กำกับ: โจ ซูวอน, ชิน ซึงอู
เขียนบท: ปาร์ค เฮรยอน
เขียนบท: ปาร์ค เฮรยอน
แนวละคร: โรแมนติก, ดราม่า, คอมเมดี้, ครอบครัว
จำนวนตอน: 20
ออกอากาศ: เกาหลี - 12 พฤศจิกายน 2557 - 15 มกราคม 2558 ทางเอสบีเอส
ไทย - ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 16.25-18.00 น. และ 21.30-23.00 น. ทางช่องมีเดีย84 ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2559 - 27 มีนาคม 2559 (ช่อง 7 นำมาฉายใหม่ทุกคืนวันศุกร์ เวลา 23.10 น. ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560 - 21 เมษายน 2560)
จำนวนตอน: 20
ออกอากาศ: เกาหลี - 12 พฤศจิกายน 2557 - 15 มกราคม 2558 ทางเอสบีเอส
ไทย - ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 16.25-18.00 น. และ 21.30-23.00 น. ทางช่องมีเดีย84 ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2559 - 27 มีนาคม 2559 (ช่อง 7 นำมาฉายใหม่ทุกคืนวันศุกร์ เวลา 23.10 น. ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560 - 21 เมษายน 2560)
เรื่องย่อ
ละคร "พิน็อคคิโอ (Pinocchio)" เป็นผลงานสร้างสรรค์ของผู้กำกับและผู้เขียนบทละครเรื่อง "กระซิบรักจิตสัมผัส (I Hear Your Voice)" เนื้อหากล่าวถึงเรื่องราวของ "กี ฮามยอง" ชายหนุ่มผู้มีปมในอดีตและเกลียดการโกหกแต่กลับต้องมาใช้ชีวิตด้วยการแกล้งสวมรอยเป็นคนอื่น และต้องปิดบังความชาญฉลาดของตัวเองเอาไว้ กับ "ชเว อินฮา" หญิงสาวที่เป็น "พิน็อคคิโอ ซินโดรม" ทำให้ไม่สามารถพูดโกหกได้ เนื้อหาในละครยังสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการนำเสนอข่าวตามความเป็นจริง โดยแสดงให้เห็นว่าถ้าเรื่องโกหกถูกนำมารายงานเป็นข่าวจะส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้อื่นอย่างไร
ละคร "พิน็อคคิโอ (Pinocchio)" เป็นผลงานสร้างสรรค์ของผู้กำกับและผู้เขียนบทละครเรื่อง "กระซิบรักจิตสัมผัส (I Hear Your Voice)" เนื้อหากล่าวถึงเรื่องราวของ "กี ฮามยอง" ชายหนุ่มผู้มีปมในอดีตและเกลียดการโกหกแต่กลับต้องมาใช้ชีวิตด้วยการแกล้งสวมรอยเป็นคนอื่น และต้องปิดบังความชาญฉลาดของตัวเองเอาไว้ กับ "ชเว อินฮา" หญิงสาวที่เป็น "พิน็อคคิโอ ซินโดรม" ทำให้ไม่สามารถพูดโกหกได้ เนื้อหาในละครยังสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการนำเสนอข่าวตามความเป็นจริง โดยแสดงให้เห็นว่าถ้าเรื่องโกหกถูกนำมารายงานเป็นข่าวจะส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้อื่นอย่างไร
ละครเปิดฉากขึ้นด้วยคำชี้แจงว่า "พิน็อคคิโอ ซินโดรม" เป็นอาการที่ถูกสมมุติขึ้น
เหตุการณ์ในละครเริ่มต้นขึ้นวันที่ 8 ตุลาคม 2005 (พ.ศ. 2548) ณ โรงเรียนมัธยมชองโป... เมื่อครูใหญ่ประกาศว่าตอนบ่ายโมงจะมีการถ่ายทอดสดรายการควิซ ชาลเลนจ์ (เกมตอบคำถาม) ทางสถานีวายจีเอ็น โดย "อัน ชานซู" นักเรียนมัธยมของโรงเรียนดังกล่าวได้ผ่านเข้ารอบสองและจะแข่งขันตอบคำถามกับผู้ท้าชิงเป็นสัปดาห์ที่สองในวันนี้ เหล่านักเรียนทุกคน (ยกเว้น "ชเว ดัลโพ" ซึ่งขาดเรียนอีกตามเคย) จึงพากันมานั่งลุ้นที่หน้าจอทีวี ครั้นทางรายการเปิดเทปแนะนำตัวผู้ท้าชิง เหล่าบรรดาเพื่อนร่วมชั้นและคุณครูก็ถึงกับตกตะลึงเมื่อพบว่าคู่แข่งขันของชานซูคือ "ชเว ดัลโพ"
เทปเปิดตัว (แนวบ้านๆ ตามสไตล์หนุ่มภูธร) ระบุว่า ดัลโพเป็นผู้ท้าชิงที่มาจากโรงเรียนเดียวกับแชมป์เก่า (ชานซู) และเขาก็เป็นหนึ่งในนักเรียนเรียนดีที่ทำคะแนนได้เป็นอันดับ 34 ของโรงเรียน การแข่งขันในวันนี้จึงเป็นการดวลกันระหว่างนักเรียนระดับหัวกะทิที่สอบได้ที่หนึ่งกับที่ 34 ของโรงเรียน... พอถูกเชิญขึ้นมาบนเวทีดัลโพก็รีบเคลียร์ว่าตนไม่ใช่นักเรียนระดับหัวกะทิ ผู้ดำเนินรายการแย้งว่าจะไม่ใช่ได้อย่างไรในเมื่อเขาสอบได้ที่ 34 ของโรงเรียน ดัลโพจึงชี้ว่าโรงเรียนของตนมีนักเรียนเพียง 34 คน ตนไม่เพียงได้ที่โหล่แต่ยังได้ศูนย์ทุกวิชาจนมีฉายาว่า "นายไข่ต้ม" อีกด้วย (เมื่อ "ฮวาง คโยดง" ซึ่งเป็นโปรดักชั่น ไดเร็คเตอร์ (พีดี) ของรายการได้ยินดังนั้น จึงหันมาดุลูกน้องที่นำเด็กบ๊วยมาแข่งกับเด็กท็อป)
ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่าหากดัลโพต้องการโค่นแชมป์เก่าจะต้องตอบคำถามให้ได้ทั้งหมด 5 คำถามก่อน จากนั้นก็เริ่มถามคำถามแรก โดยให้ระบุชื่ออาการผิดปกติทางระบบประสาทที่ถูกตั้งชื่อตามคาแรคเตอร์ในเทพนิยาย โดยบอกใบ้ว่าประชากร 1 ใน 43 ของประเทศมีอาการดังกล่าว (เป็นเรื่องสมมุติ) ลักษณะอาการคือจะสะอึกทันทีที่โกหกอันเป็นผลมาจากความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ* ดัลโพนิ่งไปชั่วขณะก่อนขอใช้สิทธิ 'ถามเพื่อน' ทั้งๆ ที่เป็นคำถามข้อแรกและมีระดับความยากน้อยที่สุด ทำให้ถูกกองเชียร์ของชานซูที่อยู่ในห้องส่งหัวเราะเยาะและมองอย่างดูถูก แม้แต่คโยดงก็ยังมองว่าดัลโพเป็นคนโง่ ลูกน้องของคโยดง (ที่เลือกดัลโพมาเป็นผู้ท้าชิง) พยายามแก้ตัวว่าดัลโพไม่ได้โง่แต่ใช้สิทธิเล่นขำๆ เพื่อเอ็นเตอร์เทนคนดู จากนั้นก็แกล้งหัวเราะร่าแต่ทีมงานคนอื่นๆ กลับขำไม่ออก
* ระบบประสาทอัตโนมัติ เป็นระบบประสาทที่ประกอบไปด้วยเซลล์ประสาทจำนวนมาก แต่เซลล์ประสาทเหล่านี้จะทำงานเป็นอิสระไม่อยู่ภายใต้อำนาจจิตใจหรือการควบคุมของระบบประสาทส่วนกลาง ดังนั้น การทำงานของเซลล์ประสาทอัตโนมัติจึงทำงานได้โดยไม่ต้องอาศัยคำสั่งจากสมอง
* ระบบประสาทอัตโนมัติ เป็นระบบประสาทที่ประกอบไปด้วยเซลล์ประสาทจำนวนมาก แต่เซลล์ประสาทเหล่านี้จะทำงานเป็นอิสระไม่อยู่ภายใต้อำนาจจิตใจหรือการควบคุมของระบบประสาทส่วนกลาง ดังนั้น การทำงานของเซลล์ประสาทอัตโนมัติจึงทำงานได้โดยไม่ต้องอาศัยคำสั่งจากสมอง
เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่าเขาต้องการใช้สิทธิถามใคร ดัลโพจึงกล่าวว่าตนไม่มีเพื่อนมาเชียร์แต่มีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ในที่นี้และเขาก็เป็นคนที่ตนอยากถาม ปรากฏว่าดัลโพขอถามชานซู ผู้ดำเนินรายการเตือนว่าถึงแม้จะเป็นเพื่อนร่วมชั้นแต่ชานซูเป็นคู่แข่งขันของดัลโพ แล้วดัลโพจะได้คำตอบที่ถูกต้องจากชานซูได้อย่างไร เมื่อชานซูกล่าวว่าตนยินดีช่วยผู้ดำเนินรายการก็เริ่มจับเวลา แทนที่จะใช้สิทธิถามเพื่อให้ได้คำตอบ ดัลโพกลับท้าชานซูว่าหากใครแพ้จะต้องโดนตบหน้า 10 ครั้ง ทุกคนที่ได้ยินต่างตกตะลึงตาค้างไปตามๆ กัน ชานซูรับปากเพราะคิดว่าตนเป็นฝ่ายชนะแน่นอน หลังจากนั้นดัลโพก็หันไปมองกล้องแล้วกล่าวว่า "ชเว อินฮา! ถ้าวันนี้ชั้นได้เป็นแชมป์..." เขาพูดยังไม่ทันจบก็หมดเวลาใช้ตัวช่วย (30 วินาที) พอดี
ดัลโพไม่เสียดายโอกาสเพราะเขารู้แต่แรกแล้วว่าคำตอบคือ "พิน็อคคิโอ" ผู้ดำเนินรายการถามดัลโพว่าเขาเคยพบคนที่เป็นพิน็อคคิโอ ซินโดรมหรือไม่ เมื่อดัลโพตอบว่าเคย ผู้ดำเนินรายการจึงชี้ว่าปกติแล้วคนที่มีอาการดังกล่าวมักไม่ค่อยพูดเพราะกลัวถูกจับได้ว่าโกหก ทำให้กลายเป็นคนกลัวการเข้าสังคม ดัลโพกล่าวว่าคนที่ตนรู้จักตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ที่มีอาการพิน็อคคิโอโดยสิ้นเชิง เพราะเพื่อนของตนทั้งพูดมากและพูดตรงจนมีฉายาว่า "ผ่าซากตัวแม่" (เหล่านักเรียนและอาจารย์ที่นั่งลุ้นหน้าจอทีวีได้ยินดังนั้นจึงพร้อมใจกันหันไปมองอินฮา อินฮาพยายามแก้ตัวว่าดัลโพไม่ได้หมายถึงตน ครั้นพอพูดจบเธอก็สะอึกทันที)
หลังจากนั้น ผู้ดำเนินรายการก็เริ่มถามคำถามที่สอง ซึ่งเป็นคำถามเกี่ยวกับการคำนวณปีตามปฏิทินจันทรคติจีนโบราณโดยใช้แผนภูมิสวรรค์ (ระบบเลขฐาน 60 หรือ "60 คับชา" ในภาษาเกาหลี ซึ่งประกอบด้วยอักษรภาคสวรรค์ (10 กิ่งฟ้า) และอักษรภาคปฐพี (12 ก้านดิน) ใช้สำหรับการนับวันและปีแบบดั้งเดิม ) ผู้ดำเนินรายการถามดัลโพว่า ตามหลักสากลแล้วปีนี้คือปี ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) แต่ถ้าคำนวณโดยใช้ระบบ 60 คับชา ปีนี้จะตรงกับปีอะไรในปฏิทินจันทรคติโบราณ ดัลโพรู้ได้ทันทีว่าคำตอบคือปี "อึลยู" เพราะพ่อของเขาเคยถามคำถามถามนี้เมื่อ 5 ปีก่อน ("อึลยู" หรือ "อี่โหยว่" ในภาษาจีน ประกอบด้วยคำว่า "อึล หรือ อี่" ซึ่งเป็นอักษรภาคสวรรค์ หมายถึง "ธาตุไม้หยิน" และคำว่า "ยู หรือ โหยว่" ซึ่งเป็นอักษรภาคปฐพี หมายถึง "ปีระกา")
* คลิกที่รูปด้านซ้ายเพื่อดูการเปรียบเทียบปีสากลกับปีตามปฏิทินจันทรคติโดยใช้แผนภูมิสวรรค์ - ภาพจากวิกิพีเดีย
* คลิกที่รูปด้านซ้ายเพื่อดูการเปรียบเทียบปีสากลกับปีตามปฏิทินจันทรคติโดยใช้แผนภูมิสวรรค์ - ภาพจากวิกิพีเดีย
ดัลโพนึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 5 ปีก่อนซึ่งตรงกับวันที่ 7 ตุลาคม 2000 (พ.ศ. 2543) ในตอนนั้นเขายังเป็นเพียงเด็กชาย... ระหว่างจัดหนังสือลงชั้นหลังเพิ่งย้ายมาอยู่บ้านใหม่ "กี โฮซัง" รู้สึกทึ่งเมื่อเล่นคำนวณปีกับลูกแล้วพบว่าลูกชายคนเล็ก "กี ฮามยอง" (ซึ่งก็คือดัลโพในปัจจุบัน) มีความสามารถด้านการคำนวณ ทั้งยังสามารถคำนวณปีตามปฏิทินจันทรคติได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ พอรู้ว่า "กี แจมยอง" ลูกชายคนโต (ซึ่งกำลังจัดวางใบประกาศเกียรติคุณและโล่รางวัลอันทรงเกียรติของพ่อ) ก็คิดเลขเร็วเช่นกัน เขาจึงยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจในตัวลูกชายทั้งสอง ถึงกับบอกว่าจะส่งลูกไปทดสอบระดับเชาวน์ปัญญาและเป็นสมาชิกเมนซา (เมนซาอินเตอร์เนชันแนล เป็นสังคมของคนเชาวน์ปัญญาสูงที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในโลก)
โฮซังเห็นว่าภรรยากำลังจะนำขนมต็อกไปมอบให้เพื่อนบ้านจึงอาสานำไปมอบให้เอง โดยถือโอกาสพาลูกชายทั้งสองไปอวดความสามารถด้านการคำนวณกับเพื่อนบ้านด้วยความภาคภูมิใจ แม้สองพี่น้องจะไม่ชอบใจนักแต่ก็ยอมทำเพื่อพ่อ หลานชายของเพื่อนบ้านคนหนึ่งเห็นดังนั้นก็รู้สึกหมั่นไส้จึงบอกว่าเรื่องกล้วยๆ แค่นี้ตนก็ทำได้ พูดจบเขาก็สะอึกทันที เพื่อนบ้านจึงบอกว่าหลานชายตนเป็นพีน็อคคิโอ ซินโดรม ทำให้สะอึกทุกครั้งที่โกหก หลานชายเพื่อนบ้านแย้งว่าตนไม่ได้โกหกทำให้สะอึกอีกครั้ง ถึงกระนั้นเขาก็ยังโม้ว่าการคำนวณปีเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ทำได้ แต่สุดท้ายก็สะอึกอีกตามเคย
แม้จะพาลูกชายไปอวดความสามารถด้านการคำนวณตามบ้านของเพื่อนบ้านตลอดทั้งวัน แต่โฮซังก็ยังไม่หนำใจ หลังไปเข้าเวรที่สถานีดับเพลิงในตอนกลางคืน เขายังคงโทรฯ มาหาลูกๆ กลางดึกเพื่อให้คำนวณปีอวดเพื่อนร่วมงาน แจมยองเริ่มง่วงจนคุยต่อไม่ไหวเลยยื่นโทรศัพท์แนบหูฮามยองซึ่งกำลังนอนหลับ พอได้ยินพ่อพูดว่าถ้าตอบคำถามแต่โดยดีจะพาไปดูการแสดงพลุและดอกไม้ไฟ ฮามยองก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง หลังจากนั้นสองพี่น้องก็ลุกขึ้นมาช่วยกันตอบคำถามพ่ออย่างแข็งขัน (พ่อถามเป็นปีสากล แล้วให้ลูกตอบเป็นปีทางจันทรคติ) ทำให้เพื่อนร่วมงานของโฮซังต่างพากันทึ่ง
แม้จะพาลูกชายไปอวดความสามารถด้านการคำนวณตามบ้านของเพื่อนบ้านตลอดทั้งวัน แต่โฮซังก็ยังไม่หนำใจ หลังไปเข้าเวรที่สถานีดับเพลิงในตอนกลางคืน เขายังคงโทรฯ มาหาลูกๆ กลางดึกเพื่อให้คำนวณปีอวดเพื่อนร่วมงาน แจมยองเริ่มง่วงจนคุยต่อไม่ไหวเลยยื่นโทรศัพท์แนบหูฮามยองซึ่งกำลังนอนหลับ พอได้ยินพ่อพูดว่าถ้าตอบคำถามแต่โดยดีจะพาไปดูการแสดงพลุและดอกไม้ไฟ ฮามยองก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง หลังจากนั้นสองพี่น้องก็ลุกขึ้นมาช่วยกันตอบคำถามพ่ออย่างแข็งขัน (พ่อถามเป็นปีสากล แล้วให้ลูกตอบเป็นปีทางจันทรคติ) ทำให้เพื่อนร่วมงานของโฮซังต่างพากันทึ่ง
ปรากฏว่าคืนนั้นมีเหตุเพลิงไหม้ที่โรงงานกำจัดของเสีย โฮซังซึ่งเป็นหัวหน้าทีมนักผจญเพลิงจึงรีบพาลูกทีมมุ่งหน้าไปยังที่เกิดเหตุซึ่งกำลังถูกเพลิงลุกไหม้อย่างหนักและมีเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว หลังหลบหนีออกมาได้อย่างปลอดภัยผู้จัดการโรงงานก็แจ้งโฮซังว่าลูกน้องสองคนของตนติดอยู่ในห้องทำงานชั้นสอง ลูกทีมของโฮซังเกรงว่าอาจเกิดระเบิดขึ้นอีกครั้งจึงแนะให้ตรวจเช็คดูก่อนว่าภายในมีวัตถุไวไฟหรือไม่ หลังดูแบบแปลนอาคารแล้วโฮซังและลูกทีมก็วางแผนช่วยเหลือผู้รอดชีวิตที่ติดอยู่ทางด้านใน โดยย้ำว่าต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่ามีความปลอดภัยมากพอแล้วค่อยฝ่าเปลวเพลิงเข้าไป หลังจากนั้นเหล่านักผจญเพลิงก็กระจายกำลังออกเป็นกลุ่มๆ โดยโฮซังรับหน้าที่ตรวจหาวัตถุไวไฟที่อยู่ในอาคาร
หลังโฮซังนำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปค้นหาผู้ที่ติดอยู่ในอาคาร พนักงานสองคนที่ผู้จัดการโรงงานบอกว่าติดอยู่ในอาคารก็โผล่ออกมาจากที่ซ่อน ทั้งคู่สารภาพกับผู้จัดการโรงงานว่าพวกตนแอบปิ้งปลาหมึกแห้งในห้องทำงานจนทำให้เกิดไฟลุกไหม้ หลังดับไฟไม่สำเร็จพวกตนจึงรีบหนีออกมา ผู้จัดการโรงงานได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตกใจเพราะเขาเป็นคนบอกโฮซังว่ามีคนติดอยู่ทางด้านใน ทำให้โฮซังและลูกทีมต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปในอาคารที่กำลังถูกเพลิงไหม้ ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือโฮซังซึ่งพยายามพังประตูห้องเก็บของ ไม่รู้ว่าภายในห้องเต็มไปด้วยเชื้อเพลิงและสารไวไฟและไฟก็กำลังลุกลามเข้าไปภายในห้องดังกล่าว เมื่อโฮซังพังประตูได้สำเร็จเขาก็ตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า ทันใดนั้นก็เกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงจนเปลวเพลิงลุกท่วมอาคารทั้งหลัง
เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าดับเพลิงยังคงฉีดน้ำหล่อเลี้ยงซากอาคารที่มีควันไฟคุกรุ่น ขณะที่เหล่าบรรดาญาติๆ ของนักผจญเพลิงต่างพากันร่ำไห้และร้องหาคนในครอบครัวของตน รวมทั้งภรรยาและลูกชายทั้งสองของโฮซังด้วย นอกจากนี้ บริเวณโดยรอบที่เกิดเหตุยังเต็มไปด้วยกองทัพนักข่าว โดยเหล่าบรรดานักข่าวภาคสนามของสถานีโทรทัศน์ทุกช่องต่างแข่งขันกันรายงานข่าว โดยไม่มีใครพูดถึงเรื่องเจ้าหน้าที่ฝ่าเปลวเพลิงเข้าไปค้นหาผู้ที่ติดอยู่ในอาคารแต่อย่างใด
สำนักข่าวเอ็นทีเอสรายงานว่า มีนักดับเพลิง 9 นายเสียชีวิตจากเหตุระเบิดในอาคาร โดยเหตุระเบิดเกิดขึ้นขณะเจ้าหน้าที่กำลังควบคุมเพลิง ส่วนสำนักข่าวเอ็มเอสซีรายงานว่า เหตุระเบิดและเพลิงไหม้ส่งผลให้มีนักดับเพลิงเสียชีวิต 9 นายและสูญหาย 1 นาย โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 01.10 น. ที่โรงงานกำจัดของเสียในจังหวัดคยองกี ด้านสำนักข่าวซีวีเอ็นรายงานว่าขณะเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้าไปดับไฟในอาคาร อยู่ๆ ได้เกิดระเบิดขึ้น ขณะที่สำนักข่าวอื่นๆ ต่างก็รายงานข่าวในทิศทางเดียวกัน
คโยดง ผู้สื่อข่าวภาคสนามของสถานีวายจีเอ็น (ซึ่งย้ายไปเป็นโปรดักชั่น ไดเร็คเตอร์ (พีดี) ประจำรายการควิซโชว์ในเวลาต่อมา) รายงานว่า เหตุระเบิดในครั้งนี้ส่งผลให้มีนักดับเพลิงเสียชีวิต 9 นาย ส่วนหัวหน้าทีม "กี โฮซัง" ยังคงหายสาบสูญ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสอบสวนผู้จัดการมูนและพนักงานโรงงานที่เข้าเวรเมื่อคืนนี้ (ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้จัดการมูนกำลังโกหกตำรวจว่าตนพยายามห้ามหัวหน้าทีมนักผจญเพลิงแล้วว่าอย่าเข้าไปในอาคารเพราะไม่มีใครอยู่ข้างในและเสี่ยงต่ออันตราย แต่หัวหน้าทีมยืนกรานว่าจะเข้าไปให้ได้)
"ซง ชาอ๊ก" ผู้สื่อข่าวชื่อดังแห่งสถานีเอ็มเอสซี เป็นคนเดียวที่สวมหน้ากากอนามัยขณะรายงานข่าว โดยกุเรื่องว่าบริเวณโดยรอบสถานที่เกิดเหตุยังเต็มไปด้วยแก๊สและควันพิษจากเหตุระเบิดทำให้หายใจลำบาก จากนั้นก็รายงานว่าเหล่านักผจญเพลิงผู้กล้า 9 นายต้องมาจบชีวิตลงขณะพยายามดับไฟเมื่อคืนนี้ เธอพยายามปลุกกระแสให้หาตัวการที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมและเรียกร้องให้สังคมรุมประณามคนที่ทำให้ผู้กล้าของพวกตนต้องมาจบชีวิตในกองเพลิงอย่างน่าอนาถ ช่างภาพเห็นว่าอากาศบริเวณนี้ไม่มีมลพิษจึงถามชาอ๊กว่าใส่หน้ากากทำไม ชาอ๊กตอบหน้าตาเฉยว่าเพื่อเพิ่มความสมจริง (ทำให้ดูเหมือนอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุมากกว่าสถานีช่องอื่น)
เมื่อสามีของชาอ๊กโทรฯ มาบอกว่าเขาลงนามและประทับตราใบหย่าให้แล้ว ชาอ๊กก็แกล้งพูดเองเออเองเสียงดังลั่น หวังให้นักข่าวของสถานีคู่แข่งเข้าใจว่ามีคนโทรฯ มาบอกเธอเรื่องพบพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์บริเวณร้านค้าแถวนี้ แถมเธอยังบรรยายเสร็จสรรพว่าชายคนดังกล่าวสวมกางเกงยีนส์และเสื้อฮู้ดสีเทาทำให้เหล่าบรรดานักข่าวต่างพากันเก็บข้าวของแล้วออกตามหาชายลักษณะดังกล่าวทันที แท้จริงแล้วชาอ๊กต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของนักข่าวช่องอื่นๆ เธอรู้ดีว่าทุกช่องจะต้องรุมสัมภาษณ์ครอบครัวผู้เสียชีวิตจึงวางแผนให้ทุกคนออกไปตามหาพยานที่ไม่มีตัวตน เพื่อที่เธอจะได้ทำสกู๊ปสัมภาษณ์ครอบครัวผู้เสียชีวิตตามลำพังและรายงานเรื่องนี้ก่อนใคร
หลังให้ข้อมูล (เท็จ) เจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ผู้จัดการโรงงานก็สั่งลูกน้องทั้งสองคนว่าห้ามเปิดเผยความจริงเรื่องที่ทั้งคู่เป็นคนทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยเด็ดขาด และถ้าหากใครถามให้บอกเพียงว่าพวกตนหนีออกมาก่อนที่อาคารจะเกิดระเบิด ลูกน้องคนหนึ่งแย้งว่าผู้จัดการโรงงานเองก็ต้องระวังด้วยเช่นกันเพราะเขาเป็นคนบอกหัวหน้านักผจญเพลิงว่าพวกตนติดอยู่ข้างใน ทำให้เหล่านักผจญเพลิงตัดสินใจฝ่าเปลวเพลิงเข้าไปในอาคารจนเสียชีวิตทั้งหมด พนักงานอีกคนกล่าวว่าหัวหน้านักผจญเพลิงหายตัวไปขณะปฏิบัติหน้าที่ ถ้าเจอตัวเขาเมื่อไหร่ความจริงทั้งหมดจะถูกเปิดเผย ผู้จัดการโรงงานมั่นใจว่าหัวหน้านักผจญเพลิงจะต้องตายแล้วแน่ๆ แต่ที่ไม่พบศพเป็นเพราะแรงระเบิดทำให้ร่างของเขาแหลกเหลว เมื่อผู้จัดการโรงงานพูดจบก็เกิดฟ้าผ่าทันที
ระหว่างนั่งรถเมล์ท่ามกลางสายฝน หลานชายเพื่อนบ้านของโฮซัง (ที่เป็นพีน็อคคิโอและโม้ว่าตนก็คำนวณปีได้อย่างรวดเร็วแม่นยำเช่นกัน) โทรฯ ไปคุยกับย่าเรื่องไฟไหม้โรงงาน โดยบอกว่านักดับเพลิงที่พาลูกชายมาบ้านตนเมื่อวานนี้สูญหายขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ ทันใดนั้น เขาก็หันไปเห็นชายคนหนึ่งซึ่งสวมแจ็คเก็ตสีเทาและกางเกงสีน้ำตาล ลักษณะคล้ายโฮซังกำลังวิ่งหลบฝน เขาจึงบอกย่าด้วยความมั่นใจว่าตนเพิ่งเห็นโฮซังกับตาตนเอง (แต่ละครเผยให้คนดูเห็นว่าชายคนดังกล่าวไม่ใช่โฮซัง - ชุดที่ชายคนดังกล่าวใส่คล้ายชุดที่โฮซังสวมตอนนำขนมไปมอบให้เพื่อนบ้านกับลูกชาย)
ภาพตัดไปที่เหตุการณ์โกลาหลและน่าสะเทือนใจในโรงพยาบาล บรรดาญาติๆ ต่างพากันร้องไห้ระงม บ้างก็โผเข้าไปกอดศพที่เจ้าหน้าที่เข็นเข้ามา ชาอ๊กและทีมงานตามมาถ่ายทำสกู๊ปข่าวที่นี่จึงเห็นว่าผู้สูญเสียมีทั้งหญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์ แม่บ้าน และหญิงชราที่สูญเสียลูกชาย แม้จะยังหาศพโฮซังไม่พบแต่สองพี่น้องฮามยองและแจมยองก็มารอฟังข่าวที่โรงพยาบาลกับแม่ (ซึ่งร้องไห้ตลอดเวลา) เมื่อหญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์เห็นสามแม่ลูกจึงเดินเข้าไปหาพลางร่ำไห้ และกล่าวโทษโฮซังที่พาสามีของตนไปตาย
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเข้ามาบอกภรรยาของโฮซังว่าสามีของเธอยังมีชีวิตอยู่ ชาอ๊กได้ยินดังนั้นจึงสั่งให้ช่างภาพบันทึกเหตุการณ์เอาไว้ เมื่อเห็นสามแม่ลูกทำหน้าเหมือนยังไม่ปักใจเชื่อ เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวจึงบอกว่ามีพยานพบเห็นโฮซังและพยานคนที่ว่าก็เป็นพีน็อคคิโอ ซินโดรมจึงพูดโกหกไม่ได้ ฮามยองเผลอพูดว่าโล่งอกไปที (แจมยองรีบเอามือปิดปากน้องแต่ก็สายเกินไป) เหล่าบรรดาญาติผู้เสียชีวิตได้ยินดังนั้นจึงยิ่งรู้สึกโกรธแค้น หญิงชราคนหนึ่งเข้ามาตำหนิฮามยองที่กล้าพูดเช่นนั้นต่อหน้าทุกคน ทั้งๆ ที่โฮซังพาลูกชายตนและคนอื่นๆ ไปตาย เธอรับไม่ได้ที่ฮามยองดีใจเมื่อรู้ว่าพ่อของเขารอดชีวิตเพียงคนเดียว หลังจากนั้น เหล่าบรรดาญาติๆ ของผู้เสียชีวิตก็พากันระบายความโกรธแค้นไปที่ภรรยาโฮซัง แจมยองเห็นแม่ร่ำไห้พลางก้มศีรษะขอโทษทุกคนทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิดก็รู้สึกเจ็บแค้น เขาจึงพาแม่และน้องออกจากบริเวณดังกล่าวก่อนที่เรื่องราวจะบานปลาย
หลังจากนั้นสามแม่ลูกก็ตกเป็นจำเลยของสังคม เหล่าบรรดาผู้สื่อข่าวต่างพากันมารุมล้อมที่หน้าบ้านและรุมสัมภาษณ์สองพี่น้องขณะกำลังจะออกไปโรงเรียน ทุกคำถามล้วนพุ่งเป้าไปที่พ่อของทั้งคู่ และเป็นคำถามที่ชี้นำว่าพ่อของพวกเขาพาลูกน้องไปตายและกำลังหลบหนีความผิด ทั้งคโยดงและชาอ๊กต่างก็เป็นนักข่าวที่มาดักรอสัมภาษณ์สองพี่น้องเช่นกัน แจมยองพยายามพาน้องชายเดินหนีผู้สื่อข่าว ถึงกระนั้นก็ยังได้ยินเพื่อนบ้านวิพากษ์วิจารณ์ครอบครัวของตนในทางเสียๆ หายๆ ชาอ๊กระดมยิงคำถามใส่สองพี่น้องอย่างไม่ปราณี ทุกคำถามของเธอล้วนสร้างบาดแผลในใจให้กับสองพี่น้องและยิ่งเป็นการตอกย้ำให้สังคมเข้าใจว่าพ่อของทั้งคู่สั่งให้ทุกคนเข้าไปในอาคารเพราะต้องการสร้างผลงาน แต่สุดท้ายกลับหนีเอาตัวรอดและกำลังหลบหนีความผิดโดยมีคนในครอบครัวช่วยปกปิดที่ซ่อน
เมื่อถูกชาอ๊กถามว่า มีความสุขใช่ไหมที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ฮามยองก็ท่องข้อมูลและรสนิยมส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่เสียชีวิตให้ทุกคนฟังทั้งน้ำตา โดยบอกว่าพ่อของตนติดข้อมูลดังกล่าวไว้ที่ผนังบ้าน ในห้องน้ำ บนโต๊ะ ข้างประตูหน้าบ้าน และแทบทุกที่ในบ้าน จนแม้แต่ตนก็ยังจำได้เช่นเดียวกับพ่อ และพ่อก็เตรียมของขวัญไว้ให้ลูกของเพื่อนร่วมทีมที่กำลังจะลืมตาดูโลกในไม่ช้าแล้วด้วย จากนั้นก็ย้อนถามว่า คนแบบนี้เหรอที่จะทิ้งเพื่อนร่วมทีมแล้วหนีเอาตัวรอดคนเดียว เหล่าเพื่อนบ้านและญาติผู้เสียชีวิตบางคนเริ่มคล้อยตามฮามยองเพราะสิ่งที่เขาพูดล้วนเป็นความจริง
ถึงกระนั้นชาอ๊กก็ยังคงคาดคั้นว่าถ้าพ่อของเขาไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วจะหลบหนีทำไม หลังจากนั้นเหล่าไทยมุงก็เริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่พ่อของเขาไม่ยอมปรากฏตัว แจมยองชักเริ่มหมดความอดทนจึงโวยลั่นว่าทำไมทุกคนถึงพากันให้ร้ายคนอื่นและหลงเชื่อข่าวลือทั้งๆ ที่ยังไม่มีหลักฐานและข้อพิสูจน์มายืนยัน ชาอ๊กจึงถามแจมยองว่าเขาสามารถพิสูจน์ได้ไหมว่าทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือ ทันใดนั้นก็มีคนปาไข่ใส่ฮามยอง แจมยองเห็นดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกโกรธจึงปัดไมค์ของนักข่าวทุกคนออก คงมีเพียงชาอ๊กยังคงจ่อไมค์กลับไปที่สองพี่น้อง เมื่อเห็นช่างภาพต่างพร้อมใจกันถ่ายรูปน้องชายตน แจมยองจึงขอร้องให้ทุกคนหยุดถ่ายพลางถามว่าพวกตนทำอะไรผิด ฮามยองเงยหน้ามองชาอ๊กด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดใจเพราะเขาเองก็อยากรู้คำตอบเช่นกัน
ที่สถานีเอ็มเอสซี ชาอ๊กบอกให้ทีมตัดต่อนำเทปสัมภาษณ์ผู้จัดการโรงงาน (ที่บอกว่าตนห้ามไม่ให้โฮซังเข้าไปในตึกแต่โฮซังกลับบังคับลูกน้องให้เข้าไปทางด้านใน) มาใส่ต่อจากเทปสัมภาษณ์สองพี่น้อง "คิม กงจู" ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานแนะให้ตัดภาพตอนที่แจ มยองโวยลั่นด้วยความโมโหออกเพราะเป็นภาพที่เกรี้ยวกราดเกินไป เขาเห็นว่าแจมยองเป็นเยาวชนถ้าเผยแพร่ภาพนี้ออกไปจะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและทำให้ตัวตนของแจมยองถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน แต่ชาอ๊กไม่ยอมให้ตัดออกและบอกให้เบลอหน้าแจมยองแทน
ส่วนทางด้านสถานีวายจีเอ็น คโยดงพยายามหว่านล้อม "ลี ยองทัก" ซึ่งเป็นหัวหน้า ให้นำเสนอภาพเหตุการณ์ที่หน้าบ้านสองพี่น้องโดยบอกว่าตนจะเบลอหน้าแจมยอง แต่ยองทักยืนกรานให้ตัดออก คโยดงจึงโวยว่าก่อนหน้านี้ช่องเอ็มเอสซีเพิ่งเผยแพร่ภาพแจมยองขณะกำลังคว้าคอเสื้อใครบางคน ยองทักชี้ว่าเพราะเหตุนี้ช่องเอ็มเอสซีจึงมีฉายาว่า "เอ็มเอสจี" (ย่อมาจาก โมโนโซเดียมกลูตาเมต หรือผงชูรส) เพราะเป็นสารปรุงแต่ง (ช่องเอ็มเอสซีชอบใส่สีตีข่าวเพื่อเรียกเรตติ้ง) และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ คโยดงสวนกลับว่าเพราะอย่างนี้ช่องวายจีเอ็นของพวกตนจึงถูกเรียกว่า "ยูกีนิวส์" (ออแกนิค นิวส์) ยองทักกล่าวว่าออแกนิคดีต่อสุขภาพจึงถือเป็นคำชม แต่คโยดงมองว่านั่นคือการดูถูก เขาชี้ว่าไม่ว่าอาหารจานนั้นจะดีต่อสุขภาพเพียงใด แต่ถ้ารสชาติห่วยแตกก็ไม่มีใครอยากกิน สำหรับตนแล้วข่าวที่ไม่มีคนดูย่อมไม่ถือว่าเป็นข่าว ยองทักคิดทบทวนชั่วครู่ก่อนเปรยว่า "ก็จริง" คโยดงจึงถามอย่างมีหวังว่าพวกตนเผยแพร่ภาพข่าวสองพี่น้องได้แล้วใช่ไหม ยองทักพยักหน้าแต่กลับยืนยันคำเดิมว่า "ตัดออก"
ชาอ๊กโวยใส่กงจูที่ไม่เห็นด้วยกับการนำเสนอภาพข่าวสองพี่น้องและบอกให้ทำตามที่ตนสั่ง โดยอ้างว่าโฮซังเป็นคนไร้ยางอายที่หนีเอาตัวรอดคนเดียว ทั้งยังปฏิเสธความรับผิดชอบหลังพาลูกน้อง 9 คนไปตาย โดยมีคนในครอบครัวเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและคอยให้ความช่วยเหลือ กงจูถามว่า "ถ้ากี โฮซังตายแล้วจริงๆ ล่ะ อาจเป็นได้ว่าที่ไม่พบศพเป็นเพราะแรงระเบิด" ชาอ๊กนิ่งไปชั่วขณะก่อนเถียงว่า พยานยืนยันว่าเห็นโฮซังตัวเป็นๆ มากับตา แถมพยานคนที่ว่ายังเป็นพีน็อคคิโอ ซินโดรม ทำให้ไม่สามารถโกหกได้ ที่สำคัญเจ้าหน้าที่พบศพนักดับเพลิงทั้ง 9 คนในที่เกิดเหตุ มีเพียงโฮซังเท่านั้นที่หายไป
ส่วนทางด้านคโยดงก็กำลังเถียงกับยองทักเรื่องโฮซังเช่นกัน เมื่อดูจากรูปการณ์แล้วเขาเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ 99% ที่โฮซังยังมีชีวิตอยู่ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ตำรวจออกหมายจับโฮซัง ยองทักได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า "มีความเป็นไปได้ 99% งั้นเหรอ แสดงว่านายยอมรับแล้วสินะว่ายังขาดอีกหนึ่งเปอร์เซ็นต์ถึงจะเป็นเรื่องจริง" ยองทักเตือนคโยดงว่า อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าโฮซังยังมีชีวิตอยู่ และอย่ากล่าวหาคนอื่นแบบลอยๆ หรือประณามโฮซังว่าเป็นคนต่ำช้า ตราบใดที่โฮซังยังไม่ถูกจับและไม่มีการตัดสินว่าเขาทำผิดจริง ห้ามมโนไปเองและให้รายงานแต่ข้อเท็จจริง มิเช่นนั้น ข่าวที่เขานำเสนอแบบคาดเดาหรือใช้ความรู้สึกส่วนตัวเป็นเกณฑ์อาจส่งผลกระทบและสร้างความเดือดร้อนเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้แก่ผู้บริสุทธิ์
ชาอ๊กบอกทีมงานว่าสิ่งที่คนดูสนใจไม่ใช่ข้อเท็จจริงแต่เป็นผลกระทบทางด้านสังคมหรือจิตใจ ในเมื่อมีนักดับเพลิงตายถึง 9 คน จึงต้องหาใครสักคนมากล่าวโทษและรองรับความคับแค้นใจของบรรดาญาติๆ ผู้เสียชีวิต และคนๆ นั้นก็คือโฮซังที่สั่งให้ทุกคนไปตาย ด้วยเหตุนี้เธอจึงเล่นข่าวในประเด็นที่ว่าโฮซังสั่งให้ลูกน้องไปตายแล้วหนีเอาตัวรอด หลังจากนั้นก็ไปหลบซ่อนตัวเพราะกลัวถูกลงโทษทางกฏหมายและไม่กล้าสู้หน้าครอบครัวผู้ตาย เธอยังนำเทปสัมภาษณ์พยานที่อ้างว่าเห็นโฮซังกับตามาเผยแพร่เพื่อเป็นการยืนยันว่าโฮซังยังมีชีวิตอยู่และกำลังหลบหนีความผิด จากนั้นก็อ้างคำพูดตำรวจที่บอกว่า หากคนในครอบครัวของโฮซังช่วยกันหว่านล้อมก็มีความเป็นไปได้สูงที่โฮซังจะเข้ามอบตัว ทางตำรวจจึงขอให้คนในครอบครัวช่วยพาโฮซังมาพบเจ้าหน้าที่
หลังตำรวจเข้าตรวจค้นบ้าน ภรรยาของโฮซังให้การว่านับตั้งแต่เกิดเพลิงไหม้สามีของเธอยังไม่เคยติดต่อมา แต่ยอมรับว่าก่อนเกิดเหตุโฮซังสวมเสื้อแจ็คเก็ตสีเทาและกางเกงสีน้ำตาลจริง พอได้ข้อมูลจากตำรวจชาอ๊กก็รายงานข่าวว่า คนในครอบครัวยืนกรานว่าไม่เคยได้รับการติดต่อจากโฮซังและการตายของนักดับเพลิงทั้ง 9 คนไม่ใช่ความผิดของโฮซังด้วย หลังจากนั้นเธอก็เผยภาพตอนที่แจมยองตะคอกนักข่าวด้วยความโกรธว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือ เธอยังกล่าวอีกว่าเจ้าหน้าที่มีแผนจับกุมโฮซังด้วยข้อหาละเลยการปฏิบัติหน้าที่ แต่หลายคนไม่เห็นด้วยเพราะโทษเบาเกินไปสำหรับคนที่ทำให้เพื่อนร่วมงานตายถึง 9 คน
แจมยองเห็นน้องชายนั่งดูชาอ๊กรายงานข่าวจึงรีบปิดทีวีและห้ามไม่ให้น้องดูทีวีอีก (เขากำลังเก็บกวาดเปลือกไข่ ก้อนหิน และเศษกระจก หลังมีคนปาไข่และก้อนหินใส่บ้าน) ฮามยองบอกพี่ชายด้วยน้ำเสียงอันเศร้าสร้อยว่า วันนี้แม่ของพวกตนไปตลาดแต่ไม่มีใครยอมขายของให้ตามเคยทำให้แม่ร้องไห้หนักมาก เขาถามพี่ชายว่าถ้าพ่อของพวกตนเป็นคนไม่ดีจริงอย่างที่นักข่าว (ชาอ๊ก) ว่า พวกตนจะทำอย่างไรดี แจมยองบอกน้องชายว่าบางครั้งข่าวก็ไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป และปลอบว่าถ้าพ่อกลับมาเมื่อไหร่ความจริงจะถูกเปิดเผย หลังจากนั้นทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม แล้วพวกตนก็จะออกไปดูดอกไม้ไฟด้วยกัน
ฮามยองเห็นพี่ชายไม่กลับบ้านหลายวันจึงสงสัยว่าพี่ชายโกหกและไม่กล้าสู้หน้าตน แต่แม่ของเขายืนยันว่าแจมยองไม่ได้โกหก เธอกล่าวว่าแจมยองไปนอนค้างบ้านเพื่อนและจะกลับบ้านเร็วๆ นี้ (ความจริงแล้วแจมยองถือโล่รางวัลของพ่อไปยืนปักหลักรอพบชาอ๊กหน้าสถานีเอ็มเอสซี โดยบอกว่าถ้าไม่ได้พบชาอ๊กจะไม่ยอมไปไหน) พอได้ยินฮามยองบ่นถึงพ่อ แม่ของฮามยองก็ถึงกับน้ำตาร่วง ถึงกระนั้นเธอก็ปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้ร้องไห้ อยู่ๆ เธอก็ชวนฮามยองไปดูดอกไม้ไฟ ทำให้ฮามยองดีใจจนลืมความเศร้าไปชั่วขณะ
ฮามยองยืนมองดอกไม้ไฟบนสะพานด้วยความตื่นเต้น ส่วนแม่ของเขาเอาแต่เหม่อมองสายน้ำเบื้องล่าง ตลอดเวลา ขณะที่แจมยองยืนมองดอกไม้ไฟที่หน้าสถานีเอ็มเอสซี ชาอ๊กก็เดินออกมาหาและถามว่ามาหาเธอทำไม แจมยองตอบว่าตนต้องการให้สัมภาษณ์ ชาอ๊กจึงพาแจมยองไปที่สตูดิโอ หลังดูการแสดงดอกไม้ไฟแล้ว แม่ก็ซื้อพลุขนาดเล็กให้ฮามยอง จากนั้นก็พาฮามยองขึ้นรถเมล์ไปจุดพลุบนหน้าผาริมทะเล ฮามยองจุดพลุเล่นพลางยิ้มอย่างมีความสุขตามประสาเด็ก หลังปล่อยให้ฮามยองสนุกสนานกับการจุดพลุได้สักพัก แม่ของเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือว่า "ฮามยอง ไปหาพ่อด้วยกันเถอะ"
เช้าวันรุ่งขึ้นบนหน้าผาเต็มไปด้วยตำรวจและนักข่าว เมื่อแจมยองมาถึงก็พบเพียงพลุ รองเท้าผ้าใบหนึ่งข้างของน้องชาย และจดหมายลาตายของแม่ ทั้งชาอ๊กและคโยดงต่างยืนมองแจมยองด้วยสีหน้าเศร้าสลด หลังอ่านจดหมายของแม่แล้วแจมยองก็ยิ่งแค้นใจ เมื่อกวาดตามองไปรอบๆ และพบว่าบริเวณดังกล่าวเต็มไปด้วยนักข่าว เขาก็ควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่และเกิดอาการคลุ้มคลั่ง จากนั้นก็วิ่งเข้าไปทำลายกล้องของทีมข่าวทีวี แม้ช่างภาพคนอื่นๆ จะพากันถ่ายภาพแจมยองตอนอาละวาด แต่ชาอ๊กกลับบอกให้ช่างภาพจับภาพร้องเท้าที่ตกอยู่ริมหน้าผาโดยใช้ทะเลเป็นแบ็คกราวด์ เมื่อแจมยองเห็นชาอ๊กเขาก็ตรงเข้าไปหาแต่ถูกขวางเอาไว้ เขาจึงได้แต่กรีดร้องด้วยความคับแค้นและเจ็บปวดใจต่อหน้าชาอ๊ก (มือของเขายังคงกำโล่รางวัลของพ่อเอาไว้แน่น)
5 เดือนต่อมา (มีนาคม ปี 2001)
หลังหย่ากับชาอ๊ก "ชเว ดัลพยอง" ก็พาลูกสาว (อินฮา) ย้ายไปอยู่ที่บ้าน "ชเว กงพิล" ผู้เป็นบิดาบนเกาะฮยางรี (เป็นเกาะที่ถูกสมมุติขึ้น) ระหว่างอยู่บนเรือโดยสารดัลพยองบอกให้อินฮาเผยความรู้สึกออกมาตรงๆ เพราะตนไม่ใช่คนใจแคบ แต่อินฮาไม่อยากพูดเพราะกลัวทำร้ายความรู้สึกพ่อ ครั้นพอถูกคาดคั้นเธอก็สารภาพตามตรงว่าตนอยากไปอยู่กับแม่มากกว่าจะได้ไม่ต้องย้ายมาอยู่บนเกาะที่ห่างไกลความเจริญ แถมยังต้องอยู่บ้านเดียวกับปู่ที่โรคสมองเสื่อม ดัลพยองได้ยินดังนั้นก็งอนและเดินหนี อินฮาเห็นดังนั้นก็แอบบ่น "เห็นมั๊ยล่ะ หนูบอกพ่อแล้วว่าไม่อยากพูด" (เธอเป็นพีน็อคคิโอซินโดรมเลยโกหกไม่ได้) อินฮาปลอบใจตัวเองว่าเธอจะต้องผ่านมันไปให้ได้ จากนั้นก็บอกตัวเองให้คงความเป็นสาวชาวกรุงเอาไว้ เธอไม่มีวันปล่อยให้ตัวเองกลายสภาพเป็นสาวชาวเกาะสุดโทรม และจะไม่ติดพูดสำเนียงท้องถิ่นโดยเด็ดขาด ครั้นพอเรือใกล้ถึงฝั่งอินฮาก็คอตกเพราะกลัวว่านับจากนี้เธอจะต้องใช้ชีวิตแบบมนุษย์ยุคถ้ำ
หลังลงเรืออินฮาก็เดินหน้ามุ่ยไปตลอดทาง พอไปถึงบ้านปู่เธอก็ยิ่งกลุ้มหนักเพราะเป็นบ้านแบบชนบทขนาดแท้ เมื่อดัลพยองพาอินฮาไปแสดงความเคารพกงพิล เขาก็รู้สึกแปลกในเมื่อพบว่าภายในบ้านเต็มไปด้วยตำรา กงพิลโม้ว่าอ่านหนังสือเยอะๆ สมองจะได้ไม่ขึ้นสนิม อินฮาถามกงพิลด้วยน้ำเสียงสุดทึ่งว่าเขาแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ด้วยหรือ กงพิลโม้อีกว่าตนทำแบบทดสอบได้ตั้ง 80 คะแนน อินฮาได้ยินดังนั้นจึงเริ่มสงสัยว่าปู่ของเธอเป็นโรคสมองเสื่อมจริงหรือ เพราะนอกจากปู่จะไม่หลงๆ ลืมๆ แล้วยังแลดูฉลาดเกินคาดอีกด้วย
และแล้วอาการของกงพิลก็เริ่มปรากฏ เมื่อเขามองนาฬิกาแล้วบอกว่า 'พี่ชาย' ของดัลพยองกำลังจะกลับมาแล้ว แถมยังชวนดัลพยองไปรอรับที่หน้าบ้านอีกด้วย ดัลพยองเห็นพ่อตั้งตารอจึงถามอย่างงุนงงว่าพี่ชายคนไหนกำลังจะมา พอรู้ว่ากงพิลหมายถึง 'ดัลโพ' พี่ชายคนเดียวของตน ดัลพยองก็ถึงกับมึน แต่ภาพที่เห็นตรงหน้ากลับทำให้เขายิ่งมึนหนัก เพราะคนที่พ่อของเขาออกมารอรับและร้องเรียก (ว่า "ดัลโพ") ด้วยความดีใจเป็นเด็กชายแปลกหน้าคนหนึ่ง (ส่วนภาพที่คนดูเห็นคือ ฮามยองลูกชายโฮซังที่ไว้ผมยาวแบบบ้านๆ กำลังปั่นรถจักรยานพ่วงหลังตรงมาที่บ้านกงพิล พลางร้องเรียกกงพิลว่าพ่อ)
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ฮายองซึ่งใช้ชีวิตใหม่ในฐานะดัลโพก็โผเข้ากอดกงพิลด้วยความดีใจ กงพิลบอกให้ดัลโพรีบทักทาย 'น้องชาย' (ดัลพยอง) กับหลานสาว (อินฮา) ซึ่งดัลโพก็ทำตามแต่โดยดี (อินฮาไม่พอใจที่ดัลโพทักทายอย่างเป็นกันเองแทนที่จะใช้ภาษาสุภาพทั้งๆ ที่เพิ่งพบกันครั้งแรก) กงพิลเห็นดัลโพก้มศีรษะทักทายดัลพยองอย่างนอบน้อมจึงแย้งว่าเขาไม่ควรทำเช่นนั้นเพราะดัลพยองอายุน้อยกว่าเขาหลายปี ดัลโพจึงสวมบทพี่ชายโดยเดินไปตบท้องดัลพยองเบาๆ แล้วทักด้วยภาษาแบบไม่เป็นทางการว่า "มาแล้วเหรอดัลพยอง" ตามที่กงพิลบอก จากนั้นก็เดินไปตบหัวอินฮาเบาๆ (ดัลโพเตี้ยกว่าอินฮาเลยต้องเขย่งเท้า) พลางชมว่าเธอเป็นหลานที่หน้าตาน่ารักน่าชังและชวนให้เธอเข้าไปในบ้าน หลังจากนั้นก็ดัลโพก็โผเข้ากอดกงพิล ดัลพยองและอินฮายืนมองกงพิลและดัลโพเดินกอดกันเข้าบ้านแบบงงๆ (ด้านหลังเสื้อแจ็คเก็ตของกงพิลมีตารางตัวเลข 1-9)
กงพิลเล่าให้สองพ่อลูกฟังว่า ราวๆ เดือนกันยายนหรือตุลาคมปีที่แล้ว ตนล่องเรือออกไปซ่อมหลักเลี้ยงหอยนางรมที่ถูกคลื่นซัดล้มลงตามลำพัง และพบดัลโพเกาะทุ่นลอยคออยู่กลางทะเล ดัลพยองแย้งว่าพี่ชายตนตายไปนาน 30 ปีแล้ว กงพิลกล่าวว่าเรื่องนั้นตนรู้ดี แต่ตนเชื่อว่าเจ้าสมุทรส่งดัลโพคืนมาให้ตน ดัลพยองต่อว่าดัลโพตัวน้อยที่ไม่ยอมบอกความจริงกับพ่อตน จากนั้นก็เตือนความจำกงพิลเรื่องที่พี่ชายของตนเสียชีวิตขณะล่องเรือไปเก็บหอยนางรมตามลำพังเมื่อ 30 ปีก่อน เมื่อกงพิลหวนนึกถึงความหลังในครั้งนั้นก็ทำให้รู้สึกสะเทือนใจจนเป็นลมล้มพับไป
หลังหย่ากับชาอ๊ก "ชเว ดัลพยอง" ก็พาลูกสาว (อินฮา) ย้ายไปอยู่ที่บ้าน "ชเว กงพิล" ผู้เป็นบิดาบนเกาะฮยางรี (เป็นเกาะที่ถูกสมมุติขึ้น) ระหว่างอยู่บนเรือโดยสารดัลพยองบอกให้อินฮาเผยความรู้สึกออกมาตรงๆ เพราะตนไม่ใช่คนใจแคบ แต่อินฮาไม่อยากพูดเพราะกลัวทำร้ายความรู้สึกพ่อ ครั้นพอถูกคาดคั้นเธอก็สารภาพตามตรงว่าตนอยากไปอยู่กับแม่มากกว่าจะได้ไม่ต้องย้ายมาอยู่บนเกาะที่ห่างไกลความเจริญ แถมยังต้องอยู่บ้านเดียวกับปู่ที่โรคสมองเสื่อม ดัลพยองได้ยินดังนั้นก็งอนและเดินหนี อินฮาเห็นดังนั้นก็แอบบ่น "เห็นมั๊ยล่ะ หนูบอกพ่อแล้วว่าไม่อยากพูด" (เธอเป็นพีน็อคคิโอซินโดรมเลยโกหกไม่ได้) อินฮาปลอบใจตัวเองว่าเธอจะต้องผ่านมันไปให้ได้ จากนั้นก็บอกตัวเองให้คงความเป็นสาวชาวกรุงเอาไว้ เธอไม่มีวันปล่อยให้ตัวเองกลายสภาพเป็นสาวชาวเกาะสุดโทรม และจะไม่ติดพูดสำเนียงท้องถิ่นโดยเด็ดขาด ครั้นพอเรือใกล้ถึงฝั่งอินฮาก็คอตกเพราะกลัวว่านับจากนี้เธอจะต้องใช้ชีวิตแบบมนุษย์ยุคถ้ำ
หลังลงเรืออินฮาก็เดินหน้ามุ่ยไปตลอดทาง พอไปถึงบ้านปู่เธอก็ยิ่งกลุ้มหนักเพราะเป็นบ้านแบบชนบทขนาดแท้ เมื่อดัลพยองพาอินฮาไปแสดงความเคารพกงพิล เขาก็รู้สึกแปลกในเมื่อพบว่าภายในบ้านเต็มไปด้วยตำรา กงพิลโม้ว่าอ่านหนังสือเยอะๆ สมองจะได้ไม่ขึ้นสนิม อินฮาถามกงพิลด้วยน้ำเสียงสุดทึ่งว่าเขาแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ด้วยหรือ กงพิลโม้อีกว่าตนทำแบบทดสอบได้ตั้ง 80 คะแนน อินฮาได้ยินดังนั้นจึงเริ่มสงสัยว่าปู่ของเธอเป็นโรคสมองเสื่อมจริงหรือ เพราะนอกจากปู่จะไม่หลงๆ ลืมๆ แล้วยังแลดูฉลาดเกินคาดอีกด้วย
และแล้วอาการของกงพิลก็เริ่มปรากฏ เมื่อเขามองนาฬิกาแล้วบอกว่า 'พี่ชาย' ของดัลพยองกำลังจะกลับมาแล้ว แถมยังชวนดัลพยองไปรอรับที่หน้าบ้านอีกด้วย ดัลพยองเห็นพ่อตั้งตารอจึงถามอย่างงุนงงว่าพี่ชายคนไหนกำลังจะมา พอรู้ว่ากงพิลหมายถึง 'ดัลโพ' พี่ชายคนเดียวของตน ดัลพยองก็ถึงกับมึน แต่ภาพที่เห็นตรงหน้ากลับทำให้เขายิ่งมึนหนัก เพราะคนที่พ่อของเขาออกมารอรับและร้องเรียก (ว่า "ดัลโพ") ด้วยความดีใจเป็นเด็กชายแปลกหน้าคนหนึ่ง (ส่วนภาพที่คนดูเห็นคือ ฮามยองลูกชายโฮซังที่ไว้ผมยาวแบบบ้านๆ กำลังปั่นรถจักรยานพ่วงหลังตรงมาที่บ้านกงพิล พลางร้องเรียกกงพิลว่าพ่อ)
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ฮายองซึ่งใช้ชีวิตใหม่ในฐานะดัลโพก็โผเข้ากอดกงพิลด้วยความดีใจ กงพิลบอกให้ดัลโพรีบทักทาย 'น้องชาย' (ดัลพยอง) กับหลานสาว (อินฮา) ซึ่งดัลโพก็ทำตามแต่โดยดี (อินฮาไม่พอใจที่ดัลโพทักทายอย่างเป็นกันเองแทนที่จะใช้ภาษาสุภาพทั้งๆ ที่เพิ่งพบกันครั้งแรก) กงพิลเห็นดัลโพก้มศีรษะทักทายดัลพยองอย่างนอบน้อมจึงแย้งว่าเขาไม่ควรทำเช่นนั้นเพราะดัลพยองอายุน้อยกว่าเขาหลายปี ดัลโพจึงสวมบทพี่ชายโดยเดินไปตบท้องดัลพยองเบาๆ แล้วทักด้วยภาษาแบบไม่เป็นทางการว่า "มาแล้วเหรอดัลพยอง" ตามที่กงพิลบอก จากนั้นก็เดินไปตบหัวอินฮาเบาๆ (ดัลโพเตี้ยกว่าอินฮาเลยต้องเขย่งเท้า) พลางชมว่าเธอเป็นหลานที่หน้าตาน่ารักน่าชังและชวนให้เธอเข้าไปในบ้าน หลังจากนั้นก็ดัลโพก็โผเข้ากอดกงพิล ดัลพยองและอินฮายืนมองกงพิลและดัลโพเดินกอดกันเข้าบ้านแบบงงๆ (ด้านหลังเสื้อแจ็คเก็ตของกงพิลมีตารางตัวเลข 1-9)
กงพิลเล่าให้สองพ่อลูกฟังว่า ราวๆ เดือนกันยายนหรือตุลาคมปีที่แล้ว ตนล่องเรือออกไปซ่อมหลักเลี้ยงหอยนางรมที่ถูกคลื่นซัดล้มลงตามลำพัง และพบดัลโพเกาะทุ่นลอยคออยู่กลางทะเล ดัลพยองแย้งว่าพี่ชายตนตายไปนาน 30 ปีแล้ว กงพิลกล่าวว่าเรื่องนั้นตนรู้ดี แต่ตนเชื่อว่าเจ้าสมุทรส่งดัลโพคืนมาให้ตน ดัลพยองต่อว่าดัลโพตัวน้อยที่ไม่ยอมบอกความจริงกับพ่อตน จากนั้นก็เตือนความจำกงพิลเรื่องที่พี่ชายของตนเสียชีวิตขณะล่องเรือไปเก็บหอยนางรมตามลำพังเมื่อ 30 ปีก่อน เมื่อกงพิลหวนนึกถึงความหลังในครั้งนั้นก็ทำให้รู้สึกสะเทือนใจจนเป็นลมล้มพับไป
ดัลโพรีบเข้าไปดูกงพิลพลางร้องขอหมอนและผ้าห่ม ขณะช่วยปฐมพยาบาลและบีบนวดตามลำตัวให้กงพิล ดัลโพบอกสองพ่อลูกว่ากงพิลไม่ได้เป็นโรคสมองเสื่อม แต่หมอบอกว่าเป็นอาการที่สืบเนื่องมาจากการบาดเจ็บและตอนนี้ความทรงจำของกงพิลก็ยึดติดอยู่กับความเชื่อที่ว่าลูกชายคนโตได้กลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย เมื่อไรก็ตามที่กงพิลพยายามทบทวนความทรงจำและพบความจริงเข้า เขาจะหมดสติเพราะรู้สึกช็อคและยอมรับความจริงไม่ได้ อินฮาถามว่าเพราะอย่างนี้ดัลโพจึงถือโอกาสสวมรอยเป็นหลานชายของปู่ตนหรือ ดัลโพชี้ว่าตนไม่ได้สวมรอยหรือแกล้งเป็นลูกชายของกงพิล เพราะตอนนี้ตนเป็นลูกชายของกงพิลแล้ว ดัลพยองตกใจเมื่อรู้ว่าพ่อของตนรับดัลโพตัวปลอมเป็นบุตรบุญธรรม (แถมยังระบุในทะเบียนครอบครัวว่าเป็นบุตรชายคนโต)
ดัลโพกล่าวว่าตนไม่มีญาติพี่น้องและไม่มีที่ไป แต่ดัลพยองรับไม่ได้ที่พ่อของตนรับเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าเข้ามาอยู่ในบ้าน ดัลโพชี้ว่าตนต้องการพ่อส่วนกงพิลต้องลูกชาย หากตนไม่อยู่ที่นี่กงพิลจะหมดสติบ่อยครั้ง ดังพยองโวยลั่นว่าการที่ดัลโพหลอกพ่อว่าเป็นพี่ชายตนเพราะไม่ต้องการให้พ่อตนหมดสตินั้นไม่สมเหตุสมผล ดัลโพ (ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ชอบการโกหก) โวยกลับว่าโกหกแค่นี้ผิดตรงไหนในเมื่อไม่ทำให้ใครเดือดร้อน จากนั้นก็ขอร้องดัลพยองให้เห็นใจตนและขอให้ตนอยู่ที่นี่จนกว่าอาการของกงพิลจะดีขึ้น
คืนนั้น ดัลโพคอยดูแลกงพิลไม่ห่างทั้งยังช่วยเกาหลังให้อีกด้วย (กงพิลจะระบุจุดที่คันเป็นตัวเลขตามตารางที่เขียนไว้หลังเสื้อเพื่อให้ดัลโพเกาได้ตรงจุด) ดัลพยองเห็นพ่อของตนมีความสุขเวลาที่อยู่กับดัลโพจึงถามอินฮาว่าเธอทำใจเรียกดัลโพว่าลุงได้ไหม อินฮาตอบทันควันว่าไม่มีทางเพราะดัลโพเป็นแค่เด็กตัวกระเปี๊ยก ดัลพยองแย้งว่าแม้แต่ตนก็ต้องเรียกเด็กตัวกระเปี๊ยกว่าพี่ชายเช่นกัน เขานึกสงสัยว่าอินฮาจะสะอึกหรือไม่หากต้องเรียกดัลโพว่าลุง อินฮาตอบว่าไม่มีปัญหาเพราะดัลโพเป็นลุงที่ถูกต้องตามกฏหมาย แม้จะไม่เต็มใจนักแต่สองพ่อลูกก็ตกลงกันว่าจะยอมให้ดัลโพอยู่ที่นี่จนกว่าอาการของกงพิลจะดีขึ้น และถ้าวันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ค่อยให้กงพิลไปจดทะเบียนเลิกรับบุตรบุญธรรม และส่งดัลโพไปให้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า พอเห็นอินฮานั่งจ้องทีวี ดัลพยองก็พูดเสียงเข้มว่าทีวีดูไม่ได้เพราะไม่มีสัญญาณจึงอย่าหวังว่าจะได้เห็นแม่ในทีวี อินฮาได้ยินดังนั้นจึงเดินจากไปแบบงอนๆ โดยไม่ยอมทานข้าวเย็น
ดัลโพเห็นว่าอินฮาไม่ได้ทานข้าวจึงนั่งเผามันหวานเตรียมไว้ให้ พลางนึกถึงเรื่องราวในอดีตตอนที่แม่บอกว่าพ่อยังไม่ตายและชวนไปหาพ่อด้วยกัน ในตอนนั้นเขาถามย้ำว่าแม่ไม่ได้โกหกใช่ไหม แม่ของเขาร่ำไห้พลางบอกว่าไม่ได้โกหก เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นดัลโพก็น้ำตาร่วง เขาตำหนิแม่ว่า "คนโกหก" และกล่าวว่าในตอนนี้ตนเองก็ไม่ต่างจากแม่ อินฮาตามกลิ่นมันหวานมาถึงหน้าเตา พอเห็นดัลโพเธอก็ทำวางมาดเหมือนเป็นรุ่นพี่พลางกล่าวว่าเธอจะเรียกดัลโพว่าลุงเวลาอยู่ต่อหน้าปู่เท่านั้น (พูดไปท้องร้องไป) และเธอจะคิดเสียว่าดัลโพเป็นปลาเหาฉลามที่ชอบเกาะคนอื่นกิน ดัลโพได้ยินเสียงท้องร้องเลยถามอินฮาว่าหิวใช่ไหม อินฮาพยายามปฏิเสธแต่ก็สะอึกทุกครั้งที่โกหก
พอดัลโพลุกหนี อินฮาก็ตรงเข้าไปหยิบมันเผาในเตา ดัลโพแอบเห็นอินฮาพยายามหยิบมันเผาขึ้นมากินแต่ก็หยิบไม่ได้เพราะมันร้อนเกินไป เลยช่วยหยิบมันเผามาใส่ในแกนทิชชูให้ จากนั้นก็บอกว่าตนไม่รู้จักปลาเหาฉลามแต่ตอนนี้ชักเริ่มรู้แล้วว่าเธอหมายความว่าอย่างไร ที่แท้ปลาเหาฉลามก็หมายถึงเด็กอย่างอินฮานี่เอง (กินอาหารของคนอื่น) อินฮาจำใจยอมรับแต่โดยดีโดยบอกว่าเธอเป็นพีน็อคคิโอ ซินโดรม เลยโกหกไม่ได้ แต่ยังไม่วายบอกว่าดัลโพเองก็เป็นปลาเหาฉลามเหมือนกับเธอ อินฮาเห็นดัลโพนั่งจ้องหน้าเธอเลยถามตรงๆ ว่า เขานั่งจ้องเพราะเห็นว่าเธอสวยใช่ไหม ดัลโพอึ้งไปชั่วขณะก่อนยอมรับตามตรงว่าใช่ อินฮาสะบัดหางเปียพลางกล่าวว่าเธอถอดแบบความสวยมาจากแม่และชี้ว่าแม่ของเธอสวยมาก เมื่อถูกถามว่าเธอมีรูปแม่ไหม อินฮาก็ทำหน้าเศร้าพลางบอกว่าพ่อของเธอทิ้งรูปแม่ไปหมดแล้ว แต่ถ้าซ่อมทีวีเธอก็จะได้เห็นหน้าแม่ (ทุกครั้งที่คิดถึงแม่เธอจะเปิดทีวี )
วันรุ่งขึ้น ดัลโพนำไม้แขวนเสื้อมาทำเป็นสายอากาศ (รูปเด็กผู้หญิงผมเปีย) แทนเสาก้างปลาที่ใช้งานไม่ได้ พอทำเสร็จเขาก็รีบปั่นจักรยานคู่ใจไปหาอินฮา ในตอนนั้นอินฮาแอบนำโทรศัพท์มือถือของพ่อมาส่งข้อความถึงแม่ โดยไต่ถามทุกข์สุขหลังไม่ได้เจอกันนานครึ่งปี และเล่าว่าเธอกับพ่อย้ายมาอยู่เกาะฮยางรีเพราะปู่ไม่สบาย เธอเคยคิดว่าตัวเองคงไม่ชอบที่นี่เพราะเป็นชนบทที่ห่างไกลความเจริญ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เธอชักเริ่มชอบนั่นก็คือการที่มีลุงตัวเตี้ยกว่าเธอ ในตอนแรกเธอไม่ชอบลุงคนนี้ แต่ยิ่งได้รู้จักเธอก็ยิ่งชอบ เธอเลยคิดว่าจะญาติดีกับเขา ทันใดนั้น ดัลโพก็ปั่นจักรยานมาบอกว่าซ่อมทีวีให้แล้ว ทำให้อินฮาดีใจมาก
ดัลโพชวนอินฮานั่งพ่วงท้ายเพื่อที่จะกลับไปดูทีวีที่บ้านด้วยกัน แต่เนื่องจากอินฮาตัวสูงใหญ่กว่า ประกอบกับเป็นทางขึ้นเนินดัลโพเลยปั่นจักรยานไม่ไหว (พยายามเท่าไหร่ล้อก็ไม่ขยับ) เขาเลยชวนอินฮาเดินกลับบ้านด้วยกัน ระหว่างทางอินฮาถามดัลโพว่าเขาหน้าตาเหมือนพ่อหรือแม่ เมื่อดัลโพตอบว่าเหมือนพ่อ เธอเลยอยากเจอพ่อของดัลโพจะได้รู้ว่าพ่อของดัลโพเป็นคนยังไง เธอเดาว่าพ่อของดัลโพไม่ค่อยหล่อ แต่คงชอบช่วยเหลือผู้อื่นแล้วก็เอามาโม้และเป็นคนดีคนหนึ่ง ดัลโพรู้สึกแปลกใจที่อินฮาไม่สะอึก อินฮาย้ำว่าตนเองไม่ได้โกหก เธอคิดเช่นนั้นจริงๆ เลยอยากเห็นพ่อของดัลโพ พอเห็นดัลโพยืนจ้องหน้า อินฮาก็ถามว่าทำไมมองหน้าเธออย่างนั้น ดัลโพหอมแก้มอินฮาแทนคำตอบ (เขาเตี้ยกว่าเลยต้องเขย่งเท้า) และกล่าวว่าตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาตนใช้ชีวิตด้วยการโกหกเพราะนั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนและกงพิล แต่การพูดความจริงเหมือนอย่างที่เธอเพิ่งพูดมาทำให้ตนรู้สึกดีกว่าเป็น 10 เท่า
ดัลโพชวนอินฮานั่งพ่วงท้ายเพื่อที่จะกลับไปดูทีวีที่บ้านด้วยกัน แต่เนื่องจากอินฮาตัวสูงใหญ่กว่า ประกอบกับเป็นทางขึ้นเนินดัลโพเลยปั่นจักรยานไม่ไหว (พยายามเท่าไหร่ล้อก็ไม่ขยับ) เขาเลยชวนอินฮาเดินกลับบ้านด้วยกัน ระหว่างทางอินฮาถามดัลโพว่าเขาหน้าตาเหมือนพ่อหรือแม่ เมื่อดัลโพตอบว่าเหมือนพ่อ เธอเลยอยากเจอพ่อของดัลโพจะได้รู้ว่าพ่อของดัลโพเป็นคนยังไง เธอเดาว่าพ่อของดัลโพไม่ค่อยหล่อ แต่คงชอบช่วยเหลือผู้อื่นแล้วก็เอามาโม้และเป็นคนดีคนหนึ่ง ดัลโพรู้สึกแปลกใจที่อินฮาไม่สะอึก อินฮาย้ำว่าตนเองไม่ได้โกหก เธอคิดเช่นนั้นจริงๆ เลยอยากเห็นพ่อของดัลโพ พอเห็นดัลโพยืนจ้องหน้า อินฮาก็ถามว่าทำไมมองหน้าเธออย่างนั้น ดัลโพหอมแก้มอินฮาแทนคำตอบ (เขาเตี้ยกว่าเลยต้องเขย่งเท้า) และกล่าวว่าตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาตนใช้ชีวิตด้วยการโกหกเพราะนั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนและกงพิล แต่การพูดความจริงเหมือนอย่างที่เธอเพิ่งพูดมาทำให้ตนรู้สึกดีกว่าเป็น 10 เท่า
พอกลับถึงบ้านทั้งคู่ก็รีบเปิดทีวีดู อินฮาดีใจมากที่ได้ดูทีวีอีกครั้ง เธอเตือนดัลโพว่าอย่าบอกพ่อเธอเรื่องนี้ เพราะถ้าพ่อของเธอรู้เข้ามีหวังทุบทีวีทิ้งแน่ ปกติแล้วพ่อของเธอเป็นคนใจดีแต่ถ้าพูดถึงแม่เมื่อไหร่พ่อของเธอจะกลายเป็นคนน่ากลัวทันที แถมพ่อยังไม่ยอมให้เธอโทรฯ หาแม่อีกด้วย อินฮาร้องลั่นด้วยความดีใจเมื่อเห็นแม่รายงานข่าว ดัลโพถึงกับช็อคเมื่อรู้ว่าแม่ของอินฮาคือ "ซง ชาอ๊ก" ผู้สื่อข่าวสาวเลือดเย็นที่เต้าข่าวทำลายครอบครัวของเขาเพื่อเรียกเรตติ้ง ดัลโพหันไปมองอินฮาที่นั่งดูชาอ๊กรายงานข่าวอย่างชื่นชม ก่อนลุกออกจากห้องด้วยความเจ็บปวดและเคียดแค้นใจ
ระหว่างนั้นมีเสียงของผู้ดำเนินรายการควิซโชว์ (ที่ดัลโพในปัจจุบันไปเข้าแข่งขัน) แทรกขึ้นมาว่า "ที่ผ่านมามีหลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าโลกนี้มันช่างกลมเสียจริงๆ ผมเชื่อว่าทุกคนคงเคยมีช่วงเวลาที่ได้พบคนแปลกหน้าแล้วภายหลังกลับพบว่ามันคือ...พรหมลิขิต"
เมื่อดัลพยองกลับมาถึงบ้านแล้วถามหาอินฮา ดัลโพจึงฟ้องว่าอินฮากำลังนั่งดูข่าวอยู่ในห้อง แถมเธอยังแอบนำมือถือของดัลพยองมาติดต่อกับแม่อีกด้วย ดัลพยองได้ยินดังนั้นก็ควันออกหู เขาเดินเข้าไปในบ้านด้วยความโกรธจากนั้นก็เริ่มพังทีวี กงพิลเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปดูทางด้านใน ดัลโพพูดอย่างเคียดแค้นกึ่งสะใจว่าฆ่ากันตายซะได้ก็ดี อินฮาร้องไห้และพยายามหยุดพ่อแต่ก็ไม่เป็นผล เธอเลยวิ่งออกมาขอให้ดัลโพช่วยห้ามพ่อ แต่ดัลโพกลับสะบัดมืออินฮาออกและปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย ทำให้อินฮารู้สึกแปลกใจที่ดัลโพมีท่าทีที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เสียงของผู้ดำเนินรายการควิซโชว์แทรกขึ้นมาอีกว่า "ไม่ว่าพรหมลิขิตจะบันดาลให้เกิดเรื่องดีหรือร้าย แต่การที่คนเราโคจรมาพบกันได้ก็นับเป็นเรื่องแปลก บางคนเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ว่าโชคชะตา แต่มีคำอธิบายทางคณิตศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้"
ตัดกลับมาที่ห้องส่งรายการควิซโชว์ ในวันที่ 8 ตุลาคม 2005 ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึง "ทฤษฎีหกสัมพันธ์ (The Six Degree of Separation)" ที่ระบุว่าคนสองคนสามารถรู้จักกันได้ไม่เกิน 6 ช่วงความสัมพันธ์ (คนทั้งโลกรู้จักกันผ่านการติดต่อไม่เกิน 6 ทอด ซึ่งมีการทดลองและทดสอบว่าโลกกลม (ฝรั่งเรียกว่าโลกใบเล็ก) กันในวงกว้าง จนถูกนักศึกษา 3 คนในเพนซิลวาเนียพัฒนาขึ้นเป็นเกมเมื่อ 22 ปีก่อน) จากนั้นก็ถามคำถามสุดท้ายประจำรอบนี้ว่านักแสดงชายชาวอเมริกันคนไหนที่มีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎีดังกล่าว ดัลโพยืนนิ่งจนเพื่อนๆ ที่นั่งลุ้นหน้าจอ (รวมทั้งชานซู) ต่างพากันคิดว่าดัลโพไม่รู้คำตอบ ก่อนหมดเวลาไม่นานดัลโพเงยหน้ามองชานซูแล้วยิ้มเยาะก่อนตอบว่า "เควิน เบคอน*" ซึ่งเป็นคำตอบที่ถูกต้อง
* เมื่อ 22 ปีก่อนนักศึกษา 3 คนในเพนซิลวาเนียได้หยิบยก "ทฤษฎีหกสัมพันธ์" ซึ่งมีการทดลองและทดสอบว่าโลกกลม (small world) กันในวงกว้าง มาพัฒนาขึ้นเป็นเกมที่มีชื่อว่า "Six Degrees of Kevin Bacon" เอาใจคอภาพยนตร์ โดยผู้เล่นจะต้องเชื่อมโยงนักแสดงคนอื่นๆ เข้ากับ "เควิน เบคอน" ผ่านทางภาพยนตร์ที่พวกเขาเล่นและจะต้องเชื่อมโยงให้สั้นที่สุด เช่น "โอ.เจ ซิมป์สัน" เล่น "Naked Gun 33⅓: The Final Insult" กับ "โอลิมเปีย ดูคาคิส" และดูคาคิสก็เล่นเรื่อง "Picture Perfect" กับ เควิน เบคอน เป็นต้น สาเหตุที่คิดเกมโดยใช้เบคอนเป็นตัวตั้งเนื่องจากนักศึกษาทั้งสามคนนั่งดูภาพยนตร์เรื่อง "Footloose" ที่เบคอนแสดงทางทีวี หลังจากนั้นก็มีหนังที่เบคอนแสดงถูกนำมาออกอากาศติดต่อกันอีกหลายเรื่อง แถมหนึ่งในนักศึกษายังเคยขึ้นเวทีร่วมกับเบคอนอีกด้วย พวกเขาเลยรู้สึกว่าเบคอนเป็นศูนย์กลางของจักรวาลแห่งความบันเทิง
* เมื่อ 22 ปีก่อนนักศึกษา 3 คนในเพนซิลวาเนียได้หยิบยก "ทฤษฎีหกสัมพันธ์" ซึ่งมีการทดลองและทดสอบว่าโลกกลม (small world) กันในวงกว้าง มาพัฒนาขึ้นเป็นเกมที่มีชื่อว่า "Six Degrees of Kevin Bacon" เอาใจคอภาพยนตร์ โดยผู้เล่นจะต้องเชื่อมโยงนักแสดงคนอื่นๆ เข้ากับ "เควิน เบคอน" ผ่านทางภาพยนตร์ที่พวกเขาเล่นและจะต้องเชื่อมโยงให้สั้นที่สุด เช่น "โอ.เจ ซิมป์สัน" เล่น "Naked Gun 33⅓: The Final Insult" กับ "โอลิมเปีย ดูคาคิส" และดูคาคิสก็เล่นเรื่อง "Picture Perfect" กับ เควิน เบคอน เป็นต้น สาเหตุที่คิดเกมโดยใช้เบคอนเป็นตัวตั้งเนื่องจากนักศึกษาทั้งสามคนนั่งดูภาพยนตร์เรื่อง "Footloose" ที่เบคอนแสดงทางทีวี หลังจากนั้นก็มีหนังที่เบคอนแสดงถูกนำมาออกอากาศติดต่อกันอีกหลายเรื่อง แถมหนึ่งในนักศึกษายังเคยขึ้นเวทีร่วมกับเบคอนอีกด้วย พวกเขาเลยรู้สึกว่าเบคอนเป็นศูนย์กลางของจักรวาลแห่งความบันเทิง
อินฮาทุบโต๊ะด้วยความสะใจที่ดัลโพผ่านรอบแรก ขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ ต่างพากันสงสัยว่าทำไมอยู่ๆ คนที่ได้ศูนย์ทุกวิชาอย่างดัลโพถึงกลายเป็นคนฉลาดในชั่วพริบตา อินฮาเห็นเพื่อนที่นั่งโต๊ะติดกันเชียร์ชานซูจนออกนอกหน้าจึงถามเพื่อนว่าชอบชานซูใช่ไหม คุณครูประจำชั้นและเพื่อนๆ ได้ยินดังนั้นก็หูผึ่ง เพื่อนคนดังกล่าวรีบปฏิเสธและย้อนว่าอินฮาเองก็เชียร์ดัลโพจนออกนอกหน้าเช่นกัน จากนั้นก็ถามอินฮาว่าชอบดัลโพใช่ไหม อินฮาแย้งว่าดัลโพเป็นลุงของเธอ เพื่อนอินฮารู้ว่าทั้งคู่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดจึงคาดคั้นอินฮาว่า ถ้าตัดความเป็นลุงออกไปแล้วมองดัลโพในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง เธอเองก็ชอบดัลโพใช่ไหม ปรากฏว่าอินฮาปฏิเสธโดยไม่มีอาการสะอึก หลังจากนั้นอินฮาก็ชี้ไปที่จอทีวีพลางบอกเพื่อนว่าดัลโพจะต้องชนะชานซูอย่างแน่นอน
แจมยอง (พี่ชายของ "ฮามยอง" หรือดัลโพในปัจจุบัน) นำน้ำมาส่งที่ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า พอเดินผ่านชั้นวางทีวีเขาก็หยุดมอง (ใบหน้าของดัลโพปรากฏอยู่บนจอโทรทัศน์ตรงหน้าแจมยอง ทำให้แลดูคล้ายเขากับพี่ชายกำลังมองหน้ากัน ซึ่งในตอนนั้นการแข่งขันรอบสองกำลังจะเริ่มต้นขึ้น) ปรากฏว่าสิ่งที่ทำให้แจมยองสนใจไม่ใช่ดัลโพแต่เป็นการรายงานข่าวของชาอ๊กซึ่งปรากฏบนจอทีวีเครื่องถัดไป
อินฮาจ้องหน้าดัลโพบนหน้าจอทีวีพลางกล่าวอย่างมั่นใจว่า "ดัลโพชนะแหงๆ เขาจะต้องชนะอย่างแน่นอน"
เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ติดตามชมได้ใน "พิน็อคคิโอ (Pinocchio)" ทางช่องมีเดีย 84
* เนื้อหาโดย luvasianseries / ภาพจากเอสบีเอส (ดูอัลบั้มภาพได้ ที่นี่)
นักแสดงนำ
รับบท ชเว ดัลโพ / กี ฮามยอง
รับบท ชเว อินฮา
รับบท ซอ บอมโจ
รับบท ยูน ยูแร
รับบท ฮวาง คโยตง
ชินคยอง
รับบท ซง ชาอ๊ก
รับบท ซง ชาอ๊ก
รวมคลิปตัวอย่าง
รวมคลิปเบื้องหลัง
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา