กำกับ: คิม ชอลกยู
เขียนบท: ชเว ยุนจอง
แนวละคร: โรแมนติก, คอมเมดี้, การแพทย์
จำนวนตอน: 21
ออกอากาศ: เกาหลี - วันที่ 24 มกราคม 2557 - 5 เมษายน 2557 ทาง tvN
ไทย - ทุกวันพุธ-ศุกร์ เวลา 20.25 - 22.10 น. ทางพีพีทีวี ออกอากาศวันที่ 29 ตุลาคม 2557 - 28 พฤศจิกายน 2557
เรื่องย่อ
ละคร "Emergency Couple ปักเข็มรัก สลักใจเธอ" นำเสนอเรื่องราวของคู่รักที่แต่งงานแบบสายฟ้าแล่บขณะยังเป็นนักศึกษาแพทย์และนักโภชนาการ โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านจากครอบครัว หลังใช้ชีวิตร่วมกันได้ไม่นานทั้งคู่ก็มีอันต้องหย่าร้างเพราะมีปากเสียงกันเป็นประจำ หลังผ่านไปนาน 6 ปี ทั้งคู่โคจรมาพบกันอีกครั้งในฐานะ 'อินเทิร์น' (นักเรียนแพทย์ที่เรียนจบแล้ว และกำลังฝึกปฏิบัติงานเพิ่มเติมในโรงพยาบาลภายใต้การดูแลของแพทย์รุ่นพี่) ประจำห้องฉุกเฉิน... มาลุ้นกันว่าการกลับมาพบกันของทั้งคู่ในครั้งนี้จะทำให้ถ่านไฟเก่าลุกโชนจนกลับมาเป็นคู่สามีภรรยาอีกครั้งได้หรือไม่
ละครเริ่มต้นขึ้นบนถนนย่านใจกลางเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่าน "โอ ชางมิน" และ "โอ จินฮี" ซึ่งอยู่ในชุดเจ้าบ่าวและเจ้าสาว จูงมือกันวิ่งฝ่าฝูงชนเพื่อหนีการไล่ล่าของชายสูทดำ 2 คน ชางมินพาจินฮีบุกเข้าไปในโบสถ์ระหว่างที่บาทหลวงกำลังเทศนา และขอให้บาทหลวงช่วยทำพิธีแต่งงานให้เดี๋ยวนั้น เมื่อบาทหลวงถามย้ำว่าเอาจริงหรือ ชางมินก็นำสคริปต์ที่เตรียมมาเสร็จสรรพไปมอบให้กับบาทหลวง หลังจากนั้นก็หันไปขอโทษและขอความเห็นใจจากบรรดาผู้ที่มาฟังเทศน์ โดยบอกว่าตนและจินฮีมีความจำเป็นที่จะต้องแต่งงานกันในวันนี้ จึงขอให้ทุกคนช่วยเป็นสักขีพยานและร่วมอวยพร
แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยนักกับการแต่งงานแบบสายฟ้าแลบของทั้งคู่ แต่บาทหลวงก็ยอมทำพิธีให้โดยเริ่มจากการอ่านสคริปต์ของชางมิน
หลังทนอ่านต่อไปไม่ไหว บาทหลวงก็ถอดแว่นและตัดบทด้วยการกล่าวอวยพร หลังจากนั้น ชางมินก็สวมแหวนแต่งงานและคว้าตัวจินฮีมาจูบท่ามกลางเสียงปรบมือของผู้ที่มาฟังเทศน์
ละคร "Emergency Couple ปักเข็มรัก สลักใจเธอ" นำเสนอเรื่องราวของคู่รักที่แต่งงานแบบสายฟ้าแล่บขณะยังเป็นนักศึกษาแพทย์และนักโภชนาการ โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านจากครอบครัว หลังใช้ชีวิตร่วมกันได้ไม่นานทั้งคู่ก็มีอันต้องหย่าร้างเพราะมีปากเสียงกันเป็นประจำ หลังผ่านไปนาน 6 ปี ทั้งคู่โคจรมาพบกันอีกครั้งในฐานะ 'อินเทิร์น' (นักเรียนแพทย์ที่เรียนจบแล้ว และกำลังฝึกปฏิบัติงานเพิ่มเติมในโรงพยาบาลภายใต้การดูแลของแพทย์รุ่นพี่) ประจำห้องฉุกเฉิน... มาลุ้นกันว่าการกลับมาพบกันของทั้งคู่ในครั้งนี้จะทำให้ถ่านไฟเก่าลุกโชนจนกลับมาเป็นคู่สามีภรรยาอีกครั้งได้หรือไม่
ละครเริ่มต้นขึ้นบนถนนย่านใจกลางเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่าน "โอ ชางมิน" และ "โอ จินฮี" ซึ่งอยู่ในชุดเจ้าบ่าวและเจ้าสาว จูงมือกันวิ่งฝ่าฝูงชนเพื่อหนีการไล่ล่าของชายสูทดำ 2 คน ชางมินพาจินฮีบุกเข้าไปในโบสถ์ระหว่างที่บาทหลวงกำลังเทศนา และขอให้บาทหลวงช่วยทำพิธีแต่งงานให้เดี๋ยวนั้น เมื่อบาทหลวงถามย้ำว่าเอาจริงหรือ ชางมินก็นำสคริปต์ที่เตรียมมาเสร็จสรรพไปมอบให้กับบาทหลวง หลังจากนั้นก็หันไปขอโทษและขอความเห็นใจจากบรรดาผู้ที่มาฟังเทศน์ โดยบอกว่าตนและจินฮีมีความจำเป็นที่จะต้องแต่งงานกันในวันนี้ จึงขอให้ทุกคนช่วยเป็นสักขีพยานและร่วมอวยพร
แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยนักกับการแต่งงานแบบสายฟ้าแลบของทั้งคู่ แต่บาทหลวงก็ยอมทำพิธีให้โดยเริ่มจากการอ่านสคริปต์ของชางมิน
"เจ้าบ่าว โอ ชางมิน ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าพ่อในขณะนี้ เคยเป็นลูกศิษย์คนโปรดของพ่อตอนที่พ่อเป็นอาจารย์หมอที่มหาวิทยาลัยแพทย์และยังไม่ได้รับศีลบวช เขาเป็นนักเรียนที่หล่อและฉลาดที่สุด มักทำคะแนนสอบได้เป็นอันดับต้นๆ เสมอ..." (จินฮีและชางมินยืนขำ ขณะที่บาทหลวงทำหน้าเหมือนคลื่นไส้)
หลังทนอ่านต่อไปไม่ไหว บาทหลวงก็ถอดแว่นและตัดบทด้วยการกล่าวอวยพร หลังจากนั้น ชางมินก็สวมแหวนแต่งงานและคว้าตัวจินฮีมาจูบท่ามกลางเสียงปรบมือของผู้ที่มาฟังเทศน์
แต่หลังแต่งงานได้ไม่นานทั้งคู่ก็มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง ต่างฝ่ายต่างเครียดจนมีผลต่อสุขภาพ ทำให้ทั้งคู่ต้องไปหาหมอ (คนเดียวกัน แต่ต่างคนต่างไป) ชางมินรินน้ำครึ่งแก้วแล้วถามหมอว่า "มีน้ำแค่ครึ่งแก้วใช่ไหมครับ" หลังจากนั้นเขาก็บ่นให้หมอฟังเป็นชุด เรื่องที่ตนเองหิวน้ำจนคอแห้งแต่จินฮีกลับรินน้ำให้แค่ครึ่งแก้ว พอเขาบ่นว่าจินฮีรินน้ำให้นิดเดียว จินฮีก็เถียงว่า "มีน้ำตั้งครึ่งแก้ว" ทำให้เขาไม่พอใจมาก
ส่วนจินฮี (ซึ่งมีความเจ็บป่วยทางอารมณ์และจิตใจอย่างเห็นได้ชัด) เล่าให้หมอฟังว่า เธอไม่มีแรงแม้แต่จะเถียงชางมิน เธอรู้สึกว่าตัวเองเซื่องซึมและเฉื่อยชาลงทุกวัน เหมือนคนขึ้แพ้ที่อยู่ไปวันๆ โดยไม่มีจุดหมายในชีวิต เธอพยายามอย่างหนักที่จะมองโลกในแง่ดีแต่ก็ยังไม่สามารถคิดบวกได้ มิหนำซ้ำผมร่วงยังเป็นหย่อมๆ จนต้องใส่หมวกปิดบังเอาไว้
ชางมินเองก็บอกหมอเช่นกันว่า ตนพยายามมองโลกในแง่ดีแล้วแต่ก็ยังคิดบวกไม่ได้ เขาบ่นกับหมอว่าจินฮีเป็นคนขี้เกียจ ซื่อบื้อ แถมยังซุ่มซ่าม และไม่ยอมหางานทำ เขาเริ่มของขึ้นเมื่อเล่าให้หมอฟังเรื่องที่จินฮีชอบนำชามข้าวหมามาวางบนโต๊ะอาหารทุกเช้า ครั้นพอตนบ่นนิดๆ หน่อยๆ จินฮีก็นำหมาไปมอบให้คนอื่นฟรีๆ จากนั้นก็มานั่งกอดชามข้าวหมาร้องไห้ฟูมฟาย เขารู้สึกว่ามันไม่แฟร์ที่ตนเองต้องมีชีวิตที่เหนื่อยยากตราบจนวันตาย เพียงเพราะความงี่เง่าและไร้วินัยของคนๆ หนึ่ง
จินฮีบอกหมอว่า เธอกลัวชางมิน (ซึ่งเป็นอดีตนักศึกษาแพทย์) แอบใส่ยาขยายหลอดเลือดลงไปในอาหาร เมื่อหมอถามว่าทำไมสามีเธอถึงเลิกเรียนแพทย์ จินฮีก็เล่าว่าครอบครัวชางมินหยุดส่งเสียเพราะไม่พอใจที่เขาแต่งงานกับคนอย่างเธอ (ทุกคนในครอบครัวชางมินล้วนเป็นหมอ) ทุกวันนี้ ที่บ้านชางมินก็ยังไม่ยอมรับเธอเป็นลูกสะใภ้ และคนที่ต่อต้านเธอมากที่สุดก็คือแม่ชางมิน (พอพูดถึงแม่ชางมิน จินฮีก็ถึงกับใจสั่นและหายใจไม่ออก) จินฮียังบอกหมอด้วยว่า แม้เธอจะทานยารักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดของชางมิน แต่เธอก็ยังไม่ไว้ใจเขาอยู่ดี
ปรากฏว่าหมอคนดังกล่าวไม่ใช่จิตแพทย์แต่เป็นอายุรแพทย์ และจินฮีก็มาหาหมอเพื่อปรึกษาเรื่องผมร่วงจากความเครียด หมอจึงแนะนำให้เธอไปปรึกษาจิตแพทย์ก่อนเป็นอันดับแรก (แทนที่จะมาหาตน) ในขณะที่จินฮีเครียดจนผมร่วง ชางมินก็มาหาหมอเพราะมีอาการปัสสาวะติดขัด หมอจึงบอกว่าอาการต่อมลูกหมากโตเกิดจากความเครียดได้เช่นกัน ดังนั้น เขาจึงควรไปพบจิตแพทย์ก่อน
ปรากฏว่าหมอคนดังกล่าวไม่ใช่จิตแพทย์แต่เป็นอายุรแพทย์ และจินฮีก็มาหาหมอเพื่อปรึกษาเรื่องผมร่วงจากความเครียด หมอจึงแนะนำให้เธอไปปรึกษาจิตแพทย์ก่อนเป็นอันดับแรก (แทนที่จะมาหาตน) ในขณะที่จินฮีเครียดจนผมร่วง ชางมินก็มาหาหมอเพราะมีอาการปัสสาวะติดขัด หมอจึงบอกว่าอาการต่อมลูกหมากโตเกิดจากความเครียดได้เช่นกัน ดังนั้น เขาจึงควรไปพบจิตแพทย์ก่อน
หลังลาออกจากการเป็นนักศึกษาแพทย์ ชางมินก็เข้าทำงานที่บริษัทยา เขานัด "หมอบง" (รุ่นน้องที่ปัจจุบันเป็นศัลยแพทย์) เพื่อทำสัญญาซื้อขายยา แต่พอไปถึงหมอบงกลับขอยกเลิก พอมีคนโทรฯ เข้ามือถือ หมอบงก็ถือโอกาสตัดบทโดยบอกว่าตนต้องรีบไปผ่าตัด ชางมินรู้ว่าหมอบงโกหก จึงทั้งโกรธและรู้สึกเสียหน้าที่ถูกรุ่นน้องปฎิเสธอย่างไม่ใยดี เขาหลงคิดว่าหมอบงจะให้ความเคารพนับถือตนเองเหมือนสมัยยังเป็นนักศึกษาแพทย์ แต่หมอบงกลับแสดงท่าทีเหมือนเขาเป็นแค่เซลส์ยาคนหนึ่ง เขาจึงโวยลั่นและเอากล่องยากระแทกหัวหมอบงโทษฐานที่ไม่เห็นหัวรุ่นพี่ หมอบงปัดกล่องยาทิ้งด้วยความโมโหและโวยกลับ ชางมินเห็นดังนั้นจึงเอ่ยปากขอโทษและขอให้หมอบงลองพิจารณาใหม่อีกครั้ง แต่หมอบงบอกว่าตนไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ และแนะนำให้ชางมินไปพบผู้อำนวยการแทน
จินฮีหยิบใบหย่าในลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งออกมาดู (ชางมินลงนามแล้ว) แล้วบอกตัวเองว่านี่เป็นโอกาสสุดท้าย และเธอก็จะทำให้ดีที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย
เย็นวันนั้นชางมินตามหมองบงไปร่วมสังสรรค์กับผู้อำนวยการโรงพยาบาล และเหล่าบรรดาหมอ (ผู้ชายล้วนๆ) ที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่งเพื่อหาโอกาสนำเสนอยาตัวใหม่ ก่อนเข้าไปในห้องคาราโอเกะส่วนตัว หมอบงเตือนว่าผู้อำนวยการคนนี้เป็นแม่เสือสาวที่ชอบกินเด็กหนุ่ม ชางมินจึงต้องอดทนอดกลั้นเพื่อให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี พอเห็นหนุ่มหล่อล่ำอย่างชางมิน ผู้อำนวยการสาวใหญ่ก็น้ำลายหกและเรียกให้เขาไปนั่งข้างๆ (หมอบงเล่าเรื่องชางมินให้ผู้อำนวยการฟังก่อนหน้านี้แล้ว) ชางมินจะเอ่ยปากคุยเรื่องยา แต่ผู้อำนวยการไม่เปิดโอกาส เธอเริ่มลวนลามชางมินด้วยการลูบไล้ต้นขา และอ้างว่านี่เป็นครั้งแรกที่พบกันจึงไม่ควรคุยเรื่องเครียดๆ เธอชวนชางมินดื่มและบอกให้สนุกกันเต็มที่ เพราะหมออย่างพวกเธอเจอแต่เรื่องน่าปวดหัวมาตลอดทั้งวัน
เย็นวันนั้นชางมินตามหมองบงไปร่วมสังสรรค์กับผู้อำนวยการโรงพยาบาล และเหล่าบรรดาหมอ (ผู้ชายล้วนๆ) ที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่งเพื่อหาโอกาสนำเสนอยาตัวใหม่ ก่อนเข้าไปในห้องคาราโอเกะส่วนตัว หมอบงเตือนว่าผู้อำนวยการคนนี้เป็นแม่เสือสาวที่ชอบกินเด็กหนุ่ม ชางมินจึงต้องอดทนอดกลั้นเพื่อให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี พอเห็นหนุ่มหล่อล่ำอย่างชางมิน ผู้อำนวยการสาวใหญ่ก็น้ำลายหกและเรียกให้เขาไปนั่งข้างๆ (หมอบงเล่าเรื่องชางมินให้ผู้อำนวยการฟังก่อนหน้านี้แล้ว) ชางมินจะเอ่ยปากคุยเรื่องยา แต่ผู้อำนวยการไม่เปิดโอกาส เธอเริ่มลวนลามชางมินด้วยการลูบไล้ต้นขา และอ้างว่านี่เป็นครั้งแรกที่พบกันจึงไม่ควรคุยเรื่องเครียดๆ เธอชวนชางมินดื่มและบอกให้สนุกกันเต็มที่ เพราะหมออย่างพวกเธอเจอแต่เรื่องน่าปวดหัวมาตลอดทั้งวัน
อีกด้านหนึ่งจินฮีก็กำลังเตรียมอาหารเย็นให้ชางมิน แต่พอแม่ชางมินโทรฯ มาจินฮีก็หน้าซีดและเริ่มมีอาการของโรคแพนิค (panic attack) หรือโรคตื่นตระหนก
หลังโดนผู้อำนวยการสาวบังคับให้ดื่มเหล้าแบบแก้วชนแก้ว (เธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในห้อง) ชางมินก็เริ่มเต็มที่กับชีวิต เขาขึ้นไปร้องเพลงและเต้นรำบนโต๊ะกับผู้อำนวยการสาวอย่างแนบชิดและเมามัน ท่ามกลางเสียเชียร์ของหมอบงและบรรดาหมอคนอื่นๆ
จินฮีมัวแต่คุยกับแม่ชางมินจนลืมดูหม้อแกงกะหรี่ พอถูกแม่ชางมินวางหูใส่ จินฮีก็หันมาเห็นว่าน้ำในหม้อเดือดจนล้น เธอจะวิ่งไปปิดเตา แต่เกิดแน่นหน้าอกจนหายใจไม่ออก เธอจึงโทรฯ หาชางมินแต่ก็ติดต่อเขาไม่ได้ ในตอนนั้นชางมินกำลังเดินไปส่งผู้อำนวยการสาวที่รถ ผู้อำนวยการคว้าตัวชางมินมาหอมแก้มและบอกว่าคืนนี้เธอถูกใจชางมินมาก ชางมินรู้สึกเหมือนโดนตบหน้า เขาต้องกลายเป็นของเล่นของสาวใหญ่ ซ้ำยังโดนหยามศักดิ์ศรีต่อหน้ารุ่นน้องและหมอคนอื่นๆ แถมการเจรจาธุรกิจยังล้มเหลวอีกด้วย
จินฮีพยายามหยิบยาโรคหัวใจและหลอดเลือด (ของชางมิน) ที่เก็บไว้ในตู้ แต่แล้วอยู่ๆ เธอก็ไม่ไว้ใจชางมินจึงไม่ยอมทานยา
ชางมินผู้สิ้นหวังเดินถือกล่องยากลับบ้านในสภาพเมาปลิ้น แต่แล้วอยู่ๆ ฝนเจ้ากรรมดันกระหน่ำตกลงมา แถมการจราจรยังติดขัดจนเขาหารถแท็กซี่กลับบ้านไม่ได้ ชางมินเลยต้องเดินตากฝน ซ้ำยังถูกคนที่กำลังวิ่งหลบฝนชนจนยาในกล่องร่วงลงพื้น พอเก็บยาใส่กล่องกระดาษที่เปียกน้ำฝน กล่องก็พังจนยาทั้งหมดร่วงหล่นลงบนพื้นอีกครั้ง คราวนี้ชางมินเริ่มหมดความอดทนเขาจึงกระทืบยาทั้งหมดด้วยความโมโห
พอกลับถึงบ้านในสภาพเปียกโชกไปทั้งตัว ชางมินก็ร้องขอผ้าขนหนู พอเห็นจินฮีนอนนิ่งอยู่บนโซฟาเขาก็เดินไปเรียกและต่อว่า จินฮีหันไปมองและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าว่า เมื่อเช้าเธอเตือนแล้วว่าให้พกร่มไปด้วย จากนั้นก็ตำหนิที่เขาไม่รู้จักแวะซื้อร่มที่ร้านสะดวกซื้อ ชางมินบ่นกลับว่าจินฮีเอาแต่กินและนอนอยู่บ้านไปวันๆ พอเห็นแกงกะหรี่แห้งและไหม้อยู่ในหม้อ ชางมินก็เริ่มหงุดหงิด ครั้นพอเห็นปลาหงายท้องตายยกตู้ชางมินก็เริ่มหมดความอดทน เขาดึงตัวจินฮีให้ลุกขึ้นแล้วคาดคั้นว่าเธอจงใจฆ่าปลาหรือไม่ได้ให้อาหารปลากันแน่ จินฮีกล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉยว่า ก่อนหน้านี้เธอเกือบตายเลยไม่ได้ให้อาหารปลา ชางมินไม่สนใจซักถามว่าเธอเป็นอะไร แต่กลับโวยวายว่าเรื่องง่ายๆ อย่างให้อาหารปลาเธอยังรับผิดชอบไม่ได้
หลังโดนผู้อำนวยการสาวบังคับให้ดื่มเหล้าแบบแก้วชนแก้ว (เธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในห้อง) ชางมินก็เริ่มเต็มที่กับชีวิต เขาขึ้นไปร้องเพลงและเต้นรำบนโต๊ะกับผู้อำนวยการสาวอย่างแนบชิดและเมามัน ท่ามกลางเสียเชียร์ของหมอบงและบรรดาหมอคนอื่นๆ
จินฮีมัวแต่คุยกับแม่ชางมินจนลืมดูหม้อแกงกะหรี่ พอถูกแม่ชางมินวางหูใส่ จินฮีก็หันมาเห็นว่าน้ำในหม้อเดือดจนล้น เธอจะวิ่งไปปิดเตา แต่เกิดแน่นหน้าอกจนหายใจไม่ออก เธอจึงโทรฯ หาชางมินแต่ก็ติดต่อเขาไม่ได้ ในตอนนั้นชางมินกำลังเดินไปส่งผู้อำนวยการสาวที่รถ ผู้อำนวยการคว้าตัวชางมินมาหอมแก้มและบอกว่าคืนนี้เธอถูกใจชางมินมาก ชางมินรู้สึกเหมือนโดนตบหน้า เขาต้องกลายเป็นของเล่นของสาวใหญ่ ซ้ำยังโดนหยามศักดิ์ศรีต่อหน้ารุ่นน้องและหมอคนอื่นๆ แถมการเจรจาธุรกิจยังล้มเหลวอีกด้วย
จินฮีพยายามหยิบยาโรคหัวใจและหลอดเลือด (ของชางมิน) ที่เก็บไว้ในตู้ แต่แล้วอยู่ๆ เธอก็ไม่ไว้ใจชางมินจึงไม่ยอมทานยา
ชางมินผู้สิ้นหวังเดินถือกล่องยากลับบ้านในสภาพเมาปลิ้น แต่แล้วอยู่ๆ ฝนเจ้ากรรมดันกระหน่ำตกลงมา แถมการจราจรยังติดขัดจนเขาหารถแท็กซี่กลับบ้านไม่ได้ ชางมินเลยต้องเดินตากฝน ซ้ำยังถูกคนที่กำลังวิ่งหลบฝนชนจนยาในกล่องร่วงลงพื้น พอเก็บยาใส่กล่องกระดาษที่เปียกน้ำฝน กล่องก็พังจนยาทั้งหมดร่วงหล่นลงบนพื้นอีกครั้ง คราวนี้ชางมินเริ่มหมดความอดทนเขาจึงกระทืบยาทั้งหมดด้วยความโมโห
พอกลับถึงบ้านในสภาพเปียกโชกไปทั้งตัว ชางมินก็ร้องขอผ้าขนหนู พอเห็นจินฮีนอนนิ่งอยู่บนโซฟาเขาก็เดินไปเรียกและต่อว่า จินฮีหันไปมองและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าว่า เมื่อเช้าเธอเตือนแล้วว่าให้พกร่มไปด้วย จากนั้นก็ตำหนิที่เขาไม่รู้จักแวะซื้อร่มที่ร้านสะดวกซื้อ ชางมินบ่นกลับว่าจินฮีเอาแต่กินและนอนอยู่บ้านไปวันๆ พอเห็นแกงกะหรี่แห้งและไหม้อยู่ในหม้อ ชางมินก็เริ่มหงุดหงิด ครั้นพอเห็นปลาหงายท้องตายยกตู้ชางมินก็เริ่มหมดความอดทน เขาดึงตัวจินฮีให้ลุกขึ้นแล้วคาดคั้นว่าเธอจงใจฆ่าปลาหรือไม่ได้ให้อาหารปลากันแน่ จินฮีกล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉยว่า ก่อนหน้านี้เธอเกือบตายเลยไม่ได้ให้อาหารปลา ชางมินไม่สนใจซักถามว่าเธอเป็นอะไร แต่กลับโวยวายว่าเรื่องง่ายๆ อย่างให้อาหารปลาเธอยังรับผิดชอบไม่ได้
จินฮีไม่สนใจเรื่องปลา เธอระแวงว่าชางมินอาจพยายามฆ่าเธอเพราะเขานำยาอื่นมาเก็บไว้แทนที่ยาโรคหัวใจ ชางมินไม่เคยคิดเช่นนั้น ทั้งยังมองว่าสิ่งที่จินฮีพูดเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดในตอนนี้ก็คือการที่ปลาสุดเลิฟตาย จินฮีย้ำว่าวันนี้เธอเองก็เกือบตายเช่นกัน ชางมินแย้งว่าจินฮีไม่ได้มีปัญหาที่หัวใจแต่มีปัญหาเรื่องสภาพจิต จินฮีย้อนว่า "แล้วนายล่ะ นายถึงกับสติแตกเพราะปลาตายแค่ไม่กี่ตัวเนี่ยนะ" ชางมินได้ยินดังนั้นก็ของขึ้น เขาจึงเอาคืนด้วยการทำลายของรักของหวงของจินฮี หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็เปิดศึกทำลายของรักของหวงของกันและกัน กว่าจะรู้สึกตัวบ้านก็เละเทะและมีเศษข้าวของที่พังเสียหายเกลื่อนพื้น นับแต่นั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ขาดสะบั้นลง
ชางมินและจินฮีกลับมาเจอกันอีกครั้งในงานแต่งงานครั้งที่สองของเพื่อนคนหนึ่ง ชางมินซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าบ่าวได้รับมอบหมายให้ขึ้นไปร้องเพลงอวยพรคู่บ่าวสาวบนเวที ขณะที่จินฮี (เพื่อนเจ้าสาว) ถูกเจ้าสาวขอร้องให้มาช่วยเล่นเปียโน จินฮีมาเกือบไม่ทันเลยรีบขึ้นเวทีโดยไม่ทันสังเกตว่าชายที่ยืนอยู่ด้านหน้าเวทีคือชางมิน พอรู้ตัวว่าต้องเล่นเปียโนให้ชางมิน จินฮีก็แทบช็อค พอชางมินหันมาขอเปลี่ยนเพลง จินฮีก็รีบก้มหลบ ชางมินเห็นดังนั้นจึงร้องเรียกออกไมค์ พอเห็นว่าเป็นจินฮี ชางมินก็ถึงกับตกตะลึงหลังจากนั้นทั้งคู่จ้องหน้ากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
พอลงจากเวทีชางมินก็ขอตัวกลับทันทีเพราะไม่อยากเห็นหน้าจินฮีและต้องรีบไปธุระต่อ เจ้าบ่าวขอร้องให้เขาอยู่ทานอาหารด้วยกันก่อน แต่ชางมินหงุดหงิดจนทานอะไรไม่ลง เขาตำหนิเจ้าบ่าวที่ปล่อยให้ผู้หญิงซึ่งผ่านการหย่าร้างมาเล่นเปียโนอวยพรงานแต่ง (เขาลืมไปว่าตัวเองก็หย่ามาแล้วเช่นกัน) เมื่อชางมินมาที่ลานจอดรถก็พบว่ามีคนจอดรถขวางหน้ารถตนอยู่ เขาจึงก้มดูเบอร์โทรฯ ที่หน้ารถแล้วรีบโทรฯ แจ้งเจ้าของให้มาเลื่อนรถทันที ปรากฏว่าเจ้าของรถคันดังกล่าวก็คือจินฮี พอรู้ว่าเจ้าของรถคือจินฮี เขาก็เรียกเธอ 'ยัยซื่อบื้อ' ก่อนพ่นคำดูถูกเหยียดหยามออกมาเป็นชุดเหมือนเมื่อ 6 ปีก่อนไม่มีผิด จินฮีเหน็บว่าเขายังคงปากเสียเหมือนเดิม และถามว่าทำไมถึงไม่ปักหลักอยู่อเมริกาให้รู้แล้วรู้รอด จะกลับมาเกาหลีอีกทำไม
พอเห็นชุดที่จินฮีใส่ ชางมินก็จำได้ว่าเป็นชุดเจ้าสาวที่เธอใส่ตอนแต่งงาน เขารู้สึกสมเพชที่เธอเก็บชุดเอาไว้แถมยังนำมาใส่ในงานแต่งงานคนอื่น จึงถามอย่างดูถูกว่า นี่เป็นชุดที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอแล้วใช่ไหม เธอใส่ชุดนี้ไปร่วมงานแต่งทุกงานเลยหรือเปล่า และเธอยังคงว่างงานเหมือนเดิมเลยไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าใช่ไหม เขายังบอกจินฮีด้วยว่าตอนนี้เธอแก่ลงแล้วจึงน่าจะสวมชุดที่ดูดีและสมวัยกว่านี้ จินฮีทั้งโกรธทั้งอายจนเถียงไม่ออกเลยได้แต่ยืนมองชางมินอย่างเคียดแค้น
พอเห็นชุดที่จินฮีใส่ ชางมินก็จำได้ว่าเป็นชุดเจ้าสาวที่เธอใส่ตอนแต่งงาน เขารู้สึกสมเพชที่เธอเก็บชุดเอาไว้แถมยังนำมาใส่ในงานแต่งงานคนอื่น จึงถามอย่างดูถูกว่า นี่เป็นชุดที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอแล้วใช่ไหม เธอใส่ชุดนี้ไปร่วมงานแต่งทุกงานเลยหรือเปล่า และเธอยังคงว่างงานเหมือนเดิมเลยไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าใช่ไหม เขายังบอกจินฮีด้วยว่าตอนนี้เธอแก่ลงแล้วจึงน่าจะสวมชุดที่ดูดีและสมวัยกว่านี้ จินฮีทั้งโกรธทั้งอายจนเถียงไม่ออกเลยได้แต่ยืนมองชางมินอย่างเคียดแค้น
หลังออกจากงานแต่งงานเพื่อนแล้ว ชางมินก็ตรงไปหาแม่และญาติๆ (ซึ่งล้วนเป็นหมอ) ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ความจริงแล้วญาติฝ่ายแม่ของเขามักนัดสังสรรค์และหารือกันเกี่ยวกับเรื่องทางการแพทย์เป็นประจำ เมื่อก่อน "โอ แทซอก" พ่อของชางมินมักจะมาร่วมวงด้วยเสมอ แต่วันนี้พ่อชางมินไม่ได้มาอีกเช่นเคย (เพราะเขาผันตัวเองไปเป็นนักวิจัยแล้ว) "ยูน ซองซุก" แม่ของชางมินจึงถือวิสาสะมานั่งแทนที่สามี ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นหมอ แถมยังแอบเรียกชางมินให้ตามมาสมทบอีกต่างหาก
ด้วยความที่ไม่ได้เป็นหมอเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ เธอจึงไม่เข้าใจศัพท์ทางการแพทย์และไม่สามารถร่วมวงสนทนาได้ พอได้ยินคนอื่นคุยกันเรื่อง Parosmia (อาการผิดปกติในการรับรู้กลิ่น) เธอจึงแอบเปิดดูคำอธิบายศัพท์แพทย์ทางมือถือ ครั้นพอโทรศัพท์ส่งเสียงดังทุกคนก็หันมามองเธอด้วยสายตาตำหนิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ยูน ซองมิน" และ "ยูน ซองจา" (แม่ชางมินเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ไม่ได้เรียนแพทย์เพราะมัวแต่สนใจเรื่องความงามและการแต่งตัว จึงกลายเป็นแกะดำของทางบ้าน นับว่ายังโชคดีดีที่เธอได้แต่งงานกับหมอเก่งๆ อย่างพ่อชางมิน แถมชางมินยังกลับมาเรียนแพทย์จนจบถึงจะช้าไปมากก็ตาม)
เมื่อชางมินมาถึง ทั้งลุง ป้า และน้าของเขาต่างก็รู้สึกประหลาดใจ แม่ชางมินขอร้อง "ยูน ซองกิล" (พี่ชายของเธอ) ให้รับชางมินเข้าร่วมก๊วนรวมญาติในฐานะที่เป็นหมอคนหนึ่ง ชางมินแย้งว่าตนยังเป็นแค่อินเทิร์น แม่ชางมินจึงถามกลับว่าแล้วอินเทิร์นไม่ใช่หมอรึไง ซองมินได้ยินดังนั้นก็ขำกลิ้ง เธอชี้ว่านี่เป็นการสังสรรค์และแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการแพทย์ หากชางมินมาร่วมวงเสวนา หมออย่างพวกตนจะได้สาระอะไรจากอินเทิร์น ซองจาถามแม่ชางมินว่าเธอคิดจะทำอะไรกันแน่ ซองมินชิงตอบว่าแม่ชางมินนำลูกชายมาฝากฝังเพราะต้องการให้ซองกิล (ซึ่งไม่มีลูก) ยกโรงพยาบาลให้ชางมิน ชางมินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกอึดอัดใจ
หลังออกจากงานแต่งงาน จินฮีก็ไปนั่งดื่มเบียร์ต่อกับเพื่อนๆ เธอรู้สึกโกรธแค้นชางมินเลยดื่มหนัก เพื่อนๆ เห็นดังนั้นจึงพยายามห้ามปรามและเตือนว่าพรุ่งนี้เธอต้องไปทำงาน (ในฐานะอินเทิร์น) เป็นวันแรก จินฮีบอกว่าที่ผ่านมาเธอต้องพยายามอย่างหนักกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะดื่มหนักแค่ไหนเธอก็ต้องไปทำงานแน่
ขณะออกจากร้านอาหาร แม่ชางมินกล่าวอย่างเป็นปลื้มว่าในที่สุดชางมินก็ทำให้ฝันของตนเป็นจริง เธอบ่นว่าหากชางมินเชื่อฟังเธอตั้งแต่ต้นป่านนี้คงเป็นหมอไปนานแล้ว และโทษว่าเป็นความผิดของจินฮีที่ทำให้ชางมินเสียเวลาไปหลายปี ชางมินไม่อยากได้ยินเรื่องนี้อีกจึงบอกแม่ว่าอย่ารื้อฟื้นเรื่องเก่า ซึ่งแม่ของเขาก็รับปากว่าจะไม่บ่นเรื่องจินฮีอีก
ในที่สุดจินฮีก็เมาปลิ้น พอได้ยินเพื่อนบอกว่าจะพาไปส่งบ้าน จินฮีก็บอกว่าเธอยังไหวและขอดื่มแก้วสุดท้ายก่อนกลับบ้าน หลังจากนั้นจินฮีก็ตะโกนสั่งเครื่องดื่มแรงที่สุดในร้าน จินฮีบ่นกับเพื่อนๆ ว่าเธอแต่งงานท่ามกลางเสียงคัดค้านตอนอายุยังน้อย แถมยังหย่าหลังใช้ชีวิตคู่ได้เพียงปีเดียว คนอื่นๆ อาจมองว่าเธอเพี้ยน แต่เธอทนไม่ได้ที่ชางมินเป็นคนหลงตัวเองและชอบดูถูกเธอ หากแม่ของเขาร้ายกับเธอเพียงคนเดียวเธอก็จะยอมอดทน แต่นี่ดันร้ายพอกันทั้งแม่ทั้งลูก เธอจึงรับไม่ไหว
หลังพนักงานนำเหล้าแรงที่สุดในร้านมาเสิร์ฟ จินฮีก็มองเห็นหน้าชางมินลอยอยู่ในแก้วเหล้า แถมเขายังพูดจาดูถูกเรื่องที่เธอนำชุดแต่งงานมาใส่ในวันนี้อีกด้วย (เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ตามมาหลอกหลอน) จินฮีแค้นจัดจึงดื่มเหล้ารวดเดียวหมดแก้ว หลังจากนั้นก็หงายหลังตึงและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในสภาพหมดสติ และชักทุกๆ 5 นาที
พอได้รับแจ้งจากหน่วยกู้ชีพว่าจะมีการส่งตัวคนไข้ที่มีอาการชักมาที่ห้องฉุกเฉินภายใน 5 นาที เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจึงไปแจ้งให้หมอ "กุก ชอนซู" ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกฉุกเฉินทราบ หมอกุกซึ่งกำลังนอนพักผ่อนจึงตั้งนาฬิกาปลุกและนอนต่ออีก 5 นาที หลังจินฮีถูกส่งตัวมาที่ห้องฉุกเฉิน หมอกุกก็รีบเข้าไปดูอาการ เขาพยายามใส่ท่อช่วยหายใจแต่จินฮีกลับอาเจียนออกมาทั้งที่หมดสติ หมอกุกมองไม่เห็นทางเดินหายใจจึงคิดว่ามีบางอย่างติดอยู่ในลำคอของจินฮี ในตอนนั้นอาการของจินฮีเริ่มทรุดลงเรื่อยๆ หมออีกคน (รุ่นน้อง) เห็นดังนั้นก็ตื่นตระหนกและคิดที่จะเจาะคอจินฮี แต่หมอกุกบอกให้รอและค่อยๆ คีบเศษเปลือกหอยแมลงภู่ออกจากลำคอจินฮีได้สำเร็จ พอใส่ท่อช่วยหายใจแล้ว อาการของจินฮีก็เริ่มดีขึ้น
หมอกุกกลับมาดูอาการจินฮีอีกครั้งตอนตี 3 เพื่อถอดท่อช่วยหายใจให้จินฮี แม้จะเริ่มรู้สึกตัวแต่จินฮียังคงเมาปลิ้น เธอจึงทั้งตบและด่าหมอกุกในระหว่างที่เขาตรวจดูอาการ เพราะยังคงรู้สึกเคียดแค้นและนึกว่าหมอกุกเป็นชางมิน
เช้าวันรุ่งขึ้น ชางมินมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำหน้าที่อินเทิร์นเป็นวันแรก และพบกับ "อิม ยองกิล" ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นน้องที่เรียนแพทย์มาด้วยกัน ทั้งคู่นึกสงสัยว่าพวกตนจะถูกส่งไปทำงานที่แผนกอะไร และต่างก็เห็นตรงกันว่าพวกตนยินดีทำงานทุกแผนกยกเว้นแผนกฉุกเฉิน (หมอกุกซึ่งยืนรอลิฟต์อยู่ ได้ยินดังนั้นก็หับขวับ) ชางมินบอกว่าเจ้าหน้าที่แผนกฉุกเฉินต้องทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ทำให้มีสภาพเหมือนซอมบี้ ครั้นพอหันไปเห็นสาวงามแต่งตัวสุดเซ็กซี่เดินลากกระเป๋าเข้ามาในโรงพยาบาล ชางมินก็บอกว่าหากแผนกฉุกเฉินมีผู้หญิงสวยๆ แบบนี้บางทีเขาอาจเปลี่ยนใจ
ทั้งชางมินและยองกิลต่างพากันตะลึงมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ชางมินเห็นยองกิลแอบปลื้มสาวเลยบอกว่าจะไปขอเบอร์โทรฯ มาให้ แต่มีข้อแม้ว่ายองกิลต้องเข้าเวรตอนกลางคืนแทนตน 3 ครั้ง เมื่อยองกิลรับปากชางมินก็เดินไปขอยืมโทรศัพท์หญิงสาวแล้วโทรฯ เข้าเครื่องยองกิล จากนั้นก็แกล้งโม้ว่าพวกตนเป็นศัลยแพทย์ (เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของหมอกุก) หลังชางมินคืนโทรศัพท์ให้แล้วหญิงสาวคนดังกล่าวก็ถามชางมินว่าเขาเป็น 'แพทย์ประจำบ้าน' หรือ (แพทย์ประจำบ้าน (resident) คือ ผู้ที่ได้รับปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตแล้วและกำลังปฏิบัติงานด้านการแพทย์เฉพาะทางภายใต้การควบคุมของอาจารย์แพทย์ ซึ่งต้องผ่านการเป็น 'อินเทิร์น' มาก่อน) ชางมินไม่ยอมตอบ และปล่อยให้เธอเข้าใจผิดต่อไป
หลังเปลี่ยนมาสวมชุดกาวน์แล้ว ชางมินและยองกิลก็เข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ทีม 4 ที่ห้องประชุม ทั้งคู่ถึงกับช็อคเมื่อพบว่าสาวสวยสุดเซ็กซี่ที่พบก่อนหน้านี้เป็นอินเทิร์นที่อยู่ทีมเดียวกับตน ส่วนหญิงสาวเองก็รู้สึกแปลกใจเมื่อพบว่าชางมินยังเป็นแค่อินเทิร์น หลังแซวสองหนุ่มเรื่องโทรศัพท์แล้ว หญิงสาวก็ยื่นมือให้ชางมินจับแล้วแนะนำตัวว่า "ชั้น... ฮัน อารึม ค่ะ"
ชางมินเป็นตัวแทนทีม 4 ไปจับสลากเลือกตารางทำงานประจำปี ปรากฏว่าทีม 4 ต้องไปทำงานที่แผนกฉุกเฉินเป็นเวลานานถึง 3 เดือน ก่อนย้ายไปทำงานที่แผนกอื่นๆ ในเดือนที่ 4 พอรู้ว่าได้ประเดิมทำงานในห้องฉุกเฉิน ทุกคนในทีมต่างก็พากันผิดหวัง
จินฮียังคงนอนพักรักษาตัวในห้องฉุกเฉิน ส่วนชางมินและเพื่อนๆ อินเทิร์นก็กำลังมุ่งหน้าไปทำงานที่แผนกฉุกเฉินตามที่ได้รับมอบหมาย "ปาร์ก ซังฮยอก" ซึ่งเป็นรุ่นน้องบอกชางมินว่า หัวหน้าแผนกฉุกเฉิน มีฉายาว่า "ปีศาจ" แม้เขาจะเป็นหมอที่เก่งกาจถึงขนาดทำให้คนไข้ฟื้นจากความตายได้ แต่คนส่วนใหญ่มักได้ยินกิตติศัพท์ของเขาในทางลบมากกว่า "ลี ยองเอ" (ภรรยาซังฮยอก) กล่าวเสริมว่า เมื่อปีที่แล้วมีอินเทิร์น 2 คนหนีไปกลางคันเพราะทนหัวหน้าแผนกไม่ได้
ทันทีที่ไปถึงหน้าห้องฉุกเฉิน ทุกคนก็ได้พบกับบรรยากาศอันแสนวุ่นวายและเร่งรีบ เพราะมีผู้ป่วย 'Code Blue' (ผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน) มารับการรักษา หลังจากนั้น ทุกคนก็มารายงานตัวกับหมอกุกซึ่งอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าและหาวตลอดเวลา เขาบอกเหล่าอินเทิร์นว่าหากมีใครติด F ทุกคนในทีมก็จะติด F ด้วย พอเห็นชางมินโอดโอย หมอกุกจึงชี้ชัดว่าทุกคำพูดและการตัดสินใจของตน ณ ที่นี้ถือเป็นกฏเหล็กที่เหล่าอินเทิร์นต้องปฏิบัติตาม หลังจากนั้น หมอกุกก็ชี้หน้าชางมินและถามว่าเขามาสมัครเป็นอินเทิร์นที่นี่เพื่อจะได้ขอเบอร์หญิงงั้นหรือ
จินฮียังคงนอนพักรักษาตัวในห้องฉุกเฉิน ส่วนชางมินและเพื่อนๆ อินเทิร์นก็กำลังมุ่งหน้าไปทำงานที่แผนกฉุกเฉินตามที่ได้รับมอบหมาย "ปาร์ก ซังฮยอก" ซึ่งเป็นรุ่นน้องบอกชางมินว่า หัวหน้าแผนกฉุกเฉิน มีฉายาว่า "ปีศาจ" แม้เขาจะเป็นหมอที่เก่งกาจถึงขนาดทำให้คนไข้ฟื้นจากความตายได้ แต่คนส่วนใหญ่มักได้ยินกิตติศัพท์ของเขาในทางลบมากกว่า "ลี ยองเอ" (ภรรยาซังฮยอก) กล่าวเสริมว่า เมื่อปีที่แล้วมีอินเทิร์น 2 คนหนีไปกลางคันเพราะทนหัวหน้าแผนกไม่ได้
ทันทีที่ไปถึงหน้าห้องฉุกเฉิน ทุกคนก็ได้พบกับบรรยากาศอันแสนวุ่นวายและเร่งรีบ เพราะมีผู้ป่วย 'Code Blue' (ผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน) มารับการรักษา หลังจากนั้น ทุกคนก็มารายงานตัวกับหมอกุกซึ่งอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าและหาวตลอดเวลา เขาบอกเหล่าอินเทิร์นว่าหากมีใครติด F ทุกคนในทีมก็จะติด F ด้วย พอเห็นชางมินโอดโอย หมอกุกจึงชี้ชัดว่าทุกคำพูดและการตัดสินใจของตน ณ ที่นี้ถือเป็นกฏเหล็กที่เหล่าอินเทิร์นต้องปฏิบัติตาม หลังจากนั้น หมอกุกก็ชี้หน้าชางมินและถามว่าเขามาสมัครเป็นอินเทิร์นที่นี่เพื่อจะได้ขอเบอร์หญิงงั้นหรือ
หลังบอกกฏเหล็กแล้ว หมอกุกก็พูดต่อว่า "โลกนี้นอกจากจะมีผู้ชายและผู้หญิงแล้ว ยังมีชนชั้นต่ำสุด (ทาส*) ที่เรียกว่า 'อินเทิร์น' ซึ่งเป็นสิ่งไร้ค่าที่สุดบนโลกใบนี้... " จินฮีได้ยินเสียงหมอกุกดังแว่วมาก็เริ่มรู้สึกตัว พอรู้ว่าตัวเองยังอยู่ในชุดเดิมและกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องฉุกเฉินเธอก็รู้สึกตกใจ ครั้นพอดูนาฬิกาเธอก็ถึงกับช็อคเมื่อพบว่าตัวเองขาดงานตั้งแต่วันแรก
* ในยุคโชซอน ผู้ที่อยู่ในชนชั้น 'ทาส' ไม่ถือว่าเป็นคนแต่เป็นเสมือนสิ่งของ และเป็นสมบัติส่วนบุคคลที่สามารถซื้อขายกันได้
หมอกุกพูดต่อว่า และนั่นก็ทำให้อินเทิร์นมีอีกชื่อหนึ่งว่า 'ซัมชิน' เพราะเวลาทำงานต้องสวมวิญญาณคนโง่ (ทึงชิน) เวลากินก็กินเหมือนคนอดอยาก (กุลชิน) ส่วนเวลานอนก็นอนหลับเป็นตายอย่างผี (กีชิน) และมีอยู่ 3 สิ่งที่ตนเกลียดมากที่สุดในโลกนี้ นั่นก็คือ อินเทิร์นที่ชอบยืนบื้อ อินเทิร์นที่ชอบอวดรู้ทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไร และอินเทิร์นที่มาสาย หากใครเป็นอย่างที่ตนกล่าวมานี้แม้เพียงข้อเดียว บอกเลยว่าตายแน่ และไม่ใช่แค่ตายเฉยๆ แต่เป็นตายคาที่ หมอกุกยังย้ำด้วยว่าที่แผนกฉุกเฉิน อินเทิร์นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นชนชั้นต่ำสุด คำว่าชนชั้นต่ำในที่นี้หมายถึง คนที่โง่เขลา เบาปัญญา ไร้ความสามารถ มีแต่จะทำให้เปลืองข้าวสุก เหมือนหนอนตัวหนึ่ง (จินฮีได้ยินดังนั้นก็รีบถอดสายน้ำเกลืออย่างตื่นตระหนก)
หลังจากนั้น หมอกุกก็ขอเช็คชื่อ พอได้ยินหมอกุกขานชื่อ "โอ จินฮี!" ชางมินก็หูผึ่ง จินฮีได้ยินหมอกุกเรียกชื่อตนจึงหยิบผ้าห่มโรงพยาบาลขึ้นมาดู พอเห็นชื่อ 'โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยวูซู' จินฮีก็ร้องด้วยความตกใจ ชางมินส่ายหัวแล้วบอกตัวเองว่าคงไม่ใช่จินฮีที่เป็นอดีตภรรยาของตน (เพราะตอนที่คบกับเขา เธอเป็นนักโภขนาการ) แต่พอหมอกุกชี้ชัดว่า "โอ จินฮี เกิดปี 1982 จบจากวิทยาลัยแพทย์ฮันกุก" ชางมินก็ถึงกับอึ้ง หมอกุกเห็นว่าจินฮีมาสายตั้งแตกวันแรก จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่โทรฯ ไปบอกจินฮีว่าอย่าโผล่หัวมาที่นี่ หลังจากนั้นก็ขีดชื่อจินฮีออก จินฮีได้ยินดังนั้นจึงรีบคว้าข้าวของและตั้งใจว่าจะค่อยๆ ย่องออกไป (รอบเตียงเธอมีผ้าม่านกั้นอยู่) ขณะจะลงจากเตียงจินฮีจับเสาน้ำเกลือหวังช่วยประคองตัว แต่เสาน้ำเกลือดันล้มทำให้เธอพลอยตกจากเตียงไปด้วย
พอได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหว หมอกุกและเหล่าอินเทิร์นต่างก็พากันหันไปมอง (ทุกคนยืนอยู่หน้าเตียงจินฮี) หลังวิ่งหารองเท้าจนเจอแล้ว จินฮีก็มุดออกจากผ้าม่านในสภาพผมเป็นกระเซิงและสวมรองเท้าส้นสูงเพียงข้างเดียว เธอรีบบอกหมอกุกว่า "โอ จินฮี อยู่นี่ค่ะ... ชั้นมาถึงเป็นคนแรกเลยนะ" จินฮีรีบก้มศีรษะขอโทษหมอกุก และหันไปขอโทษเพื่อนอินเทิร์นทุกคน ชางมินแทบไม่เชื่อสายตาตนเองเมื่อเห็นจินฮียืนอยู่ตรงหน้า ส่วนจินฮีเองก็ไม่อยากจะเชื่อและรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าชางมิน
เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ติดตามชมได้ใน "Emergency Couple ปักเข็มรัก สลักใจเธอ"
* เนื้อหาโดย luvasianseries
นักแสดงนำ
* ดูคลิปตัวอย่างและบางซีนในละครจากช่องทีวีเอ็นได้ ที่นี่
ซอง จีฮโย
รับบท โอ จินฮี
(อินเทิร์น วัย 33 ปี)
ชเว จินฮยอก
รับบท โอ ชางมิน
(อินเทิร์น วัย 30 ปี)
ลี พิลโม
รับบท กุก ชอนซู
(หัวหน้าแผนกฉุกเฉิน วัย 35 ปี)
ชเว ยอจิน
รับบท ชิม จีเฮ
(ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ประจำภาควิชาศัลยศาสตร์ วัย 35 ปี)
คลาร่า
รับบท ฮัน อารึม
(อินเทิร์น วัย 26 ปี)
* ดูคลิปตัวอย่างและบางซีนในละครจากช่องทีวีเอ็นได้ ที่นี่
* ดูคลิปเพลงประกอบละครได้ ที่นี่
* ดูคลิปเบื้องหลังจากทีวีเอ็นดราม่าได้ ที่นี่
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา