วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2564

เรื่องย่อ หยุนเกอ ลิขิตรักทะเลทราย (Love Yunge from the Desert)




กำกับ: หูอี้เจวียน, ไช่จิงเซิ่ง, หูหมิงข่าย
เขียนบท: เสินจื่อหนิง
แนวละคร: โรแมนติก, อ้างอิงประวัติศาสตร์
จำนวนตอน: 44 (ทีวี) / 45 (ดีวีดี)
ออกอากาศ: จีน - 13 กันยายน 2558 - 23 พฤศจิกายน 2558 ทางหูหนานทีวี
                ไทย - ทุกคืนวันเสาร์-อาทิตย์ (หรือเช้าวันอาทิตย์-จันทร์) เวลา 01:20-03.00 น. ทางช่อง 7 เอชดี (หมายเลข 35) ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2564 - 14 มีนาคม 2564






เรื่องย่อ



ละคร "หยุนเกอ ลิขิตรักทะเลทราย" (Love Yunge from the Desert) ดัดแปลงจากนิยายรักเรื่อง "อวิ๋นจงเกอ" (บทเพลงกลางเมฆา) ของนักประพันธ์หญิงนาม "ถงหัว" เนื้อหากล่าวถึงเหตุการณ์ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก โดยนำเสนอเรื่องราวความรักระหว่าง อวิ๋นเกอ (หยุนเกอ), เมิ่งเจวี๋ย และ หลิวฝูหลิง 

"หลิวฝูหลิง" (องค์ชายหก) ในวัย 8 ปี เดินทางข้ามทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาลในแถบซีอวี้ (ดินแดนนอกด่านด้านทิศตะวันตก) แต่เกิดหลงอยู่กลางทะเลทรายนานนับสัปดาห์ ซ้ำยังประสบกับพายุทราย ขณะที่เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอดได้มีเด็กหญิงชุดเขียวนาม "อวิ๋นเกอ" มาช่วยเขาเอาไว้ หลังผ่านพ้นความเป็นความตายมาด้วยกัน ทั้งคู่ต่างรู้สึกดีและเกิดความผูกพันกัน ก่อนจากลาทั้งคู่ได้แลกของแทนใจ โดยอวิ๋นเกอได้ถอดรองเท้าของตนให้ฝูหลิงหนึ่งข้าง และสัญญาว่าโตขึ้นเธอจะไปหาฝูหลิงที่เมืองฉางอัน (อวิ๋นเกอไม่รู้ว่าการที่สตรีมอบรองเท้าให้บุรุษคนใดแสดงว่านางยินดีแต่งงานกับเขา)

สิบปีต่อมา อวิ๋นเกอถูกทางบ้านบีบให้แต่งงานกับคุณชายคนหนึ่ง เธอจึงหนีออกจากบ้านเพื่อมาตามหาฝูหลิงที่เมืองฉางอัน แต่แล้วอวิ๋นเกอกลับเข้าใจผิดคิดว่า "หลิวปิ้งอี่" คือ "พี่หลิง" (ฝูหลิง) ครั้นปิ้งอี่จำเรื่องราวเมื่อสิบปีก่อนไม่ได้ แถมข้างกายเขายังมีหญิงงามชื่อ "สวี่ผิงจวิน" อวิ๋นเกอจึงรู้สึกช้ำใจ ขณะที่อวิ๋นเกอหัวใจสลายและไร้ที่พึ่งพิงในเมืองฉางอัน "เมิ่งเจวี๋ย" ได้คอยเฝ้าดูและยื่นมือช่วยเหลือเธอทั้งต่อหน้าและลับหลัง  ที่แท้เขาคือเด็กชายที่เคยร่วมชะตากรรมกับอวิ๋นเกอและฝูหลิงเมื่อสิบปีก่อน แถมตอนนั้นอวิ๋นเกอยังมอบรองเท้าอีกข้างให้เมิ่งเจวี๋ย (โดยไม่ตั้งใจ) ด้วย แม้อวิ๋นเกอจะจำเมิ่งเจวี๋ยไม่ได้แต่เมิ่งเจวี๋ยไม่เคยลืมเธอ (เขาคือคุณชายที่ทางบ้านเธออยากให้แต่งงานด้วย)

ในขณะที่อวิ๋นเกอเริ่มเปิดใจให้เมิ่งเจวี๋ย โชคชะตากลับชักนำให้เธอได้พบฝูหลิง หลังรู้ว่า "พี่หลิง" ของเธอไม่ใช่ปิ้งอี่แต่เป็นฝูหลิง แถมฝูหลิงยังไม่เคยลืมสัญญาและเฝ้ารอวันที่จะได้พบเธอ อวิ๋นเกอจึงรู้สึกละอายที่เข้าใจผิดไปเอง หลังจากนั้นโชคชะตาได้นำพาอวิ๋นเกอ เมิ่งเจวี๋ย และฝูหลิง เข้ามาอยู่ในวังวนแห่งรักและกลเกมทางการเมือง ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามชมได้ทางช่อง 7 เอชดี และ Bugabootv

***************************

หมายเหตุ:
  • "อวิ๋นเกอ" เป็นลูกสาวของ "จินอวี้" กับ "ฮั่วชวี่ปิ้ง" ในนิยายเรื่อง "ลำนำทะเลทราย" 
  • "เมิ่งเจวี๋ย" เป็นบุตรบุญธรรมของ "เมิ่งซีม่อ" (ท่านเก้า) ในนิยายเรื่อง "ลำนำทะเลทราย" 
  • "หลิวฝูหลิง" คือ จักรพรรดิฮั่นเจา (ฮั่นเจาตี้) เป็นฮ่องเต้องค์ที่ 8 ของราชวงศ์ฮั่นตะวันตก และเป็นพระโอรสของ "จักรพรรดิฮั่นอู่"
  • "หลิวปิ้งอี่" คือ จักรพรรดิฮั่นเซวียน (ฮั่นเซวียนตี้) เป็นฮ่องเต้องค์ที่ 10 ของราชวงศ์ฮั่นตะวันตก และเป็นหลานของ "รัชทายาทเว่ย" (พระโอรสองค์โตของจักรพรรดิฮั่นอู่)

ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง: (ละครมีการดัดแปลงข้อมูลบางส่วน)

"จักรพรรดิฮั่นอู่" (ฮั่นอู่ตี้) นาม "หลิวเช่อ" เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 7 ของราชวงศ์ฮั่น ทรงครองราชย์ยาวนานถึง 54 ปี นับเป็นฮ่องเต้ชาวฮั่นที่ครองบัลลังก์นานที่สุด ในช่วงปลายรัชสมัย พระองค์ทรงมีสุขภาพอ่อนแอ ทั้งยังเป็นโรคหวาดระแวงและหวาดวิตกว่าจะมีคนทำคุณไสย์ใส่ตน หลังเริ่มฝันร้ายและเห็นภาพหลอน (เมื่อ 96 ปี ก่อนคริสตกาล) พระองค์ได้สั่งปราบปรามและกวาดล้างผู้ต้องสงสัยว่าทำคุณไสย์ใส่ตน จึงมีผู้คนตกเป็นเหยื่อและโดนประหารมากมาย หลายคนเป็นถึงขุนนางระดับสูงและถูกฆ่าล้างครัว การนำเรื่องคุณไสย์มาเป็นข้ออ้างในการปราบปรามผู้คนครั้งร้ายแรงสุดเกิดขึ้นเมื่อ 91 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งคนใกล้ชิด พี่สาว และผู้สนับสนุนทางการเมืองของ "รัชทายาทเว่ย" ล้วนตกเป็นเหยื่อทั้งสิ้น บ้างถูกฆ่าล้างครัว บ้างตายในคุก ภายใต้ข้อกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำคุณไสย์ 

หลังจากนั้นไม่นาน รัชทายาทเว่ย (ซึ่งไม่เป็นที่โปรดปรานของบิดา) ก็ถูก "เจียงชง" จัดฉากใส่ร้ายว่าทำคุณไสย์ใส่พระบิดา รัชทายาทเว่ยต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจจึงคิดที่จะไปเข้าเฝ้าพระบิดาซึ่งพักรักษาตัวที่ตำหนักกานเฉวียน (ที่ประทับชั่วคราวนอกเมืองหลวง) เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง แต่ทว่าเจียงชงได้ส่งคนไปทูลจักรพรรดิฮั่นอู่ว่าพบตุ๊กตาคุณไสย์ที่ตำหนักรัชทายาทเว่ยแล้ว รัชทายาทเว่ยจึงทำตามคำแนะนำของผู้เป็นอาจารย์ซึ่งยุให้ปลอมราชโองการแล้วนำกำลังบุกปราบเจียงชงและพวก โดยพระองค์ได้ลงมือสังหารเจียงชงด้วยตนเอง โชคร้ายที่หัวหน้าขันทีนาม "ซูเหวิน" ซึ่งเป็นพวกของเจียงชงหนีไปได้ แถมซูเหวินยังไปฟ้อง (โกหก) จักรพรรดิฮั่นอู่ว่ารัชทายาทเว่ยคิดโค่นล้มบัลลังก์ของพระองค์ ตอนแรกจักรพรรดิฮั่นอู่ยังไม่ปักใจเชื่อจึงส่งขันทีระดับล่างไปตามรัชทายาทเว่ยมาชี้แจง ขันทีคนดังกล่าวไม่กล้าเข้าเมืองฉางอัน (มีข่าวลือว่ารัชทายาทก่อกบฎ) เลยกลับไปทูลจักรพรรดิฮั่นอู่ว่ารัชทายาทเว่ยก่อกบฎและจะฆ่าตนๆ เลยหนีกลับมา จักรพรรดิฮั่นอู่โกรธมากจึงสั่งให้เสนาซ้ายนำกำลังทหารไปปราบกบฎทันที 

รัชทายาทเว่ยไม่มีทางเลือกเลยจำต้องลุกขึ้นต่อสู้ แต่กองกำลังของพระองค์มีเพียงพลเรือนและทหารองค์รักษ์ (ของพระมารดา "เว่ยจื่อฟู") จำนวนน้อยนิด หลังสู้รบกันนาน 5 วัน กองกำลังของรัชทายาทเว่ยจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ครั้นหมดหนทางหลบหนีรัชทายาทเว่ยจึงฆ่าตัวตายในที่สุด (พระมารดาของพระองค์ได้ฆ่าตัวตายไปก่อนหน้าเช่นกัน) ส่วนญาติ ลูกๆ และทุกคนในบ้านของพระองค์ล้วนถูกฆ่าตายทั้งหมด คงมีเพียงหลานชายวัยเพียงหนึ่งเดือนนาม "หลิวปิ้งอี่" ที่ไม่โดนประหารแต่ต้องเข้าไปอยู่ในคุก นอกจากนี้ เหล่าผู้ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือรัชทายาทเว่ยก็พลอยถูกประหารหรือโดนเนรเทศกันทั่วหน้า

ตอนที่หนึ่ง




ละครเปิดฉากโดยอ้างถึงเหตุการณ์จริงทางประวัติศาสตร์ช่วงปลายรัชสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ (ฮั่นอู่ตี้) แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก กลางดึกคืนหนึ่ง "จักรพรรดิฮั่นอู่" เห็นภาพหลอนว่ามีกองทัพทหารดินเผา (แบบที่ฝังอยู่ในสุสาน) ดาหน้าเข้ามาหาตน พระองค์จึงร้องเรียกข้ารับใช้ด้วยความตกใจกลัว เมื่อ "เจียงชง" และ "ซ่างกวนเจี๋ย" ปรี่เข้าไปหา พระองค์ก็บอกด้วยความหวาดกลัวว่าตนเห็นปีศาจมากมาย เจียงชงสบโอกาสเล่นงาน "รัชทายาทเว่ย" (นาม "หลิวจวี้") จึงแอบนำตุ๊กตาคุณไสยไปฝังไว้ที่ตำหนักของรัชทายาท ก่อนนำทหารไปขุดขึ้นมา  (รัชทายาทเว่ย พร้อมพระชายา และหลานชายตัวน้อยนาม "หลิวสวิน" (หลิวปิ้งอี่) เฝ้าดูอยู่ไม่ห่าง) ครั้นเจียงชงและซ่างกวนเจี๋ยนำตุ๊กตาคุณไสยที่พบในตำหนักรัชทายาทมาให้ดู ฮ่องเต้ซึ่งมีอคติกับรัชทายาทเป็นทุนเดิม (ประกอบกับระแวงว่าตนโดนคุณไสย์) จึงหลงเชื่อทันที

หลังจากนั้นรัชทายาทเว่ยและพระมารดา "เว่ยฮองเฮา" (เว่ยจื่อฟู) ก็ถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องกลายเป็นกบฎ แต่ทว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้มีผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวคือ "หลิวสวิน" (หรือ "หลิวปิ้งอี่" หลานชายวัยเยาว์ของรัชทายาท)  ทั้งนี้เพราะเหมินเค่อ*สกุลเมิ่งของรัชทายาทเว่ย ให้ลูกชายคนเล็กของตนสวมรอยเป็นหลิวสวินแล้วรับโทษตายแทน  เมื่อ "ฮั่วกวง" นำกำลังบุกไปที่ตำหนักเว่ยฮองเฮาก็พบว่าเธอผูกคอตายหนีความผิดแล้ว

* เหมินเค่อ คือ คนที่ขุนนางใหญ่หรือชนชั้นสูงเลี้ยงไว้ในบ้านหวังให้เป็นที่เชิดหน้าชูตา ส่วนใหญ่มักเป็นผู้รอบรู้ ผู้มีความสามารถ หรืออาจเป็นยอดฝีมือ คนเหล่านี้มีเงินเดือน มีที่อยู่ที่กินฟรี (อยู่ดีกินดี) แต่ไม่มีหน้าที่ประจำ จะใช้ความรู้ความสามารถต่อเมื่อผู้เป็นนายต้องการ งานหลักคือการเป็นที่ปรึกษาหรือเป็นองครักษ์


ขณะที่องค์ชายหก "หลิวฝูหลิง" และพระมารดา "โกวอี้ฟูเหริน" (หรือ "จ้าวเจี๋ยอวี๋" (สนมจ้าว) สนมคนโปรดของจักรพรรดิฮั่นอู่) กำลังเดินทางด้วยรถม้า อยู่ๆ รถก็ต้องหยุดกลางคันเพราะติดขบวนนักโทษ (จากกรณีคุณไสย์ของรัชทายาทเว่ย)  "เมิ่งเจวี๋ย" เห็นน้องชายกลายเป็นหนึ่งในนักโทษกบฎ (แทนหลิวสวิน) จึงพยายามวิ่งตามและร้องเรียกแต่มารดาของเขาห้ามเอาไว้ หลิวฝูหลิงเห็นผู้คนโดนจับเป็นจำนวนมากจึงถามมารดาว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สนมจ้าวเห็นว่าเขายังเด็กนักจึงไม่อยากให้รับรู้เรื่องราวอันโหดร้าย เมิ่งเจวี๋ยเห็นลูกตะกร้อตกอยู่ตรงหน้าจึงเก็บขึ้นมาดู ครั้นพบว่าเจ้าของตะกร้อลูกดังกล่าวคือ "องค์ชายหก" เมิ่งเจวี๋ยก็ยิ่งเจ็บแค้น เขาบอกมารดาว่าตนจะไม่มีวันลืม ว่าคนที่ฆ่า (ประหาร) น้องชายตนคือบิดาขององค์ชายหก

 


หลังรัชทายาทเว่ยสิ้นพระชนม์ จักรพรรดิฮั่นอู่คิดส่งมอบราชบัลลังก์ให้ "หลิวฝูหลิง" ซึ่งเป็นโอรสองค์เล็ก  พระองค์จึงสั่งให้ "อวี๋อัน" ไปตามสนมจ้าวมาพบตน หลังร้องเพลงกล่อมจนฝูหลิงหลับแล้ว สนมจ้าวจึงวางสร้อยที่ถักจากเส้นผมของตนไว้ในมือของบุตรชายก่อนไปเข้าเฝ้า เมื่อฝูหลิงตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วไม่พบมารดาจึงออกไปตามและบังเอิญเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังม่านแดง ในตอนนั้นมารดาของฝูหลิงกำลังร้องขอชีวิต (จากผู้เป็นพระสวามี) ด้วยเห็นว่าฝูหลิงยังเด็กนัก แต่จักรพรรดิฮั่นอู่ไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม พระองค์เกรงว่าหากตนตายไปแล้วฝูหลิงซึ่งต้องขึ้นครองบัลลังก์ขณะเยาว์วัย (และติดแม่มาก) จะถูกมารดาครอบงำและยึดอำนาจ เลยจำต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลมด้วยการมอบความตายให้เธอ ครั้นเห็นมารดาถูกทหารองครักษ์ลากตัวไปประหาร ฝูหลิงจึงร้องเรียกและจะวิ่งเข้าไปหาแต่ถูกอวี๋อันห้ามไว้ 


ฝูหลิงทั้งเสียใจและรู้สึกผิดที่มารดาต้องสังเวยชีวิตเพียงเพื่อปกป้องบัลลังก์ของตน ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นยังคงตามหลอกหลอนฝูหลิงเรื่อยมาและมักทำให้เขาฝันร้ายเสมอ หลังสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายฝูหลิงก็ต้องกลับมาเผชิญความจริงที่โหดร้ายยิ่งกว่า เพราะเขาและ "จ้าวพั่วหนู" ตลอดจนเหล่าองครักษ์ หลงอยู่กลางทะเลทรายมานานถึง 7 วันแล้ว แถมน้ำที่พกมาด้วยก็แทบไม่เหลือสักหยด แม้จ้าวพั่วหนูพยายามส่งสัญญาณควันหลายครั้งแต่ยังไร้วี่แววคนมาช่วย ฝูหลิงรู้ดีว่าหากไม่มีคนมาช่วยนำทางและไม่เจอแหล่งน้ำพวกตนจะกลายเป็นผีเฝ้าทะเลทรายแต่เขายังคงมีสีหน้าเรียบเฉย  ทันใดนั้นก็มีพายุทรายโหมกระหน่ำ ทุกคนจึงถูกพายุซัดกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง



ขณะที่ฝูหลิงนอนสลบไสลอยู่กลางทะเลทรายได้มีหมาป่าสีขาวตัวหนึ่งเข้ามาเลียหน้าเลียตาเขา ครั้นเริ่มรู้สึกตัวฝูหลิงก็ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องเพลง (เป็นเพลงที่แม่ของเขามักร้องกล่อมให้นอนหลับ) เขาเห็นผู้หญิงสวมชุดสีเขียวเดินตรงเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มจึงหลงนึกว่าเป็นมารดา แต่พอตั้งสติได้กลับพบว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเป็นเด็กหญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา   เขาทั้งอายและตกใจจึงผลักเธอออกแล้วสั่งให้เธอถอยห่างจากตน หมาป่าชื่อ "เสวี่ยเอ๋อร์" เห็นเด็กหญิงถูกคุกคามจึงงับแขนฝูหลิงไม่ปล่อย เด็กหญิงบอกให้ฝูหลิงขอโทษเธอก่อน แล้วเธอจะสั่งให้เสวี่ยเอ๋อร์ปล่อยแขนเขา ครั้นฝูหลิงยอมเจ็บแต่ไม่ยอมขอโทษเด็กหญิงจึงเป็นฝ่ายยอมแพ้ เธอให้ฝูหลิงดื่มน้ำเพื่อลดความร้อนในร่างกาย ก่อนช่วยทายาใส่แผลให้อย่างอ่อนโยน ฝูหลิงจึงเริ่มวางใจและรู้สึกดีกับเธอ ระหว่างทายาฝูหลิงได้กลิ่นดอกบัว เด็กหญิงจึงอวดถุงหอมที่เธอพกติดตัวตลอดเวลา หลังทายา (สูตรลับของครอบครัว) ให้ฝูหลิงแล้ว เด็กหญิงได้มอบถุงน้ำให้เขาก่อนจากลา 

ครั้นเห็นฝูหลิงจ้องมองรองเท้าตน เด็กหญิงจึงถามว่าไม่เคยเห็นรองเท้าปักประดับมุกหรือ ฝูหลิงถามว่าเธอชื่ออะไร แต่เด็กหญิงขอทราบชื่อเขาก่อน ฝูหลิงโกหกว่าตนชื่อ "จ้าวหลิง" ส่วนเด็กหญิงบอกว่าเธอชื่อ "อวิ๋นเกอ" ก่อนขยายความว่า "อวิ๋น" แปลว่า เมฆ ส่วน "เกอ" แปลว่า ลำนำเพลง เธอเห็นว่าเขาอายุมากกว่าจึงเรียกเขาว่า "พี่หลิง" และขอตัว ฝูหลิงรั้งอวิ๋นเกอไว้และถามว่าเธอจะไปไหน อวิ๋นเกอบอกว่าเธอออกมาหาของเพื่อนำไปทำอาหารและกำลังจะกลับบ้าน จากนั้นก็อวดหินกรวดสีขาวที่เธอเพียรหามาหนึ่งวันเต็มๆ  ฝูหลิงสงสัยว่าหินจะนำไปประกอบอาหารได้อย่างไร อวิ๋นเกอชี้ว่าอาหารจานนี้มีชื่อว่า "จีต้านเทียวสือโถ่ว"* 

หมายเหตุ:

* "จีต้านเทียวสือโถ่ว" (鸡蛋挑石头) เป็นอาหารที่มีส่วนผสมคล้ายไข่คน แต่วิธีการทำค่อนข้างแปลก คือจะนำหินกรวดที่ทำความสะอาดแล้วมาใส่ในกระทะแล้วเหยาะน้ำมันพืชลงไป เมื่อหินร้อนจัดจึงปิดไฟ จากนั้นก็นำไข่ (ที่ใส่ส่วนผสมต่างๆ แล้ว) มาราดลงบนหิน แล้วใช้ตะเกียบค่อยๆ คนให้สุกจนทั่ว (เป็นเมนูกระทะร้อน) หรืออาจผัดหินและไข่รวมกันไปเลย แต่เวลาทำ (และทาน) ต้องระวังเพราะกระทะจะร้อนมาก




จ้าวพั่วหนูรู้สึกแปลกใจที่อยู่ๆ ก็มีเด็กผู้หญิงมาโผล่กลางทะเลทรายตามลำพัง เขาสงสัยว่าอวิ๋นเกอเป็นใคร มาจากไหน อวิ๋นเกอยังไม่ทันได้ตอบพายุหมุนก็เริ่มถาโถมเข้ามา เธอจับมือฝูหลิงและจ้าวพั่วหนูพลางกำชับให้จับมือกันแน่นๆ แต่จ้าวพั่วหนูดันถูกพายุพัดหายไปก่อน อวิ๋นเกอกับฝูหลิงจึงกอดกันแน่นและถูกพายุพัดจนลอยคว้างก่อนร่วงตกลงมา หลังรู้สึกตัวแล้วพบว่าพวกตนถูกพายุพัดมาตกใกล้แหล่งน้ำ อวิ๋นเกอกับฝูหลิงจึงรีบวิ่งไปดื่มน้ำในบ่อด้วยความดีใจ (จ้าวพั่วหนูนอนหมดสติอยู่ไม่ไกลกันนัก) ปรากฏว่าทั้งคู่ถูกลมพายุหอบมาตกในเขตอู๋เล่ยเฉิง (เมืองไร้น้ำตา) 

"อู๋เล่ย" (เจ้าของอู่เล่ยเฉิง) ไม่พอใจที่อวิ๋นเกอกับฝูหลิงดื่มน้ำในบ่อของตนโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงปรี่เข้าไปเอาเรื่อง แม้อู๋เล่ยจะมีตำหนิที่หน้าผากเลยต้องสวมหน้ากากปิดบังเอาไว้ แต่อวิ๋นเกอยังคงมองเห็นความงามในตัวเธอ ครั้นได้ยินอู๋เล่ยเรียกตนว่า "นั่วเหยียน" อวิ๋นเกอจึงชี้ว่าเธอจำคนผิดและเรียกเธอว่า "พี่นางฟ้า" เมื่อจ้าวพั่วหนูตามมาสมทบเหล่าสมุนของอู๋เล่ยจึงออกจากที่ซ่อนแล้วรุมเล่นงานจ้าวพั่วหนู ฝูหลิงรีบเอาตัวบังอวิ๋นเกอไว้แต่อวิ๋นเกอเกรงว่าอู๋เล่ยจะโดนลูกหลงเลยวิ่งไปเตือนให้ระวัง อู๋เล่ยมีแผนการบางอย่างจึงสั่งให้สมุนหยุดลงมือ ทั้งยังชวนอวิ๋นเกอไปพำนักที่อู๋เล่ยเฉิงในฐานะแขกผู้มาเยือนระหว่างหลบพายุทราย

เมื่อเข้าไปในอู๋เล่ยเฉิง ฝูหลิงกับอวิ๋นเกอก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นหุ่นดินปั้นรูปคู่รักชายหญิงตั้งอยู่ทั่วบริเวณ ครั้นเห็นอวิ๋นเกอเดินไปเล่นกาน้ำชาบนโต๊ะที่มีรูปปั้นนั่งอยู่ อู๋เล่ยจึงหวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตตอนที่เธอเคยอยู่กับ "อ้ายหย่ง" (สามี) และนั่วเหยียน (น้องสาวบุญธรรม) อย่างมีความสุข (เธอมารู้ภายหลังว่านั่วเหยียนแอบมีความสัมพันธ์กับสามีตน) อู๋เล่ยเห็นหน้าอวิ๋นเกอแล้วยิ่งเจ็บแค้นจึงเปรยว่าคราวนี้ตนไม่มีทางปราณีแน่   (นั่วเหยียนหน้าตาเหมือนอวิ๋นเกอแต่มีจุดแดงที่หัวคิ้วข้างหนึ่ง)   




อวิ๋นเกอกับฝูหลิงเห็นคณะนักแสดงปาหี่ (ซึ่งล้วนเป็นเด็กชาย) กำลังทำการฝึกซ้อมจึงเดินไปดู ปรากฏว่าหนึ่งในนั้นคือ...เมิ่งเจวี๋ย เมิ่งเจวี๋ยจำได้ว่าฝูหลิงคือองค์ชายหก แต่เขาทำได้เพียงเก็บความรู้สึกเคียดแค้นเอาไว้ภายใน  (ฝูหลิงจำเขาไม่ได้) ครั้นได้ยินว่าอวิ๋นเกอมาที่นี่เพื่อหลบพายุทรายและกำลังหาที่เล่นสนุก "เยว่เซิง" (พี่ชายหงอี) จึงบอกว่าพวกตนก็เช่นกัน เขาเล่าว่าพวกตนแค่เดินทางผ่านมา เจ้าเมือง (อู๋เล่ย) เป็นคนเชิญพวกตนมาพักและให้ทำการแสดงที่นี่ เขาแนะว่าถ้าอวิ๋นเกออยากหาอะไรสนุกๆ ทำ ให้ลองไปที่ตำหนักอู๋โยว เพราะตนได้ยินเสียงดนตรีลอยมาจากที่นั่นทุกคืน อวิ๋นเกอกับฝูหลิงได้ยินดังนั้นจึงรีบไปทันที เยว่เซิงวิ่งตามทั้งคู่ออกไปแต่เมิ่งเจวี๋ยรั้งตัวไว้ เยว่เซิงจึงขอไปเล่นที่ตำหนักอู๋โยวสักพักแล้วจะกลับมาซ้อมต่อ (อู๋เล่ยได้ยินทั้งคู่คุยกันพอดี) ขณะที่อวิ๋นเกอกับฝูหลิงกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานในตำหนักอู๋โยว อวิ๋นเกอสังเกตเห็นเงาคนทางด้านหลังเลยเดินออกไปดู (เธอมัวแต่เล่นเปิด-ปิดตาหน้ากระจกทองแดงเลยไม่ทันเห็นว่ามีเด็กถูกสมุนของอู๋เล่ยอุ้มไป) หลังจากนั้นไม่นานเมิ่งเจวี๋ยก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาและถามหาเยว่เซิง 




อู๋เล่ยจัดงานเลี้ยงรับรองอวิ๋นเกอ ฝูหลิง และจ้าวพั่วหนู โดยจัดเต็มทั้งอาหารและการแสดง (อู๋เล่ยเห็นว่าจ้าวพั่วหนูเป็นยอดฝีมือเลยจงใจมอมเหล้าเขา) ครั้นเห็นเมิ่งเจวี๋ยถูกมัดติดกระดานหมุนแล้วมีชายคนหนึ่งปามีดเฉียดใบหน้าเขาจนเลือดไหลซิบ อวิ๋นเกอก็อดรนทนไม่ไหว เธออยากช่วยเมิ่งเจวี๋ยจึงขอแสดงฝีมือบ้างโดยบอกว่าพวกตนอยากลองปาขวาน เมื่ออู๋เล่ยอนุญาตเธอจึงขอให้ปล่อยเมิ่งเจวี๋ยลงมาแล้วให้ชายคนดังกล่าวไปยืนล่อเป้าแทน 

คืนนั้นอวิ๋นเกอกับฝูหลิงต่างสะดุ้งตื่นกลางดึกหลังได้ยินเสียงคนกรีดร้อง ทั้งคู่พยายามปลุกจ้าวพั่วหนูแต่เขาเมาหนักจนไม่ได้สติ อวิ๋นเกอได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นเป็นระยะจึงอดกลัวไม่ได้ ฝูหลิงปลอบใจเธอและพาเธอเดินตามเสียงไป ในที่สุดทั้งคู่ก็มาที่หน้าตำหนักอู๋โยว (อวิ๋นเกอสงสัยว่าอาจเป็นเสียงของเยว่เซิงที่หายตัวไปก่อนหน้านี้) ทั้งคู่เข้าไปในห้องลับที่เต็มไปด้วยรูปปั้น หลังเทียนดับอวิ๋นเกอก็ถูกสมุนของอู๋เล่ยลากตัวไป ฝูหลิงเที่ยวตามหาอวิ๋นเกอจนกระทั่งมาเจอห้องที่มีบ่อปูนขาว เขาแทบช็อคเมื่อเห็นร่างคนถูกแขวนอยู่เหนือบ่อปูนที่กำลังเดือดปุดๆ (ร่างดังกล่าวเพิ่งถูกจุ่มลงในบ่อก่อนหน้านี้)  ครั้นได้ยินเสียงอวิ๋นเกอร้องขอความช่วยเหลือ ฝูหลิงจึงรีบเดินตามเสียงไปแต่หาเท่าไหร่ก็ไม่พบเขาจึงได้แต่ร้องเรียกเธอ (ในตอนนั้นเมิ่งเจวี๋ยช่วยอวิ๋นเกอเอาไว้ได้และกำลังพาเธอหนี) 



อู๋เล่ยตำหนิฝูหลิงที่บุกรุกและส่งเสียงดังในตำหนักอู๋โยวยามวิกาล (ภายในตำหนักอู๋โยวมีลักษณะเป็นถ้ำ) ฝูหลิงกล่าวว่าอวิ๋นเกอหายตัวไปในห้องลับเขาจึงเชื่อว่าข้างในนั้นมีโจร อู๋เล่ยกล่าวหาฝูหลิงว่าเป็นโจรที่ลอบเข้ามาขโมยของแต่แสร้งทำเป็นร้องจับโจร จากนั้นก็สั่งให้สมุนจับตัวฝูงหลิง จ้าวพั่วหนูรีบเข้ามาขอโทษอู๋เล่ย เขากล่าวว่าเป็นความผิดของตนที่ดื่มมากไปหน่อยเลยไม่ดูแลคุณชายน้อยให้ดี แต่อู๋เล่ยไม่ต้องการแค่คำขอโทษ ฝูหลิงแย้งว่าอู๋เล่ยโกหกหน้าด้านๆ ทั้งที่ตัวเองวางแผนจับตัวอวิ๋นเกอตั้งแต่ต้น อู๋เล่ยจึงถามหาหลักฐาน จ้าวพั่วหนูพยายามไกล่เกลี่ยโดยขอโอกาสให้ฝูหลิง เขากล่าวว่าต่อให้เป็นการเข้าใจผิดแต่อย่างน้อยอู๋เล่ยก็น่าจะยอมให้ฝูหลิงได้ลองตามหาอวิ๋นเกอดูสักครั้ง หากตามหาแล้วไม่เจอฝูหลิงจะได้เลิกค้างคาใจ อู๋เล่ยยอมให้ฝูหลิงตามหาอวิ๋นเกอแต่โดยดี 

ฝูหลิงพาจ้าวพั่วหนูและอู๋เล่ยไปที่ห้องลับ เขาจำได้ว่าอวิ๋นเกอแตะแขนรูปปั้นตัวหนึ่งก่อนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเลยเชื่อว่าในห้องมีกลไก แต่พอเขาแตะแขนรูปปั้นตัวดังกล่าวกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อู๋เล่ยสรุปว่าฝูหลิงกับอวิ๋นเกอเล่นสนุกตอนกลางวันมากเกินไป พอฝันร้ายตอนกลางคืนเลยมโนว่าเป็นเรื่องจริง  จ้าวพั่วหนูบังเอิญเหยียบถุงหอมของอวิ๋นเกอทำให้รู้ว่าที่ฝูหลิงพูดเป็นเรื่องจริง เขาจึงแกล้งตัดบทว่าพวกตนเข้าใจผิดไปและขอพาฝูหลิงกลับไปพักผ่อนก่อน 


ครั้นอยู่กันตามลำพัง จ้าวพั่วหนูจึงนำถุงหอมของอวิ๋นเกอมาให้ฝูหลิงดู พลางกล่าวว่าอู๋เล่ยและพวกจับอวิ๋นเกอไปจริงๆ เพียงแต่ตนไม่รู้ว่าพวกเขามีเจตนาอะไร เขาชี้ว่าฝ่ายอู๋เล่ยมีคนมากกว่าแถมทุกคนยังเป็นยอดฝีมือ ส่วนพวกตนมีกำลังหลักแค่คนเดียว สถานที่ก็ไม่คุ้นเคย จึงไม่อาจทำอะไรบุ่มบ่าม เขาเป็นองครักษ์ของฝูหลิงจึงคิดที่จะพาผู้เป็นนายหนีไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด เมื่อฝูหลิงปลอดภัยแล้วจึงค่อยส่งทหารมาช่วยอวิ๋นเกอ ฝูหลิงได้ยินแล้วโกรธมากเพราะรู้ว่าขืนรอช้าอวิ๋นเกอคงไม่รอดแน่ เขากล่าวว่าถ้าเด็กผู้หญิงคนเดียวตนยังช่วยไม่ได้ แล้วจะมีหน้าไปเป็น 'ปี้เซี่ย' (คำเรียกฮ่องเต้ / ฝ่าบาท) ของจ้าวพั่วหนูได้อย่างไร ตราบใดที่ยังช่วยอวิ๋นเกอไม่ได้ตนจะไม่ไปจากที่นี่  จ้าวพั่วหนูไม่มีทางเลือกเลยจำต้องพาฝูหลิงไปตามหาอวิ๋นเกอ 


เมิ่งเจวี๋ยจะพาอวิ๋นเกอหนีแต่อู๋เล่ยรู้ทันเลยมาดักรอที่หน้าประตู อู๋เล่ยจะจับอวิ๋นเกอแต่เมิ่งเจวี๋ยช่วยขวางเอาไว้ เขากอดขาอู๋เล่ยแน่นพลางบอกให้อวิ๋นเกอรีบหนีไป อวิ๋นเกอปาก้อนหินใส่อู๋เล่ย แต่อู๋เล่ยไหวตัวทันเลยรีบเบี่ยงตัวหลบเป็นเหตุให้หน้ากากหลุด ครั้นเห็นปานแดงขนาดใหญ่บนหน้าผากของอู๋เล่ย อวิ๋นเกอก็รู้สึกตกใจ อู๋เล่ยถึงขั้นสติแตกหลังหน้ากากหลุด อวิ๋นเกอกับเมิ่งเจวี๋ยเลยสบโอกาสหลบหนี เมิ่งเจวี๋ยเห็นว่าที่นี่มีเวรยามแน่นหนาเลยแนะให้แยกกันหนี โดยเขาเอาตนเองเป็นเหยื่อล่อสมุนของอู๋เล่ยให้ตามไปอีกทาง อวิ๋นเกอเข้าไปหลบซ่อนตัวในห้องๆ หนึ่งแต่ดันทำรูปปั้นล้ม อู๋เล่ยจึงรู้ว่าอวิ๋นเกอซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เธอเข้าไปในห้องที่อวิ๋นเกอซ่อนตัวอยู่ ก่อนทรุดตัวลงนั่งข้างรูปปั้นชายหนุ่มพลางหัวเราะเหมือนคนเสียสติ จากนั้นก็เล่าเรื่องของตนให้อวิ๋นเกอฟัง



อู๋เล่ยบอกอวิ๋นเกอว่า เธอกับอ้ายหย่งเคยรักกันมาก วันหนึ่งเธอได้ช่วยเด็กผู้หญิงที่ชื่อนั่วเหยียนในทะเลทราย นั่วเหยียนเป็นเด็กที่น่ารักและสดใส เธอกับอ้ายหย่งเอ็นดูนั่วเหยียนมาก ทั้งยังดูแลนั่วเหยียนเสมือนเป็นน้องสาวแท้ๆ ใครจะรู้ว่าพอโตขึ้นนั่วเหยียนยิ่งสวยวันสวยคืน อ้ายหย่งจึงหลงรักนั่วเหยียน อู๋เล่ยกล่าวกับอวิ๋นเกอว่า ครั้งแรกที่พบกันอวิ๋นเกอเรียกตนว่าพี่นางฟ้า หากตอนนั้นอวิ๋นเกอได้เห็นใบหน้าอีกด้านหนึ่งของตน อวิ๋นเกอจะตกใจกลัวไหม เธอเชื่อว่าอวิ๋นเกอจะต้องเป็นเหมือนสามีตนที่มักบ่นว่าตนอัปลักษณ์ อู๋เล่ยนึกถึงวันที่อ้ายหย่งตัดสินใจพานั่วเหยียนหนีไป วันนั้นเธอเล็งธนูไปที่นั่วเหยียนกับอ้ายหย่งแล้วตัดสินใจยิง หลังถูกยิงอ้ายหย่งก็ร่วงตกจากหลังม้าและเสียชีวิต ส่วนนั่วเหยียนหนีไปได้ หลังจากนั้นอู๋เล่ยก็นำศพของอ้ายหย่งไปหย่อนลงในบ่อปูนขาวที่ตำหนักอู๋โยว อู๋เล่ยลูบไล้รูปปั้นอ้ายหย่งพลางกล่าวว่า ตนร้องไห้เพราะอ้ายหย่งจนน้ำตาเหือดแห้ง อ้ายหย่งยังไม่ตาย เขายังอยู่เคียงข้างตนเสมอ 

อวิ๋นเกอจะคลานหนีจากที่ซ่อนแต่อู๋เล่ยจับได้เสียก่อน อู๋เล่ยลูบไล้ใบหน้าของอวิ๋นเกอพลางกล่าวด้วยความแค้นว่า เดิมทีนั่วเหยียนเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ การที่นั่วเหยียนเติบโตขึ้นทุกวันทำให้คนรักของตนสูญเสียจิตวิญญาณจนนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมดังที่อวิ๋นเกอเห็นในวันนี้ ตราบใดที่อวิ๋นเกอไม่โตขึ้น (เป็นหญิงงาม) ก็จะไม่มีใครถูกทำร้าย อู๋เล่ยบีบคออวิ๋นเกอพลางกล่าวว่า ตนอยากให้อวิ๋นเกออยู่ที่นี่ตลอดไป อ้ายหย่งของตนจะได้ไม่เหงา อวิ๋นเกอได้ยินแล้วถึงกับน้ำตาร่วง


ในเวลาเดียวกันนั้น จ้าวพั่วหนูกับฝูหลิงกำลังตามหาอวิ๋นเกอในตำหนักอู๋โยว เมื่อสมุนของอู๋เล่ยมาพบเข้าจึงเกิดการต่อสู้กัน  จ้าวพั่วหนูเห็นท่าไม่ดีเลยบอกให้ฝูหลิงรีบหนีไปก่อน อีกด้านหนึ่งอู๋เล่ยได้ทำตำหนิที่หัวคิ้วของอวิ๋นเกอเพื่อให้อวิ๋นเกอเหมือนนั่วเหยียนมากยิ่งขึ้น เธอใช้อวิ๋นเกอเป็นตัวแทนนั่วเหยียนและคิดที่จะระบายความโกรธแค้นทั้งหมดลงที่อวิ๋นเกอ อู๋เล่ยจับอวิ๋นเกอแขวนไว้เหนือบ่อปูนขาวที่กำลังเดือดปุดๆ หวังจุ่มร่างเธอลงในบ่อทั้งเป็น เพื่อที่เธอจะได้ไม่เติบโตเป็นหญิงงาม จะได้ไม่หว่านเสน่ห์ใส่อ้ายหย่งอีก เมื่อฝูหลิงเข้าไปในห้องที่มีบ่อปูนขาวแล้วเห็นว่าอวิ๋นเกอกำลังตกอยู่ในอันตราย เขาจึงคิดหาทางช่วยเหลือแต่ทำได้เพียงปาก้อนหินใส่อู๋เล่ย ซ้ำยังโดนเล่นงานกลับและถูกดาบจ่อเข้าที่คอ อวิ๋นเกอร้องเสียงหลงว่าอย่าทำร้ายฝูหลิง อู๋เล่ยกล่าวว่าอวิ๋นเกอเหมือนนั่วเหยียนไม่มีผิด ขนาดยังไม่ทันโตก็มีเด็กผู้ชายยอมสู้ตายถวายชีวิตเพื่อช่วยเธอ 



ครั้นเห็นฝูหลิงเป็นห่วงอวิ๋นเกอ อู๋เล่ยจึงบอกว่าในไม่ช้าตนให้ฝูหลิงลงไปอยู่ในบ่อด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นสมุนของอู๋เล่ยก็ส่งอวิ๋นเกอไปที่กลางบ่อปูนขาว ฝูหลิงร้องลั่นเมื่อเห็นสมุนของอู๋เล่ยค่อยๆ ผ่อนเชือกเพื่อหย่อนอวิ๋นเกอลงไปในบ่อ ในตอนนั้นจ้าวพั่วหนูยังคงต่อสู้กับเหล่าสมุนของอู๋เล่ย นับว่ายังโชคดีที่ได้เมิ่งเจวี๋ยมาช่วยอีกแรงหนึ่ง (เมิ่งเจวี๋ยนำทักษะในการยิงหน้าไม้และพ่นไฟมาช่วยกำจัดสมุนของอู๋เล่ย) หลังจากนั้นจ้าวพั่วหนูก็รีบตามไปคุ้มกันฝูหลิง ส่วนเมิ่งเจวี๋ยแยกไปอีกทางหนึ่ง ครั้นเห็นว่าอวิ๋นเกอกำลังจะตกลงไปในบ่อปูนขาว จ้าวพั่วหนูเลยตรงเข้าช่วยแล้วพาเธอมาส่งให้ฝูหลิง ระหว่างรับมือกับสมุนของอู๋เล่ย จ้าวพั่วหนูบอกให้ฝูหลิงกับอวิ๋นเกอรีบหนีไป ฝูหลิงกับอวิ๋นเกอหนีไปได้ไม่ไกลก็ถูกอู๋เล่ยและพวกขวางไว้ เหล่าสมุนของอู๋เล่ยพยายามจับตัวอวิ๋นเกอ ฝูหลิงตรงเข้าขัดขวางจึงเกิดการยื้อยุดทำให้ถูกดาบเฉือนถากๆ ที่หลังมือ เมื่อจ้าวพั่วหนูตามมาช่วยเด็กทั้งสอง อู๋เล่ยจึงสั่งให้สมุนล่าถอยแล้วต่อสู้กับจ้างพั่วหนูด้วยตนเอง 




ขณะที่อู๋เล่ยต่อสู้กับจ้าวพั่วหนูอย่างดุเดือด เมิ่งเจวี๋ยก็วิ่งมาเย้ยอู๋เล่ยเรื่องรูปปั้นตัวโปรด ครั้นรู้ว่าเมิ่งเจวี๋ยคิดทำลายรูปปั้นอ้ายหย่งเธอจึงปรี่เข้าไปหาเมิ่งเจวี๋ยด้วยความโกรธ แต่ถูกดาบของจ้าวพั่วหนูปักทะลุกลางลำตัวเสียก่อน ถึงกระนั้นอู๋เล่ยก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ เธอดึงดาบออกแล้วซัดคืนจ้าวพั่วหนูทำให้จ้าวพั่วหนูถึงกับหมดสติไป (เขาโดนปลายด้ามดาบกระแทกใส่กลางอก) ฝูหลิงไม่ยอมให้อู๋เล่ยจับตัวอวิ๋นเกอไปจึงถูกอู๋เล่ยทำร้ายจนล้มลงไปนอนจุก หลังจากนั้นอู๋เล่ยก็ลากอวิ๋นเกอไปยังห้องที่เก็บรูปปั้นของอ้ายหย่ง แม้ในห้องจะมีไฟลุกท่วมแต่อู๋เล่ยก็วิ่งฝ่าเปลวเพลิงเข้าไปหา (รูปปั้น) อ้ายหย่งอย่างไม่ลังเล อวิ๋นเกอได้แต่ยืนดูทางด้านนอก เธอเห็นความรักที่อู๋เล่ยมีต่ออ้ายหย่งแล้วรู้สึกสงสาร ไม่นานคานขนาดใหญ่ที่มีไฟลุกท่วมก็ตกลงมา อู๋เล่ยจึงติดอยู่ในกองเพลิง 

อู๋เล่ยนึกไม่ถึงว่าอวิ๋นเกอจะยังคงเรียกตนว่า "พี่นางฟ้า"  ทั้งยังร่ำไห้ด้วยความเป็นห่วงเธอจากใจจริง เธอจึงนึกถึงตอนที่ตนกับนั่วเหยียนเคยรักใคร่ห่วงใยกันอย่างจริงใจ ฝูหลิงกับเมิ่งเจวี๋ยตามมาช่วยอวิ๋นเกอ อวิ๋นเกอกับฝูหลิงอยากช่วยอู๋เล่ยแต่เมิ่งเจวี๋ยห้ามเอาไว้ เพราะขืนฝ่าเปลวเพลิงเข้าไปต่อให้ไม่โดนฆ่าตายก็ถูกไฟครอกตายอยู่ดี  เมิ่งเจวี๋ยแนะให้ทั้งคู่รีบหนีเพราะไฟกำลังลุกลามมาทางนี้ ขืนรอช้าทุกคนจะตายกันหมด พูดจบเขาก็วิ่งนำออกไป ฝูหลิงจึงพาอวิ๋นเกอวิ่งตามไปติดๆ ครั้นเห็นอวิ๋นเกอหนีไปกับเด็กผู้ชายแล้วทิ้งตนไว้เบื้องหลัง (ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม) อู๋เล่ยจึงได้แต่หัวเราะให้กับชะตาชีวิตที่สิ้นหวังของตน หลังจากนั้นไม่นานตำหนักอู๋โยวก็ถูกไฟโหมไหม้หนักขึ้นและใกล้พังถล่ม ทุกคนจึงพากันวิ่งหนีตาย




จ้าวพั่วหนูเตรียมรถม้ามารอรับฝูหลิงกับอวิ๋นเกอแต่อวิ๋นเกอขอให้พาเมิ่งเจวี๋ยไปด้วย ระหว่างตั้งแคมป์กลางทะเลทราย อวิ๋นเกอช่วยทำแผลที่มือให้ฝูหลิง ครั้นเห็นเมิ่งเจวี๋ยหันมามองอวิ๋นเกอจึงลุกไปหาและจะช่วยทำแผลบนใบหน้า เมิ่งเจวี๋ยปฏิเสธโดยบอกว่าชีวิตตนนั้นไร้ค่า เธอควรกลับไปดูแลฝูหลิงมากกว่า เขายื่นถุงน้ำให้เธอแล้วเดินไปช่วยจ้าวพั่วหนู (ลุงจ้าว) ย่างเนื้อสัตว์ อวิ๋นเกอบ่นพึมพำว่าเมิ่งเจวี๋ยแปลกคน เธอขอบคุณฝูหลิงที่มาช่วย มิเช่นนั้นเธอคงกลายเป็นรูปปั้นที่แสนโดดเดี่ยว ฝูหลิงลูบไล้ใบหน้าของอวิ๋นเกออย่างอ่อนโยนพลางแย้งว่าจะโดดเดี่ยวได้ยังไง ถ้าอวิ๋นเกอกลายเป็นรูปปั้นก็ยังมีตนเป็นเพื่อน (ตอนนั้นอู๋เล่ยขู่ว่าจะจับฝูหลิงจุ่มลงไปในน้ำปูนด้วย)  
 


ครั้นได้กลิ่นอาหาร อวิ๋นเกอจึงชวนฝูหลิงไปนั่งล้อมวงรอ อวิ๋นเกอขอบคุณเมิ่งเจวี๋ยที่ช่วยเหลือพวกตนและถามชื่อเขา เมิ่งเจวี๋ยโกหกว่าตนชื่อ "ฉิวเซิง" ก่อนพูดความจริงว่า ชื่อนี้มีที่มาจากอดีตฮ่องเต้ (พระบิดาของฝูหลิง) หมายถึงสามัญชนที่ใช้ชีวิตอย่างต้อยต่ำเพียงเพื่อความอยู่รอด ฝูหลิงไม่อยากได้ยินคนพูดถึงพระบิดาในทางไม่ดีจึงบอกเมิ่งเจวี๋ยว่าอดีตฮ่องเต้สวรรคตแล้วอย่านำพระองค์มาวิพากษ์วิจารณ์เลย แต่เมิ่งเจวี๋ยกลับใส่ไม่ยั้งโดยกล่าวว่า อดีตฮ่องเต้สนใจแค่แค่การทำศึก ไม่ห่วงใยทุกข์สุขของราษฎร เพื่อความอยู่รอดคนยากไร้เลยจำต้อง ลัก วิ่ง ชิง ปล้น กรรโชก ฉ้อโกง ที่ตนบ้านแตกสาแหรกขาดก็เป็นเพราะอดีตฮ่องเต้ ฝูหลิงยอมรับว่าที่เมิ่งเจวี๋ยพูดเป็นเรื่องจริง เพราะระหว่างเดินทางเขาได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านเองกับตา เขาสัญญาว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าราษฎรจะมีชีวิตที่ดีขึ้น เมิ่งเจวี๋ยจึงบอกให้ฝูหลิงจำสิ่งที่ตัวเองเพิ่งพูดเอาไว้ให้ดี 

เมื่อฝูหลิงกับอวิ๋นเกอตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นก็พบว่าเมิ่งเจวี๋ยจากไปแล้ว แต่เขาได้ทิ้งข้อความไว้ให้ฝูหลิง โดยขอให้ฝูหลิงยึดมั่นในคำสัญญาว่าจะดูแลราษฎร  จ้าวพั่วหนูรู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นเมิ่งเจวี๋ยที่ไหนมาก่อนแต่นึกไม่ออก อวิ๋นเกอเห็นว่าเมิ่งเจวี๋ยตัวคนเดียว แถมตอนนี้ยังไม่มีคณะแสดงจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ จ้าวพั่วหนูมองว่าเมิ่งเจวี๋ยเป็นเด็กฉลาดจึงฟันธงว่าเขาต้องเอาตัวรอดได้แน่ ในที่สุด ฝูหลิง จ้าวพั่วหนู และอวิ๋นเกอ ก็เดินทางออกจากทะเลทรายได้อย่างปลอดภัย ครั้นใกล้ถึงจุดตั้งค่าย (ของเหล่าทหารองครักษ์) ฝูหลิงจึงบอกจ้าวพั่วหนูว่าตนจะค้างคืนที่นี่ เขาบอกอวิ๋นเกอว่าวันพรุ่งนี้พวกตนต้องจากลากันแล้ว จึงอยากให้อวิ๋นเกอเล่าเรื่องอาหารจานเด็ดที่เธอทำให้ตนฟังต่อ อวิ๋นเกอตอบตกลงและบอกว่าพวกตนจะคุยกันทั้งคืน


คืนนั้นฝูหลิงสอนวิธีเป่าขลุ่ยให้อวิ๋นเกอ เขาอยากอยู่กับเธอตามลำพังจึงสั่งให้จ้าวพั่วหนูไปที่ค่ายพักแรมของทหารแล้วบอกให้พวกเขามารับตนตอนเช้า เมื่อจ้าวพั่วหนูไปแล้วฝูหลิงจึงขอให้อวิ๋นเกอตามไปอยู่ข้างกายตนที่เมืองฉางอัน อวิ๋นเกอส่ายหน้าก่อนชี้ว่ามารดาไม่เคยอนุญาตให้เธอและพี่ชายเดินทางไปจงหยวน (พื้นที่ราบภาคกลาง) แต่ทว่าไม่ยอมบอกเหตุผล อ้างว่าเมื่อถึงเวลาจะบอกเอง อวิ๋นเกอบอกฝูหลิงว่าโตขึ้นเธอจะไปหาเขาที่ฉางอัน ฝูหลิงได้ยินดังนั้นจึงยิ้มออกและบอกว่าจะรอเธอที่ฉางอัน หลังจากนั้นทั้งคู่จึงเกี่ยวก้อยสัญญา ที่ผ่านมาอวิ๋นเกอแทบไม่เห็นรอยยิ้มของฝูหลิง ครั้นฝูหลิงยิ้มอย่างมีความสุขอวิ๋นเกอจึงเอ่ยปากชมว่าเวลายิ้มเขางดงามกว่าดาวบนฟ้า ฝูหลิงนำสร้อยที่ถักจากเส้นผมของมารดาไปสวมให้อวิ๋นเกอ หวังเป็นสิ่งแทนใจและให้เธอใช้เป็นใบเบิกทางในการไปหาตนที่ฉางอัน 

ครั้นรู้ว่าสิ่งนี้มีคุณค่าทางจิตใจเพราะเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่มารดามอบให้ฝูหลิง อวิ๋นเกอจึงไม่กล้ารับและขอเปลี่ยนเป็นป้ายหยกแทน ฝูหลิงไม่ยอมให้อวิ๋นเกอแตะต้องป้ายหยก เขาชี้ว่าแม้สร้อยเส้นผมของมารดาจะเป็นสิ่งที่ตนหวงแหนมากที่สุด แต่ก็มีบางช่วงเวลาที่ตนไม่อยากเห็นมัน เพราะมันคอยตอกย้ำบาดแผลในใจตน เขาก้มมองป้ายหยกพลางกล่าวว่าป้ายหยกชิ้นนี้เป็นของที่บิดามอบให้ตน... จากนั้นก็คิดในใจว่าขนาดตนยังเกลียดมัน แล้วจะมอบมันให้อวิ๋นเกอได้อย่างไร  อวิ๋นเกอเห็นฝูหลิงนิ่งเงียบไปจึงร้องเรียก ฝูหลิงตัดบทว่าสร้อยเส้นผมเหมาะกับอวิ๋นเก๋อและขอให้เธอรับมันไว้ 



อวิ๋นเก๋ออยากมอบของแทนใจให้ฝูหลิงบ้างแต่ไม่มีของอะไรติดตัวมา ฝูหลิงบอกอวิ๋นเกอว่าไม่จำเป็นต้องมอบอะไรให้ตนเพราะตนไม่มีวันลืมอวิ๋นเกอ อวิ๋นเกอนึกขึ้นได้ว่าตอนแรกที่พบกันฝูหลิงเคยจ้องมองรองเท้าเธอ เธอจึงถอดรองเท้าข้างหนึ่งให้ฝูหลิง โดยหารู้ไม่ว่าการมอบรองเท้าให้ผู้ชายข้างหนึ่งคือการให้คำมั่นว่าจะแต่งงานกับเขา ฝูหลิงรับรองเท้าอวิ๋นเกอไว้แล้วกำชับเธอว่าอย่าลืมเรื่องนี้ (อย่าลืมว่าเคยมอบรองเท้าข้างหนึ่งให้เขา) อวิ๋นเกอนึกว่าฝูหลิงกำชับเรื่องคำมั่นสัญญา (ว่าจะไปหาเขาที่ฉางอัน) จึงรับปากเป็นมั่นเหมาะ ฝูหลิงขอให้ดวงดาวบนฟ้าเป็นพยานว่าพวกตนจะไม่ผิดสัญญา ก่อนนอนคืนนั้นอวิ๋นเกอบอกฝูหลิงว่า หากเจอกันอีกครั้งเธอจะทำอาหารจานเด็ดทั้งหมดที่เล่าให้ฟัง ครั้นฝูหลิงอยากฟังเธอร้องเพลง อวิ๋นเกอจึงนอนร้องเพลงให้ฝูหลิงฟัง (เพลงที่มารดาฝูหลิงเคยร้องกล่อมให้นอนหลับ) แต่ร้องไปร้องมาอวิ๋นเกอกลับเป็นฝ่ายหลับเสียเอง ฝูหลิงเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นมาเป่าขลุ่ยกล่อมอวิ๋นเกอ



หลังตื่นนอนแล้วไม่เห็นฝูหลิง อวิ๋นเกอก็รู้สึกตกใจเพราะนึกว่าเขาไปโดยไม่ร่ำลา  เธอรีบออกจากกระโจมแล้ววิ่งหน้าตาตื่นมาหาฝูหลิง ฝูหลิงยิ้มแล้วจับมือปลอบโยนเธอทั้งที่ในใจแสนเศร้า (จ้าวพั่วหนูพาทหารมารับแล้ว) ครั้นเห็นนกอินทรีบินวนอยู่บนท้องฟ้า อวิ๋นเกอจึงบอกฝูหลิงว่าเป็นนกของครอบครัวเธอเอง ที่แท้พี่ชายอวิ๋นเกอส่งข้อความมาบอกว่ากำลังรอรับเธอกลับบ้าน อวิ๋นเกอจะร้องไห้แต่ฝูหลิงยังคงยิ้มให้เธอ เขาไม่อยากให้เธอร้องไห้จึงปลอบเธอว่าพวกตนสัญญาแล้วว่าจะไปพบกันที่ฉางอัน พวกตนจากลาวันนี้เพื่อพบกันใหม่ในวันหน้า  อวิ๋นเกอแนะให้ฝูหลิงยิ้มบ่อยๆ เพราะที่ผ่านมาเขามักทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแม้ขณะนอนหลับ ฝูหลิงรับปากว่าต่อไปจะยิ้มบ่อยๆ เมื่อจ้าวพั่วหนูมาเตือนว่าได้เวลาออกเดินทาง ฝูหลิงเลยจำต้องปล่อยมืออวิ๋นเกอ อวิ๋นเกอถึงกับน้ำตาร่วง ฝูหลิงตะโกนบอกอวิ๋นเกอว่า "จ้าว" คือแซ่ของมารดาตน (ก่อนหน้านี้เขาบอกเธอว่าตนชื่อ "จ้าวหลิง") แต่ที่ฉางอันตนใช้แซ่ "หลิว" 

ตอนที่สอง 




ขณะเดินจูงอูฐไปหาพี่ชายในเมืองที่อยู่ติดทะเลทรายโดยสวมรองเท้าข้างเดียว อวิ๋นเกอเห็นเด็กชายคนหนึ่งถูกกลุ่มชายฉกรรจ์โดนรุมกระทืบโทษฐานขโมยเงินจึงพยายามร้องห้ามแต่ไม่เป็นผล เธอจึงขอให้ "อวิ๋นอี้" ผู้เป็นพี่ชายช่วยเหลือเด็กชายคนดังกล่าวโดยบอกว่ากลับบ้านแล้วจะทำไก่ย่างให้ทาน ครั้นพบว่าเด็กชายที่ถูกรุมยำจนแน่นิ่งคือเมิ่งเจวี๋ย  อวิ๋นเกอก็รู้สึกตกใจ (เขาแต่งตัวเหมือนขอทาน) หลังฟื้นคืนสติแล้วเห็นอวิ๋นเกออยู่ตรงหน้าเมิ่งเจวี๋ยก็ทั้งประหลาดใจและมีความสุข อวิ๋นเกอขอเวลาพี่ชายอีกสักครู่แต่อวิ๋นอี้รอเธอมานานกว่าครึ่งวันแล้วจึงไม่อยากเสียเวลามากไปกว่านี้  อวิ๋นเกอเอาของกินมาล่อโดยสัญญาว่ากลับบ้านแล้วจะทำขนมหวาน (ที่ทำจากดอกบัว) ให้ทาน ครั้นรู้ว่าเมิ่งเจวี๋ยไม่มีเงินไปหาหมอเธอจึงถอดรองเท้าข้างเดียวที่เหลืออยู่แล้วพยายามแกะไข่มุกให้เขา (รองเท้าเธอประดับมุกแท้) แต่เนื่องจากถูกพี่ชายกดดันเธอเลยจำต้องยกรองเท้าให้เขาไป เมิ่งเจวี๋ยรู้สึกซาบซึ้งใจจึงหมายมั่นว่า วันหน้า...ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ ตนจะตามหาอวิ๋นเกอให้เจอเพื่อจะได้ตอบแทนบุญคุณ



9 ปีต่อมา ฝูหลิงซึ่งเป็นฮ่องเต้ออกว่าราชการในท้องพระโรงด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งรอยยิ้ม ซ่างกวนเจี๋ยเสนอให้เปิดยุ้งฉางหลวงเพื่อนำเสบียงไปแจกจ่ายประชาชนในเมืองหลวงที่กำลังประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ เขาชี้ว่าตอนนี้สถานการณ์เข้าขั้นวิกฤติ หากไม่รีบบรรเทาทุกข์ประชาชนอาจพากันลุกฮือซึ่งจะทำให้รากฐานของราชวงศ์สั่นคลอน ฝูหลิงยังไม่ทันพิจารณาฮั่วกวงก็ชิงแนะนำว่าอย่าทำเช่นนั้น เขากล่าวว่าผู้ประสบภัยในเมืองหลวงมีจำนวนไม่มาก หากแจกจ่ายอาหารผู้ประสบภัยจากทั่วทุกสารทิศจะหลั่งไหลเข้ามาในเมืองหลวง และถ้ายุ้งฉางหลวงว่างเปล่าจะนำมาซึ่งภัยพิบัติที่ร้ายแรงยิ่งกว่า ฝูหลิงฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย ครั้นต่างฝ่ายต่างกดดันให้ทำตามแนวทางที่ตนบอก ฝูหลิงจึงเดินออกจากท้องพระโรงโดยไม่พูดจา ใจของเขายังคงโหยหาอวิ๋นเกอแต่ทำได้เพียงเป่าขลุ่ยในยามที่คิดถึงเธอ

* ประวัติศาสตร์ระบุว่าเมื่อหลิวฝูหลิง (ฮั่นเจาตี้) ขึ้นครองบัลลังก์ในช่วงแรก (8 พรรษา) ฮั่วกวงและซ่างกวนเจี๋ยต่างเป็นผู้สำเร็จราชการร่วมแต่การตัดสินใจในเรื่องสำคัญมักกระทำโดยฮั่วกวง โดยทั้งคู่ยังคงมีบทบาทสำคัญในราชสำนักเรื่อยมา 




อีกด้านหนึ่ง อวิ๋นเกอได้เติบโตขึ้นเป็นหญิงงามที่มีความสามารถในด้านการทำอาหาร และแฟนพันธุ์แท้ที่คอยตามชิมอาหารเมนูแปลกใหม่ของอวิ๋นเกอก็คือ...อวิ๋นอี้ นอกจากจะเป็นนักชิมแล้ว อวิ๋นอี้ยังมีหน้าที่คอยกันท่าและช่วยขับไล่หนุ่มๆ ที่แวะเวียนมาที่บ้านเพื่อขออวิ๋นเกอแต่งงานอีกด้วย ครั้นได้ยินว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งมาที่บ้านเพื่อขอตนแต่งงานอวิ๋นเกอจึงส่งอวิ๋นอี้ออกไปป่วน (เธอไม่สนใจชายใดเพราะยึดมั่นในคำสัญญาที่ให้ไว้กับฝูหลิง) เธอกับสาวใช้ลงทุนปีนหลังคาโรงครัวเพื่อแอบดูชายหนุ่มแต่ไม่เห็นหน้า หลังฟังชายหนุ่มเป่าขลุ่ยจนจบเพลงอวิ๋นอี้ก็ปรบมือด้วยความชอบใจ ซ้ำยังยกน้ำชาให้เขาอย่างเอาใจ (บิดาอวิ๋นเกอฟังแล้วถึงกับน้ำตาคลอ) อวิ๋นเกอเห็นแล้วได้แต่โมโหเพราะพี่ชายเธอโม้เสียดิบดีว่าจะออกไปไล่ตะเพิดเขา มิหนำซ้ำ บิดาและมารดาเธอยังต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นและเป็นมิตรซึ่งผิดจากคนอื่นๆ เคยที่มาขอ

อวิ๋นอี้รีบวิ่งมาบอกอวิ๋นเกอด้วยความตื่นเต้นว่า ชายหนุ่มที่มาวันนี้มีคุณสมบัติเหมาะสมและคู่ควรกับอวิ๋นเกอที่สุด ทั้งตนและบิดามารดาล้วนชื่นชมในตัวเขา อวิ๋นเกอได้ยินแล้วยิ่งโมโห "ซินเฉิง" (มารดาอวิ๋นเกอ) มาหาอวิ๋นเกอที่โรงครัวเพื่อยืนยันคำพูดของอวิ๋นอี้ อวิ๋นเกอไม่เข้าใจว่าทำไมบิดามารดาถึงอยากให้ตนออกเรือนทั้งๆ ที่อวิ๋นอี้เองก็ยังไม่ได้แต่งงาน "หาวเสี้ยวเทียน" (บิดาอวิ๋นเกอ) กล่าวว่าหากมีวาสนาได้พบคนที่คู่ควรทำไมจะแต่งก่อนไม่ได้ อวิ๋นเกอยืนกรานว่าเธอได้เลือกคู่ครองเอาไว้แล้ว ครั้นรู้ว่าอวิ๋นเกอยังคงยึดมั่นในคำสัญญาเมื่อครั้งเด็กเสี้ยวเทียนจึงกระชากสร้อยเส้นผม (ของมารดาฝูหลิง) ออกจากคออวิ๋นเกอ ซ้ำยังยึดเอาไว้โดยบอกว่าจะคืนให้หลังอวิ๋นเกอแต่งงาน อวิ๋นเกอเสียใจมากที่ถูกบังคับให้แต่งงานจึงหนีออกจากบ้านเพื่อไปตามหาฝูหลิงที่เมืองฉางอัน 

อวิ๋นอี้เห็นว่าน้องสาวไม่อยากแต่งงานจึงอาสาไปตอบปฏิเสธฝ่ายชาย ครั้นรู้ว่าบิดาไปขอโทษคุณชายคนดังกล่าวด้วยตนเองแล้ว อวิ๋นอี้ก็รู้สึกแปลกใจ ซินเฉิงกล่าวว่าเขาเป็นบุตรชายของเพื่อนเก่าจากแดนจงหยวนที่เธอเคยรู้จักและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน (เพื่อนเก่าคนนี้เคยช่วยชีวิตบิดาของอวิ๋นอี้) อวิ๋นอี้เป็นห่วงน้องสาวจึงขอออกไปตามแต่บิดากลับมาเสียก่อน เสี้ยวเทียนบอกอวิ๋นอี้ว่าไม่จำเป็นต้องออกไปไหน เพราะคุณชายที่มาบ้านตนก่อนหน้านี้ออกไปตามหาอวิ๋นเกอแล้ว หลังเดินทางรอนแรมมาหลายวันอวิ๋นเกอจึงไปขอแวะพักที่บ้านไร่หลังหนึ่งและได้รับการดูแลจากเจ้าของบ้านเป็นอย่างดี คืนเดียวกันนั้นชายหนุ่มที่ออกมาตามหาอวิ๋นเกอได้มารอฟังข่าวจากเหล่าสมุน แม้เหล่าสมุนกลับมารายงานว่าทำตามคำสั่งเรียบร้อยแล้วแต่เขายังคงไม่วางใจจึงรีบควบม้าไปตามหาอวิ๋นเกอด้วยตนเอง



วันรุ่งขึ้นอวิ๋นเกอได้ยินชายสามคนวางแผนว่าจะนำตัวเธอไปแลกรางวัล (มีคนตั้งรางวัลนำจับสตรีชุดเขียว) เธอจึงรีบหนีเข้าบ้านเพราะนึกว่าบิดามารดาตั้งรางวัลนำจับเธอ ที่แท้ทั้งสามคนรู้จักเจ้าของบ้านเป็นอย่างดีเพราะเป็นพวกเดียวกัน มิหนำซ้ำคนที่ตั้งค่าหัวเธอยังเป็นลูกพี่ของคนเหล่านี้อีกด้วย แต่เนื่องจากสามีภรรยาเจ้าของบ้านเอ็นดูอวิ๋นเกอประหนึ่งลูกสาวจึงไม่ยอมให้ใครจับตัวเธอไป และนั่นก็ถือเป็นการทำผิดกฎซึ่งมีโทษร้ายแรง หลังฆ่าเจ้าของบ้านแล้วชายทั้งสามก็ถูกเสวี่ยเอ๋อร์ (หมาป่าของอวิ๋นเกอ) ไล่กัดจนตายตกไปตามกัน ครั้นรู้ว่าตนกำลังถูกไล่ล่าอวิ๋นเกอจึงนำชุดของชายคนหนึ่งมาสวมแทนชุดเขียวของตน เมื่อลูกพี่ของทุกคนมาถึงก็พบว่าสายเกินไป (เขาเห็นชุดของอวิ๋นเกอวางกองอยู่บนพื้น)



ในที่สุดอวิ๋นเกอก็มาถึงเมืองฉางอัน ด้วยความที่เธอสวมชุดซอมซ่อของผู้ชายทุกคนจึงคิดว่าเธอเป็นขอทานหนุ่ม อวิ๋นเกอเดินชมตลาดในเมืองฉางอันด้วยความตื่นตาตื่นใจ แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็โดนชิงถุงเงินแบบซึ่งหน้า โชคดีที่ "สวี่ผิงจวิน" มาพบเข้าและช่วยเธอเอาไว้ (สวี่ผิงจวินรู้ว่าอวิ๋นเกอเป็นผู้หญิง) อวิ๋นเกอได้ยินว่า "วาหวง" เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ที่ใครมาขอพรแล้วมักสมปรารถนา แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ยังมา เธอจึงเข้าไปอธิษฐานขอให้พบ 'พี่หลิง' ในเร็ววัน หลังออกจากวัดแล้วเห็นเจ้าหน้าที่นำอาหารพระราชทานของฮ่องเต้มาแจกจ่ายแก่ประชาชนยากไร้ (เนื่องในโอกาสครบรอบวันสิ้นพระชนม์ของไทเฮา) อวิ๋นเกอจึงหยุดดู ไม่นานเหตุการณ์ชักเริ่มชุลมุนเพราะเหล่าขอทานต่างกรูเข้าไปแย่งชิงอาหาร เจ้าหน้าที่จำต้องใช้กำลังระงับเหตุการณ์ทำให้เหล่าขอทานพากันวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น อวิ๋นเกอซึ่งกำลังยืนเก้ๆ กังๆ เลยถูกชนจนล้มลงไปกองกับพื้น 

"หลิวปิ้งอี่" ผ่านมาพบเข้าพอดีจึงช่วยดึงตัวเธอขึ้นมา (เขานึกว่าเธอเป็นขอทานหนุ่ม) อวิ๋นเกอเห็นใบหน้าเขาแล้วนึกถึงฝูหลิง แต่เธอยังไม่ทันได้กล่าวคำขอบคุณเขาก็วิ่งไล่ตามชายคนหนึ่งไปเสียก่อน เมื่ออวิ๋นเกอตามไปดูก็พบว่าปิ้งอี่กำลังสั่งสอนและห้ามชายหนุ่มคนหนึ่งไม่ให้เข้าไปเล่นการพนันในบ่อน ซ้ำยังคิดที่จะช่วยปลดหนี้ให้ (เขาชอบความเที่ยงตรงและยึดมั่นในคุณธรรม) คนคุมบ่อนเห็นป้ายหยกของปิ้งอี่จึงหยิบขึ้นมาดูและกล่าวว่าสิ่งนี้ชดใช้หนี้พนันได้ ปิ้งอี่จะชิงป้ายหยกคืนแต่ขณะต่อสู้ป้ายหยกได้กระเด็นไปหาอวิ๋นเกอพอดี ครั้นเห็นป้ายหยกในมืออวิ๋นเกอก็แอบมีความหวังเพราะเหมือนหยกของพี่หลิง หลังพาปิ้งอี่วิ่งหนีคนคุมบ่อนจนมาอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว  อวิ๋นเกอถึงได้รู้ว่าเขา "แซ่หลิว" ชื่อ "ปิ้งอี่" (ฝูหลิงเคยบอกอวิ๋นเกอว่าตนแซ่หลิว) 



หลังรู้ว่าปิ้งอี่ได้ป้ายหยกมาจากบิดาและพกติดตัวตลอดเวลาตั้งแต่เด็ก อวิ๋นเกอจึงยิ่งมั่นใจว่าเขาคือพี่หลิง (ถึงแม้ชื่อจะต่างกันก็ตาม) อวิ๋นเกอยังไม่ทันบอกว่าตนเองชื่ออะไร ผิงจวินก็วิ่งมาหาปิ้งอี่เสียก่อน ปิ้งอี่เพิ่งรู้ว่าอวิ๋นเกอเป็นสตรีแต่ผิงจวินรู้ตั้งแต่แรกแล้ว ครั้นรู้ว่าปิ้งอี่กับผิงจวินเป็นคู่รักกันอวิ๋นเกอก็ถึงกับหน้าถอดสี  ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินจากไป อวิ๋นเกอแอบขโมยป้ายหยกของปิ้งอี่หมายตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาคือพี่หลิงของเธอใช่หรือไม่ พอเห็นว่าเป็นป้ายหยกแบบเดียวกับที่เธอเคยเห็นเธอจึงเชื่อว่าเขาคือพี่หลิง ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดหวังที่เขาจำเธอไม่ได้ ยิ่งเห็นปิ้งอี่กับผิงจวินรักกันหวานชื่น อวิ๋นเกอก็แทบใจสลาย 


เธอวิ่งไปร่ำไห้เสียใจในป่าพลางตัดพ้อปิ้งอี่ที่จำเธอไม่ได้ ซ้ำยังผิดสัญญา (ว่าจะรอเธอ) เธอจึงคิดที่จะฝังป้ายหยกพร้อมความทรงจำทั้งหมดที่มีต่อ 'พี่หลิง' ไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ แต่สุดท้ายกลับตัดใจไม่ลง เหตุการณ์ทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาของชายลึกลับ (ที่ไปขออวิ๋นเกอแต่งงานที่บ้าน) และเขาคนนั้นก็คือ "เมิ่งเจวี๋ย" นั่นเอง

* เนื้อหาโดย luvasianseries / ดูอัลบั้มภาพได้ ที่นี่ 





รายชื่อนักแสดง


นักแสดงนำ

 

แองเจล่าเบบี้
รับบท อวิ๋นเกอ (หยุนเกอ)
(นักแสดง / นางแบบ ชาวจีน)


 

ตู้ฉุน
รับบท เมิ่งเจวี๋ย
(นักแสดง ชาวจีน)


 

ลู่อี้
รับบท หลิวฝูหลิง (ฮั่นเจาตี้)
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)

** จักรพรรดิฮั่นเจา (ฮั่นเจาตี้) เป็นฮ่องเต้องค์ที่ 8 ของราชวงศ์ฮั่นตะวันตก **


 

เฉินเสี่ยว
รับบท หลิวสวิน / หลิวปิ้งอี่ (ฮั่นเซวียนตี้)
(นักแสดง ชาวจีน)

** จักรพรรดิฮั่นเซวียน (ฮั่นเซวียนตี้) เป็นฮ่องเต้องค์ที่ 10 ของราชวงศ์ฮั่นตะวันตก **


 

หยางหรง
รับบท ฮั่วเฉิงจวิน
(นักแสดง ชาวจีน)


 

ซูชิง
รับบท สวี่ผิงจวิน
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)

อื่นๆ 

 

โค่วเจิ้นไห่
รับบท ฮั่วกวง
(นักแสดง ชาวจีน)


 

เปาเป้ยเอ่อร์
รับบท หลิวเฮ่อ (ชางอี้หวัง)
(นักแสดง / ผู้กำกับ ชาวจีน)

** หลิวเฮ่อ เป็นพระราชนัดดาของจักรพรรดิฮั่นอู่ (ฮั่นอู่ตี้) ขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากจักรพรรดิฮั่นเจา แต่เป็นฮ่องเต้ (องค์ที่ 9 ของราชวงศ์ฮั่นตะวันตก) ได้เพียง 27 วันก็ถูกปลด **


 

หลิวก้วนเสียง
รับบท อวี๋อัน
(นักแสดง ชาวจีน)


 

เหมาเสี่ยวถง
รับบท ซ่างกวนเสี่ยวเม่ย (จักรพรรดินีเซี่ยวเจา)
(นักแสดง ชาวจีน)


 

จางหย่าเหมิง
รับบท ฮั่วเสี่ยน
(นักแสดง ชาวจีน)


 

จางเสวี่ยอิ๋ง
รับบท โหม่วฉา
(นักแสดง ชาวจีน)


 

จางเทียนหยาง
รับบท ฟู่อวี้
(นักแสดง ชาวจีน)


 

หวังเยว่ซี
รับบท หงอี
(นักแสดง ชาวจีน)


 

จางเจ๋อฮั่น
รับบท หลิวซวี (ก่วงหลิงหวัง)
(นักแสดง ชาวจีน)

** หลิวซวีเป็นโอรสองค์ที่ 4 ของจักรพรรดิฮั่นอู่ (ฮั่นอู่ตี้) **


 

หรงเย่าจง
รับบท ฮั่วอวี่
(นักแสดง ชาวจีน)


 

เจียงเสี่ยวชง
รับบท ฮั่วซาน
(นักแสดง ชาวจีน)


 

หวงหย่งกัง
รับบท เจียงชง
(นักแสดง ชาวจีน)

นักแสดงรับเชิญ

 

หูปิง
รับบท หลิวเช่อ (จักรพรรดิฮั่นอู่)
(นักแสดง / นายแบบ / นักร้อง ชาวจีน)


 

ฟ่านเหวินฟาง
รับบท อู๋เล่ย
(นักแสดง ชาวสิงคโปร์)


 

ไป๋ซาน
รับบท โกวอี้ฟูเหริน (สนมจ้าว)
(นักแสดง ชาวจีน)


 

จงเฟิงเหยียน
รับบท ห่าวเสี้ยวเทียน
(นักแสดง ชาวจีน)


 

เฉิงลี่ซา
รับบท ซินเฉิง
(นักแสดง ชาวจีน)


 

จ้าวลี่อิ่ง
รับบท ไป่เหอ
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)


 

เฉินเป่าผิง
รับบท ซ่างกวนเจี๋ย
(นักแสดง ชาวจีน)





* ดูละครย้อนหลังทาง bugaboo.tv ได้ ที่นี่

*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา