วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2556

Faith: สุภาพบุรุษยอดองครักษ์ ตอนที่ 3



หลังอึนซูผ่าตัดช่วยชีวิตชเวยองแล้ว ชเวยองก็สั่งให้ทุกคนรีบออกเดินทางก่อนที่ศัตรูจะบุกมาโจมตีอีกรอบ แต่เมื่อไปถึงโครยอแล้ว กลับไม่มีพิธีต้อนรับและไม่มีขุนนางในราชสำนักหรือเหล่าข้าราชบริพารมาเข้าเฝ้าแม้แต่คนเดียว คงมีเพียงชเวซังกุงและขันทีประจำพระองค์เท่านั้นที่มาคอยรับเสด็จอย่างเงียบเหงา ขณะที่ชเวยองเริ่มมีอาการที่แสดงถึงภาวะแทรกซ้อนแต่เขาไม่ยอมให้อึนซูและหมอหลวงชางบินตรวจดูอาการ

เนื้อหา:

ละคร "Faith: สุภาพบุรุษยอดองครักษ์" ตอนที่ 3 เป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของเรื่องราวทั้งหมด...


อึนซูพาชเวยองกลับมารักษาที่โรงเตี๊ยม และมีปากเสียงกับหมอหลวงชางบินเรื่องวิธีการรักษา แม้ชางบินจะเป็นหมอหลวงเก่งสุดในโครยอ แต่เขาก็ไม่คุ้นเคยกับวิธีรักษาของแพทย์แผนปัจจุบันที่ต้องทำการผ่าตัดเปิดช่องท้อง จึงเกิดความระแวงสงสัยว่าเขาจะเชื่อใจอึนซูได้จริงหรือ เพราะก่อนหน้านี้อึนซูคือคนที่พยายามฆ่าชเวยอง อึนซูยืนยันว่าเขาเชื่อใจเธอได้แน่ เพราะเธอคือเทพแห่งการรักษาโรคจากสวรรค์

พอเจอไม้นี้หมอหลวงชางบินเลยรีบปล่อยมืออึนซู อินซูจึงเริ่มลงมือผ่าตัดได้เสียที หมอหลวงชางบินไม่เคยเห็นวิธีรักษาแบบนี้มาก่อนจึงได้แต่เฝ้าดูด้วยความทึ่ง สิ่งเดียวที่เขาพอจะช่วยอึนซูได้ก็คือการใช้ผ้าซับเลือดที่ไหลออกจากบาดแผลของชเวยอง 


หลังมีม้าเร็วมาแจ้งข่าวว่า องค์หญิงหยวน (พระมเหสี) ยังมีชีวิตอยู่ คีชอลก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และเอาแต่พูดด้วยความแค้นว่า "นางสมควรตาย" เมื่อได้ยินดังนั้น ยางซา (กู ยางกัก) สมุนคู่ใจและที่ปรึกษาของคีชอลจึงกล่าวว่า ตนจะรีบจัดการทันที คีซอลได้ยินลูกน้องรับปากพล่อยๆ จึงถามอย่างคาดคั้นว่า "เมื่อไหร่" ยางซาตอบโดยไม่คิดว่า "ภายในหนึ่งวัน" คีชอลถามยางซาว่า "เจ้าจะทำงานที่ข้าใช้เวลาในการเตรียมการหลายปี ให้สำเร็จภายในวันเดียวงั้นรึ แสดงว่าข้าช่างไร้ฝีมือจริงๆ   เพราะข้าสูู้อุตส่าห์ทุ่มเทแรงกายแรงใจในแต่ละวันเพื่องานนี้มาตลอดระยะเวลาหลายปี แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า"

แม้คีชอลจะพูดพร้อมรอยยิ้ม แต่ยางซารู้จักเจ้านายของตนดีเขาจึงรีบคุกเข่าขออภัยที่พูดผิดไป คีชอล ไม่ติดใจเอาผิดลูกน้อง เขากล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาตนโค่นบังลังก์พระราชาแล้วแต่งตั้งพระราชาองค์ใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า พระราชาองค์ปัจจุบันกำลังจะนำแผ่นดินโครยอมาใส่พานถวายให้ตนแล้วแท้ๆ แต่ผลลัพธ์กลับออกมาไม่เป็นดังคาดเพราะองค์หญิงหยวนยังมีชีวิตอยู่


คีชอลหันไปถามชอน อึมจา (ซึ่งเป็นนักฆ่าที่เชี่ยวชาญด้านดนตรีและมีเพลงสังหารเป็นอาวุธ) ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ชอน อึมจาตอบว่า พี่ฮวา ซูอิน กำลังออกไปจัดการเรื่องนี้ เขาขอให้คีชอลอดทนรออีกวันเดียว เพราะเชื่อว่าถ้าฮวา ซูอินลงมือเองแล้วย่อมไม่มีทางพลาด คีชอลกำชับว่า "ต้องสังหารองค์หญิงหยวนให้ได้ อย่าปล่อยให้นางรอดชีวิตเข้ามาในโครยอโดยเด็ดขาด" ก่อนออกจากห้องคีชอลบอกอึมจาว่าม้าเร็ว (ซึ่งนั่งหมอบอยู่กับพื้นตลอดเวลา) ที่มาส่งข่าวรู้เรื่องมากเกินไป อึมจารู้ได้ทันทีว่าคีชอลสั่งให้เขาฆ่าปิดปากชายคนดังกล่าว ยางซาเองก็รู้ว่าอึมจาจะจัดการชายคนดังกล่าวอย่างไร เขาจึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป อึมจาปิดประตูห้องแล้วเป่าขลุ่ยมรณะเป็นทำนองเพลงสังหาร ไม่นานชายคนดังกล่าวก็เริ่มมีเลือดออกที่หูและหัวใจวายตายในที่สุด

อึนซูตรวจสอบบาดแผลภายในช่องท้องของชเวยองแล้วพบว่า บริเวณกระเพาะอาหารไม่ได้รับความเสียหาย จึงไม่เกิดอันตรายจากภาวะออโต้ไดเจสชั่น (ภาวะที่เอนไซม์ย่อยอาหารซึ่งหลั่งมาจากตับอ่อนเกิดย่อยสลายเนื้อเยื่อตับอ่อนเอง - ตับอ่อนเป็นต่อมที่อยู่ด้านหลังกระเพาะอาหาร) คงมีเพียงตับเท่านั้นที่ฉีกขาด (ทะลุ) เธอจึงต้องทำการห้ามเลือดด้วยการผูกเส้นเลือดแดงฝอย แต่ขั้นตอนดังกล่าวจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าความถี่สูงจี้ให้เลือดจับลิ่ม และที่นี่ก็ไม่มีเครื่องจี้ไฟฟ้าโบวี่  (เครื่องจี้ตัดด้วยไฟฟ้า) เธอเลยต้องนำเข็มสำหรับฝังเข็มของหมอชางบินมาลนไฟแล้วจี้ไปยังจุดที่ต้องการ จากนั้นจึงทำการเย็บแผล (หมอหลวงชางบินเห็นฝีมือผ่าตัดของอึนซูก็รู้สึกชื่นชม นอกจากจะช่วยถือคีมและคอยซับเลือดแล้ว เขายังช่วยซับเหงื่อบนใบหน้าอึนซูอีกด้วย)


ชเวยองรู้สึกตัวในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น เขาพยายามลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปมองรอบๆ เมื่อเห็นอึนซูนั่งหลับคาเก้าอี้เขาก็รู้ว่าอึนซูคอยเฝ้าดูอาการของตนตลอดทั้งคืน ชเวยองพยายามลุกขึ้นไปหยิบดาบคู่กายทั้งที่ยังเจ็บแผลและยังคงมึนยา (ยาสลบ) อึนซูตื่นมาเห็นชเวยองกำลังหยิบดาบ จึงรีบคว้ากรรไกรผ่าตัดขึ้นมาขู่แล้วบอกว่า "อย่าขยับ วางดาบลงเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นชั้นจะ..."  ชเวยองซึ่งยืนไม่ค่อยจะอยู่และต้อง ใช้ดาบช่วยพยุงกายพูดสวนขึ้นว่า "จะทำอะไร ก่อนหน้านี้ท่านเพิ่งแทงข้า จากนั้นก็ช่วยรักษาและเฝ้าดูอาการตลอดทั้งคืน คราวนี้ท่านจะแทงซ้ำอีกรอบ เพื่อจะได้รักษาต่อใช่ไหม" 

เมื่อรู้ว่าหัวหน้าของตนฟื้น แทมาน องค์รักษ์หนุ่มนักวิ่งลมกรดก็รีบวิ่งเข้าไปพยุงชเวยองด้วยความดีใจ (เขาวิ่งชนอึนซูจนกระเด็นไปอีกทาง) เมื่อรู้ว่าตนหมดสติไปหนึ่งคืน ชเวยองก็ถามแทมานว่า พระเจ้าคงมินและพระมเหสีเสด็จไปแล้วใช่ไหม แทมานตอบว่า ทั้งสองพระองค์ยังคงประทับอยู่ที่โรงเตี๊ยม ชเวยองลืมตัวจึงตะคอกถามว่า "ทำไม"  ทำให้รู้สึกเจ็บแผล (อึนซูได้แต่ยืนดูอยู่ห่างๆ อย่างเป็นห่วง) แทมานตอบว่า พระเจ้าคงมินสั่งให้ทุกคนรอออกเดินทางพร้อมชเวยอง


ชเวยองทั้งเป็นห่วงและผิดหวังที่ทั้งสองพระองค์ไม่เสด็จไปโครยอตามแผนที่วางเอาไว้ จึงร้องหาชุดเกราะแล้วเดินลงบันไดไปหาลูกน้องอย่างอ่อนแรงโดยมีแทซานคอยพยุง เมื่อเจอชุงซอกเขาก็ถามว่าพระเจ้าคงมินอยู่ที่ไหน  ชุงซอกตอบว่าเสด็จประทับอยู่ในห้องบรรทมด้านบน อึนซูวิ่งตามลงมาด้วยความเป็นห่วงและบอกให้ชเวยองกลับขึ้นไปนอนพักผ่อนเพราะกลัวว่าแผลที่เย็บไว้จะปริแตก แต่ชเวยองเป็นห่วงความปลอดภัยของพระราชาและพระมเหสีมากกว่าชีวิตตน จึงไม่สนใจคำแนะนำของอึนซู เขาสั่งต็อกมานและโทลแบให้รีบไปเตรียมเรือโดยบอกว่าจะออกเดินทางทันที

อึนซูเหลืออดจึงเท้าเอวแล้วเตือนชเวยองว่า เขาไม่ได้บาดเจ็บแค่เล็กน้อย และการรักษาบาดแผลให้เขาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเธอต้องเย็บเส้นเลือดแดงในตับให้เขาทีละเส้น แต่ชเวยองทำเป็นไม่ได้ยินและสั่งให้จูซอกไปเตรียมความพร้อมสำหรับการออกเดินทาง อึนซูเห็นชเวยองเอาแต่สั่งการลูกน้องโดยไม่สนใจฟังคำแนะนำของหมออย่างเธอ  จึงเดินเข้ามาขวางแล้วออกคำสั่งให้ชเวยองกลับขึ้นไปนอนพัก "เดี๋ยวนี้"  (ต่อหน้าแทมานและชุงซอก)  เธอยังบอกด้วยว่าจะเฝ้าดูอาการของเขาจนถึงวันพรุ่งนี้ จากนั้นจึงค่อยตัดสินใจอีกทีว่าเขาสามารถออกเดินทางได้ไหม เธอสั่งให้เขางดอาหารและน้ำจนกว่าจะผายลม แล้วจะตัดไหมให้เขาภายในหนึ่งสัปดาห์ จนกว่าจะถึงวันตัดไหมเขาต้องทำตามคำแนะนำของเธออย่างเคร่งครัด


ชเวยองหน้ามืดและล้มลงตรงหน้าอึนซู เขาเกาะตัวเธอเอาไว้แล้วอธิบายว่า หากไม่รีบออกเดินทางตอนนี้ ทุกคนจะตายกันหมด เพราะเขาไม่สามารถต่อสู้กับศัตรูในสภาพนี้ได้  อึนซูถามด้วยความตกใจว่า "ทำไม"  ชเวยองตอบหน้าซื่อว่า  "ท่านสั่งให้ข้าอดอาหารจนกว่าจะผายลม แล้วข้าจะเอาแรงที่ไหนมาต่อสู้กับศัตรู" อึนซูฟังแล้วแทบหน้าหงายเธอรีบอธิบายว่าไม่ได้ถามถึงเรื่องนั้น (เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนบาดเจ็บย่อมไม่สามารถสู้รบกับใครได้) แต่อยากรู้ว่า ทำไมทุกคนถึงจะถูกฆ่าตาย  ใครกันที่ต้องการฆ่า และจะมาฆ่าเพื่ออะไร

ชเวยองไม่อยากเสียเวลาอธิบายเลยเดินหนี แต่อึนซูคว้าตัวเขาเอาไว้  เขาเลยต้องหันกลับมาอธิบายว่า ก่อนหน้านี้เธอถูก 'พวกนั้น' จับตัวไป แสดงว่าศัตรูรู้แล้วว่าเธอเป็นใคร แม้เขาจะไม่รู้ว่าศัตรูรู้เรื่องเธอมากแค่ไหน แต่การไปจากที่นี่ก่อนที่ศัตรูจะรวมกลุ่มแล้วย้อนกลับมาโจมตีนับเป็นทางรอดที่ดีที่สุด อึนซูไม่เข้าใจสถานการณ์จึงโวยวายว่า จะไปไหนและทำไมเธอต้องไปจากที่นี่ด้วย ชเวยองเห็นอึนซูดื้อรั้นและไม่ยอมเชื่อฟัง (ผิดกับลูกน้องของเขาที่พูดคำเดียวรู้เรื่อง) จึงบอกอย่างอดทนแกมขอร้องว่า "เพื่อให้ข้าสามารถทำตามคำมั่นว่าจะส่งท่านกลับ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ท่านต้องรอดชีวิต ข้าจะเป็นคนปกป้องท่านเอง ดังนั้น ขอท่านได้โปรดอยู่ข้างกายข้าและอย่าคิดหนีห่างแม้เพียงก้าวเดียว" (แปลว่าถ้าอยากกลับบ้านและไม่อยากตายก็จงเชื่อฟังและห้ามหนีไปไหนอีก)

พูดจบชเวยองก็หันไปสั่งแทมานกับชุงซอกให้จัดเตรียมเกี้ยวแล้วไปทูลเชิญพระเจ้าคงมินและพระมเหสี  อึนซูยืนกรานว่า เธอจะไม่เดินทางไปไหนเพราะประตูหรืออุโมงค์สู่ย่านกังนัมของกรุงโซลอยู่ที่นี่ อึนซูจะเดินหนีแต่ถูกแทมานขวางเอาไว้ ชเวยองเลยสั่งให้แทมานคอยเฝ้าอึนซูเอาไว้


ในที่สุดทุกคนก็ออกเดินทางไปยังโครยอ อึนซูนั่งอยู่ในเกี้ยวหลังเดียวกับพระมเหสี เธอผุดลุกผุดนั่งตลอดเวลา เพราะจะนอนก็เจ็บหลัง จะนั่งก็เจ็บก้น เมื่อเห็นพระมเหสีนั่งหลับตานิ่งอย่างสำรวม เธอจึงถือโอกาสตรวจวัดชีพจร จากนั้นก็นั่งบ่นชเวยองที่ดื้อรั้นไม่ยอมนอนพักผ่อนหลังผ่าตัด  โดยบอกว่าหากเขาเป็นอะไรขึ้นมาก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ เพราะเธอทำเต็มที่และทำดีที่สุดแล้ว 

ชายหน้าบากพาฮวา ซูอินมาที่โรงเตี๊ยม เมื่อได้รับรายงานว่าพระเจ้าคงมินและพระมเหสีลงเรือข้ามฟากไปแล้ว เขาก็ซ้อมลูกน้องจนสลบเหมือดด้วยความโมโห จากนั้นก็รีบเข้ามาแก้ตัวกับฮวา ซูอิน ว่า ก่อนหน้านี้ตนนำเรือไปซ่อนและผูกเรือทุกลำเอาไว้อย่างแน่นหนา แต่คนของพระเจ้าคงมินคงมาพบและนำเรือออกไป ฮวา ซูอิน พูดด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า " แย่จริง" ชายหน้าบากจึงพูดขึ้นว่า หากเธอมาเร็วกว่านี้คงจับตัวพวกนั้นได้แล้ว คนของเขาเฝ้ารอเธอทั้งคืน แถมหัวหน้าองครักษ์ของพวกโครยอยังได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย

* ฮวา ซูอิน เป็นหนึ่งในนักฆ่าของคีชอลที่มีพลังภายในแก่กล้าจนสามารถปล่อยไฟออกจากฝ่ามือได้ 



ฮวา ซูอิน ได้ยินแล้วชักโมโห เธอถีบเก้าอี้ให้ชายหน้าบากนั่งพลางถอดถุงมือออก แล้วบอกด้วยท่าทีอ่อนล้าว่าเมื่อคืนนี้เธอติดธุระ และธุระของเธอนั้นก็น่าอายเกินกว่าที่จะนำมาพูด เธอถามชายหน้าบากว่า  สรุปแล้วคนที่ปล่อยให้พระเจ้าคงมินและพระมเหสีหนีไปได้คือเธองั้นหรือ หากพี่น้องของเธอรู้เข้าคงโกรธและผิดหวังมาก และเขา (ชายหน้าบาก) คงจะฟ้องทุกคนว่า เธอมัวแต่นอนขี้เซาเลยทำให้ทุกคนหนีรอดไปได้ ชายหน้าบากรีบบอกว่า ตนไม่กล้า ทั้งยังกล่าวว่าพระเจ้าคงมินและพระมเหสีคงหนีไปได้ไม่ไกล หากรีบตามไปตอนนี้น่าจะยังทัน จากนั้นก็ย้ำว่า "ตนจะไม่บอกใคร (ว่าเธอตื่นมาทำงานใหญ่ไม่ทัน)" แต่ฮวา ซูอิน มีแผนที่ดีและง่ายกว่านั้น เธอคิดที่จะใส่ความชายหน้าบากว่าเป็นคนทรยศและบอกแผนการทั้งหมดให้ศัตรูรู้ ทำให้ศัตรูรีบหนีไปก่อนที่เธอจะมาถึง พูดจบเธอก็ใช้พลังภายในเผาชายคนนั้นจนตายคามือ จากนั้นก็กล่าวขอโทษและบอกว่าเธอจำเป็นต้องฆ่าเขาเพราะไม่มีทางเลือก



ระหว่างเดินทาง อึนซูพยายามชวนพระมเหสีคุยโดยแนะนำตัวว่าเธอชื่อ "ยู อึนซู" และเป็น "ออนนี่" (พี่สาว - เธออายุมากกว่า) จากนั้นก็ถามชื่อพระมเหสี  พระมเหสีตอบว่าพระองค์ชื่อ "บอระจิกิน บอตาชิริน"  อึนซูฟังไม่ถนัดเพราะไม่เคยได้ยินชื่อแปลกๆ อย่างนี้มาก่อน เลยถามว่า "อะไรนะ" พระมเหสีจึงบอกว่า พระองค์เป็นธิดาขององค์ชายเว่ยแห่งราชวงศ์หยวน เมื่อรู้ว่าหญิงที่นั่งข้างคนมีศักดิ์เป็นองค์หญิง อึนซูก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง เธอถามว่าแล้วผู้ชายที่นั่งอยู่ในเกี้ยวข้างหน้าเป็นใคร เมื่อพระมเหสีตอบว่า "พระราชา" อึนซูก็แทบสติแตกและพยายามคิดว่าเป็นเพียงฝันร้าย

ไม่นานอึนซูก็ฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง เธอพยายามรวบรวมความคิดว่าราชวงศ์หยวนของจีนตรงกับยุคใดของเกาหลี เมื่อเห็นพระมเหสีทำหน้างงๆ อึนซูจึงออกตัวว่า เธอเรียนจบด้านการแพทย์เลยอ่อนวิชาประวัติศาสตร์ พระมเหสีบอกอึนซูว่า ตอนนี้ทุกคนมาถึงพรมแดนโครยอแล้ว อึนซูไม่อยากเชื่อว่าเธอเดินทางข้ามเวลามาที่นี่ แต่พระมเหสียืนยันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นความจริง นักรบทุกคนเห็นกับตาตนเองว่าเธอเดินทางมายังโลกนี้โดยผ่านทางประตูสวรรค์ พระองค์ได้ยินมาว่า อูดัลจิ (ทหารองครักษ์ของพระราชา) พาเธอมาที่นี่โดยใช้กำลังบังคับ จึงกล่าวขอโทษอีนซูในฐานะที่เป็นต้นเหตุให้อึนซูถูกลักพาตัวมา


คีวอนรายงานคีชอลว่า พระเจ้าคงมินและพระมเหสีเดินทางมาถึงโครยอแล้ว และในตอนนี้เหล่าขุนนางต่างพากันวิตกกังวลว่าต้องทำตัวอย่างไร และต้องแสดงความจงรักภักดีต่อพระราชาองค์ใหม่มากน้อยแค่ไหน คีชอลกล่าวว่าตนก็อยากรู้เช่นกันว่าเหล่าขุนนางจะแสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าคงมินอย่างไร ยางซาตอบอย่างเอาใจว่า ถึงอย่างไรก็เทียบไม่ได้กับความจงรักภักดีที่เหล่าขุนนางในราชสำนัก (โครยอ) มีต่อคีชอล

คีชอลกล่าวว่าขุนนางพวกนั้นต่างคาบช้อนทองมาเกิด ทั้งยังมีที่ดินและข้าทาสบริวารมากมาย ไม้เด็ดของเหล่าขุนนางที่เกิดในตระกูลชนชั้นสูงพวกนั้นก็คือ สัญชาตญาณในการหยั่งรู้ว่าใครที่พวกตนควรคบหาเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด และใครกันที่ยื่นมือสนับสนุนแล้วจะมีที่ดินแล้วข้าทาสบริวารเพิ่มมากขึ้น คีชอลอยากรู้ว่าเหล่าขุนนางโครยอจะเลือกสนับสนุนใคร (ระหว่างตนกับพระเจ้าคงมิน) จึงคิดที่จะทำการทดสอบ ยางซาหันไปถามคีวอน (น้องชายคีชอล) ว่าบุตรชายของเขาจะมีอายุครบ 1 ปีเร็วๆ นี้ใช่ไหม ข่าวดีอย่างนี้จะฉลองเงียบๆ กันเองในครอบครัวได้อย่างไร คีชอลได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจทันที เขาจึงพูดขึ้นว่า โอกาสอันเป็นมงคลอย่างนี้ต้องให้ทุกคนได้อยู่ร่วมฉลอง


 ชุงซอกทูลพระมเหสีว่าใกล้ถึงเมืองฮวางซองแล้ว เมื่อไปถึงพระเจ้าคงมินและพระมเหสีจะเสด็จไปที่ตำหนักซอนอินชอน (ภายในเป็นที่ตั้งของท้องพระโรงสำหรับว่าราชกิจ) ทันที ตนให้คนส่งข่าวไปแจ้งล่วงหน้าแล้ว ป่านนี้เหล่าขุนนางในราชสำนักคงกำลังรอพระองค์อยู่ที่นั่น พระราชาฝากให้ตนมาทูลพระมเหสีด้วยว่า (ชุกซอกพูดด้วยน้ำเสียงเลียนแบบพระเจ้าคงมิน) "แม้ว่าเจ้าอาจรู้สึกลำบากใจ แต่ขอได้โปรดอดทนไว้ เพื่อที่เจ้าจะได้รับการต้อนรับจากเหล่าขุนนาง" พระมเหสีกล่าวว่า "ข้าอยากล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า และหาอะไรมาปิดรอยแผลที่คอก่อน เราไปพบเหล่าขุนนางหลังจากนั้นไม่ได้หรือ ดูสภาพของข้าในตอนนี้สิ"  ชุงซอกจึงทูลว่าจะนำคำพูดของพระองค์ไปกราบทูลพระเจ้าคงมิน

 เมื่อเห็นพระมเหสีหยิบกระจกขึ้นมาส่องดูแผลที่คออย่างไม่มั่นใจ อึนซูจึงคว้ากระเป๋าแล้วลุกไปนั่งข้างๆ เมื่อเห็นกระจก (โบราณ) ของพระมเหสีมีลักษณะขุ่นมัว อึนซูจึงหยิบกระจกลายการ์ตูนสีชมพูมาให้พระมเหสีส่องแทน เมื่อเห็นใบหน้าในกระจกอย่างชัดเจนพระมเหสีก็รู้สึกตกใจเพราะไม่เคยส่องกระจกที่ใสแจ๋วขนาดนี้มาก่อน อึนซูยังช่วยแต่งหน้าทาปากให้พระมเหสี ทำให้พระองค์อารมณ์ดีและมีความมั่นใจมากขึ้น


ในที่สุดพระเจ้าคงมินและพระมเหสีก็เดินทางไปถึงเมืองแคคยอง แต่พอไปถึงตำหนักซอนอินชอนกลับพบเพียงความว่างเปล่าเพราะไม่มีขุนนางในราชสำนักมารอรับเสด็จแม้แต่คนเดียว คงมีเพียงทหารยามยืนรักษาการตามปกติเท่านั้น ทุกคนต่างพากันยืนอึ้งเมื่อเห็นว่าไม่มีใครมาคอยถวายการต้อนรับพระเจ้าคงมิน มีเพียงโจ อิลชินที่โวยวายเสียงดังลั่นด้วยความผิดหวังเมื่อเห็นพระเจ้าคงมินถูกหยามพระเกียรติ (และตนก็ไม่ได้เดินเข้าวังเคียงข้างพระราชาอย่างสง่าผ่าเผย) ส่วนสาเหตุที่ไม่มีใครมาถวายการต้อนรับ เป็นเพราะเหล่าขุนนางในราชสำนักต่างพากันไปร่วมงานเลี้ยงฉลอง ในโอกาสที่บุตรชายของคีวอนมีอายุครบ 1 ปี 

ระหว่างที่พระเจ้าคงมินและพระมเหสีเสด็จไปที่ท้องพระโรง โจ อิลชินพยายามยุยงให้พระองค์ลงโทษเหล่าขุนนางที่พากันเมินเฉย ทั้งๆ ที่พระองค์เพิ่งเสด็จกลับจากต้าหยวนเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีและมาที่นี่เพื่อครองบัลลังก์ พระเจ้าคงมินเดินเข้าไปในท้องพระโรงที่ว่างเปล่าด้วยความเจ็บปวดใจ (ในนั้นมีทหารประจำการอยู่ 1 คน) พระองค์มองไปยังโต๊ะของเหล่าขุนนางที่ว่างเปล่าก่อนตรงไปยังบัลลังก์ที่อยู่ตรงหน้า  เมื่อหันกลับมาก็พบว่าในราชสำนักมีเพียง พระมเหสี โจ อิลชิน หมอหลวง และเหล่าทหารองครักษ์ที่อยู่เคียงข้างพระองค์


ไม่นานชเวซังกุงและขันทีประจำพระองค์ก็เข้ามารับเสด็จ ทำให้พระเจ้าคงมินมีสีหน้าที่ดีขึ้น อย่างน้อยที่นี่ก็ยังมีคนอื่นที่ไม่ได้ร่วมขบวนเสด็จ มาแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ ชเวซังกุงถามว่าพระองค์จำเธอได้ไหม เธอคือซังกุงพี่เลี้ยงที่พระองค์ทรงจับมือไว้จนนาทีสุดท้ายขณะถูกบังคับให้เดินทางไปเป็นตัวประกันที่ต้าหยวน เธอแนะนำให้พระเจ้าคงมินเสด็จกลับไปพักผ่อนที่พระตำหนักส่วนพระองค์ จากนั้นก็เข้าไปแนะนำตัวกับพระมเหสีโดยบอกว่าเธอและเหล่านางในจะเป็นผู้ดูแลรับใช้พระองค์เอง

ชเวซังกุงเดินมามองหน้าชเวยอง เมื่อเห็นสีหน้าเขาดูอิดโรยและซีดเซียวเธอจึงบ่นว่าเป็นถึงอูดัลจิทำไมถึงไม่ดูแลตัวเองให้ดี อึนซูหันไปจ้องหน้าชเวยองแต่ชเวยองเบือนหน้าหนี เธอจึงคว้าตัวเขาไว้แล้วถามว่ามีไข้หรือเปล่า เพราะนี่คือสัญญาณเบื้องต้นที่บ่งบอกว่าเขามีภาวะโลหิตเป็นพิษ (มีเชื้อโรคเข้าไปอยู่ในกระแสเลือด ซึ่งเป็นภาวะวิกฤตที่มีอันตรายถึงชีวิต โดยจะเกิดการอักเสบอย่างเฉียบพลันทั่วร่างกาย และมักมีไข้) อึนซูจะเอื้อมมือไปจับหน้าผากชเวยองเพื่อตรวจเช็คอุณหภูมิแต่กลับถูกชเวยองปัดแขนออก ชเวยองฝากหมอหลวงชางบินให้ช่วยดูแลอึนซูและขอตัวไปพักผ่อน หมองหลวงชางบินจะเอื้อมมือไปจับแขนขเวยองแต่ก็ถูกปัดออกเช่นกัน ครั้นพอออกจากห้องดังกล่าวมาตามลำพัง ชเวยองซึ่งพยายามทำตัวเป็นปกติต่อหน้าทุกคนก็เริ่มเดินเซและแสดงอาการเจ็บป่วยออกมา


ระหว่างที่หมอหลวงชางบินพาอึนซูไปยังสำนักหมอหลวง อึนซูก็ถือโอกาสอธิบายว่า ภาวะโลหิตเป็นพิษคือการติดเชื้อในกระแสเลือดเนื่องจากมีเชื้อแบคทีเรียเข้าไปอยู่ในร่างกาย เมื่อเชื้อแบคทีเรียเข้าไปอยู่ในกระแสเลือดมันก็จะแพร่พันธฺ์และก่อให้เกิดอาการโลหิตเป็นพิษ และเนื่องจากเลือดไหลเวียนไปทั่วร่างกายจึงอาจส่งผลให้อวัยวะต่างๆ พลอยติดเชื้อและทำงานผิดปกติไปด้วย อึนซูอธิบายความหมายของภาวะโลหิตเป็นพิษพลางมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น เพราะที่นี่เป็นโรงยาที่มีขนาดใหญ่และมีเจ้าหน้าที่หลายคน หมอหลวงชางบินจึงแนะนำว่าที่นี่คือ "ชอนอีชิน" (สำนักหมอหลวงในยุคปลายของโครยอ) 

หมอหลวงชางบินถามอึนซูว่า ชเวยองติดเชื้อในกระแสเลือดงั้นหรือ อึนซูตอบว่าเธอเองก็ไม่แน่ใจเพราะเขาไม่ยอมให้ตรวจดูอาการ  และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอเจอคนไข้สุดดื้อรั้นที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับหมอ (ในเวลาเดียวกันนั้น ชเวยองก็กำลังพยายามใช้พลังภายในรักษาตนเอง) เธอกล่าวว่า อาการเบื้องต้นของผู้ที่มีภาวะโลหิตเป็นพิษ คือ หายใจถี่ มีไข้ หรือไม่ก็อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง  คนไข้บางคนอาจมีอาการทางสมองทำให้รู้สึกสับสน หรือกระสับกระส่าย ขณะที่บางคนระบบประสาทอาจทำงานผิดปกติ หากได้รับการรักษาในระยะเริ่มแรกผู้ป่วยก็อาจปลอดภัย แต่ถ้าปล่อยให้ลุกลามจนอวัยวะอื่นๆ ติดเชื้อและทำงานผิดปกติก็จะเป็นอันตรายมาก แต่ปัญหาก็คือที่นี่ไม่มียาปฏิชีวนะไม่ว่าจะเป็น เพนิซิลลิน แอมพิซิลลิน เซฟาโลทิน  หรือเตตร้าซัยคลิน 


หมอหลวงชางบินพยายามคิดในแง่ดีจึงถามอึนซูว่า ในตอนนี้ยังสรุปไม่ได้ว่าชเวยองติดเชื้อในกระแสเลือดใช่ไหม อึนซูตอบว่าวิธีที่แม่นยำที่สุดคือการเจาะเลือดไปตรวจ เพื่อวัดปริมาณเม็ดเลือดขาวว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นหรือลดลงซึ่งไม่สามารถทำที่นี่ได้เช่นกัน และถ้าชเวยองเกิดอาการช็อกเหตุพิษติดเชื้อ (หรือเซ็ปติก ช็อก) โอกาสเสียชีวิตก็อาจสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเห็นว่าหมอหลวงชางบินไม่รู้จักคำว่า "เปอร์เซ็นต์" อึนซูจึงพูดใหม่ว่าคนไข้ 7 ใน 10 คนอาจตายจากภาวะช็อก แต่นั่นเป็นอัตราเสี่ยงของผู้ป่วยที่ได้รับยาและผ่านผ่าตัดแล้ว (ชเวยองไม่มียาปฏิชีวนะมาช่วยรักษาจึงมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมากยิ่งขึ้นหากเขาติดเชื้อในกระแสเลือดจริงๆ) ทำให้หมอหลวงชางบินรู้สึกหนักใจ

ชเวซังกุงพาพระมเหสีเข้ามาพักผ่อนในตำหนักแล้วบอกว่าจะไปเตรียมน้ำให้พระองค์อาบ จากนั้นก็ถามว่าระหว่างรอพระองค์จะรับของว่างไหม เมื่อเห็นพระมเหสีได้แต่นิ่งเงียบ ชเวซังกุงจึงนึกว่าพระองค์ไม่เข้าใจภาษาโครยอเลยร้องเรียกชางฮีให้มาช่วยเป็นล่าม พลางบ่นเรื่องที่มีคนปล่อยข่าวว่าพระมเหสีถูกลอบปลงพระชนม์ ชเวซังกุงมองหน้าพระมเหสีแล้วกล่าวว่า แม้พระองค์จะมีสีหน้าบึ้งตึงแต่ก็ยังมีศิริโฉมที่งดงามมาก (พระมเหสีแอบทำหน้าพอใจ) เธอสั่งให้ชางฮีถามพระมเหสีเป็นภาษาจีนว่า พระองค์จะอาบน้ำหรือจะทานของว่างก่อน ชางฮีกำลังจะเอ่ยปากถาม แต่พระมเหสีชิงตอบเป็นภาษาโครยอว่า "ข้าจะอาบน้ำก่อน" ทำให้ชางฮีและชเวซังกุงต่างตกตะลึงตาค้างไปตามๆ กัน


พระมเหสีหวนถึงวันที่พระองค์ได้พบพระเจ้าคงมินเป็นครั้งแรก วันนั้นพระเจ้าคงมินเข้ามาหลบซ่อนตัวในตำหนักของพระองค์ (ที่ต้าหยวน) พระองค์จึงถามเป็นภาษาโครยอว่า "ท่านคือองค์ชายคังนึงแห่งโครยอใช่ไหม" เมื่อถูกตรัสถามเป็นภาษาโครยอ พระเจ้าคงมินจึงเข้ามาคุยด้วยโดยนึกว่าพระมเหสีเป็นเชื้อพระวงศ์โครยอที่ถูกส่งมาเป็นตัวประกันของราชวงศ์หยวน  แถมยังชวนให้หนีกลับโครยอด้วยกัน 

ระหว่างที่กำลังเดินไปอาบน้ำ พระมเหสียังคงนึกถึงเรื่องราวในอดีต ในตอนนั้นพระองค์ถามพระเจ้าคงมินว่า "ท่านกำลังหลบหน้าใครอยู่หรือ" พระเจ้าคงมินตอบว่า "องค์หญิงที่อยู่ในตำหนักนี้" จากนั้นก็เล่าด้วยความคับแค้นใจว่าพระองค์ถูกบังคับให้อภิเษกกับองค์หญิงหยวน "ข้าถูกจับมาเป็นตัวประกันที่นี่ตอนอายุได้ 12 ปี  และถูกหยามเกียรติให้คอยรับใช้องค์ชายรัชทายาทแห่งราชวงศ์หยวน   คราวนี้พวกหยวนยังต้องการให้ข้าเป็นราชบุตรเขยอีก"

พระมเหสี (ซึ่งยังเป็นองค์หญิงหยวนในตอนนั้น) ถามว่า พระองค์ทรงรังเกียจการแต่งงานกับองค์หญิงหยวนมากเลยหรือ  พระเจ้าคงมิน (หรือองค์ชายคังนึงในตอนนั้น) ตอบอย่างโกรธแค้นว่า ที่ผ่านมาพวกหยวนโค่นบัลลังก์พระราชาโครยอแล้วแต่งตั้งองค์ใหม่ตามใจชอบ  พระเชษฐาของพระองค์ก็ถูกถอดจากบัลลังก์และโดนเนรเทศอย่างน่าอดสู  คราวนี้ถึงตาพระองค์ที่ต้องมาเป็นราชบุตรเขยให้พวกหยวนคอยเชิดและต้องทนอยู่อย่างอัปยศ

ในตอนนั้นพระมเหสีให้ข้อคิดแก่พระเจ้าคงมินว่า หากพระองค์อภิเษกกับองค์หญิงหยวน องค์หญิงหยวนน่าจะช่วยพระองค์ได้  เพราะถ้ายังอยู่ในฐานะองค์ชายคังนึงพระองค์จะเป็นเพียงพระญาติของผู้กุมอำนาจในโครยอเท่านั้น แต่ถ้าพระองค์อภิเษกกับองค์หญิงหยวน พระองค์ก็จะมีโอกาสขึ้นครองบัลลังก์ พระเจ้าคงมินกล่าวอย่างชิงชังว่าพระองค์ไม่มีทางยอมรับองค์หญิงหยวน พระองค์ไม่เคยพบองค์หญิงคนดังกล่าวมาก่อน ต่อให้เคยเจอพระองค์ก็ไม่คิดที่จะจดจำ


พระเจ้าคงมินรู้ว่าการอภิเษกกับองค์หญิงหยวนเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังเอ่ยปากขอหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าให้มาเป็นชายาคนแรกของพระองค์ ในฐานะที่เป็นหญิงสาวจากโครยอ  โดยบอกว่า "การได้พูดคุยเป็นภาษาโครยอกับเจ้า การมีเจ้าอยู่เคียงข้างและคอยปลอบโยนในยามที่ข้าหวาดกลัวหรือตัวสั่นด้วยความตกใจเหมือนอย่างในตอนนี้ ยิ่งทำให้ข้าไม่มีวันมอบใจให้องค์หญิงหยวน" พระมเหสีฟังแล้วได้แต่น้ำตาไหลด้วยความเสียพระทัย

พระมเหสีนึกถึงช่วงเวลาดังกล่าวขณะกำลังเดินไปอาบน้ำ และบังเอิญเดินสวนกับพระเจ้าคงมิน พระองค์เห็นพระเจ้าคงมินเดินผ่านไปโดยไม่หันหน้ามามอง  เลยเดินไปข้างหน้าโดยไม่สนใจพระเจ้าคงมินเช่นกัน ครั้นพอพระมเหสีเดินผ่านไปแล้วพระเจ้าคงมินก็หยุดเดินแล้วหันกลับไปมองพระมเหสีด้วยความเป็นห่วง 

หมอหลวงชางบินพาอึนซูมาที่เรือนสมุนไพรแล้วบอกให้เธอรอสักครู่ เพราะเขาจะไปเก็บรวบรวมสมุนไพรมาทำยา อึนซูรู้สึกหิวจึงอยากทานอาหารฆ่าเวลาและถามว่าแถวนี้มีโรงอาหารไหม หมอหลวงชางบินเห็นอึนซูไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจจึงถามว่า ผู้รักษาจากสวรรค์เป็นอย่างนี้เหมือนกันทุกคนเลยหรือ  เมื่อเห็นอึนซูยืนงง เขาจึงถามว่า "ท่านเห็นความเป็นความตายของมนุษย์เป็นเรื่องเล็กน้อยใช่ไหม" จากนั้นก็บอกว่า "ผู้รักษาบนโลกมนุษย์อย่างพวกข้าจะไม่ทำเช่นนั้น เราจะไม่พูดว่าเพราะไม่มียาเลยทำอะไรไม่ได้ เราไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนั้น ถ้ายาตัวนี้ใช้ไม่ได้ผล เราก็จะลองตัวใหม่ และถ้ายังไม่ได้ผลอีกเราก็จะลองใช้วิธีฝังเข็มดู พวกเราจะทำทุกอย่างที่ทำได้ด้วยพลังของเรา ท่านดูถูกความพยายามของพวกเราอย่างนั้นหรือ" พูดจบเขาก็บอกอึนซูว่าจะเตรียมอาหารกลางวันให้และเดินจากไป

อึนซูรู้สึกได้ว่ามีเงาของใครบางคนวิ่งผ่านหน้าเธอไป เธอจึงหยิบจอบขึ้นมาใช้ป้องกันตัว  ระหว่างที่กำลังมองหาว่ามีใครอยู่ภายในเรือนสมุนไพร เธอก็เดินไปชนผนังก้อนหินจนทำให้เข่าแตกเป็นแผล


ชเวยองมาที่สำนักหมอหลวงแล้วถามหาอึนซู หญิงใบ้จึงทำภาษามือฟ้องด้วยใบหน้าที่เหลืออด ชเวยองเห็นหญิงคนดังกล่าวแสดงท่าทีเหมือนไม่พอใจจึงยิ้มและเดาว่าอึนซูคงอยู่ข้างใน ขณะที่ชเวยองกำลังจะเข้าไปหาอึนซูในสำนักหมอหลวง เขาก็ได้ยินอึนซูร้องโอดโอยอยู่ภายในห้องๆ หนึ่งเลยแอบดูจากทางด้านนอก แทนที่อึนซูจะบ่นเรื่องบาดแผลที่หัวเข่า เธอกลับเป็นห่วงกางเกงที่เปื้อนเลือด เพราะเป็นคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุด อีกทั้งยังมีสีขาว เธอไม่รู้ว่าถ้าซักแห้งจะเอาอยู่ไหม และบอกตัวเองว่าหากซักไม่ออกจริงๆ เธอจะตัดขากางเกงให้เป็นขาสั้นเสียเลย

เมื่อเห็นอึนซูยกขาขึ้นมาวางบนเก้าอี้แล้วถลกขากางเกงขึ้นมาเหนือเข่า (ซึ่งถือเป็นเรื่องโป๊ในยุคโครยอ) ชเวยองก็รีบเบือนหน้าหนีด้วยความตกใจ  อึนซูพยายามเรียกหาว่ามีใครอยู่ทางด้านนอกไหม เธอถูกนำตัวมาไว้ในห้องนี้โดยไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และอยากซักกางเกงแต่ไม่รู้ว่าต้องไปที่ใด จากนั้นก็บ่นว่าทำไมไม่มีใครนำอาหารมาให้เธอเสียที ชเวยองแอบดูอึนซูบ่นโน่นนี่อยู่ทางด้านนอกและเผลอยิ้มออกมา


เมื่อเห็นสาวใบ้นำขนมต็อก (เค้กข้าว) มาให้ อึนซูก็ร้องขอน้ำเพราะถ้าทานเปล่าๆ โดยไม่ได้ดื่มน้ำตามอาจติดคอจนทำให้สำลักได้ เมื่อเห็นหญิงสาวทำหน้าไม่พอใจเธอจึงบอกว่า  ไม่เป็นไร เธอจะไปหาน้ำมาดื่มเอง  หญิงสาวจึงชี้บอกทางไปหาน้ำดื่ม เมื่อหญิงใบ้ออกมาจากห้อง ชเวยองก็ฝากฝังอึนซูไว้กับเธอ โดยบอกว่าแม้เธอจะไม่ชอบหน้าอึนซูก็ขอให้อดทน  เพราะอึนซูจะอยู่ที่นี่ไม่นาน เขายังขอร้องเธอให้ช่วยดูแลอึนซูระหว่างที่อยู่ที่นี่ และย้ำว่า "ปกป้องนางให้ดี เพราะข้าเคยสัญญากับนางเอาไว้ว่าจะปกป้องนาง" แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนักแต่หญิงใบ้คนดังกล่าวก็พยักหน้ารับปากแต่โดยดี

ชเวยองแกะผ้าพันแผลออกและพบว่ามีเลือดไหล เมื่อแทมานเข้ามาบอกว่าพระเจ้าคงมินมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า เขาก็รีบลุกขึ้นและทำเหมือนไม่มีอะไร ทั้งยังแกล้งตบหัวแทมานเล่นจนหน้าคว่ำ ทำให้แทมานหันไปเห็นกองผ้าชุ่มเลือดบนที่นอนของชเวยอง


ขันทีประจำพระองค์อ่านรายชื่อขุนนางในราชสำนักที่โดนสังหารหมู่ด้วยการรวมควันพิษให้พระเจ้าคงมินฟัง โจ อิลชินตั้งข้อสังเกตว่าทุกคนล้วนเป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อราชสำนักและอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพวกหยวน  ดังนั้น คนที่ฆ่าพวกเขาจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพวกที่ไม่มาถวายความเคารพต่อพระองค์ในวันนี้ เขาหันไปสั่งชเวยองให้ระดมคนไปจับเหล่าขุนนางทรราช โดยบอกว่าหากใครขัดขืนให้สังหารทันที  และอย่าปล่อยให้หนีไปได้แม้แต่คนเดียว ชเวยองฟังแล้วได้แต่ยืนนิ่ง โจ อิลชินจึงถามว่าเขาเป็นพวกเดียวกับขุนนางเหล่านั้นหรือ 

พระเจ้าคงมินเดินเข้ามาถามว่า ทำเช่นนั้นได้ไหม ชเวยองปฏิเสธว่าไม่ได้  เพราะคีชอลมีทหารรักษาการอยู่ 1 พันคน และมีกองกำลังที่แข็งแกร่งอีกราว 2 พันคน ทุกคนพร้อมรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา  และเขาก็ได้ยินมาว่า ในตอนนี้ผู้บังคับบัญชากองกำลังดังกล่าวกำลังสังสรรค์อยู่ที่บ้านของใต้เท้าคีชอล ที่สำคัญเมื่อสักครู่นี้ โจ อิลชินก็พูดเองว่าทุกคนที่ไปร่วมงานเลี้ยงล้วนเป็นคนของคีชอล โจ อิลชินแย้งว่าถ้ากำลังคนไม่พอก็แค่เรียกกำลังเสริมมาช่วย ชเวยองจึงบอกว่า หากเป็นเช่นนั้นกองทัพส่วนตัวจำนวนนับพันของคีชอลก็จะทำการปิดล้อมวังหลวงก่อนที่ทหารกองหนุนจะมาถึงด้วยซ้ำ และเมื่อถึงเวลานั้น สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดก็คือ "หัวของโจ อิลชิน" ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ ชเวยองหันไปถามโจ อิลชินว่า "ท่านยังอยากให้ข้าลองเสี่ยงดูอีกไหม"


พระเจ้าคงมินถามชเวยองว่า "หลังได้เห็นเหล่าขุนนางที่จงรักภักดีต่อข้าถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตา เจ้าคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่จะยังมีคนจงรักภักดีต่อข้า" ชเวยองตอบว่า "แม้จะมีความเป็นไปได้ แต่เราไม่มีทางรู้ว่าการแสดงออกเช่นนั้นเป็นเรื่องจริง (จริงใจ) หรือไม่" โจ อิลชินฟังแล้วรู้สึกร้อนตัว จึงทูลพระเจ้าคงมินว่า พระองค์จะทรงปรึกษาเรื่องราชกิจกับคนที่รู้แค่วิธีใช้ดาบได้อย่างไร เขาขอให้พระเจ้าคงมินเชื่อตน เพราะตนคือข้ารับใช้ที่สาบานว่าจะปกป้องพระองค์ด้วยชีวิต ทั้งยังเป็นคนที่เดินทางจากหยวนมาโครยอพร้อมพระองค์ พระเจ้าคงมินมองหน้าโจ อิลชิน แล้วตรัสว่า "ภายใต้สรวงสวรรค์ คนเดียวที่ข้าสามารถเชื่อใจได้...." โจ อิลชินยิ้มแก้มปริแล้วรีบหันหน้ามาคำนับเพราะนึกว่าพระเจ้าคงมินหมายถึงตน แต่แล้วพระเจ้าคงมินกลับมองไปที่ชเวยองแล้วตรัสว่า "คือเจ้า...หัวหน้าองครักษ์ เจ้าได้พิสูจน์ให้ข้าเห็นด้วยชีวิตของเจ้าเอง เพื่อทำตามคำสั่งของข้าเจ้าถึงกับยอมสละชีวิต นับแต่นี้เป็นต้นไป ชเวยอง ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าดุจสหายที่ข้าสามารถไว้ใจ แล้วเจ้าจะปฏิบัติต่อข้าในแบบเดียวกันได้ไหม"

ชเวยองทำท่าหนักใจ เขาตัดสินใจนำเอกสารไปถวายพระเจ้าคงมิน โดยบอกว่าอดีตพระราชาที่ถูกโค่นบัลลังก์ องค์ชายชุงจอง (หลานของพระเจ้าคงมิน) เป็นผู้มอบเอกสารนี้ให้ตน เขายังบอกด้วยว่า การเดินทางไปรับเสด็จพระเจ้าคงมินที่ต้าหยวนแล้วพาเสด็จกลับมายังโครยอเป็นภารกิจสุดท้ายของตน หลังจากพระองค์เสด็จมาถึงเมืองแคคยองอย่างปลอดภัย ตนจะสามารถลาออกจากการเป็นทหารองครักษ์และออกจากวังเพื่อไปใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชน พระเจ้าคงมินถามชเวยองด้วยความผิดหวังและเสียใจว่า เขาจะทิ้งพระองค์ไว้แล้วจากไปตามลำพังในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้หรือ


ระหว่างพาลูกน้องมาค้นหาหลักฐาน ชเวยองนึกถึงรับสั่งของพระเจ้าคงมินที่ตรัสว่า  หากเขาทำงานที่พระองค์ทรงมอบหมายสำเร็จ พระองค์จึงจะพิจารณาเรื่องการลาออกของเขา ชเวยองพยายามแย้งว่าตนได้รับอนุญาตจากอดีตพระราชาแล้ว พระเจ้าคงมินจึงย้อนถามด้วยความโกรธว่า "ระหว่างอดีตพระราชากับพระราชาองค์ปัจจุบัน เจ้าจะเชื่อฟังคำสั่งใคร" หลังจากนั้น พระองค์ก็ตัดบทด้วยการสั่งให้ชเวยองออกไปค้นหาหลักฐานเกี่ยวกับเหตุลอบวางยาพิษเหล่าขุนนางว่า ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังและทำไปเพื่ออะไร เมื่อสืบหาความจริงได้แล้วให้มาบอกพระองค์ว่า ใครคือคนที่พระองค์จะต้องต่อกรด้วย และทำไมพวกเราถึงต้องลุกขึ้นสู้ พระองค์ย้ำกับชเวยองว่า "นี่คือภารกิจที่เจ้าต้องทำ ข้าในฐานะพระราชาองค์ปัจจุบัน ขอสั่งให้เจ้าไปทำหน้าที่ๆ ได้รับมอบหมายให้ลุล่วง"

ชเวยอง นั่งหลับตาพลางนึกถึงพระบัญชาของพระเจ้าคงมิน ชุงซอกเห็นชเวยองนั่งหลับตานิ่งไม่พูดไม่จาจึงเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงว่า ไม่เป็นอะไรใช่ไหม  ชเวยองตอบว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ชุงซอกอยากให้ชเวยองบอกว่าเขาพาทุกคนมาหาอะไร ทุกคนจะได้ตามหาให้ เขานั่งเคียงข้างชเวยองแล้วโวยวายกึ่งขอร้องให้ชเวยองเลิกดื้อรั้นและกลับไปนอนพัก เพื่อที่หมอหลวงชางบินกับผู้ที่มาจากสวรรค์จะได้ตรวจดูอาการบาดเจ็บของเขา ชเวยองบอกชุงซอกด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า "พอได้แล้ว" ชุงซอกได้ยินไม่ถนัดเลยถามว่า "อะไรนะ" ชเวยองจึงบอกว่า "หยุดพูดเสียงดังเสียที หัวข้าจะระเบิดอยู่แล้ว"

แทมานชูกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาแล้วตะโกนบอกว่า "เจอแล้วขอรับ" จากนั้นก็นำกระดาษเปื้อนเลือดมาให้ชุงซอกดู ชุงซอกส่งต่อให้ชเวยองแล้วบอกว่าเจอหลักฐานแล้ว เขาเชื่อว่าหนึ่งในขุนนางที่ถูกวางยาพิษคงแอบซ่อนจดหมายฉบับนี้เอาไว้ แล้วคนๆ นั้นก็น่าจะกระอักเลือดตายด้วยเพราะที่่จดหมายมีคราบเลือดกระเซ็นติดอยู่ แต่ชเวยองไม่คิดเช่นนั้น เพราะจดหมายที่พบไม่ได้ให้ความกระจ่างใดๆ เขาจึงตัดสินใจไปที่งานเลี้ยง

ยางซาเข้าไปรายงานคีชอลว่า ทหารองค์รักษ์ของพระเจ้าคงมินมาที่นี่ ทันทีที่มาถึงชุงซอกก็ประกาศให้ทุกคนรับราชโองการ แต่กลับไม่มีใครสนใจ ชุงซอกเลยเดินเข้าไปกลางห้องและตะโกนเรียก "ใต้เท้าต็อกซอง คีชอล" ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ จากนั้นชุงซอกก็เรียกให้คีชอลมารับราชโองการ คีชอลเลยถือโอกาสประกาศศักดาด้วยการพูดกับเหล่าขุนนางว่า ขนาดพระราชาที่เพิ่งเดินทางมาจากหยวนและยังไม่ทันได้พักผ่อนพระวรกาย ก็ยังรีบส่งสาสน์มาแสดงความยินดีกับตระกูลคี ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างหัวเราะและพากันปรบมือ (ซึ่งถือเป็นเรื่องไม่สุภาพและเป็นการลบหลู่พระราชา) คีชอลเดินเข้าไปหาชุงซอกและถามว่าพระองค์ส่งอะไรมาเป็นของขวัญ ชุงซอกจึงถอยหลังเพื่อให้ชเวยองเดินเข้ามาแทน


ชเวยองมีอาการตาพร่าหน้ามืดและมองเห็นคีชอลไม่ชัด แต่เขาก็พยายามเก็บอาการเอาไว้ เขาบอกคีชอลว่า "ใต้เท้าต็อกซอง อาจเป็นเพราะที่นี่เสียงดังเลยทำให้ท่านได้ยินไม่ถนัดนัก สิ่งที่ท่านได้รับคือราชโองการ ฝ่าบาทที่เพิ่งเสด็จกลับแผ่นดินเกิดเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ทรงมีพระบรมราชโองการเป็นครั้งแรก การประกาศพระประสงค์ของพระองค์ก็เปรียบเสมือนพระองค์ทรงเสด็จมาอยู่ตรงหน้า  ท่านจึงต้องคุกเข่า หมอบราบลง และก้มศีรษะลงบนพื้น แล้วรับราชโองการด้วยความเคารพในฐานะที่เป็นข้ารับใช้พระราชา"

เมื่อเห็นว่าคีชอลยังคงยืนนิ่ง ชเวยองจึงบอกให้ชุงซอกนำราชโองการไปมอบให้คีชอล คีชอลจงใจคว้าราชโองการออกจากมือชุงซอกอย่างแรงเพื่อแสดงออกถึงความไม่ยำเกรงพระเจ้าคงมิน ชเวยองเดินเข้าไปหาคีชอลอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วกระซิบบอกคีชอลว่า  เขาอาจอยู่ระหว่างการเฉลิมฉลองเลยไม่มีอารมณ์รับราชโองการ ดังนั้น จึงควรสถานที่ๆ เป็นส่วนตัวมากกว่านี้เพื่อที่เขาจะได้ถ่ายทอดพระประสงค์ของพระเจ้าคงมินให้กับคีชอล


ชุงซอกเดินเข้ามาในหน่วยทหารองครักษ์และถามชเวยยองซึ่งกำลังนอนพักว่า ไปได้ความคิดแผลงๆ แบบนี้มาจากไหน ในเมื่อพระเจ้าคงมินยังไม่เคยมีราชโองการถึงคีชอลเลย ชเวยองโยนเอกสารให้ชุงซอกดูแล้วบอกว่าเป็นรายชื่อของขุนนางที่ถูกฆ่าด้วยการวางยาพิษในตำหนักซอนอินชอน  ชุงซอกถามชเวยองว่า เขามอบรายชื่อดังกล่าวให้คีชอลหรือ ชเวยองปฏิเสธโดยบอกว่ารายชื่อที่คีชอลได้รับไม่เหมือนอันนี้ เพราะมันคือเหยื่อล่อ 

ชเวยองนึกถึงตอนที่เขาเข้าไปคุยกับคีชอลตามลำพังในห้อง  เขายื่นจดหมายเปื้อนเลือดให้คีชอลดู แล้วออกตัวว่า ตนไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไหร่เลยไม่เข้าใจว่าสิ่งที่อยู่ในจดหมายหมายความว่าอย่างไร จึงมาขอให้คีชอลช่วยใช้สติปัญญาอันชาญฉลาดชี้แนะ และบอกว่าเนื้อหาในราชโองการมีดังนี้ "ใต้เท้าต็อกซอง คีชอล จะต้องช่วยหัวหน้าหน่วยองครักษ์ชเวยอง สืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตการณ์นี้" ชุกซอกยังคงตื่นเต้นและอยากรู้ว่าคีชอลจะติดกับหรือไม่ จึงพยายามถามชเวยองว่าแผนการนี้จะได้ผลจริงหรือ ขเวยองได้แต่ตอบว่า "ไม่รู้"... เขาเริ่มรู้สึกรำคาญที่โดนถามเซ้าซี้ขณะกำลังนอนพัก  ชุงซอกอยากรู้จนลืมตัวเลยยังคงถามไม่หยุด  ชเวยองจึงลุกขึ้นปาหนังสือ (ที่ใช้แทนหมอน) ใส่ชุงซอกแล้วไล่ให้ทุกคนออกไปข้างนอก


อึนซูบุกมาหาชเวยองถึงที่ในสภาพที่สวมกางเกงขาสั้น (เธอตัดขากางเกงออก เนื่องจากเปื้อนเลือด ซึ่งการเผยเรียวขาในยุคนั้นถือนับว่าโป๊มาก) เเทมานลงบันไดมาเจอเข้าพอดีเลยตกใจจนหงายหลัง ขณะที่อึนซูถามหาชเวยอง เขาก็เหลือบมองเรียวขาเธอแล้วกลืนน้ำลาย จากนั้นพยายามข่มใจด้วยการเอามือจับติ่งหู (รู้สึกตัวร้อนวูบวาบ) แต่สายตายังคงจับจ้องไปที่ขาของอึนซูประหนึ่งว่าไม่เคยเห็นขาผู้หญิงมาก่อน เมื่ออึนซูถามอีกครั้งว่าชเวยองอยู่ข้างในใช่ไหม เขาก็รู้สึกตัว จึงรีบพาอึนซูเข้าไปด้านในท่ามกลาง ความตกตะลึงของเหล่าองครักษ์

สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่เรียวขาของอึนซู (รวมทั้งชเวยอง) อึนซูซึ่งมาจากยุคปัจจุบันไม่เห็นว่าการนุ่งสั้นเป็นเรื่องแปลกประหลาด เธอจึงไม่ใส่ใจและไม่ทันสังเกตปฏิกิริยาของบรรดาชายหนุ่มที่อยู่รอบข้าง เมื่อเห็นชเวยองเธอก็เรียกให้เขาลงมาทางด้านล่าง จากนั้นก็รื้อของในกระเป๋าพลางพูดว่า สิ่งที่ทำให้เธอปลื้มมากที่สุดตอนที่เป็นแพทย์ฝึกหัดก็คือ การที่คนไข้ทุกคนเดินมาให้เธอรักษาด้วยตัวเอง  โดยที่เธอไม่ได้เป็นฝ่ายออกไปหาคนไข้ เมื่อเห็นชเวยองยังคงนั่งอึ้งเธอจึงสั่งให้ชเวยองลงมานั่งทางด้านล่าง แต่ชเวยองยังคงนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา เธอเลยเดินไปหาเขาแล้วบอกให้ถอดเสื้อผ้าออก (โทลแบเอามือทาบอกเพราะคิดเป็นอย่างอื่น) 

อึนซูกล่าวว่า แม้เธอจะไม่สามารถฟัง (เสียงอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย เช่น หัวใจและปอด) โดยไม่มีสเตโทสโคป (หูฟัง) แต่เธอก็สามารถตรวจดูอาการให้เขาได้ และเธอก็อยากดูแผลผ่าตัดของเขาด้วย เธอถามชเวยองว่า มีไข้รึเปล่า แต่ก็ไร้การตอบสนองใดๆ จากชเวยอง เธอจึงเอื้อมมือไปจับมือชเวยองแล้วบอกว่าขอมือหน่อย แต่ชเวยองกลับปัดมือเธอออก อึนซูคิดว่าชเวยองหวงตัวจึงบอกว่า ไม่ต้องห่วง เธอไม่ได้อยากจับมือเขา แค่จะจับชีพจรเท่านั้น


ชเวยองถามลูกน้องเสียงเข้มว่าวันนี้เวรใคร ทำไมถึงปล่อยให้คนอื่นเข้าออกได้ตามใจชอบ เขาสั่งให้ลูกน้องพาอึนซูกลับไปยังสำนักหมอหลวง จากนั้นก็เดินหนี อึนซูโมโหเลยเขวี้ยงของใส่ชเวยองแล้วร้องไห้ถามว่าเธอทำอะไรผิด เธออยู่ของเธอดีๆ ก่อนถูกเขาลักพาตัวมาที่นี่ และเธอก็เพิ่งซื้อออฟฟิศเทล* เนื้อที่เพียง 15 ตารางเมตรเมื่อปีที่แล้ว แม้ยังมีภาระที่ต้องผ่อนจ่ายแต่นั่นก็เป็นบ้านของเธอ เธออยากกลับบ้านตอนนี้ จะได้อาบน้ำอุ่นๆ  ใส่ชุดนอน แล้วล้มตัวนอนหลับบนเตียงของเธอ แต่เธออย่างนั้นทำไม่ได้แล้ว เพราะถูกเขาลักพาตัวมาที่นี่ อึนซูยังต่อว่าชเวยองที่พาเธอมาแล้วทิ้งขว้าง แถมยังไม่ยอมให้เธอทานอาหารที่ควรทาน เธอเคยคิดว่านี่คือความฝัน แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังไม่ตื่นเสียที นั่นหมายความว่าเธอได้แทงใครบางคนจริงๆ เธอโวยชเวยองทั้งน้ำตาว่า "ชั้นอยากรักษานายจริงๆ แต่นายกลับไม่ยอมให้ชั้นแตะต้องตัวเลย นายอยากให้ชั้นทำอะไรกันแน่ ใช่ ชั้นแทงนายเอง ชั้นขอโทษ ขอโทษจริงๆ นะ ดังนั้น ได้โปรดรับการรักษาจากชั้นด้วย"

* ออฟฟิศเทล มาจากคำว่าออฟฟิศ + โฮเต็ล เป็นอาคารเอนกประสงค์ในเกาหลีใต้ ที่ภายในมีทั้งที่พักอาศัย ออฟฟิศ และร้านค้า เพื่อที่ผู้ซื้อจะได้กิน อยู่ และทำงานภายในที่เดียว และที่อึนซูซื้อก็คือ ห้องพักแบบสตูดิโอ 

ชเวยองส่งสายตาบอกให้ลูกน้องออกไปก่อน อึนซูจะตามออกไปด้วยแต่ถูกชเวยองขวางไว้ เขาพูดกับเธอว่า "ข้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือ ท่านต้องจำเอาไว้ให้ดี ตอนที่ท่านแทงข้าหน้าประตูสวรรค์ ข้าขอให้ท่านทิ้งข้าไว้แล้วไปซะ...ทำไมท่านถึงรักษาข้า เป็นเพราะท่านข้าถึงได้....." ชเวยองพูดค้างไว้แล้วหันหลังเดินหนี แต่อึนซูก็เข้าใจในทันที เธอจึงพูดขึ้นว่า "นายอยากตายมากใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ยากเลย  ดูจากสภาพของนายในตอนนี้ โอกาสที่นายจะติดเชื้อในกระแสเลือดและตาย...." อึนซูพูดยังไม่ทันจบชเวยองก็หันกลับมาขู่อึนซูว่า "ลองพูดดูสิ ลองพูดว่าข้าเป็นโรคร้ายแรง แล้วมาดูกันว่าข้าจะมีวิธีปิดปากท่านยังไง" พูดจบเขาก็หันหลังเดินออกจากห้องไป


ระหว่างที่เดินออกจากห้อง ชเวยองเตือนอึนซูว่าอย่าเที่ยวออกมาเดินเพ่นพ่านในวังหลวง อย่าเข้ามาในสถานที่ๆ มีแต่ผู้ชายอย่างเช่นค่ายทหาร จากนั้นก็หันมาบอกเธอว่าคนข้างนอกจะพาเธอกลับสำนักหมอหลวง เขาขอให้เธอรออยู่ที่นั่นอย่างอดทนจนกว่าเขาจะเสร็จธุระ  อึนซูมองหน้าชเวยองแล้วเดินจากไปเงียบๆ ชเวยองหันมามองขาอึนซูแล้วพูดว่า "ท่านไม่สมควรเปิดเผยร่างกายช่วงล่าง แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเสื้อผ้าบนสวรรค์เป็นอย่างไร แต่ในโลกนี้...." ชเวยองยื่นแขนออกมาขวางอึนซูเพราะเขายังพูดไม่จบ อึนซูจึงถือโอกาสคว้าข้อมือเขาแล้วพยายามจับชีพจร แต่เนื่องจากชเวยองขัดขืนเธอจึงได้แต่วัดอุณหภูมิร่างกายของเขาโดยเปรียบเทียบกับอุณหภูมิในร่างกายของเธอ ทำให้รู้ว่าเขามีอุณหภูมิสูงกว่า 38 องศา

อึนซูมอบขวดยาแอสไพรินให้ชเวยอง แล้วบอกว่าเป็นยาบรรเทาปวด ลดไข้ และลดการอักเสบติดเชื้อ ให้ทานครั้งละ 2 เม็ด วันละ 3 ครั้ง แม้มันจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย  เมื่อเห็นชเวยองยืนนิ่งไม่ยอมรับยา อึนซูจึงขอร้องว่า "อย่าตายนะ" ชเวยองได้ยินไม่ถนัด อึนซูเลยพูดซ้ำอีกครั้งโดยไม่มองหน้าว่า "ชั้นบอกนายว่าอย่าเพิ่งตาย...ถึงชั้นจะรู้ว่านายเป็นไอ้โรคจิตซื่อบื้อ แต่ถ้านายตายไปและทิ้งชั้นไว้คนเดียว แล้วชั้นจะอยู่ยังไง ดังนั้น...." อึนซูคว้ามือชเวยองขึ้นมาแล้วมอบยาให้เขา ก่อนเดินจากไปทั้งน้ำตา 


ชเวยองมองตามอึนซูและหันกลับมามองขวดยาในมือ เขาจะเดินไปข้างหน้าแต่อยู่ๆ ก็ทรุดตัวลง แทมานซึ่งอยู่ทางด้านบน ได้ยินเสียงชเวยองล้มจึงรีบโผล่หน้าออกมาดูด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นสภาพของชเวยองแล้วเขาก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะไม่รู้ว่าจะช่วยหัวหน้าของตนได้อย่างไร 






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา