วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556

Faith: สุภาพบุรุษยอดองครักษ์ ตอนที่ 6




คีชอลวางแผนให้อึนซูเดินทางไปรักษาอดีตพระราชาที่ถูกเนรเทศและกำลังป่วยหนัก โดยให้ชเวยองเป็นผู้นำทาง ทำให้ทั้งคู่มีโอกาสใกล้ชิดกันและได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น คีชอลต้องการตัวชเวยองจึงเป่าหูพระเจ้าคงมินว่าชเวยองชิงตัวอึนซูไปจากบ้านของตนแล้วนำตัวเธอไปรักษาอดีตพระราชาที่กำลังป่วยหนัก เพื่อให้พระเจ้าคงมินเกิดความรู้สึกหวาดระแวงในตัวชเวยอง ทั้งยังสร้างสถานการณ์ว่าชเวยองบุกไปช่วยอดีตพระราชาและสังหารทหารยาม เพื่อใส่ร้ายว่าชเวยองเป็นกบฏที่คิดโค่นบัลลังก์พระเจ้าคงมินอีกด้วย

เนื้อหา:


คีชอลขำกลิ้งเมื่อได้ยินชเวยองบอกว่าเขาบุกมาช่วยอึนซูด้วยเหตุผลส่วนตัว และเหตุผลที่ว่าก็คือ "เขารักอึนซู" 

แต่คีชอลไม่ใส่ใจเรื่องดังกล่าว สิ่งเดียวที่เขาสนใจในตอนนี้ก็คือความสามารถของชเวยอง เขาจึงหันไปถามฮวา ซูอิน (ในฐานะที่เคยประลองฝีมือกับชเวยองมาแล้วสองครั้ง) ต่อหน้าชเวยองว่า การต่อสู้ครั้งแรกระหว่างเธอกับชเวยองเป็นอย่างไรบ้าง ฮวา ซูอิน กล่าวว่า เนื่องจากครั้งนั้นเธอได้รับมอบหมายให้ไปทดสอบฝีมือของชเวยอง เธอจึงไม่ได้ใช้ความสามารถทั้งหมดที่มี และชเวยองเองก็ไม่ได้ต่อสู้อย่างเต็มที่เช่นกัน เธอจึงยังไม่ค่อยแน่ใจนักว่าพลังของเขาร้ายกาจเพียงใด (ฮวา ซูอินเดินเข้าไปหาหมายจับมือชเวยอง แต่ถูกชเวยองปัดมือออกทันควัน)


ฮวา ซูอินจะเดินเข้าไปหาอึนซูในห้อง แต่ชเวยองกระแทกโล่ลงบนพื้นเพื่อขวางทางอย่างข่มขู่ เธอจึงหัวเราะแล้วถอยกลับไป  คีชอลถามอึมจาว่า พลังภายในของชเวยองเป็นอย่างไรบ้าง อึมจาออกความเห็นว่า อาจเป็นเพราะพลังที่แท้จริงของชเวยองยังไม่แก่กล้า แต่เขาก็สามารถต้านทานเพลงสังหารได้นานกว่าใคร (ตอนที่แล้วชเวยองพยายามหลีกเลี่ยงการใช้พลังภายในตามคำแนะนำของหมอหลวงชางบิน) คีชอลสงสัยว่าพลังของชเวยองยังไม่แก่กล้าหรือเป็นเพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสกันแน่  จึงหันไปถามชเวยองว่าเป็นเพราะเหตุผลข้อไหนกัน ชเวยองจ้องหน้าคีชอลแล้วตอบว่า ข้อไหนก็ได้ที่ตอบไปแล้วจะเป็นผลดีกับตนมากกว่า

คีชอลกล่าวอย่างชื่นชมว่า ทักษะในการต่อสู้ของชเวยองนั้นยากที่จะหาใครมาเทียม ที่สำคัญ เขาไม่ใช่นักรบที่เก่งแต่เรื่องฟันดาบ ชเวยองเลยถือโอกาสโม้ (เพราะรู้ว่าคีชอลชอบคนมีฝีมือ) ว่า ตนยิงธนูได้ด้วย แต่ถ้าไม่มีอาวุธอะไรตนก็พร้อมที่จะแลกหมัด คีชอลจึงกล่าวชมจากใจจริงว่า ชเวยองเป็นนักรบที่ใช้สมองในการต่อสู้ จากนั้นก็ชวนชเวยองไปดื่มเหล้าด้วยกัน


พระมเหสีเสด็จมาขอเข้าเฝ้าพระเจ้าคงมินในท้องพระโรง เมื่อไปถึงพระเจ้าคงมินก็พูดดักคอว่า ไหนคราวที่แล้วพระมเหสีเคยบอกว่าจะไม่มาพบและพูดคุยกับพระองค์อีก พระมเหสีจึงตรัสถามว่า "ฝ่าบาทจะทรงตรัสเหน็บแนมกันต่อไป หรือว่าจะฟังเรื่องที่หม่อมชั้นต้องการกราบทูล" พระเจ้าคงมินชี้ไปยังพระที่นั่งของพระมเหสี พระมเหสีจึงนั่งลงแล้วทูลว่า "หม่อมชั้นได้ยินมาว่าหัวหน้าอูดัลจิออกไปตามหาท่านหมอใหญ่  หม่อมชั้นมีเส้นสายมากมายทั้งในฝ่ายปกครองและฝ่ายทหาร จึงสามารถขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้เพคะ... หม่อมชั้นรู้ดีว่าฝ่าบาทไม่ต้องการรับฟังหรือรับพิจารณาในเรื่องนี้ แต่หม่อมชั้นเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์หยวน ได้โปรดใช้ประโยชน์จากหม่อมชั้นเถอะเพคะ... ไม่ว่าใต้เท้าต็อกซองจะมีอำนาจล้นฟ้าแค่ไหน แต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธคำร้องขอจากฝ่ายปกครองและฝ่ายทหารของราชวงศ์หยวนได้ตามใจชอบ... หม่อมชั้นสามารถสั่งให้พวกเขานำตัวท่านหมอใหญ่และหัวหน้าอูดัลจิกลับคืนมาให้เราได้เพคะ"

แม้จะเป็นความปรารถนาดี แต่คำพูดดังกล่าวของพระมเหสีกลับยิ่งตอกย้ำรอยแผลในใจของพระเจ้าคงมิน ทั้งยังทำให้พระองค์รู้สึกเหมือนเป็นคนไร้ความสามารถที่ไม่มีใครเชื่อถือศรัทธา พระองค์จึงตรัสว่า "ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้งเผื่อเจ้าจะลืม ว่าข้าคือพระราชาของแผ่นดินนี้...พระราชาแห่งโครยอ" พระมเหสีสวนกลับทันควันว่า "หม่อมชั้นคือพระมเหสีของแผ่นดินนี้... พระมเหสีแห่งโครยอเพคะ" พระเจ้าคงมินลุกขึ้นแล้วตรัสว่า "ไม่ว่าใต้เท้าต็อกซองคีชอลจะเลวร้ายแค่ไหน แต่เขาก็เป็นประชาชนของข้า เป็นคนในปกครองของข้า แล้วเจ้ายังจะให้ข้าบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากหยวนงั้นรึ ถ้าอย่างนั้นข้าควรพูดว่ายังไงดี พูดว่า 'ข้า พระราชาผู้อ่อนแอ ไม่สามารถจัดการกับข้าราชบริพารของตนเอง ได้โปรดช่วยจัดการเขาแทนข้าด้วย' นั่นคือสิ่งที่ข้าควรพูดอย่างงั้นรึ"

เมื่อเห็นพระมเหสีนั่งนิ่ง พระเจ้าคงมินก็ตรัสอีกว่า "หากเจ้าเป็นพระมเหสีแห่งโครยอจริง เจ้าก็ไม่ควรคิดฟุ้งซ่านหรือหลุดปากพูดถ้อยคำเหล่านั้นออกมา" พระมเหสีก้มหน้าพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือและน้ำตาคลอเบ้าว่า "หม่อมชั้นเข้าใจแล้วเพคะ ที่พระองค์ตรัสมานั้นเป็นความจริง" พระเจ้าคงมินถามต่อว่า "เจ้านั่งก้มหน้าคิดถึงเรื่องอะไรอยู่  คิดว่าข้าเป็นพระราชาที่ไม่เอาไหน ขนาดคนรอบข้างข้ากำลังจะตาย ข้ายังมัวแต่คิดเรื่องการรักษาศักดิ์ศรีในฐานะที่เป็นพระราชา... นี่คือสิ่งที่เจ้ากำลังคิดอยู่ใช่ไหม" เมื่อเห็นพระมเหสีน้ำตาไหลพราก พระเจ้าคงมินถึงกับหน้าถอดสี แต่พระองค์ก็พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ แล้วถามพระมเหสีว่าพูดจบหรือยัง พระมเหสีจึงลุกขึ้นถวายความเคารพแล้วเดินจากไปแต่โดยดี


พระเจ้าคงมินแอบชำเลืองมองพระมเหสี เมื่อเห็นว่าชเวซังกุงหยุดมอง พระองค์ก็แกล้งปรายตามองไปทางอื่น ชเวซังกุงรู้ว่าพระเจ้าคงมินรู้สึกอย่างไรจึงทูลว่า ก่อนมาเข้าเฝ้าพระองค์ที่นี่ พระมเหสีได้ต่อสู้กับความคิดตัวเองมาพักใหญ่... เพื่อที่จะมากราบทูลพระองค์ในเรื่องนี้ พระมเหสีต้องยอมละทิ้งทิฐิและศักดิ์ศรีจนหมดสิ้น เมื่อเห็นพระเจ้าคงมินพยักหน้ารับรู้ ชเวซังกุงก็ทูลลา

พระเจ้าคงมินตรัสขึ้นว่า "ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากส่งตัวท่านหมอใหญ่ไป ท่านหมอใหญ่คือผู้ที่มาจากสวรรค์จริงๆ ไม่ใช่หรือ หากเขารู้ความจริงข้อนี้ แม้แต่เขาเองก็จะไม่กล้าทำร้ายท่านหมอใหญ่ นั่นคือสิ่งที่ข้าคิด ดังนั้น ข้าจึงไม่ได้ทิ้งนางไป  หากข้าส่งตัวนางให้เขาง่ายๆ ข้ากลัวว่าเขาจะกำจัดนางก่อนที่จะได้เรียนรู้คุณค่าในตัวนาง ดังนั้นข้าจึงออกกลอุบาย ข้าซื้อเวลาให้ตัวเอง 7 วัน หากเขาได้หัวใจท่านหมอใหญ่ภายใน 7 วัน... ถ้าเขาครอบครองหัวใจท่านหมอใหญ่ได้ใน 7 วัน ข้าจะมอบนางให้เขา  ในเวลา 7 วันนี้ข้ายังบอกให้เขาเฝ้าดูด้วยว่านางคือเทพแห่งการรักษาโรคที่มาจากสวรรค์จริงหรือไม่ วิธีนี้จะทำให้เขาไว้ชีวิตท่านหมอใหญ่ไปอีกอย่างน้อย 7 วัน เมื่อถึงเวลานั้นไม่ว่าต้องทำยังไง ข้าจะ..... เจ้าคงมองว่าข้าน่าสมเพชมากเลยใช่ไหม"  ชเวซังกุงเพิ่งเข้าใจสถานการณ์และความรู้สึกของพระเจ้าคงมิน จึงรีบตอบว่า "ไม่เลยเพคะ"


