กำกับ: คิม วอนซอก
เขียนบท: คิม อึนฮี
แนวละคร: อาชญากรรม, ระทึกขวัญ, ลึกลับ, โรแมนติก, แฟนตาซี
จำนวนตอน: 16
ออกอากาศ: เกาหลี - 22 มกราคม 2559 - 12 มีนาคม 2559 ทางทีวีเอ็น
ไทย - ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.30 - 21.30 น. ทางทรูโฟร์ยู (หมายเลข 24) ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2560 - 7 กุมภาพันธ์ 2561
เขียนบท: คิม อึนฮี
แนวละคร: อาชญากรรม, ระทึกขวัญ, ลึกลับ, โรแมนติก, แฟนตาซี
จำนวนตอน: 16
ออกอากาศ: เกาหลี - 22 มกราคม 2559 - 12 มีนาคม 2559 ทางทีวีเอ็น
ไทย - ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.30 - 21.30 น. ทางทรูโฟร์ยู (หมายเลข 24) ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2560 - 7 กุมภาพันธ์ 2561
ละคร "สัญญาณลับ ล่าข้ามเวลา (Signal)" นำเสนอเรื่องราวในแวดวงตำรวจ เนื้อหากล่าวถึงการร่วมมือกันไขคดีค้างเก่าที่ยังปิดไม่ลงและกำลังจะหมดอายุความ ระหว่างตำรวจสืบสวนคดีอาชญากรรมใน "โลกปัจจุบัน" กับตำรวจสืบสวนจาก "โลกอดีต" โดยผ่านทาง "วิทยุสื่อสาร" เพื่อคืนความเป็นธรรมให้ผู้ตกเป็นเหยื่อและครอบครัว ด้วยการเผยความจริงและนำคนร้าย (ตัวจริง) มาลงโทษ
ละครเปิดฉากขึ้นในวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 ณ สนามของโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง ในขณะที่เพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ ต่างจับคู่กันฝึกซ้อมแบดมินตัน "คิม ยุนจอง" เป็นคนเดียวที่ไม่มีคู่ฝึกซ้อม เมื่อเธอหันไปเห็น "ปาร์ค แฮยอง" ซึ่งปลีกตัวไปยืนดูเพื่อนอยู่ห่างๆ อย่างเหงาๆ ตามลำพังโดยไม่ได้เปลี่ยนชุดพละ เธอจึงหันไปยิ้มให้แฮยองอย่างเป็นมิตรแต่แฮยองแกล้งทำเป็นเมิน เมื่อแฮยองหันกลับไปมองยุนจองอีกครั้งก็พบเพียงความว่างเปล่า เขาจึงกวาดตามองในสนามก่อนก้มหน้าเขี่ยดินเล่น หลังจากนั้นไม่นานยุนจองก็ยื่นไม้แบดฯ ให้แฮยองพร้อมรอยยิ้ม แต่แฮยองกลับลุกหนีโดยไม่พูดไม่จา
หลังโรงเรียนเลิกแฮยองซึ่งยังคงไม่มีเพื่อนเดินออกจากห้องเรียนเป็นคนสุดท้าย หลังเพื่อนๆ มีผู้ปกครองมารับจนเกือบหมดแล้ว แฮยองจึงถือร่มเดินออกมาที่หน้าตึกเพราะฝนกำลังตกหนัก เมื่อเห็นยุนจองยืนอยู่ตามลำพังเพราะยังไม่มีคนมารับและไม่มีร่ม แฮยองจึงรีบซ่อนร่มคันใหญ่ไว้ด้านหลัง ยุนจองเห็นดังนั้นจึงส่งยิ้มให้แฮยอง แต่แฮยองกลับทิ้งเธอไว้แล้ววิ่งหนีไปท่ามกลางสายฝนโดยไม่กางร่ม ระหว่างนั้นเขาเห็นหญิงสาวสวมรองเท้าส้นสูงสีแดงยืนกางร่มท่ามกลางสายฝนตามลำพัง เมื่อหันกลับไปมองยุนจองอีกครั้งก็พบว่าเธอกำลังเดินไปกับหญิงสาวคนดังกล่าว เขาจึงรีบวิ่งฝ่าสายฝนกลับบ้าน
ขณะนั่งทานบะหมี่พลางดูทีวีในบ้านตามลำพัง แฮยองได้ยินรายงานข่าวระบุว่านักเรียนหญิงชั้นประถมในจังหวัดคยองกีคนหนึ่งถูกคนร้ายลักพาตัวหลังโรงเรียนเลิก เขาจึงเงยหน้าขึ้นดูและพบว่านักเรียนหญิงคนดังกล่าวคือ...ยุนจอง!!!
เมื่อแฮยองไปโรงเรียนในวันรุ่งขึ้นก็พบกองทัพนักข่าวมาดักสัมภาษณ์เด็กๆ ที่หน้าโรงเรียน ทันใดนั้น ภาพความทรงจำอันแสนเจ็บปวดตอนที่พี่ชายถูกตัดสินว่ามีความผิดก็ผุดขึ้นมาในหัวของแฮยองอีกครั้ง หลังได้ยินรายงานข่าว (ที่อ้างคำแถลงของตำรวจ) ระบุว่า ผู้ต้องสงสัยคดีลักพาตัวยุนจองเป็นนักศึกษาแพทย์หนุ่มที่ชื่อ "ซอ ฮยองจุน" แฮยองซึ่งเห็นกับตาว่าคนที่มารับยุนจองเป็นผู้หญิงจึงเดินไปที่สถานีตำรวจหมายแจ้งเบาะแสและเป็นพยานยืนยันสิ่งที่ตนเห็น ครั้นพอไปถึงภาพความทรงจำเกี่ยวกับคดีของพี่ชายก็ตามมาหลอกหลอนแฮยองอีกครั้งทำให้เขาชักเริ่มลังเล (เขาไม่ศรัทธาวงการตำรวจ) สุดท้ายแฮยองก็รวบรวมความกล้าและพยายามบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าคนร้ายที่ลักพาตัวยุนจองไปเป็นผู้หญิงแต่ไม่มีตำรวจคนใดสนใจเขาเลย ในที่สุด ยุนจองก็ถูกพบในสภาพเป็นศพ รายงานข่าวระบุว่าฮยองจุนซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยได้เชิดเงินค่าไถ่ 50 ล้านวอน (เกือบ 1.5 ล้านบาท) แล้วหลบหนีไปอย่างไร้ร่องรอย แฮยองเห็นแม่ของยุนจองยืนถือป้ายร้องขอความเป็นธรรมหน้าสถานีตำรวจแล้วอดรู้สึกสงสารไม่ได้ เพราะแม้เวลาจะล่วงเลยไปแต่แม่ของยุนจองยังคงปักหลักรอด้วยความหวัง (ว่าคนร้ายจะถูกนำตัวมาลงโทษ) ที่หน้าสถานีตำรวจเหมือนเช่นเดิม
วันที่ 27 กรกฎาคม 2558 (ก่อนคดีฆาตกรรมยุนจองจะหมดอายุความ 3 วัน) แฮยองซึ่งปัจจุบันกลายเป็นตำรวจสืบสวนที่มีความเชี่ยวชาญด้านโปรไฟลิ่ง (การคาดเดาลักษณะของคนร้าย โดยวิเคราะห์จุดเด่นกับลักษณะของการก่ออาชญากรรมด้วยหลักพฤติกรรมศาสตร์) นำทักษะของตนมาสอดแนมเหล่าคนดังในวงการบันเทิงแล้วแบ่งปันข้อมูลให้นักข่าว โดยเผยความสัมพันธ์แบบรักสามเส้าระหว่าง "อิม ชีวาน", "คัง โซรา" และ "พยอน โยฮัน" (จากเรื่อง "หนุ่มออฟฟิศพิชิตฝัน (Misaeng)") เมื่อแฮยองเผยว่า "จีซอง" กับ "ลี โบยอง" กำลังคบหาดูใจกัน (ในชีวิตจริงนักแสดงทั้งคู่แต่งงานกันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556) นักข่าวก็รู้สึกตื่นเต้นและอดสงสัยไม่ได้ว่าแฮยองรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร แฮยองยังไม่ทันตอบ ตำรวจสืบสวน "ชา ซูฮยอน" ก็ชิงตอบว่าเขาได้ข้อมูลมาจากกองขยะ หลังจากนั้นแฮยองก็ถูกซูฮยอนลากตัวไปยังสถานีตำรวจชินยาง (ที่เธอทำงานอยู่)
ที่แท้นักแสดงสาวลี โบยองแจ้งความว่ามีคนสะกดรอยตาม ซูฮยอนเลยตามสืบจนรู้ว่าคนที่ก่อเรื่องไม่ใช่พวกโรคจิตแต่เป็นตำรวจอย่างแฮยอง แฮยองแย้งว่าตนก็แค่คุ้ยขยะ ไม่ได้ก่ออาชญากรรมและไม่ใช่พวกโรคจิต ที่สำคัญตนไม่เคยรับเงินจากนักข่าวเพราะการแบ่งปันข้อมูลคืองานอดิเรกของตน เมื่อ "คิม คเยชอล" ยุให้ซูฮยอนทำรายงานร้องเรียนเบื้องบนว่าแฮยองทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของตำรวจจึงสมควรโดนไล่ออก แฮยองเลยชี้ว่าความจริงแล้วคนที่ทำลายเกียรติตำรวจนั้นไม่ใช่ตน แต่เป็นตำรวจอย่างซูฮยอนที่มัวไล่จับผู้บริสุทธิ์อย่างตนแต่กลับดองคดีอื่นๆ จนแฟ้มกองเต็มโต๊ะเพียงเพื่อลดจำนวนคดีในความรับผิดชอบให้น้อยลง
แฮยองยังบอกอีกว่าอย่างน้อยๆ โต๊ะของซูฮยอนก็ยังแลดูเหมือนโต๊ะทำงานของตำรวจสืบสวน ผิดกับโต๊ะของคเยชอลที่คล้ายโต๊ะของคนทำธุรกิจมากกว่า เพราะเขานำคู่มือสืบสวนสอบสวนไปวางรองถ้วยบะหมี่แต่กลับอ่านนิตยสารกอล์ฟ แถมบนโต๊ะยังมีสมุดเก็บนามบัตรสองเล่มซึ่งแฮยองฟันธงว่าในนั้นต้องมีนามบัตรผู้จัดการส่วนตัวของดาราสาวลี โบยอง (คู่กรณีของแฮยอง) รวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน แฮยองฟันธงว่าคเยชอลกับซูฮยอนทำคดีนี้ตามคำขอของผู้จัดการดาราสาว ไม่อย่างนั้นตำรวจสืบสวนประจำหน่วยอาชญากรรมพิเศษอย่างคเยชอลกับซูฮยอนคงไม่เสียเวลามาตามสืบและจับคนคุ้ยขยะหน้าบ้านดาราอย่างตน
ถึงกระนั้นซูฮยอนยังคงยืนกรานว่าการที่ตำรวจอย่างแฮยองลดตัวลงไปคุ้ยขยะเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม แฮยองแย้งว่าที่ตนทำคือการสืบหาข้อมูลไม่ใช่การคุ้ยขยะ จากนั้นก็เตือนว่าซูฮยอนกำลังใช้ภาษาแบบเป็นกันเองกับตน ซูฮยอนสวนกลับว่าจะเป็นไรไปในเมื่อพวกตนต่างก็เป็นตำรวจที่ทำตัวไม่เหมาะสมด้วยกันทั้งนั้น ทันใดนั้นก็มีคนโทรฯ มาแจ้งว่าดาราสาวลี โบยองถอนแจ้งความแล้ว แฮยองได้ทีจึงขู่กลับว่าตนจะเปิดโปงและรายงานเบื้องบนหากพบว่าทั้งคู่รับสินบนจากผู้จัดการดารา ซูฮยอนไม่หวั่นและชี้ว่าหากทำเช่นนั้นเรื่องที่แฮยองคุ้ยขยะหน้าบ้านดาราก็จะพลอยถูกแฉไปด้วย แฮยองได้ยินดังนั้นจึงยอมเลิกลา หลังแฮยองเดินออกจากห้อง ซูฮยอนตามออกมาถามว่าจะให้ตนไปส่งไหม จากนั้นก็เรียกชื่อแฮยองเต็มยศก่อนเตือนให้เขารีบหางานใหม่ก่อนที่จะสายเกินไป เพราะคนอย่างเขาไม่เหมาะที่จะเป็นตำรวจ (แฮยองมีอคติกับตำรวจ)
ขณะเดินตรงไปยังโถงลิฟต์แฮยองเห็นภาพตัวเองสมัยเป็นเด็ก เมื่อ 15 ปีก่อนเขามาที่นี่เพื่อบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าคนร้ายที่ลักพาตัวยุนจองเป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชายแต่ไม่มีตำรวจคนใดสนใจเขา ในตอนนั้นตำรวจนายหนึ่งเห็นแฮจองยืนนิ่งอยู่นานเลยเข้ามาถามว่าพลัดหลงกับผู้ปกครองหรือ แฮยองตกใจกลัวเลยวิ่งหนีลงบันไดและชนนายตำรวจ "ลี แจฮัน" จนกระดาษที่กำแน่นอยู่ในมือก่อนหน้านี้ร่วงตกลงบนพื้น ด้านแจฮันเองก็ทำเอกสารตกเช่นกัน เมื่อเขาก้มเก็บเอกสารที่ตกอยู่บนพื้นจึงหยิบกระดาษของแฮยองติดมือไปด้วย
วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2543 (5 วัน กับอีก 5 ชั่วโมงหลัง "คิม ยุนจอง" ถูกลักพาตัว) แจฮันสรุปรายละเอียดคดีลักพาตัวยุนจองให้ที่ประชุมทราบโดยกล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม หลังโรงเรียนเลิกตอนบ่ายโมง โดยมีการแจ้งความว่ายุนจองถูกลักพาตัวเมื่อเวลา 18.44 น. ของวันเดียวกัน หลังจากนั้น 53 นาทีคนร้ายได้ส่งจดหมายเรียกค่าไถ่เป็นเงิน 50 ล้านวอน เมื่อตำรวจบุกไปยังคาเฟ่ตามที่ระบุไว้ในจดหมายกลับไม่พบคนร้าย ถึงกระนั้นก็พบลายนิ้วมือผู้ต้องสงสัยบนโต๊ะ หลังตรวจสอบจึงพบว่าลายนิ้วมือดังกล่าวเป็นของนักศึกษาแพทย์วัย 21 ปี "ซอ ฮยองจุน" ซึ่งยังคงหลบหนีการจับกุมและยังไม่พบเบาะแสใดๆ จากการตรวจสอบพบว่าเขาไม่ได้ชำระค่าโทรศัพท์มา 2 เดือนแล้วทำให้มือถือโดนตัด นอกจากนี้ เขายังค้างชำระหนี้บัตรเครดิตเป็นเงิน 50 ล้านวอนทำให้บัตรถูกระงับเลยตามแกะรอยไม่ได้
"คิม บอมจู" ได้ฟังดังนั้นจึงโวยลั่นที่จนป่านนี้แล้วยังจับคนร้ายไม่ได้ แจฮันกล่าวว่าถึงกระนั้นพวกตนก็พบเบาะแสบางอย่าง จากการตรวจสอบข้อมูลบัตรเครดิตพบว่าสาเหตุที่ผู้ต้องสงสัยเป็นหนี้ก้อนโตเนื่องจากนำบัตรไปรูดซื้อสินค้าแบรนด์เนมสำหรับผู้หญิงหลายรายการ และเมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งบ่นกับเพื่อนสนิทว่ามีปัญหากับผู้หญิงที่ตนรักแต่ไม่ได้บอกว่าผู้หญิงคนดังกล่าวเป็นใคร พวกตนกำลังสืบหาผู้หญิงคนที่ว่าแต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร ทันใดนั้น "อัน ชีซู" ก็เข้ามารายงานว่าครอบครัวเหยื่อเพิ่งได้รับจดหมายเรียกค่าไถ่อีกหนึ่งฉบับที่ระบุว่าต้องการเงิน 50 ล้านวอนภายในเวลา 10.00 น. โดยให้นำเงินไปส่งมอบที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เหล่าตำรวจสืบสวนจึงรีบออกไปตามจับคนร้ายยกเว้นแจฮัน เขาตั้งข้อสังเกตกับบอมจูว่าฮยองจุนอาจไม่ใช่คนร้ายคนจริง เพราะลายนิ้วมือที่พบทั้งในจดหมายเรียกค่าไถ่และที่คาเฟ่มีเพียงนิ้วเดียวคือนิ้วโป้งข้างขวาราวกับมีคนจงใจทิ้งลายนิ้วมือเอาไว้ เขาจึงให้ความสำคัญกับผู้หญิงที่ฮยองจุนกำลังคบหาอยู่มากกว่า บอมจูไม่พอใจที่แจฮันเป็นคนหัวแข็งเลยบอกให้แจฮันสืบเรื่องนี้เองตามลำพังและเตือนให้ระวังหลัง เมื่อบอมจูออกไปแล้ว ชีซูก็เตือนให้แจฮันหยุดดึงดัน แจฮันจึงสวนกลับว่าชีซูเองก็ควรหยุดเลียแข้งเลียขาเจ้านายเช่นกัน
เมื่อเห็นซูฮยอนสวมเครื่องแบบตำรวจเดินเข้ามาหาในห้อง แจฮันจึงเปรยว่าเธอย้ายมาในช่วงเวลาที่เหมาะเหม็ง เมื่อซูฮยอนเกริ่นถึงเรื่องที่พวกตนเคยคุยกันคราวก่อน แจฮันก็ตัดบทว่าไว้ค่อยคุยกันหลังตนทำคดีนี้จบซึ่งคาดว่าคงไม่เกินสุดสัปดาห์นี้ พูดจบเขาก็ตบไหล่เธอเบาๆ ก่อนเดินออกจากห้องไป ซูฮยอนได้แต่มองตามพร้อมรอยยิ้ม ตัดกลับมาที่ช่วงเวลาปัจจุบัน ซูฮยอนนำรูปแบทแมนไปจัดวางไว้ที่มุมหนึ่งของโต๊ะขณะที่คเยชอลพยายามแก้ตัวว่าตนไม่ได้รับสินบนจากผู้จัดการดารา แต่ซูฮยอนไม่สนใจและตั้งหน้าตั้งตาพิจารณาแฟ้มคดีต่างๆ ที่คั่งค้างอยู่บนโต๊ะ
วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2543 (5 วัน กับอีก 6 ชั่วโมงหลัง "คิม ยุนจอง" ถูกลักพาตัว) แฮยองในวัยเด็กเพิ่งรู้ตัวว่าทำกระดาษหล่นหายเลยเดินย้อนกลับมาตามหาจนกระทั่งมาถึงหน้าสถานีตำรวจ เมื่อเห็นว่ามีตำรวจเดินออกมาเขาจึงวิ่งหนีไป ที่แท้ตำรวจคนดังกล่าวคือแจฮัน หลังขึ้นมานั่งในรถเขาก็หยิบกระดาษที่เก็บได้ออกมาดูและพบลายมือเด็กเขียนว่า "คนลักพาตัวไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็นผู้หญิง" หลังครุ่นคิดครู่หนึ่งเขาก็มองวิทยุสื่อสารที่วางเคียงข้างรายงานการใช้บัตรเครดิตของฮยองจุนก่อนขับรถออกจากสถานีไป
ตัดกลับมาที่ช่วงเวลาปัจจุบัน (27 กรกฎาคม 2558 - ก่อนคดีลักพาตัวยุนจองหมดอายุความ 3 วัน) แฮยองในวัยหนุ่มเดินออกมาจากสถานีตำรวจชินยางหลังพ้นข้อกล่าวหา (เป็นสถานีเดียวกันกับที่แจฮันเพิ่งเดินออกมา) แต่แล้วกลับพบว่ามีรถหกล้อของบริษัทจัดการของเสียจอดขวางรถของเขาอยู่ เขาจึงลองออกแรงเข็นแต่รถถูกใส่เบรคมือจึงไม่ขยับเขยื้อน เขาจึงพยายามโทรฯ ไปที่บริษัทจัดการของเสียแต่ไม่มีคนรับสาย อีกด้านหนึ่ง ณ เวลาเดียวกันเมื่อ 15 ปีก่อน (3 สิงหาคม พ.ศ. 2543) แจฮันขับรถสำรวจสถานที่ๆ ฮยองจุนเคยนำการ์ดไปรูดบัตรก่อนบันทึกลงบนแผนที่ เขานึกถึงข้อความในเศษกระดาษอีกแผ่นเลยหยิบขึ้นมาดู ข้อความในกระดาษระบุว่า "3 สิงหาคม โรงพยาบาลจิตเวชซอนอิล" หลังจากนั้นเขาก็ขับรถไปยังโรงพยาบาลดังกล่าวซึ่งอยู่ในสภาพรกร้างหลังถูกปิดกิจการ แล้วเดินส่องไฟฉายเข้าไปสำรวจด้านใน
ณ ยุคปัจจุบัน เวลา 23.21 น. แฮยองยังคงพยายามติดต่อบริษัทกำจัดของเสียหลังนำรถออกจากลานจอดหน้าสถานีตำรวจชินยางไม่ได้ ส่วนซูฮยอนกำลังนั่งดูแฟ้มคดีลักพาตัวยุนจองซึ่งจะหมดอายุความในอีก 3 วันข้างหน้า เมื่อถึงเวลา 23.23 น. ของยุคปัจจุบันและเมื่อ 15 ปีก่อน แจฮันซึ่งพบบางอย่างในท่อระบายน้ำของโรงพยาบาลร้างก็ร้องเรียก "หมวดปาร์ค" ผ่านทางวิทยุสื่อสาร ก่อนรายงานว่าตนคือตำรวจสืบสวน "ลี แจฮัน" ปรากฏว่าแฮยองซึ่งอยู่ในยุคปัจจุบันได้ยินเสียงร้องเรียกของแจฮันซึ่งอยู่ในโลกอดีต (แฮยองเองก็นามสกุล "ปาร์ค" เช่นกัน) เขาจึงเดินตามหาที่มาของเสียงสัญญาณ และพบว่าเสียงดังมาจากถุงใส่สิ่งของชำรุดบนรถหกล้อ
แจฮันรายงานว่าตนอยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวชซอนอิลในย่านฮันจองที่หมวดปาร์คเคยกล่าวถึง และพบศพถูกแขวนห้อยอยู่ใต้ตระแกรงฝาท่อระบายน้ำบริเวณด้านหลังตึก ผู้ตายคือ "ซอ ฮยองจุน" ผู้ต้องสงสัยคดีลักพาตัว "คิม ยุนจอง" แต่นิ้วหัวแม่มือของเขาหายไป แฮยองได้ยินดังนั้นก็หูผึ่งจึงรีบเปิดถุงขยะออกดูและพบว่าเสียงดังมาจากวิทยุสื่อสาร แจฮันกล่าวต่อว่ามีใครบางคนฆ่า "ซอ ฮยองจุน" แล้วจัดฉากให้แลดูเหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย ดังนั้น "ซอ ฮยองจุน" จึงไม่ใช่คนร้ายแต่เป็นคนอื่นที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แฮยองรีบแกะซองใส่วิทยุสื่อสารแล้วยิงคำถามว่าแจฮันเป็นใคร กำลังพูดถึงเรื่องอะไร และโรงพยาบาลจิตเวชซอนอิลอยู่ที่ไหน แจฮันแย้งว่าเขา (หมวดปาร์ค) เป็นคนแจ้งเบาะแสตนเรื่องโรงพยาบาล ทันใดนั้นก็มีเงาใครบางคนเคลื่อนไหวอยู่ทางด้านหลังแจฮัน เมื่อแจฮันหันไปมองรอบๆ ก็พบเพียงความว่างเปล่า เขาจึงถาม (หมวดปาร์ค) ผ่านวิทยุสื่อสารว่าทำไมถึงห้ามไม่ให้ตนมาที่นี่ หลังพูดจบเขาก็ถูกใครบางคนทุบเข้าที่ศีรษะเต็มแรง แฮยองถามแจฮันว่าเกิดอะไรขึ้น เขากำลังพูดเรื่องอะไร พวกตนรู้จักกันด้วยหรือ และเขาประจำอยู่ที่สถานีไหน แต่สัญญาณกลับเงียบหายไป
แฮยองพิจารณาวิทยุสื่อสารรุ่นเก่าเก็บในมือก่อนหันไปมองทางด้านหลังอย่างหวาดๆ จากนั้นก็ตบหน้าตนเองเพื่อเรียกสติ ขณะขับรถออกจากสถานีตำรวจเขาเห็นแม่ของยุนจองยังคงยืนถือป้ายเรียกร้องให้ตำรวจจับตัวคนร้ายที่ฆ่าลูกสาวตน เขาเลยอดนึกถึงตอนที่พบยุนจองครั้งสุดท้ายไม่ได้ แฮยองกลับไปยังสถานีตำรวจที่เขาทำงานอยู่เพื่อนำวิทยุสื่อสารไปให้นายตำรวจรุ่นพี่ที่เข้าเวรช่วยตรวจสอบ พอรู้ว่าวิทยุสื่อสารดังกล่าวใช้การไม่ได้เพราะไม่ได้ใส่แบตฯ เขาก็รู้สึกแปลกใจ ในตอนแรกเขาคิดจะเก็บวิทยุสื่อสารไว้ในลิ้นชักแต่พอนึกถึงคำพูดของแจฮันแล้วเขาก็เปลี่ยนใจ แฮยองต้องการพิสูจน์ว่าสัญญาณที่ได้รับจากวิทยุสื่อสารเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เลยบุกไปที่โรงพยาบาลจิตเวชร้างโดยพกวิทยุสื่อสารติดมือไปด้วย ในที่สุดเขาก็พบโครงกระดูกไร้นิ้วหัวแม่มือใต้ตะแกรงฝาท่อระบายน้ำดังที่แจฮันบอกจริงๆ เขาจึงกรีดร้องแล้ววิ่งหนีด้วยความตกใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น (ก่อนคดีลักพาตัวยุนจองหมดอายุความ 2 วัน) เจ้าหน้าที่นิติเวชและซูฮยอนเข้าไปตรวจสอบโครงกระดูกและเก็บรวบรวมพยานหลักฐานที่โรงพยาบาลร้าง ซูฮยอนสงสัยว่าแฮยองมาทำอะไรในสถานที่รกร้างเช่นนี้ เขาพบโครงกระดูกได้อย่างไร และทำไมถึงโทรฯ แจ้งเธอ แต่แฮยองไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงเลยได้แต่ขอให้เธอเปรียบเทียบดีเอ็นเอของโครงกระดูกกับผู้ต้องสงสัยคดีลักพาตัวยุนจองเมื่อ 15 ปีก่อน เมื่อซูฮยอนไปพบเจ้าหน้าที่นิติเวชก็ได้รับแจ้งว่าโครงกระดูกที่พบไม่ใช่คนที่เธอตามหา แต่เป็นชายวัย 20 ต้นๆ ซึ่งน่าจะถูกตัดนิ้วหัวแม่มือด้วยมีดผ่าตัด หลังได้รับผลตรวจดีเอ็นเอแล้วเธอก็รู้สึกตกใจ
แฮยองขอให้ตำรวจที่สถานีของตนช่วยตรวจสอบนายตำรวจที่ชื่อ "ลี แจฮัน" พอรู้ว่ามีตำรวจ 3 นายที่ใช้ชื่อ-นามสกุลดังกล่าวแต่ทั้งสามคนไม่รู้เรื่องคดีลักพาตัวยุนจองเลย แฮยองจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าแจฮันเป็นผีหรือตนเป็นบ้ากันแน่ อยู่ๆ ซูฮยอนก็ลากตัวแจยองไปถามอย่างคาดคั้นว่า เขารู้ได้อย่างไรว่าโครงกระดูกที่พบคือฮยองจุน แฮยองแทบไม่เชื่อหูเมื่อรู้ว่าข้อความที่ได้ยินผ่านสัญญาณวิทยุเป็นความจริง ซูฮยอนสงสัยว่าแฮยองรู้ได้อย่างไรว่าฮยองจุนอยู่ที่นั่น เธอกล่าวว่าที่ผ่านมาลายนิ้วมือของฮยองจุนที่ทีมสืบสวนตรวจพบมีเพียงรอยนิ้วหัวแม่มือ และโครงกระดูกที่พบในวันนี้นิ้วหัวแม่มือหายไป คนร้ายตัวจริงฆ่าฮยองจุนและตัดนิ้วเขาไป จากนั้นก็จงใจทิ้งรอยนิ้วหัวแม่มือเอาไว้เป็นหลักฐาน พูดจบซูฮยอนก็ถามแฮยองอย่างคาดคั้นต่อว่า คนเดียวที่รู้ว่าศพของฮยองจุนอยู่ที่นั่นคือฆาตกร แล้วแจยองรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร เขามีความเกี่ยวข้องอะไรกับฮยองจุน
แฮยองยังไม่ทันได้พูดอะไร หัวหน้าอันก็เข้ามาขอรายงานทั้งหมดเกี่ยวกับโครงกระดูกฮยองจุน ซูฮยอนเหลือบมองคเยชอลพลางส่งสายตาตำหนิ (เธอเดาออกว่าคเยชอลคาบข่าวไปบอกหัวหน้าอันเรื่องพบโครงกระดูก) คเยชอลเลยรีบหลบตา ซูฮยอนแย้งว่าตนจำเป็นต้องสืบหาฆาตกรและสาเหตุที่ฮยองจุนถูกฆ่า ที่สำคัญในตอนนี้เจ้าหน้าที่นิติเวชกำลังตรวจหาพยานหลักฐาน ซูฮยอนยังพูดไม่จบหัวหน้าอันก็ตัดบทว่าเหตุการณ์ผ่านไปนาน 15 ปีแล้ว การเก็บรวบรวมหลักฐานจึงทำได้ยาก ความทรงจำของพยานก็เลือนลางจนขาดความน่าเชื่อถือ ที่สำคัญเหลืออีกแค่ 29 ชั่วโมงคดีก็จะหมดอายุความ เธอไม่มีทางคลี่คลายคดีที่คั่งค้างมานาน 15 ปีได้ภายในเวลาเพียงเท่านี้ ดังนั้นจึงควรอยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ (ปล่อยให้คดีหมดอายุความ) พูดจบเขาก็แย่งเอกสารจากมือซูฮยอนแล้วเดินออกจากห้อง แฮยองรับไม่ได้ที่เรื่องราวลงเอยเช่นนี้ คเยชอลเลยบอกให้เขาทำใจเพราะสำนักงานตำรวจกำลังจะแถลงปิดคดีนี้
หัวหน้าอันนำรายงานของสถาบันนิติเวช (ที่แย่งมาจากซูฮยอน) ไปมอบให้ผอ.คิม (หรือ "คิม บอมจู" ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการแผนกสืบสวน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) พลางบอกว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่แจฮันเคยคาดการณ์เอาไว้จริงๆ เขากล่าวว่าโครงกระดูกที่พบไม่มีนิ้วหัวแม่มือและผลการชันสูตรระบุชัดว่าถูกตัดโดยมีดผ่าตัด ผอ.คิมได้ยินดังนั้นจึงโวยลั่นว่ากล้าดียังไงถึงพูดเช่นนี้กับตน และเตือนว่าหัวหน้าอันจะรับผิดชอบไหวไหมหากเผยความจริงในเรื่องนี้แล้วพลอยทำให้คดีของแจฮันถูกเปิดโปงไปด้วย ดังนั้นจึงควรสรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตายเพราะง่ายที่สุดแล้ว
หลังมีคนส่งข้อมูลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 - 2543 มาให้ ซูฮยอนจึงนำติดตัวไปข้างนอก ปรากฏว่าแฮยองยังคงยืนรอเธอหน้าห้องทำงานเพราะไม่อยากให้เธอวางมือเรื่องนี้ เมื่อซูฮยอนออกตัวว่าจะรีบไปทำธุระ แฮยองจึงยอมรับตามตรงเรื่องที่เขาเห็นคนร้ายตัวจริงกับตา เขาบอกเธอว่าถึงแม้จะเห็นหน้าไม่ชัดแต่คนร้ายไม่ใช่ฮยองจุนแน่เพราะคนที่ลักพาตัวยุนจองไปเป็นผู้หญิง เมื่อถูกถามว่าทำไมเพิ่งมาบอกตอนนี้ แฮยองก็ตอบด้วยความคับแค้นใจว่าเมื่อ 15 ปีก่อนตนพยายามบอกตำรวจแล้วแต่ไม่มีใครฟังตน ตอนนั้นตนเชื่อใจตำรวจเลยคิดว่าถ้าอดทนรออีกสักหน่อยพวกเขาต้องจับตัวผู้หญิงคนนั้นได้แน่ แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มีความคืบหน้า ตนเลยกลับไปที่สถานีตำรวจแล้วพยายามบอกพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เขากล่าวว่าตำรวจอย่างพวกเธอมักเป็นอย่างนั้นเสมอ ต่อมาในภายหลังตนถึงเข้าใจว่าหากรื้อคดีลักพาตัวยุนจองก็เท่ากับตำรวจยอมรับว่าพวกตนทำงานผิดพลาด (ในเวลาเดียวกันนั้นผอ.คิมกำลังจะแถลงปิดคดี เขาเห็นแม่ของยุนจองมายืนรอฟังผลทั้งน้ำตาเลยเดินเข้าไปหา แม่ยุนจองจึงถามว่าจับคนร้ายได้หรือยัง)
แฮยองถามซูฮยอนว่าเธอจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่ตนพูดเหมือนตำรวจสืบสวนคนอื่นๆ หรือ เมื่อถูกแฮยองกดดันมากเข้าซูฮยอนจึงถามกลับว่า เขารู้หรือไม่ว่าทำไมคดีค้างเก่าที่ยังปิดไม่ลงถึงเลวร้ายสุดๆ เธอชี้ว่าถ้าหากเรารู้ว่าอาชญากรเป็นใครและอะไรคือแรงจูงใจของพวกเขา เราก็จะรู้ว่าทำไมคนในครอบครัวของเราถึงโดนฆ่าและมันเกิดขึ้นได้อย่างไร แม้จะทำใจได้ยากแต่เรายังพอฝังมันเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจได้ แต่สำหรับคดีค้างเก่าที่ยังปิดไม่ลง เราไม่รู้เลยว่าคนที่เรารักตายยังไงและทำไมถึงตาย ทำให้รู้สึกคาใจ แต่ละวันที่ผ่านไปจึงเหมือนตกอยู่ในนรก แฮยองถามว่าในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเธอยังคิดที่จะนิ่งดูดายอีกหรือ (ในตอนนั้น ผอ.คิมยื่นผลการชันสูตรให้แม่ของยุนจองพลางบอกต่อหน้านักข่าวว่า หลังก่อเหตุแล้วคนร้ายทนรับแรงกดดันไม่ไหวเลยชิงฆ่าตัวตาย แม่ยุนจองได้ยินดังนั้นก็ถึงกับเข่าทรุดและร้องไห้โฮด้วยความเจ็บปวดใจ เพราะตลอด 15 ปีที่ผ่านมาเธอสู้อุตส่าห์อดทนรอวันที่คนร้ายจะถูกตำรวจนำตัวมาลงโทษ) ซูฮยอนแย้งว่าเธอจะจับคนร้ายตัวจริงให้ได้ต่างหาก แฮยองอาสาช่วยเธออีกแรงเพราะรู้ว่าเธอไม่อาจทำได้โดยลำพัง แต่ซูฮยอนยังคงยืนยันคำเดิมว่าเขาไม่เหมาะที่จะเป็นตำรวจ
เมื่อซูฮยอนเดินลงไปที่ชั้นล่างก็ถูกกองทัพนักข่าวรุมสัมภาษณ์เรื่องโครงกระดูกของฮยองจุน แต่เธอปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ แฮยองได้ยินนักข่าวคนหนึ่งถามซูฮยอนว่าฮยองจุนฆ่าตัวตายจริงหรือ เขาเลยชิงตอบว่าฮยองจุนไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่ถูกคนร้ายที่ลักพาตัวยุนจองฆ่า เหล่านักข่าวและช่างภาพได้ยินดังนั้นจึงพากันกรูเข้าไปหาแฮยอง ซูฮยอนบอกให้แฮยองหุบปากแต่ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ เขาบอกนักข่าวว่าตนเป็นคนพบโครงกระดูกของฮยองจุนที่โรงพยาบาลจิตเวชซอนอิล สภาพโครงกระดูกถูกตัดนิ้วหัวแม่มือ ฆาตกรที่ฆ่ายุนจองและฮยองจุนเคยเป็นพยาบาลที่โรงพยาบาลจิตเวชซอนอิลเมื่อ 15 ปีก่อน ตอนนี้เธออายุ 30 กลางๆ สูงราว 165 ซ.ม. และมีความชำนาญในการใช้มีดผ่าตัด หลังจากนั้นแฮยองก็ประกาศสงครามกับคนร้ายผ่านสื่อโดยบอกว่า เธอหลบหนีความผิดมานาน 15 ปีแต่คราวนี้หนีไม่รอดแน่ เพราะตอนนี้เขามีหลักฐานที่สามารถเอาผิดเธอได้ หลังโดนซูฮยอนตำหนิและลากตัวออกมาจากกลุ่มนักข่าว แฮยองจึงสวนกลับว่าเธอเป็นคนบอกเองว่าจะจับคนร้ายให้ได้ไม่ใช่หรือ เขาชี้ว่านี่เป็นทางเดียวและเป็นโอกาสสุดท้าย เพราะพวกตนเหลือเวลาอีกแค่ 27 ชั่วโมง (ก่อนที่คดีจะหมดอายุความ)
ผอ.คิมกลับมาที่ห้องทำงาน (ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขาสั่งให้หัวหน้าอันเปิดทีวีหมายดูข่าวของตน แต่สิ่งที่เห็นในทีวีคือภาพแฮยองกำลังเผยข้อมูลใหม่ซึ่งสวนทางกับคำแถลงของเขาโดยสิ้นเชิง (ผอ.คิมถึงกับหน้าถอดสี แต่ดูเหมือนว่าหัวหน้าอันจะแอบสะใจอยู่ลึกๆ) ปรากฏว่าแผนการของแฮยองใช้ได้ผล เพราะพยาบาลสาวที่เป็นคนร้ายตัวจริงได้ยินสิ่งที่เขาพูดทางทีวี "ยูน ซูอา" สะกิดพยาบาลรุ่นน้องที่ชื่อ "คัง เซยอง" (ซึ่งมีทีท่าตกใจหลังเห็นข่าวในทีวี) พลางถามว่า "ได้ยินไหม เขาพูดถึงโรงพยาบาลจิตเวชซอนอิล"
หัวหน้าอันกลับมาที่สถานีตำรวจด้วยความโกรธเกรี้ยว ซูฮยอนเลยออกโรงปกป้องแฮยองโดยบอกว่าเธอเป็นคนบอกให้เขาทำเช่นนั้นเอง เมื่อถูกหัวหน้าอันตำหนิที่ขัดคำสั่ง ซูฮยอนจึงแย้งว่าหัวหน้าอันเป็นคนบอกเธอเองว่าให้ทำตามกระบวนการ ในเมื่อโครงกระดูกถูกพบและปรากฏหลักฐานของคนร้าย แถมตนยังมีตำรวจเป็นพยาน การสืบสวนคดีนี้จึงถูกต้องตามกระบวนการทุกอย่าง แฮยองยืนยันว่าตนเห็นคนร้ายพร้อมทั้งบรรยายรูปร่างลักษณะ การแต่งกาย และวิเคราะห์พฤติกรรมคนร้ายซึ่งเป็นผู้หญิงให้หัวหน้าอันฟัง โดยฟันธงว่าคนร้ายเป็นโรคหลงตัวเอง (ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ต้องการคำชื่นชม ขาดความเห็นใจผู้อื่น ฯลฯ) และก่อเหตุเพียงคนเดียวเพราะไม่เชื่อใจใคร เขาตั้งข้อสังเกตว่าฮยองจุนอาจจับได้ว่าคนร้ายลักพาตัวเด็กเลยบอกให้เธอมอบตัว หรือไม่เขาก็คิดที่จะแจ้งตำรวจเลยถูกลวงไปฆ่าในสถานที่ๆ เธอคุ้นเคยและมียาที่สามารถนำมาจัดการเขาได้ หลังฆ่าฮยองจุนแล้วเธอก็ตัดนิ้วหัวแม่มือเขาหมายนำไปใช้สร้างหลักฐานเท็จ หลังจากนั้นจึงลงมือสังหารยุนจอง แฮยองยังบอกด้วยว่าแม้คนร้ายจะทาปากแดง และสวมรองเท้าส้นสูงสีแดง แต่เธอกลับมีเล็บที่สั้นและสะอาดเพราะอาชีพของเธอไม่อาจทำเล็บได้ เธอรู้วิธีใช้มีดผ่าตัดจึงน่าจะเป็นพยาบาลที่ทำงานในห้องผ่าตัด
หัวหน้าอันตำหนิซูฮยอนที่เชื่อคำพูดอันปราศจากหลักฐานของเด็กเมื่อวานซืนอย่างแฮยอง แต่ซูฮยอนอยากลองดูสักตั้ง เธอชี้ว่าโครงกระดูกถูกพบในที่ๆ คนทั่วไปไม่รู้จักและไม่สามารถเข้าไปได้ มีเพียงพนักงานเท่านั้นที่รู้ แถมนิ้วหัวแม่มือของผู้ตายที่หายไป ตลอดจนเข็มและขวดยาฉีดที่พบก็เป็นหลักฐานที่บ่งบอกว่าฆาตกรมีความรู้ด้านการแพทย์และรู้วิธีใช้มีดผ่าตัด ซูฮยอนส่งเอกสารปึกหนึ่งให้หัวหน้าอันพลางยืนยันว่าคนร้ายไม่ใช่แพทย์เพราะเธอตรวจสอบรายชื่อบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลจิตเวชซอนอิลในช่วง 5 ปีสุดท้ายก่อนที่โรงพยาบาลจะถูกปิดแล้วพบว่าโรงพยาบาลมีแพทย์หญิงเพียงสองคน คนหนึ่งอายุ 40 กว่า ส่วนอีกคนลาคลอด ดังนั้นเมื่อ 15 ปีก่อนคนร้ายรายนี้ต้องเป็นพยาบาลของโรงพยาบาลจิตเวชซอนอิล นอกจากนี้ในรายงานการใช้บัตรเครดิตของฮยองจุนแสดงให้เห็นว่าเขานำบัตรไปรูดซื้อสินค้าแบรนด์เนมสำหรับหญิงสาวที่อยู่ในวัย 20 ปีต้นๆ แสดงว่าตอนนี้คนร้ายน่าจะอยู่ในวัย 30 กลางๆ อย่างที่แฮยองบอก
หัวหน้าอันไม่เชื่อว่ารายชื่อเหล่านี้จะช่วยให้ซูฮยอนจับคนร้ายได้ เพราะในนั้นมีรายชื่อพยาบาลกว่า 100 คน ที่สำคัญเวลาในการไขคดีเหลือน้อยลงทุกทีจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะออกไปหาทุกคน แฮยองแย้งว่าไม่จำเป็นต้องออกไปหาทุกคนเพราะตนได้พูดออกสื่อไปแล้ว เขาเชื่อว่าจะต้องมีใครบางคนรู้จักคนร้าย ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่มีใครโทรฯ มาแจ้งเบาะแส แต่ภายในหนึ่งชั่วโมงต้องมีคนโทรฯ มาแน่ เพราะตนโกหกว่ามีหลักฐานเอาผิด คนร้ายได้ยินแล้วต้องแสดงท่าทีผิดแปลกไปจากปกติจนคนอื่นรู้สึกได้ และสิ่งที่คนร้ายจะทำเมื่อรู้ว่าตนเองกำลังจะโดนจับคือหายตัวไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย หรือไม่ก็เตรียมเก็บข้าวของ ทันใดนั้น ก็เริ่มมีคนโทรศัพท์มาแจ้งเบาะแส ซูฮยอนจึงขออนุญาติหัวหน้าอันสืบคดีนี้ต่อโดยบอกว่าหากมีเรื่องผิดพลาดเธอจะขอรับผิดชอบเอง หัวหน้าอันแย้งว่าเธอไม่อยู่ในฐานะที่จะแบกรับความรับผิดชอบ (แต่เป็นหัวหน้าหน่วยอย่างเขาต่างหาก) จากนั้นก็สั่งให้เธอไปจับตัวคนร้ายและเค้นคำสารภาพหรือหลักฐานที่แน่นหนามาให้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง
20 ชั่วโมงก่อนคดีหมดอายุความ ซูฮยอนกับแฮยองเดินทางไปยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งตามที่มีผู้แจ้งเบาะแส ระหว่างเดินทางแฮยองดูรายงานการใช้บัตรเครดิตของฮยองจุนแล้วฟันธงว่าคนร้ายนำบัตรไปรูดซื้อสินค้าแบรนด์เนมเพราะเสพติดการช้อปปิ้ง แถมยังเกาะติดเทรนด์แฟชั่น ใช้แต่ของแบรนด์หรู และชอบพกกระจกเล็กๆ ครั้นไปถึงโรงพยาบาลและตรวจดูข้าวของต่างๆ ในล็อคเกอร์ของพยาบาลที่ทำตัวน่าสงสัยแล้ว แฮยองก็ฟันธงว่าพยาบาลคนดังกล่าวไม่ใช่คนร้าย เพราะเธอต้องรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลแม่เลยแทบไม่ใช้บัตรเครดิต ทั้งยังรักสุนัข ซึ่งผิดวิสัยของคนเป็นโรคหลงตัวเอง (คนเป็นโรคนี้จะไม่ใส่ใจคนอื่นนอกจากตัวเอง)
หลังคว้าน้ำเหลวกับเบาะแสแรก ทั้งคู่ก็ได้รับแจ้งข่าวร้ายว่าเบาะแสที่สองเป็นการกลั่นแกล้งกัน หลังจากนั้นยังคงไม่มีความคืบหน้าใดๆ กระทั่งเหลืออีก 6 ชั่วโมงก่อนคดีหมดอายุความ พยาบาลยูนได้โทรฯ มาแจ้งเบาะแสว่า "คัง เซยอง" เพื่อนร่วมงานของเธอ อาจเป็นคนร้ายที่ตำรวจกำลังตามหา เมื่อตำรวจสืบสวนไปถึงโรงพยาบาลยองอินในกรุงโซล พยาบาลยูนก็แจ้งว่าก่อนทำงานที่โรงพยาบาลจิตเวชซอนอิล เซยองเคยทำงานที่แผนกศัลยกรรมมาก่อน อยู่ๆ เธอก็หายตัวไปหลังเห็นข่าว ซ้ำยังปิดมือถือ เมื่อพยาบาลยูนพาตำรวจไปตรวจดูล็อคเกอร์ที่ติดป้ายชื่อเซยอง ก็พบปฏิทินที่ถูกทำเครื่องหมายกากบาทบนวันที่โดยระบุว่าวันที่ 29 กรกฎาคม (วันนี้) เป็นวันสุดท้าย แถมในนั้นยังมีรองเท้าส้นสูงสีแดงอีกด้วย (ตำรวจคนดังกล่าวส่งภาพถ่ายภายในล็อคเกอร์ไปให้ซูฮยอนทางโทรศัพท์ด้วย) ซูฮยอนกับแฮยองติดอยู่บนถนนที่สภาพการจราจรแน่นหนาเลยทำได้เพียงสอบถามความคืบหน้าต่างๆ ทางโทรศัพท์ พอรู้ว่าเซยองใช้บัตรเครดิตจองโรงแรมที่ปูซานทั้งคู่ต่างก็หัวเสีย ขณะที่หัวหน้าอันสั่งให้ลูกน้องประสานความร่วมมือกับสถานีตำรวจปูซานในการส่งตัวเซยองมาทางเฮลิคอปเตอร์
1 ชั่วโมง 40 นาทีก่อนคดีหมดอายุความ ซูฮยอนและแฮยองรีบกลับไปที่สถานีตำรวจชินยาง เมื่อไปถึงก็พบแม่ของยุนจอง (เหยื่อคดีลักพาตัว) ดักรออยู่ที่หน้าห้องเพราะอยากรู้ว่าใครฆ่าลูกสาวตนกันแน่ ปรากฏว่าเซยองถูกนำตัวมาสอบสวนที่สถานีตำรวจชินยาง หัวหน้าอันเห็นว่าเหลือเวลาอีกเพียงชั่วโมงครึ่งจึงบอกซูฮยอนว่าตนจะไปรอที่ศาลกับอัยการ ดังนั้นซูฮยอนจะต้องทำให้เซยองยอมสารภาพ เพราะนี่เป็นทางเดียวที่จะยื่นฟ้องต่อศาลได้ หลังซูฮยอนแจ้งข้อกล่าวหาคดีลักพาตัว เรียกค่าไถ่ และฆาตกรรม เซยองยืนกรานว่าเธอไม่ได้กระทำความผิดและไม่เคยรู้จักผู้ตายมาก่อน แต่ยอมรับว่าเคยทำงานที่โรงพยาบาลจิตเวชซอนอิล เมื่อถูกถามว่าหากไม่ได้ทำผิดแล้วทำไมถึงหลบหนีหลังได้ยินรายงานข่าว เซยองก็ปฏิเสธว่าตนไม่ได้หลบหนี
คเยชอลเห็นแฮยองนั่งอยู่หน้าห้องสอบปากคำจึงไล่ให้เขากลับไปก่อนเพราะเขาทำทุกอย่างที่ทำได้แล้ว แต่แฮยองยังคงคาใจว่าทำไมคนที่เสพติดแฟชั่นและของแบรนด์เนมจึงทิ้งรองเท้าส้นสูงสีแดงไว้ในล็อคเกอร์ เขาเลยถามคเยชอลว่าเซยองใส่รองเท้าแบบไหน ในเวลาเดียวกันนั้น ซูฮยอนพยายามคาดคั้นว่าทำไมเซยองถึงปิดมือถือ เซยองตอบว่าเธอทำมือถือหายและอธิบายว่าเธอก็แค่ลาหยุดไม่ได้หลบหนี หากซูฮยอนไม่เชื่อให้ไปถามพยาบาลยูน เพราะพยาบาลยูนก็รู้เรื่องนี้และบอกว่าจะช่วยแจ้งทางโรงพยาบาลให้เธอ หลังรู้ว่าเซยองสวมรองเท้าสีน้ำตาล แฮยองก็นึกถึงภาพภายในล็อคเกอร์ก่อนพุ่งพรวดเข้าไปในห้องสอบปากคำเพื่อตรวจสอบรองเท้าและมือของเซยองก่อนชี้ว่าเซยองไม่ใช่คนร้าย เขาอธิบายว่ามือจับแก้วภายในล็อคเกอร์ถูกวางโดยคนถนัดซ้าย กรรไกรที่อยู่ข้างในก็ออกแบบสำหรับคนถนัดซ้ายเช่นกัน ดังนั้น คนร้ายซึ่งเป็นเจ้าของล็อคเกอร์ตัวจริงจะต้องเป็นคนถนัดซ้าย ซูฮยอนฟังแล้วถึงกับอึ้งและนึกสงสัยพยาบาลยูนขึ้นมา
ที่แท้คนร้ายตัวจริงคือพยาบาลยูนซึ่งเคยทำงานที่โรงพยาบาลจิตเวชซอนอิลเช่นเดียวกับเซยอง แฮยองชี้ว่าพยาบาลยูนกุเรื่องขึ้นเพื่อให้ตำรวจไขว้เขวและมัวเสียเวลากับเซยอง โดยรอให้คดีใกล้หมดอายุความถึงค่อยโทรฯ แจ้ง เธอกำลังโชว์ชั้นเชิงในการก่ออาชญากรรมเพราะคิดว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่น ทั้งยังปั่นหัวและควบคุมตำรวจได้ แฮยองเชื่อว่าคนร้ายอยู่แถวนี้และกำลังสนุกกับการเฝ้าดูพวกตนหัวหมุน แฮยองหันไปมองแม่ของยุนจองก่อนรีบออกไปไล่ล่าคนร้ายตัวจริง ซูฮยอนบอกให้ลูกทีมส่งข้อมูลของพยาบาลยูนมาให้ตนทางโทรศัพท์ก่อนแยกย้ายกันออกตามหา หลังได้รับข้อมูลของพยาบาลยูนแล้วซูฮยอนก็แจ้งหมายเลขทะเบียนรถแล้วสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบนเส้นทางระหว่างโรงพยาบาลยองอินถึงชินยาง
40 นาทีก่อนคดีหมดอายุความ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจดูภาพจากกล้องวงจรปิดแล้วพบพยาบาลยูนกำลังเดินไปที่รถ ขณะออกตามหาคนร้ายแฮยองหันไปเห็นพยาบาลยูนนั่งอยู่ริมหน้าต่างในร้านอาหารซึ่งตั้งอยู่บนชั้นสองเลยรีบวิ่งตามไป ครั้นพอไปถึงกลับพบเพียงความว่างเปล่า เขาเลยรีบวิ่งลงมาที่ชั้นล่างและพบพยาบาลยูนกำลังเดินกางร่มข้ามถนน แฮยองจะวิ่งตามไปแต่ถูกรถที่วิ่งผ่านไปมาขวางเอาไว้ เขาจึงทำได้เพียงมองดูเธอเดินห่างออกไปก่อนมีรถบรรทุกคันใหญ่เคลื่อนมาบังจนมิด เมื่อรถบรรทุกเคลื่อนตัวออกไปเขาก็เห็นซูฮยอนยืนกางร่มตรงหน้าพยาบาลยูน เขาจึงรีบเดินตามไปสมทบ พยาบาลยูนหันกลับไปมองแฮยองด้วยสีหน้าเย้ยหยันเพราะอีก 20 นาทีคดีลักพาตัวยุนจองจะหมดอายุความ
*** จบตอนที่ 1 ***
* เนื้อหาโดย luvasianseries / ภาพจาก ทีวีเอ็น
รายชื่อนักแสดง
ตำรวจ
ชาง ฮยอนซอง
รับบท คิม บอมจู
ชอง เฮคยุน
รับบท อัน ชีซู
คิม วอนแฮ
รับบท คิม คเยชอล
ชอง ฮันบี
รับบท โอ ยุนซอ (แพทย์นิติเวช)
ลี ยูจุน
รับบท ชอง ฮอนกี (เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน)
คิม มินคยู
รับบท ฮวาง อึยคยอง
รวมคลิปตัวอย่างจาก ทีวีเอ็น
รวมคลิปเบื้องหลังจาก ทีวีเอ็น
รวมเพลงประกอบจาก CJENMMUSIC Official
รวมเพลงประกอบจาก CJENMMUSIC Official
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา