กำกับ: จางเสี่ยวโป
เขียนบท: เจียงหนาน
แนวละคร: แฟนตาซี
จำนวนตอน: 56
ออกอากาศ: จีน - 16 กรกฎาคม 2562 - 2 กันยายน 2562 ทางเจ้อเจียงทีวี
ไทย - ทุกวันเสาร์ – อาทิตย์ เวลา 14.00 น. ทางช่อง 9 MCOT HD (หมายเลข 30) ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2563 - 21 มีนาคม 2564
เรื่องย่อ
ละคร "แดนสนธยา ธงพญาอินทรี" (Novoland: Eagle Flag) ดัดแปลงจากมหากาพย์นิยายแฟนตาซีชุด "จิ่วโจวเพียวเหมี่ยวลู่" (九州缥缈录) ของ "เจียงหนาน" เนื้อหากล่าวถึงศึกชิงอำนาจและการต่อสู้ของวีรบุรุษผู้กล้าในดินแดนที่เรียกว่า "จิ่วโจว" ("จิ่ว" แปลว่า "เก้า" ส่วน "โจว" ในสมัยโบราณใช้เรียกเขตการปกครอง ระดับ "มณฑล" หรือ "จังหวัด")
* "จิ่วโจว" เป็นดินแดนสมมุติที่นักเขียนนิยายออนไลน์ชื่อดังชาวจีน 7 คนร่วมกันสร้างสรรค์และใช้เป็นฉากหลังในซีรีส์นิยายแฟนตาซีของตน
"อาซูเล่อ" เป็น "ซื่อจื่อ" (ผู้สืบทอด / รัชทายาท) แห่งชิงหยาง (ชนเผ่าเร่ร่อนในแดนทุ่งหญ้าที่ปกครองดินแดนทางตอนเหนือ หรือ "เป่ยลู่") ผู้มีเลือดชิงถง*ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย วันที่เขาถือกำเนิดได้เกิดมีอาเพศ ผู้คนจึงพากันกล่าวหาว่าเขาคือดาววิบัติ และเรียกร้องให้ "หลี่ว์ซง" ต้าจวินแห่งชิงหยาง (เจ้าปกครองชิงหยาง) กำจัดทารกน้อยที่กำลังจะถือกำเนิด ครั้นอาซูเล่อเกิดมาโดยปราศจากชีพจรมารดาของเขาจึงฆ่าตัวตาย หลังมารดาเสียชีวิตอาซูเล่อกลับร้องไห้จ้า หลี่ว์ซง (บิดาของอาซูเล่อ) จึงนำอาซูเล่อไปฝากให้ "หลงเก๋อเจินหวง" (ญาติผู้น้อง / หัวหน้าเผ่าเจินเหยียน) ช่วยเลี้ยงดูแทน อาซูเล่อจึงเติบโตในเผ่าเจินเหยียนโดยมีหลงเก๋อเจินหวงเป็นพ่อบุญธรรม แต่ทว่าเกือบยี่สิบปีต่อมา หลี่ว์ซงได้สั่งให้ "จิ่วหวัง" บุกกวาดล้างเผ่าเจินเหยียน ครั้นหลงเก๋อเจินหวงถูกฆ่าตายในสนามรบ อาซูเล่อจึงถูกนำตัวกลับเมืองเป่ยตู (ของชิงหยาง) ในฐานะ 'ซื่อจื่อ' พร้อมเหล่าทาสเชลยเผ่าเจินเหยียน หนึ่งในนั้นคือ "ซูหม่า" เพื่อนหญิงของอาซูเล่อ
* "เลือดชิงถง" คือ เลือดคลั่งที่ซ่อนอยู่ในกายของอาซูเล่อ ทุกคนเชื่อว่าเลือดชิงถงเป็นโลหิตเทพที่ศักดิ์สิทธิ์และสูงส่ง แต่ความจริงแล้วเหมือนเป็นคำสาปของปีศาจมากกว่า ยามใดที่เลือดชิงถงในกายพลุ่งพล่าน อาซูเล่อจะกลายเป็นนักรบที่แข็งแกร่งและทรงพลัง แต่ถ้าไม่อาจควบคุมเลือดชิงถงจะครอบงำอาซูเล่อให้กลายเป็นนักรบที่บ้าคลั่ง เขาจะฆ่าคนโดยไม่รู้สึกตัว ไม่เหนื่อย ไม่เจ็บ ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรูจึงเข่นฆ่าผู้คนแบบไม่ยั้ง ทั้งยังเป็นผลเสียต่อร่างกายอาซูเล่อด้วย
เนื่องจากอาซูเล่อเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างบอบบาง ท่าทางขี้โรค แถมยังลือกันว่าเขาเกิดมาเป็นดาววิบัติ เขาจึงโดนชาวชิงหยางบางคนดูถูกเหยียดหยาม ด้วยความที่ดินแดนเป่ยลู่มีสภาพอากาศหนาวเย็น แถมผืนดินยังไม่เอื้อต่อการเพาะปลูก จึงมักประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร และนั่นก็ทำให้แดนทุ่งหญ้าเกิดการปล้นสะดม ปล้นฆ่า (แย่งชิงอาหาร) อย่างไม่หยุดหย่อน หลี่ว์ซงจึงส่งอาซูเล่อไปเป็นตัวประกันที่แคว้นเซี่ยถังของราชวงศ์ต้าอิ้นในดินแดนตงลู่ (ดินแดนตะวันออก) เพื่อแลกกับเสบียงอาหาร ก่อนออกเดินทางหลี่ว์ซงได้ตั้งชื่อภาษากลาง (ภาษาตงลู่) ให้อาซูเล่อว่า "หลี่ว์กุยเฉิน" (ชื่อเต็มของเขา คือ หลี่ว์กุยเฉิน อาซูเล่อ พ่าซูเอ่อร์)
หลี่ว์กุยเฉินได้พบเพื่อนใหม่สองคนในแคว้นเซี่ยถัง คนหนึ่งคือ "จีเหยี่ย" ลูกนอกสมรสของขุนนางตกยาก ที่กระหายความสำเร็จ อยากเป็นที่ยอมรับ และอยากเป็นชายชาตินักรบ ส่วนอีกคนคือ "อวี่หราน" องค์หญิงของเผ่าอวี๋ (เผ่าพันธุ์ที่มีปีก) ที่ลี้ภัยมาอยู่เซี่ยถังตั้งแต่เด็ก เธอเป็นเด็กสาวที่สดใส มีไหวพริบ ขี้สงสัย และกล้าหาญเหมือนผู้ชาย ทั้งสามคนกลายเป็นเพื่อนรักที่พร้อมร่วมเป็นร่วมตาย แต่สุดท้ายสองหนุ่มก็ตกหลุมรักอวี่หรานทั้งคู่
ครั้น "อิ๋งอู๋อี้" ซึ่งเป็น 'ป้าจู่' (เจ้าปกครองที่เรืองอำนาจ) แห่งแคว้นหลี (หนึ่งในนครรัฐของราชวงศ์ต้าอิ้น) เข้าควบคุมโอรสสวรรค์ บัญชาการเจ้าครองแคว้น (ยึดอำนาจ) หลี่ว์กุยเฉิน จีเหยี่ย และอวี่หราน จึงติดตามแม่ทัพ "ซีเหยี่ยน" (หนึ่งในสี่แม่ทัพผู้ลือนามของตงลู่) และแม่ทัพแคว้นอื่นๆ ไปทำศึกขั้นเด็ดขาดกับอิ๋งอู๋อี้ที่ด่านซางหยาง โดยหารู้ไม่ว่าศึกครั้งนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลัง และยังมีสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่ารออยู่เบื้องหน้า
ข้อมูลเพิ่มเติม:
"จิ่วโจว" (Novoland) คือดินแดนสมมุติยุคโบราณกาล แบ่งออกเป็น 9 มณฑลตามผังของกลุ่มดาวจิ่วซิงเชวี่ย (กลุ่มดาวขนาดใหญ่ในนิยายที่ประกอบด้วยดาว 9 ดวง) ประกอบด้วย มณฑลซางโจว, ฮั่นโจว, นิ่งโจว, จงโจว, หลานโจว, หว่านโจว, เยว่โจว, อวิ๋นโจว และ เหลยโจว (ชื่อมณฑลถูกตั้งตามชื่อดวงดาวทั้งเก้า) จิ่วโจวไม่ใช่โลกทั้งใบแต่เป็นส่วนหนึ่งของโลก ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ยุคโบราณเชื่อว่าจิ่วโจวคือใจกลางโลก กล่าวกันว่าในสมัยโบราณดินแดนจิ่วโจวเคยเชื่อมต่อเป็นแผ่นดินผืนเดียวกัน แต่เนื่องจากธารน้ำแข็งที่ปกคลุมพื้นผิวโลกเกิดละลาย ระดับน้ำทะเลจึงเพิ่มสูงขึ้น แถมราชวงศ์ในสมัยโบราณยังขุดคูคลองหมายใช้เป็นเส้นทางออกสู่ทะเล สุดท้ายน้ำทะเลกลับไหลเข้าท่วมผืนแผ่นดิน ทำให้ดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลของจิ่วโจวถูกทะเลแบ่งแยกออกเป็นสามส่วน ได้แก่...
- เป่ยลู่ (ดินแดนทางตอนเหนือ) ประกอบด้วย มณฑลซางโจว (ซ้าย), ฮั่นโจว (กลาง) และนิ่งโจว (ขวา)
- ตงลู่ (ดินแดนฝั่งตะวันออก) ประกอบด้วย มณฑลจงโจว (บนซ้าย), หลานโจว (บนขวา), หว่านโจว (ล่างซ้าย) และเยว่โจว (ล่างขวา)
- ซีลู่ (ดินแดนฝั่งตะวันตก) ประกอบด้วย มณฑลอวิ๋นโจว (บน) และเหลยโจว (ล่าง)
* พื้นที่โดยรวมของจิ่วโจวมีมากถึง 30 ล้านตารางกิโลเมตร ไม่นับรวมส่วนที่จมทะเล แต่ถ้านับรวมส่วนที่จมหายไปแล้วล่ะก็จะมีพื้นที่มากถึง 40 ล้านตารางกิโลเมตร (ข้อมูลเปรียบเทียบ: ประเทศไทยมีพื้นที่ 513,120 ตร.กม. ส่วนจีนมีพื้นที่ 9.597 ล้านตร.กม.)
จิ่วโจว เป็นถิ่นอาศัยของ 6 เผ่าพันธุ์ด้วยกัน ได้แก่
- เหริน - เผ่าพันธุ์มนุษย์ มีจำนวนมากที่สุด โดยแดนเหนือ (เป่ยลู่) เป็นถิ่นอาศัยของชนเผ่าเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนมากมายหลายเผ่า แต่มีเผ่าใหญ่อยู่ 7 เผ่า ได้แก่ ชิงหยาง, หยางเหอ, ซั่วเป่ย, หลานหม่า, ซาฉือ, จิ๋วหน่าน และเจินเหยียน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในแถบทุ่งหญ้าของมณฑลฮั่นโจว ส่วนแดนตะวันออก (ตงลู่) ทั้งสี่มณฑลล้วนเป็นถิ่นอาศัยของมนุษย์ ผืนแผ่นดินมีความอุดมสมบูรณ์ บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง และมีอารยธรรม (พวกเขาเรียกคนแดนเหนือว่า "คนป่าเถื่อน") ส่วนดินแดนตะวันตก (ซีลู่) ได้ชื่อว่าเป็นแดนลึกลับ ตำนานเล่าขานว่าในอดีตเคยเป็นดินแดนที่มีอารยธรรมรุ่งโรจน์ แต่ภายหลังเกิดโรคระบาดจึงกลายเป็นแดนร้าง
- อวี๋ - เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีปีก มีน้ำหนักตัวเพียงครึ่งหนึ่งของมนุษย์ อยู่กระจัดกระจายในป่าที่มณฑลนิ่งโจวในแดนเป่ยลู่
- ควาฟู่ (ตั้งชื่อตามยักษ์โบราณที่วิ่งไล่ตามดวงอาทิตย์) - มีรูปร่างสูงใหญ่กว่ามนุษย์ 2 เท่า ประชากรมีจำนวนน้อยมาก อาศัยอยู่ในมณฑลซางโจวของเป่ยลู่ ซึ่งเป็นดินแดนที่มีน้ำแข็งปกคลุม
- เหอลั่ว - เป็นเผ่าพันธ์ุที่ชาญฉลาดและมากฝีมือ มีความสูงเพียงครึ่งหนึ่งของมนุษย์ (คนแคระ) ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของมณฑลเยว่โจวในแดนตงลู่
- เม่ย - เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีสภาพเป็นจิตวิญญาณ แต่สามารถดูดซับพลังและสสารต่างๆ จากดิน น้ำ อากาศที่อยู่รอบตัว มาหล่อหลอมเป็นกายหยาบที่มีเลือดเนื้อได้ เพียงแต่ขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลานานนับเดือนนับปี หรืออาจมากถึงสิบปี
- เจียว - เป็นเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในน้ำ รูปร่างเพรียวและมีหาง (ลักษณะโดยรวมคล้ายเงือก) ส่วนใหญ่อยู่ในทะเล แต่อาจพบได้บ้างในแม่น้ำหรือทะเลสาบที่เชื่อมต่อทะเล
เนื้อหาตอนที่ 1
ละครเปิดฉากด้วยภาพเหตุการณ์ในอดีต ชายชราคนหนึ่งนั่งทำโครงเรือลำเล็กๆ หลายลำบนเกี้ยวที่จอดอยู่ริมน้ำ ก่อนนำกระดาษที่เขียนคำกลอนมาแปะติดโครงเรือ แล้วทยอยส่งเรือให้เด็กชายคนหนึ่งนำไปลอยน้ำ เรือลำหนึ่งที่เด็กนำไปลอยน้ำมีอักษรเขียนว่า "สดับเสียงระฆังริมฝั่งธาราตราบชีวาวาย"
* ละครไม่ได้ระบุว่าชายชราในฉากนี้เป็นใคร แต่เชื่อว่าน่าจะเป็น "เหวินรุ่ย" อดีตเจ้าครองแคว้นเซี่ยถังผู้เลื่องชื่อ (จากสกุลไป๋หลี) ซึ่งศึกษากวีนิพนธ์มาชั่วชีวิต ในนิยายระบุว่าเขาชอบขี่รถม้ายามค่ำคืนและมักจอดแวะที่สะพานริมสระน้ำเฟิ่งหวงเพื่อฟังเสียงระฆังจากวัดขงจื๊อที่อยู่ไกลออกไป จากนั้นก็ร่ายบทกวีบนสะพานแล้วเขียนลงบนกระดาษ ก่อนพับกระดาษเป็นรูปเรือทีละแผ่นแล้วนำเศษเทียนจากในวังมาวางบนเรือ หลังจากนั้นจึงจุดเทียนแล้วนำเรือกระดาษไปลอยน้ำ บริเวณปลายน้ำจะมีคนมารอเก็บเรือกระดาษของเขาทุกคืน ถ้าโชคดีหมึกบนกระดาษไม่ทันจางก็สามารถนำบทกวีของเขาไปขายได้ในราคาสูงลิ่ว เขาเสียชีวิตบนสะพานแห่งนี้ในวัย 70 ปี เรือกระดาษลำสุดท้ายของเขา (ที่มีคนเก็บได้) มีข้อความเขียนว่า "สดับเสียงระฆังริมฝั่งธาราตราบเจ็ดสิบปี ชีวีพลันสูญสิ้น"
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น ณ ดินแดนทุ่งหญ้าและทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาลในมณฑลฮั่นโจวของเป่ยลู่ (แดนเหนือ) ซึ่งปกครองโดยหัวหน้าเผ่าชิงหยาง นาม "หลี่ว์ซง" เหตุการณ์เกิดขึ้นกลางสนามรบที่เต็มไปด้วยศพทหาร หลัง "จิ่วหวัง" (ชื่อตำแหน่ง) ได้รับคำสั่งให้ยกทัพมากวาดล้างเผ่าเจินเหยียน โทษฐานที่ "หลงเก๋อเจินหวง" กระด้างกระเดื่องต่อสมัชชาใหญ่คู่หลี* (ถอนตัวจากสมัชชาฯ หรือแยกตัวเป็นเอกราช แล้วรุกรานเผ่าอื่น ซึ่งมีความผิดเทียบเท่าการก่อกบฎ) จิ่วหวังประกาศความผิดของหลงเก๋อเจินหวง ก่อนบอกว่าหากยึดตามกฏของแดนทุ่งหญ้าเผ่าเจินเหยียนจะต้องถูกกวาดล้างให้สิ้นซาก แต่ราชันแห่งชิงหยางเป็นคนใจกว้างและมีคุณธรรมจึงไม่อยากทำเช่นนั้น ขอเพียงหลงเก๋อเจินหวงยอมจำนนก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไป หลงเก๋อเจินหวงรู้ดีว่าหากยอมจำนนก็ต้องตกเป็นทาส แม้เหลือนักรบข้างกายไม่มากแต่พญาราชสีห์ที่ผู้คนเกรงขามอย่างหลงเก๋อเจินหวงขอสู้ตาย
* "ชิงหยาง" เป็นทั้งชื่อเผ่าของหลี่ว์ซง และชื่อราชวงศ์ของแดนเหนือที่หลี่ว์ซงเป็นเจ้าปกครอง
* "หลี่ว์ซง" มีชื่อภาษาถิ่นว่า "กัวเล่อเอ่อร์ พ่าซูเอ่อร์" เป็นหัวหน้าเผ่าชิงหยาง และเจ้าปกครองเป่ยลู่ (ดินแดนเหนือ)
* "จิ่วหวัง" ชื่อจริงคือ "หลี่ว์เป้าอิ่น" (เป็นชื่อภาษากลางหรือภาษาของแดนตงลู่) มีชื่อภาษาถิ่นว่า "เอ้อหลู่ พ่าซูเอ่อร์" เป็นน้องชายของหลี่ว์ซง
* "หลงเก๋อเจินหวง" เป็น "ข่าน" หรือหัวหน้าเผ่าเจินเหยียน เจ้าของฉายา "ซือจื่อหวัง" (พญาราชสีห์) ทั้งยังเป็นลูกพี่ลูกน้องของหลี่ว์ซ่งอีกด้วย
* สมัชชาใหญ่คู่หลี คือ ที่ประชุมใหญ่ของเหล่าข่าน (หัวหน้าเผ่า) ก่อตั้งขึ้นหลังวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ "ซวิ่นหวัง" รวมเผ่าต่างๆ เป็นหนึ่งเดียวเมื่อกว่า 500 ปีก่อน (เวลาในละคร) มีลักษณะคล้ายรัฐสภาของรัฐบาลสหพันธรัฐ ผู้นำสูงสุดจะถูกเรียกว่า "ต้าจวิน" (ราชัน)
ณ หมู่บ้านชนเผ่าเจินเหยียน (อยู่ทางตอนใต้ของมณฑลฮั่นโจว) ทัพชิงหยางได้บุกมาเข่นฆ่าผู้คนอย่างโหดเหี้ยม "หลงเก๋อชิ่น" (ลูกสาวหลงเก๋อเจินหวง) รีบพา "อาซูเล่อ พ่าซูเอ่อร์" (น้องชายบุญธรรม) กับ "ซูหม่า" (เพื่อนของ "อาซูเล่อ") ไปหลบซ่อนตัวชั่วคราวที่ใต้ถุนบ้านหลังหนึ่ง เธอบอกให้ซูหม่าใช้มีดสั้นปลิดชีพตัวเองหากเผชิญหน้ากับชายชาวชิงหยาง (ไม่ยอมให้ศัตรูย่ำยี) จากนั้นก็มอบหางเสือดาวให้อาซูเล่อ เธอแนะให้อาซูเล่อมุ่งหน้าไปทางเหนือตามลำพัง โดยบอกว่าหากพบชาวชิงหยางให้ยื่นหางเสือดาวให้พวกเขาดูแล้วบอกว่าต้องการพบจิ่วหวัง พวกเขาจะได้รางวัลหากทำตามคำขอของอาซูเล่อ ครั้นหลงเก๋อชิ่นบอกว่าจิ่วหวังจะดูแลตนเป็นอย่างดีอาซูเล่อก็รู้สึกแปลกใจ เขาสงสัยว่าศัตรูที่ใจคอโหดเหี้ยมอย่างจิ่วหวังจะทำดีกับคนเผ่าเจินเหยียนเช่นตนได้อย่างไร หลงเก๋อชิ่นตัดบทว่าเมื่อถึงเวลานั้นอาซูเล่อจะรู้เอง แต่อาซูเล่อไม่อยากหนีเอาตัวรอดคนเดียว เขาอยากร่วมชะตากรรมและคอยปกป้องหลงเก๋อชิ่นกับซูหม่ามากกว่า ครั้นหญิงวัยกลางคนๆ หนึ่งโดนสังหารต่อหน้าต่อตา อาซูเล่อก็ตกใจจนแทบช็อค (เขาเรียกหญิงคนดังกล่าวว่า "หมู่มา" ซึ่งแปลว่า แม่ หรืออาจเป็นคำเรียกญาติฝ่ายแม่ที่เป็นหญิงสูงวัย) หลงเก๋อชิ่นรีบเอามือปิดปากอาซูเล่อพลางบอกให้เขารักษาชีวิตตนเองเอาไว้ให้ดี เพราะมีคนไม่น้อยที่สังเวยชีวิตเพื่อเขา (อย่าให้การตายของทุกคนสูญเปล่า)
หลังเหตุการณ์สงบลงทั้งสามคนก็พากันวิ่งขึ้นไปเขาและได้เห็นภาพอันน่าสยดสยอง ก่อนหน้านี้ไม่นานบริเวณดังกล่าวได้กลายเป็นสมรภูมิ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นทุ่งสังหารเพราะเหล่านักรบเผ่าเจินเหยียนถูกทัพชิงหยางซึ่งแข็งแกร่งและมีจำนวนมากกว่าบุกมาเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยม แถมศพของพวกเขายังถูกมัดตรึงกับเสาไม้ในท่ายืน ครั้นเห็นสภาพศพอันน่าอนาจของหลงเก๋อเจินหวง ทั้งสามคนจึงรีบวิ่งไปแก้มัดแล้วนำศพมาวางนอนที่พื้นด้วยความโศกเศร้าและคับแค้นใจ (อาซูเล่อถอดแหวนเงินของบิดาบุญธรรมมาเก็บไว้เป็นสิ่งแทนใจ) หลังจากนั้นไม่นานเหล่าผู้รอดชีวิต (ซึ่งล้วนเป็นเด็กและสตรีเผ่าเจินเหยียน) ก็ขึ้นมาตามหาญาติพี่น้องในบริเวณดังกล่าว ทำให้มีเสียงร้องระงมดังทั่วบริเวณ ทันใดนั้นก็มีเสียงกลุ่มคนควบม้ามาแต่ไกล ทุกคนที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวจึงรีบวิ่งหนี
หลงเก๋อชิ่นรีบพาซูหม่าและอาซูเล่อหนีไป แต่สุดท้ายก็หนีไม่รอดและตกอยู่ในวงล้อมของทัพชิงหยาง อาซูเล่ออยากปกป้องสองสาวแต่ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เพราะตัวเขาเองก็โดนทำร้ายเช่นกัน ครั้นเห็นอาซูเล่อโดนทำร้ายร่างกายจนน่วม หลงเก๋อชิ่นก็ดิ้นรนและพยายามฝ่าเข้าไปช่วย เธอจึงถูกผลักกระเด็นและโดนกระทืบไม่ยั้ง อาซูเล่อเห็นดังนั้นก็รู้สึกโกรธ หลังเลือดในกายเดือดพล่าน เขาก็ร้องคำรามเสียงดังลั่นก่อนหยิบดาบมาฟาดฟันศัตรูอย่างบ้าคลั่ง เมื่อจิ่วหวังเคลื่อนทัพมาถึงบริเวณดังกล่าวในยามค่ำคืนก็พบว่านักรบของตนถูกฆ่าตายจนหมดสิ้น ครั้นเห็นอาซูเล่อนอนกอดดาบหลับตาพริ้มท่ามกลางศพของนักรบฝ่ายตน จิ่วหวังทั้งประหลาดใจและรู้สึกทึ่งจึงเรียกอาซูเล่อว่า "ปีศาจ" (ละครขึ้นอักษรบรรยายภาพอาซูเล่อว่า "ยามที่ฟ้าดินยังไม่แยกจากกัน วีรบุรุษยังคงหลับใหลอยู่ในอู่ที่แข็งแกร่ง" ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบกับผานกู่ตอนที่ยังไม่เบิกฟ้า ทุกสรรพสิ่งมีแต่ความโกลาหลวุ่นวาย)
หลังตื่นจากฝันร้าย อาซูเล่อก็พบว่าตนอยู่ในรถม้ากับ "อามา" (หมายถึง หญิงสูงวัย / แม่นม) เขารู้สึกแปลกใจว่าตนมาอยู่ในรถม้าได้อย่างไร และแปลกใจยิ่งกว่าเมื่ออามาเรียกตนว่า "ซื่อจื่อ" (รัชทายาท) แล้วบอกว่าพวกตนกำลังเดินทางกลับเมืองเหนือ (หมายถึงเมือง "เป่ยตู" ของชิงหยาง) ครั้นเห็นอาซูเล่อทำหน้างง อามาเลยเดาว่าท่านข่านแห่งเจินเหยียน (หมายถึง "หลงเก๋อเจินหวง" หัวหน้าเผ่าเจินเหยียน) คงไม่เคยบอกว่าแท้จริงแล้วอาซูเล่อเป็นใครมาจากไหน อาซูเล่อกล่าวว่าตนเป็นเด็กกำพร้าที่หลงเก๋อเจินหวงพบในแดนทุ่งหญ้าเลยนำมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม อามาเล่าความจริงให้ฟังว่า แท้จริงแล้วอาซูเล่อคือซื่อจื่อ (รัชทายาท) ของชิงหยาง บิดาเขาคือ "หลี่ว์ซง" ราชันแห่งชิงหยาง ส่วนมารดา* คือ "เล่อโหมว" ธิดาข่าน "โหลวเหยียน เหมิงเล่อหั่วเอ๋อร์" แห่งเผ่าซั่วเป่ย (แม่เขาเป็นหนึ่งในชายาของหลี่ว์ซงแต่ไม่ใช่ชายาเอก)
* คำว่าแม่ในที่นี้คือ "มู่ชิน"
วันที่อาซูเล่อถือกำเนิดได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด ซ้ำยังมีพายุหิมะโหมกระหน่ำอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด และนั่นก็ทำให้ผู้คนมากมายมารวมตัวกันที่หน้าประตูเมืองท่ามกลายพายุ ชายคนหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนพ่อหมอประกาศว่าไท่อินมาจุติ ทารกน้อยของ 'เยียนจือ' (คำเรียกชายาของเจ้าปกครองชนเผ่าเร่ร่อน) คือ ดาววิบัติ หากไม่กำจัดทิ้งเสียพายุหิมะจะไม่มีวันสงบลง หลังจากนั้นผู้คนนับร้อยก็พร้อมใจกันส่งเสียงเรียกร้องให้หลี่ว์ซงสังหารทารกน้อย เพื่อเป็นการสังเวยและบรรเทาความพิโรธของสวรรค์ หลงเก๋อเจินหวง (ซึ่งเป็นญาติผู้น้องของหลี่ว์ซง) อาสานำทัพออกไปเจรจากับผู้คนที่อยู่ทางด้านนอกแต่หลี่ว์ซงปฏิเสธ หลี่ว์ซงไม่เชื่อเรื่องอาเพศแต่เขารู้ดีว่าการปิดปากผู้คนไม่ง่ายเหมือนการเข่นฆ่า เขาจึงขอให้หลงเก๋อเจินหวงช่วยอะไรบางอย่าง
หลี่ว์ซงเดินฝ่าหิมะไปหาเล่อโหมวที่ห้อง (ลูกชายคนอื่นๆ ของเขาซึ่งเป็นหนุ่มแล้วต่างมารอฟังข่าวท่ามกลางหิมะโปรยปรายด้วยเช่นกัน) หลังอามาแจ้งว่าทารกน้อยไม่มีชีพจร (เธอเป็นคนทำคลอด) หลี่ว์ซงจึงปลอบประโลมเล่อโหมวซึ่งนอนกอดลูกน้อยไม่ห่าง และแอบสั่งให้อามานำลูกออกไป แต่เล่อโหมวไม่ยอมให้ใครพรากลูกไปจากเธอ แม้หลี่ว์ซงจะบอกว่าลูกคลอดออกมาโดยไม่มีชีพจร แต่เล่อโหมวยังทำใจไม่ได้จึงขอให้นมลูกก่อน เธอขอให้ลูกไม่กลับมาเกิดเป็นสายเลือดราชันหากชาติหน้ามีจริง จากนั้นก็ฆ่าตัวตายตามลูกน้อยไป หลังแม่ตายทารกน้อยก็ร้องไห้จ้าดุจปาฏิหาริย์ หลี่ว์ซงจึงมอบลูกน้อยให้หลงเก๋อเจินหวงนำไปเลี้ยงดูที่เผ่าเจินเหยียน
อามากล่าวว่าแม้อาซูเล่อจะเติบโตในเผ่าเจินเหยียน แต่เลือดในกายและตัวตนของอาซูเล่อไม่อาจแปรเปลี่ยน กฏของแดนทุ่งหญ้ากำหนดให้บุตรคนสุดท้องเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งซื่อจื่อ ดังนั้น อาซูเล่อก็คือคนที่จะได้ปกครองดินแดนทุ่งหญ้าทั้งหมดในอนาคต (หลี่ว์ซงมีบุตรชายทั้งสิ้น 5 คน อาซูเล่อเป็นคนที่ห้า) อาซูเล่อปฏิเสธทันควัน เขารับไม่ได้ที่คนฆ่าพ่อบุญธรรมกลับกลายเป็นพ่อแท้ๆ ส่วนพ่อที่เลี้ยงดูตนมาต้องตายในฐานะกบฎ เขาจึงกล่าวด้วยความเจ็บแค้นว่าชิงหยางคือหมาป่า (คนโฉด) แห่งแดนทุ่งหญ้า พวกเขาส่งนักรบมากวาดล้างเผ่าตน ครั้นนึกได้อาซูเล่อจึงถามหาหลงเก๋อชิ่นกับซูหม่า อามาเตือนว่าฐานะของอาซูเล่อแตกต่างจากทุกคน ก่อนบอกตามตรงว่าหลงเก๋อชิ่นตายแล้ว ส่วนซูหม่าตกเป็นทาสเชลย
ครั้นเห็นซูหม่าเดินตามหลังรถม้าพร้อมทาสเชลยคนอื่นๆ ในสภาพถูกล่ามโซ่และถูกตีตราบนใบหน้า อาซูเล่อจึงรีบลงไปหาด้วยความเป็นห่วง จิ่วหวังไม่อยากเสียเวลาเพราะทาสหญิงเพียงคนเดียวเลยสั่งให้ลูกน้องนำตัวอาซูเล่อกลับขึ้นรถม้า แต่อาซูเล่อไม่ยอม เขาพยายามใช้ก้อนหินทุบโซ่หมายช่วยซูหม่า อามาบอกจิ่วหวังว่าซูหม่าเป็นเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันกับอาซูเล่อ จิ่วหวังจึงยอมผ่อนปรนให้ ถึงกระนั้นก็ไม่วายเตือนอาซูเล่อว่าเผ่าเจินเหยียนถูกกวาดล้างจนสูญสิ้นแล้ว ชิงหยางต่างหากที่เป็นบ้านของเขา หลังพาซูหม่าขึ้นมานั่งบนรถม้าด้วยกันแล้ว อาซูเล่อก็ปลอบโยนซูหม่าซึ่งยังคงโศกเศร้าและหวาดกลัว จากนั้นก็ให้คำมั่นว่าจะปกป้องเธอ
ณ เมืองเป่ยตูของชิงหยาง หลี่ว์ซงจัดพิธีต้อนรับการกลับมาพร้อมชัยชนะของจิ่วหวังอย่างสมเกียรติ โดยออกมารับที่นอกประตูเมือง ทันทีที่มาถึงจิ่วหวังก็นำดาบคู่กายของหลงเก๋อเจินหวงมามอบให้หลี่ว์ซง ก่อนเชิญ (ตะโกนเรียก) อาซูเล่อลงจากรถม้า ครั้นอาซูเล่อลงจากรถม้าอย่างอ้อยอิ่งและอ่อนแรง จิ่วหวังจึงกล่าวว่าอาซูเล่ออาจยังคงเสียขวัญจากเหตุการณ์สู้รบ หลี่ว์ซงเปรยว่าหากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับขี้ขลาด เขาถามอาซูเล่อว่ารู้จักตนไหม อาซูเล่อเงยหน้ามองหลี่ว์ซงด้วยแววตาเคียดแค้น หลี่ว์ซงกล่าวว่า "ข้าคือ "อาป้า" (พ่อ) ของเจ้า... ต้าจวิน (ราชัน) แห่งชิงหยาง" อาซูเล่อไม่ยอมรับศัตรูเป็นพ่อ เขากล่าวว่า "ข้าคืออาซูเล่อจากเผ่าเจินเหยียน เป็นบุตรชายหลงเก๋อเจินหวง"
เสนาบดีเห็นว่าจิ่วหวังกวาดต้อนเชลยศึกเผ่าเจินเหยียนกลับมาได้เป็นจำนวนมาก จึงเสนอให้หลี่ว์ซงแบ่งทาสเชลย (ซึ่งมีแต่เด็กและผู้หญิง) เป็นบำเหน็จความชอบให้แต่ละครอบครัว เพราะทุกครอบครัวต่างมีส่วนร่วมในการกวาดล้างเผ่าเจินเหยียน ครั้นหลี่ว์ซงอนุญาตก็มีชายคนหนึ่งเข้ามาลากตัวซูหม่าทันที อาซูเล่อไม่ยอมให้ซูหม่าตกเป็นทาสและโดนคนย่ำยี เขาชี้ว่าซูหม่าไม่ใช่ทาส แต่ชายคนดังกล่าวแย้งว่าคนที่ใบหน้าถูกตีตราถ้าไม่ใช่ทาสก็เป็นสัตว์เลี้ยง อาซูเล่อได้ยินแล้วของขึ้นจึงทั้งต่อยและกระทืบชายคนดังกล่าวอย่างบ้าคลั่ง พลางยืนยันคำเดิมว่าซูหม่าและคนอื่นๆ ต่างไม่ใช่ทาส ครั้นมีทหารเข้ามาห้าม อาซูเล่อจึงแย่งดาบของทหารคนหนึ่งแล้วถือดาบพุ่งเข้าหาหลี่ว์ซงด้วยความโกรธแค้น แต่ถูก "หลิ่วไฮ่มู่หลี" ขวางไว้เสียก่อน
หลี่ว์ซงนึกไม่ถึงว่าอาซูเล่อจะอาจหาญถึงขั้นคิดฆ่าตนเพื่อปกป้องทาสเชลยเผ่าเจินเหยียน ทั้งๆ ที่สามารถร้องขอความเมตตาในฐานะลูก เขาชี้ว่าอาซูเล่อเป็นบุตรชายตนและเป็นซื่อจื่อแห่งชิงหยาง (ลูกชายคนอื่นๆ ของหลี่ว์ซงได้ยินแล้วถึงกับอึ้ง เพราะต่างจ้องตำแหน่งนี้ตาเป็นมัน) หากเอ่ยปากขอกันดีๆ ตนยินดียกทาสทั้งหมดให้ จากนั้นก็ถามอย่างคาดคั้นว่าอาซูเล่อไม่เห็นตนเป็นพ่อใช่ไหม อาซูเล่อยืนยันคำเดิมว่า "ข้าคืออาซูเล่อจากเผ่าเจินเหยียน เป็นบุตรชายหลงเก๋อเจินหวง" หลี่ว์ซงกล่าวว่าถ้าอาซูเล่อต้องการทาสเชลยเหล่านี้ตนจะยกให้ทั้งหมดแต่อาซูเล่อต้องใช้ชีวิตเยี่ยงทาส นี่คือราคาที่อาซูเล่อต้องจ่ายโทษฐานที่อยากเป็นลูกหลงเก๋อเจินหวงมากกว่าเป็นลูกตน พูดจบเขาก็โยนดาบคู่กายของหลงเก๋อเจินหวงให้อาซูเล่อ ก่อนบอกว่าลูกผู้ชายที่ไม่มีดาบไม่อาจปกป้องใครหรือทำการใดได้ เขากล่าวว่านี่คือดาบของหลงเก๋อเจินหวง จงรับไว้แล้วไปเป็นราชันของเหล่าทาส พูดจบเขาก็เดินจากไป
"ซาฮั่น เฉาเต๋อลาจี๋" (หรือ "ต้าเหอซ่า") ซึ่งเป็นเพื่อนของหลี่ว์ซง และเป็น "ซ่าหม่าน" (พ่อหมอ / คนทรง / ผู้รู้ / ผู้ประกอบพิธีกรรม) ที่หลี่ว์ซงเชื่อถือมากที่สุด เข้ามาช่วยพยุงอาซูเล่อให้ลุกขึ้นแล้วชื่นชมในความกล้าหาญ โดยกล่าวว่าในเป่ยตูมีเพียงตนกับอาซูเล่อที่กล้าพูดกับหลี่ว์ซงเช่นนั้น ซูหม่าเองก็ชื่นชมและอยากปลอบใจอาซูเล่อเช่นกัน แต่ทำได้เพียงจับมือให้กำลังใจ
ในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะให้จิ่วหวัง เสนาบดีเสนอให้หลี่ว์ซงเลือกผู้ที่จะได้ครองตำแหน่งซื่อจื่ออย่างเป็นทางการ (ลูกๆ ของหลี่ว์ซงได้ยินแล้วต่างหูผึ่ง) แต่หลี่ว์ซงยืนกรานว่าจะทำตามกฎที่ระบุให้ทายาทคนสุดท้องเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง เขากล่าวว่าในเมื่ออาซูเล่อกลับมาแล้วก็ต้องเป็นซื่อจื่อ เสนาบดีแย้งว่าหลี่ว์ซงเพิ่งไล่อาซูเล่อไปเป็นผู้นำทาส หลี่ว์ซงชี้ว่าอาซูเล่ออายุยังน้อย ไม่รู้จักฎเกณฑ์ เลยต้องได้รับบทเรียนเสียบ้าง อีกหน่อยเขาจะสำนึกได้เองว่าเขาเป็นลูกคนเล็กของตน และเป็นเสือดาวตัวน้อยของตนในเผ่าชิงหยาง เสนาแย้งอย่างไม่ลดละว่าตอนอาซูเล่อถือกำเนิดได้เกิดมีอาเพศ ข่าวลือที่ว่าอาซูเล่อคือไท่อินลงมาจุติยังคงเป็นที่โจษขานในแดนทุ่งหญ้า ที่สำคัญ อาซูเล่อทั้งอ่อนแอและขี้โรค หมอบอกว่าเขาอาจป่วยตายก่อนวัยอันควร ตนเกรงว่า... เสนาพูดยังไม่ทันจบบุตรคนโตของหลี่ว์ซงก็แทรกขึ้นว่า อาซูเล่ออาจอยู่ไม่ถึงวันที่จะได้เป็นราชันแห่งชิงหยางด้วยซ้ำ
หลี่ว์ซงรู้ว่าทุกคนตั้งใจใช้โอกาสนี้เรียกร้องให้ตนเลือกลูกคนใดคนหนึ่งเป็นซื่อจื่อ ทั้งยังรู้ด้วยว่าต่างฝ่ายต่างพยายามผลักดันคนของตัวเอง หวังให้ปกครองชิงหยางแทนตนในวันหน้า เขากล่าวว่าตนมีลูกห้าคน หากตนสนับสนุนใคร คนนั้นก็จะโดนลูกคนอื่นชิงอำนาจ หากเสือดาวต่อสู้กันเองสุดท้ายก็จะกลายเป็นอาหารของอีแร้ง เพื่อเป็นการตัดปัญหาเขาจึงยืนกรานว่าจะยึดตามกฎที่มีมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ เขาประกาศว่าลูกคนสุดท้องคือผู้สืบทอดตำแหน่ง อาซูเล่อจะอยู่ถึงวันที่ได้ปกครองชิงหยางหรือไม่ก็แล้วแต่เทพผานต๋า (เทพที่ชนเผ่าเร่ร่อนในละครนับถือบูชา) หลี่ว์ซงย้ำว่าอาซูเล่อคือลูกคนสุดท้องของตน เขาจึงต้องเป็นซื่อจื่อ ตราบใดที่อาซูเล่อยังมีชีวิตอยู่อย่าหวังว่าใครจะได้ครองตำแหน่งนี้ หากใครคิดแก่งแย่งชิงดีก็ต้องรอให้อาซูเล่อตายก่อนแล้วค่อยห้ำหั่นกัน
ข้อมูลเสริมจากนิยาย: หลี่ว์ซงมีบุตรชายทั้งสิ้นห้าคน ในจำนวนนี้มีอยู่สี่คนที่แบ่งแยกเป็นสองฝั่งสองฝ่าย ต่างฝ่ายต่างหวังครองตำแหน่งราชันแห่งชิงหยาง โดยมีผู้สนับสนุนและมีขั้วอำนาจเป็นของตนเอง ฝ่ายแรก คือ "ปี่โม่กาน พ่าซูเอ่อร์" (หรือ "หลีว์โส่วอวี๋") และ "เถี่ยโหยว พ่าซูเอ่อร์" (หรือ "หลีว์ฟู่) บุตรชายคนโตและคนรองของหลี่ว์ซง ทั้งคู่เกิดจากมารดาที่เป็นชนเผ่าชิงหยาง อีกฝ่ายคือ "ซวี่ต๋าห่าน พ่าซูเอ่อร์" (หรือ "หลี่ว์อิงหยาง") และ "กุ้ยมู่ พ่าซูเอ่อร์" (หรือ "หลี่ว์เฮ่อ") บุตรชายคนที่สามและสี่ ซึ่งเกิดจากมารดาที่เป็นชนเผ่าซั่วเป่ย (อาซูเล่อเกิดจากมารดาอีกคนที่เป็นชนเผ่าซั่วเป่ยเช่นกัน)
อามานำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้อาซูเล่อเปลี่ยน แม้ชุดที่ใส่อยู่จะสกปรกและมีรอยขาดแต่อาซูเล่อไม่ยอมถอดเพราะเป็นชุดที่หลงเก๋อชิ่นตัดเย็บให้เองกับมือ ซูหม่าจึงนำชุดใหม่มาคลุมทับชุดเดิมของอาซูเล่อ ทันใดนั้นก็มีกลุ่มคนมายืนจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์อาซูเล่ออยู่ทางด้านนอก คนกลุ่มดังกล่าวจงใจเสี้ยมว่าอาซูเล่อไม่คู่ควรกับตำแหน่งรัชทายาท โดยกล่าวหาว่าเขาทั้งอ่อนแอและจะนำความวิบัติมาสู่ทุกคน แม้จะโดนอามาตะโกนไล่แต่ชายกลุ่มดังกล่าวยังคงนินทาต่อว่า ตอนอาซูเล่อเกิดทุกคนที่อยู่ใกล้ล้วนโดนสาปให้มีอันเป็นไป แม้แต่แม่ของเขาก็ตายเพราะเขาในวันนั้นเช่นกัน เขาไม่ใช่รัชทายาทแต่เป็นตัวกาลกิณี ทุกคนจึงควรหลีกหนีให้ห่างมิเช่นนั้นจะประสบเคราะห์กรรม ซูหม่าได้ยินแล้วอดรนทนไม่ไหวจึงออกไปผลักหนึ่งในคนปากพล่อย อาซูเล่อเห็นซูหม่าจะโดนทำร้ายเลยรีบถือดาบเข้าไปขวาง ครั้นอามาขู่ว่าจะไปฟ้องหลี่ว์ซง ชายกลุ่มดังกล่าวจึงยอมสลายตัว
หลี่ว์ซงเรียกอาซูเล่อมาพบตามลำพังเพื่อมอบหางเสือดาวให้เขา โดยบอกว่าเสือดาวเขี้ยวดาบคือสัญลักษณ์ของเผ่าชิงหยาง ในเมืองเป่ยตูมีเพียงตนและรัชทายาทเท่านั้นที่คู่ควรกับหางเสือดาวนี้ ครั้นเห็นว่าอาซูเล่อไม่ยอมรับหางเสือดาวจากทาสรับใช้ (ไม่ยอมรับตำแหน่งผู้สืบทอด) หลี่ว์ซงจึงชี้ว่าเผ่าชิงหยางของตนมีกฎที่ยึดถือกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลว่าลูกชายคนเล็กจะได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งราชัน อาซูเล่อเป็นลูกชายคนเล็กของตน และจะเป็นประมุขแห่งแดนทุ่งหญ้า หลี่ว์ซงยังบอกด้วยว่าอาซูเล่อเป็นภาษาโบราณของเผ่าชิงหยาง ตนตั้งชื่อนี้ให้อาซูเล่อ เพราะ 'อาซูเล่อ' แปลว่าอายุยืนยาว ตนอยากให้อาซูเล่อมีชีวิตที่ยืนยาว เพื่อที่ในอนาคตอาซูเล่อจะได้ปกครองแดนทุ่งหญ้าให้เกิดความสงบสุขอย่างต่อเนื่องยาวนาน หากอาซูเล่อเองก็ปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น จงอย่าได้หันหลังให้อำนาจ อาซูเล่อมองหางเสือดาวอย่างชั่งใจ (เขาอยากให้แผ่นดินสงบสุข) และพยายามแข็งขืนเมื่อหลี่ว์ซงจับมือเขาขึ้นมารับหางเสือดาว แต่สุดท้ายก็ยอมรับแต่โดยดี
หลี่ว์ซงมาร่วมพิธีเผาศพของหลงเก๋อเจินหวงเป็นการส่วนตัว ซาฮั่นชี้ว่าผู้เป็นราชันไม่ควรมาร่วมงานศพของกบฎ หลี่ว์ซงแย้งว่าแม้ได้ชื่อว่าเป็นกบฎแต่หลงเก๋อเจินหวงยังคงเป็นญาติตน เขาเรียกตนว่าพี่ ตนมาที่นี่เพื่อบอกลาน้องใครหน้าไหนจะกล้าตำหนิตน ซาฮั่นสงสัยว่าหลงเก๋อเจินหวงกลายเป็นกบฎได้อย่างไร หลี่ว์ซงเล่าว่าหลงเก๋อเจินหวงปล้นสะดมและรุกรานทุ่งหญ้าของเผ่าที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งนับเป็นการผิดกฎของบรรพชน ซาฮั่นแย้งว่าหลงเก๋อเจินหวงจงรักภักดีต่อหลี่ว์ซงมาก ซ้ำยังช่วยเลี้ยงดูลูกชายให้ หลี่ว์ซงโวยลั่นว่าตนคือราชัน ตนยึดมั่นในกฏเกณฑ์มากกว่าใครในแดนทุ่งหญ้า หากละเมิดกฎเสียเองแดนทุ่งหญ้าคงมีแต่ความสับสนวุ่นวาย ซาฮั่นแย้งว่าน่าจะให้โอกาสหลงเก๋อเจินหวงสักครั้ง หลี่ว์ซงชี้ว่าตนมอบโอกาสให้เขาแล้ว ตนฝากเอ้อหลู่ (จิ่วหวัง) ไปบอกหลงเก๋อเจินหวงว่าหากยอมจำนนตนจะไว้ชีวิต แต่คนอย่างหลงเก๋อเจินหวงยอมตายไม่ยอมจำนน (หลงเก๋อเจินหวงปล้นสะดมทุ่งหญ้าของเผ่าอื่นเพียงเพื่อความอยู่รอดของคนในเผ่า)
หลี่ว์ซงบอกซาฮั่นว่า สาเหตุที่แดนทุ่งหญ้ามักเกิดการเข่นฆ่ากันเป็นผลมาจากการขาดแคลนอาหาร หากทุกคนมีอาหารเพียงพอการเข่นฆ่าในแดนทุ่งหญ้าอาจลดลง โชคร้ายที่พวกตนไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้ ต่อให้คนหาอาหารมาพอยาไส้ แต่พอถึงหน้าหนาววัวและแกะในแดนทุ่งหญ้าก็จะอดตายอยู่ดี หลี่ว์ซงกล่าวว่าตนรู้จักสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งผืนแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ มีข้าวสาลีกองสูงกว่าภูเขา หิมะไม่ตกตลอดทั้งปี ซาฮั่นแย้งว่าในแดนทุ่งหญ้าจะมีสถานที่แบบนั้นได้อย่างไร ครั้นรู้ว่าหลี่ว์ซงพูดถึงแดนตงลู่ (แดนตะวันออก) ซาฮั่นจึงแย้งว่าตงลู่เป็นดินแดนโพ้นทะเล หลี่ว์ซงชี้ว่าพวกตนสามารถเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลได้ หากตนได้อาหารจากตงลู่ ความอดอยากหิวโหยของคนที่นี่ก็จะหมดไป หลังจากนั้นแดนทุ่งหญ้าอาจเข่นฆ่ากันน้อยลง
หลี่ว์ซงกล่าวว่าซาฮั่นเป็นเพื่อนที่ตนไว้ใจมากที่สุด และเป็นคนฉลาดหลักแหลมที่สุดในแดนทุ่งหญ้า มีเพียงซาฮั่นเท่านั้นที่สามารถเจรจาหว่านล้อมจิ้งจอกแดนตงลู่ได้ ตนจึงอยากให้ซาฮั่นเป็นตัวแทนตนนำคณะเดินทางไปยังตงลู่ ซาฮั่นไม่เกี่ยงเรื่องเดินทางไกลไปขอเสบียง เพียงแต่เขาเป็นห่วงอาซูเล่อ เขาชี้ว่าอาซูเล่อไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นราชันแต่กลับต้องแบกรับตำแหน่งซื่อจื่อ แถมตอนนี้ลูกๆ ที่แสนดีของหลี่ว์ซงเริ่มแก่งแย่งชิงดีกันแล้ว หลี่ว์ซงกล่าวว่าตนมอบตำแหน่งซื่อจื่อให้อาซูเล่อแล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่โชคชะตา ซาฮั่นแย้งว่าเหล่าพี่ชายของอาซูเล่อล้วนเป็นหมาป่า เช่นนี้แล้วก็เท่ากับหลี่ว์ซงโยนลูกแกะเข้าปากหมาป่าแล้วพูดว่าปล่อยให้เป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิต หลี่ว์ซงกล่าวว่าถ้าอยากรอดชีวิตลูกแกะก็ต้องกลายเป็นหมาป่าเสียเองเพราะที่นี่คือแดนทุ่งหญ้า ซาฮั่นแย้งว่าเพื่อเอาตัวรอดในแดนทุ่งหญ้า อาซูเล่อจำเป็นต้องเรียนรู้ทักษะในการเอาชนะฝูงหมาป่า เขาขอให้หลี่ว์ซงคัดเลือกเด็กหนุ่มที่กล้าหาญสองคนมาเป็น 'ป้านตัง' (ผู้ติดตามและองครักษ์ส่วนตัว) ของอาซูเล่อ และให้หานักรบผู้เก่งกาจมาเป็นอาจารย์สอนอาซูเล่อด้วย โดยบอกว่านี่คือเงื่อนไขของตน
ในที่สุด หลิ่วไฮ่มู่หลี นักดาบมือหนึ่งของเผ่าชิงหยางก็กลายเป็นอาจารย์ของอาซูเล่อ เขาจะสอนอาซูเล่อใช้ดาบฆ่าคน แต่อาซูเล่อต้องการใช้ดาบเพื่อปกป้องผู้คนมากกว่า (เขาเสียใจที่ตนจับดาบไม่เป็น เลยไม่อาจปกป้องคนเผ่าเจินเหยียนและหลงเก๋อชิ่น) นอกจากนี้ "เถี่ยเหยียน" และ "เถี่ยเย่" ได้ถูกส่งมาเป็นผู้ติดตามของอาซูเล่อ ทั้งคู่หลั่งเลือดสาบานว่าจะติดตามรับใช้อาซูเล่อชั่วชีวิต และจะปกป้องอาซูเล่อเสมือนปกป้องตนเอง ส่วนอาซูเล่อเองก็หลั่งเลือดสาบานว่าจะขอร่วมเป็นร่วมตายกับทั้งคู่ ซาฮั่นเห็นอาซูเล่อเริ่มเรียนรู้ทักษะการใช้ดาบกับหลิ่วไฮ่มู่หลีโดยมีสององครักษ์ข้างกาย เขาจึงออกเดินทางไปแดนตงลู่ในฐานะทูตอย่างวางใจ หลังซาฮั่นไปแล้วอาซูเล่อก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการฝึกดาบโดยมีซูหม่าคอยดูแลไม่ห่าง
หลิ่วไฮ่มู่หลีลอบนำอาหารไปเยี่ยมนักโทษวัยชราในคุกใต้ดินหลังห่างหายไปนาน ครั้นหลิ่วไฮ่มู่หลีรายงานว่าซื่อจื่อกลับมาแล้ว นักโทษชราจึงขอให้หลิ่วไฮ่มู่หลีพาอาซูเล่อมาพบตนโดยบอกว่าตนไม่มีเจตนาร้าย อาซูเล่อตามกระรอกน้อยชื่อ "ปาไต" ไปยังคุกใต้ดินและได้พบกับนักโทษชรา (ชายคนดังกล่าวคือ "ชินต๋าฮั่นหวัง" ปู่ของอาซูเล่อ) เขาขอบคุณนักโทษเฒ่าที่ช่วยจับเจ้าปาไตให้ ทั้งยังเรียกนักโทษคนดังกล่าวว่า 'ท่านปู่' โดยไม่รู้ว่าเป็นปู่แท้ๆ ของตน อาซูเล่อไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในเมืองเป่ยตูมีคุกใต้ดินจึงถามนักโทษชราว่าทำผิดอะไร นักโทษชราตอบเพียงว่าตนทำให้ 'ต้าจวิน' (หลี่ว์ซง) ขุ่นเคืองบ่อยครั้ง และกำชับให้อาซูเล่อเก็บเรื่องที่มาพบตนที่นี่เป็นความลับ
ครั้นเห็นหลานชายรูปร่างบอบบาง นักโทษชราจึงเปรยว่าอาซูเล่อไม่น่าเกิดมาเป็นสายเลือดราชัน เขาชี้ว่าที่นี่เป็นดินแดนที่มีแต่เสือและหมาป่า คนอ่อนแออย่างอาซูเล่อจะอยู่ยาก แต่อาซูเล่อไม่หวั่นเลยสักนิด เขากล่าวว่าตนเกิดมาโดยไม่มีชีพจร ไม่แน่ว่าตนอาจถูกลิขิตให้ตายตั้งแต่เกิด เพราะอย่างนี้ถึงไม่มีอะไรน่ากลัวอีก นักโทษชราสงสัยว่าเช่นนั้นแล้วอาซูเล่อเรียนทักษะการใช้ดาบกับแม่ทัพมู่หลีทำไม อาซูเล่อตอบว่าตอนนี้ตนเป็นผู้นำชนเผ่าเจินเหยียนแล้ว ตนจึงเรียนดาบไว้ปกป้องพวกเขา นักโทษชราแย้งว่าดาบมีไว้ฆ่าคน อาซูเล่อกล่าวว่าแม่ทัพมู่หลีก็บอกตนเช่นนี้ ครั้นเห็นว่าอาซูเล่อต้องการใช้ดาบปกป้องผู้คน นักโทษชราจึงมอบดาบชื่อ 'ต้าพี่' ให้เป็นของขวัญ
สองปีต่อมา ซาฮั่นและคณะก็กลับมายังแดนทุ่งหญ้าพร้อมแม่ทัพ "ทั่วป๋าซานเยว่" แห่งแคว้นเซี่ยถังของราชวงศ์ต้าอิ้น (เขาเป็นหนึ่งในสี่แม่ทัพผู้ลือนามแห่งแดนตงลู่) แม่ทัพทั่วป๋ากล่าวกับหลี่ว์ซงที่มารอต้อนรับว่า ตนเดินทางมาในฐานะตัวแทนของ 'ไป๋หลี่กง' (เจ้าปกครองแคว้นแซ่ไป๋หลี่) ซึ่งหวังให้ชิงหยางกับเซี่ยถังสามัคคีปรองดอง เป็นบ้านพี่เมืองน้องตลอดไป
ซาฮั่นคิดถึงอาหารแดนทุ่งหญ้าจึงมานั่งล้อมวงทานอาหาร (ข้าวพิลาฟขาแกะ) ฝีมืออามากับอาซูเล่อ (และเถี่ยเหยียน/เถี่ยเย่) อย่างเอร็ดอร่อย พลางเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแคว้นเซี่ยถังในแดนตงลู่ให้ทุกคนฟัง อามาได้ยินว่าแคว้นเซี่ยถังกำลังส่งเสบียงอาหาร (ธัญพืช, ข้าว ฯลฯ) จำนวนมากมาที่นี่ ซึ่งจะมีปริมาณมากเพียงพอสำหรับทุกคนในช่วงฤดูหนาว ซาฮั่นแย้งว่าเสบียงอาหารบนเรือที่ว่านั่นไม่ใช่ของอภินันทนาการจากเซี่ยถังสักหน่อย ตนนำทองคำทั้งหมดไปแลกเสบียงอาหารมาตุนให้อาซูเล่อและเหล่าทาสของเขาไว้กินกันให้อิ่มหนำในช่วงฤดูหนาวต่างหาก (ซาฮั่นเรียกอามาว่า "อิงฟูเหริน") อามาเล่า (เรื่องที่ซาฮั่นบอกตน) ให้ทุกคนฟังต่อว่า อีกหน่อยเซี่ยถังจะส่งเสบียงอาหารหนึ่งแสนต้าน* มาให้ชิงหยางทางเรือทุกปี ต่อไปจะไม่มีใครอดอยากหิวโหยอีกแล้ว ซาฮั่นชี้ว่ากว่าจะได้อาหารของคนแดนตงลู่ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกตนต้องลงนามในพันธสัญญาก่อน หลังจากนั้นพวกเขาจึงจะส่งเสบียงอาหารมาให้
* ต้าอิ้น คือ ราชวงศ์ของดินแดนต้าลู่ ประกอบด้วยนครรัฐต่างๆ หลายสิบนครรัฐ แต่ละนครรัฐมีเชื้อพระวงศ์ / ขุนศึก เป็นเจ้าปกครอง หนึ่งในนั้นคือ แคว้นเซี่ยถัง (ทั้งหมดเป็นเรื่องสมมุติ)
* ต้าน เป็นหน่วยวัดในสมัยโบราณ มีปริมาณแตกต่างกันในแต่ละยุคสมัย เช่น ในสมัยราชวงศ์ฮั่น 1 ต้าน มีความจุประมาณ 20,000 มิลลิลิตร และมีน้ำหนักราว 29.95 กก. สมัยราชวงศ์ซ่ง หนึ่งต้าน = 97 กก. สมัยราชวงศ์ถัง หนึ่งต้าน = 53 กก. สมัยราชวงศ์ชิง หนึ่งต้าน = 28 กก. สมัยราชวงศ์ฉิน หนึ่งต้าน = 109 กก.
ครั้นแม่ทัพทั่วป๋าบอกว่าแคว้นเซี่ยถังยินดีมอบเสบียงอาหารให้ชิงหยางหนึ่งแสนต้าน หลี่ว์ซงจึงถามตามตรงว่าพวกตนต้องตอบแทนด้วยสิ่งใด แม่ทัพทั่วป๋ากล่าวว่าแคว้นตนต้องการของล้ำค่าสองสิ่งจากชิงหยาง สิ่งแรกคือ 'กองทัพหู่เป้าฉี' (กองทัพอัศวินพยัคฆ์เสือดาว) เขาขอให้ชิงหยางส่งทหารหู่เป้าฉีจำนวนห้าพันนายไปประจำการที่เมืองหนานหวายชั่วคราวเพื่อช่วยเสริมทัพของเซี่ยถัง อีกสิ่งที่เซี่ยถังต้องการคือ 'หวังจื่อ' (โอรสของราชัน) แม่ทัพทั่วป๋ากล่าวว่าเพื่อกระชับความสัมพันธ์สองฝ่ายให้แน่นแฟ้น เจ้าครองแคว้นเซี่ยถังยินดีที่จะให้ 'จวิ้นจู่'* ของเซี่ยถังอภิเษกกับ 'หวังจื่อ' ของชิงหยาง ทั้งนี้ หวังจื่อจะอยู่ในแคว้นของตนเพื่อรับการปลูกฝังความรู้ด้านการทหาร/การเมืองตามแบบฉบับของดินแดนตงลู่
* เซี่ยถังเป็นแคว้นที่การค้าเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งที่สุดในตงลู่ พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ แต่การทหารอ่อนแอกว่านครรัฐอื่นๆ ของราชวงศ์ต้าอิ้น
* 'จวิ้นจู่' คือ ตำแหน่งธิดาเจ้าครองนครรัฐในยุคศักดินา
บุตรชายคนโตของหลี่ว์ซงรู้ว่านั่นคือการไปในฐานะตัวประกัน แต่แม่ทัพทั่วป๋าปฏิเสธและบอกหลี่ว์ซงว่าหวังจื่อของชิงหยางจะไปในฐานะ 'กุ้ยปิน' (แขกคนสำคัญ / แขกวีไอพี) และเขาจะได้เป็น 'ฟู่หม่า' (คำเรียกสามีของจวิ้นจู่) เพียงคนเดียวของแคว้นเซี่ยถัง (เจ้าครองแคว้นเซี่ยถังมีธิดาเพียงคนเดียว) หลังถูกบ่มเพาะความรู้ในด้านต่างๆ แล้ว แคว้นเซี่ยถังจะมอบทองพันชั่ง* เหล็กเกล็ดปลา (สำหรับทำชุดเกราะ) หนึ่งแสนชั่ง เรือใหญ่ 50 ลำ ให้เป็นสินสอด และจะคุ้มกันหวังจื่อกับชายากลับเป่ยตู เจ้าแคว้นของตนเชื่อว่าหวังจื่อผู้นี้จะทำให้สัญญาพันธมิตรระหว่างพวกตนยืนยงเป็นร้อยปี
* ชั่ง หรือ จิน (斤) เป็นหน่วยวัดน้ำหนักของจีน หนึ่งชั่ง เท่ากับ 500 กรัมในประเทศจีน และ 600 กรัมในไต้หวัน
** จบตอนที่หนึ่ง **
รายชื่อนักแสดง
นักแสดงนำ
หลิวฮ่าวหราน
รับบท หลี่ว์กุยเฉิน (อาซูเล่อ พ่าซูเอ่อร์)
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท อวี่หราน
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท จีเหยี่ย
(นักแสดง ชาวจีน)
ฮั่นโจว
* หนึ่งในสามมณฑลของเป่ยลู่ (ดินแดนตอนเหนือ)
รับบท หลี่ว์ซง (กัวเล่อเอ่อร์ พ่าซูเอ่อร์)
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท หลีว์โส่วอวี๋ (ปี่โม่กาน พ่าซูเอ่อร์)
(นักแสดง ชาวจีน)
หยางเล่อ
รับบท หลี่ว์อิงหยาง (ซวี่ต๋าห่าน พ่าซูเอ่อร์)
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)
เกาซวี่หยาง
รับบท หลี่ว์เฮ่อ (กุ้ยมู่ พ่าซูเอ่อร์)
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท หลี่ว์เป้าอิ่น (เอ้อหลู่ พ่าซูเอ่อร์) / จิ่วหวัง
(นักแสดง ชาวจีน)
หยางซินหมิง
รับบท ลี่ฉางชวน (ซาฮั่น เฉาเต๋อลาจี๋) / ต้าเหอซ่า
(นักแสดง ชาวจีน)
ตัวปู้เจี๋ย
รับบท เหมิงเล่อหั่วเอ๋อร์
(นักแสดง ชาวจีน)
จ้าวอี้จี้
รับบท เถี่ยเหยียน
(นักแสดง / นักเขียนบท ชาวจีน)
รับบท เถี่ยเย่
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท หลงเก๋อเจินหวง / ซือจื่อหวัง
(นักแสดง / นักกีฬา ชาวจีน)
อ้ายเจียนี
รับบท หลงเก๋อชิ่น
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท ซูหม่า
(นักแสดง ชาวจีน)
แคว้นเซี่ยถัง
* หนึ่งในนครรัฐของราชวงศ์ต้าอิ้น
รับบท ไป๋หลีจิ่งหง
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท ไป๋หลี่อวี้
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท ไป๋หลี่หวน
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท ไป๋หลีอิ่น
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท ซูซุ่นชิง
(นักแสดง ชาวจีน)
หลิวก้วนเฉิง
รับบท ทั่วป๋าซานเยว่
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท ซีเหยี่ยน
(นักแสดง / ผู้กำกับ ชาวจีน)
เว่ยเผิง
รับบท ซีหยวน
(นักแสดง / นักร้อง / นักเขียนบท / ผู้ดำเนินรายการ ชาวจีน)
รับบท จีเชียนเจิ้ง
* หนึ่งในนครรัฐของราชวงศ์ต้าอิ้น
จางจื้อเจียน
รับบท เหลยปี้เฉิง
(นักแสดง ชาวจีน)
จางเฟิงอี้
รับบท อิ๋งอู๋อี้
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท อิ๋งเจิน
(นักแสดง / นักร้อง / ผู้ดำเนินรายการ ชาวจีน)
อู๋เจียอี๋
รับบท อิ๋งอวี้
(นักแสดง ชาวจีน)
ราชวงศ์ต้าอิ้น
* ราชวงศ์ที่ปกครองแดนตงลู่
สวี่ฉิง
รับบท ไป๋หลิงโป
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท ไป๋หลี่หนิงชิง
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท ไป๋ลู่เหยียน
(นักแสดง ชาวจีน)
เฉินฮ่าวอวี่
รับบท ไป๋โจวเยว่
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)
แคว้นฉู่เว่ย
* หนึ่งในนครรัฐของราชวงศ์ต้าอิ้น
จ้าวหย่าลี่
รับบท ไป๋ซุ่น
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท ไป๋อี้
(นักแสดง / นักร้อง ชาวไต้หวัน)
ชิงโจว
เจียงซูอิ่ง
รับบท กงอวี่อี
(นักแสดง ชาวจีน)
เจียงป๋อเซวียน
รับบท อี้เทียนจาน / กู่โม่
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท โป๋หมิ่นเค่อ
(นักแสดง ชาวจีน)
รวมคลิปตัวอย่าง
รวมคลิปเบื้องหลัง
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา