กำกับ: คิม ซังโฮ, ชเว จองคยู
เขียนบท: คิม อียอง
แนวละคร: อิงประวัติศาสตร์, การเมือง
จำนวนตอน: 50
ออกอากาศ: เกาหลี - 13 เมษายน 2558 - 29 กันยายน 2558 ทางเอ็มบีซี
ไทย - ทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 18.20-19.15 น. และวันศุกร์ เวลา 18.00-19.00 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (หมายเลข 13) ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2561 - 28 พฤศจิกายน 2561
เขียนบท: คิม อียอง
แนวละคร: อิงประวัติศาสตร์, การเมือง
จำนวนตอน: 50
ออกอากาศ: เกาหลี - 13 เมษายน 2558 - 29 กันยายน 2558 ทางเอ็มบีซี
ไทย - ทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 18.20-19.15 น. และวันศุกร์ เวลา 18.00-19.00 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (หมายเลข 13) ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2561 - 28 พฤศจิกายน 2561
เรื่องย่อ
"ฮวาจองสงครามชิงบัลลังก์" (Hwajung) นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับกลเกมทางการเมืองในยุคโชซอนที่มีอำนาจและราชบัลลังก์เป็นเดิมพัน โดยคำว่า "ฮวาจอง" ย่อมาจาก "ฮวารยอฮัน จองชี" (ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า "Splendid Politics" หรือ "ยอดเกมการเมือง" อันเป็นความหมายในเชิงเสียดสี) เนื้อหาในละครนำเสนอเหตุการณ์ช่วงวิกฤติที่สุดของบ้านเมือง โดยไล่เรียงตั้งแต่ปลายรัชสมัย "พระเจ้าซอนโจ" (พระราชาองค์ที่ 14 แห่งราชวงศ์โชซอน) ไปจนถึงรัชสมัย "พระเจ้าฮโยจง" (พระราชาองค์ที่ 17 แห่งราชวงศ์โชซอน) แต่หลักใหญ่ใจความอยู่ที่รัชสมัย "ควางแฮกุน" (องค์ชายควางแฮ) (พระราชาองค์ที่ 15 แห่งราชวงศ์โชซอน ทรงเป็นหนึ่งในสองพระราชาแห่งราชวงศ์โชซอนที่ถูกยึดอำนาจและโดนขับออกจากราชบัลลังก์ โดยพระราชาองค์แรกที่ถูกยึดอำนาจคือ "ยอนซานกุน")
เนื้อหาในละครเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1608 (พ.ศ. 2151) หรือสิบปีหลังสิ้นสุดสงครามอิมจิน (อีกชื่อหนึ่งคือ "สงครามเจ็ดปี" เป็นเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นรุกรานเกาหลีระหว่างปี ค.ศ. 1592-1598) ทหารโชซอนสองนายเกิดหลงทางกลางป่าแล้วพบซากศพชายผมขาวคนหนึ่งภายในถ้ำโดยบังเอิญ (สภาพศพมีลักษณะแห้ง ไม่เน่าเปื่อย คล้ายสิ้นใจตายขณะกำลังนั่งอ่านหนังสือ) ทั้งคู่จึงนำศพกลับไปยังค่ายพักแรมของคณะทูตและทหารซึ่งตั้งอยู่ใกล้พรมแดนต้าหมิง
"ลี ต็อกฮยอง" (นามปากกา "ฮันอึม") ซึ่งเป็นทูตที่ถูกส่งไปต้าหมิงและอยู่ในระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวง มองทหาร (ม้าเร็ว) เตรียมนำพระราชสาส์นจากต้าหมิงไปทูลถวายพระเจ้าซอนโจด้วยสีหน้าเป็นกังวล เมื่อคู่ซี้ "ลี ฮังบก" (นามปากกา "โอซอง") เห็นดังนั้นจึงปลอบว่าทูตอย่างพวกตนหมดหน้าที่และไม่อาจทำอะไรได้อีกแล้ว และนี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของพวกตน ต็อกฮยองเกรงว่าหากถอดใจแล้วไม่ทำอะไรสักอย่างอาจเกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้นในวังหลวง ฮังบกชี้ว่าอย่าเพิ่งเปลืองแรงคิดเพราะนี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น จากนั้นก็ชวนต็อกฮยองมาดื่มเหล้าเย็นฉลองเทศกาลแทโบรึม (วันพระจันทร์เต็มดวงแรกของปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติเกาหลี ซึ่งตรงกับเทศกาลโคมไฟของจีน) ตามความเชื่อที่ว่าถ้าดื่มเหล้าโดยไม่อุ่นในตอนเช้าของเทศกาลแทโบรึมจะทำให้ได้ยินแต่ข่าวดีตลอดทั้งปีและจะทำให้หู (ได้ยิน) ดีขึ้น ต็อกฮยองจึงอดเหน็บไม่ได้ว่าฝ่าบาทควรดื่มเหล้าชนิดนี้มากกว่าใคร ครั้นได้ยินทหารส่งเสียงเอะอะโวยวาย ต็อกฮยองจึงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทหารยามคนหนึ่งรายงานว่านายทหารที่ออกลาดตระเวนเมื่อคืนเพิ่งกลับมาและมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเล็กน้อย (ในตอนนั้นเหล่าทหารกำลังเปิดโลงออกดู)
"ควางแฮกุน" (รัชทายาท) ไปตรวจดูการบูรณะพระราชวังชางด็อกซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักหลังถูกทัพญี่ปุ่นเผาทำลายในสงครามอิมจิน พอรู้ว่าอีกไม่นานท้องพระโรง (ซอนจองจอน) จะแล้วเสร็จควางแฮกุนก็รู้สึกโล่งใจ จากนั้นก็กำชับเจ้าหน้าที่ให้เร่งบูรณะพระราชวังชางด็อกให้เสร็จสมบูรณ์โดยเร็วที่สุดเพราะฝ่าบาทกำลังตั้งตารอ แม้จะเร่งบูรณะแต่ควางแฮกุนอนุญาตให้คนงานกลับบ้านเร็วเนื่องจากวันนี้เป็นวันฉลองเทศกาลแทโบรึม ทันใดนั้น ขันทีคนสนิทก็รีบมาทูลเชิญควางแฮกุนกลับวัง (พระราชวังชั่วคราวในชุงฮึงตงซึ่งถูกใช้เป็นที่ประทับหลังสงครามอิมจิน) ในเวลาเดียวกันนั้น ซังกุงพี่เลี้ยง "ชเวซังกุง" และพระมเหสี "อิมมก" ต่างพากันร้อนใจเมื่อรู้ว่าอยู่ๆ องค์หญิงน้อย "ชองมยอง" (พระขนิษฐาต่างพระมารดาของควางแฮกุน) หายตัวไป เมื่อนางในคนหนึ่งกระซิบบอกว่าองค์หญิงน้อยแอบวิ่งไปที่ตำหนักพระเจ้าซอนโจหมายทำอะไรบางอย่าง ชเวซังกุงก็รู้สึกตกใจ
หลัง "คิม แคชี" (คิมซังกุง) ชิมน้ำซุปแล้วรับรองว่าปลอดภัย นางในจึงตักใส่ถ้วยให้เธอยกถวายพระเจ้าซอนโจ หลังชิมได้คำเดียวพระเจ้าซอนโจก็กระแทกช้อนลงบนโต๊ะ ก่อนถามควางแฮกุนด้วยความไม่พอใจว่าไปคุมการบูรณะซ่อมแซมวังชางด็อกอีกแล้วหรือ พระองค์สงสัยว่าควางแฮกุนเร่งบูรณะวังดังกล่าวเพราะคิดว่าอีกไม่นานจะได้ขึ้นครองบัลลังก์แทนตน ควางแฮกุนแย้งว่าตนทำเช่นนั้นเพราะเห็นว่าพระบิดาทรงผูกพันกับวังชางด็อกมาก พระเจ้าซอนโจไม่เชื่อและดับฝันควางแฮกุนด้วยการสวนทันควันว่าคณะทูตนำราชสาส์นจากต้าหมิงมาส่งแล้ว พระองค์โยนราชสาส์นให้ควางแฮกุนดูเองกับตา พลางบอกว่าต้าหมิงไม่ยอมรับและไม่รับรองควางแฮกุนในฐานะองค์ชายรัชทายาทแห่งโชซอนอีกตามเคย ทั้งนี้เพราะควางแฮกุนมีมารดาเป็นพระสนม พระเจ้าซอนโจชี้ว่าตลอด 16 ปีที่ผ่านมา ควางแฮกุนไม่เคยได้รับการยอมรับจากทางต้าหมิงแต่กลับทำตัวเป็นรัชทายาทซ้ำยังคิดครอบครองวังชางด็อก จากนั้นก็ประณามควางแฮกุนว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงและละโมบในราชบัลลังก์ ควางแฮกุนได้แต่ก้มหน้านิ่งด้วยความเจ็บปวดใจ* "ควางแฮกุน" เป็นโอรสของ "พระเจ้าซอนโจ" ที่เกิดจากพระสนม ซ้ำยังเป็นโอรสองค์รอง จึงถูกมองว่าไม่ใช่ผู้สืบทอดลำดับต้นๆ และไม่คู่ควรกับราชบัลลังก์ (องค์ชายที่คู่ควรกับราชบัลลังก์ต้องเป็นโอรสของพระราชากับพระมเหสีซึ่งจะมีสถานะเป็น "แทกุน" ส่วนองค์ชายควางแฮเป็นเพียงโอรสของพระสนมจึงมีสถานะเป็น "กุน")
แต่แล้วสถานการณ์ที่กำลังตึงเครียดกลับคลี่คลายลงเมื่อองค์หญิงชองมยองวิ่งเข้ามานั่งตักพระเจ้าซอนโจหมายทำตามประเพณีและความเชื่อในวันแทโบรึม (ของสามัญชน) ที่เรียกว่า "ทอวีพัลกี" (แปลตรงตัวคือ "ขายความร้อน") พระเจ้าซอนโจหัวเราะชอบใจเมื่อพระธิดาองค์น้อยขอให้ช่วยซื้อความร้อน (ในช่วงฤดูร้อนของปีนี้) ไปจากตน เหล่าขันทีและนางในเห็นดังนั้นก็พลอยยิ้มตามด้วยความเอ็นดู
หมายเหตุ: "ทอวีพัลกี" หรือการขายความร้อน เป็นหนึ่งในความเชื่อและประเพณีในวันแทโบรึมที่มักทำหรือเล่นกันในตอนเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น (เชื่อว่าถ้าทำหลังพระอาทิตย์ขึ้นจะไม่ได้ผล) เรียกได้ว่าเป็นการโยนความร้อนและไอแดดแผดจ้าที่ตนจะต้องเผชิญในช่วงฤดูร้อนไปให้ผู้อื่นรับเคราะห์หรือเผชิญแทน โดยเชื่อว่าทำแล้วจะช่วยให้ตนเย็นสบายตลอดฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า วิธีการก็คือ ถ้าเราเรียกชื่อ (หรือร้องเรียก) ใครในตอนเช้าแล้วเขาขานตอบ ให้ชิงพูดคำว่า "เนทอวี ซากา" (แปลตรงตัวว่า "ซื้อความร้อนของฉัน") เพียงเท่านี้ก็เท่ากับว่าฝ่ายตรงข้ามซื้อความร้อนจากเราไปแล้ว อย่างไรก็ตามความเชื่อเรื่อง "ทอวีพัลกี" มักไม่นำมาใช้กับคนในครอบครัวหรือผู้ที่อาวุโสกว่า แต่จะขายความร้อนในหมู่เพื่อนฝูงแล้วนำมาอวดว่าใครขายความร้อนได้มากกว่ากัน (คนรุ่นใหม่มักเล่นกันทางโทรศัพท์)
สีหน้าท่าทางของพระเจ้าซอนโจเปลี่ยนไปในบัดดลเมื่อหันไปมองควางแฮกุน พระองค์ชี้ว่ามีเพียงธิดาองค์น้อยที่ทำให้ตนหัวเราะได้ องค์หญิงชองมยองเพิ่งเห็นควางแฮกุนจึงร้องทักด้วยความดีใจและนั่นก็ทำให้ควางแฮกุนมีสีหน้าดีขึ้น พระมเหสีอิมมกเข้ามาตามองค์หญิงชองมยองและบังเอิญได้ยินพระธิดาเรียกควางแฮกุนว่า "โอราบอนี" (แปลว่า "พี่ชาย" (เสด็จพี่) - เป็นคำสุภาพที่ใช้ในสมัยโบราณ ปัจจุบันใช้คำว่า "โอปป้า") จึงรีบตำหนิและบอกให้องค์หญิงน้อยเรียกควางแฮกุนว่า "เซจา" (องค์รัชทายาท) ครั้นเห็นราชสาส์นของต้าหมิงกองอยู่บนพื้นใกล้ๆ ควางแฮกุน พระมเหสีอิมมกก็เดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังออกจากตำหนักพระเจ้าซอนโจ ควางแฮกุนได้ยินพระมเหสีตำหนิและขู่ว่าจะลงโทษองค์หญิงชองมยองที่ซุกซนและไม่เชื่อฟังจึงออกโรงปกป้องในฐานะพี่ชาย องค์หญิงน้อยได้ทีจึงทูลพระมารดาว่าแม้แต่ 'เสด็จพี่' ยังบอกว่าตนไม่ผิด ทำให้โดนพระมารดาตำหนิที่ใช้คำเรียกควางแฮกุนไม่เหมาะสม ควางแฮกุนออกตัวว่าตนเป็นคนบอกให้องค์หญิงเรียกเช่นนั้นเอง และชี้ว่าตนไม่เพียงเป็นรัชทายาท แต่ยังเป็นพี่ชายขององค์หญิงและแทกุนด้วย (แทกุนในที่นี้หมายถึง "ยองชางแทกุน" (องค์ชายยองชาง) - พระอนุชาวัยแบเบาะขององค์หญิงชองมยอง ซึ่งเป็นผู้สืบทอดลำดับที่หนึ่งของพระเจ้าซอนโจเพราะเป็นพระโอรสองค์แรกที่มีพระมารดาเป็นพระมเหสี) พระมเหสีมองหน้าควางแฮกุนอย่างครุ่นคิดก่อนขอบใจควางแฮกุนที่คิดเช่นนั้น ถึงกระนั้นก็ไม่วายแย้งอย่างสุภาพว่าในวังมีกฏระเบียบที่ต้องปฏิบัติตาม ครั้นพูดจบพระมเหสีก็เดินจากไปทันที
ควางแฮกุนทรุดตัวลงนั่งแล้วปลอบใจองค์หญิงน้อยว่าอย่าคิดมากเรื่องที่โดนพระมารดาตำหนิ ทั้งยังอนุญาตให้องค์หญิงเรียกตนว่า 'เสด็จพี่' เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังทำให้องค์หญิงดีใจมาก ขณะจะแยกย้ายกลับตำหนัก ควางแฮกุนเรียกชื่อองค์หญิง เมื่อองค์หญิงหันกลับมาหาแล้วขานตอบ ควางแฮกุนจึงกล่าวคำว่า "เนทอวี ซากา" พอรู้ตัวว่าหลงกลพระเชษฐา (พลาดท่าซื้อความร้อนของควางแฮกุน) องค์หญิงก็ถึงกับเซ็งและบ่นด้วยความรู้สึกเจ็บใจ ควางแฮกุนเห็นองค์หญิงน้อยบ่นอุบจึงหัวเราะร่วน เมื่อองค์หญิงชองมยองเดินจากไปแล้วสีหน้าของควางแฮกุนก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขณะหันกลับไปมองตำหนักของพระเจ้าซอนโจ
ขณะอยู่ในห้องเครื่อง คิมซังกุง (แคชี) กรอกยาบางอย่างใส่ปาก นางในคนหนึ่งสังเกตเห็นคิมซังกุงทานยามาได้พักใหญ่จึงสงสัยว่าคิมซังกุงเครียดเรื่องสถานการณ์ในวัง เธอได้ยินว่าตำแหน่งรัชทายาทของควางแฮกุนกำลังสั่นคลอนจึงถามคิมซังกุงว่าเป็นเรื่องจริงใช่ไหม คิมซังกุงไม่ตอบและเดินหนีด้วยอาการไม่พอใจ จากนั้นก็ถามเหล่านางในว่าจัดเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยงฉลองวันแทโบรึมใกล้เสร็จหรือยัง
เหล่าบรรดาเด็กผู้ชายพากันเล่นซนฉลองวันแทโบรึมกลางตลาด (ตามประเพณี) เป็นที่เอิกเกริก โดยแบ่งการละเล่นออกเป็นสองฝ่ายนำโดยสองเพื่อนซี้ "ฮง จูวอน" กับ "คัง อินวู" ซึ่งต่างก็เป็นลูกขุนนางใหญ่ด้วยกันทั้งคู่ แต่ละฝ่ายจะมีขบวนแห่เกี้ยวซึ่งภายในมีหุ่นที่ทำมาจากฟางข้าว ทั้งสองฝ่ายจะต้องปกป้องเกี้ยวของตน (ซึ่งมีธงปักอยู่) และต้องแย่งชิงธงของฝ่ายตรงข้ามมาให้ได้ ขณะที่ทั้งสองฝ่ายพยายามบุกเข้าไปชิงธงฝ่ายตรงข้ามได้เกิดการปะทะกันเป็นที่ชุลมุนจนสินค้าที่พ่อค้าแม่ค้านำมาวางขายเสียหายเป็นจำนวนมาก เมื่อเจ้าหน้าที่จาก "ฮันซองบู" (หน่วยงานที่ดูแลเมืองหลวง ซึ่งก็คือ "ฮันยาง" หรือ "กรุงโซล" ในปัจจุบัน) และ "โพโดชอง" (สังกัดกรมกลาโหม เปรียบได้กับตำรวจในปัจจุบัน) มาถึง จึงช่วยกันควบคุมตัวเด็กๆ แต่สุดท้ายกลับพบว่าสองหัวโจกที่ถูกจับกุมต่างเป็นลูกผู้บังคับบัญชาของพวกตน
ในที่สุดศพปริศนาที่ถูกพบในถ้ำและไม่เน่าเปื่อยก็ถูกส่งมาชันสูตรที่โพโดชองฝ่ายขวา (ดูแลฝั่งตะวันตกและทางตอนเหนือของเมืองฮันยาง รวมถึงคยองกีฝั่งขวา) เมื่อพบว่าผู้ตายเสียชีวิตมานานหลายปีแต่สภาพศพกลับเหมือนมัมมี่ที่ไม่เน่าเปื่อย "ฮงยอง" (หัวหน้าหน่วยโพโดชองและพ่อของจูวอน) ก็รู้สึกแปลกใจจึงสั่งให้ลูกน้องสืบว่าผู้ตายเป็นใคร เขาได้ยินว่ามีเอกสารบางอย่างติดมากับศพด้วยจึงเอ่ยปากถามลูกน้อง แต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบก็มีคนเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน ที่แท้ "คัง จูซอน" (ผู้นำฮันซองบู ชื่อตำแหน่งเรียกว่า "พันยูน" เทียบเท่านายกเทศมนตรีกรุงโซลในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นพ่อของอินวู มาตามฮงยองออกไปข้างนอก โดยบอกเพียงว่ามีคดีใหญ่ที่ฮันซองบูกับโพโดชองต้องจัดการร่วมกัน
ปรากฏว่าฮงยองกับจูซอนต้องมาทำหน้าที่ไต่สวนและเอาผิดลูกชายของพวกตนในฐานะแกนนำก่อเหตุจราจลในตลาด หลังอ่านรายงานความเสียหายแล้ว ฮงยองก็สั่งให้ลูกน้องนำแกนนำทั้งสองไปขังคุกหนึ่งคืน จูวอนแย้งทันควันว่าการตัดสินของบิดาไม่เป็นธรรม เพราะการละเล่นของพวกตนเป็นประเพณีอย่างหนึ่งในวันแทโบรึม ใครๆ ก็เล่นฉลองกันอย่างสนุกสนานในวันนี้ ที่สำคัญกฏหมายระบุว่าวันนี้จะไม่มีการลงโทษผู้ใด ดังนั้น วันนี้พ่อจึงไม่สามารถลงโทษพวกตนและไม่อาจละเลยประเพณี อินวูเสริมว่าถ้าจะจับพวกตนขังคุกก็ต้องจับคนที่เล่นขว้างหินและขโมยรองเท้าด้วย เพื่อให้การเอาผิดเป็นไปอย่างยุติธรรมทางโพโดชองคงต้องไล่จับคนทั้งเมืองไปขังคุกเช่นเดียวกับพวกตน ฮงยองกับจูซอนได้ยินลูกของพวกตนชี้แจงดังนั้นจึงยอมจำนนต่อเหตุผลและปล่อยตัวเด็กๆ ไป
ขณะอยู่ในห้องทำงานของฮงยอง จูซอนเปรยว่าอีกหน่อยลูกของพวกตนจะต้องเติบโตเป็นคนหนุ่มอนาคตไกล เขาจึงได้แต่หวังว่าเมื่อถึงเวลานั้นราชสำนักจะมั่นคง ฮงยองได้ยินว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นที่ตำหนักพระเจ้าซอนโจ จูซอนยอมรับและเชื่อว่าฝ่าบาทคงตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้ว ฮงยองไม่อยากเชื่อว่าพระเจ้าซอนโจจะมีแผนปลดควางแฮกุนออกจากตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท แล้วแต่งตั้งแทกุน (ยองชางแทกุน) ซึ่งยังอยู่ในวัยแบแบาะขึ้นมาแทน เพราะหากเป็นเช่นนั้นเหล่าขุนนางคงไม่เห็นด้วยแน่ จูซอนฟันธงว่าสุดท้ายแล้วฝ่าบาทจะทรงบีบให้พวกเขา (ขุนนางที่ไม่เห็นด้วย) ไม่มีทางเลือกอื่น ฮงยองไม่กล้าคาดเดาจึงถามจูซอนว่าจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่แต่จูซอนปิดปากเงียบไม่ยอมตอบ ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่โพโดชองนายหนึ่งนำเอกสาร (ที่ติดมากับศพตายซากและฮงยองถามถึง) มาให้ฮงยอง หลังพบว่าฮงยองเข้าวังไปแล้ว เขาจึงนำเอกสารดังกล่าวไปวางไว้ให้บนโต๊ะทำงาน ก่อนหยุดพักผ่อนในวันแทโบรึม
ในเวลาเดียวกันนั้น ภายในวังได้มีการจัดงานเลี้ยงฉลองวันแทโบรึม โดยมีเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางในราชสำนักมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ยกเว้นขุนนางฝ่ายเหนือใหญ่ (แทบุก) ซึ่งสนับสนุนควางแฮกุนที่ไม่ได้รับคำเชิญ "อิมแฮกุน" (องค์ชายอิมแฮ) พระเชษฐาของควางแฮกุน ยืนมองเหล่าองค์ชายและองค์หญิง (ซึ่งล้วนมีพระมารดาเป็นพระสนม) พากันยืนต่อคิวเพื่อเข้าเฝ้าและถวายความเคารพพระมเหสีอิมมก ตลอดจนองค์หญิงชองมยองและยองชางแทกุน (แม้ทั้งคู่จะเป็นเด็กแต่มีศักดิ์สูงกว่าทุกคนเพราะเป็นโอรสธิดาในพระมเหสี) พลางกรอกเหล้าใส่ปากไม่หยุดด้วยความไม่พอใจ
"ชองวอนกุน" (องค์ชายชองวอน / พระบิดาองค์ชายนึงยาง) เห็นอิมแฮกุนพยายามดื่มเหล้าดับอารมณ์หงุดหงิดก่อนเข้าเฝ้าพระมเหสีอิมมก จึงเดินเข้าไปทักก่อนเปรยว่า องค์ชายและองค์หญิงทั้ง 25 คนที่มารวมตัวกัน ณ ที่นี่ล้วนเป็นโอรสธิดาของฝ่าบาททั้งสิ้น แต่พวกตนกลับมีสถานะต่ำต้อยกว่าเด็กน้อยอย่างองค์หญิงชองมยองและยองชางแทกุนเพียงเพราะมีพระมารดาเป็นพระสนม แม้แต่ 'องค์รัชทายาท' พระอนุชาของอิมแฮกุนก็ไม่ต่างจากพวกตน ชองวอนกุนเลยแนะให้อิมแฮกุนก้มตัวให้ต่ำสุดตอนเข้าเฝ้าพระมเหสีอิมมกกับสองเด็กน้อยเพื่อความอยู่รอด อิมแฮกุนเย้ยว่าหากวันใดรัชทายาทได้ขึ้นครองบัลลังก์ ตนก็อยากรู้เหมือนกันว่าหัวของชองวอนกุนจะก้มต่ำแค่ไหน แต่ระวังอย่าให้หัวตกลงพื้น (หลุดจากบ่า) ก็แล้วกัน
ชองวอนกุนได้ยินดังนั้นก็ขำกลิ้งก่อนชี้ว่าในวันที่พระโอรสธิดามารวมตัวกันเพื่อเข้าเฝ้าและถวายความเคารพ ฝ่าบาทกลับไม่มาร่วมงานซ้ำยังให้เด็กแบเบาะอย่างยองชางแทกุนมานั่งแทนที่ เห็นอย่างนี้แล้วอิมแฮกุนยังเดาสถานการณ์ไม่ออกอีกหรือ อิมแฮกุนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโกรธ ชองวอนกุนอ้างว่าตนแค่รู้สึกเป็นห่วง ถึงแม้จะต่างมารดาแต่อิมแฮกุนยังได้ชื่อว่าเป็นพระเชษฐาของตน เขาบอกให้อิมแฮกุนลองเบิ่งตาดูว่าเหล่าองค์ชายองค์หญิงเดินเรียงแถวไปถวายความเคารพใครกันแน่ เมื่ออิมแฮกุนหันไปมองก็พบองค์ชายคนหนึ่งโค้งคำนับอย่างนอบน้อมตรงหน้าพระมเหสีอิมมก (ซึ่งอุ้มยองชางแทกุนไว้แนบอก) แต่กลับก้มศีรษะให้ควางแฮกุนและชายาพอเป็นพิธี
อิมแฮกุนเห็นแล้วรู้สึกเจ็บแค้นแทนจึงโวยควางแฮกุนที่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนและปล่อยให้คนอื่นหยามซึ่งหน้ากลางงานราชพิธี แต่ควางแฮกุนกลับเห็นเป็นเรื่องปกติเพราะเจอเรื่องแบบนี้มาตลอด 16 ปี ซ้ำยังปลอบอิมแฮกุนให้ทำใจร่มๆ อย่างน้อยตนก็รักษาตำแหน่งมาได้ถึง 16 ปี แม้แต่ฝ่าบาทเองก็โค่นตำแหน่งตนไม่ได้ง่ายๆ หากตนอดทนจนผ่านพ้นวันนี้ไปได้เหมือนที่อดทนเมื่อวาน เชื่อว่าต้องมีสักวันที่เป็นวันของตน อิมแฮกุนบอกพระอนุชาด้วยสีหน้าเป็นกังวลว่า ฝ่าบาททรงเรียกขุนนางฝ่ายต่างๆ มาเข้าเฝ้า ยกเว้นขุนนางฝ่ายเหนือใหญ่ (แทบุก) ที่สนับสนุนควางแฮกุน (เขาเรียกควางแฮกุนว่า "ฮน" (ลี ฮน) ซึ่งเป็นชื่อจริงของควางแฮกุน) ควางแฮกุนได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าเคร่งเครียด
"ลี อีชอม" (ซึ่งยังเป็นเพียงขุนนางระดับล่างและอยู่ฝ่ายเหนือใหญ่ (แทบุก) เลยไม่ได้ร่วมงานเลี้ยงกับพระเจ้าซอนโจ - เหล่าขุนนางใหญ่จะสวมชุดสีแดง) ไปสังเกตการณ์จุดที่ข้ารับใช้ในวังนำแก้วเหล้าไปลอยในลำน้ำเพื่อให้ไหลไปยังจุดที่เหล่าขุนนางใหญ่เล่นเกมร่ายบทกวีหน้าพระพักตร์ (ต้องร่ายบทกวีให้จบก่อนที่แก้วเหล้าจะไหลมาถึง มิเช่นนั้นจะถูกทำโทษให้ดื่มเหล้า) โดยทำตัวเหมือนเป็นขาใหญ่ เขาอ้างว่าจะไปฉี่จึงเดินเข้าไปในป่าจากนั้นก็แอบจับตาดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางและพระเจ้าซอนโจ
บังเอิญว่าในตอนนั้นจูวอนกับอินวูเกิดหลงเข้ามาในบริเวณดังกล่าว ทั้งคู่เห็นว่าไหนๆ พวกตนก็เข้าวังมาแล้วเลยคิดใช้โอกาสนี้ลักลอบเข้าไปเปิดหูเปิดตาในหอหลวง (หอตำราหลวง) แต่เกิดหลงทางเสียก่อน อินวูหันไปเห็นอีชอมทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่หลังต้นไม้เหมือนกำลังแอบดูใครเลยคิดที่จะย่องไปดูใกล้ๆ แต่ดันเหยียบกิ่งไม้เสียดัง อีชอมได้ยินดังนั้นจึงเกิดความหวาดระแวง ครั้นเห็นความเคลื่อนไหวหลังต้นไม้ใหญ่ (อินวูซึ่งแอบอยู่หลังต้นไม้กับจูวอนโผล่หัวออกไปดูอีชอม) อีชอมจึงชักมีดสั้นออกมาแล้วเดินตรงไปยังต้นไม้ต้นดังกล่าว จูวอนกับอินวูทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่ยืนตัวแข็ง ครั้นเห็นชเวซังกุงนำเหล่านางในพี่เลี้ยงออกตามหาและร้องเรียกองค์หญิงชองมยอง อีชอมจึงรีบชิ่งหนีไปเสียก่อน หลังรอดตัวมาได้อย่างฉิวเฉียดจูวอนกับอินวูก็พากันโล่งใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงเด็กผู้หญิงร้องถามว่าทั้งคู่เป็นใคร เมื่อทั้งคู่หันไปดูก็พบองค์หญิงชองมยองยืนอยู่ตรงหน้า แถมองค์หญิงยังคว้าแขนจูวอนแล้วชวนวิ่งหนีชเวซังกุงอีกด้วย อินวูเลยจำต้องวิ่งตามไปแบบตกกระไดพลอยโจน
พระเจ้าซอนโจไม่สบอารมณ์หลังได้ยินเสนาซ้ายร่ายบทกวีโดยกล่าวว่าวันนี้เป็นวันดี พรุ่งนี้และวันต่อๆ ไปก็จะเป็นดังเช่นวันนี้ พระองค์จึงถามเสนาซ้ายว่าการที่คณะทูตไม่สามารถนำหนังสือรับรองสถานะองค์ชายรัชทายาทมาจากต้าหมิงได้อีกตามเคย และการที่อนาคตของราชสำนักแขวนอยู่บนเส้นด้ายถือเป็นวันดีสำหรับเขา ซ้ำยังอยากให้พรุ่งนี้และวันต่อๆ ไปเป็นเหมือนวันนี้งั้นหรือ เสนาซ้ายได้ยินดังนั้นก็ถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว "ลี วอนอิก" ไม่ต้องการให้สถานการณ์บานปลายจึงเสนอให้ยุติงานเลี้ยงเพียงเท่านี้โดยอ้างว่าทุกคนเริ่มเมาทั้งยังใกล้พลบค่ำแล้ว แต่พระเจ้าซอนโจไม่ยอม
มหาเสนาบดี "ยู ยองคยอง" สบโอกาสเสนอให้พระเจ้าซอนโจเป็นคนตั้งหัวข้อบทกวี พระเจ้าซอนโจคิดที่จะใช้โอกาสนี้ทดสอบความจงรักภักดีของเหล่าขุนนาง จึงตั้งหัวข้อว่า "พเย-กา-อิบ-จิน" (มาจากภาษาจีน "เฟ่ยเจี้ยลี่เจิน" แปลว่า "ปลดตัวปลอม แต่งตั้งตัวจริง" ซึ่งในที่นี้หมายถึงปลดควางแฮกุนแล้วแต่งตั้งยองชางแทกุนแทน) พระองค์ทรงกดดันให้เหล่าขุนนางเลือกข้างเดี๋ยวนั้นว่าจะเป็นขุนนางที่จงรักภักดีหรือเป็นกบฏทำให้สถานการณ์ยิ่งตึงเครียด องค์หญิงชองมยอง (ซึ่งแอบดูห่างๆ กับจูวอนและอินวู) ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับร่ำไห้ ปรากฏว่าไม่ใครกล้าร่ายบทกวีภายใต้หัวข้อดังกล่าว (รวมทั้งเสนาซ้าย) มหาเสนาบดียูจึงลุกขึ้นร่ายบทกวีสนับสนุนให้คืนตำแหน่งแก่เจ้าของตัวจริง
หลังจากนั้นพระเจ้าซอนโจก็มีพระบรมราชโองการให้ทหารวางกำลังรอบวังอีฮยอน (ตำหนักตงกุง) ของควางแฮกุน อีชอมแอบฟังผู้นำขุนนางฝ่ายเหนือใหญ่ (แทบุก) หารืออย่างเคร่งเครียดกับควางแฮกุนและอิมแฮกุน เมื่อ "ยู ฮีบุน" (นามปากกา "ฮวานัม") พี่ชายองค์หญิงรัชทายาทยู (ชายาควางแฮกุน) ซึ่งมีกำลังทหารอยู่ในมือสองพันนายเสนอให้บุกยึดตำหนักพระเจ้าซอนโจคืนนี้ อิมแฮกุนจึงรีบสนับสนุนความคิดดังกล่าว แต่ควางแฮกุนไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่บุ่มบ่าม อิมแฮกุนแย้งว่าขืนชักช้าจะไม่ทันการ จากนั้นก็เสนอให้สังหารยองชางแทกุนแล้วหาตราพระราชลัญจกรให้เจอเพื่อที่ควางแฮกุนจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ แต่ควางแฮกุนปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า ตนเป็นรัชทายาทของแผ่นดินนี้และทำหน้าที่ดังกล่าวมานาน 16 ปี แล้วตนจะแย่งชิงสิ่งที่เป็นของตัวเองอยู่แล้วไปทำไม หลังนิ่งอยู่นาน "ชอง อินฮง" (ผู้นำขุนนางฝ่ายเหนือใหญ่) ก็บอกควางแฮกุนว่าตนจะไปเข้าเฝ้าพระเจ้าซอนโจ
อีกด้านหนึ่งต็อกฮยองกับฮังบกก็กำลังหารือกับวอนอิก วอนอิกชี้ว่าต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์เพราะนี่คือแผนการที่พระเจ้าซอนโจทรงวางไว้ตั้งแต่ต้น ฮังบกเสริมว่าขุนนางฝ่ายเหนือเล็ก (โซบุก) และฝ่ายตะวันตกต่างรู้ดีตั้งแต่แรก เขาไม่อยากเชื่อว่าวิธีการฮั้วแบบพวกนักเลงอันธพาลจะถูกนำมาใช้ในราชสำนัก วอนอิกกล่าวว่าฝ่าบาททรงเห็นรัชทายาทเป็นศัตรูทางการเมืองมาเนิ่นนาน เพราะรัชทายาทมีผลงานโดดเด่นและเป็นที่ยอมรับในหมู่ประชาชนมากเกินไป ต็อกฮยองกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่าตนจะไปพบหัวหน้าหน่วยโพโดชอง (ฮงยอง) และพันยูนแห่งฮันซองบู (คัง จูซอน) ด้วยเห็นว่าตระกูลของทั้งคู่มีอิทธิพลต่อบัณฑิตขงจื๊อ (บัณฑิตแห่งซองคยุนกวาน) จึงน่าจะชักชวนเหล่าบัณฑิตให้ออกมาเคลื่อนไหวได้ เขารับไม่ได้ที่ควางแฮกุนจะถูกปลดจากตำแหน่งด้วยเหตุผลทางสายเลือด และเห็นว่าสิ่งที่สำคัญกว่าคือ...การมีหัวใจของราชา
ควางแฮกุนนั่งคุกเข่าหน้าท้องพระโรง (ชั่วคราว) ด้วยสีหน้าเป็นกังวล ส่วนอินฮงกำลังเข้าเฝ้าพระเจ้าซอนโจเพื่อขอให้ทรงพิจารณาเรื่องรัชทายาทใหม่อีกครั้งทั้งที่รู้ว่าอาจมีโทษถึงตาย และนั่นก็ทำให้พระเจ้าซอนโจกริ้วหนัก อินฮงพยายามชี้ว่าควางแฮกุนคู่ควรกับตำแหน่งจึงไม่สมควรโดนปลด แต่ยิ่งพูดถึงคุณงามความดีของควางแฮกุน พระเจ้าซอนโจก็ยิ่งอิจฉาและเกลียดชังควางแฮกุนมากขึ้นเท่านั้น หลังยกย่องควางแฮกุนแล้ว อินฮงก็ทูลว่าพระองค์ไม่ควรปลดควางแฮกุนเพียงเพราะต้าหมิงเลื่อนการรับรองออกไป พระเจ้าซอนโจแย้งว่าควางแฮกุนไม่มีสิทธิได้ครอบครองตำแหน่งนั้น ทั้งนี้เพราะควางแฮกุนไม่เพียงเกิดจากพระสนม แต่ยังไม่ใช่โอรสองค์โตอีกด้วย (อิมแฮกุนเป็นโอรสองค์โต แต่ความจริงแล้วตัวพระเจ้าซอนโจเองไม่ได้เป็นโอรสพระราชาด้วยซ้ำ หากเป็นเพียงโอรสขององค์ชายปลายแถวที่ไร้ซึ่งอำนาจและเกิดจากพระสนม)
อินฮงแย้งว่าพระองค์เป็นคนแต่งตั้งควางแฮกุนเอง จากนั้นก็ชี้ว่าควางแฮกุนเป็นที่รักของประชาชน ทั้งยังเป็นผู้เสี่ยงชีวิตปกป้องพระราชวังและบ้านเมืองในยามที่ถูกญี่ปุ่นรุกราน ขณะที่พระองค์และเหล่าขุนนางในราชสำนักต่างพากันทอดทิ้งบ้านเมืองแล้วหนีเอาตัวรอด เมื่ออินฮงพูดแทงใจดำว่าควางแฮกุนคือว่าที่พระราชาที่ประชาชนตั้งตารอ พระเจ้าซอนโจจึงชี้ว่าเพราะเหตุนี้ตนถึงต้องการปลดควางแฮกุน (หากควางแฮกุนได้ขึ้นเป็นพระราชาจะเกิดการเปรียบเทียบ และนั่นก็จะทำให้พระองค์ถูกเย้ยหยัน) แม้จะอยู่ด้านนอกแต่ควางแฮกุนได้ยินทุกอย่าง เมื่อพระเจ้าซอนโจเดินออกจากท้องพระโรงด้วยความโกรธ ควางแฮกุนจึงกล่าวว่าทั้งหมดเป็นความผิดของตน และร้องขอโอกาสอีกครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล
ควางแฮกุนยังคงคุกเข่าหน้าท้องพระโรงพลางหวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต วันนั้นอิมแฮกุนเมาปลิ้นแล้วก่อเรื่องวุ่นวายหน้าพระพักตร์ในงานเลี้ยงฉลองการอภิเษกของ "ชินซองกุน" (พระอนุชาต่างมารดา / พระเชษฐาของชองวอนกุน) ควางแฮกุนจึงช่วยแก้ตัวแทน และนั่นก็ทำให้พระเจ้าซอนโจรับรู้ถึงการมีตัวตนของควางแฮกุน (พระองค์ทรงมีพระสนมและโอรสธิดาหลายคนจึงจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร) หลังเกิดสงครามอิมจิน (ญี่ปุ่นรุกราน) พระเจ้าซอนโจเตรียมหนีออกจากพระราชวังคยองบก วอนอิกพยายามขอร้องให้พระองค์ทรงอยู่เป็นขวัญและกำลังใจประชาชนแต่ไม่เป็นผล เมื่อประชาชนรู้เข้าก็เดือดดาลจึงพากันบุกมาขวางหมายทุบทำลายและเผาเกี้ยวของพระเจ้าซอนโจ ควางแฮกุนจึงออกโรงปกป้องชีวิตและพระเกียรติของพระบิดาโดยโกหกว่าฝ่าบาทและเหล่าขุนนางในราชสำนักไม่มีทางทอดทิ้งประชาชน
ก่อนหนีภัยสงครามพระเจ้าซอนโจทรงแต่งตั้งควางแฮกุนเป็นองค์รัชทายาท ขณะเดินผ่านตำหนักพระเจ้าซอนโจ ควางแฮกุนได้ยิน "พระสนมอินบิน" (สนมคนโปรด) ตัดพ้อพระเจ้าซอนโจจึงหยุดฟัง ที่แท้พระเจ้าซอนโจเคยสัญญากับพระสนมอินบินว่าจะมอบตำแหน่งรัชทายาทให้ชินซองกุน ครั้นเห็นว่าบ้านเมืองกำลังเกิดเภทภัย (สงคราม) พระองค์เลยยกตำแหน่งที่อันตรายให้ควางแฮกุนรับเคราะห์แทน ถึงกระนั้นควางแฮกุนก็ทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถโดยยืนหยัดต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น ต็อกฮยองพยายามห้ามปรามเพราะเห็นว่าอันตรายเกินไป แต่ควางแฮกุนต้องการก่อตั้งกองทัพประชาชนจึงยืนกรานว่าออกไประดมไพร่พลและร่วมรบด้วยตนเอง เพราะอยากแสดงให้ประชาชนเห็นว่าบ้านเมืองยังไม่ล่มสลายและราชสำนักกำลังปกป้องประชาชน
ควางแฮกุนร่วมรบในสงครามอิมจินซึ่งยืดเยื้อยาวนานเจ็ดปีจนเป็นที่รักของประชาชน เมื่อพระเจ้าซอนโจกลับจากต้าหมิง (หลังสงครามสิ้นสุด) แล้วพบว่าควางแฮกุนกลายเป็นวีรบุรุษและได้รับการยกย่องเกินหน้าเกินตาตนก็รู้สึกเจ็บใจ ครั้นพระมเหสีองค์แรกสิ้นพระชนม์โดยไม่มีโอรสธิดา พระองค์จึงแต่งตั้งพระมเหสีองค์ใหม่ (พระมเหสีอิมมก) หมายมีทายาทที่ชาติกำเนิดสูงส่งและคู่ควรกับราชบัลลังก์มากกว่าควางแฮกุน ในที่สุด พระมเหสีอินมกก็ประสูติยองชางแทกุนสมใจ และนั่นก็ทำให้ตำแหน่งรัชทายาทของควางแฮกุนเริ่มสั่นคลอน
หลังรู้ว่าพระเจ้าซอนโจต้องการปลดควางแฮกุนแล้วแต่งตั้งพระโอรสวัยแบเบาะขึ้นเป็นองค์รัชทายาท พระมเหสีอิมมกก็รู้สึกตกใจ พระเจ้าซอนโจชี้ว่าตนทำเช่นนี้เพื่อปกป้ององค์หญิงชองมยองและยองชางแทกุน เพราะหากควางแฮกุนได้ขึ้นครองบัลลังก์เด็กทั้งสองจะไม่ปลอดภัย ถึงกระนั้นพระมเหสีก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ เธอแย้งว่ายองชางแทกุนยังเด็กเกินกว่าจะแบกรับภาระดังกล่าว พระเจ้าซอนโจจึงได้แต่เสียดายที่ลูกคนแรกซึ่งเป็นสายเลือดกษัตริย์โดยแท้ (เกิดจากพระมเหสี) อย่างองค์หญิงชองมยองไม่ได้เกิดมาเป็นพระโอรส (เพราะถ้าเกิดเป็นชายก็นับว่าโตพอที่จะขึ้นครองบัลลังก์ได้แล้ว)
ต็อกฮยองรีบไปพบฮงยองที่หน่วยโพโดชองฝ่ายขวา ครั้นเห็นว่าฮงยองยังไม่กลับมาเขาจึงรออยู่ในห้องและพบกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ทันทีที่เห็นข้อความบนกระดาษแผ่นดังกล่าวเขาจึงถามถึงที่มา เมื่อลูกน้องของฮงยองบอกว่ากระดาษแผ่นดังกล่าวถูกพบขณะเจ้าหน้าที่ทำการชันสูตรศพที่ไม่เน่าเปื่อยเมื่อช่วงเช้า เขาก็รู้สึกแปลกใจ คืนเดียวกันนั้น มหาเสนาบดียูยกพระโอสถมาถวายพระเจ้าซอนโจ โดยคิมซังกุงยังคงทำหน้าลิ้มรสเพื่อทดสอบยาพิษ ระหว่างนั้นพระเจ้าซอนโจบอกมหาเสนาบดียูว่าพระองค์จะปลดควางแฮกุนจากตำแหน่งรัชทายาทในวันพรุ่งนี้ และถ้าย้ายออกจากตำหนักชั่วคราวเพื่อกลับไปยังวังชางด็อกเมื่อไหร่ พระองค์จะไปกับรัชทายาทองค์ใหม่ พูดจบพระเจ้าซอนโจก็ขอดื่มยาทั้งที่คิมซังกุงเพิ่งชิมได้ไม่นาน เพราะต้องการพักผ่อน
หลังรู้ว่าแผ่นกระดาษที่ตนพบติดมากับศพ ต็อกฮยองจึงเข้าไปดูซากศพไม่เน่าเปื่อยกับฮงยอง พลางตั้งข้อสังเกตว่าเนื้อหาในกระดาษเป็นคำทำนายเกี่ยวกับผู้ครองบัลลังก์ แต่ใจความดันสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในวังอย่างเหมาะเหม็ง แถมยังบังเอิญเจอ (กระดาษ) เมื่อเช้า (ก่อนพระเจ้าซอนโจจะประกาศเจตนาเรื่องการเปลี่ยนตัวรัชทายาทไม่นาน) ต็อกฮยองเห็นว่าทุกอย่างแลดูประจวบเหมาะเกินไปจึงสงสัยว่าอาจมีใครบางคนจงใจสร้างสถานการณ์ให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในราชสำนัก เขาอยากรู้ว่าศพที่พบเป็นใครจึงขอให้ฮงยองประสานความร่วมมือกับสำนักฮันซองบูของจูซอน ครั้นเหลือบเห็นกำไลที่ข้อมือศพแล้วรู้สึกคุ้นตาเขาจึงหยิบขึ้นมาดู พอเห็นสัญลักษณ์รูปดวงตาเจ้าแม่กวนอิมต็อกฮยองก็หวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ตอนนั้นต็อกฮยองยังเป็นเด็ก เขาจำได้ว่าเคยแอบดูผู้เป็นอาจารย์คุยกับปราชญ์ขงจื๊อและนักพยากรณ์ชื่อดัง "นัม ซาโก" (นามปากกา "คย็อกอัม") ซึ่งสวมสร้อยข้อมือเส้นดังกล่าว ครั้นนึกได้ดังนั้นเขาจึงแย่งกระดาษในมือฮงยองมาอ่านบรรทัดสุดท้าย เนื้อความในกระดาษระบุว่าจะมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก และจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ขณะที่ทุกสิ่งจะเสื่อมถอย ถึงกระนั้นก็ยังมีแสงแห่งความหวัง มีเพียงผู้เดียวบนแผ่นดินนี้ที่ถูกลิขิตให้สามารถดับไฟแห่งความขัดแย้ง มีเพียงสายเลือดบริสุทธิ์ (เกิดจากพระราชาและพระมเหสี) เท่านั้นที่เป็นผู้ครองโลกอย่างแท้จริง
คืนเดียวกันนั้น องค์หญิงชองมยองสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายพลางร่ำไห้ด้วยความตกใจกลัว เมื่อชเวซังกุงเข้ามาปลอบองค์หญิงก็ร้องบอกว่าพระอนุชาของตนกำลังตกอยู่ในกองเพลิง ปรากฏว่าความฝันขององค์หญิงเป็นลางบอกเหตุร้าย เพราะในตอนนั้นทหารสองนายที่เฝ้าหน้าตำหนักยองชางแทกุนได้ถูกทหารฝ่ายตรงข้ามลอบสังหาร อีกด้านหนึ่ง คิมซังกุงรีบกลับมาที่ห้องเครื่องเพื่อกินยาแต่กระอักเลือดออกมาเสียก่อน อีชอมซึ่งแอบรอเธออยู่ในห้องจึงแนะให้เธอไปหาหมอและยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ ที่แท้อีชอมกับคิมซังกุงสมคบคิดกันมาตั้งแต่ต้น คิมซังกุงแอบวางยาพิษพระเจ้าซอนโจมานาน ร่างกายของเธอจึงพลอยรับพิษไปด้วย และนี่ก็คือเหตุผลที่เธอต้องกินยาทุกครั้งหลังลิ้มลองอาหารของพระเจ้าซอนโจ
ในที่สุด ควางแฮกุนก็ลุกขึ้นหลังคุกเข่ามาค่อนคืนแต่ไม่เป็นผล เขาตัดสินใจบุกเข้าไปในตำหนักพระบิดากลางดึกโดยยืนกรานว่าจะขอเข้าเฝ้าเพราะมีเรื่องอยากกราบทูล ขณะเดินตรงไปที่เตียงควางแฮกุนก็ทูลถามด้วยความคับข้องใจว่าพระองค์อยากให้ตนทำเช่นไร จะให้ตนอยู่เฉยๆ แล้วทนดูราชสำนักล่มสลายต่อหน้าต่อตางั้นหรือ นั่นคือสิ่งที่ตนสมควรทำเพื่อพระองค์และประชาชนหรืออย่างไร ครั้นเดินไปใกล้ๆ แล้วเห็นว่าพระเจ้าซอนโจไม่ได้นอนหลับแต่กำลังหายใจติดขัดจึงสั่งให้ขันทีรีบไปตามหมอหลวง หลังจากนั้นเหล่าข้ารับใช้และนางในก็พากันวิ่งวุ่นจนภายในห้องเหลือเพียงควางแฮกุนกับพระเจ้าซอนโจ ควางแฮกุนบอกพระบิดาให้ประคองสติและห้ามหลับ ทั้งยังแนะวิธีหายใจที่ถูกต้องให้พระองค์อีกด้วย เมื่อพระเจ้าซอนโจบอกว่าตนมีอาการปวดแสบปวดร้อนและแน่นหน้าอก ควางแฮกุนจึงจับชีพจรพระบิดาก่อนปลอบว่าหมดหลวงต้องมีทางรักษาแน่
ครั้นพระเจ้าซอนโจร้องขอน้ำควางแฮกุนกลับลังเล สุดท้ายก็วางถ้วยน้ำลงโดยอ้างว่าการดื่มน้ำจะทำให้สำลักและเจ็บปวดมากขึ้น ควางแฮกุนรู้ดีว่าอาการของพระบิดาหนักเกินเยียวยาจึงหันไปมองหน้าพระองค์ด้วยน้ำตาคลอเบ้าและกล่าวว่า เมื่อก่อนตนเอาใจใส่ดูแลพระวรกายของพระบิดายิ่งกว่าร่างกายของตน ตนจึงรู้ดีว่าเวลาของพระองค์หมดลงแล้ว ดังนั้นพระองค์ควรทำใจยอมรับความตายที่กำลังจะมาเยือน พระเจ้าซอนโจได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโกรธและนั่นยิ่งทำให้อาการทรุดลง ควางแฮกุนก้มหน้าตัดพ้อว่าสุดท้ายก็ยังคงเป็นเช่นนี้ และถามทำไมพระบิดาถึงได้โกรธเกลียดตนนัก ที่ผ่านมาไม่เคยมีวันไหนที่ตนไม่พยายามอย่างสุดกำลังโดยหวังเพียงให้พระองค์ทรงยอมรับ แต่พระองค์กลับไม่เคยมองเห็นความจริงใจของตนแม้เพียงสักครั้ง ในสายตาของพระองค์ตนไม่ใช่ลูกแต่เป็นเพียงศัตรูทางการเมือง
ชองวอนกุนได้ยินดังนั้นก็ขำกลิ้งก่อนชี้ว่าในวันที่พระโอรสธิดามารวมตัวกันเพื่อเข้าเฝ้าและถวายความเคารพ ฝ่าบาทกลับไม่มาร่วมงานซ้ำยังให้เด็กแบเบาะอย่างยองชางแทกุนมานั่งแทนที่ เห็นอย่างนี้แล้วอิมแฮกุนยังเดาสถานการณ์ไม่ออกอีกหรือ อิมแฮกุนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโกรธ ชองวอนกุนอ้างว่าตนแค่รู้สึกเป็นห่วง ถึงแม้จะต่างมารดาแต่อิมแฮกุนยังได้ชื่อว่าเป็นพระเชษฐาของตน เขาบอกให้อิมแฮกุนลองเบิ่งตาดูว่าเหล่าองค์ชายองค์หญิงเดินเรียงแถวไปถวายความเคารพใครกันแน่ เมื่ออิมแฮกุนหันไปมองก็พบองค์ชายคนหนึ่งโค้งคำนับอย่างนอบน้อมตรงหน้าพระมเหสีอิมมก (ซึ่งอุ้มยองชางแทกุนไว้แนบอก) แต่กลับก้มศีรษะให้ควางแฮกุนและชายาพอเป็นพิธี
อิมแฮกุนเห็นแล้วรู้สึกเจ็บแค้นแทนจึงโวยควางแฮกุนที่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนและปล่อยให้คนอื่นหยามซึ่งหน้ากลางงานราชพิธี แต่ควางแฮกุนกลับเห็นเป็นเรื่องปกติเพราะเจอเรื่องแบบนี้มาตลอด 16 ปี ซ้ำยังปลอบอิมแฮกุนให้ทำใจร่มๆ อย่างน้อยตนก็รักษาตำแหน่งมาได้ถึง 16 ปี แม้แต่ฝ่าบาทเองก็โค่นตำแหน่งตนไม่ได้ง่ายๆ หากตนอดทนจนผ่านพ้นวันนี้ไปได้เหมือนที่อดทนเมื่อวาน เชื่อว่าต้องมีสักวันที่เป็นวันของตน อิมแฮกุนบอกพระอนุชาด้วยสีหน้าเป็นกังวลว่า ฝ่าบาททรงเรียกขุนนางฝ่ายต่างๆ มาเข้าเฝ้า ยกเว้นขุนนางฝ่ายเหนือใหญ่ (แทบุก) ที่สนับสนุนควางแฮกุน (เขาเรียกควางแฮกุนว่า "ฮน" (ลี ฮน) ซึ่งเป็นชื่อจริงของควางแฮกุน) ควางแฮกุนได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าเคร่งเครียด
"ลี อีชอม" (ซึ่งยังเป็นเพียงขุนนางระดับล่างและอยู่ฝ่ายเหนือใหญ่ (แทบุก) เลยไม่ได้ร่วมงานเลี้ยงกับพระเจ้าซอนโจ - เหล่าขุนนางใหญ่จะสวมชุดสีแดง) ไปสังเกตการณ์จุดที่ข้ารับใช้ในวังนำแก้วเหล้าไปลอยในลำน้ำเพื่อให้ไหลไปยังจุดที่เหล่าขุนนางใหญ่เล่นเกมร่ายบทกวีหน้าพระพักตร์ (ต้องร่ายบทกวีให้จบก่อนที่แก้วเหล้าจะไหลมาถึง มิเช่นนั้นจะถูกทำโทษให้ดื่มเหล้า) โดยทำตัวเหมือนเป็นขาใหญ่ เขาอ้างว่าจะไปฉี่จึงเดินเข้าไปในป่าจากนั้นก็แอบจับตาดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางและพระเจ้าซอนโจ
บังเอิญว่าในตอนนั้นจูวอนกับอินวูเกิดหลงเข้ามาในบริเวณดังกล่าว ทั้งคู่เห็นว่าไหนๆ พวกตนก็เข้าวังมาแล้วเลยคิดใช้โอกาสนี้ลักลอบเข้าไปเปิดหูเปิดตาในหอหลวง (หอตำราหลวง) แต่เกิดหลงทางเสียก่อน อินวูหันไปเห็นอีชอมทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่หลังต้นไม้เหมือนกำลังแอบดูใครเลยคิดที่จะย่องไปดูใกล้ๆ แต่ดันเหยียบกิ่งไม้เสียดัง อีชอมได้ยินดังนั้นจึงเกิดความหวาดระแวง ครั้นเห็นความเคลื่อนไหวหลังต้นไม้ใหญ่ (อินวูซึ่งแอบอยู่หลังต้นไม้กับจูวอนโผล่หัวออกไปดูอีชอม) อีชอมจึงชักมีดสั้นออกมาแล้วเดินตรงไปยังต้นไม้ต้นดังกล่าว จูวอนกับอินวูทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่ยืนตัวแข็ง ครั้นเห็นชเวซังกุงนำเหล่านางในพี่เลี้ยงออกตามหาและร้องเรียกองค์หญิงชองมยอง อีชอมจึงรีบชิ่งหนีไปเสียก่อน หลังรอดตัวมาได้อย่างฉิวเฉียดจูวอนกับอินวูก็พากันโล่งใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงเด็กผู้หญิงร้องถามว่าทั้งคู่เป็นใคร เมื่อทั้งคู่หันไปดูก็พบองค์หญิงชองมยองยืนอยู่ตรงหน้า แถมองค์หญิงยังคว้าแขนจูวอนแล้วชวนวิ่งหนีชเวซังกุงอีกด้วย อินวูเลยจำต้องวิ่งตามไปแบบตกกระไดพลอยโจน
พระเจ้าซอนโจไม่สบอารมณ์หลังได้ยินเสนาซ้ายร่ายบทกวีโดยกล่าวว่าวันนี้เป็นวันดี พรุ่งนี้และวันต่อๆ ไปก็จะเป็นดังเช่นวันนี้ พระองค์จึงถามเสนาซ้ายว่าการที่คณะทูตไม่สามารถนำหนังสือรับรองสถานะองค์ชายรัชทายาทมาจากต้าหมิงได้อีกตามเคย และการที่อนาคตของราชสำนักแขวนอยู่บนเส้นด้ายถือเป็นวันดีสำหรับเขา ซ้ำยังอยากให้พรุ่งนี้และวันต่อๆ ไปเป็นเหมือนวันนี้งั้นหรือ เสนาซ้ายได้ยินดังนั้นก็ถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว "ลี วอนอิก" ไม่ต้องการให้สถานการณ์บานปลายจึงเสนอให้ยุติงานเลี้ยงเพียงเท่านี้โดยอ้างว่าทุกคนเริ่มเมาทั้งยังใกล้พลบค่ำแล้ว แต่พระเจ้าซอนโจไม่ยอม
มหาเสนาบดี "ยู ยองคยอง" สบโอกาสเสนอให้พระเจ้าซอนโจเป็นคนตั้งหัวข้อบทกวี พระเจ้าซอนโจคิดที่จะใช้โอกาสนี้ทดสอบความจงรักภักดีของเหล่าขุนนาง จึงตั้งหัวข้อว่า "พเย-กา-อิบ-จิน" (มาจากภาษาจีน "เฟ่ยเจี้ยลี่เจิน" แปลว่า "ปลดตัวปลอม แต่งตั้งตัวจริง" ซึ่งในที่นี้หมายถึงปลดควางแฮกุนแล้วแต่งตั้งยองชางแทกุนแทน) พระองค์ทรงกดดันให้เหล่าขุนนางเลือกข้างเดี๋ยวนั้นว่าจะเป็นขุนนางที่จงรักภักดีหรือเป็นกบฏทำให้สถานการณ์ยิ่งตึงเครียด องค์หญิงชองมยอง (ซึ่งแอบดูห่างๆ กับจูวอนและอินวู) ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับร่ำไห้ ปรากฏว่าไม่ใครกล้าร่ายบทกวีภายใต้หัวข้อดังกล่าว (รวมทั้งเสนาซ้าย) มหาเสนาบดียูจึงลุกขึ้นร่ายบทกวีสนับสนุนให้คืนตำแหน่งแก่เจ้าของตัวจริง
หลังจากนั้นพระเจ้าซอนโจก็มีพระบรมราชโองการให้ทหารวางกำลังรอบวังอีฮยอน (ตำหนักตงกุง) ของควางแฮกุน อีชอมแอบฟังผู้นำขุนนางฝ่ายเหนือใหญ่ (แทบุก) หารืออย่างเคร่งเครียดกับควางแฮกุนและอิมแฮกุน เมื่อ "ยู ฮีบุน" (นามปากกา "ฮวานัม") พี่ชายองค์หญิงรัชทายาทยู (ชายาควางแฮกุน) ซึ่งมีกำลังทหารอยู่ในมือสองพันนายเสนอให้บุกยึดตำหนักพระเจ้าซอนโจคืนนี้ อิมแฮกุนจึงรีบสนับสนุนความคิดดังกล่าว แต่ควางแฮกุนไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่บุ่มบ่าม อิมแฮกุนแย้งว่าขืนชักช้าจะไม่ทันการ จากนั้นก็เสนอให้สังหารยองชางแทกุนแล้วหาตราพระราชลัญจกรให้เจอเพื่อที่ควางแฮกุนจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ แต่ควางแฮกุนปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า ตนเป็นรัชทายาทของแผ่นดินนี้และทำหน้าที่ดังกล่าวมานาน 16 ปี แล้วตนจะแย่งชิงสิ่งที่เป็นของตัวเองอยู่แล้วไปทำไม หลังนิ่งอยู่นาน "ชอง อินฮง" (ผู้นำขุนนางฝ่ายเหนือใหญ่) ก็บอกควางแฮกุนว่าตนจะไปเข้าเฝ้าพระเจ้าซอนโจ
อีกด้านหนึ่งต็อกฮยองกับฮังบกก็กำลังหารือกับวอนอิก วอนอิกชี้ว่าต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์เพราะนี่คือแผนการที่พระเจ้าซอนโจทรงวางไว้ตั้งแต่ต้น ฮังบกเสริมว่าขุนนางฝ่ายเหนือเล็ก (โซบุก) และฝ่ายตะวันตกต่างรู้ดีตั้งแต่แรก เขาไม่อยากเชื่อว่าวิธีการฮั้วแบบพวกนักเลงอันธพาลจะถูกนำมาใช้ในราชสำนัก วอนอิกกล่าวว่าฝ่าบาททรงเห็นรัชทายาทเป็นศัตรูทางการเมืองมาเนิ่นนาน เพราะรัชทายาทมีผลงานโดดเด่นและเป็นที่ยอมรับในหมู่ประชาชนมากเกินไป ต็อกฮยองกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่าตนจะไปพบหัวหน้าหน่วยโพโดชอง (ฮงยอง) และพันยูนแห่งฮันซองบู (คัง จูซอน) ด้วยเห็นว่าตระกูลของทั้งคู่มีอิทธิพลต่อบัณฑิตขงจื๊อ (บัณฑิตแห่งซองคยุนกวาน) จึงน่าจะชักชวนเหล่าบัณฑิตให้ออกมาเคลื่อนไหวได้ เขารับไม่ได้ที่ควางแฮกุนจะถูกปลดจากตำแหน่งด้วยเหตุผลทางสายเลือด และเห็นว่าสิ่งที่สำคัญกว่าคือ...การมีหัวใจของราชา
ควางแฮกุนนั่งคุกเข่าหน้าท้องพระโรง (ชั่วคราว) ด้วยสีหน้าเป็นกังวล ส่วนอินฮงกำลังเข้าเฝ้าพระเจ้าซอนโจเพื่อขอให้ทรงพิจารณาเรื่องรัชทายาทใหม่อีกครั้งทั้งที่รู้ว่าอาจมีโทษถึงตาย และนั่นก็ทำให้พระเจ้าซอนโจกริ้วหนัก อินฮงพยายามชี้ว่าควางแฮกุนคู่ควรกับตำแหน่งจึงไม่สมควรโดนปลด แต่ยิ่งพูดถึงคุณงามความดีของควางแฮกุน พระเจ้าซอนโจก็ยิ่งอิจฉาและเกลียดชังควางแฮกุนมากขึ้นเท่านั้น หลังยกย่องควางแฮกุนแล้ว อินฮงก็ทูลว่าพระองค์ไม่ควรปลดควางแฮกุนเพียงเพราะต้าหมิงเลื่อนการรับรองออกไป พระเจ้าซอนโจแย้งว่าควางแฮกุนไม่มีสิทธิได้ครอบครองตำแหน่งนั้น ทั้งนี้เพราะควางแฮกุนไม่เพียงเกิดจากพระสนม แต่ยังไม่ใช่โอรสองค์โตอีกด้วย (อิมแฮกุนเป็นโอรสองค์โต แต่ความจริงแล้วตัวพระเจ้าซอนโจเองไม่ได้เป็นโอรสพระราชาด้วยซ้ำ หากเป็นเพียงโอรสขององค์ชายปลายแถวที่ไร้ซึ่งอำนาจและเกิดจากพระสนม)
อินฮงแย้งว่าพระองค์เป็นคนแต่งตั้งควางแฮกุนเอง จากนั้นก็ชี้ว่าควางแฮกุนเป็นที่รักของประชาชน ทั้งยังเป็นผู้เสี่ยงชีวิตปกป้องพระราชวังและบ้านเมืองในยามที่ถูกญี่ปุ่นรุกราน ขณะที่พระองค์และเหล่าขุนนางในราชสำนักต่างพากันทอดทิ้งบ้านเมืองแล้วหนีเอาตัวรอด เมื่ออินฮงพูดแทงใจดำว่าควางแฮกุนคือว่าที่พระราชาที่ประชาชนตั้งตารอ พระเจ้าซอนโจจึงชี้ว่าเพราะเหตุนี้ตนถึงต้องการปลดควางแฮกุน (หากควางแฮกุนได้ขึ้นเป็นพระราชาจะเกิดการเปรียบเทียบ และนั่นก็จะทำให้พระองค์ถูกเย้ยหยัน) แม้จะอยู่ด้านนอกแต่ควางแฮกุนได้ยินทุกอย่าง เมื่อพระเจ้าซอนโจเดินออกจากท้องพระโรงด้วยความโกรธ ควางแฮกุนจึงกล่าวว่าทั้งหมดเป็นความผิดของตน และร้องขอโอกาสอีกครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล
ควางแฮกุนยังคงคุกเข่าหน้าท้องพระโรงพลางหวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต วันนั้นอิมแฮกุนเมาปลิ้นแล้วก่อเรื่องวุ่นวายหน้าพระพักตร์ในงานเลี้ยงฉลองการอภิเษกของ "ชินซองกุน" (พระอนุชาต่างมารดา / พระเชษฐาของชองวอนกุน) ควางแฮกุนจึงช่วยแก้ตัวแทน และนั่นก็ทำให้พระเจ้าซอนโจรับรู้ถึงการมีตัวตนของควางแฮกุน (พระองค์ทรงมีพระสนมและโอรสธิดาหลายคนจึงจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร) หลังเกิดสงครามอิมจิน (ญี่ปุ่นรุกราน) พระเจ้าซอนโจเตรียมหนีออกจากพระราชวังคยองบก วอนอิกพยายามขอร้องให้พระองค์ทรงอยู่เป็นขวัญและกำลังใจประชาชนแต่ไม่เป็นผล เมื่อประชาชนรู้เข้าก็เดือดดาลจึงพากันบุกมาขวางหมายทุบทำลายและเผาเกี้ยวของพระเจ้าซอนโจ ควางแฮกุนจึงออกโรงปกป้องชีวิตและพระเกียรติของพระบิดาโดยโกหกว่าฝ่าบาทและเหล่าขุนนางในราชสำนักไม่มีทางทอดทิ้งประชาชน
ก่อนหนีภัยสงครามพระเจ้าซอนโจทรงแต่งตั้งควางแฮกุนเป็นองค์รัชทายาท ขณะเดินผ่านตำหนักพระเจ้าซอนโจ ควางแฮกุนได้ยิน "พระสนมอินบิน" (สนมคนโปรด) ตัดพ้อพระเจ้าซอนโจจึงหยุดฟัง ที่แท้พระเจ้าซอนโจเคยสัญญากับพระสนมอินบินว่าจะมอบตำแหน่งรัชทายาทให้ชินซองกุน ครั้นเห็นว่าบ้านเมืองกำลังเกิดเภทภัย (สงคราม) พระองค์เลยยกตำแหน่งที่อันตรายให้ควางแฮกุนรับเคราะห์แทน ถึงกระนั้นควางแฮกุนก็ทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถโดยยืนหยัดต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น ต็อกฮยองพยายามห้ามปรามเพราะเห็นว่าอันตรายเกินไป แต่ควางแฮกุนต้องการก่อตั้งกองทัพประชาชนจึงยืนกรานว่าออกไประดมไพร่พลและร่วมรบด้วยตนเอง เพราะอยากแสดงให้ประชาชนเห็นว่าบ้านเมืองยังไม่ล่มสลายและราชสำนักกำลังปกป้องประชาชน
ควางแฮกุนร่วมรบในสงครามอิมจินซึ่งยืดเยื้อยาวนานเจ็ดปีจนเป็นที่รักของประชาชน เมื่อพระเจ้าซอนโจกลับจากต้าหมิง (หลังสงครามสิ้นสุด) แล้วพบว่าควางแฮกุนกลายเป็นวีรบุรุษและได้รับการยกย่องเกินหน้าเกินตาตนก็รู้สึกเจ็บใจ ครั้นพระมเหสีองค์แรกสิ้นพระชนม์โดยไม่มีโอรสธิดา พระองค์จึงแต่งตั้งพระมเหสีองค์ใหม่ (พระมเหสีอิมมก) หมายมีทายาทที่ชาติกำเนิดสูงส่งและคู่ควรกับราชบัลลังก์มากกว่าควางแฮกุน ในที่สุด พระมเหสีอินมกก็ประสูติยองชางแทกุนสมใจ และนั่นก็ทำให้ตำแหน่งรัชทายาทของควางแฮกุนเริ่มสั่นคลอน
หลังรู้ว่าพระเจ้าซอนโจต้องการปลดควางแฮกุนแล้วแต่งตั้งพระโอรสวัยแบเบาะขึ้นเป็นองค์รัชทายาท พระมเหสีอิมมกก็รู้สึกตกใจ พระเจ้าซอนโจชี้ว่าตนทำเช่นนี้เพื่อปกป้ององค์หญิงชองมยองและยองชางแทกุน เพราะหากควางแฮกุนได้ขึ้นครองบัลลังก์เด็กทั้งสองจะไม่ปลอดภัย ถึงกระนั้นพระมเหสีก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ เธอแย้งว่ายองชางแทกุนยังเด็กเกินกว่าจะแบกรับภาระดังกล่าว พระเจ้าซอนโจจึงได้แต่เสียดายที่ลูกคนแรกซึ่งเป็นสายเลือดกษัตริย์โดยแท้ (เกิดจากพระมเหสี) อย่างองค์หญิงชองมยองไม่ได้เกิดมาเป็นพระโอรส (เพราะถ้าเกิดเป็นชายก็นับว่าโตพอที่จะขึ้นครองบัลลังก์ได้แล้ว)
ต็อกฮยองรีบไปพบฮงยองที่หน่วยโพโดชองฝ่ายขวา ครั้นเห็นว่าฮงยองยังไม่กลับมาเขาจึงรออยู่ในห้องและพบกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ทันทีที่เห็นข้อความบนกระดาษแผ่นดังกล่าวเขาจึงถามถึงที่มา เมื่อลูกน้องของฮงยองบอกว่ากระดาษแผ่นดังกล่าวถูกพบขณะเจ้าหน้าที่ทำการชันสูตรศพที่ไม่เน่าเปื่อยเมื่อช่วงเช้า เขาก็รู้สึกแปลกใจ คืนเดียวกันนั้น มหาเสนาบดียูยกพระโอสถมาถวายพระเจ้าซอนโจ โดยคิมซังกุงยังคงทำหน้าลิ้มรสเพื่อทดสอบยาพิษ ระหว่างนั้นพระเจ้าซอนโจบอกมหาเสนาบดียูว่าพระองค์จะปลดควางแฮกุนจากตำแหน่งรัชทายาทในวันพรุ่งนี้ และถ้าย้ายออกจากตำหนักชั่วคราวเพื่อกลับไปยังวังชางด็อกเมื่อไหร่ พระองค์จะไปกับรัชทายาทองค์ใหม่ พูดจบพระเจ้าซอนโจก็ขอดื่มยาทั้งที่คิมซังกุงเพิ่งชิมได้ไม่นาน เพราะต้องการพักผ่อน
หลังรู้ว่าแผ่นกระดาษที่ตนพบติดมากับศพ ต็อกฮยองจึงเข้าไปดูซากศพไม่เน่าเปื่อยกับฮงยอง พลางตั้งข้อสังเกตว่าเนื้อหาในกระดาษเป็นคำทำนายเกี่ยวกับผู้ครองบัลลังก์ แต่ใจความดันสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในวังอย่างเหมาะเหม็ง แถมยังบังเอิญเจอ (กระดาษ) เมื่อเช้า (ก่อนพระเจ้าซอนโจจะประกาศเจตนาเรื่องการเปลี่ยนตัวรัชทายาทไม่นาน) ต็อกฮยองเห็นว่าทุกอย่างแลดูประจวบเหมาะเกินไปจึงสงสัยว่าอาจมีใครบางคนจงใจสร้างสถานการณ์ให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในราชสำนัก เขาอยากรู้ว่าศพที่พบเป็นใครจึงขอให้ฮงยองประสานความร่วมมือกับสำนักฮันซองบูของจูซอน ครั้นเหลือบเห็นกำไลที่ข้อมือศพแล้วรู้สึกคุ้นตาเขาจึงหยิบขึ้นมาดู พอเห็นสัญลักษณ์รูปดวงตาเจ้าแม่กวนอิมต็อกฮยองก็หวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ตอนนั้นต็อกฮยองยังเป็นเด็ก เขาจำได้ว่าเคยแอบดูผู้เป็นอาจารย์คุยกับปราชญ์ขงจื๊อและนักพยากรณ์ชื่อดัง "นัม ซาโก" (นามปากกา "คย็อกอัม") ซึ่งสวมสร้อยข้อมือเส้นดังกล่าว ครั้นนึกได้ดังนั้นเขาจึงแย่งกระดาษในมือฮงยองมาอ่านบรรทัดสุดท้าย เนื้อความในกระดาษระบุว่าจะมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก และจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ขณะที่ทุกสิ่งจะเสื่อมถอย ถึงกระนั้นก็ยังมีแสงแห่งความหวัง มีเพียงผู้เดียวบนแผ่นดินนี้ที่ถูกลิขิตให้สามารถดับไฟแห่งความขัดแย้ง มีเพียงสายเลือดบริสุทธิ์ (เกิดจากพระราชาและพระมเหสี) เท่านั้นที่เป็นผู้ครองโลกอย่างแท้จริง
คืนเดียวกันนั้น องค์หญิงชองมยองสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายพลางร่ำไห้ด้วยความตกใจกลัว เมื่อชเวซังกุงเข้ามาปลอบองค์หญิงก็ร้องบอกว่าพระอนุชาของตนกำลังตกอยู่ในกองเพลิง ปรากฏว่าความฝันขององค์หญิงเป็นลางบอกเหตุร้าย เพราะในตอนนั้นทหารสองนายที่เฝ้าหน้าตำหนักยองชางแทกุนได้ถูกทหารฝ่ายตรงข้ามลอบสังหาร อีกด้านหนึ่ง คิมซังกุงรีบกลับมาที่ห้องเครื่องเพื่อกินยาแต่กระอักเลือดออกมาเสียก่อน อีชอมซึ่งแอบรอเธออยู่ในห้องจึงแนะให้เธอไปหาหมอและยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ ที่แท้อีชอมกับคิมซังกุงสมคบคิดกันมาตั้งแต่ต้น คิมซังกุงแอบวางยาพิษพระเจ้าซอนโจมานาน ร่างกายของเธอจึงพลอยรับพิษไปด้วย และนี่ก็คือเหตุผลที่เธอต้องกินยาทุกครั้งหลังลิ้มลองอาหารของพระเจ้าซอนโจ
ในที่สุด ควางแฮกุนก็ลุกขึ้นหลังคุกเข่ามาค่อนคืนแต่ไม่เป็นผล เขาตัดสินใจบุกเข้าไปในตำหนักพระบิดากลางดึกโดยยืนกรานว่าจะขอเข้าเฝ้าเพราะมีเรื่องอยากกราบทูล ขณะเดินตรงไปที่เตียงควางแฮกุนก็ทูลถามด้วยความคับข้องใจว่าพระองค์อยากให้ตนทำเช่นไร จะให้ตนอยู่เฉยๆ แล้วทนดูราชสำนักล่มสลายต่อหน้าต่อตางั้นหรือ นั่นคือสิ่งที่ตนสมควรทำเพื่อพระองค์และประชาชนหรืออย่างไร ครั้นเดินไปใกล้ๆ แล้วเห็นว่าพระเจ้าซอนโจไม่ได้นอนหลับแต่กำลังหายใจติดขัดจึงสั่งให้ขันทีรีบไปตามหมอหลวง หลังจากนั้นเหล่าข้ารับใช้และนางในก็พากันวิ่งวุ่นจนภายในห้องเหลือเพียงควางแฮกุนกับพระเจ้าซอนโจ ควางแฮกุนบอกพระบิดาให้ประคองสติและห้ามหลับ ทั้งยังแนะวิธีหายใจที่ถูกต้องให้พระองค์อีกด้วย เมื่อพระเจ้าซอนโจบอกว่าตนมีอาการปวดแสบปวดร้อนและแน่นหน้าอก ควางแฮกุนจึงจับชีพจรพระบิดาก่อนปลอบว่าหมดหลวงต้องมีทางรักษาแน่
ครั้นพระเจ้าซอนโจร้องขอน้ำควางแฮกุนกลับลังเล สุดท้ายก็วางถ้วยน้ำลงโดยอ้างว่าการดื่มน้ำจะทำให้สำลักและเจ็บปวดมากขึ้น ควางแฮกุนรู้ดีว่าอาการของพระบิดาหนักเกินเยียวยาจึงหันไปมองหน้าพระองค์ด้วยน้ำตาคลอเบ้าและกล่าวว่า เมื่อก่อนตนเอาใจใส่ดูแลพระวรกายของพระบิดายิ่งกว่าร่างกายของตน ตนจึงรู้ดีว่าเวลาของพระองค์หมดลงแล้ว ดังนั้นพระองค์ควรทำใจยอมรับความตายที่กำลังจะมาเยือน พระเจ้าซอนโจได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโกรธและนั่นยิ่งทำให้อาการทรุดลง ควางแฮกุนก้มหน้าตัดพ้อว่าสุดท้ายก็ยังคงเป็นเช่นนี้ และถามทำไมพระบิดาถึงได้โกรธเกลียดตนนัก ที่ผ่านมาไม่เคยมีวันไหนที่ตนไม่พยายามอย่างสุดกำลังโดยหวังเพียงให้พระองค์ทรงยอมรับ แต่พระองค์กลับไม่เคยมองเห็นความจริงใจของตนแม้เพียงสักครั้ง ในสายตาของพระองค์ตนไม่ใช่ลูกแต่เป็นเพียงศัตรูทางการเมือง
พระเจ้าซอนโจพยายามเอื้อมมือไปหยิบถ้วยน้ำที่วางบนพื้นข้างเตียงด้วยความยากลำบาก แต่ควางแฮกุนคว้าข้อมือพระองค์เอาไว้ก่อนจ้องตาแล้วกล่าวว่า "กระหม่อมรู้ดีว่าฝ่าบาทไม่พอพระทัยที่กระหม่อมแตกต่างจากพระองค์ เพราะกระหม่อมไม่ไร้ความสามารถเหมือนพระองค์ยังไงล่ะ ใช่แล้วกระหม่อมแตกต่าง กระหม่อมจะเป็นพระราชาที่แตกต่างจากพระองค์" หลังจากนั้นควางแฮกุนก็ทิ้งท้ายอย่างเจ็บแสบว่า "นับจากนี้พระราชาของแผ่นดินคือ...ลูก...พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ!"
*** จบตอนที่หนึ่ง ***
* เนื้อหาโดย luvasianseries / ภาพจากเอ็มบีซี
นักแสดงนำ
เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์: "ควางแฮกุน" เป็นพระราชาองค์ที่ 15 แห่งราชวงศ์โชซอน แต่เนื่องจากพระองค์ทรงถูกขุนนางฝ่ายตะวันตกยึดอำนาจและปลดจากตำแหน่ง จึงไม่ได้รับพระนามกษัตริย์หลังสิ้นพระชนม์ (Temple name) และไม่มีพระราชสุสานเหมือนพระราชาองค์อื่นๆ ทั้งที่พระองค์ทรงสร้างคุณูปการแก่โชซอนมากมาย พระองค์เป็นโอรสองค์ที่สองของ "พระเจ้าซอนโจ" และ "พระสนมกงบิน" แห่งตระกูลคิม หลังโชซอนถูกทัพญี่ปุ่นรุกรานครั้งแรก พระเจ้าซอนโจได้แต่งตั้งควางแฮกุนเป็นองค์รัชทายาทก่อนหนีตายขึ้นไปทางเหนือเพื่อลี้ภัยในดินแดนราชวงศ์หมิง ควางแฮกุนจึงยืนหยัดต่อสู้และเป็นผู้นำในการต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น หลังสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานเจ็ดปีสงบลงพระองค์ยังทรงเป็นผู้นำในการฟื้นฟูบ้านเมือง ตลอดจนบูรณะพระราชวังชางต็อกและวังอื่นๆ ที่ถูกญี่ปุ่นเผาทำลาย
แม้วีรกรรมดังกล่าวจะได้รับการยกย่องเชิดชูแต่สถานะในการเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ของพระองค์กลับไม่มั่นคง เนื่องจากความสัมพันธ์ของพระองค์กับพระบิดาไม่สู้ดีนัก มิหนำซ้ำ "พระมเหสีอินมก" แห่งตระกูลคิม (พระมเหสีองค์ที่สองของพระเจ้าซอนโจ) ยังได้ประสูติ "ยองชางแทกุน" (องค์ชายยองชาง) ซึ่งนับเป็นทายาทโดยธรรมลำดับที่หนึ่งของพระเจ้าซอนโจ (เนื่องจากเป็นพระโอรสของพระราชากับพระมเหสี จึงมีสถานะสูงกว่าเหล่าองค์ชายที่มีพระมารดาเป็นพระสนม ประกอบกับพระมเหสีองค์แรกที่สิ้นพระชนม์ไม่มีพระโอรสธิดา องค์ชายน้อยจึงเกิดมาพร้อมสถานะผู้สืบทอดลำดับที่หนึ่ง) และนั่นก็นำมาซึ่งการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายของเหล่าขุนนางในราชสำนัก โดยฝ่ายเหนือใหญ่ (แทบุก) สนับสนุนควางแฮกุน ส่วนฝ่ายเหนือเล็ก (โซบุก) สนับสนุนยองชางแทกุน เมื่อพระเจ้าซอนโจสวรรคตขณะที่ยองชางแทกุนยังทรงพระเยาว์ ควางแฮกุนจึงขึ้นครองบัลลังก์ หลังจากนั้นขุนนางฝ่ายเหนือเล็กก็ถูกฝ่ายเหนือใหญ่กวาดล้าง หลังพระบิดาของพระพันปีอินมกถูกประหารโทษฐานกบฏ พระพันปีอินมกจึงพลอยถูกปลดและโดนกักขัง ส่วนยองชางแทกุนโดนเนรเทศและถูกขุนนางฝ่ายเหนือใหญ่สังหารขณะมีพระชนมายุเพียงเจ็ดพรรษา (แม้จะเป็นถึงพระราชาแต่ควางแฮกุนกลับไม่สามารถยับยั้งเหตุการณ์ทั้งหมดได้)
เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์: "องค์หญิงชองมยอง" เป็นพระธิดาใน "พระเจ้าซอนโจ" และ "พระมเหสีอินมก" ทั้งยังเป็นพระเชษฐภคินี (พี่สาว) ของ "ยองชางแทกุน" อีกด้วย หลังควางแฮกุนขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์ถูกขับออกจากวังและโดนกักบริเวณพร้อมพระมารดา ครั้นองค์ชายนึงยางขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์จึงได้สถานะองค์หญิงกลับคืน จากนั้นก็เสด็จกลับพระราชวังชางต็อกกับพระมารดาดังเดิม และได้อภิเษกกับ "ฮง จูวอน" โดยมีบุตรทั้งสิ้น 8 คน (ชาย 7 คน หญิง 1 คน)
เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์: "พระเจ้าอินโจ" เป็นพระราชาองค์ที่ 16 แห่งราชวงศ์โชซอน พระองค์เป็นพระราชนัดดาของพระเจ้าซอนโจ และเป็นโอรสของ "ชองวอนกุน" หลังขุนนางฝ่ายตะวันตกโค่นบัลลังก์ควางแฮกุนได้สำเร็จจึงพาองค์ชายนึงยางเข้าวังและแต่งตั้งให้เป็นพระราชาองค์ใหม่ แต่หลังครองบัลลังก์ได้ไม่นาน แม่ทัพลีควาล (ซึ่งเป็นกำลังหลักในการโค่นล้มบัลลังก์ควางแฮกุน) ก็ก่อกบฏและถูกลูกน้องตนเองสังหารในที่สุด ในรัชสมัยของพระองค์ เศรษฐกิจโชซอน (ที่เริ่มฟื้นตัวในรัชสมัยควางแฮกุน) ได้กลับมาตกต่ำอีกครั้ง (และยังคงเป็นเช่นนั้นต่อเนื่องยาวนานไปอีกสองสามศตวรรษ) ซ้ำยังถูกแมนจูรุกรานอย่างหนักถึงสองครั้งสองครา ในที่สุดพระองค์ก็ยอมจำนนต่อแมนจูราชวงศ์ชิง "หวงไท่จี๋" จึงนัดพระเจ้าอินโจมาที่ซัมจอนโดโดยสั่งให้สร้างอนุสรณ์ยกย่องแมนจู และบังคับให้พระเจ้าอินโจคำนับตนด้วยการคุกเข่าแล้วก้มศีรษะจรดพื้นถึงเก้าครั้ง นอกจากนี้พระองค์ยังต้องส่ง "รัชทายาทโซฮยอน" และ "องค์ชายพงนิม" ไปเป็นตัวประกันที่เมืองเสิ่นหยางอีกด้วย นับจากนั้นโชซอนก็กลายเป็นรัฐบรรณาการของราชวงศ์ชิง
พระราชวงศ์และผู้เกี่ยวข้อง
** พระโอรสของพระเจ้าซอนโจกับสนมคนโปรดนามว่า "อินบิน" (ชองวอนกุนเป็นคนพาพระเจ้าซอนโจและมารดาหลบหนีการรุกรานของญี่ปุ่น) / พระอนุชาต่างมารดาของควางแฮกุน / พระบิดาขององค์ชายนึงยาง (พระเจ้าอินโจ) **
** พระโอรสองค์รองของพระเจ้าอินโจกับพระมเหสีอินรยอล / ภายหลังได้ขึ้นครองบัลลังก์ในฐานะ "พระเจ้าฮโยจง" พระราชาองค์ที่ 17 แห่งราชวงศ์โชซอน **
ลี แจยง
รับบท คิม ซังฮอน
คัง มูนยอง
รับบท นายหญิงยูน
คิม ฮยองบอม
รับบท คิม คยองจิน
ลี ซึงฮโย
รับบท ลี ชีแบก
คิม ซอคยอง
รับบท ลี ชีบัง
หมายเหตุ: เดจิมะเป็นเกาะเทียมขนาดเล็กรูปพัดที่ถูกสร้างขึ้นโดยการขุดคลองผ่านแหลมเล็กๆ ในอ่าวนางาซากิ เมื่อปี ค.ศ. 1634 หมายให้เป็นที่พำนักและทำการค้าของพ่อค้าชาวโปรตุเกสในนางาซากิ (เป็นการจำกัดบริเวณและป้องกันมิให้มีการเผยแผ่คริสต์ศาสนาออกไปในวงกว้าง)
คลิปเบื้องหลังจาก เอ็มบีซีดราม่า
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
รายชื่อนักแสดง
*ตัวละครเกือบทั้งหมดมีตัวตนจริงนักแสดงนำ
รับบท ควางแฮกุน (องค์ชายควางแฮ)
แม้วีรกรรมดังกล่าวจะได้รับการยกย่องเชิดชูแต่สถานะในการเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ของพระองค์กลับไม่มั่นคง เนื่องจากความสัมพันธ์ของพระองค์กับพระบิดาไม่สู้ดีนัก มิหนำซ้ำ "พระมเหสีอินมก" แห่งตระกูลคิม (พระมเหสีองค์ที่สองของพระเจ้าซอนโจ) ยังได้ประสูติ "ยองชางแทกุน" (องค์ชายยองชาง) ซึ่งนับเป็นทายาทโดยธรรมลำดับที่หนึ่งของพระเจ้าซอนโจ (เนื่องจากเป็นพระโอรสของพระราชากับพระมเหสี จึงมีสถานะสูงกว่าเหล่าองค์ชายที่มีพระมารดาเป็นพระสนม ประกอบกับพระมเหสีองค์แรกที่สิ้นพระชนม์ไม่มีพระโอรสธิดา องค์ชายน้อยจึงเกิดมาพร้อมสถานะผู้สืบทอดลำดับที่หนึ่ง) และนั่นก็นำมาซึ่งการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายของเหล่าขุนนางในราชสำนัก โดยฝ่ายเหนือใหญ่ (แทบุก) สนับสนุนควางแฮกุน ส่วนฝ่ายเหนือเล็ก (โซบุก) สนับสนุนยองชางแทกุน เมื่อพระเจ้าซอนโจสวรรคตขณะที่ยองชางแทกุนยังทรงพระเยาว์ ควางแฮกุนจึงขึ้นครองบัลลังก์ หลังจากนั้นขุนนางฝ่ายเหนือเล็กก็ถูกฝ่ายเหนือใหญ่กวาดล้าง หลังพระบิดาของพระพันปีอินมกถูกประหารโทษฐานกบฏ พระพันปีอินมกจึงพลอยถูกปลดและโดนกักขัง ส่วนยองชางแทกุนโดนเนรเทศและถูกขุนนางฝ่ายเหนือใหญ่สังหารขณะมีพระชนมายุเพียงเจ็ดพรรษา (แม้จะเป็นถึงพระราชาแต่ควางแฮกุนกลับไม่สามารถยับยั้งเหตุการณ์ทั้งหมดได้)
* หมายเหตุ: คำว่า "แทกุน" ใช้กับองค์ชายที่เป็นพระโอรสของพระราชากับพระมเหสี และไม่ได้เป็นองค์รัชทายาท ส่วนคำว่า "กุน" ใช้กับองค์ชายที่เป็นพระโอรสของพระราชากับพระสนม หรือเป็นหลานของพระราชาที่ไม่ใช่โอรสขององค์รัชทายาท (หากยังเด็กจะเรียกว่า "วังจา")
ลี ยอนฮี
รับบท องค์หญิงชองมยอง
รับบท องค์ชายนึงยาง / พระเจ้าอินโจ
เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์: "พระเจ้าอินโจ" เป็นพระราชาองค์ที่ 16 แห่งราชวงศ์โชซอน พระองค์เป็นพระราชนัดดาของพระเจ้าซอนโจ และเป็นโอรสของ "ชองวอนกุน" หลังขุนนางฝ่ายตะวันตกโค่นบัลลังก์ควางแฮกุนได้สำเร็จจึงพาองค์ชายนึงยางเข้าวังและแต่งตั้งให้เป็นพระราชาองค์ใหม่ แต่หลังครองบัลลังก์ได้ไม่นาน แม่ทัพลีควาล (ซึ่งเป็นกำลังหลักในการโค่นล้มบัลลังก์ควางแฮกุน) ก็ก่อกบฏและถูกลูกน้องตนเองสังหารในที่สุด ในรัชสมัยของพระองค์ เศรษฐกิจโชซอน (ที่เริ่มฟื้นตัวในรัชสมัยควางแฮกุน) ได้กลับมาตกต่ำอีกครั้ง (และยังคงเป็นเช่นนั้นต่อเนื่องยาวนานไปอีกสองสามศตวรรษ) ซ้ำยังถูกแมนจูรุกรานอย่างหนักถึงสองครั้งสองครา ในที่สุดพระองค์ก็ยอมจำนนต่อแมนจูราชวงศ์ชิง "หวงไท่จี๋" จึงนัดพระเจ้าอินโจมาที่ซัมจอนโดโดยสั่งให้สร้างอนุสรณ์ยกย่องแมนจู และบังคับให้พระเจ้าอินโจคำนับตนด้วยการคุกเข่าแล้วก้มศีรษะจรดพื้นถึงเก้าครั้ง นอกจากนี้พระองค์ยังต้องส่ง "รัชทายาทโซฮยอน" และ "องค์ชายพงนิม" ไปเป็นตัวประกันที่เมืองเสิ่นหยางอีกด้วย นับจากนั้นโชซอนก็กลายเป็นรัฐบรรณาการของราชวงศ์ชิง
รับบท ฮง จูวอน
ฮัน จูวาน
รับบท คัง อินวู
โจ ซองฮา
รับบท คัง จูซอน
ปาร์ค ยองคยู
รับบท พระเจ้าซอนโจ
รับบท อิมแฮกุน (องค์ชายอิมแฮ)
** พระเชษฐาของควางแฮกุน **
จาง ซึงโจ
รับบท ชองวอนกุน (องค์ชายชองวอน)
แพ็ก ซองฮยอน
รับบท รัชทายาทโซฮยอน
** พระโอรสองค์โตของพระเจ้าอินโจกับพระมเหสีอินรยอล **
ลี มินโฮ
รับบท พงนิมแทกุน (องค์ชายพงนิม)
ฝ่ายควางแฮกุน (ฝ่ายเหนือใหญ่)
คิม ยอจิน
รับบท คิม แคชี
ชอง อุงอิน
รับบท ลี อีชอม
ฮัน มยองกู
รับบท ชอง อินฮง
อัน แนซัง
รับบท ฮอ-คยุน
** ภายนอกเหมือนสนับสนุนควางแฮกุน **
ยู ซึงมก
รับบท ยู ฮีบุน
ฝ่ายพระเจ้าอินโจ (ฝ่ายตะวันตก)
ออม ฮโยซอบ
รับบท ฮงยอง
อิมโฮ
รับบท ชเว มยองกิล
ลี แจยง
รับบท คิม ซังฮอน
คัง มูนยอง
รับบท นายหญิงยูน
คิม ฮยองบอม
รับบท คิม คยองจิน
ลี ซึงฮโย
รับบท ลี ชีแบก
คิม ซอคยอง
รับบท ลี ชีบัง
ฝ่ายอื่นๆ
คิม ชางวาน
รับบท ลี วอนอิก
ลี ซองมิน
รับบท ลี ต็อกฮยอง
คิม ซึงอุก
รับบท ลี ฮังบก
หน่วยอาวุธดินปืน (ฮวากีโทกัม) และผู้เกี่ยวข้อง
ปาร์ค วอนซัง
คลิปตัวอย่างจาก เอ็มบีซีดราม่า
คลิปเบื้องหลังจาก เอ็มบีซีดราม่า
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา