เขียนบท: ชาง ยองชอล, ชอง คยองซุน
แนวละคร: โรแมนติก, เมโลดราม่า, อิงประวัติศาสตร์
จำนวนตอน: 51
ออกอากาศ: เกาหลี - 28 ตุลาคม 2556 - 29 เมษายน 2557 ทางเอ็มบีซี
ไทย - ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 19.15 น.-20.15 น.ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (ช่อง 13) ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2560 - 18 สิงหาคม 2560
เรื่องย่อ
เรื่องย่อ
ละคร "กีซึงนัง จอมนางสองแผ่นดิน (Empress Ki)" นำเสนอเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเรืองอำนาจในยุคปลายของมองโกลราชวงศ์หยวนเป็นเวลานานกว่า 30 ปี เธอไม่ได้เป็นชาวมองโกลและไม่มีเชื้อสายชาวฮั่น หากเป็นสตรีชาวโครยอซึ่งเป็นอาณาจักรเล็กๆ ในแถบตะวันออกไกล มิหนำซ้ำ เธอยังเป็นหนึ่งในหญิงสาวที่ถูกราชสำนักโครยอจับไปเป็นบรรณาการแก่ราชวงศ์หยวนอีกด้วย แต่สุดท้ายหญิงต้อยต่ำอย่างเธอกลับได้รับการจารึกชื่อในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในจักรพรรดินีแห่งราชวงศ์หยวน และชื่อของเธอก็คือ "จักรพรรดินีกี"
ข้อมูลทางประวัติศาสตร์:
"จักรพรรดินีกี" หรือ "ฉีฮองเฮา" ในภาษาจีน และ "สมเด็จพระจักรพรรดินีโอลชีคูตูค" ในภาษามองโกลเลีย เป็นหนึ่งในฮองเฮาของ "ทอคอนเตมูร์" หรือ "จักรพรรดิหยวนฮุ่ยจง" (จักรพรรดิองค์ที่ 12 และองค์สุดท้ายของราชวงศ์หยวน) และพระมารดาขององค์ชาย "อายูร์ชีรีดาร์" หรือ "จักรพรรดิหยวนเจ้าจง" ผู้ก่อตั้งราชวงศ์หยวนเหนือ
เธอเป็นสตรีชาวโครยอที่เกิดในครอบครัวขุนนางระดับล่าง มีพี่ชายคนหนึ่งชื่อ "กีชอล" ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เด็กชายและเด็กสาวชาวโครยอจำนวนมากได้ถูกส่งไปเป็นบรรณาการให้มองโกลราชวงศ์หยวน โดยเด็กชายถูกส่งไปเป็นขันที ส่วนเด็กสาวถูกส่งไปเป็นนางกำนัลและพระสนม (พระราชาโครยอต้องส่งหญิงบรรณาการไปให้ราชสำนักหยวนทุกๆ 3 ปี) จักรพรรดินีกีก็เป็นหนึ่งในเด็กสาวที่ถูกส่งไปเป็นบรรณาการให้ราชสำนักหยวน ในตอนแรกเธอไม่เต็มใจ แต่พอไปถึงต้าหยวนเธอก็ตัดสินใจว่าจะเป็นพระสนมที่ดีและโดดเด่นที่สุด ด้วยความที่มีรูปลักษณ์งดงามกว่าใคร ทั้งยังมีทักษะในด้านการร่ายรำ ขับร้อง เขียนพู่กัน แต่งบทกวี และมีวาทะศิลป์ เธอจึงกลายเป็นพระสนมคนโปรดของทอคอนเตมูร์ (ฮ่องเต้) อย่างรวดเร็ว
ฮ่องเต้หลงรักพระสนมกีและใช้เวลาอยู่กับนางมากกว่า "ทานาชีรี" (ฮองเฮาพระองค์แรก) หลังฮองเฮาทานาชีรีถูกประหารอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการก่อกบฏของ "ทังกีเซ" ผู้เป็นพี่ชาย ฮ่องเต้พยายามแต่งตั้งพระสนมกีเป็นฮองเฮาพระองค์ที่สอง (ในตอนนั้นมี "จักรพรรดินีบายันคูตูค" (หลานของ "บายัน" และน้องสาวของ "ทอคตอ") ดำรงตำแหน่งฮองเฮาอยู่ก่อนแล้ว) แต่เนื่องจากเป็นการผิดธรรมเนียมปฏิบัติ (ฮองเฮาควรเป็นชาวมองโกล) ราชสำนักจึงไม่เห็นด้วย ประกอบกับ "บายัน" ซึ่งกุมอำนาจในราชสำนัก ณ เวลานั้น และไทเฮาต่างพากันคัดค้าน ฮ่องเต้เลยไม่สามารถแต่งตั้งพระสนมกีขึ้นเป็นฮองเฮาองค์ที่สองได้ แต่หลังจากให้กำเนิดพระโอรสพระสนมกีจึงถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮาองค์ที่สอง หรือ "จักรพรรดินีกี" ในที่สุด
หลังจากนั้นจักรพรรดินีกีก็กลายเป็นผู้เรืองอำนาจอย่างแท้จริง เนื่องจากฮ่องเต้ไม่ค่อยสนพระทัยและไม่โปรดการบริหารบ้านเมือง ผิดกับจักรพรรดินีกีที่มีพรสวรรค์ในด้านการเมืองและเศรษฐกิจอำนาจทั้งหมดจึงตกอยู่ในมือนาง ด้วยความที่โครยอเป็นประเทศราชของราชวงศ์หยวน กีชอลในฐานะพระเชษฐาของจักรพรรดินีกีจึงกลายเป็นผู้กุมอำนาจในราชสำนักโครยออย่างแท้จริง เป็นที่รู้กันว่ากีชอลนั้นขึ้นชื่อในเรื่องการฉ้อฉลและอำนาจของเขาก็ทำให้ราชบัลลังก์ของพระราชาสั่นคลอน "พระเจ้าคงมิน" ต้องการปลดแอกโครยอจากราชวงศ์หยวนจึงทำการยึดอำนาจและกวาดล้างอิทธิพลของตระกูลกีในโครยอโดยสังหารคนตระกูลกีจนหมดสิ้น เมื่อจักรพรรดินีกีทราบข่าวจึงตอบโต้ด้วยการเลือกองค์ชายมองโกล "ทัชเตมูร์" ให้มาเป็นพระราชาโครยอองค์ใหม่แทนและส่งกองทัพมองโกลมาโจมตีบ้านเกิดของตน แต่สุดท้ายทัพมองโกลราชวงศ์หยวนก็พ่ายให้กับกองทัพโครยอ พระเจ้าคงมินจึงหยุดส่งบรรณาการให้ราชวงศ์หยวน หลังจากนั้นไม่นานราชวงศ์หยวนก็ถูกราชวงศ์หมิงโค่นล้ม
* เนื้อหาในละครสร้างสรรค์จากจินตนาการของผู้เขียนบทจึงมีความแตกต่างจากเรื่องจริง
ละครเปิดฉากขึ้นที่เมืองต้าตู (เมืองหลวงของราชวงศ์หยวน ปัจจุบันคือกรุงปักกิ่ง) ในวันสถาปนาเฉลิมพระเกียรติพระสนมกีเป็น "จักรพรรดินีกี" (ค.ศ. 1340 หรือ พ.ศ. 1883)
"จักรพรรดิหยวนฮุ่ยจง" กำลังจะเสด็จไปร่วมพระราชพิธี เมื่อเห็น "พระเจ้าชุงฮเย" (วังยู) พระราชาแห่งโครยอยืนดักรอบนสะพานเพื่อกล่าวคำอำลาก่อนเดินทางกลับโครยอ พระองค์จึงตรัสถามว่าจะไม่ไปร่วมพิธีหน่อยหรือ เมื่อพระราชาวังยูตอบว่าตนไม่มีเหตุผลที่จะเข้าร่วม ฮ่องเต้ฮุ่ยจงจึงตรัสว่าการที่หญิงบรรณาการได้รับการแต่งตั้งให้เป็นถึงฮองเฮานับว่าเป็นเกียรติแก่โครยอ และถ้าไม่ได้ 'นาง' ป่านนี้พระราชาวังยูคงตายไปแล้ว ฮ่องเต้ฮุ่ยจงย้ำว่านางเป็นคนช่วยชีวิตอันไร้ค่าของเขา พระราชาวังยูได้ยินดังนั้นจึงฝากขอบพระทัยก่อนเดินหนีไป เมื่อถูกถามว่ายังรัก 'ซึงนัง' อยู่ใช่ไหม พระราชาวังยูหยุดเดินชั่วขณะและพยายามกล้ำกลืนความเจ็บช้ำก่อนเดินต่อไปโดยไม่พูดจา ฮ่องเต้ฮุ่ยจงเองก็ปวดใจไม่แพ้กันจึงตะโกนบอกพระราชาวังยูทั้งน้ำตาว่า "ข้ารักนาง นางเป็นทุกสิ่งของข้า นางไม่ใช่ของเจ้า เข้าใจรึยัง เข้าใจรึเปล่า?"
พระสนมกีแต่งตัวเตรียมเข้าพิธีด้วยสีหน้าเรียบเฉย ครั้นพอหยิบแหวนคู่ (ของพ่อกับแม่) ที่ร้อยเก็บไว้ในเชือกขึ้นมาดูก็เผลอยิ้มออกมา แต่หลังจากสาวใช้เข้ามาบอกว่าพระราชาวังยูได้เสด็จออกจากตำหนักเพื่อเดินทางกลับโครยอแล้ว พระสนมกีก็มีสีหน้าเศร้าหมอง... ในที่สุดพระสนมกีก็ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นฮองเฮา โดยพระราชพิธีได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมเกียรติ แม้จะมีผู้คนมาร่วมงานมากมาย (รวมทั้งองค์ชาย "วังโค (อ๋องแห่งเสิ่นหยาง)") และมีฮ่องเต้ฮุ่ยจงอยู่เคียงข้าง แต่ในสายตาของพระสนมกีกลับมีเพียงพระราชาวังยู (ซึ่งยืนดูอยู่ไกลๆ) พระสนมกีน้ำตาไหลพรากเมื่อเห็นแววตาที่แสนปวดร้าวของพระราชาวังยู ขณะที่พระราชาวังยูได้แต่ยืนมองหญิงอันเป็นที่รักด้วยน้ำตาคลอเบ้าก่อนหันหลังเดินจากไป
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน
สองพี่น้อง "ถังฉีซื่อ" และ "ถ่าล่าไห่" บุตรชายอัครมหาเสนาบดี "เยี่ยนเถี่ย" แห่งราชวงศ์หยวน (มองโกล) ได้นำกำลังทหารคุมตัวหญิงบรรณาการชาวโครยอเดินทางไปยังเมืองต้าตู้ของต้าหยวน โดยมีองค์ชายรัชทายาทวังยูแห่งโครยอร่วมเดินทางในฐานะตัวประกัน องค์ชายวังยูเห็นหญิงชาวโครยอ รวมทั้ง "กีนัง" กับแม่ (ความจริงแล้วนางเอกเป็นคนสกุลกี ชื่อ "นัง" (นยัง) พอปลอมตัวเป็นชายจึงเปลี่ยนชื่อเป็น "ซึงนัง") ถูกถ่าล่าไห่จับมัดและเฆี่ยนตีอย่างทารุณก็อดรนทนดูไม่ได้จึงสั่งให้หยุด จากนั้นก็บอกให้แก้มัดและรักษาบาดแผลให้พวกนาง เมื่อถังฉีซื่อรู้เข้าเลยเตือนว่าพระองค์อยู่ในฐานะตัวประกันของต้าหยวนจึงไม่มีสิทธิออกคำสั่งพวกตน (ในตอนนั้นโครยอเป็นประเทศราชของราชวงศ์หยวน เหล่าองค์ชายโครยอทุกพระองค์จึงต้องเสด็จไปยังเมืองต้าตูตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เพื่อรับการอบรมและปลูกฝังวิถีชีวิตแบบชาวมองโกล ทั้งยังต้องเปลี่ยนชื่อเป็นภาษามองโกลเลีย และอภิเษกกับเจ้าหญิงมองโกลด้วย)
องค์ชายวังยูสงสัยว่าหญิงโครยอที่สภาพร่างกายบอบช้ำเหล่านี้จะมีชะตากรรมเช่นไรเมื่อเดินทางไปถึงต้าหยวน เมื่อขันทีคนสนิท "พัง ชินอู" ทูลว่าพวกนางจะถูกขายไปเป็นทาสหรือไม่ก็นางคณิกา องค์ชายวังยูจึงแอบปล่อยตัวพวกนางจากที่คุมขังกลางดึก โดยหารู้ไม่ว่านั่นคือการเปิดประตูให้ทุกคนเดินไปสู่ความตาย หลังรู้ว่าหญิงบรรณาการชาวโครยอพากันหลบหนีเข้าป่าไปจนหมด ถังฉีซื่อกับถ่าล่าไห่จึงนำกำลังออกไล่ล่าและสังหารทุกคนที่พบ แม่ของกีนังถูกยิงด้วยหน้าไม้เข้าที่กลางหลังทำให้ทรุดลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น กีนังได้แต่ร้องเรียกและพยายามปลุกให้แม่ตื่น เมื่อถังฉีซื่อมาพบเข้าก็หัวเราะอย่างผู้มีชัยก่อนเล็งหน้าไม้ไปที่กีนัง แม่ของกีนังเห็นดังนั้นจึงเอาร่างตนบังกีนังไว้ หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็กลิ้งตกลงจากเนินเขา แม่กีนังรู้ตัวว่าตนเองกำลังจะตายจึงบอกให้กีนังรักษาตัวและมีชีวิตอยู่ต่อไป เธอมอบแหวนเงินให้กีนังพลางบอกว่าแหวนวงนี้พ่อของกีนังมอบให้ตนและเขายังมีชีวิตอยู่ เธอทนพิษบาดแผลไม่ไหวจึงฝืนพูดได้เพียงคำว่า "สกุลกี" และ "แหวนคู่" จากนั้นก็สิ้นใจ
องค์ชายวังยูมองศพหญิงชาวโครยอที่นอนเรียงรายอยู่บนพื้นด้วยความรู้สึกผิด และร่ำไห้เสียใจท่ามกลางสายฝนที่ไม่สามารถปกป้องราษฎรของตนได้ เมื่อ "องค์ชายวังโค" (เสิ่นหยางอ๋อง) มาพบเข้าจึงพูดถากถางองค์ชายวังยูว่า องค์ชายที่ฆ่าราษฎรของตนไม่มีสิทธิขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์ไม่เพียงทรงพระเยาว์แต่ยังไร้ซึ่งความสามารถ ขอได้โปรดทรงทำเพื่อบ้านเมืองด้วยการไปตายที่ต้าหยวนและอย่ากลับมาเหยียบแผ่นดินโครยออีก พูดจบเขาก็หัวเราะเยาะแล้วเดินจากไป
กีนังตัดผมแล้วปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายจากนั้นก็ออกตามหาคนสกุลกีในเมืองหลวง ในเวลาเดียวกันนั้น แม่ทัพ "กี จาโอ" ซึ่งนั่งอยู่ในร้านขายซุปกับลูกน้องก็กำลังมองแหวนเงินพลางคิดถึงลูกเมียที่พลัดพรากและตามหามานาน ลูกน้องของจาโอเห็นดังนั้นจึงปลอบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของเขา เพราะภรรยาของเขาเป็นฝ่ายหอบลูกหนีไปเอง เมื่อลูกน้องแนะให้จาโอลองไปสอบถามเจ้าหน้าที่ประจำท้องถิ่นต่างๆ ดูเผื่อว่าอาจได้เบาะแสอะไรบ้าง จาโอจึงรีบเก็บแหวนแล้วออกจากร้านไปทันที กีนังได้ยินแม่ค้าขายผ้าบอกว่าเจ้าของร้านขายซุปเป็นคนสกุลกีจึงรีบมาถามหาคนสกุลกีที่ร้าน โชคร้ายที่จาโอออกจากร้านไปเสียก่อนทำให้คลาดกัน
กีนังเห็นถังฉีซื่อและพวกควบม้าเข้ามาในตลาดเลยรีบวิ่งหนีด้วยความตกใจ (เธอลืมไปว่าตนตัดผมและปลอมตัวเป็นชายแล้ว) ด้วยความที่มัวแต่วิ่งหันรีหันขวางกีนังจึงวิ่งตัดหน้าม้าของเสิ่นหยางอ๋องและโดนม้าเตะจนสลบ เมื่อเห็นว่าเด็กชายตรงหน้ายังไม่ตายเสิ่นหยางอ๋องจึงพากลับไปพักรักษาตัวที่จวน คืนนั้นถังฉีซื่อนัดหารือและทานอาหารกับเสิ่นหยางอ๋อง เขาเปรยว่าหากวันใดองค์ชายวังยูกลับมาครองแผ่นดินโครยอคงไม่ยอมส่งหญิงบรรณาการให้ราชสำนักหยวนเป็นแน่ เสิ่นหยางอ๋องจึงบอกถังฉีซื่อว่าอย่าให้องค์ชายวังยูรอดกลับมา เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่จะทำให้ตนได้ครอบครองทั้งโครยอและเสิ่นหยาง ถังฉีซื่อกล่าวว่าราชสำนักหยวนจะต้องเรียกร้องให้โครยอส่งหญิงบรรณาการไปให้ใหม่ เสิ่นหยางอ๋องจึงบอกให้ถังฉีซื่อวางใจ เพราะตนได้ส่งเครื่องบรรณาการจำนวนมากไปให้ราชสำนักหยวนในนามของตนแล้ว
กีนังฝากตัวเป็นข้ารับใช้เสิ่นหยางอ๋องโดยโกหกว่าตนชื่อ "ซึงนัง" หลังจากนั้นก็ตั้งใจเรียนรู้และฝึกฝนวิธียิงธนูหมายชำระแค้นให้แม่และหญิงชาวโครยอที่ถูกส่งไปเป็นบรรณาการที่ต้าหยวน
13 ปีต่อมา ซึงนังกลายเป็นนักแม่นธนูและยังคงแต่งตัวเป็นชาย เธอเป็นหัวหน้าแก๊งรับจ้างขนส่งเกลือจากโกดังเกลือในย่านอินจู (ในยุคนั้นการลักลอบค้าเกลือเป็นสิ่งผิดกฏหมายและมีโทษหนัก) เมื่อเห็นว่าปริมาณเกลือมีมากกว่าเดิมถึงสองเท่า เธอจึงเรียกเก็บค่าจ้างจากเสิ่นหยางอ๋องเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัวเพราะต้องใช้คนมากขึ้นและเป็นงานที่อาจมีภัยถึงชีวิต เสิ่นหยางอ๋องยอมจ่ายเท่าที่ซึงนังต้องการและบอกว่าต่อไปปริมาณเกลือจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ "โจชัม" ได้ยินดังนั้นจึงอดเป็นกังวลไม่ได้ เพราะเกรงว่าสักวันพวกตนอาจถูกราชสำนักจับได้ แต่เสิ่นหยางอ๋องจำเป็นต้องยอมเสี่ยงเพราะอีกไม่นานพระราชาโครยอจะประกาศชื่อผู้สืบทอดราชบัลลังก์ เพื่อสนับสนุนให้ตนได้รับเลือกราชวงศ์หยวนจะต้องเรียกร้องบรรณาการเพิ่มมากขึ้นแน่ ถึงกระนั้นเขาก็มั่นใจว่าตนเป็นตัวเก็ง เพราะพระราชาทรงพระประชวร ส่วนองค์ชายรัชทายาทก็ทำตัวไม่เป็นโล้เป็นพาย
ที่แท้เสิ่นหยางอ๋องสั่งให้โจชัมคอยตามสอดแนมพฤติกรรมองค์ชายวังยู (ซึ่งกลับมาโครยอแล้วและปกปิดฐานะที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้) องค์ชายวังยูจึงแกล้งทำเป็นขึ้นเวทีประลองกับนักเลงแล้วพ่ายแพ้ยับเยิน (แท้จริงแล้วคู่ต่อสู้ขององค์ชายวังยูคือ "จอมพัค" ซึ่งเป็นคนขององค์ชายที่พูดติดสำเนียงชาวเหนือ) ขันทีพังและจอมพัคเห็นองค์ชายหมดสติจึงพากันร่ำไห้ด้วยความเป็นห่วง อยู่ๆ องค์ชายวังยูก็ลุกขึ้นนั่งแล้วดีดนิ้วพลางบอกว่าตนจะไปอินจู (ปัจจุบันคือ "อินชอน") ขันทีพังเห็นว่าองค์ชายวังยูมัวแต่สนใจเรื่องการต่อสู้จึงเตือนว่าเสิ่นหยางอ๋องกำลังจ้องฮุบบัลลังก์โครยอ องค์ชายวังยูแย้งว่าตนไม่สนเรื่องเสิ่นหยางอ๋อง จากนั้นก็หันไปถามจอมพัคด้วยความตื่นเต้นว่าฝีมือของพวกนักเลงในย่านอินจูเป็นอย่างไร ขันทีพังแอบส่งสัญญาณบอกจอมพัคว่าอย่าพูด แต่จอมพัคไม่สนใจและเล่าว่าพวกนั้นมักติดต่อและทำการค้ากับพวกหยวนเป็นประจำเลยเขี้ยวลากดินทำให้รับมือได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวหน้าแก๊งที่มีฉายาว่า "ซึงนังอี" (ซึงนยังอี แปลว่า หมาจิ้งจอก) กล่าวกันว่าคนๆ นี้สามารถยิงนกได้ในระยะเกือบ 300 เมตร ทั้งยังคอยคุ้มกันพ่อค้าแม่ค้าในเมืองอินจู และรับ (ซื้อ) ลูกชายทาสมาเป็นสมุน โดยเรียกคนเหล่านั้นว่าลูกหมา (จิ้งจอก) องค์ชายวังยูได้ฟังดังนั้นจึงชวนทุกคนไปล่าลูกหมาจิ้งจอกที่อินจู
ความจริงแล้วซึงนังตั้งแก๊งเพื่อระดมเงินไถ่ตัวและช่วยเหลือญาติพี่น้องของลูกสมุนที่ถูกส่งตัวไปเป็นหญิงบรรณาการที่ต้าหยวน โดยหวังว่าสักวันจะพาหญิงบรรณาการทุกคนกลับโครยอ ในระหว่างที่เธอหารือเรื่องนี้กับลูกน้อง ก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นมาตามซึงนัง ปรากฏว่าจอมพัคพาคนบุกไปหาเรื่องซึงนังที่โรงเตี๊ยม ทั้งยังทำวางท่าและพูดจาอวดเบ่งกับซึงนัง แต่ซึงนังไม่เล่นด้วย เธอยิงธนูเข้าที่มือของจอมพัคเพื่อเป็นการตักเตือน ก่อนขู่ว่าถ้ายังซ่าไม่เลิกธนูดอกต่อไปจะปักเข้าที่หัวใครบางคน หรือไม่ก็บนใบหน้าของจอมพัค
จอมพัคกลับมารายงานองค์ชายวังยูว่าฝีมือยิงธนูของซึงนังทั้งเร็วและแม่นยำมากจนตนไม่รู้ว่าจะอธิบายเป็นคำพูดยังไง องค์ชายวังยูพิจารณาลูกธนูในมือ (ซึ่งมีขนาดเล็กและสั้นกว่าธนูทั่วไป) ก่อนถาม "ชเว มูซง" ว่าเคยเห็นลูกธนูลักษณะนี้ไหม มูซงกล่าวว่านั่นคือลูกธนูน้อย เป็นลูกธนูสั้นที่ใช้ยิงผ่านรางไม้ ถึงแม้จะมีขนาดเล็กแต่อานุภาพร้ายแรงมาก (ธนูดังกล่าวใช้ลูกธนูยาวเพียงครึ่งหนึ่งของลูกธนูทั่วไปเพื่อให้ยิงได้เร็ว แรง และไกลกว่าเดิม เวลายิงจึงต้องเสียบลูกธนูเข้าไปในลำไม้ไผ่หรือรางไม้เพื่อจะได้ดึงสายธนูให้ตึง) องค์ชายวังยูฟังแล้วชักเริ่มสนใจในตัวซึงนังเลยอยากท้าดวลกันซักตั้ง มูซงเห็นว่าเสี่ยงเกินไปจึงขอประลองกับซึงนังเอง องค์ชายวังยูแย้งว่าตนไม่เคยยิงธนูแพ้ใครและอยากเห็นฝีมือของซึงนังกับตาตนเอง
ในที่สุดองค์ชายวังยูและซึงนังก็เผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรก องค์ชายวังยูท้าให้ซึงนังมาแข่งยิงธนูกับตนโดยบอกว่าถ้าตนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้จะยอมจากไปแต่โดยดี แต่ถ้าตนเป็นฝ่ายชนะซึงนังจะต้องมาทำงานให้ตน องค์ชายวังยูอ้างว่าการแข่งขันยิงธนูแบบปกติมันน่าเบื่อเกินไปเลยเสนอให้ต่างฝ่ายต่างดื่มเหล้าคนละจอกก่อนลงมือยิง (เพราะคิดว่าตนคอแข็งกว่าจึงน่าจะได้เปรียบ) ซึงนังเลยเสนอให้นำฝาไม้ปิดไหเหล้ามาทำเป็นเป้าและให้ลูกน้องคนหนึ่งของพวกตนเป็นคนชูเป้า (แม้จะคอไม่แข็งแต่ซึงนังมั่นใจว่าตนยิงแม่นกว่า) องค์ชายและพวกได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหน้าถอดสี เมื่อซึงนังถามลูกน้องว่าใครจะอาสามาชูเป้าให้ตน ปรากฏว่าทุกคนต่างแย่งกันชูมือ เด็กหนุ่มคนหนึ่งชิงหยิบฝาไหมาถือไว้ในมือแล้วบอกว่าตนจะเป็นคนชูเป้าให้เอง
องค์ชายวังยูหันไปมองคนของตนเพื่อดูว่าใครจะอาสามาเป็นหน่วยกล้าตาย ปรากฏว่าทุกคนต่างพร้อมใจกันหลบตาและเบือนหน้าหนี ซึงนังจึงเย้ยว่าไม่มีเชื่อมั่นในตัวเขาสักคน ขันทีพังไม่อยากให้องค์ชายเสียหน้าเลยสะกิดมูซง มูซงจึงขันอาสาอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก เมื่อซึงนังเริ่มดื่มเหล้าแล้วลงมือยิง ลูกน้องของเขายืนชูเป้าแบบชิลๆ เพราะมั่นใจในฝีมือของหัวหน้า ผิดกับมูซงที่ลุ้นระทึกและหลับตาปี๋ทุกครั้งเวลาองค์ชายวังยูเล็งธนูมาที่ตน หลังสลับกันดื่มและยิงธนูได้พักใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มมีอาการมึนเมา ถีงกระนั้นซึงนังยังคงสู้ไม่ถอยและยิงแม่นเหมือนเดิม ในขณะที่องค์ชายเริ่มยืนโอนเอนทำให้เล็งธนูส่ายไปมา มูซงเลยต้องเอียงตัวตามด้วยใจระทึก เมื่อธนูพุ่งเข้าเป้ามูซงก็แทบร่ำไห้ด้วยความดีใจที่รอดตาย
ในที่สุดซึงนังก็เริ่มประคองตัวไม่อยู่ ลูกน้องของเขาเห็นดังนั้นก็เริ่มกังวลแต่ยังคงร้องบอกซึงนังให้ยิงโดยไม่ต้องห่วงตน มูซงส่ายหน้าด้วยความหวาดกลัวและภาวนาไม่ให้ซึงนังยิงเพราะกลัวโดนลูกหลง เมื่อซึงนังเล็งไปที่เป้าแล้วพบว่าตนตาพร่า ทั้งยังเห็นสีหน้ากังวลของลูกน้อง เธอจึงเล็งธนูไปที่องค์ชายวังยูแทน ลูกน้องของทั้งสองฝ่ายต่างพากันกรูเข้าไปห้ามและดึงธนูออกจากมือซึงนัง องค์ชายวังยูชี้ว่าเป้าคือลูกน้องของซึงนังไม่ใช่ตน ซึงนังยืนไม่อยู่เลยเกาะไหล่องค์ชายแล้วบอกว่าให้ตนฆ่าเขายังดีเสียกว่า องค์ชายสบโอกาสเลยเขย่าตัวซึงนังพลางร้องถามว่ายอมแพ้แล้วใช่ไหม ซึงนังอั้นไม่ไหวเลยก้มหน้าอาเจียนใส่หน้าอกองค์ชายวังยู องค์ชายวังยูนึกว่าซึงนังพยักหน้ายอมแพ้เลยประกาศก้องว่าตนชนะแล้ว
คืนนั้นองค์ชายวังยูเลี้ยงฉลองชัยชนะโดยมีเหล่าสมุนของซึงนังมาร่วมสังสรรค์ด้วย (ซึงนังแพ้การแข่งขัน ลูกน้องของเธอเลยต้องมาทำงานให้องค์ชายตามสัญญา) เมื่อซึงนังรู้สึกตัวและสร่างเมาก็พบว่าองค์ชายวังยูกำลังนั่งเล่น "กอมุนโก" (พิณโบราณเกาหลี เป็นเครื่องดีดตระกูลเดียวกับจะเข้) อยู่ภายในห้อง เธอจึงนอนฟังและแกล้งทำเป็นหลับเมื่อองค์ชายหันมามอง พอรู้ว่าองค์ชายรู้ทันเธอเลยแกล้งทำเป็นบิดขี้เกียจเหมือนเพิ่งตื่น จากนั้นก็ตั้งข้อสังเกตว่าองค์ชายไม่ใช่คนประเภทที่จะมาเกลือกกลั้วอยู่ในโคลนตม องค์ชายจึงถามว่าตนเป็นคนประเภทไหน ซึงนังตอบว่าเป็นคนที่มาจากครอบครัวดีมีชาติตระกูล ฐานะมั่งคั่ง และชอบหว่านเสน่ห์ องค์ชายกล่าวว่าเรื่องครอบครัวตนไม่รู้แต่เรื่องหว่านเสน่ห์นี่ใช่เลย พูดจบก็หัวเราะร่วน ซึงนังแอบทำหน้าหมั่นไส้ก่อนชะเง้อมองเครื่องดนตรีขององค์ชาย องค์ชายเห็นดังนั้นจึงถามซึงนังว่าเล่นกอมุนโกเป็นไหม ซึงนังไม่อยากตอบว่าตนเล่นไม่เป็นเลยแกล้งยกชาขึ้นดื่ม องค์ชายเลยถามว่าอยากหัดเล่นไหม ซึงนังสวนกลับว่าเล่นเป็นแล้วดียังไง องค์ชายตอบว่าสาวเห็นเป็นต้องหลง จากนั้นก็เสนอว่าตนจะสอนกอมุนโกให้ซึงนัง ส่วนซึงนังต้องสอนวิธียิงธนูสั้นให้ตน
ซึงนังยังไม่ทันตอบรับหรือปฏิเสธ องค์ชายวังยูก็ยกกอมุนโกมาวางตรงหน้าเธอ จากนั้นก็ขยับไปนั่งทางด้านหลังแล้วเอื้อมแขนมาจับมือซึงนังพลางสอนวิธีดีดให้ ซึงนังรีบสะบัดตัวออกด้วยความตกใจ แต่องค์ชายไม่สนและเริ่มจับมือซึงนังดีดกอมุนโกใหม่อีกครั้งจากนั้นก็ลอบมองใบหน้าเธอ หลังหัดเล่นได้สักพักซึงนังก็เริ่มเคลิ้มไปกับเสียงดนตรี อยู่ๆ องค์ชายก็ทักว่ามือเธอนิ่มเกินไปสำหรับนักยิงธนู จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ ใบหน้าซึงนังแล้วบอกว่าต่อไปตนจะดีดเร็วขึ้น ซึงนังทั้งหวั่นไหวและตกใจจนลืมตัวเลยผลักกอมุนโกออก จากนั้นก็กระชากคอเสื้อองค์ชายพลางเงื้อแท่งไม้ดีดกอมุนโกจนสุดแขนประหนึ่งว่าจะแทงกันให้ตายไปข้างหนึ่ง เมื่อเห็นองค์ชายวังยูทำหน้าตกใจ ซึงนังก็เริ่มตั้งสติได้จึงรีบปล่อยแท่งไม้แล้วกล่าวคำอำลาเสียงเข้มก่อนหันหลังเดินจากไป องค์ชายวังยูรีบทวงถามเรื่องการสอนยิงธนู ซึงนังจึงเหน็บว่าองค์ชายควรเอาดีกับการเล่นกอมุนโกและหว่านเสน่ห์ใส่สาวๆ เพราะมันเหมาะกับเขามากกว่า
องค์ชายวังยูเตือนว่าซึงนังแพ้การแข่งขันจึงต้องมาทำงานให้และต้องเชื่อฟังคำสั่งตน ซึงนังกล่าวว่าอุบายตื้นๆ แบบนี้ควรเอาไว้ใช้กับหมาข้างถนนไม่ใช่กับตนเพราะตนเป็นหมาจิ้งจอก (ซึงนยังอี) องค์ชายจึงเปลี่ยนแผนโดยบอกให้ซึงนังมาเป็นน้องชายของตนแทน แถมยังโกหกว่าเพื่อนสนิทของตนคือองค์ชายรัชทายาท หากซึงนังยอมมาเป็นน้องชายตนก็เท่ากับมีพี่ใหญ่เป็นถึงองค์ชายรัชทายาทแห่งโครยอ ซึงนังไม่สนและชี้ว่าตนยอมกินขี้ม้ายังดีเสียกว่าขายคนของตนเป็นเครื่องบรรณาการ องค์ชายวังยูฟังแล้วถึงกับอึ้ง เขากล่าวว่าสำหรับซึงนังแล้วโลกใบนี้คงมีแต่ความขมขื่น ซึงนังกล่าวว่าเพราะโลกใบนี้มันเน่าเฟะ พวกหนอนพยาธิในวังที่ขายตัวดุจนางโลมคือกลุ่มคนที่ชั่วช้ามากที่สุด เธอขู่องค์ชายว่าถ้ายังตามรังควานพวกตนไม่เลิกต่อไปเป้าธนูจะไม่ใช่ฝาไหแต่จะกลายเป็นหัวเขาแทน เมื่อซึงนังออกไปแล้ว องค์ชายจึงได้แต่บ่นเสียดายความสามารถของซึงนัง
ซึงนังรู้สึกแปลกใจที่เห็นโจชัมมาดักรอตนหน้าโรงเตี๊ยม (ที่องค์ชายเข้าพัก) เมื่อถูกถามว่ามีธุระอะไรกับคนพวกนั้น (กลุ่มองค์ชาย) ซึงนังตอบตามตรงว่าพวกตนแข่งยิงธนูกัน และถามว่าพวกนั้นเป็นใครกันแน่ โจชัมไม่ตอบแต่คาดคั้นว่าพวกเขาถามเรื่องค้าเกลือหรือไม่ ซึงนังตอบว่าไม่ถามสักคำ เธอถามโจชัมว่าพวกเขาเป็นผู้ตรวจการณ์หรือ โจชัมไม่ยอมตอบและเตือนว่าถ้าเสิ่นหยางอ๋องรู้เข้าต้องไม่พอใจแน่ จากนั้นก็ห้ามไม่ให้ซึงนังข้องแวะกับองค์ชายอีก
องค์ชายวังยูนั่งรอเจ้าของผ้าโพกหัวสีแดงตามเวลานัดหมาย หลังผู้ตรวจการ (หรือ "โตวฉาเยวี่ยน" ซึ่งเป็นตำแหน่งขุนนางระดับสูงที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้หยวน มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของเหล่าขุนนางเพื่อป้องกันการทุจริตหรือทำผิดวินัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคอร์รัปชั่นและรับสินบน ทั้งยังคอยเป็นหูเป็นตาให้ฮ่องเต้อีกด้วย) นำข้อความพร้อมผ้าโพกหัวสีแดงมาให้ดูเมื่อหลายวันก่อน (ส่งผ่านนกพิราบสื่อสาร) เนื้อความในกระดาษระบุว่า ถ้าอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับการลักลอบค้าเกลือของเสิ่นหยางอ๋องให้มาที่อินจูและโพกผ้าผืนนี้ หลังอ่านจบองค์ชายจึงอาสาทำงานนี้เองโดยให้เหตุผลว่าตนตบตาเสิ่นหยางอ๋องได้ง่ายกว่า (หากผู้ตรวจการทำหน้าที่นี้เสิ่นหยางอ๋องอาจไหวตัวทัน) ผู้ตรวจการแย้งว่าองค์ชายอาจเป็นอันตราย แต่องค์ชายวังยูไม่สนใจทั้งยังถอดผ้าโพกหัวของตนออกแล้วบอกให้ผู้ตรวจการชาวหยวนส่งผ้าโพกหัวของตนกลับไปให้เจ้าของข้อความ (ผ่านนกพิราบตัวเดิม) เมื่อไปถึงอินจูแล้วตนจะได้รู้ว่าเขาเป็นใคร ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของทั้งสองฝ่าย ด้วยเหตุนี้องค์ชายจึงโพกผ้าสีแดงตั้งแต่วันแรกที่มาถึงอินจู
เมื่อถึงเวลานัด องค์ชายวังยูรู้สึกแปลกใจที่ผู้ตรวจการ (ซึ่งปลอมตัวเป็นสามัญชน) เป็นฝ่ายมาพบตนที่อินจูแทนที่จะเป็นเจ้าของผ้าโพกหัวสีแดง ผู้ตรวจการกล่าวว่าเจ้าของผ้าโพกหัวไม่อาจมาตามนัดจึงส่งข้อความมาบอกว่า... เขายังไม่ทันบอกเนื้อความในจดหมายก็ถูกธนูยิงเข้าที่กลางอกเสียก่อนทำให้เสียชีวิตทันที
เสิ่นหยางอ๋องโกรธมากหลังรู้ว่าผู้ตรวจการกำลังตามสืบเรื่องที่ตนลักลอบค้าเกลือ ทั้งยังสงสัยว่าใครกันที่เป็นหนอนบ่อนไส้ โจชัมกล่าวว่าน่าจะเป็นพวกพ่อค้ารายย่อย เสิ่นหยางอ๋องจึงถามผู้ดูแลธุรกิจเกลือในอินจูว่ากลุ่มของเขามีคนรู้เรื่องกี่คน เมื่อชายคนดังกล่าวตอบว่ามี 3 คน เสิ่นหยางอ๋องจึงสรุปว่ามีคนรู้เรื่องทั้งหมด 6 คน (รวมโจชัมและซึงนังที่นั่งอยู่ในห้องด้วย) โจชัมถามซึงนังว่ามีใครรู้เรื่องนี้อีกหรือเปล่า ซึงนังตอบว่าลูกน้องของตนรู้แค่เรื่องขนเกลือ เสิ่นหยางอ๋องจึงสั่งให้ผู้ดูแลการค้าเกลือไปเคลียร์กับเจ้าเมืองอินจู และบอกให้ทุกคนแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน เมื่อทุกคนออกไปแล้ว เสิ่นหยางอ๋องก็ถามชายชุดดำที่แอบอยู่หลังฉาก (และเป็นคนลอบสังหารผู้ตรวจการชาวหยวน) ว่าองค์ชายวังยูยังไม่ได้ข้อมูลอะไรใช่ไหม ชายชุดดำตอบว่าตนยิงผู้ตรวจการก่อนที่เขาจะพูดและถามเสิ่นหยางอ๋องว่า แน่ใจหรือว่าในหมู่พวกตนมีหนอนบ่อนไส้ เสิ่นหยางอ๋องกล่าวว่าคนเดียวที่ไว้ใจได้คือ...ซึงนัง จากนั้นก็สั่งให้ชายชุดดำคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวขององค์ชายวังยู
ด้านองค์ชายวังยูก็สงสัยเช่นกันว่ามีสายลับในหมู่พวกตน มิเช่นนั้นผู้ตรวจการซึ่งอยู่ฝ่ายตนคงไม่โดนลอบสังหาร มูซงสงสัยว่าอาจเป็นหนึ่งในคนของจอมพัค ขันทีพังสบโอกาสบอกให้องค์ชายรีบเสด็จกลับเพราะที่นี่อันตรายเกินไป แต่องค์ชายแย้งว่าตอนนี้เสิ่นหยางอ๋องรู้แล้วว่าตนกำลังลับดาบ หากกลับลำตอนนี้อาจถูกต้อนให้จนมุม ขันทีพังสงสัยว่าองค์ชายวังยูจะรับมืออย่างไร องค์ชายตอบว่าต้องสร้างสถานการณ์ให้บานปลายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต เสิ่นหยางอ๋องอาจใหญ่คับฟ้าและไม่เกรงกลัวใครในโครยอแต่ไม่ใช่กับต้าหยวน สิ่งแรกที่พวกตนจะทำคือการกว้านซื้อเกลือทั้งหมดในอินจู เมื่อพ่อค้าหยวนมาหาซื้อเกลือก็จะพากันบ่นว่าเกลือขาดตลาด หลังจากนั้นพวกตนจะปล่อยข่าวว่าเป็นเพราะเสิ่นหยางอ๋องลักลอบค้าเกลือ
หลังองค์ชายวังยูทำตามแผนที่วางไว้ เสิ่นหยางอ๋องกลับนั่งลับดาบพลางหัวเราะชอบใจเพราะไม่นึกว่าองค์ชายรัชทายาทแห่งโครยอจะมีหัวคิด โจชัมแย้งว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาชื่นชมองค์ชาย ผู้ดูแลการค้าเกลือรายงานว่าองค์ชายส่งคนมาคอยจับตาดูโกดังเกลือของพวกตนทำให้ไม่สามารถขนเกลือได้ เสิ่นหยางอ๋องเห็นโจชัมเป็นกังวลเพราะกลัวถูกราชสำนักหยวนจับได้ว่าพวกตนลักลอบค้าของต้องห้าม จึงบอกว่าคนที่จะถูกจับข้อหาลักลอบค้าของต้องห้ามไม่ใช่ตนแต่เป็นองค์ชายรัชทายาท หลังจากนั้น เสิ่นหยางอ๋องก็เรียกซึงนังมาพบเป็นการส่วนตัว โดยบอกว่าซึงนังเป็นคนเดียวที่ตนไว้ใจ จากนั้นก็มอบหมายภารกิจลับให้ซึงนัง
องค์ชายวังยูนั่งดีดกอมุนโกพลางวิเคราะห์ในใจว่า สิ่งแรกที่เสิ่นหยางอ๋องจะทำเพื่อเป็นการตอบโต้คือการส่งข้อมูลลวงมาให้ตน ที่ตนต้องทำก็แค่รอดูว่าเสิ่นหยางอ๋องจะส่งใครมา ทันใดนั้น ขันทีพังก็รายงานว่ามีแขกมา ปรากฏว่าคนที่มาหาองค์ชายคือ...ซึงนัง! องค์ชายวังยูสงสัยว่าซึงนังมาพบตนทำไม ซึงนังเตือนว่าเขาเป็นคนเรียกร้องให้เธอสอนวิธียิงลูกธนูสั้น องค์ชายได้แต่แอบสงสัยในใจว่าซึงนังอาจเป็นคนที่เสิ่นหยางอ๋องส่งมาพบตน หลังฟังเคล็ดลับและดูซึงนังสาธิตวิธียิงลูกธนูสั้นผ่านรางไม้ องค์ชายก็ลองทำตามแต่พลาดเป้า มิหนำซ้ำยังโดนรางไม้ดีดมือจนเป็นแผลเหวอะ ซึงนังช่วยพันแผลให้ พลางปลอบใจว่าปกติแล้วต้องใช้เวลาในการฝึกถึง 3 ปีจึงจะยิงลูกธนูสั้นได้อย่างแม่นยำ
องค์ชายวังยูถามซึงนังว่าเธอหาเงินในอินจูด้วยวิธีไหนบ้าง ซึงนังตอบว่าหากตนรู้คงไม่ใช้เวลาโดยเปล่าประโยชน์ที่นี่ องค์ชายแกล้งเปรยว่า "ข้าได้ยินมาว่าเกลือเป็นแหล่งทำเงิน" ซึงนังกล่าวว่า "แหงล่ะ เพราะอย่างนี้คนในวังถึงควบคุมการค้าเกลือไง" เมื่อซึงนังถามว่าองค์ชายรัชทายาทค้าเกลือด้วยหรือเปล่า องค์ชายวังยูยิ้มอย่างพึงพอใจเพราะเชื่อว่าซึงนังไม่ใช่สายลับ จากนั้นก็ถามกลับว่าซึงนังจะช่วยสอนจนกว่าตนจะยิงลูกธนูสั้นได้อย่างแม่นยำหรือเปล่า ซึงนังนึกถึงคำพูดของเสิ่นหยางอ๋องที่บอกให้ตนตีสนิทและทำให้องค์ชายไว้วางใจ เมื่อองค์ชายทวงคำตอบ ซึงนังก็บอกว่าค่าตัวตนไม่ใช่ถูกๆ และตัดบทว่าไว้ค่อยคุยเรื่องนี้ทีหลัง จากนั้นก็ชวนองค์ชายไปเที่ยวชมเทศกาลโคมไฟ
ซึงนังเห็นชายชุดดำเล็งธนูไปที่องค์ชายวังยูจึงรีบพุ่งตัวไปหาองค์ชายจนล้มลงทั้งคู่ ลูกธนูจึงปักเข้าที่ต้นขาของซึงนัง องค์ชายเห็นว่าชายชุดดำกำลังจะยิงซ้ำจึงรีบพลิกตัวหลบก่อนลุกขึ้นมามองหาคนร้าย พอเห็นว่าซึงนังเดินไม่สะดวกเพราะเจ็บแผล องค์ชายวังยูจึงรีบเข้าไปประคองด้วยความเป็นห่วง ซึงนังกล่าวว่าตนจะมีชีวิตอยู่ต่อไปจากนั้นก็หักด้ามธนูแล้วพยายามเดินต่อ องค์ชายบอกให้ซึงนังขี่หลังตน แต่ซึงนังปฏิเสธและพยายามเดินต่อไป องค์ชายจึงเดินเข้าไปอุ้มซึงนัง ซึงนังไม่อยากให้ใครเห็นจึงร้องบอกองค์ชายให้ปล่อยตน องค์ชายไม่ยอมปล่อยเนื่องจากซึงนังบาดเจ็บเพราะช่วยชีวิตตน โจชัมและชายชุดดำเห็นทุกอย่างเป็นไปตามแผนก็รู้สึกพึงพอใจ
องค์ชายวังยูอุ้มซึงนังไปที่โรงเตี๊ยมของตน ขันทีพังช่วยดึงลูกธนูออกให้และบอกว่าโชคดีที่ลูกธนูฝังไม่ลึกมาก เมื่อขันทีพังเดินออกไปเอายาทางด้านนอก องค์ชายจึงขอดูบาดแผลที่ต้นขาของซึงนัง ซึงนังพยายามปัดป้อง องค์ชายเลยฉีกขากางเกงของซึงนังเพื่อจะได้ดูแผลชัดๆ ซึงนังอายจนลืมไปว่าตนปลอมตัวเป็นชายเลยเผลอตบหน้าองค์ชายเต็มแรง เมื่อเห็นองค์ชายทำหน้าเหวอ ซึงนังเลยได้สติและแกล้งโวยวายว่าตนมีกางเกงตัวเดียว จากนั้นก็ขอให้องค์ชายชดใช้ค่าเสียหาย องค์ชายได้ยินแล้วแทบไม่เชื่อหู ขณะแช่ตัวในน้ำอุ่นเพลินๆ ซึงนังรู้สึกตกใจเมื่อองค์ชายพยายามเปิดประตูเพื่อนำกางเกงตัวใหม่มาให้ เมื่อเห็นว่าซึงนังลงกลอนและไม่ยอมเปิดประตูให้ตน องค์ชายก็บ่นว่าผู้ชายอะไรขี้อายชะมัด ซึงนังจึงเอ่ยปากไล่เสียงเข้ม ทำให้องค์ชายอดขำไม่ได้ที่ซึงนังโกรธตนจริงจัง
เสิ่นหยางอ๋องรู้สึกพอใจที่ซึงนังยอมเจ็บตัวเพื่อแลกกับการได้รับความไว้วางใจจากองค์ชายวังยู เขาเรียกซึงนังมาพบเพื่อมอบหมายภารกิจใหม่ให้ทำ โดยบอกว่าเมื่อถึงวันนัดหมายให้ไปที่โกดังและดักซุ่มอยู่ที่นั่นเพื่อรอคำสั่งให้ขนเกลือ ส่วนสถานที่ส่งของตนจะบอกในภายหลัง ที่ตนทำเช่นนั้นไม่ได้เป็นเพราะไม่ไว้ใจซึงนัง แต่เป็นการตัดปัญหาเพื่อจะได้ไม่ต้องมาคอยหวาดระแวงกัน ซึงนังจึงถามว่าตนควรบอก 'เขา' (องค์ชาย) ว่าอย่างไร
ขณะทานอาหารกับองค์ชายวังยู ซึงนังเห็นเงาคนย่องผ่านหน้าห้องจึงรู้ว่าตนกำลังถูกสอดแนม เธอแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเริ่มทำตามแผนของเสิ่นหยางอ๋องด้วยการถามองค์ชายว่าทำไมเขาถึงถูกคนปองร้ายหมายเอาชีวิต องค์ชายวังยูตอบว่าเรื่องนั้นตนไม่อาจรู้ได้ ซึงนังจึงถามว่าเขากำลังสืบเรื่องการลักลอบค้าเกลือของเสิ่นหยางอ๋องอยู่เปล่า หากเป็นเช่นนั้นตนสามารถช่วยเขาได้ เพราะตนรู้จักพ่อค้าเกลือคนหนึ่งและเขาก็เป็นคนของเสิ่นหยางอ๋อง องค์ชายได้ยินดังนั้นจึงรู้ว่าซึงนังเป็นคนที่เสิ่นหยางอ๋องส่งมาให้ข้อมูลลวงกับตน เขาลอบชักดาบขณะที่ซึงนังกล่าวว่าอีกสี่วันข้างหน้าจะมีการลักลอบซื้อขายเกลือที่หมู่บ้านแฮวอล เธอบอกให้องค์ชายเตรียมตัวไว้ให้ดีเพราะข้อมูลนี้ไม่ได้มาฟรีๆ พูดจบเธอก็เดินออกจากห้องไป องค์ชายวังยูรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจว่าทำไมตนถึงไม่ลงมือสังหารซึงนัง ทั้งยังสงสัยว่าตนอาจเริ่มชอบซึงนังเข้าแล้ว
สี่วันต่อมา ซึงนังพาลูกน้องไปขนเกลือให้เสิ่นหยางอ๋องตามคำสั่ง ขณะที่เสิ่นหยางอ๋องบอกชัมโจและผู้ดูแลการค้าว่าตนได้ส่งคนไปดักซุ่มที่แฮวอลแล้ว ถ้าหากองค์ชายรัชทายาทไปปรากฏตัวที่นั่นก็จะจบชีวิตลงในทันที ผู้ดูแลการค้าเตือนว่าองค์ชายเป็นคนในราชวงศ์ เสิ่นหยางอ๋องจึงกล่าวว่าการฆ่าเชื้อพระวงศ์โดยไม่มีเหตุผลย่อมมีโทษหนักและทำไม่ได้อยู่แล้ว แต่คนๆ นี้เป็นพวกกบฏที่ลักลอบค้าเกลือ
องค์ชายวังยูออกจากโรงเตี๊ยมแล้วบอกคนของตนให้มุ่งหน้าไปที่แฮวอล หลังเดินทางได้สักพักจอมพัคก็แย้งว่านี่ไม่ใช่ทางไปแฮวอล องค์ชายจึงบอกทุกคนว่าความจริงแล้วพวกตนกำลังตามจับขบวนการลักลอบค้าเกลือ ดังนั้นห้ามเป็นฝ่ายลงมือก่อนโดยเด็ดขาด เมื่อไปถึงที่หมายแล้วพบว่ามีการขนเกลือจริง (ซึงนังและลูกน้องเป็นคนขนเกลือ) องค์ชายจึงกำชับจอมพัคและคนอื่นๆ ให้คอยจับตาดูเงียบๆ จนกว่าการซื้อขายจะเสร็จสิ้น เมื่อซึงนังสั่งให้ลูกน้องเริ่มเคลื่อนขบวน ก็มีคนยิงธนูผ่านหน้าซึงนังหนึ่งดอก ซึงนังบอกลูกน้องว่ามีคนดักซุ่มโจมตีและสั่งให้ทุกคนกระจายกำลังต่อสู้ องค์ชายวังยูเห็นดังนั้นจึงหันไปถามกึ่งตำหนิลูกน้องว่าใครเป็นคนยิง มูซงไม่รอช้ารีบสั่งให้ทุกคนรับมือทันที หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ฟาดฟันกันอย่างดุเดือดแต่สุดท้ายซึงนังก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ขันทีพังรายงานว่านอกจากซึงนังแล้วไม่มีใครรู้ว่าสถานที่ส่งมอบเกลือคือที่ใด มูซงสงสัยว่าองค์ชายวังยูรู้ได้อย่างไรว่าแฮวอลเป็นกับดัก องค์ชายกล่าวว่าก่อนหน้านี้มีคนยิงธนูเข้ามาในห้องตนพร้อมข้อความที่ระบุว่าแฮวอลเป็นสถานที่ลวงและซึงนังกำลังจะขนส่งเกลือ ขันทีพังสงสัยว่าทำไมองค์ชายถึงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับโดยไม่บอกให้พวกตนรู้ องค์ชายจึงบอกว่ามีสายลับในหมู่พวกตน มูซงถามว่าคนที่ส่งผ้าโพกหัวมาให้องค์ชายเป็นคนส่งข้อความนี้มาให้หรือ องค์ชายกล่าวว่าคนที่ติดต่อกับผู้ตรวจการชาวหยวนในตอนแรกคอยช่วยตน (เดิมทีคนส่งข่าวต้องการแจ้งเบาะแสกับผู้ตรวจการชาวหยวน แต่องค์ชายวังยูอาสาทำงานนี้แทน และยังคงสานต่อภารกิจหลังผู้ตรวจการถูกลอบสังหาร) เมื่อขันทีพังถามว่าคนๆ นั้นเป็นใคร องค์ชายตอบว่าตนก็อยากรู้เหมือนกันว่าตอนนี้ผ้าโพกหัวที่ตนส่งไปอยู่ที่ใคร
ซึงนังซึ่งถูกจับมัดในห้องคุมขังและอยู่ในสภาพอ่อนแรงทำผ้าโพกหัวตก ถึงกระนั้นก็ยังมีผ้าโพกหัวอีกเส้นพันรอบศีรษะเธอ (เธอโพกผ้าสองชั้นและชั้นในคือผ้าโพกหัวสีน้ำเงินขององค์ชายวังยู) ซึงนังมองผ้าโพกหัวที่ตกอยู่บนพื้นพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เธอถูกม้าเตะแล้วเสิ่นหยางอ๋องพามาพักรักษาตัวที่จวนโดยนึกว่าเธอเป็นเด็กผู้ชาย เธอแอบได้ยินถังฉีซื่อบ่นกับเสิ่นหยางอ๋องว่าหลังฆ่าพวกผู้หญิงชั้นต่ำทั้งหมดที่หลบหนีแล้ว (หนึ่งในนั้นคือแม่ของเธอ) ก็เหลือสตรีบรรณาการอยู่ไม่มาก พวกตนจึงอยากได้เพิ่ม เสิ่นหยางอ๋องกล่าวว่าอยากได้อีกกี่ร้อยกี่พันคนก็เชิญนำกลับไปได้ตามสบาย ในตอนนั้นซึงนังแทบช็อคเมื่อเห็นใบหน้าของถังฉีซื่อชัดๆ เพราะเขาคือคนที่ฆ่าแม่และพยายามฆ่าเธอ ถึงกระนั้นซึงนังก็ได้แต่ร่ำไห้และเก็บความเคียดแค้นเอาไว้ในใจ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นแล้วซึงนังก็น้ำตาไหลพราก ทันใดนั้นก็มีคนเดินเข้ามาในห้องและหยิบผ้าโพกหัวที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาให้เธอ ซึงนังมองชายที่อยู่ตรงหน้าพลางนึกในใจว่า...คนๆ นี้คือสายลับของเสิ่นหยางอ๋อง
* เนื้อหาโดย luvasianseries
นักแสดงนำ
ฮา จีวอน
รับบท กี ซึงนยัง / จักรพรรดินีกี
จู จินโม
รับบท วังยู (พระเจ้าชุงฮเย พระราชาองค์ที่ 28 แห่งโครยอ)
จี ชางอุก
รับบท ทอคอนเตมูร์ (หรือ "ทาฮวาน" ในภาษาเกาหลี) / จักรพรรดิหยวนฮุ่ยจง
ราชวงศ์หยวน
* ชื่อตัวละครเป็นภาษามองโกลเลีย ทั้งหมดมีตัวตนจริง (ช่อง 3 ใช้ชื่อภาษาจีนกลาง)
คิม ซอฮยอง
รับบท พูดาชีรี (ไทเฮา)
แพ็ก จินฮี
รับบท ทานาชีรี (ฮองเฮา)
รับบท ทอคตอ (หรือ "ทัลทัล" ในภาษาเกาหลี และ "ทัวทัว" ในภาษาจีนกลาง)
คิม จองฮยอน
รับบท ทังกีเซ (หรือ "แทงกีซือ" ในภาษาเกาหลี และ "ถังฉีซื่อ" ในภาษาจีนกลาง)
คิม ยองโฮ
รับบท บายันแห่งเมอร์กิต (หรือ "แพ็คอัน" ในภาษาเกาหลี และ "ป๋อเหยียน" ในภาษาจีนกลาง)
ราชวงศ์โครยอ
รับบท วังโค (อ๋องแห่งเสิ่นหยาง)
* มีตัวตนจริง *
* มีตัวตนจริง *
รับบท พัง ชินอู
รับบท ชเว มูซง
รับบท จอมพัค
รับบท ยอม พยองซู
คลิปตัวอย่างจากโชว์บิซไอคอน และเอ็มบีซี ดราม่า
คลิปเบื้องหลังจากเอ็มบีซี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ และเอ็มบีซี ดราม่า
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา