กำกับ: ลี กอนจุน, ลี แจซัง
เขียนบท: จอง โดยุน, โอ ซอนฮยอง
เขียนบท: จอง โดยุน, โอ ซอนฮยอง
แนวละคร: ย้อนยุค, เมโลดราม่า, ระทึกขวัญ
จำนวนตอน: 16
ออกอากาศ: เกาหลี - 5 กรกฎาคม 2553 - 24 สิงหาคม 2553 ทางเคบีเอส2
ไทย - 13 ธันวาคม 2556 - 3 มกราคม 2556 เวลา 22.00 - 23.25 น. ทางเวิร์คพอยท์ทีวี
จำนวนตอน: 16
ออกอากาศ: เกาหลี - 5 กรกฎาคม 2553 - 24 สิงหาคม 2553 ทางเคบีเอส2
ไทย - 13 ธันวาคม 2556 - 3 มกราคม 2556 เวลา 22.00 - 23.25 น. ทางเวิร์คพอยท์ทีวี
ละครเรื่องนี้กล่าวถึง "กู ซานแต็ก" ซึ่งเป็น "กูมิโฮ" หรือ "จิ้งจอกเก้าหาง" ในตำนานที่สามารถแปลงร่างเป็นคนได้ (และมีอายุนับพันปี) เธอแต่งงานกับมนุษย์และเฝ้าอดทนรอมานานนับสิบปีโดยหวังว่าสักวันจะกลายเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ แต่แล้วความหวังของเธอก็ต้องพังทลายลง เธอจึงพา "ยอนอี" ลูกสาววัย 9 ปี (ที่เป็นกูมิโฮเช่นกัน) หนีออกจากบ้านเพื่อความปลอดภัย เพราะถ้าหากยอนอีอายุครบ 10 ปีเมื่อไหร่ก็จะกลายร่างเป็นกูมิโฮทันที ด้วยความที่ไม่ไว้ใจมนุษย์ซานแต็กจึงพายอนอีหนีไปอยู่ในถ้ำจิ้งจอก แต่แล้วก็มีเหตุให้เธอและลูกต้องกลับเข้ามาอยู่ในวังวนของมนุษย์อีกครั้ง และนั่นก็นำมาสู่ความตายของยอนอี
เรื่องราวในละครเริ่มต้นขึ้นขณะที่ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในป่าแล้วถูกบางสิ่งบางอย่างไล่ล่า เขาจึงหนีเตลิดเข้าไปในถ้ำจิ้งจอก ทำให้ได้พบกับกูมิโฮที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ กูมิโฮเห็นว่าชายคนดังกล่าวเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของตนแล้วจึงคิดฆ่าปิดปากเขาเสีย เมื่อเห็นชายคนดังกล่าวกลัวจนตัวสั่นและพยายามร้องขอชีวิต กูมิโฮก็ใจอ่อนและยอมปล่อยตัวไปโดยมีเงื่อนไขว่าเขาจะต้องเก็บเรื่องที่เจอตนไว้เป็นความลับตราบจนวันตาย หลังจากนั้น ชายคนดังกล่าวก็ได้พบกับกูมิโฮอีกครั้ง แต่คราวนี้กูมิโฮตนดังกล่าวได้แปลงร่างเป็นสาวงามนามว่า "กู ซานแต็ก"
ซานแต็กนำเรื่องของเธอและสามีมาเล่าเป็นนิทานให้ยอนอีฟังขณะอาบน้ำ ยอนอีไม่รู้ว่านิทานดังกล่าวเป็นเรื่องจริงจึงถามแม่ว่า กูมิโฮตนนั้นฆ่าหรือกินคนเก็บของป่าหรือไม่ ซานแต็กปฏิเสธและเล่าว่ากูมิโฮตนนั้นได้กลายเป็นภรรยาของคนเก็บของป่าด้วยความหวังว่าสักวันจะกลายเป็นมนุษย์ เพราะถ้าหากกูมิโฮพบผู้ชายที่ดี มีความจริงใจ รักษาคำมั่น แล้วครองรักกันเป็นเวลา 10 ปี กูมิโฮตนดังกล่าวก็จะกลายเป็นมนุษย์ นางจึงเฝ้าอดทนรอวันแล้ววันเล่า
ยอนอีถามซานแต็กว่า คนเก็บของป่าเป็นคนดีหรือไม่ แม้สามีของเธอจะเป็นนักพนัน ทั้งยังชอบรีดไถเงินเวลาเล่นพนันจนหมดตัว และชอบบีบบังคับให้เธอไปขโมยลูกปัดหยกจากหลุมศพชนชั้นสูง แต่ซานแต็กก็บอกลูกว่าเขาเป็นคนดีที่สุดในโลก ยอนอีถามต่อว่า กูมิโฮตนนั้นได้กลายเป็นมนุษย์สมใจหรือไม่ ซานแต็กเองก็กำลังลุ้นให้ทุกอย่างราบรื่น เธอจึงบอกลูกอย่างมีความหวังว่าวันพรุ่งนี้ก็จะได้รู้กัน ทันใดนั้น ก็มีเสียงร้องเรียกซานแต็ก ซานแต็กจึงรู้สึกแปลกใจมากที่อยู่ๆ สามีของเธอก็กลับบ้านก่อนกำหนด 1 วัน
ในเวลาเดียวกันนั้น ที่บ้านขุนนางผู้มั่งคั่ง "ยูน ดูซู" ก็กำลังมีการทำพิธีปัดเป่าโรคภัยและขับไล่ภูตผีโดยคนทรงนามว่า "มานชิน" เนื่องจาก "ยูน โชอ๊ก" ลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลยูนกำลังป่วยหนัก (ที่ผ่านมาก็ไม่มีหมอคนใดรักษาอาการเจ็บป่วยของโชอ๊กได้) หลังจบพิธีอาการไข้และฝีหนองตามลำตัวของโชอ๊กก็หายไป ดูซูขอบคุณมานชินที่ช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยให้ลูก แต่มานชินกลับบอกว่าอย่าเพิ่งรีบขอบคุณตน เพราะตนยังไม่สามารถถอนคำสาปให้โชอ๊ก เขายังเตือนดูซูให้เตรียมตัวเตรียมใจเพราะนี่เป็นเพียงแค่เริ่มต้น ดูซูโกรธมากจึงจ่อปลายดาบไปที่ใบหน้ามานชิน แต่มานชินกลับบอกอย่างไม่สะทกสะท้านว่าต่อให้ตัดหัวตนก็ไม่อาจถอนคำสาปได้ เขายังเตือนดูซูด้วยว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นก่อนไก่ขัน
สามีซานแต็กกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า ที่ตนกลับบ้านก่อนกำหนดเป็นเพราะผ้าทอของซานแต็กขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนไม่เหลืออะไรให้ขายในวันหรุ่งนี้ เขาชมว่าเธอเป็นคนมีฝีมือและหน้าตาสะสวย แม้เขาจะทำให้เธอตกระกำลำบากมานานนับ 10 ปีแต่สังขารของเธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะร่วงโรย ทันใดนั้น ก็มีเสียงสุนัขจิ้งจอกแว่วมาแต่ไกล สามีของซานแต็กนึกถึงกูมิโฮที่ตนเคยพบในถ้ำเมื่อ 10 ปีก่อน จึงเล่าเรื่องดังกล่าวให้ซานแต็กฟังโดยกำชับว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับใคร
ซานแต็กโกรธมากที่สามีของเธอไม่รักษาสัญญา (สามีของเธอไม่รู้ว่าเธอก็คือกูมิโฮตนนั้น) เธอจึงเริ่มกลายร่างเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งกูมิโฮ เมื่อสามีของเธอหันมาเห็นเข้าก็รู้สึกตกใจ ซานแต็กต่อว่าสามีที่ผิดสัญญา ระหว่างนั้นใบหน้าของเธอเริ่มกลายสภาพเป็นกูมิโฮช้าๆ นอกจากเธอจะโกรธที่เขาผิดสัญญาแล้ว เธอยังผิดหวังและรู้สึกเสียดายโอกาส เพราะพรุ่งนี้เช้าก็จะครบรอบ 10 ปีเต็มของการอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยา หากเขาไม่พูดเรื่องกูมิโฮในคืนนี้ วันพรุ่งนี้เธอก็จะกลายเป็นคนสมใจ
เมื่อหันกลับมามองหน้าซานแต็กอีกครั้ง สามีของเธอก็แทบช็อค เพราะในตอนนั้นเธอได้กลายร่างเป็นกูมิโฮเต็มตัวเหมือนตอนที่เขาเจอในถ้ำ เธอเดินเข้าหาสามีที่ได้แต่นั่งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว พลางตำหนิว่าเขาไม่ต่างอะไรกับมนุษย์คนอื่นๆ เสียแรงที่เธออุตส่าห์เชื่อใจ การที่เขาผิดสัญญาในครั้งนี้ทำให้เธอและลูกสาวพลาดโอกาสที่จะได้กลายเป็นคน ดังนั้น เธอจะทำตามที่เคยลั่นวาจาเอาไว้ว่าหากวันใดเขาผิดสัญญาเธอจะฆ่าเขาเสีย ซานแต็กตรงเข้าบีบคอสามีแต่ทำได้ไม่นานก็ใจอ่อน ถึงกระนั้นสามีของ เธอยังคงนั่งตัวสั่นและอยู่ในอาการช็อค เธอไม่อยากให้ยอนอีซึ่งกำลังนอนหลับ (พลางกอดร้องเท้าคู่ใหม่ที่พ่อซื้อมาฝาก) เห็นสภาพที่แท้จริงของเธอในตอนนี้จึงรีบเดินหนีออกจากบ้านไป
อยู่ๆ ยอนอีก็ลุกขึ้นในสภาพตาแดงก่ำ เธอเดินผ่านพ่อที่ยังคงนั่งตัวสั่นเหมือนคนจิตหลุด เพื่อเข้าไปตามหาแม่ในป่าตามสัญชาตญาณของกูมิโฮ ในตอนนั้นซานแต็กกลายร่างเป็นหญิงสาวเช่นเดิมแล้วและกำลังเดินร้องไห้อยู่ในป่า ส่วนสามีของเธอเริ่มตั้งสติได้จึงวิ่งร่ำไห้ออกจากบ้านพลางร้องหายอนอี
ในที่สุดยอนอีก็ตามหาแม่จนเจอ ทันทีที่พบหน้ายอนอีก็ต่อว่าซานแต็กที่หนีเธอไป ซานแต็กบอกยอนอีให้กลับไปอยู่กับพ่อก่อน แล้วอีก 3 เดือนตนจะกลับมารับไปอยู่ด้วย แต่ยอนอีไม่ยอม ระหว่างที่สองแม่ลูกกอดกันกลมกลางป่าไผ่ อยู่ๆ ฝูงนกก็พากันแตกรัง หลังจากนั้นก็มีเสือฝูงหนึ่งเดินเข้ามาล้อมซานแต็กและยอนอี ยอนอีเห็นดังนั้นก็ถึงกับเป็นลมด้วยความกลัว ซานแต็กกลายร่างเป็นครึ่งคนครึ่งกูมิโฮแล้วอุ้มยอนอีหนีเสือขึ้นไปบนยอดไผ่ แต่เสือก็ยังกระโจนตามและพยายามตะปบต้นไผ่เพื่อให้เธอและลูกตกลงมา เสือตัวหนึ่งตะปบต้นไผ่จนหักโค่นทำให้ยอนอีร่วงลงไปทางด้านล่าง โชคดีที่ซานแต็กตามไปรับเอาไว้ได้ทัน
หลังอุ้มลูกวิ่งหนีเสือมาได้แล้ว ซานแต็กก็กลายร่างเป็นมนุษย์แล้วแบกยอนอีกลับไปส่งที่บ้าน ระหว่างทางเธอกล่าวขอโทษลูกในใจ และให้คำมั่นว่าอีก 3 เดือนข้างหน้าเธอจะมาหายอนอี (อีก 3 เดือนก็จะถึงวันเกิดครบรอบ 10 ปีของยอนอี และในวันนั้นยอนอีก็จะกลายเป็นกูมิโฮ) ครั้นพอแบกลูกเดินโซซัดโซเซกลับมาถึงบ้าน ซานแต็กก็พบว่าสามีของเธอผูกคอตายแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้นดูซูสะดุ้งตื่นพลางร้องเรียกโชอ๊ก เขานึกถึงคำพูดของคนทรงที่บอกว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นก่อนไก่ขันจึงรีบไปดูโชอ๊กที่ห้อง เมื่อไปถึงเขาก็พบว่าโชอ๊กกำลังร้องไห้โฮด้วยความทุกข์ทรมานเพราะเธอไม่สามารถลืมตาได้
ซานแต็กพายอนอีมาอยู่ในถ้ำด้วยความวิตกกังวล เธอรู้ว่ายอนอีจะไม่ปลอดภัยหากใช้ชีวิตอยู่กลางป่า แต่เธอก็รู้สึกเข็ดหลาบกับการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมมนุษย์ เธอจึงคิดไม่ตกว่าจะใช้ชีวิตเยี่ยงไร เมื่อยอนอีรู้สึกตัวซานแต็กก็บอกยอนอีว่าพ่อของเธอเพิ่งเสียชีวิตจากโรคระบาด
ดูซูเรียกหมอมาตรวจดูอาการของโชอ๊ก หลังตรวจดูอาการแล้วหมอก็ระบุว่าโชอ๊กป่วยเป็นโรคประหลาด พอรู้ว่าไม่มีทางรักษาโชอ๊กก็ร้องไห้โวยวายว่าตนไม่อยากตาบอด ดูซูใจแทบสลายเมื่อเห็นลูกทุกข์ทรมาน เขาจึงสัญญาว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้โชอ๊กลืมตาดูโลกได้อีกครั้ง
ซานแต็กพายอนอีออกจากเมืองที่เต็มไปด้วยโรคระบาดแล้วมาอาศัยอยู่ในบ้านร้าง เมื่อเห็นลูกอดอยากและมีชีวิตที่ยากลำบาก ซานแต็กก็แอบออกไปขุดหลุมศพชนชั้นสูงเพื่อขโมยลูกปัดหยก (ที่อยู่ในปากศพ) ในเวลากลางคืน เธอพบกับชายลึกลับคนหนึ่ง (นักล่าปีศาจ) และถูกทำร้ายที่บริเวณหน้าอกจนได้รับบาดเจ็บ แต่เธอก็ฮึดสู้จนสามารถผลักเขาตกจากหน้าผาและร่วงลงไปในแม่น้ำได้ หลังจากนั้นเธอก็กลายร่างเป็นสุนัขจิ้งจอก ดูซู (ซึ่งกำลังออกล่าสัตว์ในป่า) เห็นสุนัขจิ้งจอกเดินผ่านมาจึงยิงธนูเข้าใส่ เมื่อวิ่งตามไปดูก็พบซานแต็กนอนหมดสติโดยมีรอยเลือดที่บริเวณหน้าอก จึงเข้าไปประคองและพยายามร้องเรียกให้เธอฟื้น ดูซูนึกว่าซานแต็กโดนธนูของตนจนได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงรีบไปตามคนมาช่วย แต่ซานแต็กกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
โชอ๊กซึ่งยังคงลืมตาไม่ขึ้น ถูกพ่อแม่ประคบประหงมด้วยการสรรหาอาหารบำรุงแปลกๆ มาให้ทาน เธอตักลูกกลมๆ สีแดงสดใส่ปาก แต่พอเคี้ยวแล้วเธอรู้สึกขยะแขยงจนเกือบคายออกมาแต่ถูกแม่ห้ามไว้ แม่ของเธอโกหกว่าเป็นของหายากที่มาจากทะเล บังเอิญว่าในตอนนั้น ยูน เกฮยางพาลูกๆ (ชองอิลและชองอี) มาเยี่ยมโชอ๊ก เมื่อเห็นอาหารที่อยู่ในจาน ลูกชายคนเล็กของเกฮยาง (ชองอี) ก็ร้องด้วยความตกใจว่า "ตายแล้ว! เจ้ากินอะไรน่ะ นั่นมันลูกตาไม่ใช่เหรอ" โชอ๊กได้ยินดังนั้นก็ขยะแขยงและคลื่นไส้จนแทบอาเจียนออกมา
ซานแต็กนอนดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดบาดแผล ยอนอีบอกแม่ด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่าหมอไม่ยอมมาหลังรู้ว่าเธอกับแม่ไม่มีเงินค่ารักษา พอหันไปเห็นลูกปัดหยกในมือซานแต็ก ยอนอีก็รีบคว้าโดยบอกว่าจะนำไปขายเพื่อนำเงินมาจ่ายให้หมอ แต่ซานแต็กไม่ยอมให้ (เพราะเป็นของที่เธอขโมยมาจากหลุมศพ และข่าวเรื่องที่มีคนขโมยลูกปัดหยกในสุสานก็กำลังแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมือง) เธอกำชับลูกว่าห้ามนำลูกปัดหยกไปขายโดยเด็ดขาด และถ้าหากใครถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ต้องบอกว่าไม่รู้ไม่เห็น เพราะถ้าพูดถึงเรื่องนี้เมื่อใด ทั้งเธอและยอนอีก็จะตกอยู่ในอันตราย ที่สำคัญห้ามไว้ใจมนุษย์หน้าไหนโดยเด็ดขาด แม้จะฟังดูแปลกๆ แต่ยอนอีก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรมากนัก
ดูซูไปพบมานชินในถ้ำเพื่อหาทางช่วยชีวิตโชอ๊ก มานชินย้ำว่าโชอ๊กจะอยู่ได้ไม่เกิน 10 ขวบ ดูซูจึงถามว่าพอจะมีทางช่วยเหลือลูกสาวตนไหม มานชินตอบว่า มี แต่ไม่แน่ใจว่าดูซูจะกล้าทำตามวิธีที่ตนบอกหรือเปล่า ดูซูยืนยันเสียงแข็งว่าตนทำได้ทุกอย่างเพื่อยื้อชีวิตโชอ๊ก มานชินได้ยินดังนั้นจึงบอกว่า พ่อลูกคู่นี้เหมือนกันราวกับแกะ (ขี้โมโห เอาแต่ใจ ใจร้อน) โชคดีที่ตนไม่ได้เป็นพ่อคน ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าแนะนำวิธีนี้ให้ดูซู
มานชินบอกให้ดูซูตามหาเด็กผู้หญิงที่เกิดวัน เดือน ปี และเวลาเดียวกันกับโชอ๊ก ดูซูถามว่าทำเช่นนั้นแล้วจะช่วยชีวิตโชอ๊กได้จริงหรือ มานชินจึงหยิบกล่องไม้ใบหนึ่งขึ้นมาแล้วบอกดูซูว่า ของสิ่งนี้จะช่วยให้เขาหาเด็กคนนั้นเจอ และเขาก็ควรมอบของแบบเดียวกันนี้ให้โชอ๊กด้วย
พ่อบ้านโอรับหน้าที่เกณฑ์เด็กผู้หญิงมาให้ดูซู เขานำเด็กที่อยู่ในวัยเดียวกับโชอ๊กมาทั้งหมดเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต จากนั้นก็แอบกระซิบบอกดูซูว่าเด็กคนไหนที่เกิดวันเดียวกับโชอ๊ก ระหว่างเลี้ยงอาหารเด็กๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีฐานะยากจน โชอ๊กซึ่่งถูกตามใจจนเคยตัวเริ่มงอแงและร้องบอกดูซูว่าอยากกลับบ้าน โดยอ้างว่าที่นี่กลิ่นเหม็นคลุ้งราวกับนั่งอยู่ในเล้าหมู ขืนอยู่ต่อไปมีหวังจมูกเธอคงใช้การไม่ได้เหมือนตาแน่ๆ (โชอ๊กมาในสภาพถูกปิดตา เพราะตายังลืมไม่ขึ้น) ดูซูดุลูกสาวที่พูดจาดูถูกคนอื่น จากนั้นก็ส่งสัญญาณบอกพ่อบ้านโอให้เริ่มทำตามแผน พ่อบ้านโอบอกเด็กๆ ว่าถ้าใครคลายปมเชือกที่อยู่ตรงหน้าได้ก่อนจะได้รับเลือกให้เป็นสาวใช้ของโชอ๊ก โชอ๊กได้ยินเด็กคนอื่นๆ คุยกันเรื่องตาของเธอก็รู้สึกโกรธ เธอจึงอาละวาดจนแผนของดูซูต้องล่มกลางคัน
ดูซูไปหามานชินในถ้ำอีกครั้ง แต่มานชินกลับบอกดูซูว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งหรือแทรกแซงในเรื่องนี้ เพราะเมื่อถึงเวลาโชอ๊กจะมองเห็นเด็กคนนั้นเป็นคนแรก ดูซูสงสัยว่าโชอ๊กลืมตาไม่ได้แล้วจะมองเห็นเด็กคนดังกล่าวได้อย่างไร มานชินตอบว่า หากเป็นเช่นนั้นคงต้องโทษโชคชะตา
ยอนอีเห็นแม่หมดสติเพราะพิษจากบาดแผล จึงแอบขโมยลูกปัดหยกไปขายในตลาดเพื่อนำเงินมารักษาแม่ พ่อค้ารู้ว่าลูกปัดดังกล่าวถูกขโมยมาจากหลุมศพจึงกดราคาเหลือเพียง 1 ยาง ยอนอีนึกถึงคำสอนของแม่ที่บอกว่าอย่าไว้ใจมนุษย์จึงขอเพิ่มเป็น 5 ยาง แต่พ่อค้าคนดังกล่าวไม่ยอมและพยายามแย่งลูกปัดทำให้ถูกยอนอีกัดมือ ขณะที่ยอนอีกำลังจะถูกทำร้าย ชองอิลและชองอีก็เดินเข้ามาห้าม ทั้งยังสั่งให้พ่อค้าส่งลูกปัดหยกมาให้ตนโดยขู่ว่าถ้าไม่ให้จะแจ้งทางการ
ยอนอีเห็นพ่อค้าส่งลูกปัดให้ชองอิลก็รู้สึกดีใจ เธอรีบตามไปขอบคุณชองอิล (ซึ่งเดินตัวปลิวออกจากร้านพร้อมลูกปัดในมือ) พร้อมทั้งขอลูกปัดคืน แต่กลับถูกชองอิลตะคอกใส่เสียงดังลั่น (ชองอีกำลังแคะจมูกอย่างเมามัน พอได้ยินเสียงตะคอกของพี่ชายก็ถึงกับสะดุ้ง ทำให้นิ้วแทงเข้าไปในรูจมูกอย่างแรงจนเลือดไหล) ชองอิลอ้างว่าเด็กผู้หญิงอย่างยอนอีไม่สมควรมีของแบบนี้และเดินหนีไปหน้าตาเฉย ยอนอีจำเป็นต้องหาเงินไปรักษาแม่เลยตามไปทวงลูกปัดคืนจึงเกิดการยื้อแย่งกันขึ้น ชองอีเสียหลักก้นกระแทกพื้น ส่วนชองอิลมีบาดแผลที่ใบหน้า เกฮยางเห็นดังนั้นจึงตรงเข้ามาตบหน้ายอนอีสุดแรง จากนั้นจึงหันไปถามลูกๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
ซานแต็กรู้สึกได้ว่ายอนอีกำลังมีภัยจึงสะดุ้งตื่นขึ้นมา เธอกวาดตามองหายอนอีแต่ยอนอีไม่ได้อยู่ในห้อง เมื่อเห็นว่าลูกปัดหยกในมือหายไปเธอก็รู้ได้ทันทีว่ายอนอีกำลังตกอยู่ในอันตราย เธอจึงรีบออกไปตามหายอนอีทั้งๆ ที่กำลังบาดเจ็บสาหัส และได้ยินคนในตลาดคุยกันว่าเกฮยางซึ่งเป็นหญิงอารมณ์ร้าย จับเด็กคนหนึ่งไปลงโทษที่บ้าน
ยอนอีพยายามร้องขอความเมตตาจากเกฮยาง เกฮยางต้องการพบแม่ของยอนอีจึงถามว่าบ้านของเธออยู่ที่ไหน ยอนอีร่ำไห้พลางตอบว่าเธอไม่สามารถบอกได้ เกฮยางได้ฟังดังนั้นจึงคิดที่จะส่งตัวยอนอีให้ทางการเพราะสงสัยว่าเธอน่าจะขโมยลูกปัดมาจากที่ไหนสักแห่ง ดูซูมาพบเข้าจึงตำหนิเกฮยางที่ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เกฮยางฟ้องว่ายอนอีทำให้ใบหน้าชองอิลมีบาดแผล ดูซูเห็นว่ายอนอีเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ จึงรู้สึกสงสารและเห็นใจ เขาสั่งให้เกฮยางปล่อยยอนอีกลับบ้าน โดยให้เหตุผลว่าเด็กๆ แค่ทะเลาะกัน และอีกไม่นานรอยแผลของชองอิลก็จะค่อยๆ เลือนหายไปเอง
เกฮยางไม่ยอมเลิกรา เธอยื่นลูกปัดหยกให้ดูซูดู แล้วบอกว่าของสิ่งนี้มีแต่ขุนนางเท่านั้นที่สามารถครอบครองได้ ดูซูหันกลับไปมองยอนอีที่สวมชุดผ้าฝ้ายแบบสามัญชน (ขุนนางและชนชั้นสูงจะสวมชุดผ้าไหม) แล้วถามว่าเธอได้ลูกปัดมาจากไหน ยอนอีได้แต่ส่ายหน้าเพราะแม่สั่งเอาไว้ว่าห้ามตอบเรื่องนี้ ดูซูไม่อยากเดือดร้อนในภายหลังจึงสั่งให้นำตัวยอนอีไปส่งทางการ ทันใดนั้น ซานแต็กก็วิ่งเข้าไปหายอนอีความเป็นห่วง ยอนอีกอดแม่แน่นด้วยความหวาดกลัว ดูซูถึงกับอึ้งเมื่อพบว่าแม่ของยอนอีคือผู้หญิงที่ได้รับบาดเจ็บในป่า เกฮยางเห็นดูซูมองซานแต็กตาไม่กระพริบก็รู้สึกไม่พอใจ จึงเตือนให้ดูซูรีบส่งตัวยอนอีไปให้ทางการ แต่ดููซูกลับบอกเกฮยางว่าอย่ามายุ่งและไล่ให้เธอกลับเข้าบ้าน
นอกจากดูซูจะไม่ส่งตัวยอนอีให้ทางการแล้ว เขายังเลี้ยงอาหารว่างและคืนลูกปัดหยกให้ซานแต็กอีกด้วย ซานแต็กบอกดูซูว่าลูกปัดดังกล่าวเป็นของตกทอดของครอบครัวเธอ ดูซูรู้ว่าซานแต็กไม่ใช่คนในละแวกนี้จึงถามว่าเธอมาจากไหน ซานแต็กโกหกว่าเธอมาจากกูซาน สามีของเธอเสียชีวิตจากโรคระบาด เธอกับลูกจึงระเหเร่ร่อนมายังหมู่บ้านแห่งนี้ ขณะที่ดูซูถามถึงอาการบาดเจ็บของซานแต็ก ก็มีคนของสำนักตรวจการมาตามจับยอนอีที่บ้านของดูซู แต่ดูซูไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่บุกเข้ามาในบ้านและปฏิเสธว่าในบ้านตนไม่มีขโมย
หลังออกไปสังเกตการณ์ทางด้านนอก ซานแต็กก็เข้ามาหายอนอี (ซึ่งกำลังนั่งคลายปมเชือกที่พันกันยุ่งเหยิงของมานชิน) ในเรือนรับรอง เธอตำหนิยอนอีที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนและถามว่าต่อไปนี้จะไปไหนโดยไม่บอกกันก่อนอีกหรือไม่ เมื่อยอนอีสัญญาว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีก ซานแต็กจึงมอบลูกกระพรวนให้ยอนอีโดยบอกให้พกติดตัวไว้ตลอดเวลา เพราะถ้าหากมีสิ่งนี้ ไม่ว่ายอนอีอยู่ที่ไหนเธอก็จะหายอนอีพบ
พ่อบ้านโอมาตามซานแต็กไปพบดูซูโดยบอกว่าทั้งเธอและลูกปลอดภัยแล้ว ระหว่างรอแม่อยู่ทางด้านนอก ยอนอีเห็นผีเสื้อตัวหนึ่งบินผ่านมาจึงวิ่งไล่ตามด้วยความซุกซน ทุกครั้งที่เธอวิ่งหรือกระโดดลูกกระพรวนก็จะดังกรุ๊งกริ๊ง เธอวิ่งตามผีเสื้อมาที่หน้าเรือนของโชอ๊กและพยายามกระโดดจับผีเสื้อ โชอ๊กได้ยินเสียงลูกกระพรวนจึงร้องถามด้วยความสงสัยว่าใครอยู่ทางด้านนอก เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบเธอก็ลุกขึ้นนั่งและคลานออกจากที่นอนโดยที่ยังมีผ้าปิดตา
ดูซูเห็นว่าซานแต็กกำลังได้รับบาดเจ็บ จึงบอกให้เธอและยอนอีหลบเจ้าหน้าที่อยู่ที่บ้านของตนก่อนเพื่อความปลอดภัย ซานแต็กปฏิเสธโดยอ้างว่าหากเธอและลูกอยู่ที่นี่อาจมีเจ้าหน้าที่บุกเข้ามาตรวจค้นอีก ทันใดนั้น สาวใช้นางหนึ่งก็ร้องเรียกดูซูด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก ปรากฏว่าโชอ๊กตกบันไดและนอนชักอยู่บนพื้น ซานแต็กเห็นดังนั้นจึงช่วยรักษาอาการชักให้ โดยบอกว่าลูกของเธอก็เคยชักเธอจึงรู้จักวิธีกดจุด ภรรยาของดูซูกล่าวขอบคุณซานแต็กที่ช่วยชีวิตลูกสาวตน จากนั้นร้องเรียกโชอ๊กให้ฟื้นคืนสติ อยู่ๆ โชอ๊กก็ลุกขึ้นยืนตัวแข็งและลืมตาโพลง คนแรกที่โชอ๊กเห็นคือยอนอีซึ่งยืนแอบอยู่ทางด้านหลังแม่ด้วยความหวาดกลัว
ดูซูเห็นว่าซานแต็กกำลังได้รับบาดเจ็บ จึงบอกให้เธอและยอนอีหลบเจ้าหน้าที่อยู่ที่บ้านของตนก่อนเพื่อความปลอดภัย ซานแต็กปฏิเสธโดยอ้างว่าหากเธอและลูกอยู่ที่นี่อาจมีเจ้าหน้าที่บุกเข้ามาตรวจค้นอีก ทันใดนั้น สาวใช้นางหนึ่งก็ร้องเรียกดูซูด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก ปรากฏว่าโชอ๊กตกบันไดและนอนชักอยู่บนพื้น ซานแต็กเห็นดังนั้นจึงช่วยรักษาอาการชักให้ โดยบอกว่าลูกของเธอก็เคยชักเธอจึงรู้จักวิธีกดจุด ภรรยาของดูซูกล่าวขอบคุณซานแต็กที่ช่วยชีวิตลูกสาวตน จากนั้นร้องเรียกโชอ๊กให้ฟื้นคืนสติ อยู่ๆ โชอ๊กก็ลุกขึ้นยืนตัวแข็งและลืมตาโพลง คนแรกที่โชอ๊กเห็นคือยอนอีซึ่งยืนแอบอยู่ทางด้านหลังแม่ด้วยความหวาดกลัว
พี่เลี้ยงโชอ๊กดีใจจนออกนอกหน้าที่เห็นคุณหนูของตนลืมตา เมื่อรู้ว่าโชอ๊กกลับมามองเห็นได้อีกครั้งทั้งดูซูและภรรยาก็พากันดีใจจนลืมเรื่องของซานแต็กและยอนอีไปชั่วขณะ ดูซูถามลูกว่าทำไมอยู่ๆ ถึงลืมตาได้ โชอ๊กบอกว่าเธอได้ยินเสียงลูกกระพรวนดังแว่วมาแต่ไกล เหมือนมันกำลังร้องเรียกเธอ พอเธอลืมตาก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ดูซูนึกถึงคำพูดของมานชินที่บอกว่าโชอ๊กจะเห็นเด็กผู้หญิงที่เกิดวันเดือนปีเดียวกันกับเธอเป็นคนแรกหลังลืมตา จึงรีบไปหาซานแต็กและยอนอีที่เรือนรับรองแต่ภายในห้องว่างเปล่า คงเหลือเพียงเชือกที่ถูกคลายปมและม้วนเป็นวงอย่างมีระเบียบ ดูซูจึงสั่งให้พ่อบ้านโอรีบส่งคนออกติดตามสองแม่ลูก จากนั้นก็รีบควบม้าออกจากบ้านทันที
ก่อนหน้านี้ มานชินเคยกล่าวกับดูซูว่า "มีสิ่งหนึ่งที่ท่านต้องจำเอาไว้ ท่านต้องเก็บเรื่องที่ข้ากำลังจะบอกไว้เป็นความลับจนกว่าจะถึงวันทำพิธี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้โดยเด็ดขาด อันที่จริง ถึงข้าจะไม่ร้องขอ ท่านเองก็คงยากที่จะปริปากบอกใคร... เมื่อเด็กผู้หญิงคนนั้นอายุครบ 10 ปีในอีก 3 เดือนข้างหน้า หากคุณหนูโชอ๊กได้กินตับของนาง คุณหนูก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไป"
* เนื้อหาโดย luvasianseries
จาง ฮยอนซอง
รับบท ยูน ดูซู
คิม ยูจอง
รับบท ยอนอี
* ภาพจากเคบีเอส
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ชอบมากๆเรื่องนี้^ w ^
ตอบลบ