วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เรื่องย่อ เท็น 2 (TEN 2)




กำกับ:  ลี ซึงยอง
เขียนบท:  ลี แจกอน, นัม ซังวุค
แนวละคร:  สืบสวนสอบสวน
จำนวนตอน:  12
ออกอากาศ:  เกาหลี - 14 เมษายน 2556 - 30 มิถุนายน 2556 ทางโอซีเอ็น
                        ไทย -  ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 21.00 น. ทางช่อง KIX ผ่านทางช่อง 311 ทาง TOT iptv และช่อง 52 ใน CTH 

เรื่องย่อ



ละครเรื่องนี้เป็นภาคต่อของละคร "TEN" ที่ทำเรตติ้งถล่มทลายทางช่องเคเบิ้ล "โอซีเอ็น" ของเกาหลีใต้ ซึ่งได้ทิ้งปริศนาคาใจเอาไว้ให้คนดูงงเล่นว่าใครคือฆาตกรสุดซาดิสม์ตัวจริงกันแน่...

"TEN 2" มีเนื้อหาต่อเนื่องจากภาคแรก ตัวละครหลักยังคงเป็นนักแสดงกลุ่มเดิม โดยนำเสนอภารกิจในการไขคดีปริศนาของหน่วยสืบสวนคดีอาชญากรรมพิเศษ ซึ่งมีชื่อทีมว่า "TEN" สาเหตุที่ถูกเรียกเช่นนั้นเป็นเพราะทีมดังกล่าวมีหน้าที่สืบสวนคดีฆาตกรรมสุดหินที่มีโอกาสปิดคดีสำเร็จไม่ถึง 10% นั่นเอง

หัวหน้าทีม "TEN" คือ "ยอ จีฮุน" เจ้าของฉายา "ปีศาจล่าปีศาจ" เขาเป็นอดีตตำรวจสืบสวนสอบสวนมือหนึ่งที่ผันตัวไปเป็นอาจารย์สอนวิชาสืบสวนสอบสวนคดีอาญา ก่อนถูกเรียกตัวมาทำหน้าที่ตำรวจสืบสวนอีกครั้งเพื่อคลี่คลายคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสุดโหดที่ยังปิดคดีไม่ลงและยังไม่พบเบาะแสคนร้าย เขาจะมาคลายปมปริศนาอันลึกลับซับซ้อนและพาคนดูลุ้นระทึกไปกับการสืบสวนเหตุฆาตกรรมสยองที่มาพร้อมจุดหักมุมอันน่าทึ่งพร้อมกับลูกทีมคนเก่งอีก 3 คน คือ

- "เบ็ค โดชิก"  ฉายา "เบ็ค ต๊กซา" (งูพิษสีขาว)  เป็นตำรวจสืบสวนรุ่นเก๋าที่มีไหวพริบ  ความคิดหลักแหลม ทั้งยังมีความสามารถโดดเด่นในการค้นหาหลักฐานและคลี่คลายคดี 

- "นัม เยรี" ตำรวจหญิงที่มีความเชี่ยวชาญด้านโปรไฟลิ่ง (การคาดเดาลักษณะของคนร้ายโดยวิเคราะห์จุดเด่นกับลักษณะของการก่ออาชญากรรมด้วยหลักพฤติกรรมศาสตร์) และมีความสามารถพิเศษในการจับผิดคนโกหก

- "ปาร์ก มินโฮ" ตำรวจสืบสวนรุ่นใหม่ไฟแรงที่ทำงานทุกอย่างตามที่ได้รับมอบหมาย แม้จะเป็นมือใหม่และอายุน้อยที่สุด แต่เขาก็เชื่อว่าทีม  "TEN"  จะไม่สามารถทำงานได้สำเร็จหากขาดตน

สำหรับภาคที่ 2 นี้ เริ่มต้นด้วยการย้อนกลับไปยังตอนสุดท้ายของภาคที่แล้ว พร้อมกับเสียงบรรยาย (ของพระเอก) ว่า "สิ่งที่ควรเป็นที่จดจำกลับถูกลืม สิ่งที่สมควรลืมกลับยังเป็นที่จดจำ ช่างเป็นอะไรที่น่าขันสิ้นดี และนี่ก็เป็นเหตุผลที่พวกเราต้องกลับไปสะสางเรื่องราวในอดีต ซึ่งเป็นเหมือนพันธกิจที่ถูกลืมของเมื่อหลายปีก่อน... เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในฤดูหนาว ณ มุมหนึ่งของโกดังแห่งนี้" 


นัม เยรีไปที่โกดังร้างในจังหวัดคยองกีตามลำพังและถูกคนร้ายทุบศีรษะจนสลบ พอฟื้นขึ้นมาเธอก็แทบช็อคเมื่อพบชายชุดดำยืนถือเทปกาวสีเขียวอยู่ตรงหน้า เธอรู้ทันทีว่าชายคนดังกล่าวคือ ฆาตกรต่อเนื่องใจโหดเจ้าของฉายา "ฆาตกรเอฟ*" ที่พวกเธอกำลังตามไล่ล่า  จึงกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว ทันใดนั้น คนร้ายก็ใช้เทปกาวพันรอบศีรษะเธออย่างโหดเหี้ยม (เพื่อให้ขาดอากาศหายใจ) ระหว่างที่เยรีกำลังดิ้นทุรนทุราย ชายชุดดำซึ่งยืนดูอยู่ทางด้านหลังก็ช่วยแกะเทปกาวออกให้อย่างเร่งรีบก่อนที่เธอจะขาดใจตาย

* ที่ตำรวจเรียกคนร้ายว่า "ฆาตกรเอฟ" เป็นเพราะคนร้ายมักเลือกก่อเหตุกับผู้หญิงในวันศุกร์ ด้วยการทำทารุณกรรมบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทปหรือพลาสติกแร็ปพันใบหน้าของเหยื่อเพื่อให้ขาดอากาศหายใจ หรือทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตแล้วใช้สีทาใบหน้าศพในลักษณะเดียวกับโจ๊กเกอร์ (Friday + Face + Female = "ฆาตกรเอฟ" หรือ "คดีเอฟ") 

ย้อนกลับไปที่เหตุการณ์ก่อนหน้านั้น...(เป็นเหตุการณ์ในภาคที่แล้ว)


หลังฆาตกรเอฟกลับมาก่อเหตุฆาตกรรมโดยใช้เทปกาวสีเขียวพันรอบศีรษะเหยื่อสาวเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี  "ยอ จีฮุน" หัวหน้าทีม TEN ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย (เมื่อ 7 ปีก่อนคนรักของเขาก็เป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกฆาตกรรมในลักษณะดังกล่าว) ซ้ำร้ายทีม TEN ยังถูกยุบ ทำให้คนอื่นๆ ในทีมต่างรู้สึกเคว้งคว้าง สับสน ทั้งยังต้องแยกย้ายกันไปทำงานในตำแหน่งเดิม ระหว่างที่ทุกคนกำลังเก็บข้าวของ เยรีก็เข้าไปในห้องทำงานของจีฮุนและพบกระดาษยับยู่ยี่ที่มีข้อความ “second wind” พร้อมคำแปล (หมายถึง การกลับมามีพลังและพร้อมที่จะสู้ใหม่อีกครั้ง) ทุกคนรู้ได้ทันทีว่า นี่คือข้อความที่จีฮุนทิ้งไว้ให้ จึงรู้สึกโล่งใจที่เขาไม่ได้หนีไปไหนและคิดที่จะช่วยจีฮุนตามล่าฆาตกรเอฟต่อไป ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีทีมอื่นมาทำหน้าที่แทนพวกตนแล้วก็ตาม

โดชิก เยรี และมินโฮ ช่วยกันขนข้าวของและเอกสารทั้งหมด (รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับคดีเอฟของจีฮุน) มาไว้ที่ออฟฟิศอันกว้างขวางและว่างเปล่าของพ่อมินโฮ จากนี้ไปที่นี่จะถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการเฉพาะกิจของ (อดีต) สมาชิกทีม TEN

ตอนที่ 1  "Understand" (ช่วงที่ 1)  



โดชิกและมินโฮต่างพากันสงสัยว่าจีฮุนมีแผนอะไร แล้วจะให้พวกตนทำอะไรกันแน่ หลังเยรีไปสำรวจห้องพักของจีฮุนแต่ไม่พบเบาะแสใดๆ มินโฮก็เริ่มรู้สึกท้อและบอกให้ทุกคนเลิกล้มความตั้งใจที่จะทำงานนี้ เพราะจีฮุนบอกให้ทุกคนลุยต่อแต่กลับไม่ยอมบอกว่าจะให้เดินหน้ายังไง โดชิกมองข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับคดีเอฟของจีฮุนแล้วบอกว่าการที่ทุกคนถูกเลือกให้มาอยู่ในทีม TEN ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่จีฮุนจงใจเลือกพวกตนมาช่วยตามจับฆาตกรเอฟ

โดชิกตั้งข้อสังเกตว่า ที่จีฮุนนำซีดีข้อมูลเกี่ยวกับคดีพี่น้องฝาแฝดที่ก่อเหตุเลียนแบบฆาตกรเอฟ (ในตอนที่ 1 ของภาคที่แล้ว) มาเก็บรวมกันในกล่องข้อมูลของคดีเอฟ เป็นเพราะจีฮุนยังไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างฆาตกรเอฟตัวปลอมกับฆาตกรเอฟตัวจริง เขาจึงต้องการให้ทุกคนช่วยกันควานหาจิ๊กซอว์ที่ขาดหายไป และนั่นก็เป็นสิ่งที่เขายังหาไม่พบถึงแม้จะทุ่มเทให้คดีนี้มาอย่างหนักตลอดระยะเวลา 7 ปีก็ตาม

- ตามหาจิ๊กซอว์ที่หายไป 


ทุกคนช่วยกันนำข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับคดีเอฟ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ แผนผัง โพสต์อิท แผนที่ ฯลฯ ที่จีฮุนเก็บรวบรวมไว้ตลอด 7 ปี มาแปะไล่เลียงเหตุการณ์ในลักษณะแผนผังจนเต็มผนังห้องทุกด้าน แล้วเริ่มทำการสืบสวนใหม่อีกครั้ง โดยเริ่มจากคดีฆาตกรรม "ตัวตลก" ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ปี 2003 เหยื่อสาว คือ "มูน แฮจิน" เธอถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมหลังนัดพบฆาตกรบนรถที่จอดอยู่ริมฝั่งแม่น้ำในตอนกลางคืน โดยฆาตกรได้สวมเสื้อแบบมีฮู้ดและนำฮู้ดมาคลุมปิดบังใบหน้า เขาทุบตีหญิงสาวจนถึงแก่ความตาย หลังจากนั้นก็แต่งหน้าเธอให้เป็นตัวตลกหรือโจ๊กเกอร์ ก่อนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

โดชิกและมินโฮไปพบตำรวจที่รับผิดชอบคดีดังกล่าวเพื่อสอบถามข้อมูลแต่ก็คว้าน้ำเหลว ตำรวจคนดังกล่าวเล่าว่า ในตอนนั้นตนตามแกะรอยคนร้ายเป็นเวลา 3 เดือนเต็มแต่ก็ไม่พบเบาะแสใดๆ แม้เวลาจะผ่านไปนานนับ 10 ปีแล้วแต่คดีนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้า ทำให้กลายเป็นคดีค้างเก่าที่ยังปิดไม่ลงและเป็นฝันร้ายของนายตำรวจคนดังกล่าว  (จีฮุนเองก็เคยมาสืบหาข้อมูลกับตำรวจนายนี้แล้ว)

ในเวลาเดียวกันนั้นเยรีก็ออกไปสืบหาข้อมูลจากแม่ของเหยื่อสาว ซึ่งแม่ของเหยื่อได้ถามเธอด้วยความเจ็บปวดใจว่า ที่ตำรวจไม่จับฆาตกรมาลงโทษ เพราะเห็นว่าลูกสาวเธอทำงานในบาร์และ 'ขายบริการ' ใช่หรือไม่...


หลังจากนั้น โดชิก เยรี และมินโฮ ก็แกะรอยคดีฆาตกรรมหญิงขายบริการนามว่า "ซอง มีจู" เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน ปี 2004 ฆาตกรได้จับมีจูมัดไว้บนโต๊ะ ก่อนนำพลาสติกแร็ปมาพันรอบใบหน้าเธอจนขาดใจตาย เมื่อเยรีไปสืบหาข้อมูลจากคนใกล้ชิดของเหยื่อสาวรายนี้ ก็พบว่าหลังเกิดเหตุครอบครัวของเหยื่อได้ย้ายบ้านหนีด้วยความอับอาย หลังมีรายงานข่าวครึกโครมจนความจริงถูกเปิดเผยว่ามีจูเป็นหญิงขายบริการ เยรีรู้สึกอนาถใจที่พบว่าเพื่อนบ้านของมีจูต่างพากันตำหนิและนินทาเรื่องที่เธอขายเรือนร่าง แทนที่จะสงสารและเศร้าสลดที่เห็นเธอตกเป็นเหยื่อ

มินโฮและโดชิกพากันไปสำรวจสถานที่เกิดเหตุซึ่งเป็นอาคารร้างที่อยู่ห่างไกลชุมชน โดยมีตำรวจที่รับผิดชอบคดีนี้เมื่อ 7 ปีก่อนคอยให้ข้อมูล ทั้งคู่พบว่าหลังผ่านไปนาน 2 เดือนแต่ยังไม่มีใครมาพบศพ ฆาตกรจึงนำศพอันเน่าเปื่อยของมีจูไปทิ้งริมแม่น้ำฮัน (ข้ามสะพานไปทิ้งอีกฝั่ง) ซึ่งเป็นบริเวณที่ผู้คนนิยมออกมาเดินเล่นและวิ่งออกกำลังกาย  มินโฮและโดชิกพากันไปดูจุดที่พบศพมีจูเมื่อหลายปีก่อน เมื่อเห็นเสาไฟฟ้าแรงสูงมินโฮก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาถามโดชิกว่าเหยื่อรายต่อไปถูกถุงดำคลุมใบหน้าจนขาดใจตายใช่ไหม หลังจากนั้นมินโฮก็รีบวิ่งไปที่จุดให้เช่ารถจักรยาน และปั่นจักรยานนำไปยังจุดที่พบศพเหยื่อสาวรายต่อไป โดชิกสงสัยว่ามินโฮรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร มินโฮจึงบอกว่าในตอนนั้นเขาเองก็อยู่ที่นี่ด้วย (ตอนนั้นมินโฮยังเป็นนักศึกษา พอได้ยินว่ามีผู้พบศพเขาก็รีบปั่นจักรยานมาดูและถ่ายรูปเก็บไว้) 


คดีที่ว่านี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 กันยายน ปี 2004 ผู้ตกเป็นเหยื่อชื่อ "ชเว ฮยอนจอง" เธอมาทำงานที่บาร์แห่งหนึ่งในกรุงโซลโดยโกหกทางบ้านว่ามาเรียนหนังสือและทำงานพาร์ทไทม์ สมัยที่ยังมีชีวิตฮยอนจองจะส่งเงินไปให้ทางบ้านเป็นประจำทุกเดือน แต่แล้วอยู่ๆ เธอก็ขาดการติดต่อและหายตัวไป ทางบ้านจึงออกตามหากันจ้าละหวั่น กระทั่งมีผู้พบศพเธอในที่สุด พอรู้ว่าลูกสาวเพียงคนเดียวถูกฆาตกรรม มิหนำซ้ำเงินที่ลูกส่งมาให้ใช้ทุกเดือนคือรายได้จากการขายตัว พ่อของฮยอนจองก็ผูกคอตาย ส่วนผู้เป็นแม่ก็อยู่ในสภาพเหมือนตายทั้งเป็นและยังคงไปยืนที่หน้าสถานีตำรวจทุกวันเพื่อทวงความเป็นธรรมให้ลูกสาว

คดีของมีจูและฮยอนจองเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน แถมจุดเกิดเหตุและสถานที่ทิ้งศพก็อยู่ในละแวกเดียวกัน เพียงแต่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของคนละโรงพัก  (ข้อมูลทั้งหมดนี้ล้วนปรากฏในบันทึกของจีฮุน ซึ่งหมายความว่าโดชิกและมินโฮยังไม่พบข้อมูลใหม่)  มินโฮบอกให้โดชิกไปหาข้อมูลที่โรงพักอีกแห่ง (ซึ่งรับผิดชอบคดีของฮยอนจอง) ก่อน ส่วนตนจะตามไปที่หลัง จากนั้นก็รีบปั่นจักรยานออกไป เมื่อหยิบแฟ้มขึ้นมาดูว่าโรงพักแห่งใดรับผิดคดีของฮยอนจอง โดชิกก็ถึงกับอึ้ง เพราะเป็นโรงพักที่เขาเคยทำงานในช่วงที่เกิดเหตุฆาตกรรมดังกล่าวพอดี


มินโฮกลับไปที่บ้านเพื่อตรวจสอบว่าภาพศพหญิงสาวที่ตนถ่ายไว้เมื่อ 7 ปีก่อนคือฮยอนจองใช่หรือไม่ หลังจากนั้น เขาก็ดึงรูปหนึ่งออกมาจากอัลบั้มแล้วพกติดตัวไปด้วย... โดชิกเจออดีตเพื่อนร่วมงานที่โรงพักซอชูจึงสอบถามว่าใครรับผิดชอบคดีของฮยอนจอง และแล้วเขาก็ถึงกับช็อคเมื่อพบว่าผู้ที่รับผิดชอบคดีนี้เมื่อ 7 ปีก่อนก็คือ 'ตัวเขาเอง'  หลังอึ้งไปสักพัก โดชิกก็นึกถึงภาพความทรงจำในอดีต ในตอนนั้น เขานั่งดูแฟ้มคดีของฮยอนจองที่ไม่มีความคืบหน้า แล้วบ่นกับตัวเองอย่างเหลืออดว่าไม่อยากเห็นศพอีกต่อไป เขาจึงคิดที่จะขอย้ายไปทำงานที่คังวอนและจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก

เมื่อเยรีมาถึงสถานีตำรวจซอชู เธอก็พบว่าแม่ของฮยอนจองยังคงยืนถือป้ายเรียกร้องความเป็นธรรมให้ลูกสาวที่ประตูทางด้านหน้า พอเห็นภาพเหยื่อสาว เยรีก็ถึงกับตกตะลึง เธอจำได้ว่าเมื่อ 7 ปีก่อนแม่ของฮยอนจองเคยนำประกาศคนหายมาแจกให้เธอและคนที่เดินผ่านไปมา (ในตอนที่ 8 ของภาคที่แล้ว - ขณะนั้นเยรียังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย) แต่เธอก็นำประกาศดังกล่าวทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ไยดี (เช่นเดียวกับคนอื่นๆ) 


โดชิก เยรี และมินโฮ ต่างก็มาพบกันที่หน้าประตูทางเข้าสถานีตำรวจซอชู ซึ่งเป็นจุดที่แม่ของฮยอนจองยืนเรียกร้องความเป็นธรรมให้ลูกสาวมาตลอด 7 ปี  ในที่สุด พวกเขาก็พบว่าคดีเอฟไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำ 3 คำ (Friday + Face + Female) เท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของ 'ความทรงจำที่ถูกลืม' ของพวกตน ทุกคนในทีมเท็นล้วนมีอดีตที่เกี่ยวพันกับคดีของฮยอนจองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

โดชิกกล่าวว่า ความจริงแล้วคดีเอฟไม่ได้ยากเกินกว่าจะคลี่คลาย แต่สาเหตุที่ยังปิดคดีไม่ได้เป็นเพราะทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างพากันลืมมัน แม้แต่ตำรวจที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ก็ยังเก็บแฟ้มคดีเข้ากรุโดยไม่คิดเหลียวแล...โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเขาเอง  เยรีเสริมว่า ทุกคนลืมเรื่องนี้กันหมดแต่ครอบครัวผู้สูญเสียยังจมอยู่กับรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียคนรักโดยไม่รู้ว่าฆาตกรเป็นใคร พวกเขายังคงรอคอยให้เจ้าหน้าที่จับคนร้ายมาดำเนินคดี แม้จะเฝ้ารออย่างสิ้นหวังมานานถึง 7 ปีแล้วก็ตาม

ที่ผ่านมา จีฮุนเป็นความหวังเดียวของครอบครัวผู้สูญเสีย เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ตามแกะรอยฆาตกรเอฟอย่างไม่ลดละตลอดระยะเวลา 7 ปี นับแต่นี้การคลี่คลายคดีเอฟจะไม่ใช่ภาระอันหนักอึ้งของจีฮุนเพียงคนเดียวอีกต่อไป แต่เป็นภาระหน้าที่ของทุกคนในทีมที่จะต้องช่วยกันคลี่คลายคดีเคียงข้างจีฮุน  (ภาพที่มินโฮพกติดตัวมาด้วย เป็นภาพสถานที่พบศพฮยอนจอง ซึ่งมีจีฮุนปรากฏอยู่ในภาพด้วย) 

- Away 



หลังเสร็จสิ้นการตามรอยคดีเอฟที่เกิดขึ้นในกรุงโซลแต่ไม่พบข้อมูลเพิ่มเติมใดๆ โดชิก เยรี และมินโฮ ก็เริ่มสืบซ้ำในคดีฆาตกรรม "เทปกาว" ซึ่งเกิดขึ้นที่เมืองแดชอน โดยคดีแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 กันยายน ปี 2004 (หลังใช้เวลาแกะรอยคนร้ายนาน 3 เดือน และเปลี่ยนทีมสอบสวนมาแล้ว 2 ครั้ง คดีดังกล่าวก็ยังไม่มีความคืบหน้า  จีฮุนซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาในกรุงโซลจึงถูกเรียกตัวมาช่วยคลี่คลายคดีนี้) โดชิกชวนเยรีขึ้นรถไฟความเร็วสูงชั้นเฟิร์สคลาสไปยังเมืองแดชอน เพื่อสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับคดีดังกล่าว ส่วนมินโฮให้อยู่ที่กรุงโซลเพื่อตรวจหาจุดบกพร่องและข้อมูลที่ขาดหายไป โดยอ้างว่าตั๋วรถไฟมีราคาแพงมาก และเขาก็เห็นความสามารถดังกล่าวในตัวมินโฮ  (โดชิกเปรียบความสามารถในการตรวจสอบหลักฐานและข้อมูลของมินโฮว่าเหมือนมีวัวนำโชคอยู่ในตัว กล่าวคือ มักเจอข้อมูลสำคัญแบบโชคช่วย)



หลังพาโดชิกไปดูห้องเช่าที่เหยื่อสาวถูกฆาตกรรมเมื่อ 7 ปีก่อนแล้ว  ตำรวจสืบสวนสอบสวนที่รับผิดชอบคดีฆาตกรรม "เทปกาว" ในเมืองแดชอน ก็ให้ข้อมูลว่า เหยื่อสาว "คยองมี" เป็นคนเปิดประตูให้ฆาตกรเข้ามาในห้อง เพราะไม่ปรากฏร่องรอยงัดแงะ ที่ประตู และเขาก็น่าจะเป็นคนที่เธอกำลังคบหา ครั้นพอเข้ามาในห้องแล้วเขาก็ทำร้ายเธอจากทางด้านหลัง ที่น่าแปลกก็คือ ไม่เคยมีใครเห็นหน้าชายคนดังกล่าว จึงเชื่อได้ว่าเขาน่าจะมีความชำนาญในการอำพรางตัวและยังคงแฝงตัวอยู่กับคนทั่วไป เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวยังบอกด้วยว่า ปกติแล้วคดีลักษณะนี้จะใช้เวลาในการคลี่คลายเพียง 3 วัน ส่วนคดีนี้เขาใช้เวลาในการตามสืบนานกว่าหนึ่งเดือนแต่ก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ... ในเวลาเดียวกันนั้น เยรีก็ออกไปพบสาวบาร์ซึ่งเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานของคยองมี และพบว่าไม่เคยมีใครเห็นหน้าค่าตาแฟนหนุ่มของคยองมีเช่นกัน

หลังถูกทิ้งให้อยู่ในกรุงโซลตามลำพัง มินโฮก็คิดที่จะพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้โดชิกรู้ว่าตนมีความสามารถ ระหว่างนอนฟังเทปการรายงานข่าวคดีฆาตกรรมเหยื่อสาว "คยองมี" ของสำนักข่าวแห่งหนึ่งเมื่อ 7 ปีก่อน มินโฮก็พบข้อมูลสำคัญที่จีฮุนไม่ได้ระบุไว้ในแฟ้มคดีเอฟ ผู้ประกาศสาวคนดังกล่าวอ้างแหล่งข่าววงในจาก 'สำนักงานตำรวจ' โดยระบุว่าคดีนี้เป็นฝีมือของ 'ฆาตกรต่อเนื่อง' จนทำให้กลายเป็นข่าวครึกโครม



เมื่อโดชิกและเยรีกลับมาถึงออฟฟิศที่กรุงโซล มินโฮก็เปิดเทปข่าวดังกล่าวให้ทั้งคู่ฟังด้วยความภาคภูมิใจ หลังจากนั้นก็อธิบายว่า ตำรวจเป็นคนให้ข้อมูลนักข่าวว่าคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้น (คดีเอฟ) เป็นฝีมือของฆาตกรต่อเนื่อง และตนก็ใช้เวลาในการเช็คข้อมูลครึ่งวันจนรู้ว่ามีนักข่าวหนังสือพิมพ์ 2 คน (โอ จีวู และปาร์ก ซูจิน) ที่เขียนข่าวเกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่อง เขายังบอกด้วยว่าสิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ข้อมูลเหล่านี้ไม่มีการกล่าวถึงในบันทึกของจีฮุน และนี่ก็คือสิ่งที่จีฮุนหาไม่เจอ (แต่เขาหาเจอ)

เมื่อเห็นโดชิกและเยรีมองตนด้วยสายตาว่างเปล่า มินโฮก็เริ่มเสียความมั่นใจและชักไม่แน่ใจว่าข้อมูลที่พบสำคัญจริงหรือไม่ โดชิกหัวเราะลั่นแล้วยืนยันว่ามินโฮพบข้อมูลสำคัญจริงๆ เพียงแต่ว่าเป็นคนละประเด็นกับที่มินโฮคิด โดชิกถามมินโฮว่าใครเป็นคนให้ข่าว มินโฮบอกว่าตนติดต่อขอข้อมูลไปแล้วแต่ต้องใช้เวลานิดหน่อย โดชิกสรุปประเด็นสำคัญของการค้นพบในครั้งนี้ให้ทุกคนฟังว่า ที่จีฮุนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเป็นเพราะเขารู้ว่าฆาตกรเอฟอาจเป็นคนที่อยู่ในสำนักงานตำรวจ เพราะเมื่อ 7 ปีก่อนมีเพียง 2 คนในโลกที่รู้ว่าคดีเอฟเป็นฝีมือของฆาตกรต่อเนื่อง ซึ่งก็คือ จีฮุน และตัวฆาตกรเอฟเอง หากตำรวจเป็นคนให้ข้อมูลนักข่าวก็เท่ากับว่า...ฆาตกรเอฟเป็นตำรวจ!

ทันใดนั้น มินโฮก็ได้รับข้อความทางโทรศัพท์ ทุกคนจึงรีบตรงไปที่สำนักงานตำรวจทันที มินโฮนำแฟ้มรายชื่อตำรวจทั้งหมดที่นักข่าวโอ จีวู และปาร์ก ซูจิน ติดต่อในช่วงที่เกิดคดีเอฟมาให้โดชิกและเยรีดู (แยกเป็น 2  แฟ้ม) ปรากฏว่านักข่าวทั้งสองคนมีแหล่งข่าว (ตำรวจ) ที่ไม่ซ้ำกัน โดชิกนั่งดูแฟ้มหนึ่งแล้วพบว่ามีรายชื่อตำรวจที่พวกตนคุ้นเคยจึงชวนเยรีให้ออกไปพบตำรวจคนดังกล่าวกับตน และสั่งให้มินโฮตรวจสอบรายชื่อตำรวจในแฟ้มที่สองว่าใครน่าจะเป็นคนปล่อยข่าว


ปรากฏว่าตำรวจที่โดชิกและเยรีไปพบคือหัวหน้าจอง (ซึ่งเป็นหัวหน้าของจีฮุน) เมื่อรู้ว่าทั้งคู่มาดักรอตนที่หน้าบ้านกลางดึกเพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับคดีเอฟ หัวหน้าจองก็พูดดักคอว่าตอนนี้ทีมเท็นถูกยุบและสมาชิกทุกคนก็กลับไปประจำยังตำแหน่งเดิมแล้วไม่ใช่หรือ โดชิกถามกลับว่าเขาจำหมายเลข 011-765-9871 ได้หรือเปล่า หัวหน้าจองตอบว่า นั่นเป็นเบอร์โทรศัพท์เก่าของตน  โดชิกถามต่อว่า ทำไมหัวหน้าจองถึงบอกนักข่าวว่าคดีฆาตกรรมเทปกาวที่แดชอนเป็นฝีมือฆาตกรต่อเนื่อง และทำไมคืนที่ทีมสอบสวนพิเศษจัดฉากล่อฆาตรกรให้มาติดกับจนมีหญิงสาวเสียชีวิตอีก 1 คน (คนรักของจีฮุน) หัวหน้าจอง (ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมในวันนั้น) ถึงไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ หัวหน้าจองไม่ยอมตอบคำถามโดยอ้างว่าโดชิกไม่ได้รับผิดชอบคดีนี้และไม่ใช่สมาชิกทีมเท็นอีกต่อไปแล้ว  โดชิกคิดอยู่แล้วว่าตนคงไม่ได้คำตอบเขาจึงขอตัวกลับ แต่อย่างน้อยเยรีซึ่งมีความสามารถพิเศษในการจับผิดคนโกหก ก็จับได้ว่าหัวหน้าจองแอบปิดบังอะไรบางอย่าง

มินโฮโทรฯ แจ้งโดชิกว่า ตำรวจอีกคนที่น่าจะเป็นผู้ปล่อยข่าวให้นักข่าวหนังสือพิมพ์อีกฉบับคือ ชเว มินวู... โดชิก เยรี และมินโฮ จึงนัดพบนักข่าวปาร์กเพื่อสอบถามว่าตำรวจที่ให้ข่าวเกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่องคือเจ้าหน้าที่ชเวจริงหรือไม่ (เยรีและมินโฮแยกไปนั่งสังเกตการณ์อีกโต๊ะหนึ่ง) ตอนแรกนักข่าวปาร์กไม่ยอมให้ความร่วมมือ แต่พอโดชิกขู่ว่านักข่าวปาร์กและเจ้าหน้าที่ชเวอาจติดร่างแหในคดีรับสินบน นักข่าวปาร์กจึงยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี เธอบอกว่าแม้ตนจะสนิทสนมและไปพบเจ้าหน้าที่ชเวที่สำนักงานตำรวจบ่อยครั้งในช่วงที่เกิดคดีฆาตกรรม แต่เจ้าหน้าที่ชเวไม่ได้ให้ข้อมูลเรื่องฆาตกรต่อเนื่องกับเธอ ความจริงแล้วเธอแอบได้ยินตำรวจนายหนึ่งบอกเจ้าหน้าที่ชเวว่า คดีดังกล่าวเป็นฝีมือของฆาตกรต่อเนื่องและตำรวจคนที่ว่าก็คือ "ยอ จีฮุน"

ทุกคนต่างพากันอึ้งเมื่อรู้ความจริงในเรื่องดังกล่าว โดชิกตั้งข้อสังเกตว่าจีฮุนอาจใช้ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างเจ้าหน้าที่ชเวและนักข่าวปาร์กเป็นเครื่องมือในการปล่อยข่าวเรื่องฆาตกรต่อเนื่อง เพื่อให้กลายเป็นข่าวครึกโครมและเป็นที่สนใจของประชาชน ตำรวจจะได้กระตือรือร้นและหยิบคดีค้างเก่าที่ยังปิดไม่ลงมาปัดฝุ่นอีกครั้ง ทั้งยังเป็นการปูทางให้ตน (จีฮุน) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสืบสวนคดีอาชญากรรมได้เข้ามามีส่วนร่วมในการคลี่คลายคดีอย่างเป็นทางการ แต่ปัญหาก็คือ ใครกันแน่ที่เป็นคนปล่อยข่าวให้หนังสือพิมพ์ฉบับแรก แม้จะยังหาคำตอบในเรื่องนี้ไม่ได้ แต่พวกเขาก็ยังมีคดีถัดไปที่จะต้องไขปริศนา และนั่นก็คือคดีฆาตกรรม "ห้อง 101" ซึ่งเหยื่อสาวมีชื่อว่า "จอง ฮีจู" (คนรักของจีฮุน)  โดชิกมองรูปฮีจูบนชาร์ทแล้วสงสัยว่า คดีนี้จีฮุนให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ แต่ทำไมถึงไม่มีข้อมูลใดๆ ปรากฏอยู่ลย

- Death and the Maiden (หญิงสาวกับความตาย)


มินโฮรีบไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ๆ ฮีจูถูกฆาตกรรมที่ (ณ ห้อง 101) เมื่อ 7 ปีก่อน และยังเป็นจุดที่พบศพเหยื่อสาวรายล่าสุดอีกด้วย (จีฮุนหายตัวไปหลังเกิดเหตุฆาตกรรมครั้งล่าสุดนี้) เขารู้ตัวว่าตนเองมาสายเลยถามเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เฝ้าอยู่ทางด้านหน้าว่าตำรวจหัวล้านมาถึงแล้วหรือยัง เมื่อรู้ว่าวันนี้ยังไม่มีใครมาสำรวจที่นี่สักคนมินโฮก็รู้สึกโล่งใจ แต่พอเดินไปที่ห้อง 101 เขาก็ได้ยินเสียงเพลงคลาสสิกดังมาจากข้างใน แถมเทปสีเหลืองที่ตำรวจวางกั้นหน้าประตูยังหลุดออก เขาจึงถือปืนในท่าเตรียมพร้อมแล้วค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปข้างใน ปรากฏว่าโดชิกกำลังนอนฟังเพลงคลาสสิกอยู่บนเตียงที่เหยื่อสาวเคยนอนก่อนหน้านี้

มินโฮสงสัยว่าโดชิกเข้ามาในห้อง 101 โดยที่ตำรวจทางด้านล่างไม่รู้ได้ยังไง โดชิกตอบว่ามาได้ยังไงไม่สำคัญเท่ามาเมื่อไหร่ เขาตั้งข้อสังเกตว่าหากตำรวจมาดักจับฆาตกรที่นี่แล้วไม่พบว่ามีความผิดปกติใดๆ  แสดงว่าคนร้ายและเหยื่อจะต้องมาถึงก่อนตำรวจ (เหมือนตน) แต่ปัญหาก็คือ ฆาตกรหนีออกไปอย่างลอยนวลได้อย่างไร ทั้งคู่สันนิษฐานว่าตอนที่สัญญาณเตือนไฟไหม้ดังขึ้นในวันนั้น ฆาตกรจะต้องหลบหนีโดยแฝงตัวอยู่ในกลุ่มแขกหรือไม่ก็ตำรวจ โดชิกสั่งให้มินโฮรีบตรวจสอบหลักฐานว่าก่อนเกิดเหตุหนึ่งวันและในวันเกิดเหตุมีใครอยู่ในโรงแรมและอยู่จุดไหนกันบ้าง (ไม่เว้นแม้กระทั่งตำรวจ)

* เมื่อ 7 ปีก่อน จีฮุนถูกเรียกตัวให้มาช่วยคลี่คลายคดีฆาตกรรม เขาใช้หญิงสาวที่เคยตกเป็นเหยื่อของฆาตกรเอฟและเป็นผู้รอดชีวิตเพียงรายเดียว มาเป็นเหยื่อล่อให้ฆาตกรเอฟติดกับที่โรงแรมแห่งนี้ เพราะเป็นสถานที่ๆ ฆาตกรเอฟเคยพยายามฆ่าเหยื่อสาวคนดังกล่าวแต่ทำไม่สำเร็จ  สุดท้ายคนรักของเขากลับตกเป็นเหยื่อเสียเอง แถมฆาตกรยังหลบหนีไปได้อย่างลอยนวล


ในเวลาเดียวกันนั้น เยรีก็ไปพบครอบครัวของฮีจูเพื่อสอบถามข้อมูล เธอพบว่าทุกอย่างภายในบ้านยังคงตกแต่งเหมือนตอนที่ฮีจูยังมีชีวิตอยู่ ทั้งพ่อและแม่ของฮีจูต่างยังจมอยู่กับความทุกข์เช่นเดียวกับครอบครัวของผู้สูญเสียรายอื่นๆ ที่เธอไปพบก่อนหน้า ซ้ำร้ายพ่อของฮีจู (อดีตตำรวจ) ยังนั่งอยู่บนวีลแชร์ในสภาพเหมือนคนไร้วิญญาณอีกด้วย แม่ฮีจูเล่าว่าก่อนตายฮีจูออกไปเล่นไวโอลินกับกลุ่มอาสาสมัครตามปกติ เช้าวันนั้นอากาศค่อนข้างเย็นเธอเลยบอกให้ฮีจูสวมเสื้อคลุมหนาๆ แต่ฮีจูไม่เชื่อฟัง เธอกับฮีจูเลยมีปากเสียงกันเล็กน้อย หลังจากนั้นในตอนเย็นฮีจูก็โทรฯ มาบอกว่ามีนัดทานข้าวกับจีฮุน หลังจากนั้น ฮีจูก็ส่งข้อความมาหาเธอตอน 5 ทุ่ม โดยบอกว่ามีนัดอีกที่หนึ่งและไม่ต้องรอ เยรีถามย้ำว่าฮีจูไม่ได้โทรฯ มาหาแต่ส่งข้อความมาบอกแทนหรือ แม่ของฮีจูยืนยันว่าข้อความสุดท้ายที่ได้รับจากลูกสาวคือคำว่า  'ไม่ต้องรอ'

เยรีเข้าไปสำรวจภายในห้องของฮีจูซึ่งยังอยู่ในสภาพเดิมทุกอย่าง  ภายในห้องมีภาพถ่ายหลายใบรวมทั้งภาพของฮีจูกับจีฮุน (เยรีถ่ายรูปสิ่งของต่างๆ ภายในห้องเอาไว้ด้วย) เยรีหยิบแผ่นเสียงเพลงควอร์เต็ตหมายเลข 14 ชื่อ  'Death and the Maiden' (หญิงสาวกับความตาย) ของศิลปินชาวออสเตรีย "ฟรันซ์ ชูแบร์ท" ขึ้นมาดูและพบว่าจีฮุนมอบเป็นของขวัญวันเกิดครบรอบ 27 ปีแก่ฮีจู  เยรีลองเปิดแผ่นฟังพลางเดินสำรวจไปรอบๆ ห้อง นอกจากแผ่นเสียงและโน๊ตเพลงแล้ว เธอพบภาพวาด  'Death and the Maiden' 2 ภาพ ซึ่งเป็นผลงานของจิตรกรดังระดับโลกชาวออสเตรียและเยอรมัน  (Egon Schiele และ Hans Baldung Grien) อีกด้วย


มินโฮโทรฯ รายงานโดชิกว่า ตนตรวจสอบพิกัดและรายชื่อผู้ที่อยู่ในโรงแรมในคืนวันเกิดเหตุ (เมื่อ 7 ปีก่อน) แล้วแต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ  ที่สำคัญ จีฮุนเองก็เคยตรวจสอบเรื่องนี้มาก่อนหน้าตนแล้ว โดชิกสั่งให้มินโฮลองตรวจดูอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พบผู้ต้องสงสัยเลย มินโฮหงุดหงิดเมื่อรู้ว่าโดชิกกำลังเคี้ยวบะหมี่ตุ้ยๆ ขณะที่ตนมัวแต่ทำงานจนไม่มีเวลาทานข้าว เขาจึงคิดที่จะออกไปหาอะไรทานบ้าง แต่แล้วอยู่ๆ มินโฮก็ฉุกคิดอะไรขึ้นได้บางอย่างเขาจึงหันหลังกลับไปมองแผนผังบนผนังอีกครั้ง แล้วบอกตนเองว่ามีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ปรากฏหลักฐานชี้ชัดว่าอยู่ ณ ที่ใดในขณะเกิดเหตุ

โดชิกยังคงอยู่ในโรงแรมเพื่อวิเคราะห์ถึงวิธีหลบหนีของฆาตกรเอฟ ว่าหลังจากไฟฟ้าดับและสัญญาณเตือนไฟไหม้ดังขึ้นแล้ว ฆาตกรหนีออกไปโดยไม่ถูกตำรวจจับและไม่ถูกกล้องวงจรปิดบันทึกภาพขณะออกจากห้องได้อย่างไร ในที่สุด โดชิกก็ไขปริศนาได้ว่า ขณะที่ไฟดับและสัญญาณไฟไหม้ดัง ฆาตกรไม่ได้อยู่ในห้อง 101 (ซึ่งพบศพฮีจู) แต่เขากดสัญญาณเตือนไฟไหม้เพื่อสร้างความปั่นป่วนจากจุดอื่นภายในโรงแรม (ทุกชั้นทุกห้องของโรงแรมล้วนมีสัญญาณเตือนไฟไหม้) 


เยรีนัดพบเพื่อนร่วมวงดนตรี "ฮานึล" ของฮีจูซึ่งร่วมเล่นดนตรีกับเธอก่อนตาย และพบว่าฮานึลเป็นวงของโบสถ์คาทอลิคซึ่งเป็นที่รวมตัวของสมาชิกครอบครัวที่สูญเสียคนรักจากเหตุฆาตกรรมโดยฮีจูจะไปเล่นไวโอลินที่นั่นเดือนละครั้ง เยรีถามว่าฮีจูชอบเพลง Death and the Maiden ใช่หรือไม่ เพื่อนฮีจูปฏิเสธและตอบว่าแฟนฮีจู (จีฮุน) ต่างหากที่ชอบเพลงดังกล่าว

เมื่อเยรีกลับมาที่ออฟฟิศเฉพาะกิจของทีมเท็นก็พบว่า โดชิกกำลังเช็คภาพจากกล้องวงจรปิดที่โรงแรม (ภาพเมื่อ 7 ปีก่อน) เขาเชื่อว่าฆาตกรเอฟอยู่ในโรงแรมก่อนที่ตำรวจจะวางกับดักนานแล้ว เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในห้อง 101 ตอนที่สัญญาณไฟไหม้ดัง โดชิกและเยรีช่วยกันตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดและพบเงาชายต้องสงสัยสวมเสื้อฮู้ดเดินลงบันไดมาจากชั้น 3 ช้าๆ ขณะที่คนอื่นๆ ต่างวิ่งลงบันไดอย่างแตกตื่น แต่ชายคนดังกล่าวอยู่ในโรงแรมเพียง 21 นาทีและมาเพียงคนดียว นอกจากนี้ โดชิกยังพบว่ามีชาย 2 คนเข้าพักตามลำพังบนชั้น 3 แต่ไม่มีรายงานการสอบสวน


มินโฮกลับมาที่ออฟฟิศด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก โดชิกบอกมินโฮว่าตนเพิ่งพบข้อมูลสำคัญ เขายังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ  มินโฮก็วางเอกสารลงบนโต๊ะแบบเซ็งๆ แล้วบอกว่าข้อมูลที่ตนพบสำคัญกว่า เขาบอกโดชิกและเยรีว่า คนเดียวที่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าอยู่ ณ จุดใดในโรงแรมกันแน่ทั้งก่อนและในขณะเกิดเหตุก็คือ จีฮุน เยรีเสริมว่า แม่และเพื่อนของฮีจู (เหยื่อสาว) บอกว่าวันเกิดเหตุฮีจูนัดทานข้าวเย็นกับจีฮุน

โดชิกไม่อยากจะเชื่อว่ามินโฮคิดตรวจสอบจีฮุน มินโฮกล่าวว่า ตอนแรกตนก็แค่ลองเช็คเล่นขำๆ แต่หลังตรวจสอบแล้วกลับพบว่า ที่ผ่านมาจีฮุนมักลาหยุดหรือออกไปทำงานภาคสนามในวันศุกร์ โดชิกตำหนิมินโฮที่สงสัยว่าจีฮุนเป็นฆาตกรเอฟ ทั้งๆ ที่จีฮุนเป็นคนเดียวที่ออกไล่ล่าฆาตกรเอฟมาตลอด 7 ปี มินโฮกล่าวว่าตนก็แค่พูดไปตามหลักฐาน และยังบอกด้วยว่าจีฮุนส่งข้อความไปยังสถานีโทรทัศน์เพื่อขอเพลงคลาสสิกก่อนเกิดเหตุไม่กี่วัน (สถานีดังกล่าวถ่ายทอดภาพการบรรเลงเพลงของวงดนตรีคลาสสิกและสามารถขอเพลงได้) ทันใดนั้น เขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ขณะเกิดเหตุทีวีในห้อง 101 กำลังบรรเลงเพลงคลาสสิกพอดี

เยรีรีบตรวจสอบเว็บไซต์รายการเพลงคลาสสิกที่ออกอากาศทางสถานีดังกล่าว และพบว่าตอนที่ฮีจูถูกฆาตกรรม รายการดังกล่าวเล่นเพลง 'Death and the Maiden' ตามคำขอของจีฮุน เธอจึงบอกทุกคนว่า นี่เป็นเพลงโปรดของจีฮุน โดชิกเปิดดูภาพจีฮุนที่ปรากฏในกล้องวงจรปิดอีกครั้ง แล้วกล่าวว่าคนร้ายมีความชำนาญด้านการอำพรางตัว และแฝงตัวเป็นตำรวจสืบสวนที่ออกไล่ล่าฆาตกรต่อเนื่อง


ในขณะที่ทุกคนต่างพากันสงสัยว่าจีฮุนอาจเป็นฆาตกรเอฟ ทีมสอบสวนพิเศษ (ที่ได้รับมอบหมายให้ตามสืบคดีเอฟแทนทีมเท็น) ก็บุกเข้ามาจับตัวทั้งสามคนไปสอบสวน  แม้โดชิก เยรี และมินโฮ จะถูกแยกห้องสอบสวน แต่ทุกคนก็ถูกถามในทำนองเดียวกันว่ารู้จักจีฮุนดีแค่ไหน ไม่เคยสงสัยเลยหรือว่าทำไมจีฮุนถึงเลือกทุกคนให้เข้ามาอยู่ในทีมเท็น และรู้หรือไม่ว่าจีฮุนเช็คประวัติของแต่ละคนมาก่อนแล้ว ปรากฏว่าไม่มีใครยอมตอบคำถาม หัวหน้าทีมสอบสวนถามโดชิกว่า จีฮุนอยู่ที่ไหน โดชิกจึงบอกให้หัวหน้าทีมสอบสวนกลับไปทำหน้าที่ของตนแทนที่จะมานั่งถามคนอื่นว่าจีฮุนอยู่ที่ไหน


หลังจากนั้น โดชิก เยรี และมินโฮ ก็ถูกนำตัวมาดูภาพจากกล้องหน้ารถที่จอดอยู่ริมตึกฝั่งตรงข้ามอพาร์ทเมนท์ของ "คิม มินฮี" ซึ่งเป็นเหยื่อสาวรายล่าสุด (หลังเกิดคดีนี้จีฮุนก็หายตัวไป) ปรากฏว่าชายต้องสงสัยที่กำลังเดินออกจากบ้านของเหยื่อสาวก็คือ...ยอ จีฮุน!


หมายเหตุ: กล้องวงจรปิดบันทึกภาพดังกล่าวก่อนพบศพมินฮีที่ห้อง 101 ไม่กี่ชั่วโมง (เธอเสียชีวิตก่อนที่จีฮุนจะไปพบ แต่กลับถูกพบศพในโรงแรม ห้อง 101 ซึ่งเป็นที่เดียวกับตอนที่พบศพแฟนสาวของจีฮุนเมื่อ 7 ปีก่อน)

* เนื้อหาโดย luvasianseries


นักแสดงนำ




จู ซังวุค
รับบท ยอ จีฮุน




คิม ซังโฮ
รับบท เบ็ค โดชิก




โจแอน
รับบท นัม เยรี




ชเว อูชิก
รับบท ปาร์ก มินโฮ


* ภาพจากโอซีเอ็น






*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ1 มกราคม 2557 เวลา 12:37

    TENภาค2นี้ไม่มีซับไทยให้ดู ต้องดูซับอังกฤษ พอได้อ่านเรื่องย่อ(ตอน1)นี้ด้วยช่วยให้เคลียร์ขึ้นเยอะเลยค่ะ
    ขอบคุณนะคร๊าาา.....ไม่รู้จะมีตอนอื่นๆด้วยมั้ย จะรอติดตามนะค่ะ

    ตอบลบ

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา