจีน)
อื่นๆ
ซ่งจี้หยาง
รับบท เสี่ยวซิงเฉิน
(นักแสดง ชาวจีน)
** นักพรตเต๋า ลูกศิษย์เป้าซานส่านเหริน เป็นศิษย์น้องของฉางเซ่อส่านเหริน (มารดาเว่ยอู๋เซี่ยน) และเป็นอาจารย์อาของเว่ยอู๋เซี่ยน **
รับบท ซ่งหลาน (นามรอง: ซ่งจื่อเชิน)
(นักแสดง / นายแบบ ชาวจีน)
** นักพรตแห่งหอไป๋เสวี่ย คนสนิทของเสี่ยวซิงเฉิน **
รับบท เซวียหยาง (นามรอง: เฉิงเหม่ย)
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท อาชิ่ง
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)
รับบท ซูเช่อ (นามรอง: หมิ่นซ่าน)
(นักแสดง ชาวจีน)
** ประมุขสกุลซูแห่งโม่หลิง เดิมเป็นศิษย์สกุลหลาน ภักดีต่อจินกวงเหยา **
หลิวถิงอวี่
รับบท เป้าซานส่านเหริน
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)
** อาจารย์ของฉางเซ่อส่านเหรินและเสี่ยวซิงเฉิน เป็นเพื่อนสนิทของหลานอี้ **
รับบท โอวหยางจื่อเจิน
(นักแสดง ชาวจีน)
** บุตรชายคนเดียวของสกุลโอวหยางแห่งปาหลิง **
เสี่ยวผิงกั่ว (ลาของเว่ยอู๋เซี่ยน) /
เซียนจื่อ
(สุนัขของจินหลิง)
* ดูคลิปไฮไลต์และเบื้องหลังจาก WeTV Thailand ได้
ที่นี่
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้
และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์
luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ
และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา