กำกับ: เหอซู่เผย, หลานจื้อเหว่ย
เขียนบท: จางเวย
แนวละคร: ย้อนยุค, ดราม่า
จำนวนตอน: 55
ออกอากาศ: จีน - 21 กุมภาพันธ์ 2561ทางเถิงซวิ่น (Tencent)
ไทย -
ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 14.20 น. ทางช่อง MONO29 ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2564 - 18 พฤษภาคม 2564
เรื่องย่อ
ละคร "ตำนานสกุลตู๋กู" (The Legend of Dugu) นำเสนอเรื่องราวในยุคราชวงศ์เหนือใต้ ซึ่งเป็นยุคแห่งความขัดแย้ง สงครามกลางเมือง และเป็นยุคที่มีการผลัดแผ่นดินบ่อยครั้ง เนื้อหากล่าวถึงสกุลตู๋กูซึ่งถูกใต้หล้าจับตามองเพราะคำทำนายที่ว่า "ตู๋กูเทียนเซี่ย" (ใต้หล้าของตู๋กู) คำทำนายดังกล่าวทำให้แม่ทัพใหญ่อย่าง "ตู๋กูซิ่น" รู้สึกลำบากใจ แต่ลูกสาวสองคนของเขาต่างหวังว่าตนคือคนที่จะทำให้คำทำนายเป็นจริง
ตู๋กูซิ่นมีลูกสาวสามคน แต่ละคนล้วนมีรูปโฉมงดงาม ลูกสาวคนโต "ตู๋กูปันรั่ว" เป็นคนฉลาดและทะเยอทะยาน แม้จะรักราชครู "อวี่เหวินฮู่" แต่เธอเลือกที่จะแต่งงานกับสมาชิกราชวงศ์เป่ยโจวอย่าง "อวี่เหวินอวี้" ทั้งที่เขาเป็นคนใจเสาะและอ่อนแอ เพียงเพื่อให้ตนได้เป็นฮองเฮาและให้ใต้หล้าเป็นของตู๋กูดั่งคำทำนาย ครั้นได้เป็นฮองเฮาสมใจ ปันรั่วกลับเสียชีวิตขณะคลอดบุตรชายของอวี่เหวินอวี้ (ก่อนหน้านี้เธอเคยมีลูกสาวกับอวี่เหวินฮู่ แต่เธอปิดเป็นความลับและยกให้น้องสาวคนเล็กเป็นผู้ดูแล ซึ่งภายหลังลูกสาวเธอได้เป็นฮองเฮาของราชวงศ์เป่ยโจวเช่นกัน)
ลูกสาวคนที่สองของตู๋กูซิน "ตู๋กูม่านถัว" เป็นคนโลภโมโทสันและมักใหญ่ใฝ่สูง ด้วยความที่เกิดมาต่ำต้อย (เป็นลูกนอกสมรส) เธอจึงอยากได้ดีและได้เป็นสตรีสูงศักดิ์เหมือนพี่สาวบ้าง เธอไม่อยากแต่งงานกับคู่หมั้นที่ไร้ความทะเยอทะยานอย่าง "หยางเจียน" จึงคิดแย่งชิงคู่หมั้นของน้องสาว แต่สุดท้ายกลับได้แต่งงานกับ "หลีปิ่ง" (บิดาของคู่หมั้นของน้องสาว) ภายหลังเธอได้ให้กำเนิดบุตรชายนาม "หลี่เยวียน" และได้กลายเป็นมารดาของแผ่นดินต้าถัง (บุตรชายเธอเป็นปฐมจักรพรรดิของราชวงศ์ถัง หลังเสียชีวิตเธอจึงถูกอวยยศเป็น "หยวนเจินฮองเฮา" แห่งราชวงศ์ถัง)
ส่วนลูกสาวคนเล็ก "ตู๋กูเจียหลัว" เป็นคนจิตใจดีมีคุณธรรม เดิมทีเธอมีใจให้ "อวี่เหวินยง" แต่บิดาจะจับเธอแต่งงานกับ "หลี่เฉิง" หลังม่านถัวแต่งงานกับบิดาของหลี่เฉิง แผนแต่งงานระหว่างเจียหลัวกับหลี่เฉิงจึงถูกยกเลิกไปโดยปริยาย ในเวลาต่อมาเจียหลัวจำต้องแต่งงานกับหยางเจียนตามความประสงค์ของบิดา หลังบิดาปลิดชีพตนเองเพื่อปกป้องครอบครัว เจียหลัวจึงแบกรับหน้าที่ในการปกป้องสกุลตู๋กูแทน (หลังตู๋กูซิ่นกับปันรั่วเสียชีวิต สกุลตู๋กูที่เคยเรืองอำนาจพลันตกต่ำลง) แม้จะแต่งงานเพราะความจำเป็นแต่ในที่สุดทั้งคู่ก็รักกัน โดยหยางเจียนได้ให้คำมั่นว่าจะรักเจียหลัวเพียงคนเดียว แม้ไม่ชอบเรื่องการเมืองแต่เจียหลัวก็ช่วยหยางเจียนรวมแผ่นดินได้สำเร็จ ภายหลังเธอได้เป็นฮองเฮาคนแรกของราชวงศ์สุย (เหวินเซี่ยนฮองเฮา)
* แม้ตัวละครข้างตนจะมีตัวตนจริง แต่พล็อตเรื่องส่วนใหญ่ถูกสมมุติขึ้น
เนื้อหาตอนที่หนึ่ง
ละครเปิดฉากขึ้นในยุคราชวงศ์เหนือใต้ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยไฟสงครามและความวุ่นวายทางการเมือง
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในปีที่สาม รัชศกหย่งซี
(ค.ศ. 535)
ซึ่งเป็นช่วงกลียุคและเป็นปีสุดท้ายของราชวงศ์เป่ยเว่ย (หรือ "เว่ยเหนือ" ซึ่งก่อตั้งโดยชาวเซียนเป่ย)... ฮ่องเต้ "หยวนซิว"
(เสี้ยวอู่ตี้) ไม่ต้องการถูกครอบงำอีกต่อไปจึงนำทัพบุกโจมตีขุนนางใหญ่ (และพ่อตา) ที่เหิมเกริมอย่าง "เกาฮวน" แต่สุดท้ายกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และถูกกองทัพของเกาฮวนปราบอย่างราบคาบนอกเมืองหลวง
(ลั่วหยาง) (ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเหล่าแม่ทัพนายกองจำนวนไม่น้อยต่างยอมสวามิภักดิ์ต่อเกาฮวน)
ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานหยวนซิวทำได้เพียงนำกำลังทหารที่เหลืออยู่ห้าพันนายหนีตายไปยังดินแดนแถบกวนจง
หวังพึ่งใบบุญแม่ทัพใหญ่
"อวี่เหวินไท่"
ระหว่างทางทัพของหยวนซิวถูกทหารของเกาฮวนลอบโจมตี
หยวนซิวเห็นว่าพวกตนสู้ไม่ไหวจึงสั่งให้ทุกคนล่าถอย
ครั้นเหลือองครักษ์ข้างกายไม่มากหยวนซิวจึงตกอยู่ในอันตราย
ก่อนที่เขาจะถูกทหารของเกาฮวนสังหาร แม่ทัพ
"ตู๋กูหรูเยวี่ยน" และแม่ทัพอันซีนาม "หยางจง"
(บิดา "หยางเจียน")
ได้ตามมาช่วยเขาไว้ได้ทัน
หยวนซิวรู้สึกซาบซึ้งใจที่แม่ทัพตู๋กูกับแม่ทัพหยางยังคงยืนหยัดเคียงข้างตน
ขณะเดียวกันก็รู้สึกเจ็บปวดใจเพราะเมื่อก่อนเขาเคยมีแม่ทัพมากมายห้อมล้อม
แต่พอถึงยามยากกลับเหลือแม่ทัพข้างกายเพียงสองคน
แม่ทัพตู๋กูเห็นว่าทหารของเกาฮวนถูกพวกตนขับไล่ออกไปแล้ว
ประกอบกับเหล่าทหารฝ่ายตนล้วนเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจึงเสนอให้พักแรมที่วัดร้างก่อน
หยวนซิวเห็นว่าบนผนังของวัดร้างมีตัวอักษรเรียงรายมากมายก็รู้สึกแปลกใจ
แม่ทัพตู๋กูกล่าวว่าตัวอักษรเหล่านี้มีไว้ประกอบคำทำนาย หลังผู้คนมาอธิษฐานและเสี่ยงเซียมซีแล้ว
พวกเขาจะนำตัวเลขที่ปรากฏบนไม้มาไล่หาตัวอักษรเพื่อค้นหาคำตอบ
(ตัวอักษรบนผนังจะเรียงเป็นแถวโดยมีเลขกำกับแต่ละแถวทั้งแนวตั้ง/แนวนอน)
หยวนซิวได้ยินดังนั้นจึงลองเสี่ยงทายดูเล่นๆ
แต่คำทำนายที่ได้กลับทำให้เขาตกตะลึง คำทำนายที่ได้คือ "帝星未明,然独孤天下"
(ตี้ซิงเว่ยหมิง หรานตู๋กูเทียนเซี่ย* / ดาวราชันยังไม่กระจ่าง แต่ใต้หล้าเป็นของตู๋กู) ซึ่งหมายความว่า ราชันที่แท้จริงยังไม่ปรากฏ (ยังไม่มีใครรวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ) แต่สกุลตู๋กูคือกุญแจสำคัญในการปกครองใต้หล้า คำทำนายดังกล่าวสร้างความตื่นตระหนกให้หยวนซิวไม่น้อย
ถึงกระนั้นเขาก็เลือกที่จะเชื่อใจขุนนางผู้ภักดีอย่างแม่ทัพตู๋กู (หยวนซิวเชื่อว่าหากแม่ทัพตู๋กูช่วยนำพา ตนจะสามารถรวมแผ่นดินและได้ปกครองใต้หล้า) แต่มิวายเปลี่ยนชื่อให้ตู๋กูหรูเยวี่ยนใหม่เป็น
"ตู๋กูซิ่น" ("ซิ่น" แปลว่า เชื่อถือ เชื่อใจ)
* คำว่า "ตู๋กูเทียนเซี่ย"
เป็นชื่อเรื่องภาษาจีนของละครเรื่องนี้ ส่วนคำว่า "เทียนเซี่ย" หรือ "ใต้หล้า" หมายถึงแผ่นดินจีนทั้งหมด (แผ่นดินทั้งหมดของราชวงศ์เหนือใต้)
หลังจากนั้นทัพของหยวนซิวก็มุ่งหน้าไปยังดินแดนแถบกวนจง
ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกและเป็นเขตปกครองของแม่ทัพอวี่เหวินไท่ ทั้งนี้ "อวี่เหวิน"
เป็นสกุลที่เรืองอำนาจและมีกองทัพที่แข็งแกร่ง แม้ภายนอกดูเหมือนจงรักภักดี
(อวี่เหวินไท่ต้อนรับหยวนซิวอย่างสมเกียรติ)
แต่ความจริงแล้วพวกเขามีแผนที่จะโค่นล้มราชบัลลังก์
หยวนซิวหลงนึกว่าตนหนีมาปักหลักที่กวนจงแล้วจะปลอดภัยและจะได้กอบกู้อำนาจใหม่ หารู้ไม่ว่าตนกำลังหนีเสือปะจระเข้
เพราะหลังจากหยวนซิวย้ายราชสำนักมาอยู่ที่เมืองฉางอันก็ถูกสกุลอวี่เหวินเข้าครอบงำ ทำให้กลายเป็นหุ่นเชิดและไร้ซึ่งอำนาจดังเดิม กระทั่งในปี ค.ศ. 557 "อวี่เหวินฮู่"
(หลานชายอวี่เหวินไท่)
ได้สนับสนุน "อวี่เหวินเจวี๋ย" (บุตรชายอวี่เหวินไท่) ให้ขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์เป่ยโจว
(โจวเหนือ)
*
เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์: หลังหยวนซิวหนีไปปักหลักที่เมืองฉางอัน
ราชวงศ์เว่ยเหนือก็แตกออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกนักประวัติศาสตร์เรียกว่า
"ราชวงศ์เว่ยตะวันออก" (ค.ศ. 534-550) เริ่มต้นหลังเกาฮวนสถาปนา "หยวนซ่านเจี้ยน" (เสี้ยวจิ้งตี้) เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่แทนหยวนซิว และย้ายเมืองหลวง (จากเดิมลั่วหยาง) ไปอยู่ที่เมืองเย่
อีกส่วนถูกเรียกว่า "ราชวงศ์เว่ยตะวันตก" (ค.ศ. 535-556) มีนครฉางอันเป็นเมืองหลวง เริ่มต้นขึ้นหลังอวี่เหวินไท่สังหารหยวนซิว
แล้วสถาปนา "หยวนเป่าจวี้" (เหวินตี้) เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ หลังอวี่เหวินไท่เสียชีวิตในปี ค.ศ. 556
"อวี่เหวินฮู่" (หลานของอวี่เหวินไท่) บีบให้ "หยวนขัว" (กงตี้) ยกบัลลังก์ให้ "อวี่เหวินเจวี๋ย" (บุตรชายคนที่สามของอวี่เหวินไท่) แล้วสถาปนาราชวงศ์เป่ยโจว (โจวเหนือ) - ภาพจากวิกิพีเดีย
แม้ราชวงศ์เปลี่ยนแต่ตู๋กูซิ่นยังคงเป็นแม่ทัพใหญ่เหมือนเช่นเดิม
เขาและครอบครัวพร้อมเหล่าทหารเพิ่งกลับมาจากเป่ยเจียง หลังอยู่เมืองหลวง (ฉางอัน) ได้ไม่กี่วัน ฮ่องเต้อวี่เหวินเจวี๋ย (เสี้ยวหมินตี้) และ "หยวนฮองเฮา" ก็เสด็จมาที่ลานฝึกของแม่ทัพตู๋กู นอกจากฮ่องเต้กับฮองเฮาแล้วยังมีคณะผู้ติดตามอีกมากมายนำโดย "อวี่เหวินฮู่" (หลานชายของอวี่เหวินไท่ ดำรงตำแหน่ง "ไท่ซือ" (ราชครู)
ของราชวงศ์เป่ยโจว) พร้อมด้วย "อวี่เหวินอวี้" (หรือ "หนิงตูหวัง" บุตรชายคนโตของอวี่เหวินไท่)
และ "อวี่เหวินยง" (หรือ "ฝู่เฉิงหวัง" บุตรชายคนที่สี่ของอวี่เหวินไท่) เมื่อฮ่องเต้และฮองเฮามาถึง
ทุกคนรวมทั้งเหล่าเชื้อพระวงศ์ต่างพร้อมใจกันคุกเข่าถวายบังคม
คงมีเพียงอวี่เหวินฮู่ที่ไม่ยอมลงจากหลังม้า
* "หยวนฮองเฮา" เป็นพระธิดาของ "เหวินตี้" (หยวนเป่าจวี้) แห่งราชวงศ์เว่ยตะวันตก
ฮ่องเต้ทักทายตู๋กูซิ่นอย่างเป็นกันเองและบอกว่าไม่ต้องมากพิธี
ด้วยเห็นว่าตู๋กูซิ่นเป็นเจ้าของสถานที่ประกอบกับรู้สึกเกรงใจที่มารบกวน
ตู๋กูซิ่นออกตัวว่าภรรยาตนเสียชีวิตนานแล้ว เรื่องในจวนเลยอยู่ภายใต้การดูแลของลูกสาวคนโต "ตู๋กูปันรั่ว" ดังนั้นวันนี้ตนจึงขออนุญาตให้ปันรั่วเป็นผู้ถวายการดูแลฮองเฮา
ฮ่องเต้รู้อยู่แล้วจึงไม่ปฏิเสธ
พระองค์กล่าวว่าทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้กันทั่วว่าบุตรชายทั้งเจ็ดคนของแม่ทัพตู๋กูเป็นผู้พิทักษ์ชายแดน
ส่วนปันรั่วเป็นนายหญิงแห่งจวนตู๋กูในเมืองหลวง
ตู๋กูซิ่นกำชับปันรั่วให้คอยดูแลฮองเฮาก่อนพาฮ่องเต้และคณะแยกตัวไปอีกทาง "ตู๋กูม่านถัว" ลูกสาวคนรองของตู๋กูซิ่น อยากโดดเด่นเหมือนพี่สาวจึงพยายามเสนอหน้าเข้าไปทักทายฮองเฮา (ม่านถัวเป็นลูกสาวคนเดียวของตู๋กูซิ่นที่ไม่ได้เกิดจากภรรยาเอก จึงมีสถานะต่ำต้อยกว่าลูกสาวอีกสองคน)
"หยางเจียน" (บุตรชายแม่ทัพหยางจง) แฝงตัวเข้าไปสังเกตการณ์ในลานฝึกยิงธนูโดยไม่เปิดเผยสถานะที่แท้จริงของตน
หวังศึกษาลักษณะนิสัยใจคอของฮ่องเต้และคนใกล้ชิด
เพื่อเตรียมรับมือก่อนย้ายมาปักหลักที่เมืองหลวง "เจิ้งหรง"
(ผู้ติดตาม / ผู้คุ้มกัน ของหยางเจียน)
สงสัยว่าทำไมหยางเจียนจึงปิดบังแม่ทัพตู๋กูว่าพวกตนมาถึงเมืองหลวงแล้ว หยางเจียนชี้ว่าหากตนบอกท่านลุงตู๋กู ตนจะต้องไปร่วมรับเสด็จอยู่ตรงโน้น เขาอยากจับตาดูทุกคนใกล้ๆ มากกว่า ทั้งยังมั่นใจว่าท่านลุงตู๋กูจะไม่ตำหนิเมื่อรู้ภายหลัง และจะเห็นใจว่าที่ลูกเขยอย่างตนด้วยซ้ำ
เจิ้งหรงไม่เชื่อว่าหยางเจียนแอบมาที่นี่เพื่อสังเกตการณ์เพียงอย่างเดียว
จึงเหน็บว่าหยางเจียนคงอยากมายลโฉมว่าที่ภรรยามากกว่า
ตู๋กูซิ่นพาฮ่องเต้และคณะมาที่ลานฝึกธนู อวี่เหวินอวี้เห็นแล้วนึกสนุกเลยลองยิงบ้าง
แม้ฝีมือเขาจะไม่ได้เรื่องแต่กลับมีคนปรบมือชื่นชม
อวี่เหวินอวี้จะลองยิงแก้มือใหม่อีกครั้งแต่อวี่เหวินฮู่เข้ามาขวางโดยอ้างว่าจะช่วยสอนวิธียิงธนูให้
แม้อวี่เหวินอวี้จะปฏิเสธแต่อวี่เหวินฮู่ไม่สนใจ
หลังสอนยิงธนูแล้วอวี่เหวินฮู่ก็จับมือญาติผู้น้องให้เล็งธนูไปที่ฮ่องเต้ต่อหน้าธารกำนัล
ตู๋กูซิ่นรีบเอาตัวเข้ามาขวางก่อนชมว่าอวี่เหวินฮู่สอนได้ดี
สมกับที่ได้รับการถ่ายทอดวิชา (ยิงธนู) มาจากอดีตฮ่องเต้
อวี่เหวินฮู่หัวเราะชอบใจ ก่อนพาอวี่เหวินอวี้หันกลับไปยิงธนูใส่กลางเป้า
หลังจากนั้นอวี่เหวินฮู่ก็หันกลับไปจ้องฮ่องเต้ด้วยสายตาคมกริบ
(ดวงตาข้างหนึ่งของเขามีสีฟ้า) แม้ถูกคุกคามต่อหน้าผู้คนแต่ฮ่องเต้กลับทำได้เพียงข่มใจ
ในขณะที่สถานการณ์กำลังตึงเครียด อยู่ๆ ก็มีคนยิงธนูเข้าเป้าแทนที่ลูกธนูของอวี่เหวินฮู่
(ลูกธนูถูกยิงเข้าที่จุดเดียวกัน ทำให้ลูกธนูของอวี่เหวินฮู่ร่วงตกลงพื้น)
ทุกคนที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวเห็นแล้วต่างพากันทึ่งในความแม่นยำ "เกอซู" (ลูกน้องคนสนิทของอวี่เหวินฮู่) ร้องถามว่าใครยิง ไม่นาน
"ตู๋กูเจียหลัว"
(ลูกสาวคนเล็กของตู๋กูซิ่น)
ก็ถือคันธนูวิ่งมาหาบิดาด้วยท่าทางซุกซน
ครั้นพบว่าเจียหลัวเป็นคนยิงธนู อวี่เหวินฮู่จึงไม่ถือสาหาความ
ความซุกซนของเจียหลัวช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ฮ่องเต้
พระองค์จึงไม่เพียงไม่ตำหนิแต่ยังคิดที่จะตบรางวัลให้เจียหลัวจึงบอกให้เธอตามตนมา
หยางเจียนเห็นตู๋กูซิ่นหยอกล้อกับเจียหลัวก็รู้ได้ทันทีว่าเจียหลัวคือหนึ่งในลูกสาวของตู๋กูซิ่น
เพียงแต่เขาไม่เห็นใบหน้าเธอและไม่แน่ใจว่าเธอใช่ม่านถัวหรือไม่ (ม่านถัวเป็นว่าที่ภรรยาของเขา)
ถึงกระนั้นสายตาเขาก็จับจ้องที่เจียหลัวตลอดเวลาดุจต้องมนต์
เจิ้งหรงชื่นชมทักษะการยิงธนูของเจียหลัวและสงสัยว่าเธออาจเป็นคู่หมั้นของหยางเจียน
แต่หยางเจียนไม่อาจฟันธงเพราะเขาไม่ได้เจอม่านถัวนานแล้ว
ครั้นถูกเจิ้งหรงจับได้ว่าตนไม่อาจละสายตาจากเจียหลัว
หยางเจียนเลยเบี่ยงประเด็นด้วยการบอกเจิ้งหรงด้วยน้ำเสียงจริงจัง
(แต่ยังคงไม่ละสายตาจากจุดเดิม) ว่า
ที่แท้ราชครูอวี่เหวินฮู่เป็นคนจองหองและชอบวางอำนาจเหมือนเกาฮวน
ดังนั้นพวกตนต้องทำตัวไร้พิษสงเวลาอยู่ต่อหน้าอวี่เหวินฮู่ดังที่บิดาบอก
พอหันมาเห็นเจิ้งหรงทำหน้ารู้ทัน หยางเจียนจึงกลบเกลื่อนด้วยการเดินหนีทั้งที่ยังพูดไม่จบ
ฮ่องเต้ซึ่งยังคงขุ่นเคืองเรื่องอวี่เหวินฮู่พยายามระงับโทสะ
หลังกล่าวชมเชยเจียหลัวเรื่องความสามารถในการยิงธนูแล้ว
พระองค์จึงรับปากว่าจะเขียนชื่อโรงบรรเทาทุกข์ให้เป็นรางวัลตามที่เจียหลัวร้องขอ
(ครอบครัวเธอเปิดโรงบรรเทาทุกข์ในฝ่าสือเยวี่ยนบนเขาซื่อซาน) หลังเจียหลัวและทุกคนออกไปแล้ว
ฮ่องเต้จึงสบโอกาสพูดคุยกับตู๋กูซิ่นตามลำพัง
ที่แท้ฮ่องเต้รีบมาหาตู๋กูซิ่นเพราะร้อนใจในความโอหังของอวี่เหวินฮู่
พระองค์ยังบอกด้วยว่าอวี่เหวินฮู่ส่งเกอซูมาคอยสอดแนมโดยอ้างว่าส่งมาปกป้องตน
ด้วยเหตุนี้ตนจึงอยากกำจัดทั้งคู่โดยเร็วที่สุด
อีกด้านหนึ่ง ปันรั่วได้จัดงานเลี้ยงรับรองฮองเฮา
โดยมีภรรยาของเหล่าขุนนางและคณะผู้ติดตามมาร่วมงานด้วย
"เจิ้งฟูเหริน" กับ
"เหยาฟูเหริน"
รวมหัวกันหาเรื่องปันรั่วกับม่านถัวหมายหักหน้าสองพี่น้องต่อหน้าทุกคน
เจิ้งฟูเหรินแสร้งชมสามสาวตระกูลตู๋กูที่ล้วนเป็นหญิงงาม
โดยกล่าวว่าปันรั่วงามสง่าและสุขุมประหนึ่งดอกโบตั๋น
ม่านถัวทั้งงดงามและมากความสามารถดุจชิงเหลียน (ดอกบัวสีน้ำเงิน)
ส่วนเจียหลัวถึงแม้จะยังเยาว์แต่เปรียบเหมือนบุปผาตูมที่รอวันผลิบาน
เหยาฟูเหรินแย้งว่าฮองเฮานั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคน
ใครจะหาญกล้าเปรียบตนเองว่าเป็นดอกโบตั๋น
ปันรั่วกล่าวว่าฮ่องเต้คือมังกร ฮองเฮาคือหงส์ (เฟิ่ง)
ฮองเฮาเปรียบดังวิหคเทพ (เฟิ่งหวง) ในตำนาน ส่วนพวกตนเป็นข้าราชบริพาร
การเปรียบพวกตนเป็นบุปผาจึงไม่นับว่าสูงเกินศักดิ์ ฮองเฮาเห็นด้วยกับปันรั่ว
เธอกล่าวว่าจู้กั๋วตู๋กู* คือยอดขุนพลคนแรกของต้าโจว
หากปันรั่วไม่กล้าเปรียบตนเองเป็นดอกโบตั๋น
ตนก็ไม่เห็นว่าจะมีใครอื่นที่คู่ควร ฮองเฮาบอกให้ปันรั่วหันไปดูทางด้านนอก
ก่อนชี้ว่า "หนิงตูหวัง" (นาม "อวี่เหวินอวี้" พระเชษฐาฮ่องเต้) กำลังหลงเสน่ห์ปันรั่ว
(เขามายืนมองและโบกมือทักทายปันรั่ว) เธอจึงหวังว่าสักวันจะได้เรียกปันรั่วว่า...พี่สะใภ้!
(ม่านถัวได้ยินแล้วชักสีหน้าทันที)
* จู้กั๋ว คือ
ชื่อตำแหน่งในสมัยโบราณของแม่ทัพใหญ่ที่สร้างผลงานจนได้รับยกย่องว่าเป็นยอดขุนพล
ในที่นี้หมายถึง "ตู๋กูซิ่น"
ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดจู้กั๋วของราชวงศ์เว่ยตะวันตก
ครั้นเล่นงานปันรั่วไม่สำเร็จ เหยาฟูเหรินจึงเปลี่ยนมาหาเรื่องม่านถัว
เธอรู้ว่าม่านถัวเป็นคนจัดหานางรำจึงกล่าวชมเหล่านางรำแต่ตำหนิเรื่องนักดนตรี
เธอจำได้ว่ามารดาม่านถัว (ซึ่งเป็นอนุภรรยาของตู๋กูซิ่น) เชี่ยวชาญทั้งการเล่นฉินและหมากรุกตั้งแต่สมัยยังอยู่ที่เจี้ยวฟาง
(กองงานเกี่ยวกับดนตรีและนาฏศิลป์ในราชสำนัก) จึงอยากให้ม่านถัวแสดงความสามารถให้พวกตนดูบ้างในฐานะที่เป็นเจ้าภาพ
ม่านถัวยินดีบรรเลงเพลงตามคำขอ
แต่มีข้อแม้ว่าเหยาฟูเหรินจะต้องลุกมาร่ายรำถวายฮองเฮาแทนเหล่านางรำของตน (ม่านถัวอ้างว่านางรำเหล่านี้ไม่คู่ควรกับเพลงของตน)
เหยาฟูเหรินได้ยินแล้วพูดไม่ออก ม่านถัวแกล้งถามว่าเหยาฟูเหรินถนัดร่ายรำแนวไหน
ระหว่างระบำพื้นบ้านของชนเผ่าทางตอนเหนือ กับระบำเยาหลิง
(เป็นระบำหน้าท้องซึ่งจะมีการผูกกระดิ่งไว้รอบเอวผู้ร่ายรำ)
เธอรู้ว่าเหยาฟูเหรินไม่ยอมร่ายรำแน่จึงท้าประชันบทกลอนแทน
หลังม่านถัวแสดงความสามารถในการร่ายบทกวีให้ทุกเห็น
ฮองเฮาจึงกล่าวชมม่านถัวว่าเป็นสตรีที่มีความสามารถเกินใคร
เจียหลัวเห็นว่าอวี่เหวินยง (ฝู่เฉิงหวัง)
จะร่วมแข่งกีฬาบนหลังม้าก็รู้สึกเป็นห่วง เธอจึงอาสาลงแข่งแทน "ตู๋กูซุ่น"
(พี่ห้าของเจียหลัว) ซึ่งขี่ม้าไม่เก่งเท่าเธอ หวังแสดงความสามารถและถือโอกาสปกป้องอวี่เหวินยงในสนาม ตู๋กูซุ่นปฏิเสธทันควันเพราะบิดาห้ามไม่ให้เจียหลัวลงแข่งโดยเด็ดขาด
เพื่อไม่ให้เจียหลัวเป็นกังวลอวี่เหวินยงจึงรับปากว่าจะรักษาตัวให้ดี หลังทำแต้มให้ทีมได้ตู๋กูซุ่นก็ถูกคุณชายคนหนึ่งถีบทีเผลอทำให้พลัดตกจากหลังม้าและได้รับบาดเจ็บที่ขา
ครั้นตู๋กูซุ่นร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด คุณชายคนดังกล่าวจึงเย้ยว่าบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยแต่ทำสำออยเหมือนเด็กอมมือ
ซ้ำยังพูดหน้าตาเฉยว่าตู๋กูซุ่นอ่อนหัดเลยตกลงมาเอง
ม่านถัวได้ยินดังนั้นจึงปรี่มาเอาเรื่อง
แต่คุณชายคนดังกล่าวยืนกรานว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุไม่เกี่ยวกับตน
ในเมื่อม้าไม่เชื่อฟังคนจะโทษใครได้
เขาอ้างว่าการปะทะกันเป็นเรื่องปกติในการแข่งขัน
ก่อนย้ำคำเดิมว่าตู๋กูซุ่นอ่อนหัดเลยตกลงมาเอง
พูดจบคุณชายคนดังกล่าวก็ปีนกลับขึ้นไปบนหลังม้า
ปันรั่วเพิ่งมาถึงจึงร้องเรียกคุณชายคนดังกล่าว
ก่อนถามย้ำว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด และม้าตัวที่เขาขี่มีส่วนผิดด้วยใช่ไหม
ครั้นคุณชายคนดังกล่าวตอบว่าใช่
ปันรั่วจึงใช้มีดแทงคอม้าตัวดังกล่าวอย่างเลือดเย็น
เมื่อม้าล้มลงคุณชายคนดังกล่าวจึงร่วงลงไปกองกับพื้น
ก่อนร้องโอดโอยเพราะได้รับบาดเจ็บที่ขาเหมือนตู๋กูซุ่น
หลังสั่งสอนคุณชายคนดังกล่าวที่บังอาจลบหลู่สกุลตู๋กูแล้ว
ปันรั่วก็โยนต่างหูข้างหนึ่งให้เขาเพื่อชดใช้ค่าม้าที่ตายไป
อวี่เหวินฮู่ซึ่งยืนสังเกตการณ์ท่ามกลางฝูงชน เห็นการกระทำของปันรั่วแล้วได้แต่ยิ้มกริ่ม
ที่แท้ปันรั่วกับอวี่เหวินฮู่แอบคบหากันอย่างลับๆ
หลังพระอาทิตย์ตกดินอวี่เหวินฮู่แอบบุกมาหาปันรั่วถึงในห้องนอน
เขากล่าวว่าเห็นท่วงท่าเธอตอนฆ่าม้าแล้วกระหายเกินทน
แต่ปันรั่วยืนยันคำเดิมว่า
รอให้เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้วแต่งตั้งเธอเป็นฮองเฮาก่อน
เธอถึงจะยอมเป็นของเขา
อวี่เหวินฮู่สงสัยว่าทำไมตนถึงยังคงหลงใหลในตัวปันรั่วทั้งๆ
ที่เธอใจร้ายกับเขาทุกครั้ง
ปันรั่วกล่าวว่าเพราะเธอเป็นคนเดียวที่จะช่วยให้เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์
อวี่เหวินฮู่ออดอ้อนปันรั่วให้ปลอบใจตนหลังถูกเจียหลัวฉีกหน้า แต่ปันรั่วไม่เล่นด้วย
เธอชี้ว่าแม้เขาจะเรืองอำนาจแต่มีชาติกำเนิดต่ำต้อย
ต่อให้เขาแต่งงานกับองค์หญิงของราชวงศ์ก่อน ราชสำนักจะยังคงดูแคลนเขาอยู่ดี
เพราะเหตุนี้หลังลุงของเขา..."หวงตี้เหวินไท่*" เสียชีวิต
เหล่าขุนนางในราชสำนักจึงเลือกบุตรชายที่ไม่เอาไหนอย่างอวี่เหวินเจวี๋ยเป็นฮ่องเต้แทนที่จะเลือกอวี่เหวินฮู่ เพราะมารดาของอวี่เหวินเจวี๋ยมีศักดิ์เป็นองค์หญิง
* หวงตี้เหวินไท่ (ฮ่องเต้เหวินไท่) หมายถึง "อวี่เหวินไท่"
ซึ่งถูกเลื่อนศักดิ์เป็น "เหวินหวงตี้" หลังเสียชีวิต
(สมัยยังมีชีวิตเขาเป็นยอดขุนพลของราชวงศ์เว่ยตะวันตก)
เธอกล่าวว่ามารดาผู้ให้กำเนิดเธอมาจากสกุลกัวแห่งไท่หยวนซึ่งร่ำรวยล้นฟ้า
ส่วนแม่เลี้ยงเธอ (มารดาเจียหลัว) เป็นธิดาสกุลชุยแห่งชิงเหอ
ดังนั้น ชาติกำเนิดและภูมิหลังครอบครัวเธอจึงไม่ด้อยไปกว่าองค์หญิง
ที่สำคัญบิดาเธอเปี่ยมไปด้วยอำนาจ ปัจจุบันกุมอำนาจทางการทหารมากกว่าสี่ส่วน
ทั้งยังเป็นผู้นำจู้กั๋วอีกด้วย เมื่อถึงเวลาและถ้าเธอต้องการ
เธอสามารถดันอวี่เหวินฮู่ให้ขึ้นครองบัลลังก์ได้ทุกเมื่อ
ครั้นได้ยินคำพูดที่ทั้งแทงใจดำและตรงไปตรงมา
อวี่เหวินฮู่จึงกล่าวว่าใต้หล้านี้มีเพียงตนที่รับผู้หญิงใฝ่สูงอย่างปันรั่วได้
ปันรั่วกล่าวว่าแม้ที่ผ่านมาบิดาเธอจะใช้ชีวิตแบบสมถะในเป่ยเจียง
แต่เธอไม่เคยลืมคำทำนายของอดีตฮ่องเต้ ทั้งยังเชื่อว่าตนคือสตรีที่จะทำให้คำทำนายเป็นจริง แม้ไม่เคยมีฮ่องเต้ที่เป็นสตรี
แต่เธอเชื่อว่าฮ่องเต้ที่ปกครองใต้หล้าจะต้องมีสายเลือดตู๋กูอย่างแน่นอน
(เธอเชื่อว่าหากตนได้เป็นฮองเฮา
บุตรชายของเธอจะเป็นราชันที่สามารถรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง)
* สกุลชุยแห่งชิงเหอ เป็นหนึ่งในสี่สกุลดังนับตั้งแต่ราชวงศ์เว่ยเหนือ
(มีธิดาเป็นพระสนมของฮ่องเต้) ทั้งยังเป็นหนึ่งในห้าสกุลดังที่ผู้คนยกย่องนับถือ (สกุลขุนนางใหญ่) ในสมัยราชวงศ์ถัง
อวี่เหวินฮู่
(ซึ่งยังคงนัวเนียปันรั่วตลอดเวลา) ไม่คิดเช่นนั้น เขาเชื่อว่า "ผู้ใดได้ครองตู๋กู จะได้ครองใต้หล้า"
ขอเพียงตนได้ครอบครองปันรั่ว ใต้หล้าย่อมอยู่ในมือตน
เขาแนะปันรั่วให้รีบไปเตือนบิดาว่า
หลังกลับจากเป่ยเจียงแล้วควรพักผ่อนให้สบายอยู่ในเมืองหลวง
อย่าก้าวล่วงเรื่องอื่น เพราะตนไม่อยากเห็นตู๋กูซิ่นรับตำแหน่งเสนาฯ
เขารู้ว่าปันรั่วเองย่อมเข้าใจดีว่า
ทำไมบิดาเธอเพิ่งเดินทางมาถึงเมืองหลวงได้เพียง 2 วัน อวี่เหวินเจวี๋ย
(ฮ่องเต้) ก็รีบมาที่ลานฝึกของสกุลตู๋กูในวันนี้
อวี่เหวินฮู่กล่าวว่าหากตู๋กูซิ่นรับตำแหน่งเสนาฯ
ฝ่ายอวี่เหวินเจวี๋ยจะมีทัพใหญ่คอยสนับสนุน
ถึงกระนั้นเขายังคงยืนยันคำเดิมว่าใครก็ตามที่ยอมรับตำแหน่งเสนาฯ
เท่ากับเป็นศัตรูของตน ตนไม่อยากห้ำหั่นว่าที่พ่อตาในวันหน้า
ปันรั่วเตือนอวี่เหวินฮู่ว่าหากเขากล้าทำร้ายครอบครัวเธอ
เธอจะทำให้เขาเสียใจตราบจนชั่วชีวิต อวี่เหวินฮู่ออกตัวว่าตนแค่ล้อเล่น
ปันรั่วยิ้มก่อนยืนยันว่าเธอพูดจริงทำจริง
อวี่เหวินฮู่จึงขอพูดอย่างจริงจังบ้าง เขาบอกปันรั่วว่าต่อไปห้ามเล่นหูเล่นตากับอวี่เหวินอวี้อีก
เขาจะจุมพิตเธอแต่ถูกปฏิเสธอีกตามเคย
ปันรั่วพยายามหว่านล้อมบิดาไม่ให้รับตำแหน่งเสนาฯ
โดยกล่าวว่าฮ่องเต่เพิ่งครองบัลลังก์ได้ไม่กี่ปีแต่เปลี่ยนเสนาฯ ไปแล้วห้าคน
แต่ละคนล้วนไม่ตายดี เธอกล่าวว่าบิดาเป็นยอดขุนพลเลื่องชื่อที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักมาแต่ไหนแต่ไร แล้วเหตุใดคราวนี้ถึงคิดเอาตัวเอาเข้าไปเสี่ยง
ตู๋กูซิ่นรู้ดีทุกอย่างเพียงแต่เขากับอวี่เหวินไท่เป็นพี่น้องร่วมสาบาน ก่อนสิ้นใจอวี่เหวินไท่ได้ฝากฝังบุตรชาย (ฮ่องเต้) เอาไว้ ยามนี้อวี่เหวินฮู่ถืออำนาจบาตรใหญ่ ซ้ำยังเหิมเกริมขึ้นทุกวัน
เขาจึงมิอาจทนดูฮ่องเต้โดนลบหลู่เยี่ยงนี้
ปันรั่วแย้งว่าบิดาเกลียดการแก่งแย่งชิงดีภายในราชสำนักเลยไปอยู่เป่ยเจียงเพื่อหนีห่างความขัดแย้ง ตู๋กูซิ่นแย้งกลับว่าคราวนี้ไม่เหมือนกัน ครั้นเห็นว่าไม่เป็นผลปันรั่วจึงอ้างคำสัญญาที่บิดาเคยให้ไว้กับมารดาว่า ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายก็จะดูแลลูกทุกคนให้ดี
หากบิดารับตำแหน่งเสนาฯ เท่ากับเป็นปรปักษ์ต่ออวี่เหวินฮู่
เช่นนั้นแล้วพวกตนจะอยู่กันอย่างไร เธอชี้ว่าน้องชายแต่ละคนล้วนยังเยาว์
หากบิดาไม่อยู่สักคนใครจะคอยปกป้องพวกเขา
ไหนจะลูกสาวอีกสามคนอย่างพวกตนที่ยังไม่มีใครออกเรือน อยากให้พวกตนเข้าพิธีแต่งงานโดยไร้ซึ่งบิดามารดางั้นหรือ
ตู๋กูซิ่นกล่าวว่าตนจะไม่รับปากฮ่องเต้โดยง่าย
เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเหล่าบรรดาลูกชายยังรอได้อีกสองสามปี
แต่ลูกสาวทั้งสามคนต้องเริ่มคิดเรื่องแต่งงานได้แล้ว ตู๋กูซิ่นถามปันรั่วว่ามีชายในดวงใจหรือยัง เขาได้ยินว่าช่วงนี้เธอกับหนิงตูหวัง
(อวี่เหวินอวี้) สนิทสนมกันมาก หากปันรั่วไม่รีบตัดสินใจเรื่องแต่งงาน ม่านถัวกับเจียหลัวซึ่งโตเป็นสาวแล้วทั้งคู่จะแต่งงานได้อย่างไร
ปันรั่วแย้งว่าเจียหลัวยังเป็นเด็กซุกซนจะเป็นภรรยาและแม่คนได้อย่างไร
ตู๋กูซิ่นกล่าวว่าที่ผ่านมาเจียหลัวมักติดตามตนไปสนามรบเลยมีนิสัยเหมือนผู้ชาย
โชคดีที่สองสามปีนี้ตนส่งเจียหลัวมาให้ปันรั่วช่วยดูแลที่เมืองหลวง
ปันรั่วนึกขึ้นได้เลยถามบิดาเรื่องหยางเจียน
เธอได้ยินว่าเขาจะมาถึงเมืองหลวงในไม่ช้า ตู๋กูซิ่นกล่าวว่า 'ลุงหยาง' (หยางจง) เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นในราชสำนัก หยางเจียนจึงอาสามาเข้าเฝ้าแทนบิดา
เขาชมว่าหยางเจียนเป็นเด็กดี ฉลาด รู้ความ ไม่เพียงรู้วิธีนำทัพ
แต่ยังเก่งกาจด้าน 'ฉินฉีซูฮว่า' อีกด้วย
* ฉินฉีซูฮว่า คือ ศิลปะสี่แขนงของปัญญาชนจีนในสมัยโบราณ ได้แก่
การบรรเลงเพลงฉิน (กู่ฉิน), การเล่นหมากล้อม (เหวยฉี),
การเขียนอักษรพู่กันจีน (ซูฝ่า) และ การวาดภาพแบบจีน
(ฮว่า)
ปันรั่วรู้สึกแปลกใจเมื่อบิดาบอกว่าจะให้หยางเจียนแต่งงานกับม่านถัว
เธอเห็นว่าบิดาปลื้มหยางเจียนมากเลยนึกว่าบิดาจะให้เขาแต่งงานกับลูกสาวคนโปรดอย่างเจียหลัว
ตู๋กูซิ่นแย้งว่าตนรักลูกๆ ทุกคน
แม้ม่านถัวจะไม่ใช่ลูกภรรยาเอกเหมือนปันรั่วกับเจียหลัว
แต่ตนกับลุงหยางเป็นดั่งพี่น้อง ตนเชื่อว่าหากม่านถัวแต่งงานกับหยางเจียนแล้วจะไม่โดนครอบครัวสามีเหยียดหยามแน่นอน (ม่านถัวเกิดจากมารดาสกุลจู เป็นลูกนอกสมรสจึงมีสถานะทางสังคมต่ำต้อย ตูกูซิ่นเกรงว่าหากให้แต่งงานกับคนอื่นคนไกล
ม่านถัวอาจโดนครอบครัวสามีกดขี่ข่มเหง) ครั้นรู้ว่าบิดาวางแผนเรื่องแต่งงานให้ม่านถัวไว้เป็นอย่างดี
ปันรั่วจึงเปรยว่าหากม่านถัวรู้เข้าคงหัวเราะร่าแม้ยามหลับฝัน
แต่ทว่าม่านถัวไม่คิดเช่นนั้น แม้วันนี้ฮองเฮาจะมอบปิ่นทองรูปหงส์
(เฟิ่ง) ให้เธอเป็นรางวัล แต่เธอกลับเซื่องซึมจน
"แม่นมหม่า" รู้สึกแปลกใจ แม่นมหม่ามองว่าการที่ม่านถัวได้รับปิ่นหงส์
(ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของฮองเฮา)
นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี วันนี้ม่านถัวเพิ่งแสดงความสามารถให้ทุกคนได้เห็น
แม้แต่ปันรั่วยังเก่งสู้เธอไม่ได้ แม่นมหม่ากล่าวว่าปิ่นอันนี้ถือเป็นลางดี
เธอเชื่อว่าหลังจากนี้ม่านถัวจะได้เป็นสตรีสูงศักดิ์ดังเช่นฮองเฮา
ม่านถัวแย้งว่าเธอจะเป็นสตรีสูงศักดิ์ได้อย่างไรในเมื่อใครๆ
ต่างบอกว่าบิดาจะให้เธอแต่งงานกับหยางเจียน
แม่นมหม่าได้ยินแล้วทั้งตกใจและผิดหวัง ผิดกับ "ชิวฉือ"
(สาวใช้ของม่านถัว)
ที่มองว่าเป็นข่าวดีสุดๆ
เธอกล่าวว่าหยางเจียนกับม่านถัวต่างเป็นคนมากความสามารถจึงเหมาะสมกันดุจกิ่งทองใบหยก แม่นมหม่าแย้งว่า ไม่ว่าหยางเจียนจะดีแค่ไหนเขาก็เป็นเพียง "ซื่อจื่อ"
(ในที่นี้หมายถึงบุตรชายของขุนนางใหญ่) ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับหนิงตูหวัง
(อวี่เหวินอวี้) และฝู่เฉิงหวัง
(อวี่เหวินยง)
ม่านถัวเห็นด้วยกับแม่นมหม่า
เธอบ่นว่าทำไมฮองเฮาถึงอยากให้ปันรั่วแต่งเข้าราชสกุล ส่วนฝู่เฉิงหวังวันๆ
ก็ขลุกอยู่กับเจียหลัว
มีเพียงเธอที่ต้องแต่งงานกับขุนนางธรรมดา ชิวฉือจะปลอบใจแต่ม่านถัวรู้ดีว่าทั้งหมดเป็นเพราะเธอคือลูกเลี้ยงของ 'ท่านป้า' ชิวฉือปลอบว่าความจริงแล้วนายท่านก็รักม่านถัวเช่นกัน และบอกด้วยว่าในบรรดาคุณหนูทั้งสามคนของจวนนี้
ม่านถัวงดงามและรอบรู้ที่สุด
ม่านถัวกล่าวว่าถ้าเช่นนั้นเธอควรได้ดีกว่าทุกคน แล้วทำไมคนอื่นถึงเป็น
"หวังเฟย" ได้ แต่เธอเป็นไม่ได้
* หวังเฟย คือ ชายาของผู้มีศักดิ์เป็น 'หวัง' (อ๋อง) หรือ "องค์ชาย"
ปันรั่วตำหนิเจียหลัวที่กล้าหาญชาญชัยถึงขั้นลบหลู่ราชครูอวี่เหวินฮู่ต่อหน้าผู้คน
เจียหลัวกล่าวว่านั่นเป็นเพราะอวี่เหวินฮู่บังอาจเล็งธนูใส่บิดาทั้งที่อยู่ในถิ่นของพวกตน
เธออ้างคำสอนของปันรั่วที่บอกว่าสกุลตู๋กูจะไม่ยอมให้ใครมารังแกง่ายๆ
และกล่าวว่าหากพวกตนยอมโดนหยามแล้วมีข่าวแพร่ออกไป
ต่อไปใครจะเคารพยำเกรงสกุลตู๋กู ตอนที่พี่ห้า
(ตู๋กูซุ่น) ถูกรังแก
ปันรั่วเองก็ใช้มีดแทงม้าจนตายเช่นกัน
ปันรั่วแย้งว่าเจียหลัวไม่อาจทำเหมือนตนได้ทุกเรื่อง
เธอชี้ว่าแม้ตอนนั้นการกระทำของเจียหลัวจะช่วยลดความเหิมเกริมของอวี่เหวินฮู่
แถมอวี่เหวินฮู่ยังไม่เอาความ
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนอย่างราชครูจะลงมือกับผู้หญิงตัวเล็กๆ
อย่างเจียหลัวไม่ได้
เธออยากลดความแก่นแก้วและฝึกเจียหลัวให้เป็นกุลสตรีมากกว่านี้ จึงสังให้
"เซี่ยเกอ"
(สาวใช้ของเจียหลัว)
ไปนำกรอบปักผ้ามาสามอัน
จากนั้นก็ลงโทษเจียหลัวด้วยการสั่งให้ปักผ้าลายหงส์สามผืนและต้องทำให้เสร็จภายในห้าวัน
เจียหลัวไม่ถนัดงานเย็บปักจึงขอให้ปันรั่วตีตนแทนแต่ไม่เป็นผล
ฮ่องเต้กับตู๋กูซิ่นลอบพบกันที่หอบูชาบรรพชน (ของราชวงศ์) ที่วัดหลงอวี่ซื่อ
ทันทีที่ตู๋กูซิ่นมาถึงฮ่องเต้ก็บอกตู๋กูซิ่นอย่างหวาดระแวงว่าตนถูกคนของอวี่เหวินฮู่คอยจับตาดูตลอดเวลา
การลอบออกมาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
ฮ่องเต้คุกเข่าขอความช่วยเหลือจากตู๋กูซิ่น
(ฮ่องเต้เรียกตู๋กูซิ่นว่า 'ท่านอา')
โดยกล่าวว่านับวันอวี่เหวินฮู่จะเหิมเกริมหนักขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อหลายวันก่อนอวี่เหวินฮู่ไม่ยอมรับราชโองการของตนต่อหน้าเหล่าขุนนาง
และคราวก่อนตนดื่มสุราพิษที่เขานำมาถวายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ฮ่องเต้ยังบอกอีกว่าในบรรดาขุนนางทั้งหมดมีเพียงตู๋กูซิ่นเท่านั้นที่กล้าต่อกรกับอวี่เหวินฮู่
ตนไม่มีทางเลือกเลยจำต้องเรียกตัวตู๋กูซิ่นกลับเมืองหลวงเพื่อรับตำแหน่งเสนาฯ
ฮ่องเต้ขอให้ตู๋กูซิ่นยอมรับตำแหน่งดังกล่าวและขอให้ช่วยชีวิตตน
ครั้นตู๋กูซิ่นอ้างว่าตนอายุมากแล้ว
ฮ่องเต้จึงเตือนเรื่องคำสั่งเสียของอดีตฮ่องเต้
(ในที่นี้หมายถึงอวี่เหวินไท่) ตู๋กูซิ่นหันไปมองป้ายชื่ออวี่เหวินไท่บนแท่นบูชา
ฮ่องเต้เห็นตู๋กูซิ่นมีท่าทีลังเลจึงถามว่าอยากเห็นตนตายด้วยน้ำมือเหล่าขุนนางชั่วอย่างนั้นหรือ
ตู๋กูซิ่นกล่าวว่าตนไม่มีทางปล่อยให้เป็นเช่นนั้นแน่
ครั้นฮ่องเต้เร่งให้ย้ายมาอยู่ที่จวนเสนาฯ
ตู๋กูซิ่นจึงขอเวลาไตร่ตรองอีกสองสามวัน
ครั้นออกมาจากหอบูชาตู๋กูซิ่นก็พบว่าอวี่เหวินฮู่มาดักรอตน
อวี่เหวินฮู่เดาว่าฮ่องเต่คงร้องไห้คร่ำครวญและฟ้องตู๋กูซิ่นแล้ว
ตู๋กูซิ่นเหน็บว่าอวี่เหวินฮู่หูตาช่างกว้างไกล
อวี่เหวินฮู่กล่าวว่าที่ผ่านมาตนเคารพยกย่องตู๋กูซิ่นเสมอ
เพราะตู๋กูซิ่นเป็นยอดขุนพลผู้เลื่องชื่อของต้าเว่ย
เพราะเหตุนี้ตนถึงไม่อยากเห็นตู๋กูซิ่นถูกอวี่เหวินเจวี๋ย (ฮ่องเต้) ใช้เป็นเครื่องมือในการต่อกรกับตน
ตู๋กูซิ่นกล่าวว่าการรับใช้ฮ่องเต้เป็นหน้าที่ของตน
เหตุใดอวี่เหวินฮู่จึงกล่าวว่าตนถูกหลอกใช้
อวี่เหวินฮู่ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า อวี่เหวินเจวี๋ยเป็นเพียงบัณฑิตอ่อนแอที่ดีแต่ร้องคร่ำครวญ ตู๋กูซิ่นคิดว่าคนอย่างอวี่เหวินเจวี๋ยสามารถต่อกรกับ "เกาจ้าน" แห่งราชวงศ์ฉีได้หรือ
และจงอย่าลืมว่าแคว้นเหลียงยังคงจ้องเขมือบแผ่นดินพวกตนตาเป็นมัน
* เกาจ้านเป็นฮ่องเต้องค์ที่สี่แห่งราชวงศ์เป่ยฉี
และเป็นบุตรชายคนที่เก้าของเกาฮวน
อวี่เหวินฮู่ชี้ว่าตู๋กูซิ่นเป็นแม่ทัพผู้ภักดีแต่อวี่เหวินเจวี๋ยเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ตนช่วยผลักดันให้เป็นฮ่องเต้
ตนไม่หวังให้ตู๋กูซิ่นมาอยู่ข้างตน
แต่ถ้าตู๋กูซิ่นรักษาความเป็นกลางและไม่ตอบรับตำแหน่งเสนาฯ
ตนสัญญาว่าจะมอบตำแหน่งที่ไม่มีใครเทียบเทียมให้ตู๋กูซิ่น
เมื่อถึงเวลานั้นความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลจะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ตู๋กูซิ่นปฏิเสธทันควันโดยอ้างว่าตำแหน่งของตนสูงพอแล้ว
(สูงสุดในหมู่แม่ทัพใหญ่) และเดินหนีทันที
ครั้นเห็นว่าตู๋กูซิ่นไม่สนใจในลาภยศดังคำร่ำลือ
อวี่เหวินฮู่จึงหยิบยกคำทำนายที่ว่า "ตู๋กูเทียนเซี่ย" (ใต้หล้าของตู๋กู)
มากล่าวอ้าง
ตู๋กูซิ่นเตือนว่าอวี่เหวินฮู่เป็นถึงประมุขของเหล่าขุนนางจึงควรพูดเพ้อเจ้อให้น้อยลง
แต่อวี่เหวินฮู่เชื่อในคำทำนายจึงบอกให้ตู๋กูซิ่นมาร่วมมือกับตน
แล้วตนจะช่วยให้คำทำนายเป็นจริง
ตู๋กูซิ่นได้ยินดังนั้นจึงบอกเป็นนัยว่าหากใต้หล้าเป็นของตู๋กูจริง
อวี่เหวินฮู่จะไม่มีแผ่นดินอยู่
อวี่เหวินฮู่ยิ้มและกล่าวอย่างใจเย็นว่าทุกสิ่งที่ตนพูดล้วนเป็นเรื่องดี
ดังนั้นจงอย่าตัดรอน แต่ตู๋กูซิ่นยังคงปฏิเสธอย่างไม่ใยดี
เกอซูเห็นว่าตู๋กูซิ่นรับมือได้ยากเลยอาสาช่วยแบ่งเบา
อวี่เหวินฮู่ปฏิเสธและห้ามเขาลงมือโดยพลการ
ทั้งนี้เพราะตู๋กูซิ่นก็เป็นบิดาของปันรั่ว
ที่สำคัญตู๋กูซิ่นยังไม่รับตำแหน่งเสนาฯ
ระหว่างนี้ควรรอดูสถานการณ์ไปก่อน
อวี่เหวินฮู่เปรยว่าจิ้งจอกเฒ่าหยางจงอ้างว่าตนป่วยจึงไม่มาร่วมประชุมขุนนาง
แต่ส่งบุตรชาย
(หยางเจียน) มาเมืองหลวงแทน
เขาไม่วางใจในเรื่องนี้จึงสั่งให้เกอซูส่งคนไปคอยจับตาดูหยางเจียน
หากหยางเจียนมาถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ให้รีบรายงานตนทันที
*** จบตอนที่หนึ่ง ***
* เนื้อหาโดย luvasianseries / ดูอัลบั้มภาพได้
ที่นี่
รายชื่อนักแสดง
นักแสดงนำ
หูปิงชิง
รับบท ตู๋กูเจียหลัว
(นักแสดง ชาวจีน)
จางตานเฟิง
รับบท หยางเจียน
(นักแสดง ชาวจีน)
อันอี่เซวียน
รับบท ตู๋กูปันรั่ว
(นักแสดง / นักร้อง ชาวไต้หวัน)
รับบท อวี่เหวินฮู่
(นักแสดง ชาวจีน)
หลี่อีเสี่ยว
รับบท ตู๋กูม่านถัว
(นักแสดง ชาวจีน)
ตระกูลตู๋กู
หวงเหวินหาว
รับบท ตู๋กูซิ่น
(นักแสดง ชาวไต้หวัน)
เถียนป๋อ
รับบท ตู๋กูซุ่น
(นักแสดง / นักร้อง / โปรดิวเซอร์เพลง ชาวจีน)
ราชวงศ์เป่ยโจว (โจวเหนือ)
ซูเม่า
รับบท อวี่เหวินไท่
(นักแสดง ชาวจีน)
หลี่รุ่ยเชา
รับบท อวี่เหวินเจวี๋ย (เสี้ยวหมินตี้)
(นักแสดง ชาวจีน)
หยางไฉ่อิ๋ง
รับบท หยวนฮองเฮา
(นักแสดง ชาวจีน)
โจวถิงเวย
รับบท อวี่เหวินอวี้ (โจวหมิงตี้)
(นักแสดง ชาวจีน)
อิงฮ่าวหมิง
รับบท อวี่เหวินยง (โจวอู่ตี้)
(นักแสดง ชาวจีน)
หวงจื่อซี
รับบท อาสือน่าอวิ๋น
(นักแสดง ชาวจีน)
จางจื่อเสวียน
รับบท หลี่เอ๋อจือ
(นักแสดง ชาวจีน)
หลิวซ่วย
รับบท อวี่เหวินอวิน (โจวเซวียนตี้)
(นักแสดง ชาวจีน)
จูตี๋เอ่อร์
รับบท จูหม่านเยว่
(นักแสดง ชาวจีน)
หวังอี๋เหวิน
รับบท อวี้ฉือชื่อฝาน
(นักแสดงจีน สัญชาติเกาหลี)
ราชวงศ์สุย
ซ่างกวนถง
รับบท หลีว์ขู่เถา (หยางฟูเหริน)
(นักแสดง ชาวจีน)
หลี่อีเสี่ยว
รับบท อวี้ฉือฝานเย่
(นักแสดง ชาวจีน)
ราชวงศ์ถัง
หลูซิงอวี่
รับบท หลีปิ่ง
(นักแสดง ชาวจีน)
เฉียงอวี่
รับบท หลี่เฉิง
(นักแสดง / ผู้ดำเนินรายการ ชาวจีน)
อื่นๆ
จ้าวอี้ซิน
รับบท เกอซู
(นักแสดง / นายแบบ / ผู้ดำเนินรายการ ชาวจีน)
กู้อี่เลี่ยง
รับบท เหอเฉวียน
(นักแสดง ชาวจีน)
หยวนเสี่ยวซวี่
รับบท ชุนซือ
(นักแสดง / นางแบบ ชาวจีน)
อวี๋เสียวหว่าน
รับบท ชิวฉือ
(นักแสดง ชาวจีน)
เมิ่งหนาน
รับบท เซี่ยเกอ
(นักแสดง ชาวจีน)
หม่าเฟย
รับบท ตงฉวี
(นักแสดง ชาวจีน)
หม่าจิ้งหาน
รับบท หยวนซิว
(นักแสดง ชาวจีน)
หวังเจิง
รับบท เกาจ้าน (อู่เฉิงตี้)
(นักแสดง ชาวจีน)
** จักรพรรดิองค์ที่สี่แห่งราชวงศ์เป่ยฉี **
หลี่ว์อี
รับบท ลู่เจิน
(นักแสดง ชาวจีน)
** เสนาฯ หญิงแห่งราชวงศ์เป่ยฉี **
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้
และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์
luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ
และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ถ้าสนใจอ่านตอนต่อๆ ไปจนจบ อ่านได้ที่ไหนคะ ขอบคุณค่ะ
ตอบลบต้องขออภัยด้วยนะคะ ส่วนใหญ่ luvasianseries จะทำเนื้อหาเฉพาะตอนที่หนึ่งค่ะเพราะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราว
ลบ