คีชอลรินเหล้าให้ชเวยองและอึนซู ขณะที่อึนซูกำลังจะยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม ชเวยองก็คว้าเหล้าในมืออึนซูมาดื่มเสียเอง พลางบอกว่า "ให้ข้าดื่มก่อน" คีชอลถามชเวยองว่า  "เป็นไง มียาพิษมั๊ย"  อึนซูแทบช็อคเมื่อรู้ว่าชเวยองแย่งเหล้ามาดื่มเพื่อทดสอบว่ามียาพิษหรือไม่ เธอจึงโวยวายว่า "นี่นายจะบ้าเหรอ ถ้ามียาพิษจะทำยังไง" ชเวยองหันมาถามหน้าตาเฉยว่า "ท่านเป็นหมอใหญ่ไม่ใช่หรือ หากเป็นเช่นนั้นจริงท่านก็แค่รักษาข้า" อึนซูจึงโวยวายใส่คีชอลว่า "นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน" ยางซาย้อนว่า "คนที่เล่นตลกคือเจ้า นังตัวดี ใครกันแน่ที่เล่นตลกกับพวกเราก่อน"

เขาเดินตรงมาหาอึนซูอย่างท้าทายพลางกล่าวว่า "เจ้าเนี่ยนะ เทพแห่งการรักษาโรคจากสวรรค์ ลูกศิษย์ฮวาตางั้นรึ คนที่นี่ไม่มีใครหลงเชื่อเล่ห์กลของเจ้าหรอก บอกความจริงมา เจ้าเป็นใครกันแน่ นังตัวแสบ"  อึนซูมีหรือจะยอม เธอกอดอกแล้วพูดว่า "คุณนี่มันบ้าชัดๆ คิดว่าที่ชั้นไม่พูดเป็นเพราะฉันสาปแช่งไม่เป็นงั้นเหรอ" ยางซารีบถอยห่างเพราะกลัวต้องคำสาป (ทุกคนในห้องต่างพากันยิ้มชอบใจ รวมทั้งชเวยอง) จากนั้นอึนซูก็หันไปถามหาคนไข้กับคีชอล คีชอลได้แต่นั่งยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และเทเหล้าใส่ปาก

อึนซูหันไปฟ้องชเวยองว่า คีชอลพนันกับพระเจ้าคงมินว่าเธอจะรักษาคนป่วยในบ้านของคีชอลได้หรือไม่   ชเวยองถามว่า แล้วยังไง อึนซูจึงบอกว่า เพราะเหตุนี้เธอเลยโดนคีชอลขังไว้ในห้องตลอดทั้งคืน แถมข้าวเช้าก็ยังไม่ได้กิน ฮวา ซูอินแทรกขึ้นว่า มีประโยคหนึ่งที่อึนซูไม่ได้ยิน  เกี่ยวกับโทษของการรักษาไม่สำเร็จ อึนซูจึงถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ  ฮวา ซูอินลุกขึ้นอธิบายว่า ถ้ารักษาไม่สำเร็จก็แปลว่าเธอเป็นนางมารร้ายที่กุเรื่องหลอกลวงผู้คนซึ่งมีโทษถึงตาย  เธอจะถูกตัดหัวแล้วหัวของเธอก็จะถูกนำไปแขวนประจานที่หน้าประตูเมือง อึนซูโวยวายว่าทำไมทุกคนถึงชอบเล่นเกมสกปรก  จากนั้นก็คว้าขวดเหล้าขึ้นมารินใส่แก้ว ชเวยองพยายามห้ามไม่ให้อึนซูดื่มเหล้า และบอกให้เธอสงบสติอารมณ์ แต่เธอกำลังสติแตกเลยดื่มเหล้ารวดเดียวหมดแก้ว และทำท่าว่าจะรินดื่มใหม่แต่ชเวยองห้ามเอาไว้


คีชอลนั่งขำเมื่อเห็นพฤติกรรมของทั้งคู่ ชเวยองตัดบทด้วยการถามเข้าประเด็นว่า คนป่วยอยู่ที่ไหน คีชอลตอบว่าเดิมทีเขาวางแผนว่าจะเลือกใครสักคนที่อยู่ในละแวกนี้ แต่พอเห็นชเวยองบุกมาถึงที่นี่ก็เลยเปลี่ยนใจ เขานึกถึงคนป่วยที่อยู่ไกลออกไปและมีความเหมาะสมมากกว่า เมื่อชเวยองถามว่าใคร คีชอลก็ตอบว่า "คนที่เจ้าเคยปกป้องตลอดระยะเวลา 3 ปี... องค์ชายคยองชางที่ถูกเนรเทศไปอยู่เกาะคังฮวากำลังป่วยเป็นโรคเรื้อรัง หากนางเป็นหมอใหญ่จริง นางต้องรักษาพระองค์ได้แน่ และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไม... ชเวยอง! เจ้าต้องพานางไปที่นั่น เพราะนางเป็นคนรักของเจ้า เจ้าจึงไม่อาจปล่อยให้นางเดินทางตามลำพังใช่ไหม" 

อึนซูจะลุกหนีแต่ชเวยองกดไหล่เธอให้นั่งลงแล้วหันไปถามคีชอลเสียงเข้มว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ คีชอลตอบว่า "ยิงเหยี่ยวสองตัวด้วยธนูดอกเดียว... ข้าตั้งใจว่าจะยิงเหยี่ยวสองตัวด้วยธนูดอกเดียวและถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ข้าอาจยิงเหยี่ยวได้ถึงสามตัวด้วยธนูเพียงดอกเดียว... จับเหยี่ยวได้สามตัวในคราวเดียวกัน" พูดจบเขาก็หัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์  ขณะที่ชเวยองมีสีหน้าวิตกกังวลและรู้สึกเคียดแค้นในขณะเดียวกัน


ขณะที่หมอหลวงชางบินกำลังตรวจดูบาดแผลที่ลำคอให้พระมเหสี พระมเหสีก็บอกชเวซังกุงว่าจะออกไปพบคีชอลและถามว่าบ้านของคีชอลอยู่ไกลแค่ไหน ชเวซังกุงทูลว่าพระองค์ต้องขออนุญาตพระเจ้าคงมินก่อน จากนั้นก็ต้องวางแผนเดินทางเพื่อความปลอดภัยและต้องเลือกคณะผู้ติดตาม แต่พระมเหสีบอกว่าไม่ต้องมากพิธี ต่อให้ต้องปีนกำแพงพระองค์ก็จะออกไปให้ได้ และไม่ต้องจัดเตรียมเกี้ยวให้ พูดจบพระมเหสีก็ลุกเดินออกไป ชเวซังกุงสะกิดหมอหลวงชางบินให้ช่วยห้าม แต่หมอหลวงชางบินไม่รู้ว่าจะทำยังไง เมื่อเห็นหมอหลวงชางบินยังคงยืนนิ่ง ชเวซังกุงก็ผลักหมอหลวงชางบินจนล้มหน้าคว่ำ 

พระมเหสีได้ยินเสียงดังทางด้านหลังจึงหันไปดู หมอหลวงชางบินจึงถือโอกาสทูลว่า การทำเช่นนั้นเป็นเรื่องไม่เหมาะสม พระมเหสีสวนกลับว่าพระองค์ไม่ได้ขอความเห็นจากหมอหลวงชางบิน หมอหลวงชางบินถามว่า พระองค์จะไปบ้านคีชอลเพื่อขอร้องให้เขาปล่อยตัวอึนซูและชเวยองหรือ พระมเหสีหันมาตอบเสียงเข้มว่า "ข้าเป็นพระมเหสีของแผ่นดินนี้และเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์หยวน ด้วยสถานะของข้า ข้าไม่อาจทำได้แม้แต่จะร้องขอเลยหรือ" หมองหลวงชางบินตอบว่า หากผู้ที่มีสถานะสูงส่งอย่างพระองค์ดั้นด้นไปขอร้องคีชอลให้ปล่อยตัวอึนซูและชเวยองด้วยพระองค์เอง  ก็จะยิ่งทำให้คีชอลได้ใจและไม่ยอมปล่อยตัวสองคนนั้นง่ายๆ เพราะเท่ากับเป็นการประกาศให้คีชอลรู้ว่าเขามีอิทธิพลต่อทั้งสองพระองค์มากแค่ไหน


ชเวซังกุงรีบกล่าวเสริมว่า ชเวยองเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบมาตั้งแต่เด็ก เธอเชื่อว่าเขาจะต้องช่วยอึนซูได้แน่  จึงขอให้พระองค์ทรงรออย่างอดทน พระมเหสีถามว่า ชเวซังกุงรู้จักชเวยองมาตั้งแต่เด็กเลยหรือ ชเวซังกุงตอบว่า บิดาชเวยองเป็นพี่ชายของเธอ ดังนั้นเธอและชเวยองจึงมีความสัมพันธ์ฉันท์ป้า-หลาน  ด้วยเหตุนี้เธอจึงรู้จักชเวยองดี พระมเหสีแทรกขึ้นอย่างเหน็บแนมว่า  "คนหนึ่งเป็นถึงป้าของเขา ส่วนอีกคนเป็นหมอที่ทำงานร่วมกับนาง ทั้งคู่ต่างแนะนำให้ข้านั่งรออยู่เฉยๆ" หมอหลวงชางบินกล่าวว่า บางครั้งการอดทนรอก็เป็นกุญแจที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ พระมเหสีจึงตรัสว่า "ถ้าอย่างนั้นเจ้าทั้งสองก็อดทนรอกันต่อไป.... ส่วนข้าไม่รู้จักคำว่ารอ" พูดจบพระองค์ก็หันหลังเดินกลับไป ไม่ใครรู้ว่าขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันอยู่นั้น นางในที่คีชอลส่งมาสอดแนมได้แอบยืนฟังอยู่ทางด้านนอก

ชเวยอง อึนซู และแทมาน เตรียมออกเดินทางไปรักษาอดีตพระราชา อึนซูพยายามสอดส่ายสายตาหาเกี้ยว เมื่อชเวยองบอกว่าจะเดินทางบนหลังม้า อึนซูก็พยายามต่อรองว่าเธอขี่ม้าไม่เป็นและยังไม่อยากเรียนขี่ม้าในตอนนี้ จึงขอให้เขาพาเธอขึ้นเกี้ยวหลังที่เธอเคยนั่งกับพระมเหสี  ชเวยองยืนกรานว่าจะเดินทางบนหลังม้าและพาเธอไปที่ม้าตัวหนึ่ง  อึนซูชวนชเวยองให้ขี่ม้าตัวเดียวกันโดยเสนอให้เขานั่งหลังและเธอนั่งหน้า  ชเวยองกล่าวว่าเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังเกาะคังฮวานั้นไกลมากจึงต้องเห็นใจม้าด้วย พูดจบชเวยองก็ทำท่าว่าจะโน้มตัวลงไปอุ้มอึนซู แต่อึนซูรีบบอกว่าขอเวลาเธอเตรียมใจสักครู่ ชเวยองจึงได้แต่ถอนใจ จากนั้นก็เดินไปจูงม้าแล้วเริ่มออกเดินทางเพื่อไม่ให้เสียเวลามากไปกว่านี้ 


ระหว่างจูงม้าเดินเข้าไปในป่า อึนซูก็ถามชเวยองแบบคิดเองเออเองเสร็จสรรพว่า "นายเริ่มรู้สึกตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ ชั้นหมายถึงคำว่า "ยอนโม" (รัก) น่ะ... คำว่า "ยอน" มาจาก "ยอนเอ" (ความรัก)  ส่วนคำว่า "โม" มาจากคำว่า "ซาโม"  (เทิดทูน)  แสดงว่านายต้องชอบฉันมากๆ เลยใช่ไหม ถ้าอย่างนั้น นั่นก็คือ ความรัก" หลังฟันธงกับตัวเองแล้ว อึนซูก็หัวเราะคิกคัก แล้วถามหน้าตาเฉยว่า "นายเริ่มชอบชั้นตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ" แทมานฟังแล้วแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ส่วนชเวยองทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และปล่อยให้อึนซูพูดพลางหัวเราะคิกคักว่า "ชั้นไม่รู้ตัวมาก่อนเลยนะเนี่ย ก็ชั้นไม่ค่อยฉลาดในเรื่องความรักสักเท่าไหร่ แล้วชั้นจะไปรู้ได้ยังไง... ขอดูบาดแผลทีไรนายก็ชอบชวนทะเลาะ แถมยังไม่ค่อยชอบสบตาชั้นสักเท่าไหร่ เหมือนอย่างตอนนี้ไง ดูสินายไม่ยอมมองหน้าชั้นด้วยซ้ำ" 

อึนซูพยายามมองหน้าชเวยอง แต่ชเวยองเบือนหน้าหลบและรีบเดินหนี อึนซูพยายามวิ่งตามพลางกล่าวต่อว่า "ที่สำคัญ นายบุกไปช่วยชั้นโดยไม่ลังเลเลย จะว่าไปแล้วนะ บ้านเขายังกับที่กบดานของพวกหัวหน้ามาเฟียเลยเนอะ...เอ่อ...นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นขำๆ ชั้นขอโทษ ว่าแต่นายอายุเท่าไหร่เหรอ ดูเหมือนนายจะอายุน้อยกว่าชั้นนะ" เมื่อถูกอึนซูคว้าแขนจากทางด้านหลัง   ชเวยองก็จับแขนอึนซูบิดไพล่หลังแล้วเตือนว่า "จำไว้ให้ดี อย่าเดินตามหลังคนที่พกดาบ และที่สำคัญอย่าแตะต้องตัวเขาจากทางด้านหลังโดยไม่บอกให้รู้ล่วงหน้า เพราะท่านอาจถูกฟันแขนขาดได้"


อึนซูถึงกับไหล่เคล็ดแต่ยังคงบอกว่าเธอไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด ชเวยองจะเตือนเรื่องนักดาบต่อแต่อึนซูแทรกขึ้นว่า เธอเคยเป็นแพทย์ฝึกหัดในแผนกศัลยกรรมตั้งหลายปี จึงอยู่ท่ามกลางคนที่ถือมีด (ผ่าตัด)  จนชิน ชเวยองได้ยินดังนั้นเลยเปลี่ยนเรื่องพูด เขาเห็นว่าเมื่อสักครู่อึนซูเข้าใจผิดยกใหญ่จึงพยายามอธิบายว่า "ก่อนหน้านี้ที่ข้าพูดว่า ข้ารักท่าน เป็นเพราะ...." อึนซูตัดบทว่า "ชั้นรู้แล้ว ไม่เป็นไรหรอกน่า ชั้นเข้าใจดี" ชเวยองถามด้วยสีหน้างงๆ ว่า "ท่านเข้าใจเรื่องอะไร"  อึนซูลอยหน้าลอยตาตอบว่า "เป็นธรรมดาที่ผู้ชายมักรู้สึกเขินเวลาสารภาพรัก ชั้นผิดเองแหล่ะที่แหย่นายเล่น บางครั้งชั้นก็คิดน้อยไปหน่อย ขอโทษด้วยนะ" 

ชเวยองเห็นอึนซูเข้าใจผิดไปกันใหญจึงพยายามอธิบายว่า "ข้ามีเหตุผลที่ต้องพูดเช่นนั้น นั่นเป็นเพราะ..." อึนซูไม่เปิดโอกาสให้ชเวยองอธิบาย ทั้งยังยืนยันว่าเธอเข้าใจความรู้สึกของเขาดี จากนั้นก็แหย่ว่า "ชั้นจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน แต่ทำไงดีน๊าาา ก็ฉันได้ยินหมดแล้วนี่นา" พูดจบอึนซูก็ตีเบาๆ ที่หน้าอกข้างซ้ายของชเวยองแล้ววิ่งหนีไป ชเวยองก้มมองหน้าอกตัวเองด้วยความตกใจ เขาเอื้อมมือมาวางทาบหน้าอกด้วยรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้น จากนั้นก็ทำหน้าตกตะลึงแล้วหันไปจ้องอึนซูตาไม่กระพริบ



แทมานเห็นชเวยองยืนตะลึงและเอามือวางทาบหัวใจก็รู้สึกเป็นห่วง จึงเดินเข้าไปถามว่าเป็นอะไรไหม ชเวยองคว้าคอเสื้อแทมานแล้วดึงตัวเขาเข้าถามว่า "ผู้รักษาบนสวรรค์มีตั้งมากมาย ทำไมข้าต้องพานางมาด้วย บอกข้ามาซิว่าทำไม" แทมานตอบอย่างจนปัญญาว่า "ขะ ขะ ข้าไม่รู้ขอรับ"

หลังสงบสติและปล่อยมือออกจากคอเสื้อแทมานแล้ว ชเวยองก็กล่าวว่า ระหว่างรักษาอึนซูอาจต้องการใช้เครื่องมือแพทย์ แทมานรู้หน้าที่จึงบอกว่าตนจะรีบไปนำมาให้ ชเวยองกำชับว่า ไม่ว่าเจอใครก็ห้ามเอ่ยปากถึงเรื่องนี้  เขาคาดว่าตนกับอึนซูน่าจะเดินทางจะไปถึงเกาะคังฮวาพรุ่งนี้เช้า แทมานรับปากว่าจะรีบนำเครื่องมือมาให้ก่อนที่ชเวยองจะเดินทางไปถึงเกาะคังฮวา ชเวยองกำชับให้แทมานตามมาก่อนพลบค่ำ โดยนัดให้ไปเจอกันที่หมู่บ้านพับยอง แทมานถามกึ่งลุ้นว่า "หมายความว่า ทะ ท่านทั้งสองจะต้องอยู่กันตามลำพังในยามค่ำ...." ชเวยองเงื้อมือขึ้นทำท่าเดี๋ยวปั๊ดพลางสั่งให้หุบปาก แทมานจึงกระโดดหลบแล้วรีบขอตัวทันที


ระหว่างแช่ตัวในอ่างน้ำร้อน คีชอลก็นึกถึงตอนที่อึนซูโวยวายใส่พวกตนว่า ชอบเล่นเกมสกปรก ทั้งๆ ที่ (การรักษาคนป่วย) ไม่ใช่เรื่องสนุกหรือเรื่องล้อเล่นขำๆ แถมยังดื่มเหล้ารวดเดียวหมดแก้วจนชเวยองต้องห้ามเอาไว้ หลังอาบน้ำเสร็จแล้วเขายังคงครุ่นคิดเรื่องอึนซูและเผลอยิ้มออกมา 

ยางซาเข้ามารายงานคีชอลว่า สายลับที่พวกตนส่งเข้าไปแทรกซึมอยู่ในวังส่งข่าวมาว่าพระมเหสีกำลังเสด็จมาที่นี่ คีชอลถามว่า เรื่องหมอใหญ่ใช่ไหม ยางซาตอบว่าทั้งเรื่องหมอใหญ่และหัวหน้าอูดัลจิ คีชอลรู้ว่าพระเจ้าคงมินไม่มีวันอนุญาตให้พระมเหสีทำเช่นนี้ ยางซายิ้มแล้วบอกว่าพระองค์แอบเสด็จมาด้วยตนเอง จากนั้นก็ถามว่าจะรับมืออย่างไรดี ถึงอย่างไรพระมเหสีก็เป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์หยวน จึงไม่อาจปฏิเสธทั้งการเข้าพบและคำร้องขอ คีชอลตอบว่า เพราะอย่างนั้นจึงต้องรีบจัดการพระมเหสีก่อนที่พระองค์จะเสด็จมาถึงที่นี่ ยางซาถามว่าจะให้ตนจัดการยังไง คีชอลตอบแบบให้คิดเอาเองว่า ถึงยังไงพระมเหสีก็ไม่ควรมีชีวิตรอดเข้ามาเหยียบแผ่นดินโครยอตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ยางซาฟังแล้วถึงบางอ้อเลยรับปากว่าจะรีบจัดการให้ ขณะที่ยางซากำลังจะเดินออกจากห้อง คีชอลฉุกคิดอะไรได้บางอย่างจึงบอกยางซาว่ายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ตนอยากเห็น พูดจบเขาก็ยิ้มกับตัวเองอย่างเจ้าเล่ห์


โจ อิลชินเข้ามารายงานพระเจ้าคงมินว่า พระมเหสีแอบหนีออกไปนอกวัง และกำลังมุ่งหน้าไปที่บ้านคีชอล แม้ชเวซังกุงและหมอหลวงชางบินจะช่วยกันเหนี่ยวรั้ง แต่พระมเหสียังคงยืนกรานว่าจะออกไปให้ได้ พระเจ้าคงมินฟังแล้วรู้สึกร้อนใจ ขณะเดียวกันก็นึกสงสัยว่าทำไมโจ อิลชินจึงรู้ความเคลื่อนไหวของพระมเหสี แถมยังเล่าเหตุการณ์ให้ฟังเป็นฉากๆ พระองค์จึงถามโจ อิลชิน ว่าเขารู้เรื่องราวโดยละเอียดได้ยังไง... เขาแอบส่งคนไปสอดแนมที่ตำหนักกวอนซองชอนของพระมเหสีใช่หรือไม่ โจ อิลชินแก้ตัวว่าคีชอลเองก็น่าจะส่งคนไปสอดแนมที่นั่นด้วยเช่นกัน ดังนั้นตนจึงไม่มีทางเลือก พระเจ้าคงมินตรัสถามอีกว่าที่ตำหนักคังอันจอนของพระองค์ ก็มีคนของเขาคอยสอดแนมอยู่ด้วยใช่ไหม โจ อิลชินเถียงไม่ออกจึงได้แต่คุกเข่าขออภัย 

ขณะที่พระเจ้าคงมินกำลังจะเสด็จออกจากห้อง ชุงซอกก็เดินสวนเข้ามาพอดี พระองค์จึงถามว่าได้ยินข่าวไหม ชุงซอกยอมรับว่าตนรู้เรื่องพระมเหสีแล้วและขอให้พระเจ้าคงมินอดทนรออยู่ที่นี่  เพราะตนจะส่งคนไปที่บ้านคีชอล พระเจ้าคงมินรับปากว่าจะรอ และเมื่อชุงซอกหันหลังกลับ พระองค์ก็คว้าแขนเขาเอาไว้แล้วสั่งให้เขาออกไปด้วยตัวเอง ทั้งยังกำชับให้นำตัวพระมเหสีกลับมาอย่างปลอดภัยและปราศจากร่องรอยหรือบาดแผลใดๆ พระองค์ทรงมอบอำนาจในการตัดสินใจให้เขา โดยบอกว่าหากจำเป็นต้องมัดและลากตัวพระมเหสีกลับมาที่นี่เขาก็ต้องทำ ทั้งยังย้ำว่าเขาต้องช่วยพระมเหสีให้ได้ และต้องนำตัวพระมเหสีกลับคืนมาให้พระองค์

ขณะที่พระมเหสีพร้อมคณะผู้ติดตามกำลังเดินผ่านตลาด หมองหลวงชางบินและชเวซังกุงรู้สึกได้ว่ามีคนแอบดักซุ่มและสะกดรอยตาม จึงทูลพระมเหสีให้รีบไปจากที่นี่โดยเร็ว แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ที่มีอาวุธครบมือล้อมเอาไว้  ชเวซังกุงจึงสั่งให้เหล่าผู้คุ้มกันหญิงถวายการอารักขา หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มต่อสู้กัน 


ในเวลาเดียวกันนั้น แทมานก็กำลังมองหาอุปกรณ์ผ่าตัดที่สำนักหมอหลวง เมื่อพบแล้วเขาก็รีบนำออกจากห้องไป แต่แล้วอยู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงคนกำลังต่อสู้กันในห้องโถงทางด้านนอก  จึงหยุดฟังว่าเกิดอะไรขึ้น  ปรากฏว่ายางซานำทหารบุกเข้ามาที่สำนักหมอหลวง และกำลังข่มขู่โทกีที่มีเพียงจอบพรวนดินเป็นอาวุธ ยางซารู้ว่าโทกีคือผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร และไม่มีสมุนไพรชนิดไหนในโครยอที่เธอไม่รู้จัก เขาจึงบอกโทกีว่าตนไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำร้ายเธอ แต่มาเพื่อหาของบางอย่าง จากนั้นก็ถามว่าอุปกรณ์ของหมอใหญ่อยู่ที่ไหน โทกีปรายตามองไปที่ห้องๆ หนึ่งอย่างลืมตัว  ยางซาจึงหัวเราะแล้วถามว่าอยู่ในห้องนั้นใช่ไหม

แทมานซึ่งยืนถือห่อผ้า (อุปกรณ์ผ่าตัด) อยู่ทางด้านใน ยืนชั่งใจว่าจะช่วยโทกีหรือรีบนำอุปกรณ์หนีไปก่อนดี เมื่อเห็นว่าโทกีพยายามขวางประตูเอาไว้แต่ไม่อาจสู้แรงทหารได้ แทมานก็ตัดสินใจบุกเข้าไปช่วยเธอทันที  ยางซาเห็นแทมานก็จำได้ว่าเขาคือสมุนน้อยคนสนิทของชเวยอง จึงเดาออกทันทีว่าแทมานแวะมาเอาอุปกรณ์ เมื่อเห็นยางซาเอื้อมมือเข้าไปหยิบอะไรบางอย่างในแขนเสื้อ โทกีก็เตือนให้แทมานรีบหลบ เมื่อเห็นว่าแทมานไม่เข้าใจภาษากายของเธอ  เธอจึงฉุดแขนของแทมานแล้วพยายามดึงตัวเขาออกมา แต่นักรบหนุ่มอย่างแทมานมีรึจะถอยหนี เขาสะบัดมือโทกีออกแล้วหันไปเผชิญหน้ากับยางซาอย่างองอาจ ทำให้ถูกยางซาพ่นยาพิษใส่หน้าแบบเต็มๆ

ไม่นานยาก็เริ่มออกฤทธิ์ แทมานซึ่งสูดยาพิษเข้าไปเต็มที่เริ่มมีอาการปวดแสบปวดร้อนที่บริเวณหลอดลม ถึงกระนั้นเขาก็พยายามกวัดแกว่งมีดสั้นใส่ยางซา หลังแทมานทรุดลงไปกองกับพื้นยางซาก็เข้าไปปลดห่อผ้าออกจากตัวแทมาน โทกีพยายามยื้อแย่งห่อผ้าแต่ก็ถูกยางซาตบจนหน้าคว่ำ เมื่อยางซาออกไปแล้วเธอจึงรีบลุกขึ้นมาดูอาการของแทมานซึ่งเริ่มตัวเกร็งและมีน้ำลายฟูมปาก


ชเวยองร้อนใจที่แทมานมาช้าผิดปกติ จึงบอกให้อึนซูนั่งกิน 'มันดู' (อาหารเกาหลีประเภทสอดไส้) รอ อึนซูซึ่งกำลังเคี้ยวมันดูตุ๊ยๆ แถมยังถือเอาไว้เต็มสองมือ ถามว่าทำไมต้องให้เธอรอด้วย  ชเวยองกล่าวว่าตนรู้สึกสังหรณ์ใจ และขอตัวสักครู่ อึนซูพยายามถามว่า เขาสังหรณ์ใจเรื่องอะไรและกำลังจะไปที่ไหน ชเวยองไม่มีอารมณ์ตอบคำถามเพราะกำลังเป็นห่วงลูกน้อง จึงบอกอึนซูว่า "ข้าจะไม่พูดเรื่องนี้ซ้ำสอง ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ไม่ว่าท่านจะถามข้าว่า 'อะไร' หรือ 'ทำไม'  ข้าจะไม่ตอบคำถามท่าน ดังนั้น ถ้าข้าบอกให้ท่านรอ ท่านก็ต้องรออย่างอดทน ข้าจะไปไม่นาน ดังนั้น ท่านจงนั่งรออยู่ที่นี่และอย่าขยับตัวแม้แต่นิดเดียวในระหว่างที่ท่านกำลังกิน....มันดูทั้งหมดนั่น" 

อึนซูคว้ากระเป๋าและมันดูที่เหลืออยู่บนโต๊ะวิ่งตามชเวยอง แล้วพูดทั้งที่มีมันดูเต็มปากว่า "บอกชั้นมาเรื่องนึงก่อนที่นายจะไป" ชเวยองหันกลับมามองหน้าอึนซู "ชั้นต้องไปทางไหน ถ้าจะประตูสวรรค์" ชเวยองสงสัยว่าอึนซูถามทำไม อึนซูจึงบอกว่าเธอกังวลมากเรื่องที่คีชอลพนันกับพระราชาโดยมีหัวเธอเป็นเดิมพัน และไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องน่ากลัวแบบนี้ เธอจะไม่ขอให้เขาพาเธอไปส่ง แต่จะไปด้วยตัวเอง เธออ้างถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อกันในช่วงเวลาที่ผ่านมาและขอร้องให้เขาปล่อยตัวเธอไป โดยบอกให้เขาอ้างว่าเธอแอบหลบหนีไประหว่างเดินทาง แถมยังขอยืมเงินติดตัวทั้งๆ ที่รู้ว่าคงไม่มีโอกาสใช้คืน จากนั้นก็ถามว่า "นายจะทำตามที่ชั้นขอได้ไหม ก็นายเคยบอกว่ารักชั้นไม่ใช่เหรอ" ชเวยองได้แต่ยืนนิ่งและมองหน้าอึนซูอย่างครุ่นคิด


อีกด้านหนึ่งชอน อึมจาก็กำลังนั่งจับตาดูความเคลื่อนไหวของพระมเหสีบนหลังคา ในตอนนั้นฝ่ายพระมเหสีกำลังตกที่นั่งลำบาก เพราะถูกล้อมหน้าด้วยพลธนูและล้อมหลังด้วยพลดาบภายในตรอกแคบๆ   อึมจาเห็นชุงซอกและพวกขี่ม้าเข้ามาใกล้จึงเป่าขลุ่ยสั่งการให้พลธนูยิงพระมเหสี หนึ่งในทีมอารักขาหญิง (ซึ่งเป็นคนของคีชอล) เบี่ยงตัวหลบวิถีลูกธนู เพื่อให้ธนูพุ่งเข้าหาพระมเหสี นับว่ายังโชคดีที่หมอหลวงชางบินใช้พัดปัดธนู (3 ดอก) ทิ้งในท่าแบ็คแฮนด์ได้ทัน 

เมื่อชุงซอกและลูกน้องมาถึงบริเวณดังกล่าว อึมจาก็เป่าขลุ่ยสั่งการอีกครั้ง  คราวนี้เป้าหมายไม่ได้อยู่ที่พระมเหสี แต่เป็นพลดาบของตนเอง เหล่าพลดาบได้ยินเสียงขลุ่ยก็เข้าใจว่าให้ถอนกำลัง พวกเขาจึงวิ่งตรงเข้ามาสมทบกับเหล่าพลธนู แต่กลับถูกพลธนูยิงเข้าใส่ หลังฆ่าพวกเดียวกันจนตายหมดแล้วเหล่าพลธนูก็วิ่งหนีไป ชุงซอกสั่งให้ลูกน้องตามไปจับเป็น เพื่อจะได้รู้ว่าใครเป็นคนบงการ เมื่อเห็นว่าแผนการล้มเหลว คนของคีชอลที่แฝงตัวมาเป็นหน่วยอารักขาจึงได้แต่จ้องมองพระมเหสีด้วยสายตาอาฆาต


พระเจ้าคงมินทั้งโกรธและเป็นห่วงพระมเหสีที่แอบหนีออกนอกวังจนเกิดเรื่อง จึงรีบตรงไปยังตำหนักของพระมเหสีทันทีที่รู้ว่าพระมเหสีกลับมาอย่างปลอดภัย แต่แล้วอยู่ๆ พระองค์ก็หยุดเดินกระทันหันจนขันทีประจำพระองค์และเหล่าอูดัลจิเบรคแทบไม่ทัน  หลังเปลี่ยนพระทัยไม่ไปพบพระมเหสี พระเจ้าคงมินก็หันหลังกลับแล้วเดินนำลิ่ว เหล่าผู้ติดตามจึงต้องตั้งแถวใหม่และรีบวิ่งตามไป ไม่ทันไรพระเจ้าคงมินก็หยุดเดินและหันหน้ากลับไปทางตำหนักของพระมเหสีอีกครั้ง  เหล่าผู้ติดตามจึงต้องหันตามและตั้งแถวใหม่  แต่ในที่สุดพระองค์ก็เปลี่ยนใจและมุ่งหน้ากลับไปยังตำหนักของพระองค์ดังเดิม

ชเวซังกุงพยายามหว่านล้อมให้พระมเหสีเสด็จไปเข้าเฝ้าพระเจ้าคงมิน เพื่ออธิบายเหตุผลและขอให้พระองค์ทรงอภัย แต่พระมเหสียืนกรานว่าจะไม่ไป โดยบอกว่าหากพระเจ้าคงมินอยากรู้คงเสด็จมาสอบถามด้วยพระองค์เอง เมื่อถึงเวลานั้นพระมเหสีจะทูลพระองค์ทุกอย่าง ชเวซังกูงทูลว่า "ฝ่าบาททรงเป็นห่วงพระมเหสีมากนะเพคะ  พอรู้ว่าพระมเหสีกลับมาอย่างปลอดภัยพระองค์ก็...." พระมเหสีไม่เชื่อว่าพระเจ้าคงมินเป็นห่วงพระองค์จึงชิงพูดตัดบทว่าให้เลิกพูดโกหกเสียที

พระเจ้าคงมินถึงกับอึ้งเมื่อชุงซอกรายงานว่า พระมเหสีไม่ฝากคำพูดใดๆ ถึงพระองค์เลย ไม่ว่าจะเป็นคำขอโทษ หรือขอบคุณ พระองค์จึงถามย้ำว่าระหว่างเดินทางกลับเข้าวังพระมเหสีไม่เอ่ยวาจาถากถางพระองค์บ้างเลยหรือ ชุงซอกรายงานเสียงอ่อยว่า "จริงๆ แล้วพระมเหสีตรัสกับกระหม่อม 2 คำพะยะค่ะ ตอนที่กระหม่อมทูลเชิญพระมเหสีกลับเข้าวัง พรองค์ทรงถามกระหม่อมว่า "ทำไม" พอกระหม่อมตอบว่า ฝ่าบาทกำลังรออยู่ พระมเหสีก็ตรัสว่า "เป็นไปไม่ได้" เท่านี้เองพะยะค่ะ" (ชุงซอกเล่าด้วยน้ำเสียงและหน้าตาท่าทางเลียนแบบพระมเหสีตอนพูดคำว่า "ทำไม" และ "เป็นไปไม่ได้") 



ชุงซอกยังรายงานด้วยว่า แม้คนร้ายจะแต่งตัวเหมือนพวกนักเลงอันธพาล แต่เหล่านักรบที่ตามมาสมทบล้วนผ่านการฝึกฝนเป็นอย่างดี พระเจ้าคงมินรู้ได้ทันทีว่าคนร้ายถูกใต้เท้าต็อกซอง (คีชอล) ส่งมาปลงพระชนม์พระมเหสี ชุงซอกกล่าวเสริมว่า พวกนั้นยังฆ่าปิดปากคนของตนเองเพื่อไม่ให้มีการสาวถึงตัวผู้บงการ และวิธีการอันเหี้ยมโหดแบบนี้ก็มีเพียงคีชอลเท่านั้นที่ทำได้ เมื่อพระเจ้าคงมินถามถึงอึนซูและชเวยอง ชุงซอกก็รายงานว่า แทมานซึ่งตามชเวยองไปที่บ้านคีชอลได้กลับมาเอาอุปกรณ์ที่สำนักหมอหลวง แต่ถูกรมยาพิษและถูกชิงอุปกรณ์ไป พิษที่โดนนั้นแรงมาก ขนาดหมอชางบินช่วยรักษาเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น

พระเจ้าคงมินถามอย่างคาดคั้นว่า เขาไม่รู้ข่าวของอึนซูและชเวยองเลยหรือ พระองค์อยากรู้ว่าตอนนี้ทั้งคู่เป็นตายร้ายดียังไง ชุงซอกตอบอย่างมั่นใจว่า ทั้งคู่ไม่เป็นอะไรแน่ เมื่อถูกถามว่ารู้ได้ยังไง ชุงซอกจึงตอบด้วยสีหน้ามั่นใจว่า "เพราะเขาคือหัวหน้าของกระหม่อม หัวหน้าที่กระหม่อมรู้จักจะไม่ต่อสู้หากรู้ว่าไม่มีทางชนะ และถ้าจำเป็นเขาก็รู้วิธีล่าถอย ดังนั้น เขาจึงไม่มีทางเพลี่ยงพล้ำง่ายๆ....(จากนั้นก็พูดแบบไม่ค่อยเต็มปากว่า)... ที่ผ่านมาเป็นเช่นนั้นพะยะค่ะ" 


ชเวยองพยายามหว่านล้อมให้อึนซูขึ้นนั่งบนหลังม้า โดยอ้างว่าไม่ว่าเธอจะไปเกาะคังฮวากับตนหรือจะหนีไปที่ประตูสวรรค์ เธอก็ต้องหัดขี่ม้าให้ได้เสียก่อน แต่อึนซูยังคงจดๆ จ้องๆ และขอเวลาเตรียมใจ ชเวยองจึงตรงเข้าไปอุ้มอึนซูแล้ววางเธอลงบนโขดหิน จากนั้นก็สอนวิธีปืนขึ้นไปบนหลังม้าให้เธอ พอขึ้นนั่งบนหลังม้าได้แล้วก็ยังไม่วายมีปัญหา เพราะอึนซูดันล้มตัวลงแนบหลังม้าโดยไม่ยอมลุกขึ้นนั่ง ชเวยองถามอย่างอ่อนใจว่าเธอจะนั่งท่านี้ไปตลอดทางเลยหรือ เมื่อเห็นม้าเริ่มขยับตัวอึนซูก็บอกให้ม้าอยู่นิ่งๆ ชเวยองเห็นอึนซูคุยกับม้าก็เผลอยิ้มออกมา จากนั้นเขาก็วางมาดเข้มแล้วจูงม้าที่อึนซูนั่งให้เริ่มออกเดิน อึนซูจึงยอมลุกขึ้นนั่ง  เมื่อขี่ม้าได้แล้วชเวยองก็เริ่มสอนวิธีบังคับม้าให้อึนซูอย่างอดทน   

เมื่อเห็นว่าอึนซูยังคงต่อปากต่อคำและมีคำถามตลอดเวลา ชเวยองก็บอกให้เธอเชื่อใจม้า อึนซูเถียงว่าเธอเชื่อใจม้าแต่ปัญหาก็คือม้าไม่เชื่อใจเธอ  ชเวยองจึงบอกให้อึนซูเชื่อใจตน เพราะถ้าเธอตกจากหลังม้า เขาจะคว้าตัวเธอเอาไว้เอง  อึนซูได้ยินดังนั้นจึงมีความมั่นใจมากขึ้น เธอเริ่มทำตามคำแนะนำของชเวยองอย่างตั้งใจ จนสามารถบังคับม้าได้ในที่สุด


ทั้งคู่แวะพักแรมกลางป่าในตอนกลางคืน อึนซูกล่าวชมชเวยองที่ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว และถามด้วยความสงสัยว่าในเมื่อร่างกายเขาแข็งแรงขนาดนี้ แล้วทำไมในตอนนั้นเขาถึงดูเหมือนคนกำลังจะตาย หรือว่าเขาต้องการทำให้เธอตกใจเล่น  ชเวยอง (ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมฟืนสำหรับก่อไฟ) เงยหน้าขึ้นมามองอึนซูโดยไม่ยอมตอบคำถาม อึนซูยังคงถามต่อว่าแอสไพรินที่เธอเคยให้ไว้ยังมีเหลืออยู่รึเปล่าและเตือนว่าอย่าลืมกินยา  ชเวยองเดินไปหยิบผ้าห่มบนหลังม้ามาโยนให้อึนซูแล้วบอกให้เธอนำไปใช้ห่มนอน จากนั้นก็กลับมานั่งก้มหน้าก้มตาตรงที่เดิมโดยไม่ยอมมองหน้าอึนซู อึนซูถือผ้าห่มแล้วลุกเดินไปหาที่เหมาะๆ นอน แต่ชเวยองใช้ดาบจิ้มลงบนพื้น แล้วบอกแกมสั่งอึนซูว่า "ตรงนี้...ข้างๆ ตัวข้า"

อึนซูมองชเวยองด้วยสายตาแบบรู้ทันแล้วถามว่า "ตรงไหนนะ" (เธอคิดว่าชเวยองอยากให้เธอนอนใกล้ๆ เพราะเขารักเธอ) ชเวยองยืนยันหนักแน่นว่า "ตรงนี้" อึนซูแย้งว่า การที่ผู้ชายและผู้หญิงอยู่กันตามลำพังกลางดึกบนภูเขาอันมืดมิดก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกแล้ว และเขายังอยากให้เธอนอนข้างๆ อีกเนี่ยนะ ชเวยองจึงอธิบายโดยไม่ยอมมองหน้าว่า ยิ่งเธออยู่ห่างเขามากเท่าใด เขาก็ยิ่งปกป้องเธอยากขึ้นเท่านั้น อึนซูฟังเหตุผลของชเวยองแล้วจึงยอมเดินกลับมาแต่โดยดี 


ระหว่างปูผ้าห่มลงบนพื้น อึนซูก็ถามชเวยองว่า เขาชอบปกป้องคนอื่นมากนักหรือ หรือว่าแค่ทำตามหน้าที่ จากนั้นก็เปรยว่า เขามีพระราชาที่ต้องคอยปกป้อง มีคำสัญญาที่ต้องรักษา...(ระหว่างนั้นสายตาของชเวยองจับจ้องไปที่อะไรบางอย่างตลอดเวลา) แถมยังต้องปกป้องตัวเธออีก มิหนำซ้ำ เขายังเที่ยวปกป้องทุกคนถึงขนาดยอมเอาชีวิตตนเข้าแลกอีกต่างหาก  เธอถามชเวยองว่าคนไข้ที่เธอกำลังจะเดินทางไปรักษาคือพระราชาที่ขึ้นครองบัลลังก์ก่อนหน้าพระเจ้าคงมินใช่ไหม  ชเวยองนั่งก้มหน้านิ่ง แต่อึนซูยังคงถามต่อว่า เขาเคยอารักขาอดีตพระราชาองค์นี้ด้วยใช่ไหม ชเวยองปรายตามองอึนซูแล้วตอบว่า เขาเคยเป็นอูดัลจิ (ทหารองครักษ์ของพระราชา) ของอดีตพระราชาองค์นี้เป็นเวลา 3 ปี 

อึนซูถามต่อว่าเขาสนิทกับอดีตพระราชาไหม ชเวยองหันขวับแล้วกล่าวว่า ระหว่างพระราชาและข้าราชบริพารไม่เคยมีคำว่าสนิทกัน แต่อึนซูฟันธงว่าเขาต้องสนิทกับอดีตพระราชาแน่ๆ  โดยให้เหตุผลว่า ถ้าไม่สนิทกัน ชเวยองคงไม่พยายามหว่านล้อมให้เธอเดินทางมาที่นี่กับเขา ทั้งๆ ที่ไม่มีใครคอยจับตาดู  เธอถามว่า เพราะอดีตพระราชาประชวรหนักเขาเลยเป็นห่วงใช่ไหม ชเวยองเห็นอึนซูพูดไม่หยุดเลยถามว่า เธอจะไม่นอนหรือ อึนซูโวยวายว่าแค่คุยกันนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป เพราะเธอกับเขารู้จักกันน้อยมาก ชเวยองหันไปมองหน้าอึนซูราวกับว่าเขาเองก็อยากรู้เรื่องราวของเธออยู่ลึกๆ  อึนซูถามว่า "แม้แต่ชื่อชั้น   นายเคยรู้บ้างรึเปล่า" เมื่อเห็นชเวยองนั่งนิ่ง อึนซูก็บอกว่า "ชั้นชื่อ 'อึนซู'... ยู อึนซู" (ชเวยองแอบพูดทวนชื่ออึนซู)  


อึนซูถามชเวยองว่า เขาแต่งงานหรือยัง (เธอรู้ว่าผู้คนในยุคโครยอแต่งงานเร็ว) เมื่อชเวยองตอบว่า "ยัง" อึนซูก็พูดหน้าตาเฉยว่า "ก็น่าอยู่หรอก ผู้หญิงคนไหนจะชอบฆาตกรที่ไล่แทงคนทั้งวัน" ชเวยองหันขวับ ก่อนบอกให้อึนซูรีบนอนเพราะพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า อึนซูเอนตัวลงนอนแล้วบอกว่า "ชั้นก็ยังเหมือนกัน" ชเวยองหันมาถามว่า "ยัง...อะไร"  อึนซูจึงบอกว่า "ชั้นก็ยังไม่แต่งงานเหมือนกัน พ่อแม่ชั้นเป็นเจ้าของฟาร์มที่บ้านนอก  ส่วนชั้นเป็นสาวโสดที่อยู่ตามลำพังในโซลก่อนถูกลักพาตัวมาที่นี่ (อึนซูแอบค้อนชเวยอง) แม่ชั้นต้องเสียใจมากแน่ๆ ถ้ารู้ว่าลูกสาวคนเดียวหายตัวไป" ชเวยองไม่อยากให้อึนซูพูดเรื่องตัวเองมากไปกว่านี้ จึงขอร้องให้อึนซูหยุดพูดแล้วรีบนอนพัก พลางหันไปมองอะไรบางอย่างด้วยท่าทีเป็นกังวล

อึนซูขอให้ชเวยองสัญญาว่า หลังรักษาอดีตพระราชาแล้วเขาจะพาเธอไปส่งที่ประตูสวรรค์ ชเวยองหันไปมองหน้าอึนซูแต่ไม่ยอมรับปาก อึนซูจึงกล่าวว่า "นี่ คนโรคจิต...กู๊ดไนท์! ชั้นหมายความว่าฝันดีน่ะ" เมื่ออึนซูนอนหันหลังให้ ชเวยองก็หยิบขวดแอสไพรินออกมาแล้วเทยาใส่ปาก (ตามที่อึนซูสั่ง)  จากนั้นก็หันไปมองอึนซูแล้วแอบยิ้มคนเดียว


ขันทีประจำพระองค์รายงานชเวซังกุงระหว่างเดินไปเข้าเฝ้าพระเจ้าคงมินที่ท้องพระโรงกลางดึก ว่าพระเจ้าคงมินไม่ยอมเสด็จไปบรรทม ทั้งยังไม่ยอมแตะต้องพระกระยาหารและน้ำเลย เมื่อเห็นชเวซังกุงมาขอเข้าเฝ้า พระเจ้าคงมินก็ตรัสถามว่าเธอจะมาตำหนิพระองค์ใช่ไหม ชเวซังกุงกล่าวว่าเธอจะให้หมอหลวงชางนำพระโอสถมาถวาย เพื่อที่พระองค์จะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และเธอจะไปทำข้าวต้มใส่นมที่พระองค์เคยโปรดสมัยยังทรงพระเยาว์มาถวายด้วย (ชเวซังกุงเคยรับใช้พระเจ้าคงมินก่อนที่พระองค์จะเสด็จไปเป็นตัวประกันที่ต้าหยวน)

* ในที่นี้จะใช้คำราชาศัพท์พอเป็นพิธี โดยจะเน้นถ่ายทอดเรื่องราวเพื่อความบันเทิงเท่านั้น 

พระเจ้าคงมินถามชเวซังกุงว่า "ในฐานะพระราชา ข้าควรคำนึงถึงประชาชนของข้าเป็นลำดับแรกใช่มั๊ย ถ้าเช่นนั้น ทางเลือกใดที่ทำแล้วจะช่วยให้ประชาชนของข้ามีชีวิตที่สงบสุขได้มากที่สุด ระหว่างการยอมสวามิภักดิ์ต่อเขา (คีชอล) ถ้าข้าบอกเขาว่าข้าจะเชื่อถือศรัทธาในตัวเขา ทำเช่นนั้นแล้วจะนำความสงบสุขมาสู่ประชาชนของข้าได้มากกว่าไหม จะได้ไม่ต้องคอยเป็นกังวลเรื่องหาวิธีต่อกรหรือหาทางเอาชนะเขา ส่วนหัวหน้าอูดัลจิและท่านหมอใหญ่ หากสองคนนี้กลายเป็นคนของเขา ชีวิตจะมีแต่ความสุขสบายไม่ใช่หรือ ท่านหมอที่ทั้งกล้าหาญและมั่นใจจะได้รับการดูแลเอาใจใส่แบบหน้ามือเป็นหลังมือ และเสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทอง"

ชเวซังกุงกล่าวว่า "หากคนที่ฝ่าบาทตรัสถึงคือใต้เท้าต็องซอง สิ่งเดียวที่คนๆ นั้นนึกถึงก็คือตัวเอง... ข้าต้องทำยังไงเพื่อให้ตัวเองสูงส่งขึ้น ร่ำรวยขึ้น ข้าจะต้องกดขี่และเอารัดเอาเปรียบประชาชนอย่างไรจึงจะเพิ่มพูนความมั่งคั่งของข้า สำหรับเขาแล้วประชาชนไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเพียงเครื่องมือและสมบัติเท่านั้น แล้วฝ่าบาทจะทรงมอบประชาชนของพระองค์ให้กับคนแบบนั้นหรือเพคะ" พระเจ้าคงมินกล่าวด้วยความเจ็บปวดใจว่า "ข้าไม่มีทางเลือกอื่น ไม่ว่าจะไตร่ตรองยังไง ก็ไม่มีอะไรที่ข้าทำได้เลย" ชเวซังกุงจึงเตือนว่า "ในฐานะพระราชา มีคำพูดอยู่สองสามคำที่ฝ่าบาทไม่ควรตรัสออกมา นั่นก็คือคำว่า 'ไม่มีทาง' และ 'ไม่มีอะไรที่ข้าทำได้' คำเหล่านี้พระราชาห้ามพูดเพคะ" พระเจ้าคงมินถามย้ำว่า "ห้ามพูดงั้นรึ" ชเวซังกุงตอบหนักแน่นว่า "พูดไม่ได้เพคะ" พระเจ้าคงมินถามอีกว่า "เพราะข้าเป็นพระราชางั้นรึ" ชเวซังกุงตอบทันควันว่า "เพคะ" พระเจ้าคงมินจึงตรัวว่า "สมกับที่เป็นคนในตระกูลเดียวกันจริงๆ ...เจ้ากับชเวยอง" หลังได้ข้อคิดจากชเวซังกุงแล้ว พระเจ้าคงมินก็ขอให้ชเวซังกุงช่วยทำข้าวต้มใส่นมมาให้พระองค์เสวย


หลังปล่อยให้อึนซูนอนได้พักหนึ่ง ชเวยองก็ถามว่า "ท่านหลับหรือยัง" เมื่อเห็นอึนซูนอนนิ่ง ชเวยองก็ถามใครบางคนว่า "เจ้าจะอยู่ตรงนั้นทั้งคืนเลยหรือ" ฮวา ซูอินเดินออกมาจากที่ซ่อนแล้วตรงไปหาอึนซู แต่ชเวยองปาไม้ปักลงบนพื้น (ห่างจากเท้าฮวา ซูอินนิดเดียว) เพื่อเป็นการตักเตือน ฮวา ซูอินเลยเดินกลับมาหาชเวยอง ชเวยองเห็นว่าแทมานมาช้าผิดปกติจึงถามฮวาซูอินว่าเป็นเพราะเธอใช่ไหม ฮวา ซูอินตอบว่า เธอไม่รู้ แค่คอยจับตาดูชเวยองกับอึนซูเธอก็สนุกมากพอแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงไปทำอย่างอื่น

ชเวยองบอกฮวา ซูอินว่า เขาอยากถามอะไรบางอย่าง ฮวา ซูอินถามกลับว่า คำถามอะไรนะที่จะถามได้เฉพาะตอนที่คนรักนอนหลับอยู่ เธอสงสัยว่าทั้งคู่เป็นคนรักกันจริงหรือไม่ ชเวยองไม่ตอบคำถามฮวา ซูอิน แต่ถามกลับว่า "นายของเจ้าบอกให้เราเดินทางไปเกาะคังฮวา...." ฮวา ซูอินไม่ยอมแพ้จึงแทรกขึ้นว่า  "เจ้าบอกว่าเป็นคนรักกัน แต่นางกลับเรียกเจ้าว่าฆาตกร" ชเวยองยังคงพูดต่อว่า "เขาไม่มีทางเป็นห่วงพระพลานามัยขององค์ชายคยองชาง*"  ฮวา ซูอินถามต่อเรื่องเดิมว่า "ถึงอย่างนั้น นางก็ยังนอนเคียงข้างเจ้า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น" ชเวยองพูดต่อเรื่องเดิมเช่นกันว่า "มิหนำซ้ำ เขายังไม่วางกลอุบายหลอกล่อเพื่อกำจัดหมอใหญ่และข้า"


ฮวา ซูอินเดินไปนั่งตักชเวยองพลางโอบคอเขาแล้วถามว่า "ความลับของเจ้าคืออะไร ผู้ชายอย่างที่เจ้าเป็น เจ้าทำยังไงถึงได้รับความไว้วางใจจากผู้หญิงอย่างง่ายดาย" ชเวยองหันไปมองหน้าฮวา ซูอินแล้วถามว่า "สุดท้ายแล้ว พระราชาคือเป้าหมายของเขาใช่ไหม" ฮวา ซูอินถามกลับอย่างยั่วยวนว่า "เจ้าไม่อยากได้ความไว้วางใจจากข้าหรือ" ชเวยองไม่สนใจฮวา ซูอิน และยังคงถามถึงเรื่องที่ตนอยากรู้ว่า "เขาต้องการอะไรจากพระราชา" ฮวา ซูอินเริ่มหมดความอดทนจึงลุกหนี พลางบ่นว่า ชเวยองเป็นคนน่าเบื่อ ที่คิดถึงแต่เรื่องการถวายความจงรักภักดีต่อพระราชาของตน ชเวยองถามว่า "เจ้าไม่รู้อะไรจริงๆ หรือ เจ้ามันก็แค่สุนัขรับใช้ที่ไม่รู้ว่าความจริงแล้วเจ้านายของตนต้องการอะไร... ข้าไม่สนใจคนอย่างเจ้าหรอก"

ฮวา ซูอิน หัวเราะแล้วบอกว่า เขาคนนั้นไม่ใช่เจ้านายแต่เป็นพี่ชายของเธอ (นับถือเป็นพี่น้อง แต่ไม่ใช่พี่แท้ๆ) แถมเธอยังเป็นน้องสาวคนโปรดอีกต่างหาก เธอจึงขอให้เขาสนใจเธอบ้าง ชเวยองไล่ฮวา ซูอินไปนอน แล้วบอกให้ไปจากที่นี่ก่อนอึนซูตื่นเพื่อไม่ให้เธอตกใจกลัว พูดจบเขาก็ทรุดตัวลงไปนั่งพิงก้อนหินแล้วหลับตา ฮวา ซูอินเดินเข้าไปหาแล้วลูบไล้แขนชเวยอง ก่อนบอกว่า  พรุ่งนี้พี่ชายเธอจะไปเข้าเฝ้าพระราชาของชเวยอง และพี่ชายเธอคงจะเอ่ยถึงชเวยองด้วย เธอรู้สึกได้ว่าในตอนนี้พี่ชายของเธอเริ่มมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะดึงตัวชเวยองมาเป็นพวก

เมื่อรู้ว่าคีชอลมาเข้าเฝ้าพระเจ้าคงมิน โจ อิลชินก็รีบวิ่งไปขอเข้าเฝ้า เพราะกลัวว่าพระองค์จะตกหลุมพรางของคีชอล แต่ก็ไม่อาจเข้าไปในท้องพระโรงได้เพราะถูกโทลแบและต็อกมานขวางเอาไว้


คีชอลเริ่มแผนยุแยงโดยถามพระเจ้าคงมินว่า "ฝ่าบาททรงสนิทสนมกับหัวหน้าองครักษ์ชเวยองใช่ไหมพะยะค่ะ" เมื่อพระเจ้าคงมินยอมรับว่าใข่ คีชอลก็กล่าวต่อว่า "ถ้าเช่นนั้น พระองค์คงรู้ว่าเขาลักพาตัวท่านหมอใหญ่ไปจากบ้านข้า" พระเจ้าคงมินหัวเราะ แล้วกล่าวว่า "ต่อให้ข้าได้ยินเรื่องนั้นมาก่อน มันก็ยากที่เชื่อ ข้าได้ยินมาว่าที่บ้านของท่านมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนายิ่งกว่าในวังเสียอีก... การบุกเข้าไปในบ้านท่าน ใครจะเป็นฝ่ายลักพาตัวใครกันแน่" คีชอลกลาวว่า "แม้มันยากที่จะทำใจยอมรับ แต่ก็เป็นความจริงพะยะค่ะ เขาเป็นคนที่น่าทึ่งและมีฝีมือร้ายกาจมาก"

พระเจ้าคงมินตรัสถามว่า "หัวหน้าองครักษ์ของข้าลักพาตัวท่านหมอใหญ่ซึ่งมาจากสวรรค์ เจ้าว่าอย่างนั้นรึ" พระองค์หันไปถามความเห็นชุงซอก (รองหัวหน้าองครักษ์) ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ชุงซอกตอบว่าตนเองก็ไม่รู้เช่นกัน คีชอลสบโอกาสจึงทูลถามว่า "ฝ่าบาททรงรู้หรือไม่พะยะค่ะ ว่าชเวยองเป็นคนโปรดของอดีตพระราชา...องค์ชายคยองชาง และทรงรู้หรือไม่ว่าในตอนนี้องค์ชายคยองชางกำลังป่วยเป็นโรคเรื้อรัง" พระเจ้าคงมินปรายตามองชุงซอก ชุงซอกจึงทูลว่า องค์ชายทรงมีปัญหาเกี่ยวกับสายตาและหูก่อนสละราชบัลลังก์ด้วยซ้ำ


คีชอลทูลอีกว่า "หากชเวยองลักพาตัวท่านหมอใหญ่เพียงเพราะเป็นห่วงพระวรกายขององค์ชาย แล้วทำไมเขาถึงไม่มากราบทูลฝ่าบาทเพื่อขอให้พระองค์ทรงอนุญาตก่อน เพราะถึงยังไงฝ่าบาทก็ไม่มีทางทอดทิ้งพระนัดดา (หลาน) ของพระองค์อยู่แล้ว" พระเจ้าคงมินรู้ว่าคีชอลต้องการบอกอะไรบางอย่างกับพระองค์  จึงบอกให้คีชอลเลิกอารัมภบทแล้วพูดเข้าเรื่องเสียที คีชอลจึงทูลว่า "ถ้าเช่นนั้น กระหม่อมขออนุญาตล้ำเส้นสักเล็กน้อย... ฝ่าบาทสนิทกับชายผู้นี้มากแค่ไหน...ชเวยองน่ะพะยะค่ะ นับตั้งแต่เดินทางออกจากหยวนจนถึงตอนนี้ พระองค์เพิ่งรู้จักเขาแค่เดือนเดียวไม่ใช่หรือพะยะค่ะ ระหว่างชเวยองและอดีตพระราชา...องค์ชายคยองชาง  ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ใช่แค่พระราชากับข้าราชบริพาร นับตั้งแต่ขึ้นครองบัลลังก์ในวัยเพียง 12 ชันษา ชเวยองก็เป็นทั้งองครักษ์คนสนิท พระอาจารย์ และพี่ชาย พวกเขามีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากพะยะค่ะ  ก่อนลักพาตัวท่านหมอใหญ่แล้วรีบพานางไปรักษาองค์ชาย ชเวยองได้ขออนุญาตพระองค์สักคำไหมพะยะค่ะ"

* องค์ชายคยองชางเป็นโอรสของพระเจ้าชุงฮเย ทรงขึ้นครองบัลลังก์ในนามพระเจ้าชุงจอง และเป็นพระราชาองค์ที่ 30 ของโครยอ หลังครองบัลลังก์ได้ 3 ปี พระองค์ก็ถูกคีชอลโค่นบัลลังก์และโดนเนรเทศออกจากวัง จึงกลับมาอยู่ในสถานะองค์ชายดังเดิม

พระเจ้าคงมินถึงกับหน้าถอดสี เพราะพระองค์ก็อยากได้รับความไว้วางใจแบบนั้นจากชเวยองด้วยเช่นกัน   อีกทั้งยังรู้ด้วยว่าคีชอลหมายถึงอะไร พระองค์จึงกล่าวว่า "ดังนั้น เจ้ากำลังจะบอกข้าว่า หัวหน้าองครักษ์ของข้าไปที่นั่นโดยมีเจตนาที่จะก่อกบฏ และต้องการนำองค์ชายคยองชางกลับมาขึ้นครองบัลลังก์แทนข้าอย่างงั้นรึ" คีชอลแกล้งตีหน้าซื่อแล้วถามว่า "เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือพะยะค่ะ"


ในที่สุดชเวยองและอึนซูก็เดินทางไปถึงที่ประทับ (สถานที่กักกันตัว) ขององค์ชายคยองชาง ซึ่งเป็นเพียงบ้านหลังเล็กๆ ที่อยู่ในสภาพทรุดโทรม ชเวยองหันไปมองอึนซูแล้วส่งสายตาบอกให้เธอลงจากหลังม้าแทนคำพูด องค์ชายคยองชางได้ยินเสียงเหมือนมีคนอยู่หน้าบ้านจึงลุกจากเตียงขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าผู้ที่เปิดประตูเข้ามาคือชเวยอง พระองค์ก็รีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความคิดถึง พลางร้องเรียก "ยอง! ยอง!" แต่แล้วก็สะดุดล้มตรงหน้าชเวยอง ชเวยองรีบทรุดตัวลงไปประคององค์ชายคยองชางแล้วถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม (เป็นครั้งแรก) ว่า "พระองค์สบายดีไหมพะยะค่ะ" 

องค์ชายคยองชางกล่าวด้วยเสียงอันสั่นเครือว่า "ยอง! เจ้ามาแล้ว... เจ้ามาหาข้าแล้ว ยอง!" พระองค์โผเข้ากอดชเวยองด้วยความดีใจ อึนซูเห็นแล้วได้แต่ยืนยิ้มด้วยความซาบซึ้งใจเมื่อเห็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่และอดีตพระราชาตัวน้อยโผเข้ากอดกัน ชเวยองกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง เมื่อเห็นว่าพระองค์ต้องนอนบนเตียงแข็งๆ ในห้องที่มีสภาพทรุดโทรมและรกรุงรัง เพราะไม่มีคนช่วยดูแล และไม่มีแม้แต่คนช่วยจุดเตาไฟหรือเติมน้ำมันในตะเกียงส่องสว่าง  (แปลว่าพระองค์ต้องอยู่ท่ามกลางความหนาวและความมืด) ชเวยองก็ยิ่งรู้สึกสงสารและเห็นใจองค์ชายคยองชางมากขึ้น เขาจึงกอดตอบองค์ชายแล้วตบหลังพระองค์เบาๆ

ระหว่างที่อึนซูกำลังตรวจดูพระอาการ องค์ชายคยองชางก็กล่าวว่า "แม้แต่ข้า (ที่ถูกเนรเทศมาอยู่ตั้งไกล) ก็ยังได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับหมอใหญ่ท่านนี้ด้วยล่ะ ยอง... พวกเขาบอกว่าเป็นเจ้าที่ขึ้นไปบนสวรรค์แล้วเชิญตัวนางมาที่นี่ ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเจ้า ในโลกนี้มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ทำเรื่องแบบนี้ได้" (ระหว่างนั้นอึนซูตรวจดูช่องหูขององค์ชายคยองชางแล้วพบว่าพระอาการไม่สู้ดีนัก) องค์ชายคยองชางถามด้วยความอยากรู้ว่า ที่นั่นเป็นยังไง ชเวยองเห็นพระองค์ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นจึงหัวเราะแล้วถามว่าพระองค์อยากรู้เรื่องอะไร องค์ชายคยองชางถามว่า "บนสวรรค์ ทุกอย่าง...ทุกคนที่นั่นสวยเหมือนนางไหม" อึนซูได้ยินองค์ชายคยองชางชมว่าเธอสวยจึงพูดว่า "พระองค์อายุแค่นี้ แต่มี 'เซ้นส์' ไม่เบา" องค์ชายได้ยินคำพูดแปลกๆ จึงพูดทวนแบบงงๆ ว่า "เซน-ซึ" ชเวยองรีบบอกพระองค์ว่า "ไม่ต้องใส่ใจหรอกพะยะค่ะ นางมักใช้ถ้อยคำจากสวรรค์ที่พวกเราไม่เข้าใจ"


อึนซูถามองค์ชายคยองชางว่า พระองค์เคยมองเห็นภาพซ้อน หรือมีอาการปวดตาปวดหูบ้างไหม องค์ชายคยองชางถึงกับทึ่งและตรัสชมอึนซูว่า "ว้าว...ท่านเป็นท่านหมอใหญ่จริงๆ ด้วย แค่มองท่านก็รู้ได้ทันที" ชเวยองมองหน้าอึนซู อึนซูมีสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด เธอถามองค์ชายคยองชางอีกว่า พระองค์ทรงมีปัญหาเรื่องการได้ยินเป็นบางครั้งใช่ไหม องค์ชายคยองชางพยักหน้ารับ แล้วตอบว่า มีบางครั้งที่พระองค์ไม่ได้ยินอะไรเลย อึนซูส่งสายตาบอกชเวยองว่า องค์ชายคยองชางมีอาการน่าเป็นห่วง ชเวยองเข้าใจในทันทีและมีสีหน้าวิตกกังวลเช่นกัน

อึนซูขอตรวจดูขาองค์ชายคยองชาง จากนั้นก็ลองบีบขาพระองค์ดู องค์ชายคยองชางขอให้ชเวยองเล่าเรื่องบนสวรรค์ให้ฟัง ชเวยองจึงขยับเข้าไปหา แล้วออกตัวว่าตนไปไม่นานและเห็นอะไรไม่มาก แต่บ้านเรือนที่นั่นสูงเทียมเมฆ แม้แต่ในยามค่ำคืนที่นั่นก็ยังสว่างไสวเพราะแสงไฟ แถมผู้คนต่างก็นั่งเกี้ยวที่วิ่งได้เองโดยไม่ต้องมีม้า และเกี้ยวนั้นก็ยังมีแสงไฟที่ส่องให้เห็นถนนเบื้องหน้าอีกด้วย (ระหว่างนั้นอึนซูลองบีบขาองค์ชายคยองชางแล้วทำสีหน้าวิตกกังวล) แม้แต่ภาพบนสวรรค์ก็ยังวาดด้วยแสงไฟ เมื่อเห็นองค์ชายคยองชางแสดงสีหน้าเจ็บปวด ชเวยองก็หันไปมองหน้าอึนซู  และเริ่มรู้ว่าการรักษาองค์ชายคงไม่ใช่เรื่องง่าย

เมื่อเห็นว่าองค์ชายนอนหลับแล้ว อึนซูก็เดินมาหาชเวยองแล้วบอกว่า แม้เธอไม่อาจวินิจฉัยพระอาการได้อย่างถูกต้องหากไม่มีเครื่องทีซีสแกน (การตรวจเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์) และไม่ได้ทำไบออพซี่ (ผ่าตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ) แต่ถ้าดูจากเนื้องอกที่เห็นในหูและพระอาการของพระองค์ เธอคาดว่าพระองค์น่าจะเป็นเนื้องอกประเภท  "แรบโดมัยโอซาร์โคม่า" ซึ่งเป็นก้อนเนื้อร้ายในกล้ามเนื้อโครงร่าง 

* แรบโดมัยโอซาร์โคม่า หมายถึง มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ตัวอ่อนที่จะพัฒนาเป็นเซลล์กล้ามเนื้อลาย ซึ่งเป็นเนื้องอกชนิดร้ายมาก โตเร็ว และแพร่กระจายตั้งแต่แรกๆ  


ชเวยองมององค์ชายคยองชาง (ซึ่งนอนหันหลังให้) แล้วถามตรงๆ ว่า "รักษาหายไหม" อึนซูตอบว่า ตอนนี้ก้อนเนื้อได้แพร่กระจายมาที่ขาขององค์ชายแล้ว แสดงว่าก้อนเนื้อนั้นเป็นก้อนเนื้อร้าย (ที่สามารถแพร่กระจายหรือลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆได้)  ชเวยองถามย้ำว่า "รักษาได้ไหม" อึนซูถอนใจแล้วตอบว่า ตอนนี้เนื้องอกอาจแพร่กระจายไปที่ช่องท้องขององค์ชายแล้ว และเพื่อป้องกันไม่ให้ลุกลามต่อไปอีก พระองค์จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดทันที หลังจากนั้น... อึนซูพูดยังไม่จบ ชเวยองก็แทรกขึ้นว่า  การรักษาโรคนี้จำเป็นต้องแข่งกับเวลาใช่ไหม อึนซูตอบว่า ถึงแม้จะผ่าตัดสำเร็จก็ยังต้องรักษาต่อด้วยเคมีบำบัด ดังนั้น เธอจึงแนะนำให้ชเวยองรีบพาองค์ชายกลับไปรักษาที่สำนักหมอหลวง เพราะเธอจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ผ่าตัด และต้องการความช่วยเหลือจากหมอหลวงชางบิน

อึนซูหยิบกระเป๋าเตรียมออกเดินทาง แต่ชเวยองกล่าวว่า ทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะองค์ชายอยู่ในระหว่างการถูกเนรเทศ จึงไม่สามารถออกจากบ้านหลังนี้ได้ หากพระองค์ก้าวเท้าออกจากบ้านแม้เพียงก้าวเดียว พระองค์จะมีความผิด  (ชเวยองไม่รู้ว่าองค์ชายคยองชางนอนฟังทั้งคู่คุยกันอยู่)


จูซอกได้รับมอบหมายจากชุงซอกให้ออกเดินทางไปพบหัวหน้าชเวยองอย่างลับๆ ชุงซอกกำชับว่าให้รีบไปแล้วเล่าให้ชเวยองฟังทุกอย่าง จากนั้นก็บอกชเวยองว่าให้ละทิ้งทุกอย่างแล้วรีบกลับวังทันที เพราะถ้าหากทำอะไรวู่วามเขาจะถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ แล้วตอนนี้พระเจ้าคงมินก็เริ่มสงสัยในตัวชเวยองแล้ว ชุงซอกยังย้ำจูซอกให้ไปบอกชเวยองว่า ถึงแม้จะไม่มีเจตนาก่อกบฏ แต่ก็ห้ามพาองค์ชายออกจากบ้านโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้น เขาจะตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ หลังได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญจูซอกก็รีบควบม้าออกไปหาชเวยองทันที

คีชอลถามคีวอนว่า เจ้าหน้าที่บนเกาะคังฮวาได้รับคำสั่งหรือยัง คีวอนตอบว่าตนกำชับไปหลายครั้งแล้ว คีชอลจึงถามถึงคนที่ตัวเองส่งไป คีวอนตอบว่า ตอนนี้ทุกคนประจำตำแหน่งพร้อมเหลือแค่รอรับคำสั่งเพียงอย่างเดียว และถามกลับว่าฮวา ซูอินล่ะ คีชอลตอบว่า ฮวา ซูอินรู้ดีอยู่แล้วว่าเธอต้องทำอะไร คีวอนเห็นว่าพี่ชายตนไม่ได้มีทีท่าเคร่งเครียดและเอาจริงเอาจังอย่างนี้มานานแล้ว จึงสงสัยว่าทำไมคราวนี้คีชอลถึงได้วางแผนอย่างรอบคอบและระมัดระวังเป็นพิเศษ คีชอลได้ฟังดังนั้นจึงหันขวับ  คีวอนรีบแก้ตัวว่า ตนไม่ได้เห็นพี่ชายสนุกอย่างนี้มานานแล้ว ทำให้โดนคีชอลแยกเขี้ยวใส่


ยางซานำอุปกรณ์ผ่าตัดของอึนซูมาวางเรียงบนโต๊ะ โดยบอกว่าตนไปเอามาด้วยตนเองเมื่อวานนี้ คีชอลเห็นอุปกรณ์ผ่าตัดบนโต๊ะแล้วก็ต้องตกตะลึง เขาหยิบมีดเล่มหนึ่งขึ้นมาดูพลางบอกว่าตนเคยเห็นอุปกรณ์เหล่านี้มาก่อน มันแลดูคุ้นๆ เหมือน.... คีชอลรีบห่ออุปกรณ์ผ่าตัดแล้วตรงดิ่งไปที่ห้องๆ หนึ่ง เขานำอุปกรณ๋ของอึนซูมาวางบนโต๊ะ  แล้วหยิบอุปกรณ์ในกล่องที่ตนเก็บไว้ออกมาวางเทียบกัน ปรากฏว่าว่ามีลักษณะคล้ายกันมาก เพียงแต่อุปกรณ์ของคีชอลนั้นเก่าจนสนิมเขราะ ยางซาและคีวอนตกตะลึงตาค้าง เมื่อเห็นว่าเป็นอุปกรณ์ชนิดเดียวกัน คีวอนจำได้ว่าอุปกรณ์เก่าเก็บที่คีชอลหยิบออกมาเทียบ เป็นของที่อาจารย์ของคีชอลมอบให้ คีชอลกล่าวว่า อาจารย์ของตนมอบอุปกรณ์ดังกล่าวให้โดยบอกว่าเป็นของฮวาตา คีชอลจึงเชื่อว่า อึนซูเป็นลูกศิษย์ของฮวาตาที่มาจากสวรรค์จริงๆ

คีชอลถามน้องชายว่า ตอนนี้อึนซูอยู่ที่ไหน คีวอนตอบว่าอยู่บนเกาะคังฮวา คีชอลสั่งน้องชายให้ไปบอกคนของตนว่าห้ามทำร้ายหรือแตะต้องอึนซูแม้เพียงปลายผม  คีวอนกล่าวว่าตอนนี้สายเกินกว่าที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่ง เพราะตอนนี้พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว เขาสั่งให้ทุกคนลงมือตอนพระอาทิตย์ตกดิน คีชอลจึงบอกว่า ถ้าอย่างนั้นตนจะไปหาอึนซูด้วยตนเอง พูดจบเขาก็รีบวิ่งออกไปทันที


อึนซูสวมบทพี่เลี้ยงองค์ชาย โดยเล่าให้องค์ชายซึ่งกำลังนอนหนุนตักฟังว่า บนสวรรค์มีสิ่งที่น่าสนใจมากมายจนไม่รู้จะเล่าอะไรก่อนดี เธอจึงบอกว่าที่นั่นมีเกิร์ลกรุ๊ปวัยใสที่สวยเหมือนตุ๊กตา ชเวยองนำกาน้ำมาต้มให้องค์ชายแล้วบอกว่าจะรีบกลับมาก่อนพระอาทิตย์ตกดินวันพรุ่งนี้  องค์ชายคยองชางรีบลุกขึ้นแล้วขอให้ชเวยองค้างคืนกับตน พระองค์ถามชเวยองว่า "เจ้ารู้มั๊ยว่าข้าคิดถึงเจ้ามากแค่ไหน รู้มั๊ยว่ามีกี่คำถามที่ข้าอยากถามเจ้า"  อึนซูบอกองค์ชายให้ปล่อยชเวยองไป แล้วเธอจะเล่าเรื่องบนสวรรค์ให้ฟังทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรถยนต์ เครื่องบิน  คอมพิวเตอร์ เกิร์ลกรุ๊ป และเกมต่างๆ  ชเวยองถามอึนซูว่าจะให้นำมาเฉพาะอุปกรณ์ที่เธอต้องการใช่ไหม อึนซูกล่าวว่า ถ้าเขานำตัวหมอหลวงชางบินมาด้วยก็จะยิ่งดี 

ชเวยองฝากองค์ชายไว้กับอึนซู อึนซูแกล้งทำเป็นเล่นตัวแล้วถามว่าเขาเห็นเธอเป็น "เบบี้ซิตเตอร์" งั้นหรือ และกล่าวว่า "ถ้าฉันคำนวณให้นายดูทีหลังว่านายเป็นหนี้ชั้นเท่าไหร่ อย่าหงายหลังก็แล้วกัน นายเตรียมตัวจ่ายค่าจ้างก้อนใหญ่แล้วหรือยัง" องค์ชายไม่เข้าใจที่อึนซูพูดจึงถามว่าที่เธอพูดมานั้นเป็นภาษาที่ใช้พูดคุยกันบนสวรรค์หรือ และถามว่าเธอหมายความว่ายังไง  อึนซูถามว่า "คำไหนเพคะ 'เบบี้ซิตเตอร์' เหรอ" องค์ชายรีบพยักหน้า ชเวยองมององค์ชายและอึนซูอย่างเอ็นดูแล้วตัดบทว่า "กระหม่อมทูลลาพะยะค่ะ" เขาก้มศีรษะคำนับองค์ชายอย่างนอบน้อมก่อนเดินไปที่ประตู อึนซูยกสองมือขึ้นบ๊ายบายแล้วบอกว่า "รีบกลับมานะ"  องค์ชายเห็นอึนซูบ๊ายบาย เลยยกมือบ๊ายบายชเวยองบ้าง ชเวยองเห็นแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข และเดินออกจากบ้านไป 


หลังเดินออกจากบ้านได้ไม่กี่ก้าว ชเวยองก็พบว่ามีคนของคีชอลดักซุ่มอยู่ทางด้านนอก ไม่นานคนของคีชอลก็เริ่มโจมตีชเวยอง แต่ชเวยองก็รับมือทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย ทันใดนั้น ฮวา ซูอินก็ปาระเบิดควันใส่ชเวยอง ชเวยองจะเดินไปหาฮวา ซูอิน แต่มีกลุ่มชายฉกรรจ์ถือดาบเข้ามาขวางไว้ ฮวา ซูอินถามชเวยองว่าจะไปไหน ชเวยองไม่เสียเวลาตอบคำถาม เขารีบกลับเข้าบ้านไปหาอึนซูและองค์ชายทันที 

ชเวยองเดินไปคว้าแขนองค์ชาย แล้วบอกให้พระองค์ตามตนมาใกล้ๆ เมื่อเห็นอึนซูและองค์ชายพากันตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ชเวยองก็สั่งด้วยทีท่าร้อนรนว่า "เราต้องรีบหนีไปที่ประตูหน้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามหยุดหรือลังเลจนถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเด็ดขาด จงตามข้ามาติดๆ ท่านพร้อมรึยัง"  อึนซูพยายามถามว่าเกิดอะไรขึ้น ชเวยองไม่รอช้าจึงพูดว่า "หากท่านพร้อมแล้ว... (เขาชักดาบออกมา)...เราจะฝ่าออกไปตอนนี้เลย" อึนซูรีบหันไปหยิบกระเป๋าคู่ใจแล้วบอกว่า "ลุยเลย"


ชเวยองเดินนำออกมา อึนซูเดินตามหลังและคอยประคององค์ชายเอาไว้ เมื่อเห็นคนร้ายยืนรออยู่ข้างหน้าชเวยองก็ควงดาบและตรงเข้าฟาดฟันคนร้ายทันที ฮวา ซูอิน ปาระเบิด (แอปเปิ้ล) ข่มขู่และส่งสัญญาณเรียกทหารยาม ไม่นานเหล่าทหารก็พากันวิ่งตรงมาที่ชเวยอง หัวหน้าทหารยามชี้ดาบใส่ชเวยอง แล้วกล่าวหาว่าเขาเป็นคนร้ายที่บังอาจพาองค์ชายหลบหนี ชเวยองพยายามอธิบายว่า ตนคือหัวหน้าอูดัลจิ นามว่าชเวยอง ตนเพิ่งปะทะกับเหล่านักฆ่าจึงคิดที่จะพาองค์ชายไปประทับในที่ปลอดภัย ชเวยองยังไม่ทันได้อธิบายอะไร ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์โผล่ออกมาจากทางด้านหลัง (ทำทีว่าเป็นพวกเดียวกัน) หนึ่งในนั้นตะโกนว่า "คุ้มกันองค์ชาย" ชายกลุ่มดังกล่าวจึงกระจายกำลังล้อม (คุ้มกัน) ชเวยอง อึนซู และองค์ชายเอาไว้ (ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ชายกลุ่มดังกล่าวเพิ่งโจมตีชเวยอง) ชเวยองเห็นดังนั้นก็รู้ทันทีว่าตนกำลังติดกับของคีชอล 

แต่เขาไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะบานปลายไปมากกว่านั้น... หัวหน้าทหารยามคิดว่าชเวยองนำกำลังบุกมาชิงตัวองค์ชายจึงร้องสั่งลูกน้องให้จับกุมพวก 'กบฏ'  เมื่อฮวา ซูอินปาระเบิดใส่กลางวงทหารยาม พลธนูบนหลังคาก็ยิงธนูเข้าใส่ทหาร หลังจากนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์ก็ถือดาบตรงเข้าสังหารทหารยามที่เหลือทันที ชเวยองได้แต่ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยอาการตกตะลึง เขารู้ดีว่าในตอนนี้ตนเองได้กลายเป็นผู้ก่อกบฏเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา