วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556

Faith: สุภาพบุรุษยอดองครักษ์ ตอนที่ 1




ระหว่างที่หัวหน้าองครักษ์ "ชเวยอง" กำลังพาพระเจ้าคงมินเดินทางกลับโครยอเพื่อสืบทอดราชบัลลังก์ (หลังเสด็จไปเป็นตัวประกันที่ต้าหยวนนาน 10 ปี) ก็มีกลุ่มคนร้ายสะกดรอยตามและบุกเข้ามาทำร้ายพระมเหสีจนอาการสาหัส แม้แต่หมอหลวงเก่งที่สุดในโครยอที่ตามเสด็จมาด้วยก็ไม่สามารถรักษาได้ แต่ถ้าปล่อยให้พระมเหสีซึ่งเป็นองคหญิงมองโกลแห่งราชวงศ์หยวนเป็นอะไรไป ก็จะเป็นภัยต่อโครยอ ด้วยเหตุนี้ ชเวยอง จึงต้องออกตามหาเทพแห่งการรักษาโรค เพราะเป็นทางเดียวที่จะรักษาชีวิตของพระมเหสีและปกป้องบ้านเมืองเอาไว้ได้

เนื้อหา:

ละครเรื่องนี้เปิดฉากด้วยภาพวาดประกอบการเล่าเรื่องราวในตำนานเกี่ยวกับหมอเทวดา นามว่า "ฮวาตา"  ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคและอาการบาดเจ็บของอวัยวะภายในและภายนอก ทั้งยังสามารถรักษาผู้ป่วยที่ถูกวางยาหรือโดนอาวุธอาบยาพิษ รวมทั้งผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง เรียกได้ว่าไม่มีความเจ็บป่วยใดที่เขาไม่สามารถบำบัดให้คนไข้ได้ แต่ความสามารถอันโดดเด่นและเป็นที่เลื่องลือของหมอฮวาตาก็คือ การผ่าตัดรักษาคนไข้ โดยเขาจะวางยาสลบผู้ป่วยแล้วทำการผ่า ก่อนควักอวัยวะภายในที่เจ็บป่วยออกมารักษา


ในช่วงเวลานั้นบ้านเมืองตกอยู่ภายใต้การปกครองของ "โชโจ" ซึ่งบ้าอำนาจและหวังครองโลกแต่มีอาการปวดหัวเรื้อรัง หลังได้รับการรักษาด้วยวิธัฝังเข็มจากฮวาตา อาการปวดหัวก็ทุเลาลง (แต่ยังไม่หายขาด)  โชโจจึงแต่งตั้งฮวาตาเป็นหมอประจำตัว ฮวาตาทนทำหน้าที่ได้ไม่นานก็หนีหายไป เพราะไม่อยากเป็นหมอที่ต้องรักษาคนไข้เพียงคนเดียว

โชโจโกรธมากจึงสั่งให้ทหารออกตามล่าฮวาตา ทหารบอกฮวาตาว่าหากเขายอมกลับไปแต่โดยดีก็จะมีความดีความชอบและได้รับการปูนบำเน็จอย่างงาม ฮวาตากล่าวว่า ตนไม่ต้องการถูกกล่าวถึงในฐานะผู้ช่วยชีวิตคนบ้าอำนาจที่หวังครองโลกอย่างโชโจ และถามว่าหากตนไม่กลับไปจะเกิดอะไรขึ้น ทหารคนดังกล่าวตอบว่า ผู้ใดกล้าขัดคำสั่งโชโจจะมีโทษสถานเดียวคือตาย ฮวาตากล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นโลกก็จะจารึกชื่อโชโจว่าเป็นชายโฉดที่ฆ่าผู้อุทิศตนเพื่อพิทักษ์ (ชาว) โลกอย่างฮวาตา


เมื่อรู้ฮวาตาไม่ยอมกลับไปแน่ ทหารจึงถือดาบพุ่งเข้าหาฮวาตา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะดวงอาทิตย์ได้ก่อกำแพงพายุขวางเอาไว้ ทันใดนั้นประตูสวรรค์ก็เปิดออก หมอฮวาตาหัวเราะแล้วหายตัวไปอย่างลึกลับ

หมายเหตุ:  เรื่องเล่าดังกล่าวดัดแปลงมาจากตำนานหมอเทวดาชื่อดังชาวจีนนามว่า "ฮัวโต๋"  ซึ่งเป็นทั้งตัวละครในวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์เรื่อง "สามก๊ก"  และเป็นหมอที่มีตัวตนจริงในยุคสามก๊กเช่นกัน ฮัวโต๋เป็นหมอที่มีจรรยาบรรณ รักษาคนทุกระดับชั้นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วแผ่นดินว่าเขาเป็นหมอเทวดาที่มีฝีมือในด้านการรักษาโรคด้วยยาสมุนไพร การฝังเข็ม และการผ่าตัด  

ในวรรณกรรมสามก๊กระบุว่า ฮัวโต๋ต้องมาจบชีวิตลงเพราะความหวาดระแวงของโจโฉ เหตุเกิดหลังจากกวนอูยกทัพมาตีเมืองอ้วนเซียของโจโฉ และถูกธนูอาบยาพิษที่ไหล่จึงต้องถอนทัพกลับค่าย โชคดีที่ได้หมอฮัวโต๋มาช่วยรักษาโดยการผ่าเนื้อที่ไหล่แบบสดๆ แล้วขูดเอาพิษที่กระดูกออก  วันหนึ่งโจโฉ เกิดมีอาการปวดศีรษะกำเริบอย่างรุนแรง จึงเชิญฮัวโต๋มารักษา ฮัวโต๋เสนอให้รักษาด้วยการผ่าศีรษะแต่โจโฉเกิดหวาดระแวงว่าฮัวโต๋อาจคบคิดกับกวนอูวางแผนฆ่าตน จึงสั่งให้นำตัวไปขังและประหารชีวิต

ส่วนบันทึกทางประวัติศาสตร์ระบุเอาไว้ว่า โจโฉซึ่งมีอาการปวดศีรษะแบบเรื้อรัง (คาดว่าน่าจะเป็นเนื้องอกในสมอง)ได้ออกคำสั่งให้ฮัวโต๋มารับหน้าที่เป็นหมอประจำตัวแทนที่จะตระเวนรักษาคนไปทั่ว ด้วยความที่ไม่อยากเป็นหมอหลวงฮัวโต๋จึงพยายามบ่ายเบี่ยง และหลบเลี่ยงการรักษาหลายครั้งโดยอ้างว่าภรรยาป่วย ครั้นพอโจโฉสืบจนรู้ว่าข้ออ้างดังกล่าวไม่เป็นความจริงก็รู้สึกโกรธ จึงสั่งขังและประหารชีวิตฮัวโต๋ในเวลาต่อมา 

ตัดกลับมาในปี ค.ศ. 1351 (พ.ศ. 1894) บริเวณชายแดนต้าหยวน


ระหว่างที่กลุ่มนักเดินทางซึ่งประกอบด้วย เกี้ยวของผู้สูงศักดิ์ 2 หลังและเหล่าองครักษ์ผู้คุ้มกันบนหลังม้า กำลังเดินทางฝ่าสายฝน โจ อิลชินสังเกตเห็นลำแสงสีแดงบนท้องฟ้า จึงสงสัยว่าอาจเป็น "ฮวาตา" หมอเทวดาผู้เลื่องชื่อ ขณะที่ชายบนหลังม้าอีกคนหนึ่งเข้ามารายงาน  "ชเวยอง" ซึ่งกำลังนั่งหลับ (ตา) บนหลังม้าว่า ทุกคนกำลังถูกสะกดรอยตาม แทนที่จะตกใจหรือวิตกกังวล ชเวยองกลับตอบโดยไม่ลืมตาว่า "รู้แล้ว" ชายคนดังกล่าวยังบอกด้วยว่า ดูจากวิธีการแล้วกลุ่มคนที่ตามมาคงมีฝีมือไม่ธรรมดา แต่ชเวยองยังคงตอบแบบเนือยๆ เหมือนเดิมว่า "ข้ารู้แล้ว"

ทันใดนั้นเกี้ยวหลังหนึ่งซึ่งมีสตรีผู้สูงศักดิ์นั่งอยู่ภายในเกิดติดหล่ม ชเวยองจึงกระโดดลงจากหลังม้าทันที ขณะที่เหล่าองครักษ์และผู้ติดตามพยายามช่วยกันดันเกี้ยวขึ้นจากหล่ม องครักษ์หนุ่มโอ แทมานก็ทั้งวิ่งและตีลังกาจากโรงเตี้ยมริมน้ำในหมู่บ้าน  เพื่อมารายงานข่าวร้ายกับชเวยองที่ยังอยู่กลางทางท่ามกลางสายฝนว่า "ไม่มีเรือเลยสักลำ" องครักษ์จูซอกถามด้วยความแปลกใจว่า ทำไมหมู่บ้านโพกูถึงไม่มีเรือโดยสารแม้แต่ลำเดียว แทมานตอบว่า วันนี้ไม่มีเรือออกจากที่นี่ ต้องรอจนกว่าจะถึงช่วงบ่ายของวันพรุ่งนี้จึงจะมีเรือแวะเวียนมา 2-3 ลำ

ชเวยองเดินไปรายงานผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ในเกี้ยวอีกหลังว่า คงต้องพักค้างคืนกันที่นี่ โจ อิลชินโวยวายว่าทำไมต้องค้างคืน ในเมื่อข้ามแม่น้ำไปก็จะถึงถนนใหญ่แล้ว  ชเวยองไม่ใส่ใจในคำพูดของอิลชิน เมื่อได้รับอนุญาตจากชายที่อยู่ในเกี้ยวเขาก็เดินจากไปทันที โจ อิลชินยังคงคาใจจึงพยายามร้องและกวักมือเรียกชเวยองว่า "อูดัลจิ!" (หมายถึง ทหารองค์รักษ์ของพระราชา) แต่ชเวยองทำเป็นไม่ได้ยิน เขากระโดดขึ้นม้าและสั่งให้ลูกน้องเข้าไปเคลียร์พื้นที่ในโรงเตี๊ยม


องครักษ์จูซอกจ่ายเงินก้อนโตเหมาทั้งโรงเตี๊ยม และขอให้เจ้าของไล่แขกทุกคนออกไปให้หมด หลังกันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง (รวมทั้งเจ้าของโรงเตี๊ยม) ออกไปจนหมดแล้ว ผู้สูงศักดิ์ทั้งสองก็เข้ามาในโรงเตี๊ยม องครักษ์เบ ชุงซอก ถามชเวยองว่า พวกที่แอบสะกดรอยตามมาวางแผนสกัดไม่ให้ทุกคนลงเรือข้ามแม่น้ำ เพื่อบีบให้เข้ามาพักค้างคืนที่นี่ใช่ไหม  ชเวยองตอบขณะล้มตัวลงนอนบนเก้าอี้ยาวว่า น่าจะเป็นเช่นนั้นเพราะในละแวกนี้มีโรงเตี๊ยมเพียงแห่งเดียว ชุงซอกถามต่อว่า ในเมื่อรู้แล้วทำไมถึงยังมาพักค้างคืนที่นี่ ชเวยองย้อนถามว่า อยากให้ทุกคนนอนเป็นเป้านิ่งที่ไหนสักแห่งในทุ่งโล่ง แล้วรอถูกโจมตีงั้นหรือ แม้จะแอบทำหน้าอ่อนใจเมื่อเห็นชเวยองทำตัวสบายๆ เหมือนไม่ค่อยใส่ใจ แต่เขาก็ให้เกียรติชเวยองในฐานะที่เป็นหัวหน้า จึงถามต่อว่า จะให้วางแผนรักษาความปลอดภัยอย่างไร ชเวยองนอนหลับตาแล้วตอบสั้นๆ ว่า "เต็มพิกัด" ชุงซอกจึงสั่งให้ทุกคนปิดช่องทางเข้าออกและคอยคุ้มกันอย่างแน่นหนา

ปรากฏว่าชายสูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ในเกี้ยวหลังหนึ่งก่อนหน้านี้ คือ พระเจ้าคงมิน* (ขณะนั้นยังอยู่ในฐานะองค์ชายคังนึง เพราะยังไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ) พระองค์ทรงวาดภาพฆ่าเวลาเงียบๆ ภายในห้องพักของโรงเตี๊ยม โดยมีโจ อิลชินยืนโวยวายและพยายามยุแยงให้พระองค์กำจัดหัวหน้าทหารองครักษ์ทันทีที่ไปถึงโครยอ โทษฐานที่บังอาจให้พระองค์เดินทางแบบลับๆ เยี่ยงสามัญชน (ชาวจีน)  ทั้งๆ ที่พระองค์กำลังจะขึ้นครองบัลลังก์โครยอ และนี่ก็เป็นการเดินทางกลับแผ่นดินเกิดเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี หลังตกเป็นตัวประกันของราชวงศ์หยวน (ต้าหยวน) พระองค์จึงควรได้รับการปฏิบัติดูแลอย่างสมพระเกียรติมากกว่านี้

* พระเจ้าคงมิน มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์เกาหลี พระองค์เป็นกษัตริย์องค์ที่ 31 แห่งราชวงศ์โครยอ  และทรงถูกจารึกว่าเป็นกษัตริย์ที่ปลดแอกอาณาจักรโครยอจากการครอบงำของมองโกล (สมัยราชวงศ์หยวน) พระองค์ถูกบังคับให้ไปอยู่ที่กรุงปักกิ่งในฐานะตัวประกันตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์  เพื่อรับการสอนและการปลูกฝังแบบชาวมองโกล ทั้งยังให้อภิเษกกับองค์หญิงมองโกล (องค์หญิงโนกุก) ด้วย  



ระหว่างที่โจ อิลชินกำลังนินทาชเวยองอย่างเมามัน ชเวยองก็เดินหาวเข้ามาในห้องและทูลพระเจ้าคงมินว่า ตนจำเป็นต้องพาพระมเหสี  (องค์หญิงโนกุก) เข้ามาประทับอยู่ในห้องนี้ด้วยเพื่อความสะดวกในการอารักขา แม้จะรู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ไม่สู้ดีนักก็ตาม โจ อิลชินตำหนิชเวยอง ที่บังอาจบุกเข้ามาในห้องว่าที่พระราชาและคิดทำอะไรตามใจชอบ  ชเวยองหันไปจ้องหน้าโจ อิลชินแล้วถามว่าขว้างมีดเป็นไหม จากนั้นก็ยื่นมีดสั้นให้โจ อิลชิน  แล้วสั่ง (ผลัก) โจ อิลชินให้ไปยืนคุ้มกันริมหน้าต่าง

คืนนั้นมีกลุ่มชายชุดดำบุกเข้ามาในโรงเตี๊ยมดังที่ชเวยองคาดการณ์เอาไว้   แม้จะมีแผนตั้งรับและป้องกันอย่างแน่นหนา แต่ผู้บุกรุกก็สามารถเข้ามาในโรงเตี้ยมได้อย่างง่ายดาย องครักษ์แทมานและชุงซอก ซึ่งซุ่มดูอยู่ที่ชั้นบนโปรยสารเรืองแสงใส่กลุ่มชายชุดดำ ส่งผลให้ชุดที่เคยดำมืดเรืองแสงออกมาเป็นสีเขียวจนมองเห็นได้อย่างเด่นชัดในความมืด เหล่าทหารองครักษ์พากันล้อมกลุ่มชายฉกรรจ์เอาไว้โดยถือดาบในท่าเตรียมพร้อม ดาบของพวกเขาสะท้อนกับแสงของฟ้าแลบจนเรืองแสงเป็นสีน้ำเงินคล้ายดาบเลเซอร์ เราจึงได้เห็นฉากการต่อสู้อันน่าตื่นตาตื่นใจระหว่างฝ่ายอธรรมที่สวมชุดเรืองแสงสีเขียว และฝ่ายธรรมะที่ถือดาบเรืองแสงสีน้ำเงิน


ชเวยองถีบผู้ร้ายจนกระเด็นทะลุประตูเข้าไปในห้องบรรทมของพระเจ้าคงมินซึ่งอยู่ชั้นบนสุด (ชั้น 3 หรือห้องใต้หลังคา)  จากนั้นก็เดินเข้าไปทูลพระเจ้าคงมินว่า ผู้บุกรุกมีจำนวนมากกว่าที่คิด แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้พระองค์หลบอยู่ทางด้านหลังตน และห้ามหนีไปไหนโดยเด็ดขาด (ชเวยองขอให้พระเจ้าคงมินเชื่อใจตน) เขาถามย้ำว่า พระองค์จะทำตามคำแนะนำของตนได้ไหม พระเจ้าคงมินหันหน้าไปมองพระมเหสี (ซึ่งจ้องกลับอย่างไม่เป็นมิตร)  แล้วรับปากว่าจะไม่หนี ชเวยองจึงให้คำมั่นว่าเขาจะปกป้องพระองค์ 

บริเวณห้องโถงด้านล่างและบนชั้นสองยังคงมีการต่อสู้กันระหว่างเหล่าองค์รักษ์และผู้บุกรุก ระหว่างนั้นชายชุดดำอีกกลุ่มหนึ่งฉวยโอกาสวิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นบนสุด ส่วนชเวยองยืนถือดาบรอผู้บุกรุกในท่าเตรียมพร้อมหน้าโต๊ะทรงพระอักษรของพระเจ้าคงมิน แต่การที่จะบุกเข้ามายังห้องบรรทมของพระเจ้าคงมินนั้น เหล่าชายชุดดำต้องฝ่าเหล่าองครักษ์ที่ดักซุ่มยิงหน้าไม้ไปให้ได้เสียก่อน  แต่ในที่สุดก็มีคนร้ายอึกกลุ่มหนึ่งบุกเข้าไปในห้องบรรทมจนได้


ชเวยองใช้เวลาไม่นานก็สามารถกำจัดผู้บุกรุกได้ทั้งหมด พระมเหสี (ซึ่งนั่งอยู่บนเตียงโดยมีนางใน 2 คนคอยคุ้มกัน) มีสีหน้าโล่งใจและหันไปมองพระเจ้าคงมิน  ด้านพระเจ้าคงมินเองก็หันไปมองพระมเหสีเช่นกัน ทันใดนั้น ก็มีผู้บุกรุกกลุ่มใหม่ปีนลงมาจากหลังคาและพังหน้าต่าง (ที่ชเวยองบอกให้โจ อิลชินคอยคุ้มกัน) เข้ามาภายในห้อง ระหว่างที่ชเวยองกำลังต่อสู้กับคนร้าย พระเจ้าคงมินยังคงนั่งนิ่งตามสัญญาแม้คนร้ายจะอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว  อยู่ๆ ก็มีคนร้ายแอบย่องเข้ามาทางหน้าต่างแล้วถือดาบพุ่งเข้าหาพระเจ้าคงมินทันที  ขณะที่คนร้ายกำลังจะใช้ดาบฟันเข้าที่ลำคอของพระเจ้าคงมิน (ซึ่งยังคงนั่งหลับตานิ่ง ไม่ลุกหนีไปไหน) ชเวยองก็เข้ามาช่วยชีวิตพระองค์เอาไว้ได้ทัน

ชายชุดดำอีกกลุ่มหันมาเล่นงานพระมเหสี แต่หมองหลวงชางบินและนางในทั้งสองต่างก็เสี่ยงชีวิตช่วยต้านทานเอาไว้ (คงมีเพียงโจ อิลชิน ที่ยืนถือมีดตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว) นางในคนหนึ่งโดนชายชุดดำฆ่าตาย ขณะที่อีกคนกำลังยื้อยุดกับผู้บุกรุก ทันใดนั้นก็มีชายชุดดำคนหนึ่งอาศัยช่วงชุลมุนบุกเข้ามาฟันลำคอพระมเหสี แม้ชเวยองจะฆ่าคนร้ายตาย แต่พระมเหสีก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และมีเลือดออกที่ลำคอเป็นจำนวนมาก


หมอหลวงชางบินฝังเข็มลงบนจุดเซ่าฟู (จุดฝังเข็ม HT8 บนฝ่ามือซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของหัวใจ) แล้วขอให้ชเวยองปล่อยพลังภายในลงไปในเข็มเพื่อสกัดพลังชี่ (พลังชีวิต) อันจะมีผลให้หัวใจเต้นช้าลง หลังหัวใจพระมเหสีเต้นช้าลงแล้ว หมอหลวงชางบินก็ฝังเข็มบริเวณไหล่ใกล้รอยบาดแผล ชเวยองปล่อยพลังภายในลงไปในเข็มเพื่อช่วยห้ามเลือด (พลังชี่ทำให้เลือดไหลเวียนผ่านทางเส้นเลือด  หากพลังชี่เคลื่อนที่ เลือดก็จะไหลเวียน แต่ถ้าสกัดพลังชี่เอาไว้ชั่วคราว เลือดก็จะหยุดไหล) พระเจ้าคงมินยืนดูด้วยความเป็นห่วง แม้พระองค์พยายามเก็บความรู้สึกเอาไว้ แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของชเวยองและหมอหลวงชางบิน

เหล่าทหารองค์รักษ์พากันวิ่งไล่ล่าชายชุดดำบริเวณด้านนอกโรงเตี๊ยม เบ ชุงซอก ตะโกนสั่งลูกน้องให้จับเป็น แต่แล้วอยู่ๆ ชายชุดดำสองคนก็ล้มลง ชุงซอกนึกว่าลูกน้องฆ่าชายชุดดำจึงโกรธมาก เพราะเขาต้องการสืบหาความจริงว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนี้ หลังถีบลูกน้องเป็นการลงโทษและระบายความโกรธไปคนละทีแล้ว เขาก็พบว่าชายชุดดำทั้งสองคนไม่ได้โดนฆ่าแต่กินยาพิษฆ่าตัวตายเอง

ขณะที่หมอหลวงชางบินและผู้ช่วยกำลังรักษาอาการบาดเจ็บของเหล่าองครักษ์ โจ อิลชินก็วิ่งลงบันไดมาตามให้เขากลับขึ้นไปรักษาพระมเหสี เพราะถ้าหากพระมเหสีเป็นอะไรไปต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ (พระมเหสีเป็นองค์หญิงมองโกลแห่งราชวงศ์หยวน) โจ อิลชินพาหมอหลวงชางบินขึ้นมายังห้องบรรทม แล้วกล่าวกับพระเจ้าคงมินว่า หากปล่อยให้พระมหเสีสิ้นพระชนม์ พวกหยวนต้องนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการบุกยึดโครยอแน่


พระเจ้าคงมินถามหมอหลวงชางบินว่า ไม่มีโอกาสรอดเลยหรือ หมอหลวงชางบินอธิบายว่า เส้นเลือดใหญ่ที่ลำคอของพระมเหสีถูกดาบฟันจนฉีกขาดไปครึ่งหนึ่ง ตอนนี้เขาทำการฝังเข็มลงบนจุดเซ่าหยินหัวใจ และจุดเซ่าหยางซางเจียวบนเส้นลมปราณมือ เพื่อชะลอการไหลเวียนของพลังงานชี่แล้ว แม้วิธีนี้จะช่วยให้เลือดไหลน้อยลงแต่ก็เป็นเพียงการห้ามเลือดชั่วคราว... โจ อิลชิน แย้งว่าถ้าเส้นเลือดขาดก็ต่อใหม่สิ หมอหลวงชางบินจึงอธิบายว่า เมื่อสักครู่ตนแทบฝังเข็มชะลอการเต้นหัวใจไม่ได้ หากตนแทงเข็มพลาด และพลังงานชี่กับการไหลเวียนของเลือดถูกรบกวน ตนก็จะไม่สามารถห้ามเลือดได้อีกต่อไป  ยามนี้คงมีเพียง 'เทพแห่งการรักษาโรค' เท่านั้นที่จะช่วยชีวิตพระมเหสีเอาไว้ได้

โจ อิลชิน นึกถึงแสงสีแดงบนท้องฟ้าที่เขาเห็นก่อนหน้านี้แล้วหันไปมองชเวยอง ชเวยองหลับตาและแกล้งทำเป็นไม่สนใจ พระเจ้าคงมินถามชเวยองว่า เห็นด้วยหรือไม่กับคำกล่าวที่ว่า "ถ้าสิ้นพระมเหสีก็จะสิ้นชาติ" ชเวยองตอบโดยไม่ลืมตาว่า ตนเป็นเพียงนักรบจึงไม่รู้เรื่องการเมือง พระเจ้าคงมินกล่าวด้วยความเจ็บปวดใจว่า "ทันทีที่ข้าขึ้นครองบัลลังก์ ประเทศชาติก็จะถูกทำลาย ช่างเป็นพระราชาที่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้" (พระองค์เชื่อว่าพระมเหสีคงไม่รอด)



แต่ชายชาตินักรบอย่างชเวยองไม่มีวันยอมให้เป็นเช่นนั้น ทันทีที่ได้ยินว่ามี 'เทพแห่งการรักษาโรค'  อยู่ไม่ไกลจากที่นี่นักเขาก็หูผึ่งและลุกขึ้นถามว่า อยู่ที่ไหน ตนจะพาลูกน้องไปเชิญตัวมาที่นี่ ครั้นพอโจ อิลชิน ทูลพระเจ้าคงมินว่า "อยู่บนสวรรค์" พระเจ้าคงมินก็เบือนหน้าหนีและถอนใจ แต่โจ อิลชิน ยังคงยืนยันด้วยความภาคภูมิใจว่า ตนรู้ว่าประตูสวรรค์อยู่ที่ไหน 

โจ อิลชิน ยังแนะนำให้พระเจ้าคงมินสวดมนต์อ้อนวอนสวรรค์ให้ช่วยชีวิตพระมเหสี แล้วตนจะส่งข่าวไปบอกพวกหยวนว่า พระองค์สวดมนต์ติดต่อกัน 3 วันโดยไม่ยอมแตะต้องอาหาร อย่างน้อยวิธีนี้ก็น่าจะช่วยบรรเทาความโกรธของพวกหยวนลงได้บ้าง ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้พระเจ้าคงมินจึงสั่งให้โจ อิลชิน ไปจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้

เมื่อรู้ว่าไม่อาจเคลื่อนย้ายพระมเหสีได้ ชเวยองจึงทูลพระเจ้าคงมินว่า ตนจะแบ่งกำลังพลออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งติดตามพระองค์ไปสวดมนต์ ส่วนอีกกลุ่มที่ใหญ่กว่าให้คอยอารักขาพระมเหสีที่โรงเตี๊ยม เพราะเห็นได้ชัดว่าคนร้ายหวังลอบปลงพระชนม์พระเมหสี พระเจ้าคงมินพยักหน้า สายตาของพระองค์จับจ้องไปที่พระมเหสี เมื่อชเวยองเดินออกจากห้อง พระเจ้าคงมินก็เรียกชเวยองแล้วเดินตามออกมา จากนั้นก็ถามว่า รู้สึกอย่างไรที่ต้องเดินทางไกล (จากโครยอมาต้าหยวน) เพื่อมารับพระองค์ ชเวยองตอบแบบเลี่ยงๆ ว่า ตนไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้น พระเจ้าคงมินถามใหม่ว่า เขาคิดอย่างไรกับพระราชาอย่างพระองค์ ชเวยองตอบโดยไม่มองหน้าว่า "นับว่าเป็นบุญของประชาชนที่มีพระราชาที่ชาญฉลาดและจิตใจดีอย่างพระองค์"


เมื่อเห็นว่าชเวยองไม่ยอมเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมาเสียที พระเจ้าคงมินก็เดินเข้าไปหาแล้วถามชเวยองตรงๆ ด้วยสายตาที่เจ็บปวดว่า เขาไม่ชอบพระองค์มาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ก่อนที่จะได้พบกันใช่ไหม ชเวยองยิ้มและพยายามบ่ายเบี่ยงโดยอ้างว่าถ้าตอบเช่นนั้นตนอาจมีโทษถึงตาย แต่พระเจ้าคงมินยังไม่ยอมแพ้และถามต่อว่า ทำไมชเวยองถึงไม่ชอบพระองค์ ในเมื่อพระองค์เป็นพระราชาของเขา เมื่อเห็นชเวยองได้แต่อ้ำอึ้ง พระองค์ก็ขอร้องและสั่งให้ชเวยองตอบจากใจจริง

ชเวยองมองหน้าพระเจ้าคงมินแล้วตอบว่า องค์ชายคยองชาง พระราชาองค์ก่อนขึ้นครองบัลลังก์ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 14  ปี  ในที่สุดก็ถูกโค่นบัลลังก์ (และโดนสังหาร) ด้วยความที่ยังเด็กเกินไป ส่วนพระองค์มีพระชนมายุ 21 พรรษา  ก็นับว่ายังน้อยเกินไปสำหรับการเป็นพระราชาเช่นกัน  มิหนำซ้ำ พระองค์ยังใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนต้าหยวนตั้งแต่เด็กๆ จนอาจกลายเป็นชาวหยวนไปแล้ว เมื่อคิดว่าต้องฝากประเทศชาติเอาไว้ในมือคนแบบนั้น (หุ่นเชิดของพวกหยวน) ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเป็นความโชคร้ายอย่างใหญ่หลวงของประชาชนชาวโครยอ


พระเจ้าคงมินฟังแล้วถึงกับอึ้งพูดไม่ออกไปชั่วขณะและมีน้ำตาคลอเบ้า จากนั้นก็ถามว่า ประชาชนทุกคนต่างก็คิดแบบนั้นเหมือนกันหมดใช่ไหม ชเวยองตอบว่า พระองค์เป็นพระราชาองค์ที่ 5 ในรอบ 11 ปี  (เรื่องจริงในประวัติศาสตร์)  ดังนั้น ประชาชนคงไม่ใส่ใจหรือคาดหวังอะไรมากนัก พระเจ้าคงมินฝืนยิ้มแล้วกล่าวขอบใจชเวยองที่ยอมเผยความรู้สึกในใจ เมื่อพระองค์เดินหันหลังกลับไป ชเวยองก็เรียกพระองค์แล้วทูลว่า ที่ตนพูดไปทั้งหมดนั้นหมายความว่า ตนไม่ได้เกลียดพระองค์เป็นการส่วนตัว

โจ อิลชิน และเหล่าองครักษ์ช่วยกันตั้งแท่นบูชาหน้าประตูสวรรค์ เมื่อพระเจ้าคงมินมาถึง เขาก็รีบวิ่งไปเสนอหน้าและกล่าวว่า นั่นคือประตูสวรรค์ที่ฮวาตาเข้าไปเมื่อพันปีก่อน ระหว่างที่อยู่บนสวรรค์ฮวาตาถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์หลายคน  และจะส่งลูกศิษย์ออกมาทางประตูนี้ทุกๆ 300 ปี ทันใดนั้น ประตูสวรรค์ก็เริ่มเปิดออก ชเวยองสั่งลูกน้องให้คอยคุ้มกันพระราชา โจ อิลชินทูลพระเจ้าคงมินว่าถ้าเข้าไปในนั้นก็จะได้พบฮวาตาบนสวรรค์ ดังนั้น พระองค์จึงควรรับสั่งให้ใครสักคนเข้าไปในนั้น เพื่อนำตัวฮวาตาหรือลูกศิษย์ของเขาออกมา พระเจ้าคงมินสับสนจนทำอะไรไม่ถูก โจ อิลชินจึงเร่งให้รีบมีพระบัญชาก่อนที่ประตูสวรรค์จะปิด


พระเจ้าคงมินเดินไปหาชเวยองแล้วกล่าวว่า "ข้าเองก็ไม่อยากจะเชื่อคำพูดนั่น แต่...." ชเวยองหันไปหาพระเจ้าคงมินเพื่อรอรับพระบัญชา (เขาพร้อมทำหน้าที่นี่อยู่แล้ว แค่รอให้มีพระบัญชามาเท่านั้น) พระเจ้าคงมินไม่กล้าออกคำสั่งและกล่าวอย่างเกรงใจปนหวาดกลัวว่า "แต่ข้าก็ควรลองเข้าไปดูใช่ไหม"   ชเวยองทูลว่าตนจะเข้าไปเอง พูดจบเขาก็ก้มศีรษะคำนับพระเจ้าคงมินเพื่อเป็นการอำลาโดยไม่รอคำสั่ง  แล้วเดินตรงไปยังประตูสวรรค์ทันที

อยู่ๆ ชเวยองก็มาโผล่ใต้ฐานของรูปปั้นพระโพธิสัตว์ เขาก้มศีรษะคำนับรูปปั้นขนาดใหญ่และรู้สึกตกใจเมื่อมีคนแอบถ่ายรูป  เมื่อเดินขึ้นไปบนเขาชเวยองก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นตึกระฟ้าและแสงไฟสว่างไสวในยามค่ำคืน เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองข้ามเวลามาอยู่ที่กรุงโซลในปี ค.ศ. 2012   เวลา 6 โมงเย็น (ผลของการทะลุมิติทำให้โลกยุคปัจจุบันได้รับผลกระทบจากพายุสุริยะ - มีการรายงานข่าวเรื่องพายุสุริยะบนหน้าจอทีวี)  

ชเวยองตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าเลยไม่ทันสังเกตว่ามีรถราวิ่งกันขวักไขว่ พอได้ยินเสียงแตรรถเขาก็รู้สึกตกใจ ยิ่งเห็นสิ่งที่เคลื่อนไหวไปมาตรงหน้าเขาก็ยิ่งสับสน เลยกระโดดหลบไปตั้งหลังข้างถนน หลังจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในวัด เมื่อเห็นพระรูปหนึ่งเดินผ่านมาเขาก็ร้องเรียก แต่เนื่องจากพระรูปนั้นกำลังฟังเพลงสวดจากหูฟังเลยไม่ได้ยิน ชเวยองจึงเดินเข้าไปสะกิดแล้วคำนับ จากนั้นก็แนะนำตัวว่า "ข้าชื่อ ชเวยอง มาจากโลกมนุษย์" (เขานึกว่าตัวเองกำลังอยู่บนสวรรค์) ข้ารู้ว่าตนเองมาในที่ๆ ไม่ควรมา แต่ได้โปรดช่วยข้าด้วย"


พระท่านถามว่าจะให้ช่วยเรื่องอะไร ชเวยองตอบว่า "ข้ามาตามหา  'เทพแห่งการรักษาโรค' ได้ยินว่าฮวาตามาที่นี่" แม้จะฟังดูแปลกๆ แต่พระรูปนั้นก็เดาออกว่า ชเวยองมาตามหา 'หมอ'... ด้วยความที่อยากช่วย พระท่านจึงถามว่าอยากพบหมอประเภทไหน เนื่องจากมีหมอเฉพาะทางหลายด้าน เมื่อเห็นชเวยองยืนงง พระท่านเลยถามว่า เจ็บป่วยตรงไหน ชเวยองยื่นหน้าเข้าไปหาแล้วใช้สันมือทาบบริเวณลำคอ (ทำท่าว่าโดนดาบแทงตรงนี้) แต่พระเข้าใจว่าชเวยองต้องการทำศัลยกรรมตกแต่ง ชเวยองเองก็ไม่รู้ว่าศัลยกรรมตกแต่งคืออะไร เมื่อพระท่านบอกว่าแถวมีหมอศัลยกรรมตกแต่งหลายคนเพราะที่นี่คือย่านกังนัม เขาก็เริ่มมีความหวัง แต่เขาไม่อยากพบหมอธรรมดาเลยบอกพระว่า ตนต้องการพบ 'เทพแห่งการรักษาโรค'  พระเข้าใจว่าชเวยองอยากพบหมอชื่อดังเลยแนะนำให้ไปที่ศูนย์การประชุมภายในห้างโคเอ็กซ์ ซึ่งกำลังจัดงานประชุมและนิทรรศการเกี่ยวกับศัลยกรรมตกแต่งพอดี และอยู่ไม่ไกลจากวัดมากนัก

ชเวยองถามว่าสถานที่ดังกล่าวอยู่ตรงไหน  พระเลยชี้ให้ดูว่ามองจากตรงนี้ก็เห็น ชเวยองเห็นว่าอยู่อีกฟากจึงขอคำแนะนำว่าจะไปที่นั่นได้ยังไง (จะข้ามถนนในกรุงโซลยังไง) พระท่านตอบว่า "ก็แค่ลุยไปข้างหน้า"  ชเวยองเกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมา เลยร้องว่า "อ๋อ...นึกแล้วเชียว"  ชเวยองแสดงความเคารพและกล่าวขอบคุณพระที่ช่วยชี้แนะก่อนเดินจากไป เมื่อชเวยองไปแล้วพระรูปดังกล่าวก็รีบกดโทรศัพท์สอบถามพระรูปอื่นด้วยความสงสัยว่าแถวนี้มีรายการทีวีมาตั้งกล้องแอบถ่ายรึเปล่า (เพราะถ้าเป็นการถ่ายละครท่านต้องรู้ล่วงหน้า) 


ชเวยองเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ เขาหายใจเข้าลึกๆ แล้วบอกกับตัวเองให้ "ลุยไปข้างหน้า" หลังจากนั้น ชายในชุดนักรบโบราณก็เดินฝ่าการจราจรอันคับคั่งในกรุงโซลราวกับเป็นการวัดดวง (โชคชะตา) ทำเอาคนใช้รถใช้ถนนเหยียบเบรคกันแทบไม่ทัน เขาเดินตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ โดยไม่สนใจเสียงแตรหรือแม้แต่รถยนต์ที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาหา ในที่สุดเขาก็ไปถึงที่หมายจนได้

ชเวยองเดินเข้ามาในส่วนจัดแสดงอุปกรณ์และเทคโนโลยีศัลยกรรมตกแต่งอย่างตื่นตะลึง และแล้วโชคชะตาก็ทำให้เขาเดินหลงเข้าไปในห้องบรรยายที่แพทย์สาวยู อึนซู กำลังบรรยายเกี่ยวกับขั้นตอนการทำศัลยกรรมใบหน้า ทำให้ผู้ฟังหันไปสนใจชเวยองแทนที่จะฟังคำบรรยายของเธอ ชเวยองยืนฟังหลังห้องได้สักครู่ก็มีรปภ.เข้าไปนำตัวเขาออกมา เขาจ้องมองใบหน้าของอึนซู ก่อนออกจากห้องไปเงียบๆ


เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพยายามสอบถามชเวยองว่า เขาแต่งชุดนักรบโบราณมาโปรโมทให้บริษัทอะไร ชเวยองมัวแต่สนใจภาพจากกล้องวงจรปิด เพราะต้องการมองหาว่าอึนซูอยู่ตรงไหน เมื่อพบเธออยู่ในจอ เขาจึงลุกขึ้นไปดูใกล้ๆ แล้วถามว่าจะเข้าไปในนั้นได้ยังไง เขาพยายามใช้มือแกะจอมอนิเตอร์ติดผนังแล้วขอร้องให้เจ้าหน้าที่ช่วยเปิดผนังให้ โดยบอกว่าตนต้องการพบหมอที่อยู่ข้างในนั้น (เขาใช้นิ้วจิ้มไปที่ภาพอึนซู) 

เจ้าหน้าที่ไม่สนใจคำร้องขอของชเวยอง เขาหันมาดูชุดนักรบและพบว่ามีรอยเลือดติดอยู่ที่เอวของชเวยอง เลยใช้นิ้วจิ้มเลือดขึ้นมาดมแล้วถามว่าใช่ซอสมะเขือเทศรึเปล่า เมื่อเห็นว่าชเวยองถือดาบเอาไว้ในมือตลอดเวลา เขาก็คิดที่จะคว้าขึ้นมาดู แต่นักรบหนุ่มไม่มีวันยอมให้ใครมาแตะอาวุธคู่กาย เขาคว้าข้อมือเจ้าหน้าที่แล้วบิดแขนเพื่อเป็นการเตือนว่าอย่ามายุ่ง จากนั้นก็ผลักเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวจนล้มลง เจ้าหน้าที่โกรธมากที่ถูกทำร้ายร่างกายต่อหน้าลูกน้อง จึงคว้ากระบองของลูกน้องคนหนึ่งขึ้นมาแล้วตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ พลางบอกให้ลูกน้องโทรแจ้งตำรวจว่ามีคนบ้าถืออาวุธบุกเข้ามาในศูนย์การประชุม  ชเวยองหันกลับไปมองอึนซูในจอมอนิเตอร์เพื่อจดจำสถานที่ และเมื่อเจ้าหน้าที่ถือกระบองพุ่งเข้าหา เขาก็ใช้ดาบฟันกระบองจนขาดกระเด็ด เจ้าหน้าที่เลยพากันวิ่งหนีไป


เมื่อชเวยองหันกลับมาดูจอมอนิเตอร์อีกครั้งเขาก็ไม่เห็นอึนซูแล้ว จึงรีบออกตามหา ขณะนั้นอึนซูกำลังดูแว่นขยายสำหรับการผ่าตัดที่มาพร้อมหลอดไฟแอลอีดี ชเวยองตามมาพบอึนซูที่บูธดังกล่าวจึงหยุดมองอยู่ห่างๆ เมือเห็นว่าเป็นอึนซูแน่เขาจึงเดินเข้าไปหา แล้วบอกว่า "มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสกำลังรอรับการรักษาอย่างเร่งด่วน หมอของพวกเราบอกว่าเส้นเลือดที่ลำคอถูกตัดขาด ท่านสามารถช่วยชีวิตนางได้ไหมขอรับ" อึนซูเปรยว่าแล้วมาบอกเธอทำไม ชเวยองถามย้ำว่า "ท่านช่วยชีวิตนางได้ไหมขอรับ" อึนซูไม่สนใจและคิดที่จะเดินหนี แต่ชเวยองขวางเอาไว้  

ระหว่างนั้น หัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยพาตำรวจหน้าใสนายหนึ่งเข้ามาจับชเวยอง โดยบอกว่าดาบที่เขาถืออยู่ในมือเป็นของจริง  ตำรวจจึงเล็งปืนใส่ชเวยองแล้วบอกให้วางดาบ ชเวยองหันไปถามอึนซูอีกครั้งว่า "ท่านรักษานางได้ไหม" อึนซูบอกว่า เธอต้องพบคนไข้ก่อนเพื่อจะได้ตรวจดูว่าอาการสาหัสแค่ไหน ชเวยองทวนคำพูดของอึนซู ที่บอกว่า "อาการสาหัสแค่ไหน" เมื่อรู้ว่าอึนซูต้องเห็นบาดแผล "ด้วยตาตนเอง" ก่อนจึงจะรู้ว่ารักษาได้ไหม เขาก็นึกถึงรอยแผลที่ลำคอของพระมเหสี แล้วหันไปประจันหน้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที เขาใช้ปลอกดาบปัดปืนในมือตำรวจแล้วจ่อดาบเข้าที่คอหอยของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ทำให้ผู้คนพากันแตกตื่นและวิ่งหนีออกไป 


ทันใดนั้น ชเวยองก็ใช้ดาบเฉือนลำคอของเจ้าหน้าที่เพื่อให้มีบาดแผลลักษณะเดียวกับที่ลำคอของพระมเหสี เมื่อเห็นว่ามีเลือดออกจากลำคอ เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวก็เป็นลมหมดสติ ชเวยองส่ายหัวแล้วตำหนิว่า หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ ไม่รู้จะตามตนมาทำไม เขาอุ้มร่างชายดังกล่าวขึ้นมานอนบนเตียงแล้วบอกอึนซูว่า   หญิงที่ตนต้องการให้อึนซูช่วยรักษาก็มีบาดแผลที่คอแบบนี้เช่นกัน เขาถามอึนซูอีกครั้งว่า "ท่านช่วยชีวิตนางได้ไหม" อึนซูบอกให้ชายที่ตนยืนคุนด้วยเมื่อสักครู่เรียกรถพยาบาล ชเวยองมองร่างของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแล้วกล่าวว่า "หากท่านไม่สามารถช่วยชีวิตชายผู้นี้ได้ ข้าจะลองอีกครั้งกับชายผู้นั้น" (เขาชี้ดาบไปยังผู้ชายที่มาออกบูธ - คนที่อึนซูยืนคุยก่อนหน้านี้และก็หลบอยู่ข้างๆ เธอ) 

ชายคนดังกล่าวร้องขอชีวิต แล้วใช้ศอกดันอึนซูให้รีบไปรักษาเจ้าหน้าที่ก่อนที่เขาจะเป็นอะไรไป อึนซูตรวจดูอาการแล้วรีบวิ่งไปหยิบอุปกรณ์ผ่าตัดตามบูธต่างๆ  เมื่อเห็นอึนซูสวมแว่นขยายสำหรับการผ่าตัด ชเวยองก็ชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วยความแปลกใจ อึนซูหันไปมองชายที่มาออกบูธเหมือนต้องการความช่วยเหลือ แต่ชายคนดังกล่าวยังคงสติแตกและร้องขอชีวิตตลอดเวลา ชเวยองจึงใช้ดาบเคาะโต๊ะแล้วเตือนว่าถ้าชายผู้นั้นตาย เขาจะเป็นรายต่อไป (แปลว่าให้ลุกขึ้นมาช่วยอึนซู) 


ระหว่างที่อึนซูกำลังทำการรักษา หน่วยคอมมานโดก็เริ่มบุกเข้ามาในศูนย์การประชุม ชเวยองยืนมองอึนซูรักษาคนไข้ด้วยสายตาสุดทึ่งและพึงพอใจ (เธอผู้นี้แหล่ะคือ  'เทพแห่งการรักษาโรค' ที่เขากำลังตามหา) ตำรวจจากสถานีกังนัมประกาศผ่านลำโพงว่าเขาจะโทรศัพท์เข้าไปยังเครื่องที่อยู่ข้างใน ขอให้ช่วยรับโทรศัพท์ด้วย เมื่อโทรศัพท์ดังชเวยองก็มองหาว่าเสียงดังมาจากไหน จากนั้นก็ใช้ดาบฟันโทรศัพท์ทันที

เมื่ออึนซูเย็บแผลเสร็จ ชเวยองก็เข้ามาตรวจชีพจรและบอกว่าชายคนดังกล่าวยังมีชีวิต อึนซูบอกว่าต้องรอดูอาการอีกระยะหนึ่ง แต่ชเวยองมีเวลาไม่มาก เขาจึงกวาดอุปกรณ์ทั้งหมดลงบนผ้าปูโต๊ะแล้วห่อรวมกันจากนั้นก็บอกให้อึนซูเดินทางไปกับตน อึนซูอ้างว่าเธอไม่ได้ผ่าตัดรักษาคนไข้มานานแล้ว (ตอนนี้เธอเป็นหมอศัยลกรรมตกแต่ง) แต่ชเวยองเห็นกับตาว่าเธอทำได้จึงไม่ใส่ใจ เขาเดินเข้าไปหาเธอแล้วบอกว่า หนทางข้างหน้าอาจมีอุปสรรคอยู่บ้าง ดังนั้น จึงขอให้เธอหลบอยู่ทางด้านหลังตน พูดจบชเวยองก็เดินนำหน้า เมื่อเห็นว่าอึนซูไม่ยอมเดินตามทั้งยังแอบเดินถอยหลัง ชเวยองจึงเดินเข้ามาคว้าคอเสื้อแล้วลากตัวเธอออกไป

ชเวยองกล่าวว่า แค่เดินตามตนมามันจะยากอะไรนักหนา ทำไมถึงดื้อรั้นไม่ยอมทำตามที่บอก อึนซูโวยวายว่ายังไงก็ไปไม่รอดเพราะตำรวจล้อมที่นี่เอาไว้หมดแล้ว ชเวยองปล่อยคอเสื้ออึนซูแล้วบอกว่า ก็แค่ฝ่าวงล้อมออกไป จากนั้นก็ฉุดกระชากลากข้อมืออึนซูแทน ตำรวจเห็นทั้งคู่จากกล้องวงจรปิดจึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ล็อกประตู เมื่อทั้งคู่กำลังจะเดินไปที่ประตูทางออก ตำรวจก็ถือโล่เข้ามาขวาง อึนซูรีบหลบอยู่ด้านหลังชเวยอง เมื่อเห็นหน่วยคอมมานโดเคลื่อนพลเข้ามาล้อมจากทุกทิศทุกทาง อึนซูพยายามหว่านล้อมให้ชเวยองยอมมอบตัว แต่ชเวยองยังคงยืนนิ่ง เขารวบรวมพลังภายในลงบนฝ่ามือ (พลังฝ่ามือพิฆาต) แล้วปล่อยพลังใส่ตำรวจ ทำให้ตำรวจหงายหลังกระเด็นไปตามๆ กัน  พลังดังกล่าวยังส่งผลให้ผนังกระจกและประตูแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ทำให้ตำรวจที่ล้อมอยู่บริเวณด้านนอกพลอยหงายหลังกระเด็นไปด้วย


ชเวยอง ทรุดตัวลงนั่งแล้วบอกอึนซูที่กำลังนั่งเอามือกุมหัวด้วยความหวาดกลัวว่า "ขออภัยด้วย ที่ข้าจำเป็นต้องล่วงเกินท่านสักครู่" อึนซูเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า หมายความว่ายังไง ชเวยองไม่มีเวลามานั่งตอบ เขายกอึนซูขึ้นพาดไหล่แล้วแวะหยิบโล่ของตำรวจก่อนเดินไปที่ประตูสวรรค์ เมื่อถึงหน้าประตูสวรรค์เขาก็วางเธอลงแล้วบอกว่า เราต้องเข้าไปในนั้น  อึนซูหันไปมองประตูสวรรค์แล้วร้องขอชีวิต ชเวยองบอกว่าเขาไม่คิดที่จะฆ่าเธอ หากเธอช่วยรักษาคนเจ็บจนหายดีแล้ว เขาจะพาเธอมาส่ง อึนซูร้องไห้และหาว่าชเวยองโกหกเพราะเธอเห็นหน้าเขาแล้ว เธอกล่าวว่า โจรเรียกค่าไถ่มักจะฆ่าตัวประกัน ถ้าตัวประกันเห็นหน้าเขา เธอรู้เรื่องนี้ดีเพราะเคยเห็นในหนัง อึนซูพยายามลุกหนีแต่ชเวยองกดตัวเธอลงแล้วให้คำมั่นว่า "ข้าคือนักรบชเวยองแห่งโครยอ ขอเปล่งวาจาในฐานะนักรบว่า ข้าจะใช้ชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อพาท่านกลับมา ข้าขอสัญญา" พูดจบเขาก็ดึงตัวเธอขึ้นมายืนหน้าประตูสวรรค์

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 วันก่อนหน้านี้

อึนซูไปหาหมอดูเพื่อสอบถามว่า เธอจะเจอผู้ชายรวยๆ เมื่อไหร่และที่ไหน  ให้บอกมาเฉพาะผู้ชายรวยๆ ผู้ชายธรรมดาเธอไม่อยากรู้ (เพราะเธอกำลังหาทุนทำวิจัยเรื่องการสกัดสเต็มเซลล์) หากเป็นผู้ชายที่มีหน้าตาและจิตใจด้วยก็จะดีมาก และขอเจอโดยเร็วที่สุด หมอดูฟังสเปคนักลงทุนของเธอแล้วก็เริ่มทำนาย  โดยบอกว่าเธอจะได้พบผู้ชายที่สวรรค์ส่งมาให้ และเป็นผู้ชายจากอดีต (หมอดูเข้าใจว่าเธอมาถามเรื่องเนื้อคู่) แม้จะทายถูกแต่หมอดูกลับตีความผิด เขาบอกให้เธอลองนึกถึงผู้ชายเคยที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเธอ


อึนซูนึกถึงรุ่นพี่ที่เคยคบสมัยเป็นนักเรียนแพทย์ เขาทิ้งเธอไปมีแฟนใหม่เป็นผู้หญิงที่ฐานะทางบ้านร่ำรวยมาก ครอบครัวของผู้หญิงคนนั้นกำลังจะเปิดโรงพยาบาลให้เขา แม้เธอจะหน้าตาขี้เหร่และบุคลิกแย่ แต่เขาไม่มีทางเลือกเพราะอยากมีโรงพยาบาลเป็นของตัวเอง  ส่วนผู้ชายคนที่สองนั้นชอบเธอมาก เขามาปรึกษาเธอเรื่องทำศัลยกรรมใบหน้าแล้วขอเธอแต่งงาน แต่เธอคบเขาได้ 3 เดือนก็เลิกเพราะผู้ชายคนนั้นไม่หล่อ ถึงแม้ว่าจะฐานะดีก็ตาม 

เธอบอกหมอดูว่าไม่ได้อยากแต่งงานกับผู้ชายรวยๆ เธอแค่มองหาเงินทุนสักก้อน เลยอยากหมั้นกับผู้ชายรวยๆ แล้วขอยืมเงินเขา หากทำวิจัยสำเร็จเธอก็จะคืนเงินและเลิกคบกับเขาทันที แต่หมอดูบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะโชคชะตาจะนำพาอึนซูไปในที่ๆ ไกลแสนไกล  อึนซูเริ่มไม่พอใจในคำนาย เมื่อไม่ได้คำตอบว่าเธอจะเจอผู้ชายรวยๆ เมื่อไหร่และที่ไหน  เธอเลยคิดที่จะไปสอบถามจากหมอดูไพ่ทาโรห์แทน 

ตัดกลับไปในยุคโครยอเมื่อ 7 ปีก่อน (ก่อนที่ชเวยองจะเข้าไปในประตูสวรรค์)


องครักษ์โทลแบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาบอกเบ ชุงซอก ว่าหัวหน้าคนใหม่ของพวกตนที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งในวันนี้มีอายุเพียง 22 ปี องครักษ์คนหนึ่งกล่าวเสริมว่า หัวหน้าคนนี้มีประวัติการทำงานอันน่าทึ่ง เพราะเคยเป็นถึงหัวหน้าหน่วยชองวอลแด (หน่วยนักฆ่าลับที่ล้วนมีฝีมือระดับเทพ) ต็อกมานกล่าวเสริมว่า หัวหน้าคนใหม่มีทักษะด้านการรบเป็นเลิศ สามารถเข่นฆ่าศัตรูได้ 3-4 คนในคราวเดียว ทั้งยังมีวิชาตัวเบา และมีพลังภายในอันแก่กล้า กล่าวกันว่าพลังภายในของหัวหน้าคนใหม่ มีอานุภาพดุจสายฟ้าฟาดไม่แพ้เลี่ยงกง (เทพเจ้าแห่งสายฟ้าของจีน) เลยทีเดียว มิหนำซ้ำ ยังมีข่าวลือว่าเขาเป็นคนอารมณ์ร้อนถึงขนาดฆ่าคนที่เข้าไปปลุกอีกด้วย

โทลแบไม่เชื่อข่าวลือดังกล่าว เขารับไม่ได้ที่มีหัวหน้าอายุน้อยและรู้สึกไม่ถูกชะตาทั้งที่ยังไม่เคยเจอตัวเป็นๆ เลยหันไปถามชุงซอกว่าทำไมถึงยอมสละตำแหน่งให้คนเช่นนี้ ชุงซอกตอบว่าเขาทำตามราชโองการ  โทลแบกำลังจะนินทาหัวหน้าคนใหม่ แต่ชุงซอกปรามไว้แล้วกล่าวเตือนทุกคนว่า เพราะมีหน่วยนักฆ่าลับชองวอลแด โครยอจึงอยู่รอดปลอดภัยตราบจนทุกวันนี้


โทลแบอารมณ์เสียที่เห็นชุงซอกยอมสละตำแหน่งให้เด็กรุ่นน้อง เลยโม้ว่าถ้าหัวหน้าคนใหม่มาถึงเมื่อไหร่ตนจะสั่งสอนให้ดู เขาตั้งท่ายกเท้าถีบโชว์เพื่อนๆ ที่หน้าประตู ปรากฏว่าชเวยองเดินเข้ามาพอดี เขาใช้มือดันเท้าโทลแบเข้ามาในห้องแล้วผลักจนล้ม ชุงซอกลุกขึ้นแล้วขอให้ชเวยองแนะนำตัว ชเวยองได้กลิ่นเหม็นตุๆ ในห้องเลยเอามือพัดจมูกแล้วทำหน้าเบ้ จากนั้นก็หันไปสำรวจรอบๆ ห้อง โดยไม่ยอมบอกว่าตนเป็นใคร โทลแบถามว่าไม่ได้ยินที่ลูกพี่ตนถามหรือ  เมื่อเห็นว่าชเวยองไม่สนใจตนโทลแบเลยเอื้อมมือไปสะกิด แต่ก็ถูกชเวยองจัดการจนล้มคว่ำอีกครั้ง

ชเวยองถามชุงซอกว่าเขาเป็นจ่าฝูงของที่นี่หรือ ชุงซอกเลยถือโอกาสแนะนำตัวว่า ตนชื่อเบ ชุงซอก เป็นรองหัวหน้าหน่วยองครักษ์ ชเวยองกอดคอชุงซอกแล้วถามว่าจะให้ตนนอนที่ไหน  ชุงซอกถึงกับอึ้ง ชเวยองจึงถามอีกครั้งว่าที่นอนตนอยู่ตรงไหน เมื่อเห็นว่ามีเตียงหนึ่งว่างอยู่ ชเวยองจึงเดินไปที่เตียงแล้วล้มตัวลงนอนทันที  ชเวยองนอนอยู่อย่างนั้น 3 วัน 2 คืนโดยไม่มีใครกล้าปลุก โทลแบเกาะเสาแอบดูชเวยองแล้วเดินไปบอกชุงซอกว่า หัวหน้าคนใหม่นอนหลับยาว 3 วัน 2 คืนโดยไม่ลุกขึ้นมากินข้าวกินปลา แถมยังไม่ฉี่อีกต่างหาก ต็อกมานชักเริ่มเป็นห่วงเลยกล่าวว่า ไม่รู้ว่าเขาตายแล้วหรือยัง คนเรานอนอยู่เฉยๆ ก็อาจไหลตายได้ โทลแบกล่าวว่า ตนลองเอามือไปอังจมูกหัวหน้าคนใหม่ดูแล้ว เขายังมีชีวิตอยู่ ชุงซอกจะเดินไปดูแต่พอเห็นชเวยองนอนสะดุ้งเขาก็หันหลังกลับ  (ไม่กล้าปลุก)


โทลแบค่อยๆ ย่องเข้าไปหาชเวยอง แต่ถูกต็อกมานดึงตัวเอาไว้  ต็อกมานเตือนโทลแบให้นึกถึงข่าวลือที่ได้ยินมา  เขาเตือนว่าคนที่กำลังนอนหลับเป็นตายตรงนั้นสามารถกำจัดศัตรู 3-4 คนได้ในดาบเดียว แถมยังกระโดดข้ามกำแพง และปล่อยลำแสงจากฝ่ามือได้ด้วย โทลแบทำท่าอ่อนใจแล้วบอกว่า คนเก่งขั้นเทพปานนั้นไม่มีจริงในโลกนี้ ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ข่าวลือ ไม่ว่า 'หมอนี่' จะเป็นใคร เขานี่แหล่ะที่จะเป็นคนเข้าไปปลุกและขอท้าประลอง ต็อกมานพยายามขวางเอาไว้แล้วเตือนว่า หัวหน้าคนใหม่เคยจัดการคนที่เข้าไปปลุกถึงตายภายในเสี้ยววินาที แต่โทลแบไม่เชื่อข่าวลือเลยผลักต็อกมานออกไปให้พ้นทาง


ขณะที่โทลแบกำลังจะเดินเข้าไปหา ชเวยอง (ที่ยังคงนอนหลับตา) ก็หยิบกระบองขึ้นมาควงแล้วเขวี้ยงใส่กลางหน้าผากโทลแบ ต็อกมานเห็นแล้วแอบขำ  เมื่อโทลแบเห็นว่ามีเลือดออกเขาจึงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและเจ็บใจ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา