วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เรื่องย่อ โฮม...สงครามและความรัก (Home)




กำกับ: เมิ่งจี้, หลินจื่อผิง
เขียนบท: หวงซื่อหมิง, หลิวเหว่ยฉือ, เจิงเสี่ยนจาง, หลิวหลุ่ยซวน
แนวละคร: สงคราม, อิงประวัติศาสตร์, ดราม่า
จำนวนตอน: 34
ออกอากาศ: จีน - วันที่ 8 พฤศจิกายน 2555 ทางเจ้อเจียงทีวี
               ไทย - ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 22.00 น. และวันศุกร์ เวลา 21.45 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (ช่อง 13) ตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2559 - 6 มกราคม 2560 (ออกอากาศวันละ 2 ตอน) และทุกวันพฤหัสฯ-ศุกร์ เวลา 02.15 น. วันเสาร์ เวลา 01.30 น.วันอาทิตย์ เวลา 01.45 น. ทางช่อง 3 เอชดี (ช่อง 33)


 


เรื่องย่อ



"โฮม...สงครามและความรัก" (The Other Shore 1945 (ชื่อเวอร์ชั่นจีน) / Home (ชื่อเวอร์ชั่นไต้หวัน))" เป็นละครร่วมสร้างระหว่างบริษัทของจีนและไต้หวัน ใช้เวลาในการหาข้อมูล เตรียมงาน และถ่ายทำนาน 4 ปี เหตุการณ์ในละครเกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1945-1949 (พ.ศ. 2488-2492) หรือตั้งแต่ช่วงปลาย "สงครามแปซิฟิก*" ไปจนถึงช่วงที่ "พรรคก๊กมินตั๋ง*" ซึ่งมีนายพลเจียงไคเช็ก (เจี่ยงจงเจิ้ง) เป็นผู้นำ ได้สู้รบกับ "พรรคคอมมิวนิสต์จีน" ของเหมาเจ๋อตงเพื่อชิงอำนาจปกครองประเทศแล้วพ่ายแพ้ จึงหนีไปตั้งหลักที่ไต้หวัน  (โดยมีชาวจีนมากกว่า 1 ล้าน 5 แสนคนอพยพตามไปด้วย) และได้ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นที่นั่น ก่อนสถาปนาเป็นสาธารณรัฐจีนหรือประเทศไต้หวันในที่สุด

* "สงครามแปซิฟิก" หรือ "สงครามมหาเอเชียบูรพา" เป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่สอง สู้รบกันในมหาสมุทรแปซิฟิกและเอเชียตะวันออกเป็นหลัก เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่ 7 (หรือ 8 ธันวาคมตามเวลาเอเชีย) ค.ศ. 1941 หลังญี่ปุ่นลอบโจมตีฐานทัพเรือเพิร์ลฮาร์เบอร์ของสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งยกพลขึ้นบกและบุกครองประเทศไทย ตลอดจนโจมตีอาณานิคมของอังกฤษในมาลายา สิงคโปร์ และฮ่องกง โดยสงครามยุติลงอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 กันยายน 1945  (ญี่ปุ่นลงนามยอมแพ้เป็นลายลักษณ์อักษร) 

* ก๊กมินตั๋ง (หรือ "กั๋วหมินตั่ง" ในภาษาจีนกลาง) ก่อตั้งขึ้นโดยซุน ยัตเซ็น ภายหลังการปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์ชิง (การปฏิวัติซินไฮ่)  




เนื้อหาในละครกล่าวถึงเรื่องราวของ "ซูไถอิง" ชายหนุ่มชาวไต้หวัน* (ขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น) วัย 28 ปี  ซึ่งจบการศึกษาจากโรงเรียนแพทย์ ด้วยความที่เกิดและเติบโตในตระกูลที่สืบทอดวิชาแพทย์แผนจีนมาหลายชั่วอายุคน ไถอิงจึงมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีนอีกแขนงหนึ่ง  เขาจึงเป็นความหวังของทุกคนในครอบครัว (ในฐานะผู้สืบทอดวิชาแพทย์แผนจีนต่อจากบิดาผู้ล่วงลับ) แต่หลังจากสงครามแปซิฟิกเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1941 (พ.ศ. 2484) ไถอิงได้ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารประจำกองทัพญี่ปุ่นและถูกส่งไปอยู่แนวหน้าในฐานะหมอทหารที่สมรภูมิรบในจีนแผ่นดินใหญ่ พร้อมกับ "ซูไถชาง" พี่ชายของเขา (ซึ่งเป็นทหารอาสาสมัคร)

* ไต้หวัน อยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นเป็นเวลานานถึง 50 ปี (ระหว่างปี ค.ศ. 1895-1945)

ไถอิงไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าการก้าวเท้าลงบนแผ่นดินของบรรพบุรุษเป็นครั้งแรกในชีวิต จะเป็นการมาในฐานะ "ทหารญี่ปุ่น" และมาเพื่อสู้รบกับคนในชาติเดียวกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงยืนกรานว่าจะช่วยชีวิตคนเพียงอย่างเดียวและจะไม่ยอมฆ่าใครโดยเด็ดขาด เขาพยายามช่วยผู้บาดเจ็บทุกคนที่พบเจอในสนามรบโดยไม่สนว่าจะเป็นฝ่ายไหน ขณะที่ไถชางซึ่งมาเพื่อปกป้องไถอิงไม่ลังเลที่จะฆ่าทุกคนที่คิดทำร้ายหรือเป็นภัยต่อน้องชายตน เมื่อความคิดและการกระทำสวนทางกันสองพี่น้องจึงมักทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้บ่อยครั้ง ถึงกระนั้นก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทั้งคู่คิดตรงกันคือ...จะต้องรักษาชีวิตเอาไว้ให้ได้ ถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับความตายและชะตากรรมอันโหดร้ายไม่เว้นแต่ละวันก็ตาม เพื่อจะได้ "กลับบ้าน" พร้อมกัน 




ขณะอยู่ในสนามรบ นายพลชาวจีน "เจี่ยงจิ่งซิง" ถูกทหารญี่ปุ่นจับเป็นเชลยสงคราม แต่เขายอมตายไม่ยอมจำนนจึงพยายามฆ่าตัวตายขณะที่ไถอิงกำลังผ่าตัดนำเศษกระสุนออกจากตัวให้ ไถอิงเห็นความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญของจิ่งซิงก็รู้สึกประทับใจ นอกจากจะช่วยชีวิตของจิ่งซิงแล้ว ไถอิงยังช่วยให้จิ่งซิ่งและทหารคนสนิทรอดพ้นจากเงื้อมมือของทหารญี่ปุ่นอีกด้วย

แม้จักรพรรดิญี่ปุ่นจะประกาศยอมแพ้สงคราม แต่ทหารญี่ปุ่นที่เสี่ยงตายอยู่ในพื้นที่การสู้รบกลับไม่ยอมแพ้และขอสู้ตายทำให้ทหารทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างดุเดือด ไถชางโดนทหารจีนแทงและยิงที่หน้าอกขณะพยายามปกป้องไถอิง ก่อนที่ร่างจะร่วงลงจากตึกท่ามกลางเสียงระเบิดและเปลวเพลิงทำให้ไถอิงรู้สึกผิดและเสียใจมาก หลังญี่ปุ่นพ่ายสงครามไถอิงถูกทหารจีนควบคุมตัวในฐานะเชลยสงคราม เมื่อจิ่งซิงมาพบเข้าจึงให้การช่วยเหลือและคิดหาหนทางส่งไถอิงกลับไต้หวันโดยแบกรับแรงกดดันจากทุกทิศทุกทาง ต่อมา "เจี่ยงเหวิน" (ลูกสาวของจิ่งซิง) ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ดวงตาและตามร่างกายหลังโดนแก๊สมัสตาร์ด (หรือก๊าซพิษ "ซัลเฟอร์ มัสตาร์ด" ซึ่งเป็นอาวุธเคมี) ของทหารญี่ปุ่น โชคดีที่ไถอิงช่วยชีวิตเธอไว้ได้ทัน และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์จนกลายเป็นความรักในที่สุด




หลังผ่านพ้นวิกฤตการณ์และความทุกข์ยากต่างๆ นานา ในที่สุดไถอิงก็ได้เดินทางกลับบ้านสมใจ เมื่อพบหน้าแม่ น้องชาย และคู่หมั้นของพี่ชาย ไถอิงก็เหมือนน้ำท่วมปากและไม่กล้าเล่าความจริงเรื่องพี่ชายให้ทุกคนฟัง แม้จะรู้สึกดีใจที่ไถอิงกลับมาบ้านอย่างปลอดภัยแต่การที่ไถชางหายตัวไปโดยไม่ทราบชะตากรรมก็ทำให้ผู้เป็นแม่เจ็บปวดใจ  หลังญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามไต้หวันจึงตกอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารฝ่ายก๊กมินตั๋ง ด้วยเหตุนี้ จิ่งซิง  (นายพลของก๊กมินตั๋ง) เลยได้รับมอบหมายให้นำทหารมารักษาการณ์บนเกาะไต้หวัน เจี่ยงเหวินจึงติดตามบิดามาที่ไต้หวันด้วย ไถอิงตั้งใจว่าจะพาเจี่ยงเหวินมาแนะนำให้แม่รู้จักในฐานะคนรัก แต่กลับถูกแม่ขอร้องให้แต่งงานกับ "ยูกิโกะ" ซึ่งเป็นคู่หมั้นของพี่ชายเสียก่อน (เพราะยูกิโกะเป็นลูกบุญธรรมของชาวญี่ปุ่นจึงถือเป็นชาวญี่ปุ่นไปโดยปริยาย หากไถอิงไม่แต่งงานกับเธอ เธอจะถูกส่งตัวไปที่ญี่ปุ่น) ไถอิงไม่อาจปฏิเสธคำขอของแม่ (ซึ่งลงทุนคุกเข่าขอร้อง) จึงยอมแต่งงานกับยูกิโกะ แต่แล้วอยู่ๆ ไถชางก็กลับมา เมื่อไถชางดั้นด้นกลับมาบ้านแล้วพบว่าน้องชายที่ตนปกป้องด้วยชีวิตแต่งงานกับผู้หญิงที่ตนรักเขาก็ถึงกับช็อค 

หลังจากนั้นครอบครัวซูก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ตลอดจนโศกนาฏกรรม และชะตากรรมอันเลวร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังต้องเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องราวทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเขาจะผ่านพ้นวิกฤติการณ์ต่างๆ มาได้หรือไม่ อย่างไร ติดตามชมได้ใน "โฮม...สงครามและความรัก (Home)" ทางช่อง 3 แฟมิลี่

เนื้อหาตอนที่ 1


สภาพเรือรบ "ยูเอสเอส แอริโซนา" หลังกองทัพของจักรวรรดิญี่ปุ่นลอบบุกจู่โจมฐานทัพเรือสหรัฐที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ ในรัฐฮาวาย (ภาพจาก วิกิพีเดีย)

ละครเริ่มต้นด้วยการเกริ่นนำเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ โดยกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของ "สงครามแปซิฟิก" หรือ "สงครามมหาเอเชียบูรพา" ว่าเกิดขึ้นหลังจากกองทัพของจักรวรรดิญี่ปุ่นลอบบุกจู่โจมฐานทัพเรือสหรัฐที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ ในรัฐฮาวาย (ซึ่งเป็นฐานทัพที่สำคัญที่สุดในภาคพื้นแปซิฟิก) อย่างฉับพลันช่วงเช้ามืดของวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 (หรือวันที่ 8 ตามเวลาในเอเชีย) โดยไม่มีการประกาศสงครามและไม่มีคำเตือน ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างหนักและนับเป็นโศกนาฏกรรมทางการทหารครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา วันรุ่งขึ้นประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ ของสหรัฐอเมริกาจึงประกาศสงครามต่อญี่ปุ่น และบุกโจมตีกองทัพญี่ปุ่นอย่างหนักนาน 6 เดือนเพื่อเป็นการตอบโต้และแก้แค้น (และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองของสหรัฐอเมริกา) 

ต่อมาในปี ค.ศ.1942 กองทัพของจักรวรรดิญี่ปุ่นได้เดินหน้ารุกรานและยึดครองดินแดนของประเทศต่างๆ ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปีเดียวกันนั้นได้มีการออก "ปฏิญญาแห่งสหประชาชาติ" โดยมีประเทศสมาชิกร่วมลงนามจำนวน 26 ประเทศ นำโดย สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา  สหภาพโซเวียต จีน ฝรั่งเศส ฯลฯ ซึ่งถือได้ว่าเป็นประเทศฝ่าย "สัมพันธมิตร" อย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นสถานการณ์ก็เริ่มพลิกผัน เมื่อกองทัพของจักรวรรดิญี่ปุ่นเริ่มพ่ายแพ้ในหลายสมรภูมิและมีแนวโน้มว่าจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ

ต้นปี ค.ศ. 1945 จักรวรรดิญี่ปุ่นได้ระดมกำลังกว่า 1 แสนนาย (ทหารจำนวนมากถูกเกณฑ์มาจากเกาหลีและไต้หวันซึ่งเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น) บุกโจมตีทิศตะวันตกของมณฑลหูหนาน* หมายยึดสนามบินหวายฮั่วจื่อเจียงของจีน (ซึ่งเป็นฐานทัพอากาศในแถบตะวันออกไกลที่ใหญ่เป็นอันดับสองของฝ่ายสัมพันธมิตร) เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องบินทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาซึ่งประจำการที่สนามบินดังกล่าวบุกโจมตีดินแดนของตน ส่งผลให้กองทัพของจีนและญี่ปุ่นปะทะกันอย่างดุเดือดบนพื้นที่ๆ มีสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขา

* มณฑลหูหนาน มีเทือกเขาโอบล้อมถึง 3 ด้าน ทั้งด้านตะวันออก ด้านใต้ และด้านตะวันตก ทั้งนี้ ยอดเขาด้านตะวันตกส่วนใหญ่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลมากกว่า 1,000 เมตร


ณ เทือกเขาเสวี่ยเฟิงในมณฑลหูหนาน นายพล "เจี่ยงจิ่งซิง" (ผู้บัญชาการกองพล) ซึ่งได้รับมอบหมายให้นำกำลังพลมาคอยระวังป้องกันสนามบิน นั่งดูแผนที่พลางฟังรายงานสถานการณ์การสู้รบจากผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใจเย็นภายในกองบัญชาการ ทั้งๆ ที่อยู่ท่ามกลางสมรรบอันดุเดือดและกำลังถูกกองทัพของจักรวรรดิญี่ปุ่นโจมตีอย่างหนัก  แม้จะรู้ว่ากองกำลังของพวกตนไม่อาจต้านทานทหารญี่ปุ่นได้นานแต่จิ่งซิงยังพยายามรักษาฐานที่มั่น และหยิบปืนออกไปร่วมรบกับทหารของตนอย่างไม่หวั่นเกรง 



"ซูไถอิง" วิ่งฝ่าดงกระสุนและระเบิดหมายช่วยชีวิตทหารทุกคนที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ เมื่อพบทหารจีนนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บเขาจึงรีบเข้าไปช่วยเหลือโดยบอกว่าตนเองเป็นหมอทหาร แต่ทหารจีนคนดังกล่าวยังคงเห็นไถอิงเป็นศัตรูและพยายามที่จะฆ่าเขา (ไถอิงสวมเครื่องแบบทหารญี่ปุ่น)  แม้ไถอิงจะบอกว่าตนเป็นคนไต้หวันแต่ชายคนดังกล่าวยังคงปฏิเสธการรักษาและบอกให้ไถอิงไสหัวไป แม้จะถูกผลักไสแต่ไถอิงยังคงพยายามที่จะห้ามเลือดให้ชายคนดังกล่าว  

"ซูไถชาง"  เห็นไถอิงกำลังยื้อยุดกับทหารจีนจึงเล็งปืนไปที่ศีรษะของทหารจีนคนดังกล่าวแล้วลั่นไกทันที หลังจากนั้นก็รีบวิ่งไปหาไถอิงด้วยความเป็นห่วง พอรู้ว่าพี่ชายเป็นคนยิงทหารคนดังกล่าวไถอิงก็รู้สึกโกรธ ไถชางเห็นเลือดเปื้อนเต็มหน้าไถอิงจึงเอามือเช็ดออกให้แต่กลับถูกไถอิงชกหน้าเต็มแรง ทั้งยังโดนประณามว่าเป็นฆาตกร ไถชางเตือนว่าตนเป็นพี่ชาย ที่ตนทำลงไปเพราะต้องการปกป้องน้องชายอย่างไถอิง จากนั้นก็ชี้ว่าเมื่ออยู่ในสนามรบฝ่ายตรงข้ามทุกคนคือศัตรู  ไถอิงแย้งว่าทหารคนดังกล่าวยังอายุน้อยและเป็นคนจีนเหมือนพวกตน ไถชางแย้งกลับว่า "ชั้นเป็นพี่ชายของนาย ชั้นไม่สนว่าคนๆ นั้นจะเป็นใคร ใครก็ตามที่คิดทำร้ายนาย ชั้นจะฆ่าพวกมัน ทำแบบนั้นมันผิดตรงไหน" ไถอิงโวยลั่นด้วยความโมโหว่าตนไม่ต้องการความคุ้มครองจากไถชาง ไถชางเห็นระเบิดถูกยิงตกทางด้านหลังของไถอิงจึงรีบกระโดดคว้าตัวไถอิงให้หมอบลง



คืนนั้นไถอิงนั่งฟัง "โอดะ" (ผู้ช่วยไถอิง เป็นชาวญี่ปุ่น) เป่าฮาร์โมนิก้ากลางสมรภูมิรบ ไถชางพยายามงอนง้อด้วยการปาก้อนหินไปที่หมวกของไถอิงแต่กลับถูกไถอิงเมินใส่ เขาจึงปาหินใส่ไถอิงเป็นชุดจนไถอิงเริ่มหมดความอดทนและยอมเดินไปหาแบบงอนๆ ไถชางโยนช็อคโกแลตให้ไถอิงแบบเขินๆ แต่แล้วก็หน้าจ๋อยเมื่อไถอิงโยนทิ้งเพราะคิดว่าเขาขโมยของคนตาย ไถอิงยังคงโกรธเรื่องที่ไถชางฆ่าคนจีนด้วยกันจึงถามไถชางว่าลืมคำสอนของพ่อแล้วหรือ จากนั้นก็ลุกหนีทันที ไถชางเห็นว่าน้องชายห่วงคนเจ็บทุกคนแต่กลับมองไม่เห็นบาดแผลที่มือของพี่ชายจึงร้องบอกว่านี่เป็นเลือดของตน ไถอิงเห็นดังนั้นก็รู้สึกผิดและเดินกลับมาทำแผลให้พี่ชายทันที ไถชางยิ้มอย่างมีความสุขและก้มตัวผูกเชือกรองเท้าให้ไถอิงทั้งที่ยังพันแผลไม่เสร็จ ไถอิงหยิบช็อกโกแลตบนพื้นขึ้นมาแล้วชวนไถชางทานด้วยกัน แต่ไถชางอ้างว่าตนปวดฟัน เขาบอกให้ไถอิงทานเยอะๆ เพราะถ้าพาไถอิงกลับบ้านในสภาพซูบผอมตนคงโดนแม่บ่นแย่ เมื่อถูกถามว่าได้ช็อคโกแลตมาจากไหน ไถชางตอบว่าผู้บังคับกองพันให้ตนเป็นรางวัล ไถชางเห็นว่าช็อคโกแลตแท่งนี้ผลิตในอเมริกาจึงเชื่อว่าน่าจะเป็นของฝ่ายตรงข้าม (ฝ่ายสัมพันธมิตร)



ไถอิงเตือนพี่ชายว่าต่อไปอย่าตั้งหน้าตั้งตารบให้มากนักเพราะมันเสี่ยงต่ออันตราย แถมฝ่ายตรงข้ามยังเป็นคนจีนด้วยกัน ไถชางแย้งว่าถึงจะเป็นคนจีนเหมือนกันแต่พวกตนสวมเครื่องแบบของกองทัพญี่ปุ่น ไม่ว่ายังไงก็ถูกมองเป็นคนญี่ปุ่นอยู่ดี หากเผชิญหน้ากันก็ต้องสู้จนตายไปข้างหนึ่ง สิ่งสำคัญที่สุดเมื่ออยู่ในสนามรบคือการเอาตัวรอดให้ตลอดรอดฝั่ง เขากล่าวว่าก่อนออกจากจีหลง (เมืองทางตอนเหนือของเกาะไต้หวัน) แม่ฝากตนให้คอยดูแลไถอิงให้ดี  เพราะไถอิงเรียนเก่งและเป็นหมอจึงเป็นความหวังของทุกคนในครอบครัว ไถอิงกล่าวว่าเพราะตนเป็นหมอจึงมีหน้าที่ช่วยชีวิตคน ไถชางแย้งว่าหน้าที่ที่แท้จริงของไถอิงกับตนคือการรักษาตัวให้ดีและกลับบ้านอย่างปลอดภัย พวกตนไม่ควรมาที่นี่ตั้งแต่ต้นและยิ่งไม่ควรกังวลเรื่องของคนอื่น อย่าลืมว่า แม่ ไถเจี๋ย และยูกิโกะ (เสวี่ยจื่อ) กำลังเฝ้ารอให้พวกตนกลับบ้าน ไถอิงได้ยินดังนั้นจึงรับปากและบอกว่าอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ไถชางเปลี่ยนเรื่องคุยโดยเล่าว่าวันนี้ตนไปที่ศูนย์บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นและแอบได้ยินพวกนั้นคุยกันว่าสถานการณ์ของญี่ปุ่นในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก เขาชี้ว่าทหารที่มาประจำการในเมืองจีนตอนนี้มีแต่คนอายุน้อยๆ แสดงว่าพวกญี่ปุ่นหาคนวัยผู้ใหญ่มาเป็นทหารให้ไม่ได้แล้ว สงครามจึงน่าจะยุติลงในไม่ช้า ไถอิงดีใจเมื่อได้ยินว่าญี่ปุ่นกำลังจะพ่ายสงคราม ขณะที่ไถชางกล่าวด้วยความดีใจว่าหากญี่ปุ่นแพ้สงครามพวกตนก็มีความหวังว่าจะได้กลับบ้าน

ปี ค.ศ. 1945 ณ เมืองจีหลงของไต้หวัน (ซึ่งยังอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น)



"ยูกิโกะ มิโซกูชิ" (เสวี่ยจื่อ)  จุดตะเกียงเขียนจดหมายถึงไถชางระหว่างอยู่ในหลุมหลบภัย เพื่อไต่ถามทุกข์สุขหลังไม่ได้รับข่าวคราวจากเขามานาน เธอเล่าว่าเครื่องบินรบของสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดโจมตีเกาะไต้หวันเป็นวงกว้างในเวลาเดิมของทุกคืน ทำให้ทุกคนต้องเข้าไปหลบในหลุมหลบภัย เธอได้ยิน "ซูไถเจี๋ย" คอยปลอบ "แม่ซู" (แม่ของไถชาง ไถอิง และไถเจี๋ย) ว่าอย่ากลัว กองทัพอากาศของอเมริกาแค่ส่งคำทักทายมาจากฟากฟ้า พวกเขาจะไม่ระเบิดและฆ่าคนดี เธอคาดว่าทุกคนที่นี่คงจะต้องวิ่งเข้าออกหลุมหลบภัยกันเป็นว่าเล่นตลอดทั้งปี แต่เธอจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีชีวิตรอด และจะอดทนรอจนกว่าไถชางกับไถอิงจะกลับจีหลง เธอขอให้ทั้งคู่รักษาตัวให้ดีและทิ้งท้ายว่า ไม่ว่าจะนานสักแค่ไหน สงครามย่อมยุติลงสักวัน ดังนั้นเธอจะเฝ้ารอวันที่พวกเขากลับบ้าน

ขณะที่แม่ซูกำลังเก็บกวาดบ้านและจัดรูปครอบครัวบนเพดานให้เข้าที่ ยูกิโกะก็ขนข้าวสารและของใช้มาให้ แม่ซูซึ่งยังไม่ละสายตาจากรูปภาพกล่าวว่าลูกๆ ทั้งสามถอดแบบพ่อผู้ล่วงลับมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เพราะแต่ละคนล้วนชอบการแข่งขันและต่างก็ต้องการเป็นฝ่ายชนะ ยูกิโกะเห็นแม่ซูบ่นเป็นห่วงไถชางกับไถอิงจึงบอกว่าเธอขอพรให้ทั้งคู่ทุกวัน ดังนั้นทั้งคู่จะต้องปลอดภัย เธอยังบอกด้วยว่าพ่อของเธอให้นำข้าวสารและของใช้จำเป็นมาให้ แม่ซูเห็นดังนั้นก็รู้สึกเกรงใจ ยูกิโกะจึงกล่าวว่าก่อนไถชางกับไถอิงจะออกเดินทางทั้งคู่ฝากให้เธอคอยดูแลแม่ซู แม่ซูซาบซึ้งในน้ำใจของยูกิโกะจึงกล่าวว่าเป็นวาสนาของครอบครัวตนหากไถชางได้แต่งงานกับเธอ ถ้าไถชางไม่ยืนกรานว่าจะออกไปร่วมรบเพราะต้องการปกป้องดูแลไถอิง ป่านนี้ยูกิโกะกับไถชางคงได้ลงเอยกันแล้ว


หลังร้านทองโดนระเบิดถล่ม ไถเจี๋ยกับเพื่อนๆ รวมทั้งชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง จึงพากันมาแสวงโชคด้วยการขุดหาทองบริเวณซากปรักหักพัง แทนที่จะขุดหาแบบเดาสุ่มแต่ไถเจี๋ยกลับมุ่งค้นหาทองคำที่ถูกทางร้านเก็บซุกซ่อนเอาไว้โดยวิเคราะห์จากผังเดิมของร้าน ทำให้พบสร้องทองเป็นจำนวนมาก เขาหยิบทองขึ้นมาแบ่งให้เพื่อนๆ ทีละเส้น แต่ตำรวจญี่ปุ่นมาพบเข้าเสียก่อน เขาจึงฉวยสร้อยทองเท่าที่พอหยิบติดมือมาได้แล้ววิ่งหนีไป ขณะอยู่ในหลุมหลบภัย ไถเจี๋ยเห็นชาวบ้านพากันหวาดผวาหลังระเบิดตกลงในบริเวณใกล้เคียงจึงปลอบใจทุกคนว่า "ระเบิดมีตา มันจะไม่ตกใส่คนดี" จากนั้นก็แอบหยิบสร้อยทองในห่อผ้าออกมาอวดแม่ แม่ซูเห็นดังนั้นก็รู้สึกตกใจ เธอเกรงว่าทองคำจะนำภัยมาสู่ไถเจี๋ยจึงรีบปิดห่อผ้าเพราะกลัวคนเห็น และพยายามขอให้ไถเจี๋ยส่งทองมาให้ตนแต่ไถเจี๋ยไม่ยอม 

ตัดกลับไปที่สนามรบทางทิศตะวันตกของมณฑลหูหนาน ประเทศจีน 


จิ่งซิงถาม "จางฮั่นหมิน" ซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทว่าเหลือเวลาอีกนานแค่ไหน ฮั่นหมินตอบว่าอีกหนึ่งชั่วโมงพวกตนก็จะตรึงกำลังรักษาฐานที่มั่นครบ 10 วันเต็ม พอรู้ว่ากำลังพลของตนเหลือรอดเท่าที่เห็น เขาจึงบอกแผนการสุดท้ายกับฮั่นหมินว่าถ้าทหารญี่ปุ่นเข้ามาใกล้แนวรบด้านหน้าซึ่งพวกตนได้วางกับระเบิดเอาไว้เมื่อไหร่ ให้ระดมยิงทันที ฮั่นหมินกล่าวว่าภารกิจของจิ่งซิงจบสิ้นลงแล้ว เขาจะให้คนคุ้มกันจิ่งซิงออกไปแต่จิ่งซิงไม่อาจทิ้งทหาร (ที่ตนระดมมา) ให้เผชิญหน้ากับศัตรูที่มีกำลังเหนือกว่าแล้วหนีเอาตัวรอดตามลำพัง จึงขอสู้ตายกับเหล่าทหารของตน   

ไถอิงพยายามช่วยชีวิตทหารญี่ปุ่นที่เป็นแผลติดเชื้อ เขาคิดที่จะผ่าตัดทหารคนดังกล่าวจึงขอมอร์ฟีนจากโอดะ (ไถอิงพูดภาษาญี่ปุ่นกับโอดะ) พอรู้ว่ามอร์ฟีนหมด เขาจึงให้ทหารที่ได้รับบาดเจ็บกัดไม้พลางบอกให้แข็งใจแต่แล้วชายคนดังกล่าวกลับขาดใจไปเสียก่อน ไถอิงพยายามปั๊มหัวใจพลางบอกให้โอดะรีบเตรียมการผ่าตัด แต่โอดะกลับไปตามพระมาสวดส่งวิญญาณทหารคนดังกล่าวแทน โอดะจำได้ว่าเมื่อสองวันก่อนไถอิงเคยรักษาอาการบาดเจ็บให้ทหารคนดังกล่าว ในตอนนั้นบาดแผลเขาเพิ่งเริ่มอักเสบติดเชื้อเพียงเล็กน้อยแต่ตอนนี้เขากลับเสียชีวิตแล้ว ไถอิงร่ำไห้พลางโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทหารคนดังกล่าวตาย เพราะถ้าหากวันนั้นตนไม่รักษาแผลให้ทหารคนดังกล่าว เขาคงไม่ต้องออกไปสู้รบจนทำให้แผลอักเสบติดเชื้อลุกลามอย่างรวดเร็ว


เมื่อผู้บังคับกองร้อยชาวญี่ปุ่นสั่งให้หมอทหารทุกคนมารวมตัวกันโดยบอกว่าพวกตนกำลังจะบุกโจมตีทหารจีน ไถอิงก็ระงับอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ เขาปัดกระเป๋าบรรจุเวชภัณฑ์ของตนทิ้งและปฏิเสธที่จะทำหน้าที่ต่อ ทำให้โดนผู้บังคับกองร้อยตบจนเลือดกบปาก ไถอิงชี้ว่างานของตนคือการช่วยชีวิตคน ไม่ใช่ช่วยเพื่อให้กลับไปรบและเผชิญหน้ากับความตายอีกครั้ง ผู้บังคับกองร้อยแย้งว่าพวกตนรบเพื่อชัยชนะ ไถอิงสวนกลับว่าญี่ปุ่นกำลังจะพ่ายสงคราม ยิ่งรบก็ยิ่งสูญเสียและเป็นการส่งคนไปตายเปล่า ผู้บังคับกองร้อยได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโกรธจึงจับไถอิงและทหารชาวไต้หวันจำนวนหนึ่งมาเรียงแถวคุกเข่าแล้วยิงทิ้งทีละคน ขณะโดนปืนจ่อศีรษะเป็นคนสุดท้าย ไถอิงนึกบอกลาพี่ชายในใจ ขณะที่ทหารญี่ปุ่นกำลังจะลั่นไกไถชางก็เข้ามาขวางและเล็งปืนไปที่ผู้บังคับกองร้อย ทำให้โดนเหล่าทหารญี่ปุ่นเล็งปืนใส่เช่นกัน ในขณะที่สถานการณ์กำลังตึงเครียด ทหารนายหนึ่งก็รีบวิ่งมาบอกให้ผู้บังคับกองร้อยปล่อยตัวไถอิงเพราะมีคำสั่งให้ไถอิงไปที่โรงพยาบาลสนามโดยด่วน


ขณะเดินไปหยิบอุปกรณ์การแพทย์ ไถอิงยังช็อคไม่หายหลังรอดพ้นความตายมาได้แบบฉิวเฉียด เขาเป็นหนี้ชีวิตพี่ชายนับครั้งไม่ถ้วน ขณะเดียวกันก็รู้สึกเป็นห่วงพี่ชาย แต่ไถชางบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงและอย่าเป็นกังวลกับสิ่งที่เป็นอดีตไปแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...อย่างน้อยระหว่างตนกับไถอิงจะต้องมีคนใดคนหนึ่งกลับบ้านอย่างปลอดภัย ไถอิงแย้งว่าถ้าจะกลับก็ต้องกลับด้วยกัน ไถชางกล่าวว่าหน้าที่ของตนคือการปกป้องไถอิง ต่อให้ต้องเข่นฆ่าผู้คนและจุดไฟเผาให้เป็นจุล ตนก็จะทำเพื่อให้ไถอิงอยู่รอดปลอดภัย หากพวกตนจำต้องพบกันใหม่ในชาติหน้า ตนก็อยากฟังไถอิงเล่าว่าเขาใช้ชีวิตนับจากนี้ยังไง ไถชางตัดบทว่าตนยังมีภารกิจรออยู่และบอกให้ไถอิงรีบไปโรงพยาบาลสนาม เขามอบเข็มทิศให้ไถอิงแล้วบอกให้มุ่งหน้าลงใต้เพราะนั่นเป็นทางกลับบ้าน จากนั้นก็กำชับว่าไม่ว่าไถอิงจะอยู่ที่ไหนก็ตามต้องไม่ลืมทางกลับบ้าน


เมื่อไปถึงโรงพยาบาลสนาม ไถอิงได้รับคำสั่งให้ช่วยชีวิตเชลยสงครามคนสำคัญซึ่งก็คือจิ่งซิงนั่นเอง ขณะทำการผ่าตัดเอาเศษกระสุนออกโดยมีโอดะคอยเป็นลูกมือ อยู่ๆ จิ่งซิงก็ลืมตาขึ้น เขาเหลือบเห็นปืนของไถอิงจึงค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบ จากนั้นก็ผลักไถอิงและเตะโอดะก่อนเอาปืนจ่อศีรษะตัวเองแล้วลั่นไก พอรู้ว่าปืนไม่ได้บรรจุกระสุนเขาก็เขวี้ยงปืนทิ้งและจะลุกหนีแต่หมดสติไปเสียก่อน ไถอิงจึงลงมือผ่าตัดต่อ โอดะถึงกับเอ่ยปากชมว่าจิ่งซิงกล้าหาญมาก ขณะเดียวกันก็นึกสงสัยว่าทำไมปืนของไถอิงถึงไม่มีลูก ไถอิงกล่าวว่าตนเป็นหมอ ปืนของตนจึงไม่เคยบรรจุกระสุนแม้แต่นัดเดียว เขาเหลือบเห็นภาพถ่ายตกอยู่ข้างเตียงจึงหยิบขึ้นมาดูและพบว่าเป็นภาพครอบครัวของจิ่งซิง

ณ เมืองจีหลงของไต้หวัน


ไถเจี๋ยยืนดูงิ้วในตลาดกับ "กัวจงเลี่ยง" (เพื่อนสนิทที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน) พลางโม้เรื่องที่ตนติดหนวดแล้วหนีขึ้นไปบนเวทีแสดงงิ้วทำให้ตำรวจญี่ปุ่นจำตนไม่ได้ (ตำรวจไล่จับหลังเขาและเพื่อนๆ ขโมยทอง) ทันใดนั้น เพื่อนคนหนึ่งก็ตะโกนเรียกทั้งคู่ไปกินซูชิโดยบอกว่าเพื่อนที่ชื่ออาชิงจะเลี้ยง อาชิงบอกอาเจี๋ยว่าตนนำสร้อยทองที่ได้มาเมื่อวานไปขาย เลยอยากเลี้ยงซูชิเพื่อนๆ จากนั้นก็เหมาจนหมดร้าน เมื่อชาวญี่ปุ่น 2 คนมาที่ร้านแล้วพบว่าซูชิถูกเหมาไปจนหมด ทั้งคู่จึงสั่งให้กลุ่มของไถเจี๋ยยกซูชิให้พวกตน เจ้าของร้านไม่อยากมีเรื่องจึงขอให้ไถเจี๋ยและเพื่อนๆ ทำตามที่คนญี่ปุ่นบอก จงเลี่ยงรู้ว่าไถเจี๋ยเป็นคนอารมณ์ร้อนและไม่ชอบพวกญี่ปุ่นเป็นทุนเดิมจึงลากไถเจี๋ยออกไปยืนดูห่างๆ แต่ไถเจี๋ยเห็นเพื่อนถูกรังแกแล้วทนไม่ได้เลยจึงเข้าไปช่วยเพื่อนทำให้เกิดการยื้อยุดฉุดกระชากกันขึ้น เมื่อตำรวจญี่ปุ่นมาถึงจึงจับตัวไถเจี๋ยไปที่โรงพัก (ไถเจี๋ยโดน "หลินจินเปียว" ซึ่งเป็นตำรวจชาวไต้หวันและเป็นเพื่อนของไถอิง ใช้ไม้ฟาดขณะวิ่งหนีตำรวจชาวญี่ปุ่น)

"มิโซกูชิ" หรือ "โกวโขว่หรงผิง" (หัวหน้าวิศวกรโรงงานไฟฟ้าจีหลง / พ่อบุญธรรมชาวญี่ปุ่นของยูกิโกะ) ช่วยออกหน้าเจรจากับผู้กำกับชาวญี่ปุ่นจนทางตำรวจยอมปล่อยตัวไถเจี๋ย แต่มีข้อแม้ว่าเขาจะต้องสำนึกในความผิดที่ได้ทำลงไป เมื่อแม่ซูนำสร้อยทองทั้งหมดมาคืน ตำรวจญี่ปุ่นจึงแก้มัดให้ไถเจี๋ย แม่ซูคุกเข่าขอบคุณพ่อของยูกิโกะ ยูกิโกะและพ่อของเธอจึงช่วยกันประคองแม่ซูให้ลูกขึ้น หลังจากนั้นพ่อของยูกิโกะก็บอกว่าพวกตนเปรียบเสมือนเป็นคนในครอบครัว มีอะไรย่อมต้องช่วยเหลือกัน แม่ซูบอกให้ไถเจี๋ยขอบคุณพ่อของยูกิโกะ ไถเจี๋ยจึงพูดขอบคุณเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก หลังจากนั้นแม่ซูก็ตำหนิไถเจี๋ยกลางโรงพัก ไถเจี๋ยขอให้แม่แอบเก็บทองไว้เส้นหนึ่งโดยอ้างว่าถึงเก็บไว้ก็ไม่มีใครรู้ เพราะตำรวจญี่ปุ่นฟังภาษาไต้หวันไม่ออก แม่ซูได้ยินดังนั้นจึงตบหน้าไถเจี๋ยเพื่อเป็นการสั่งสอน ไถเจี๋ยจึงตัดพ้อเรื่องที่แม่บ่นทุกวันว่าสินสอดถูกตำรวจญี่ปุ่นยึดไปจนหมด แม้แต่ของที่เตรียมไว้ให้ยูกิโกะก็ยังโดนยึดไปด้วย ยูกิโกะได้ยินดังนั้นจึงบอกไถเจี๋ยว่าเธอไม่ต้องการสินสอดทองหมั้น  ไถเจี๋ยแย้งว่าแม่ของตนนั่งกลุ้มเรื่องนี้ทุกวัน ตนเลยอยากเก็บทองไว้ให้ยูกิโกะสักเส้นเผื่อว่าแม่จะสบายใจขึ้นมาบ้าง แม่ซูได้ยินดังนั้นจึงเข้าไปกอดไถเจี๋ย พ่อยูกิโกะปลอบแม่ซูว่าอย่ากังวลในเรื่องนี้ เขารู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งใจที่ยูกิโกะได้รับความรักและการดูแลจากแม่ซูดุจเป็นลูกสาวคนหนึ่งมาโดยตลอด และนั่นก็ไม่อาจทดแทนด้วยสิ่งของใดๆ ได้

ณ สมรภูมิรบทางทิศตะวันตกของมณฑลหูหนาน ประเทศจีน


หลังผ่าตัดเสร็จแล้ว จิ่งซิงถูกทหารญี่ปุ่นหามมาส่งที่สถานกักกันเชลยศึกโดยมีไถอิงตามด้วย ฮั่นหมินเห็นดังนั้นจึงร้องเรียกจิ่งซิงด้วยความเป็นห่วง ไถอิงพูดภาษาจีนกลางกับฮั่นหมินโดยบอกว่าตนผ่าเศษกระสุนออกจากตัวจิ่งซิงแล้ว บาดแผลติดเชื้อเพียงเล็กน้อย อีกสองสามวันตนจะมาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ ฮั่นหมินเห็นว่าไถอิงพูดภาษาจีนได้จึงถามว่าเขาเป็นล่ามของพวกญี่ปุ่นหรือ ไถอิงตอบว่าตนเป็นหมอทหารแต่ไม่ได้เป็นคนญี่ปุ่น เขาวางรูปครอบครัวไว้บนหน้าอกของจิ่งซิงพลางฝากฮั่นหมินให้บอกจิ่งซิงว่า เขาทนพิษบาดแผลที่หนักหนาสาหัสขนาดนี้มาได้ และได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง เพื่อครอบครัวแล้วเขาต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปและใช้ชีวิตให้ดี ไถอิงกำลังจะทำแผลที่หน้าผากให้ฮั่นหมิน แต่โอดะเข้ามาขัดจังหวะพร้อมประกาศข่าวดีว่าผู้บัญชาการทหารสูงสุดตัดสินใจยุติปฏิบัติการแย่งยึดสนามบินหวายฮั่วจื่อเจียง พวกตนสามารถถอนกำลังจากที่นี่ได้แล้ว


ในที่สุดทหารของจักรวรรดิญี่ปุ่นก็เริ่มเคลื่อนย้ายกองกำลังออกจากพื้นที่การรบส่วนหน้า (โดยนำตัวจิ่งซิง ฮั่นหมิน และเชลยสงครามคนอื่นๆ ไปด้วย) ระหว่างทางฮั่นหมินนึกสงสัยว่าไถอิงไม่ใช่คนญี่ปุ่นจริงๆ หรือ ไถอิงจึงตอบว่าบ้านของตนอยู่ไกลออกไปทางตอนใต้ ก่อนชี้ชัดว่าตนมาจากไต้หวัน เขายังเล่าด้วยว่าหลังสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (เป็นการสู้รบกันระหว่างราชวงศ์ชิงของจีนกับจักรพรรดิเมจิแห่งญี่ปุ่น เพื่อครอบครองคาบสมุทรเกาหลี) ราชวงศ์ชิงได้ยกมณฑลไต้หวันให้ญี่ปุ่นทำให้ไต้หวันตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นตั้งแต่นั้นมา ฮั่นหมินเองก็รู้ว่าประเทศของตนเสียไต้หวันให้ญี่ปุ่นเพราะสนธิสัญญาชิโมโนเซกิ* แต่ยังไม่วายนึกสงสัยว่าไถอิงเป็นคนจีนจริงๆ หรือ  ไถอิงจึงเล่าว่าบ้านของตนอยู่ที่เมืองจีหลงซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของไต้หวัน ที่นั่นมีภูเขาสูงลิ่วตั้งตระหง่านอยู่ บ้านของตนอยู่บนเนินของภูเขาลูกนั้น เมื่อมองลงไปทางด้านล่างจะเห็นท้องทะเลกว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตา

* ในปีค.ศ. 1895 ราชวงศ์ชิงหวั่นเกรงความเข้มแข็งของกองทัพญี่ปุ่นจึงเจรจาขอสงบศึก และได้ทำ "สนธิสัญญาชิโมโนเซกิ" ระหว่าง "หลี่หงจาง" กับ  "อิโต อิโรบูมิ" ผลของสนธิสัญญาไม่เพียงทำให้จีนสูญเสียไต้หวัน แต่ยังต้องยกเกาหลีและคาบสมุทรเหลียวตงให้ญี่ปุ่นด้วย

เมื่อจิ่งซิงเริ่มรู้สึกตัว ฮั่นหมินจึงรายงานว่าไถอิงเป็นหมอทหารที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ และยังบอกด้วยว่าไถอิงเป็นคนจีนไม่ใช่คนญี่ปุ่น เมื่อจิ่งซิงเงยหน้าขึ้นมามองไถอิงก็พยักหน้าทักทาย ทันใดนั้น กองทัพญี่ปุ่นก็ถูกกองทัพจีนโจมตีทางอากาศ ไถอิงช่วยแก้มัดให้ฮั่นหมินแล้วบอกให้เขารีบพาจิ่งซิงหนีไป  จิ่งซิงกับฮั่นหมินบอกให้ไถอิงหนีไปพร้อมพวกตน ไถอิงปฏิเสธเพราะต้องการตามหาพี่ชาย แต่ยังไม่ทันออกตามหาก็ถูกผู้บังคับกองร้อยใช้ด้ามปืนตบหน้าเสียก่อน
.
วันที่ 15 สิงหาคม 1945 จักรพรรดิญี่ปุ่นได้ประกาศยอมแพ้สงคราม (หลังกองทัพอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูลงสู่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ) 

ณ เมืองจีหลงของไต้หวัน

หลังทราบข่าวว่าญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ ไถเจี๋ยและเพื่อนๆ ต่างพากันดีใจ...  ส่วนแม่ซูนำข้าวต้มมาให้คนป่วยที่ดั้นด้นเดินทางมาหาเพื่อขอคำปรึกษาและยารักษาโรค ทำให้คนป่วยร่ำไห้ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ จากนั้นก็กล่าวอย่างชื่นชมว่าหมอซู (ผู้ล่วงลับ) กับแม่ซูช่างเป็นคนดีจริงๆ  (คนป่วยไม่ได้ทานข้าวมานานแล้ว เนื่องจากอเมริกาทิ้งระเบิดทุกวันทำให้ไม่สามารถเพาะปลูกอะไรได้)

ที่ค่ายทหารของญี่ปุ่นทางทิศตะวันตกของมณฑลหูหนาน ประเทศจีน



เหล่าทหารจำนวนหนึ่งที่ถูกเกณฑ์มาจากไต้หวัน (รวมทั้งไถอิง) ถูกผู้บังคับกองร้อยชาวญี่ปุ่นควบคุมตัวเยี่ยงนักโทษหมายให้เป็นเหยื่อล่อ หลังแก้มัดและมอบปืนที่ไม่ได้บรรจุกระสุนให้แล้ว (ปืนของไถอิงมีดาบติดอยู่ส่วนของคนอื่นเป็นปืนธรรมดา) ทุกคนก็ถูกบังคับให้เดินตรงไปข้างหน้า (หรืออาจเรียกได้ว่าเดินไปตายเพราะมีทหารจีนจำนวนมากดักซุ่มอยู่) ทหารไต้หวันบางส่วนหันหลังกลับทำให้ถูกทหารญี่ปุ่นยิงเสียชีวิตทันที ไถอิงและทหารที่เหลืออยู่เห็นดังนั้นจึงได้แต่ยืนตะลึง ทันใดนั้นก็มีเสียงตามสายประกาศเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ทุกคนตั้งใจฟังประกาศจากองค์จักรพรรดิ หลังจากนั้นก็มีเสียงของจักรพรรดิญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม

ทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งเห็นว่าพวกตนยังอยู่ในดงศัตรูจึงถามผู้บังคับกองร้อยว่าจะทำยังไงต่อไปดี ผู้บังคับกองร้อยยอมตายไม่ยอมจำนนจึงสั่งให้ลูกน้องสู้ตายพร้อมตน ทหารญี่ปุ่นเลยพากันวิ่งกรูเข้าไปหาทหารจีนที่ดักซุ่มและเล็งปืนรออยู่ ทำให้ถูกยิงตายเป็นจำนวนมาก (ทหารญี่ปุ่นต้องวิ่งผ่านกลุ่มของไถอิงทำให้ไถอิงถูกดันให้เข้าไปอยู่ในแนวรบด้วย)  ถึงกระนั้นทั้งสองฝ่ายก็ยังปะทะกันอย่างดุเดือด ในตอนนั้นชีวิตของไถอิงเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายเพราะตกอยู่ท่ามกลางดงกระสุนและระเบิดโดยไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่ไถชางมาช่วยทันเวลาทำให้ไถอิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด


ไถชางพาไถอิงเข้าไปในตึกร้างที่มีทหารจีนจำนวนหนึ่งดักซุ่มอยู่หมายแย่งยึดเป็นที่กำบังทำให้เกิดการต่อสู้กัน ไถอิง (ซึ่งยังคงถือปืนที่ติดดาบ) พยายามห้ามไม่ให้ทั้งสองฝ่ายสู้กัน พลางร้องบอกทุกคนว่าญี่ปุ่นยอมแพ้แล้ว เมื่อเห็นว่าไม่มีใครฟังเขาจึงผลักทั้งสองฝ่ายออกจากกัน ไถชางเห็นทหารจีนคนหนึ่งกำลังทำร้ายไถอิงจึงยิงทหารคนดังกล่าวทันที ไถอิงรับไม่ได้ที่พี่ชายฆ่าคนจีนด้วยกันทั้งๆ ที่ทหารญี่ปุ่นยอมแพ้แล้วจึงเดินหนีขึ้นไปที่ชั้นบน ไถชางเป็นห่วงไถอิงเลยรีบตามไปคุ้มกันและฆ่าทหารจีนที่เข้าไปทำร้ายไถอิง ไถอิงเข้าไปล็อคตัวไถชางไม่ให้ฆ่าทหารจีนทั้งๆ ที่ไถชางกำลังต่อสู้กับทหารจีนอย่างดุเดือด ไถชางบอกให้ไถอิงปล่อยตนเพราะเป็นช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เมื่อไถอิงไม่ฟังเขาจึงสะบัดไถอิงออกโดยไม่ทันสังเกตว่ามีดาบติดอยู่ที่ปลายปืน (ปืนของเขากระสุนหมดเลยหยิบปืนดาบมาป้องกันตัวแทน - น่าจะเป็นปืนของไถอิง เพราะไม่มีใครใช้ปืนติดดาบ)



เมื่อเห็นไถอิงโดนดาบปลายปืนแทงถากๆ ที่ใบหน้าจนเลือดไหล ไถชางก็ตกใจจนเสียสมาธิ เขาทิ้งปืนและจะเดินไปหาไถอิงแต่ถูกทหารจีนใช้ดาบปลายปืนแทงเข้าที่หลังเสียก่อน หลังจัดการทหารคนดังกล่าวแล้วไถชางก็ถูกทหารจีนอีกคนยิงซ้ำที่หน้าอกต่อหน้าต่อตาไถอิง ไถชางก้มมองแผลก่อนหันไปมองหน้าไถอิงที่ยังคงนั่งช็อค ไถอิงเห็นไถชางหงายหลังและกำลังจะตกจากตึกจึงรีบวิ่งไปคว้ามือไถชางเอาไว้พลางขอร้องไถชางว่าอย่าปล่อยมือ ไถชางแหงนมองด้านบนว่ามีทหารจีนอยู่ในบริเวณดังกล่าวหรือไม่ เขาฝากไถอิงให้ช่วยดูแลแม่แทนตนจากนั้นก็ปล่อยมือทันที ไถอิงได้แต่ร้องเรียกและก้มมองร่างพี่ชายร่วงหายไปในกลุ่มควันและเปลวเพลิง ไม่นานตึกดังกล่าวก็โดนถล่มจนไฟลุกท่วม


** จบตอนที่ 1 **

* เนื้อหาโดย luvasianseries

นักแสดงนำ

 

โจวอวี๋หมิน (วิค โจว / ไจ่ไจ๋)
รับบท  ซูไถอิง
(นักแสดง / นักร้อง / นายแบบ ชาวไต้หวัน)

* ก่อนแสดงละครเรื่องนี้ ไจ่ไจ๋ต้องหัดพูดภาษาญี่ปุ่น และไต้หวัน (ปกติเขาพูดภาษาจีนกลางซึ่งเป็นภาษาราชการของไต้หวัน) เพราะในเรื่องต้องใช้ทั้งสามภาษา 



หวังเสวียะฉี
รับบท เจี่ยงจิ่งซิง
(นักแสดง ชาวจีน)



จางจวินหนิง (จานีน ชาง)
รับบท ยูกิโกะ มิโซกูชิ / เสวี่ยจื่อ
(นักแสดง ชาวไต้หวัน - เกิดที่เยอรมนี)

สาวสวยวัย 24 ปี "ยูกิโกะ มิโซกูชิ" หรือชื่อจีน "เสวี่ยจื่อ" เป็นพยาบาลประจำคลีนิกชื่อดังในเมืองจีหลง และเป็นคู่หมั้นของไถชาง ความจริงแล้วเธอเป็นชาวไต้หวันและเป็นลูกสาวของเพื่อนแม่ซู หลังจากพ่อแม่เสียชีวิตตอนที่เธอยังเป็นเด็ก เธอก็อยู่ภายใต้การดูแลของพ่อบุญธรรมชาวญี่ปุ่น ขณะที่แม่ซูกับไถชางต่างก็รักใคร่เอ็นดูเธอมาโดยตลอด แต่คนที่เธอแอบรักและเฝ้ารอกลับเป็นไถอิง และมีเพียงไถเจี๋ยกับจินเปียว (ตำรวจและเพื่อนของไถอิง ซึ่งหลงรักยูกิโกะ) ที่รู้เรื่องนี้



หลี่กั๋วอี้ (เลโก้ หลี่)
รับบท ซูไถเจี๋ย
(นักแสดง ชาวไต้หวัน)

"ซูไถเจี๋ย" วัย 23 ปี เป็นลูกชายคนเล็กของครอบครัวซู และนักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะวิทยาศาสตร์การเมือง มหาวิทยาลัยไทเป เขาเป็นคนฉลาด เข้ากับคนอื่นได้ง่าย แต่ค่อนข้างหัวแข็งโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนญี่ปุ่น เขาอยากเห็นสังคมที่ทุกคนมีความเท่าเทียม เกลียดความอยุติธรรมและจะลุกขึ้นสู้เพื่อความถูกต้องเสมอ เป้าหมายเดียวในชีวิตของเขาคือการเอาชนะคนญี่ปุ่นในทุกๆ ด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเรียน หลังพ่อเล่าให้ฟังว่าบรรพบุรุษสกุลซูมาจากเมืองถังซานในจีนแผ่นดินใหญ่ (อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของมณฑลเหอเป่ย์) เขาจึงศึกษาเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับเมืองจีนและเรียนรู้ภาษาจีนกลาง โดยฝันว่าสักวันจะได้ไปเยือนที่นั่นสักครั้ง



เหยียนน่า
รับบท เจี่ยงเหวิน
(นักแสดง ชาวจีน)

นักแสดงสมทบ



จางเฉินกวง
รับบท หม่าเจินเต๋อ
(นักแสดง ชาวไต้หวัน)



หยางกุ้ยเหม่ย
รับบท ซูเลี่ยวชิงเหม่ย / แม่ซู
(นักแสดง ชาวไต้หวัน)

"แม่ซู" เป็นคุณแม่ชาวไต้หวันวัย 50  จบการศึกษาระดับมัธยม อดีตเคยเป็นสาวโรงงานเสื้อผ้า เธอแต่งงานกับแพทย์แผนจีนและมีลูกชาย 3 คน สามีของเธอขึ้นชื่อในเรื่องความเป็นคนจิตใจดีมีความเมตตา และเธอก็เป็นที่รู้จักในฐานะ "ภรรยาหมอ" สามีของเธอเสียชีวิตเมื่อ 10 ปีก่อนหลังพยายามปกป้องชาวบ้านไม่ให้ถูกคนญี่ปุ่นทำร้าย ด้วยความที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่องยาและแพทย์แผนจีนมาจากสามี เธอจึงยังคงจ่ายยาให้ผู้ป่วยที่มาขอความช่วยเหลือ  เธอหมายมั่นว่าจะปกป้องและรักษาวิชาแพทย์แผนจีนของตระกูลซูเอาไว้ให้ได้ จึงฝากความหวังและความฝันทั้งหมดไว้ที่ไถอิง



หลี่หลี่เหริน
รับบท ซูไถชาง
(นักแสดง ชาวไต้หวัน)

"ซูไถชาง" ลูกชายคนโตของสกุลซู เป็นชายหนุ่มวัย 30 ปีที่กล้าหาญ หนักแน่น มีความรับผิดชอบสูง เพื่อครอบครัวแล้วเขายินดีสละทุกสิ่ง แม้กระทั่งการจากลาว่าที่ภรรยาเพื่อตามไปปกป้องน้องชายในสนามรบ ด้วยเห็นว่าน้องชายเป็นคนจิตใจดีและขี้สงสารเกินไป และนั่นก็ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย



จางตานเฟิง
รับบท จางฮั่นหมิน
(นักแสดง ชาวจีน)



หวังเส้าเหว่ย (แซม หวัง)
รับบท หลินจินเปียว
(นักแสดง นักร้อง ผู้ดำเนินรายการ ชาวไต้หวัน)




รวมคลิปตัวอย่างจาก One TV twnexttv




รวมคลิปเบื้องหลังจาก One TV twnexttv


*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา