วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561

เรื่องย่อ เทพบุตรนักสู้ พลิกลิขิตสวรรค์ (Fighter of the Destiny)




บทประพันธ์: เมานี่ (นิยายเรื่อง "เจ๋อเทียนจี้" (择天记) )
กำกับ: จงซู่เจีย (ชาวฮ่องกง), ม่ายหย่งหลิน, ข่งลี่ต้า
เขียนบท: ฉู่ซีเตา, หยางโม่, หยางพ่าน, จินเยวี๋ยนเยวี๋ยน
แนวละคร: แฟนตาซี, โรแมนติก, เซียนเซี่ย (ได้รับอิทธิพลจากลัทธิเต๋า เกี่ยวกับมนุษย์ ปีศาจ มาร ความเป็นอมตะ เวทมนต์ พลังพิเศษ ฯลฯ)
จำนวนตอน: 52 / 56 (หูหนาน)
ออกอากาศ: จีน - 17 เมษายน 2560 - 1 มิถุนายน 2560 ทางหูหนานทีวี
             ไทย - ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.20 น. ทางช่องจีเอ็มเอ็ม (หมายเลข 25) ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 - 27 มีนาคม 2561





เรื่องย่อ



ในสมัยปฐมกาลมีศิลาเทพตกลงมาจากสวรรค์และแตกกระจายไปทั่วโลกดุจฝนดาวตก ศิลาเทพส่วนหนึ่งได้ตกลงในบูรพาทวีปโดยมาพร้อมรูปสลักและสัญลักษณ์ปริศนา  กล่าวกันว่าผู้ใดศึกษาดูอย่างถ่องแท้จะเกิดความรู้แจ้ง และนั่นก็เป็นบ่อเกิดของความรู้ความเข้าใจในแนวทางแห่งเต๋า ตลอดจนศาสตร์แขนงต่างๆ

หลายพันปีต่อมา

"เฉินฉางเซิง" ซึ่งเป็นเด็กพร้าที่มีประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัด เร้นกายอยู่บนป่าเขากับอาจารย์ "จี้เต้าเหริน" และศิษย์พี่ "อวี๋เหริน"  ตั้งแต่ยังแบเบาะ ด้วยความที่เลือดในกายของเขามีความพิเศษและแตกต่างจากคนทั่วไป เขาจึงมีร่างกายที่อ่อนแอ แถมยังอายุสั้นเพราะจะอยู่ได้ไม่เกินอายุ 20 ปี ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยสิ้นหวัง นับตั้งแต่จำความได้เขาเรียนรู้คัมภีร์เต๋าและอ่านตำราต่างๆ มาแล้วกว่าหนึ่งพันเล่ม ทั้งยังจำได้ขึ้นใจ เขาต้องการพลิกชะตาจากร้ายให้กลายเป็นดีหมายมีชีวิตอยู่ต่อไป จึงตัดสินใจลงเขาแล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของต้าโจว (เสินตู) หมายเข้าร่วมการสอบใหญ่ (ต้าเฉา) ของทางราชสำนัก โดยเขาจะต้องสอบให้ได้ที่หนึ่งเพราะนั่นเป็นทางเดียวที่จะได้เห็นศิลาเทพและพบเคล็ดลับในการเปลี่ยนแปลงดวงชะตา นอกจากนี้เขายังนำสัญญาหมั้นหมาย (ระหว่างเขากับรักแรก "สวีโหย่วหรง"ติดตัวไปด้วย โดยตั้งใจว่าจะไปถอนหมั้นเพราะถ้าหากเป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิตเขาจะมีชีวิตอีกเพียงหนึ่งปี

การเดินหน้าต่อสู้กับดวงชะตาโดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน ทำให้ฉางเซิงต้องประสบอุปสรรคขวากหนามและภยันตรายต่างๆ มากมาย แต่นั่นก็ทำให้เขาได้พบมิตรแท้อย่าง "ถังถัง" คุณชายรูปงามผู้มั่งคั่งและอัจฉริยะนักประดิษฐ์, "ไป๋ลั่วเหิง" องค์หญิงอสูรแห่งเผ่าเสือซึ่งฝากตัวเป็นศิษย์คนแรกของฉางเซิง (เธอไม่เคยสงสัยในความสามารถของเขาและพร้อมทำตามทุกอย่างโดยไม่ลังเล ทั้งยังหลงรักเขาอีกด้วย)"เซวียนหยวนโพ่" อสูรบ้าพลังแห่งเผ่าหมีและแม่ทัพที่ภักดีต่อองค์หญิงลั่วลั่วเหนือสิ่งอื่นใด ตลอดจน "จูซา" มังกรดำน้อยที่คอยปกป้องฉางเซิน เป็นต้น นอกจากนี้ เขายังพบรักแท้ที่ต่างยอมตายแทนกันได้อย่าง "สวีโหย่วหรง"  อีกด้วย ทุกคนที่กล่าวมานี้ล้วนร่วมเป็นร่วมตายและคอยช่วยเหลือฉางเซินจนเขาสอบได้ที่หนึ่งสมดังตั้งใจ เดิมทีฉางเซิงคิดว่าหลังได้เห็นศิลาเทพและพบเคล็ดลับของ "โจวตู๋ฟู" (คนเดียวที่ฝืนลิขิตสวรรค์ได้สำเร็จ - เป็นหนึ่งในห้าผู้สำเร็จวิชชาด้านปัญญาและอิทธิฤทธิ์เต๋าขั้นสูงสุด แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นอมตะ) แล้วจะเปลี่ยนชะตาตนเองได้ แต่ทว่านั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะสิ่งที่เขาต้องต่อสู้ไม่ได้มีเพียงแค่ชะตาของตน หากยังเป็นชะตาของผู้คนและแผ่นดินอีกด้วย

เนื้อหาตอนที่ 1-3 (ตามที่ออกอากาศในจีน)

ในยุคที่ชนเผ่ามนุษย์ อสูร และปีศาจ ยังคงอาศัยอยู่ร่วมกันโดยต่างฝ่ายต่างมีพลังวิเศษ ชนเผ่ามนุษย์และชนเผ่าเยา (อสูร) ซึ่งเป็นฝ่ายธรรมมะ ต่างผูกสมัครรักใคร่และเป็นมิตรที่ดีต่อกันมาช้านาน ในขณะที่ชนเผ่าโหมว (ปีศาจ) เป็นฝ่ายอธรรมและปีศาจร้ายที่หมายเป็นใหญ่ในใต้หล้า  (จากนี้จะเรียกชนเผ่าโหมวว่า "มาร" ตามละครเพื่อป้องกันความสับสน)  เมื่อชนเผ่ามารยกทัพมารุกรานหมายยึดครองดินแดนของชนเผ่ามนุษย์และชนเผ่าอสูร "จักรพรรดิไท่จง" แห่งต้าโจว ผู้ปกครองชนเผ่ามนุษย์ (ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ใจกลางแผ่นดินใหญ่) จึงประสานกำลังกับชนเผ่าอสูรในแดนซีอวี้ (แดนตะวันตก) ทำศึกต่อต้านชนเผ่ามาร หลังสู้รบกันอย่างดุเดือดเป็นเวลานานหลายทศวรรษ ในที่สุด ชนเผ่ามนุษย์และชนเผ่าอสูรก็สามารถเอาชนะและขับไล่ชนเผ่ามารให้ถอยร่นขึ้นไปอยู่ทางตอนเหนือได้สำเร็จ โลกจึงกลับมาสุขสงบอีกครั้ง



หลังจากนั้นไม่นานจักรพรรดิไท่จงได้สิ้นพระชนม์กระทันหัน ชนเผ่ามารจึงถือโอกาสบุกโจมตีอีกครั้ง แต่คราวนี้ชนเผ่ามนุษย์และชนเผ่าอสูรมีเพียง "เซิ่งโฮ่ว" (ราชินีศักดิ์สิทธิ์ / ราชินีเทียนไห่ หรือชื่อจริง "เทียนไห่โยวเสวี่ย") พระมเหสีของจักรพรรดิไท่จงเป็นที่พึ่งพา ขณะที่ทัพของชนเผ่ามารมีกำลังแข็งแกร่งกว่ามาก หลังพบว่าสถานการณ์ของพวกตนตกเป็นรอง เซิ่งโฮ่วจึงเริ่มเปิดค่ายกลดาราที่โจวตู๋ฟูเป็นผู้คิดค้นและสร้างขึ้น เมื่อกองกำลังของชนเผ่ามารเห็นดังนั้นจึงพากันล่าถอย แต่เสนาธิการทหารของเผ่ามารอย่าง "เฮยเผา" (แปลว่า "เสื้อคลุมดำ") กลับบุกเข้ามาหาเธอถึงในวังอย่างง่ายดาย ซ้ำยังเย้ยว่าค่ายกลดาราของเธอมีพลังอ่อนด้อย หากไม่นำสายเลือดของจักรพรรดิไท่จงมาสังเวย เธอจะเพิ่มพลังได้เพียง 1-2 ส่วนของพลังค่ายกลทั้งหมด 

พอรู้ว่าเฮยเผามาที่นี่เพื่อทำลายค่ายกลดารา เซิ่งโฮ่วซึ่งเป็นสายเลือดนกเฟิ่งหวง (วิหคเพลิงอมตะในตำนาน) จึงออกโรงปกป้องจนเฮยเผาล่าถอยไป ที่แท้เฮยเผาไม่ได้มาเสินตู (เมืองหลวง) ตามลำพัง แต่ยังพามังกรยักษ์เสวียนซวงมาถล่มวังหลวงและเมืองเสินตูด้วย และนั่นก็ทำให้ทหารต้าโจวล้มตายนับพันนาย ถึงแม้ว่าเซิ่งโฮ่วจะมีอิทธิฤทธิ์และพลังของวิหคเพลิง แต่การต่อสู้กับมังกรดำและเฮยเผาตามลำพังแบบสองรุมหนึ่งในสภาพบาดเจ็บไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อสถานการณ์บีบบังคับเธอเลยจำต้องยอมเสียสละทายาทคนสุดท้ายหมายปกป้องบ้านเมือง โดยนำองค์ชายน้อยไปสังเวยค่ายกลดาราเพื่อพลิกชะตาจากแพ้เป็นชนะ 

หลังได้รับการสนับสนุนจาก "เจี้ยวจง(หรือ "อิ๋นสิงเต้า"  - เป็นหนึ่งในห้าผู้สำเร็จวิชชาด้านปัญญาและอิทธิฤทธิ์เต๋าขั้นสูงสุด แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นอมตะ - ในละครเรียกว่า "ราชครู") เซิ่งโฮ่วจึงคิดตั้งตนเป็นจักรพรรดิขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากพระสวามีโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของสำนักกั๋วเจี้ยว (สำนักศึกษาหลวง) เธอเห็นว่าเฮยเผาบุกเข้ามาในวังอย่างง่ายดายทั้งที่มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาจึงสงสัยว่าอาจมีสายลับของเผ่ามารแฝงตัวเข้ามาในเสินตู และเนื่องจาก "ซางสิงโจว" เจ้าสำนักกั๋วเจี้ยวหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา เธอจึงสันนิษฐานว่าซางสิงโจวเป็นสายลับของชนเผ่ามาร หลังจากนั้นทุกคนในสำนักกั๋วเจี้ยวก็ถูกประหาร ส่งผลให้สำนักกั๋วเจี้ยวถูกปิดตายนับแต่นั้นมา ในที่สุดเซิ่งโฮ่วก็ได้ขึ้นครองบัลลังก์ปกครองชนเผ่ามนุษย์ เธอคิดถึงพระโอรสที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย (หลังถูกสังเวยให้ค่ายกลดารา) จึงหมายมั่นว่าสักวันจะต้องหาให้พบ


หลายปีต่อมา เด็กชาย "เฉินฉางเซิง" ซึ่งพำนักอยู่กลางป่าเขากับอาจารย์และศิษย์พี่ (ที่แขนพิการข้างหนึ่ง) มักใช้เวลาไปกับการอ่านคัมภีร์เต๋าและตำราศาสตร์แขนงต่างๆ  ซ้ำยังจำเนื้อหาในตำรามากมายหลายพันเล่มได้ขึ้นใจ ถึงแม้จะเป็นเด็กฉลาดและจิตใจดีแต่โชคร้ายที่ร่างกายฉางเซิงอ่อนแอ ทั้งนี้เพราะเลือดในกายเขามีพลังแห่งดวงดาวซึ่งแม้จะมีสรรพคุณทางยาและสามารถช่วยชีวิตผู้อื่น แต่กลับถือเป็นภัยร้ายที่คุกคามชีวิตเขา อาจารย์จึงคอยเตือนให้ฉางเซิงดูแลรักษาตัวเพื่อป้องกันไม่ให้มีเลือดออก เพราะถ้าหากเลือดออกเมื่อไหร่กระแสเลือดในกายเขาจะเสียสมดุลทำให้อายุสั้นลง ที่สำคัญเขาจะต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเพื่อความปลอดภัยของตนเอง ฉางเซิงแย้งว่าหากเลือดของตนช่วยชีวิตผู้อื่นได้ แล้วจะให้ตนทนนิ่งดูดายโดยไม่ช่วยเหลือได้อย่างไร อาจารย์ชี้ว่าโลกนี้มีคนโลภมากมาย หากพวกเขารู้ว่าเลือดของฉางเซิงเป็นยาวิเศษ คงได้แห่มาเอาเลือดฉางเซิงไปทำยาเป็นแน่



"สวีไท่ไจ่" แบกหลานสาว "สวีโหย่วหรง" ซึ่งกำลังหลับใหลไม่ได้สติหนีทหารเผ่ามารเข้ามาในป่า เมื่อฉางเซิงและอวี๋เหรินออกมาเก็บสมุนไพรแล้วได้ยินเสียงคนต่อสู้กันจึงซุ่มดูอยู่ห่างๆ  ฉางเซิงแอบร่ายมนต์พิชิตมารหมายช่วยเหลือสองปู่หลานแต่กลับตกเป็นเป้าของเผ่ามารเสียเอง นับว่ายังโชคดีที่อาจารย์ของทั้งคู่มาช่วยเอาไว้ได้ทัน หลังตรวจชีพจรของโหย่วหรง (ปู่เรียกเธอว่า "หรงเอ๋อร์") ซึ่งกำลังป่วยหนักแล้ว อาจารย์ของฉางเซิงก็พบว่าในกายเธอมีเลือดนกเฟิ่งหวง ไท่ไจ่กล่าวว่าโหย่วหรงเป็นร่างของนกเฟิ่งหวง เธอจึงฝึกลมปราณชำระไขกระดูกสำเร็จตั้งแต่เด็กๆ แต่ทว่าพลังนกเฟิ่งหวงในเลือดของเธอตื่นเร็วเกินไป ร่างกายที่ยังเด็กจึงทนรับพลังอันแก่กล้าไม่ไหว ที่ผ่านมาไท่ใจ่พาโหย่วหรงไปหาหมอเก่งๆ มาจนทั่วแต่ไม่มีใครรู้วิธีรักษา เขาจึงขอร้องให้อาจารย์ของฉางเซิงช่วยชีวิตโหย่วหรง อาจารย์รับปากว่าจะจัดยามารักษาให้ตามอาการ แต่ไม่รับประกันว่าโหย่วหรงจะหายป่วยหรือรอดชีวิต

ฉางเซิงแอบใช้เลือดของตนช่วยรักษาโหย่วหรงทั้งๆ ที่รู้ว่าช่วยชีวิตคนอื่นแล้วตนจะเป็นอันตราย ไม่นานโหย่วหรงก็ฟื้นคืนสติและกลับมาแข็งแรงดังเดิม หลังจากนั้นทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนกัน  (ฉางเซิงเรียกเธอว่า "หรงเอ๋อร์")  ฉางเซิงเห็นว่าโหย่วหรงสามารถปล่อยพลังอัคคีออกมาทางฝ่ามือได้จึงชวนเธอไปตกปลาเพื่อนำมาย่างกิน แต่โหย่วหรงกลับเผาปลาจนไหม้เกรียมเพราะยังควบคุมพลังไม่ได้ หลังรู้จักและสนิทสนมกันได้ไม่กี่วันทั้งคู่ก็ต้องจากลากัน ฉางเซิงมอบสร้อยคอที่บรรจุหยดเลือดของตนให้โหย่วหรง ส่วนโหย่วหรงมอบแมลงปอไม้และนกกระเรียนส่งสารให้ฉางเซิงไว้ใช้ส่งจดหมายถึงเธอ โชคร้ายที่อาจารย์ของฉางเซิงพบว่ามีคนของราชสำนักบุกมาสอดแนม เขาจึงร่ายอาคมสลับหยินหยางเพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมหรือคนนอกแทรกซึมเข้ามาได้ ด้วยเหตุนี้นกกระเรียนกระดาษของโหย่วหรงจึงไม่สามารถนำจดหมายมาส่งฉางเซิง ทั้งคู่จึงขาดการติดต่อกันนับแต่นั้นมา



หลายปีผ่านไป ทั้งฉางเซิงและโหย่วหรงต่างเติบโตเป็นหนุ่มสาวและยังคงไม่ลืมกัน (โหย่วหรงเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานซี) นับวันพลังดวงดาวในเลือดฉางเซิงก็ยิ่งแข็งแกร่งและควบคุมได้ยากขึ้นโดยปรากฏเป็นเส้นสีเงินให้เห็นบนแขน พอรู้ว่าตนเหลือเวลาอยู่ในโลกนี้อีกเพียงหนึ่งปีฉางเซิงก็รู้สึกตกใจ เขาถามอาจารย์ว่าโรคของตนไม่มีทางรักษาเลยหรือ คำตอบที่ได้รับก็คือ...สิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่นั้นไม่ใช่โรคแต่เป็นโชคชะตา ที่ผ่านมาอาจารย์ตรวจสอบดวงชะตาให้ฉางเซิงหลายครั้ง แต่ผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิมคือเขาจะอยู่ได้ไม่ถึงวันเกิดครบรอบ 20 ปี ฉางเซิงสงสัยว่าตนไม่สามารถฝืนลิขิตสวรรค์ได้เลยหรือ อาจารย์จึงเล่าว่ามี 2 วิธี คือ หนึ่ง "ฝึกจิตบำเพ็ญตนให้ถึงขั้นอำพรางเทพ" (ถัดจากนี้คือบรรลุความเป็นอมตะซึ่งเป็นขั้นสูงสุดแห่งเต๋า ส่วนขั้นต่ำสุดคือฝึกลมปราณชำระไขกระดูก) แต่ฉางเซิงไม่เคยฝึกจิตบำเพ็ญตนมาก่อน และไม่มีเวลามากขนาดนั้น สอง คือ "พลิกชะตาฟ้าลิขิต" ซึ่งโลกนี้มีเพียง "โจวตู๋ฟู" คนเดียวที่ทำได้ กล่าวกันว่าโจวตู๋ฟูทิ้งเคล็ดวิชาไว้ที่หอหลิงซวี แต่หอหลิงซวีเป็นแดนต้องห้าม ทางเดียวที่จะเข้าไปได้คือเข้าร่วมการสอบใหญ่ (ต้าเฉา) ของทางราชสำนักซึ่งจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกๆ 3 ปี และต้องสอบให้ได้ที่หนึ่ง บังเอิญว่าการสอบกำลังจะจัดขึ้นในปีนี้พอดี แต่ปัญหาก็คือฉางเซิงไม่เคยฝึกตน ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน และไม่ได้สังกัดสำนักศึกษาใด อาจารย์จึงแนะให้ฉางเซิงเก็บตัวอยู่บนเขากับพวกตน โดยรับปากว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อต่ออายุฉางเซินให้ยืนยาวขึ้นอีก 3 ปี



ฉางเซินไม่ต้องการอยู่แบบรอวันตายจึงขออาจารย์ลงจากเขาหมายพลิกลิขิตฟ้า อาจารย์จึงตั้งค่ายกลเพื่อทดสอบดูว่าเขาจะเอาตัวรอดตามลำพังในเมืองหลวงอันศักดิ์สิทธิ์ (เสินตู) ได้หรือไม่ หลังอวี๋เหรินแอบบอกเคล็ดลับในการฝ่าด่านค่ายกล (เคล็ดลับดังกล่าวคือปรัชญาเต๋าที่เป็นแก่นแท้ของทุกปริศนาในโลก)   จนฉางเซิงสามารถไขปริศนาและนำกระบี่ที่อาจารย์ซ่อนไว้ออกมาจากค่ายกลได้สำเร็จ อาจารย์จึงอนุญาตให้ฉางเซินลงจากเขาโดยมอบกระบี่ไร้มลทินให้เขาพกติดตัว กระบี่ดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงอาวุธแต่ยังเป็นของวิเศษเพราะบริเวณฝักกระบี่สามารถเก็บของได้เป็นร้อยสิ่ง อาจารย์จึงจัดเตรียมยาสมุนไพรและสิ่งของจำเป็นมากมายใส่ไว้ในนั้น รวมทั้งยาวิเศษที่มีเพียง 10 เม็ด ซึ่งจะช่วยกลบกลิ่นเลือดของฉางเซิงในยามที่เขามีเลือดออก (เลือดของเขามีกลิ่นหอม) นอกจากนี้ อาจารย์ยังมอบสัญญาหมั้นหมายให้ฉางเซิงอีกด้วย (ปู่ของโหย่วหรงทำสัญญาหมั้นหมายระหว่างฉางเซิงกับโหย่วหรง พร้อมมอบตราประจำตัวไว้เป็นหลักฐานยืนยันเมื่อหลายปีก่อน แต่ฉางเซิงไม่เคยรู้เรื่องนี้) ฉางเซิงเห็นว่าตนอาจอยู่ไม่ถึงอายุ 20 ปีจึงตั้งใจว่าจะไปถอนหมั้น จากนั้นก็ลงเขาเป็นครั้งแรกในชีวิต




สวีโหย่วหรงถูกองค์หญิงเผ่ามาร "หนานเค่อ" บุกมารังควานถึงที่ ขณะต่อสู้กันโหย่วหรงเกิดพลาดท่าโดนหนานเค่อลอบกัดด้วยพิษขนนกยูง โชคดีที่ฉางเซิงเพิ่งลงจากเขาและผ่านมาพบเข้า เขาจึงมอบยาถอนพิษและปกป้องเธอจากหนานเค่อโดยไม่รู้ว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าคือ "หรงเอ๋อร์" รักแรกและคู่หมั้นของตน หลังฉางเซิงพาโหย่วหรงหลบหนีไป หนานเค่อจึงพาลูกน้องออกติดตามแต่ถูก "ชิวซานจวิน" ศิษย์เอกสำนักหลีซานขวางเอาไว้ หนานเค่อหลงรักชิวซานจวินจึงไม่อยากลงมือกับเขาและยอมล่าถอยไปแต่โดยดี หลังพาโหย่วหรงไปส่งยังที่พักแล้ว ฉางเซิงก็นึกขึ้นได้ว่าลืมถามชื่อเธอ เขาจึงแอบเรียกเธอว่าแม่นาง "ชูเจี้ยน" (แม่นางแรกพบ) ขณะที่โหย่วหรงเองก็ไม่รู้จักชื่อเขาเช่นกัน 

ชิวซานจวินนำจานดารา* (ที่หนานเค่อเพิ่งชิงไป) มาคืนโหย่วหรงและสอบถามอาการบาดเจ็บของเธอด้วยความเป็นห่วง เขามีใจให้โหย่วหรงจึงคอยดูแลปกป้องเธอถึงแม้ว่าจะอยู่คนละสำนักก็ตาม แต่โหย่วหรงพยายามรักษาระยะห่างเพราะเธอไม่ได้คิดอะไรกับเขาและกำลังฝึกตนเพื่อบรรลุเต๋าขั้นสูงสุด เมื่อชิวซานจวินอาสาพาเธอกลับไปรักษาตัวที่สำนักหนานซี โหย่วหรงจึงปฏิเสธทันควันโดยบอกว่าก่อนหน้านี้นักพรตหนุ่ม** ช่วยรักษาให้เธอแล้ว อีกสองวันเธอจะไปพบชิวซานจวินเองเพื่อจะได้ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยกันและรายงานเรื่องกุญแจสู่โจวหยวน (ดินแดนที่โจวตู๋ฟูสร้างขึ้น) ชิวซานจวินปลอบโหย่วหรงว่ามีเพียงเธอที่สามารถคำนวณหาตำแหน่งของกุญแจได้ แม้ก่อนหน้านี้จานดาราจะตกอยู่ในมือหนานเค่อแต่เหล่ามารไม่มีทางพบเบาะแสแน่ เขาชี้ว่าศึกครั้งนี้เป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงโอกาสระหว่างมนุษย์กับมาร ใครสามารถเข้าไปในโลกของโจวตู๋ฟูจะมีโอกาสได้รับพลังอันแก่กล้าที่สุด (ราชินีต้องการพลังดังกล่าวมาปราบหมู่มาร) ดังนั้นเธอจึงต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ โหย่วหรงหมายมั่นว่าพวกตนจะต้องหากุญแจสู่โจวหยวนให้พบก่อนพวกมาร  เธอสงสัยว่าเฮยเผาอาจพบเบาะแสบางอย่างเลยส่งศิษย์เอกอย่างหนานเค่อมารังควานเธอ  ชิวซานจวินได้ยินดังนั้นจึงบอกว่าตนจะจัดการพวกมารเอง

* หมายเหตุ:
  • จานดาราของโหย่วหรงมีลักษณะคล้าย "เครื่องวัดตำแหน่งดาว" (Astrolabe) ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางดาราศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุด 
  • แม้ฉางเซิงจะแต่งตัวและทำผมแบบนักพรตเต๋า ทั้งยังศึกษาคัมภีร์เต๋าจนทะลุปรุโปร่งและได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจากลัทธิเต๋า แต่เขาไม่ใช่นักพรต  



องค์หญิงอสูร "ไป๋ลั่วเหิง" (หรือ "ลั่วลั่ว") เดินทางมายังเมืองเสินตูเพื่อหาวิธีรักษาระบบลมปราณที่บกพร่องของชนเผ่าอสูร (เหล่าอสูรมีปัญหาเรื่องเส้นลมปราณทุกคน) "ไป๋ตี้" พระบิดาของเธอบอกให้ไปเป็นศิษย์สำนักเทียนเต้าเพราะที่นั่นเป็นแหล่งรวมคนเก่งและยอดฝีมือ ไม่แน่ว่าอาจมีคนรู้วิธีรักษา  แต่ลั่วลั่วรู้ดีว่าถึงไปที่นั่นก็ไม่มีทางแก้ปัญหาได้อยู่ดีจึงแอบหนี "จินอวี้ลี่ว์" (ท่านอาจิน) มานอนเล่นในสวน ถึงกระนั้นท่านอาจินก็ตามมาพบจนได้ (เขาไม่ต้องการให้ลั่วลั่วหนีมาเล่นซนตามลำพังเพราะเกรงว่าจะมีภัย) ท่านอาจินบอกลั่วลั่วว่าราชินีระดมหมอเก่งๆ มาที่เสินตูเพื่อตรวจดูเส้นลมปราณให้เธอแล้ว แม้รู้ดีว่าไม่มีหวังแต่ลั่วลั่วก็ยอมรับปากว่าจะไปเรียนที่สำนักเทียนเต้า โดยมีข้อแม้ว่าท่านอาจินจะต้องยอมให้เธอฝึกจิตบำเพ็ญตนด้วยวิธีของมนุษย์ เมื่อท่านอาจินรับปากลั่วลั่วจึงยอมให้หมอของราชินีมาเข้าคิวตรวจเธอแต่โดยดี และแล้วก็เป็นดังที่เธอคาดเพราะไม่มีหมอคนไหนรู้วิธีแก้ปัญหาระบบลมปราณของชนเผ่าอสูรสักคน (ในจำนวนนี้มีนักรบเผ่ามาร "เสวียนโยวจื่อ" แฝงตัวมาเป็นหมอด้วย ครั้นเห็นจินอวี้ลี่ว์ยืนจ้องด้วยความสงสัย เขาจึงเดินจากไปเงียบๆ)

ในที่สุดฉางเซิงก็เดินทางมาถึงเมืองเสินตู เขาแวะทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งซึ่งนำสัตว์เทพชนิดต่างๆ มาตั้งเป็นชื่อเมนู ทำให้ฉางเซิงผู้ใสซื่อเข้าใจผิดคิดว่าทางร้านนำเนื้อสัตว์เทพมาปรุงเป็นอาหารจริงๆ  ขณะหนีท่านอาจินมาเที่ยวเล่นลั่วลั่วได้กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของฉางเซิงจึงเดินตามกลิ่นจนมาเจอเขา (ฉางเซิงเป็นคนรักความสะอาดและเลือดเขามีกลิ่นหอม)  เมื่อพบว่าท่านอาจินตามมาถึงหน้าร้าน เธอก็ลากฉางเซิงหนีไปด้วย ฉางเซิงไม่เข้าใจว่าทำไมพวกตนต้องวิ่งหนี ลั่วลั่วจึงชี้ว่าผู้อาวุโสที่บ้านอยากให้เธอเรียนหนังสือ เธออุตส่าห์ได้มาเปิดหูเปิดตาที่เสินตูเลยอยากเที่ยวเล่นให้สนุกมากกว่า ฉางเซิงแย้งว่าเธอควรเรียนหนังสือเพราะจะทำให้เป็นคนมีหลักการ ลั่วลั่วแย้งกลับว่าตนมีหลักการอยู่แล้วจะมัวเรียนให้เสียเวลาทำไม ในตอนนั้นโยวจื่อ (ซึ่งแต่งตัวคล้ายอสูรเผ่าหมี) แอบสะกดรอยตามลั่วลั่วมา แต่เขาไม่มีโอกาสลงมือเพราะท่านอาจินไม่ยอมปล่อยให้ลั่วลั่วคลาดสายตา



ลั่วลั่วพาฉางเซิงวิ่งหนีท่านอาจินเข้ามาในตลาดโดยไม่รู้ว่าตนกำลังมีภัย ระหว่างหยุดพักฉางเซิงจับชีพจรลั่วลั่วเพียงชั่วครู่ก็รู้ว่าเธอเป็นชนเผ่าอสูร ทำให้ลั่วลั่วรู้สึกประทับใจ ลั่วลั่วแนะนำตัวและถามชื่อแซ่ฉางเซิน พอรู้ว่าฉางเซินเพิ่งมาที่เสินตูเป็นครั้งแรกและยังไม่มีที่พัก เธอจึงคิดที่จะพาเขาไปพัก ณ โรงเตี๊ยมดีที่สุดในเมือง ฉางเซิงรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนที่ฝีมือแก่กล้าสะกดรอยตามพวกตนมาและกำลังดักซุ่มอยู่ไม่ไกลนัก (ฉางเซิงหมายถึงโยวจื่อ แต่ลั่วลั่วคิดว่าเป็นท่านอาจิน) ลั่วลั่วจึงใช้แมลง "เชียนหลี่" พาฉางเซิงหลบหนีไป ("แมลงเชียนหลี่" หรือ "แมลงพันลี้" ช่วยให้ล่องหนและเดินทางนับพันลี้ได้ในชั่วพริบตา)  หลังจากนั้นทั้งคู่ก็มาโผล่หน้าโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่  ลั่วลั่วเห็นฉางเซิงเป็นเพื่อนจึงจัดหาห้องพักดีที่สุดให้โดยไม่ฟังคำทัดทานของฉางเซิง หลังเข้าห้องพักได้ไม่นานอาการของฉางเซิงก็กำเริบขึ้นมาอีกครั้ง

ที่แท้เฮยเผาเป็นคนบงการให้โยวจื่อตามมาจัดการลั่วลั่ว แต่เนื่องจากลั่วลั่วพักที่สวนสมุนไพร "ไป่เฉ่า" ของอดีตจักรพรรดิไท่จง (ซึ่งอยู่ติดกับสำนักศึกษาหลวง "กั๋วเจี้ยว" ที่ถูกปิดร้างมานาน) โยวจื่อจึงไม่อาจบุกไปลอบสังหารในนั้นได้ ครั้นรอเล่นงานทางด้านนอกจินอวี้ลี่ว์ก็คอยคุ้มกันเธอไม่ยอมห่างทำให้ยากต่อการสังหารอย่างลับๆ ที่สำคัญเธอมีอาวุธเด็ดมากมายและใช้แมลงเชียนหลี่ล่องหนหนีไปได้ทุกเมื่อ เฮยเผาได้ยินดังนั้นจึงบอกว่าตนจะยืมอาวุธของท่านจอมมารมาให้เขาจัดการลั่วลั่วโดยเฉพาะ



ชิวซานจวินกระโดดลงไปในทะเลสาบอู๋โก้วที่ทั้งลึกและเย็นจัด ซ้ำยังมีอสูรกายเฝ้าอยู่ เพื่อนำเม็ดบัวพันปีมาให้โหย่วหรงใช้ถอนพิษ โหย่วหรงรู้ดีว่าชิวซานจวินคิดอย่างไรกับเธอ แต่เนื่องจากเขาอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตและต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการลงไปเก็บเม็ดบัวพันปีมาให้ เธอจึงไม่อาจปฏิเสธน้ำใจของเขา ถึงกระนั้นก็ไม่ยอมรับเองกับมือ  ชิวซานจวินรู้สึกได้ถึงความห่างเหิน  เขาเห็นว่าโหย่วหรงกำลังฝึกจิตบำเพ็ญตนเพื่อบรรลุเต๋าเลยไม่อยากรบกวนและรีบขอตัวทันที  หลังชิวซานจวินกลับไปได้ไม่นาน "โม่อวี่" ก็แวะมาหาโหย่วหรง พอรู้ว่าโหย่วหรงได้รับบาดเจ็บเพราะถูกลูกสาวจอมมารและลูกศิษย์เฮยเผาลอบกัด โม่อวี่ก็รู้สึกเคียดแค้นเพราะเมื่อหลายปีก่อนเฮยเผาเป็นคนพามังกรยักษ์เสวียนซวงมาถล่มเมืองเสินตู ทั้งยังทำให้มารดาของตนเสียชีวิต เมื่อเฮยเผาเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งเธอจึงถือเป็นโอกาสที่จะได้ชำระแค้น โหย่วหรงรู้สึกไม่สบายใจที่ตนเองดันบาดเจ็บก่อนพบเบาะแสของกุญแจสู่โจวหยวน  โม่อวี่จึงบอกให้โหย่วหรงพักรักษาตัวให้หายดีก่อน เมื่อราชินีเทียนไห่รู้ว่าโหย่วหรงถูกเผ่ามารทำร้าย เธอจึงสั่งเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยทั่วเมืองหลวง เพราะรู้ว่าอีกไม่นานฮยเผาต้องเข้ามาก่อเหตุวุ่นวายในเมืองเสินตูแน่ 

ฉางเซิงนำสัญญาหมั้นหมายไปที่จวนแม่ทัพสกุลสวีหมายถอนหมั้น โดยแต่งกายแบบนักพรตเต๋าตามความเคยชิน (แม้เสื้อผ้าของเขาจะสะอาดสะอ้านแต่ก็เก่าจนสีซีดจาง) เมื่อถูกทหารที่เฝ้าหน้าประตูและพ่อบ้านขวางเอาไว้เขาจึงชูป้ายทองของสวีไท่ไจ่ (ปู่ของโหย่วหรง) พ่อบ้านเห็นดังนั้นจึงเข้าไปรายงานฮูหยินสวี (มารดาโหย่วหรง) พอรู้ว่ามีเด็กหนุ่มจากหมู่บ้านในชนบทห่างไกลที่มีลักษณะท่าทางสุขุม พลังลมปราณแสนธรรมดา และยังไม่เคยชำระไขกระดูก นำป้ายทองของสวีไท่ไจ่มาขอเข้าพบ ฮูหยินสวีก็รู้ทันทีว่าฉางเซิงมาด้วยเรื่องสัญญาหมั้นหมาย (สวีไท่ไจ่เพิ่งบอกเรื่องนี้กับคนในครอบครัวก่อนตาย ทำให้ไม่มีใครรู้ต้นสายปลายเหตุ) ถึงกระนั้นเธอก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ที่อาจารย์ของฉางเซิง (ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการแพทย์) ไม่สอนวิธีเดินลมปราณชำระไขกระดูกให้ฉางเซิง ทั้งที่เป็นหลักปฏิบัติขั้นพื้นฐานและเป็นขั้นตอนแรกในการฝึกตนตามวิถีทางแห่งเต๋า


ฮูหยินสวียอมให้ฉางเซิงเข้าพบแต่ไม่วายตั้งแง่รังเกียจและพูดจาดูถูกเหยียดหยาม ("ซวงเอ๋อร์" สาวใช้ของโหย่วหรงแอบฟังอยู่ทางด้านนอก) เธอกล่าวว่าพวกตนไม่มีวันยอมรับการหมั้นหมาย แม้ฉางเซิงจะมีสัญญาหมั้นอยู่ในมือก็ไม่มีประโยชน์อันใด จริงอยู่ที่หลายปีก่อนอาจารย์ของฉางเซิงเคยช่วยชีวิตโหย่วหรง ปู่ของโหย่วหรงเลยทำสัญญาหมั้นหมายขึ้นเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจ  แต่ถ้านำเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟังทุกคนคงคิดว่าเป็นนิทานหลอกเด็ก จะมีก็แต่คนหลังเขาที่ไม่เคยติดต่อโลกภายนอกเท่านั้นที่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เธอรู้ว่าฉางเซิงเป็นคนฉลาดจึงบอกให้เขาเอ่ยปากว่าต้องการอะไรเป็นค่าชดเชยสำหรับการยกเลิกสัญญาหมั้น ฉางเซิงอยากรู้ว่าทำไมฮูหยินสวีจึงไม่ยอมรับการหมั้นหมาย ฮูหยินสวีชี้ว่าแม้อาจารย์ของฉางเซิงจะล่วงรู้วิชาแพทย์แต่ก็เป็นเพียงนักพรตเต๋าธรรมดา ส่วนฉางเซิงเป็นเด็กยากไร้ที่สวมชุดนักพรตเก่าๆ จวนแม่ทัพของตนไม่เคยต้อนรับสามัญชนคนไร้ยศถาบรรดาศักดิ์ ที่สำคัญโหย่วหรงเป็นถึงร่างของนกเฟิ่งหวง แล้วจะให้พวกตนยอมรับการหมั้นหมายได้อย่างไร

ฉางเซิงยังคงรักษากิริยาขณะนั่งฟังแม่โหย่วหรงพูดจาดูถูกเหยียดหยามตนกับอาจารย์ ฮูหยินสวีคิดจะเหยียบฉางเซิงให้จมดินจึงยกความสูงส่งและมั่งคั่งของสกุลสวีขึ้นมาข่ม ครั้นเห็นว่าฉางเซิงไม่ดื่มชาสักหยด เธอจึงเย้ยว่าฉางเซิงไม่มีวาสนาที่จะได้ดื่มชาหายากราคาแพง เพราะเขาเป็นเพียงธุลีดินที่ด้อยค่ากว่าถ้วยกระเบื้อง (ถ้วยชา) ที่วางอยู่ตรงหน้า หากเขามาที่นี่เพราะอยากตกถังข้าวสารก็จงอย่าหวัง ฉางเซิงแย้งอย่างสุภาพว่าฮูหยินสวีกำลังเข้าใจผิด ความจริงแล้วตนดั้นด้นมาที่นี่เพื่อถอนหมั้น (ฮูหยินสวีได้ยินแล้วถึงกับอึ้งและเสียหน้า) แต่ตอนนี้ตนเปลี่ยนใจแล้ว เขาชี้ว่าในโลกนี้ใช่ว่าทุกคนจะหลงใหลได้ปลื้มในชื่อเสียงเงินทองของสกุลสวี เมื่อหลายปีก่อนอาจารย์ของตนช่วยชีวิตลูกสาวฮูหยินสวีโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ฮูหยินสวีจึงไม่ควรลบหลู่อาจารย์ของตน ตราบใดที่ฮูหยินสวียังไม่ขอขมาอาจารย์ ตนจะไม่คืนสัญญาหมั้นหมายให้ พูดจบฉางเซิงก็ขอตัวกลับทันที


ซวงเอ๋อร์อยากรู้ว่าฉางเซิงมีสัญญาหมั้นหมายกับคุณหนูของตนจริงหรือไม่เลยรีบตามไปสอบถามโดยเรียกเขาว่านักพรตหนุ่ม ฉางเซิงยืนยันว่าตนมีสัญญาหมั้นหมายกับคุณหนูของซวงเอ๋อร์จริงๆ และชี้ว่าตนไม่ใช่นักพรตเต๋า ซวงเอ๋อร์เห็นว่าเขาเป็นแค่คนธรรมดา (ยังไม่ได้ฝึกจิตบำเพ็ญตนและไม่เคยฝึกลมปราณชำระไขกระดูก)  จึงไม่คู่ควรกับคุณหนูของตน (ซึ่งเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์และฝึกจิตบำเพ็ญตนจนอยู่ในขั้นสูงแล้ว) ซวงเอ๋อร์เตือนฉางเซิงว่าอย่าบอกใครเรื่องสัญญาหมั้นมิเช่นนั้นเขาจะมีภัยถึงชีวิต ฉางเซิงแย้งว่าหากจวนแม่ทัพสวีอยากเอาชีวิตตนจริง ป่านนี้ตนคงกลายเป็นปุ๋ยให้ดอกไม้ในสวนแล้ว ซวงเอ๋อร์ชี้ว่าตอนนี้ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่จวนท่านแม่ทัพ ตราบใดที่ยังอยู่ที่นี่เขาจะอยู่รอดปลอดภัยดี แต่ถ้าไปจากที่นี่เมื่อไหร่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เธอชี้ว่าเขาจะยิ่งเป็นอันตรายหากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูสำนักหลีซานและสกุลชิวซาน ฉางเซิงยิ่งฟังยิ่งงงเพราะไม่รู้ว่าสำนักหลีซานและสกุลชิวซานเกี่ยวอะไรด้วย ซวงเอ๋อร์อธิบายว่าทุกคนในเสินตูต่างรู้ว่าชิวซานจวินเป็นคนเดียวที่คู่ควรกับคุณหนูของตน ฉางเซิงได้ยินแล้วแอบเจ็บลึกๆ เขาบอกซวงเอ๋อร์ว่าตนตั้งใจมาที่นี่เพื่อถอนหมั้นจริงๆ ซวงเอ๋อร์สงสัยว่าทำไมอยู่ๆ เขาถึงเปลี่ยนใจ ฉางเซิงตอบว่าเพราะไม่มีใครในจวนแม่ทัพถามชื่อแซ่ตนแม้แต่คนเดียว (รวมทั้งซวงเอ๋อร์ด้วย) เขาบอกเธอว่าตนชื่อ "เฉินฉางเซิง" ถึงจะไม่เพราะและสุดแสนธรรมดาแต่ตนก็ชอบชื่อนี้มาก ("ฉางเซิง" แปลว่า อายุยืน) พูดจบเขาก็เดินจากไป


นับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในจวนแม่ทัพ ฉางเซิงมีท่าที่สำรวม สุขุม และสุภาพกับทุกคนไม่ว่าคนๆ นั้นจะอยู่ในฐานะใดก็ตาม แม้จะโดนดูถูกเหยียดหยามและไม่มีใครเห็นหัวแต่เขากลับไม่แสดงอาการขุ่นเคืองหรืออับอายให้เห็น แถมคนที่ทำร้ายจิตใจเขากลับเป็นฝ่ายเจ็บใจเสียเอง หลังฉางเซิงกลับไปแล้ว ฮูหยินสวีก็เคียดแค้นชิงชังฉางเซิงหนักขึ้น "สวีเหวยซิ่น" (สวีซื่อจี้) กล่าวว่า อาจารย์ของฉางเซิงมีความสัมพันธ์อันดีกับบิดาของตน แถมเรื่องหมั้นหมายบิดาตนเป็นคนจัดการ พวกตนจึงไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่าม ดังนั้นตนจะจัดการเรื่องนี้และสั่งสอนฉางเซิงเอง


หลังกลับมาที่ห้องพัก ฉางเซิงได้แต่นั่งมองสัญญาหมั้นหมายพลางทอดถอนใจ อีกด้านหนึ่งโหย่วหรงก็กำลังคิดถึงฉางเซิงเช่นกัน เธอจึงหยิบสร้อยคอที่เขามอบให้ตอนเด็กๆ ขึ้นมาดู... หลังหกสำนักการศึกษาชั้นนำเปิดรับสมัครศิษย์ใหม่อย่างเป็นทางการ ฉางเซิงจึงไปสมัครที่สำนักเทียนเต้าเป็นแห่งแรก (หากต้องการเข้าร่วมการสอบใหญ่ (ต้าเฉา) ของทางราชสำนัก จะต้องเป็นศิษย์หนึ่งในหกสำนักให้ได้เสียก่อน) ทำให้รู้ว่าในบรรดาหกสำนัก "เทียนเต้า" ได้ชื่อว่าที่ดีที่สุดและเข้ายากที่สุด  แต่ถ้าอยากเข้าร่วมกองทัพต้องเข้าสำนัก "ไจซิง" ส่วนสำนัก "ชิงเหยา" เข้าไม่ได้เพราะรับแต่ผู้หญิง สำนักฝึกตน "จงซื่อ" ได้ชื่อว่าฝึกโหดสุดๆ ขณะที่สำนัก "หลีซาน" ไม่เปิดรับสมัครแต่จะเลือกศิษย์เข้าสำนักเอง เขายังไม่ทันได้ข้อมูลสำนักศึกษาหลวง "กั๋วเจี้ยว" ก็มีคนเหาะลงมาจากฟ้าด้วยปีกกลไกทำให้ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์พากันแตกตื่น



ที่แท้คนๆ นั้นก็คือคุณชาย "ถังถัง" หรือ "ถังซานสือลิ่ว" (ถังสามสิบหก) ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของสกุลที่มั่งคั่งร่ำรวยอย่างเวิ่นสุ่ยถัง  (และเป็นเพื่อนแท้คนแรกของฉางเซิง)  เพื่อให้ตนได้อยู่หัวแถวเขาจึงหว่านเงินลงพื้นหลังหุบปีก ทำให้คนที่กำลังต่อแถวยาวเหยียดพากันกรูเข้ามาแย่งเก็บเงิน เขาเห็นว่าฉางเซิงเป็นคนเดียวที่ไม่เห็นแก่เงินจึงเดินเข้าไปหา (เขาไม่มีท่าทีรังเกียจหรือดูถูกฉางเซิงเหมือนคนอื่นๆ) ฉางเซิงเห็นแล้วอดชมไม่ได้ว่าปีกของเขาช่างงดงามนัก ถังซานสือลิ่วโม้ด้วยความภาคภูมิใจว่าตนได้รับแรงบันดาลใจมาจากนกยักษ์ (เผิง - นกยักษ์ในตำนานของลัทธิเต๋า) เมื่อฉางเซิงแจกแจงจุดอ่อนและข้อบกพร่องของการออกแบบให้ฟัง พร้อมชี้แนะแนวทางการปรับปรุงแก้ไข ถังซานสือลิ่วก็รู้สึกทึ่งและกล่าวชมฉางเซิงว่าฉลาดเหมือนตน หลังแนะนำตัวและถามชื่อแซ่ของฉางเซิงแล้ว ถังซานสือลิ่วก็อธิบายที่มาของชื่อตนให้ฉางเซิงฟังว่า เมื่อสามปีก่อนตนเข้าร่วมการสอบใหญ่แล้วได้รับการจารึกชื่อบนประกาศชิงอวิ๋น (ชิงอวิ๋นป่าง) เป็นครั้งแรก โดยอยู่ในอันดับที่ 36  ฉางเซิงรู้ว่าประกาศชิงอวิ๋นเป็นผลการจัดอันดับที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ยอดฝีมือหนุ่มสาวเผ่ามนุษย์และอสูรจึงกล่าวชมถังซานสือลิ่ว  ถังซานสือลิ่วแย้งว่าฝีมือตนยังเทียบกับนกเฟิ่งหวง (โหย่วหรง) ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ตนจึงเปลี่ยนชื่อเป็นถังซานสือลิ่ว (ถังสามสิบหก) เพื่อตอกย้ำความอับอาย ปีนี้ตนเลยตั้งใจว่าจะมาสอบใหม่หมายเปลี่ยนชื่อ (เปลี่ยนจากสามสิบหกเป็นอันดับที่ดีกว่า)

ก่อนที่การทดสอบจะเริ่มต้นขึ้น "เทียนไห่หยาเอ๋อร์" (หลานราชินี) ซึ่งเพิ่งมาถึงสามารถผ่านไปพบเจ้าสำนักเทียนเต้าโดยไม่ต้องสอบและต่อคิว ถังซานสือลิ่วแทบไม่เชื่อหูเมื่อรู้ว่าฉางเซิงยังไม่เคยชำระไขกระดูกและไม่เคยฝึกจิตบำเพ็ญตนมาก่อน เพราะนั่นคือคุณสมบัติขั้นพื้นฐานของผู้สมัครเข้าสำนักเทียนเต้า (ถึงไม่เคยลงมือปฏิบัติแต่ฉางเซิงก็รู้วิธีการเพราะศึกษาตำรามานับไม่ถ้วน) และด่านแรกของการทดสอบคือการตรวจสอบเนื้อแท้ของแต่ละคนว่าผ่านการฝึกจิตบำเพ็ญตน (สำเร็จวิชชา / บรรลุธรรมในทางเต๋า) ถึงขั้นไหน ถึงกระนั้นฉางเซิงก็ไม่มีทีท่าวิตกกังวลแต่ประการใด หลังวางมือบนหินก่านอิ้ง (หินสะท้อนพลังจิต) แล้วไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ฉางเซิงก็ถูกขับออกจากสำนักเทียนเต้าทันที ฉางเซิงอ้างกฏของสำนักเทียนเต้าที่ทุกคนลืมเลือนซึ่งระบุว่า แม้ไม่ผ่านด่านหินแต่ถ้าผ่านด่านตัวอักษรก็สามารถเข้าสำนักเทียนเต้าได้เช่นกัน ในที่สุดฉางเซิงก็ได้รับอนุญาตให้ทำการทดสอบด่านตัวอักษรและสอบผ่านในที่สุด แต่สำนักเทียนเต้ากลับไม่ยอมรับเขาเป็นศิษย์ (เพราะพ่อของโหย่วหรงใช้อิทธิพลเข้าแทรกแซง)


ฉางเซิงไม่มีเวลามานั่งคร่ำครวญหรือเสียใจ เขาจึงมุ่งหน้าไปสมัครที่สำนักไจซิงต่อทันที เนื่องจากสำนักนี้มุ่งฝึกคนให้เป็นนักรบเพื่อต่อสู้กับเผ่ามาร ผู้สมัครจึงต้องต่อสู้กับยักษ์เผ่ามารแบบตัวต่อตัว ฉางเซิงได้พบกับอสูรจอมพลังเผ่าหมี "เซวียนหยวนโพ่" ที่นี่ หลังเซวียนหยวนโพ่ผ่านการทดสอบ ฉางเซิงจึงมอบยาฟื้นฟูพลังภายในให้เขา (เขารู้ว่าชนเผ่าอสูรมีปัญหาเรื่องเส้นลมปราณ) หลังถามชื่อแซ่ฉางเซิงแล้ว เซวียนหยวนโพ่อดเป็นห่วงไม่ได้เมื่อรู้ว่าฉางเซิงจะเข้าร่วมการทดสอบเช่นเดียวกับตน แต่ฉางเซิงกลับมีทีท่าสงบนิ่งและบอกให้เซวียนหยวนโพ่ห่วงตัวเองก่อน หลังจากนั้นฉางเซิงก็ลงไปต่อสู้กับยักษ์เผ่ามารในสนามทดสอบโดยใช้ "ซวิน"  (เครื่องเป่าเก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของจีน) ร่ายมนต์เพลงสยบมารแทนการใช้กำลังต่อสู้ ไม่นานเขาก็เอาชนะยักษ์เผ่ามารได้ แทนที่การทดสอบจะยุติลง สำนักไจซิงกลับปล่อยยักษ์เผ่ามารทั้งหมดออกมา เซวียนหยวนโพ่เห็นดังนั้นก็รู้สึกตกใจ ถึงกระนั้นฉางเซิงก็เอาอยู่และผ่านการทดสอบในที่สุด ปรากฏว่าสำนักไจซิงได้รับคำสั่งจากเบื้องบน (พ่อโหย่วหรง) จึงไม่กล้ารับฉางเซิงเป็นศิษย์ เซวียนหยวนโพ่เห็นดังนั้นก็รู้สึกผิดหวังเพราะที่ผ่านมาสำนักไจซิงได้ชื่อว่าเที่ยงธรรมที่สุด


หลังจากนั้น ฉางเซิงก็แวะไปหาถังซานสือลิ่ว (ซึ่งได้เป็นศิษย์สำนักเทียนเต้า) ที่ร้านอาหารตามนัดหมาย พอรู้ว่าไจซิงเป็นอีกสำนักที่ไม่กล้ารับฉางเซิง ถังซานสือลิ่วจึงเตือนฉางเซิงว่าห้ามไปสำนักศึกษาหลวงกั๋วเจี้ยวเด็ดขาด เพราะที่นั่นถูกทิ้งร้างมานานและมีการวางค่ายกลกระบี่เอาไว้อย่างแน่นหนา ถังซานสือลิ่วไม่เชื่อว่าจะมีใครฝ่าค่ายกลกระบี่ของผู้บรรลุเต๋าขั้นสูงอย่างเจี้ยวจง (บิดาศักดิ์สิทธิ์) ได้ แม้แต่สวีโหย่วหรงเองก็เช่นกัน  ฉางเซิงหูผึ่งเมื่อได้ยินชื่อโหย่วหรงจึงถามว่าเธอเป็นคนยังไง ถังซานสือลิ่วกล่าวว่าสวีโหย่วหรงเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้เลื่องชื่อของสำนักหนานซี เป็นนกเฟิ่งหวงแห่งจวนแม่ทัพที่ไร้ผู้เทียมทาน แค่เธอปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าก็ทำให้ผู้คนรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าจนแทบกระอักเลือดซึ่งตนก็เป็นหนึ่งในนั้น เธอฝึกจิตบำเพ็ญตนมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่มีอุปสรรคใดที่เธอไม่สามารถก้าวผ่าน แถมเธอยังมีรูปโฉมที่งดงามมาก แม้ตนยังไม่เคยพบเธอมาก่อนแต่เธอก็ทำให้ยอดฝีมือในใต้หล้ารู้สึกสิ้นหวัง แล้วจะไม่ให้พวกตนชิงชังคนแบบนี้ได้อย่างไร ฉางเซิงแย้งว่าโหย่วหรงเป็นคนที่น่าชื่นชมต่างหาก ถังซานสือลิ่วจึงโวยว่าฉางเซิงควรอยู่ข้างตน ต่อให้ฉางเซิงเข้าข้างโหย่วหรงก็ไม่มีประโยชน์ เพราะคนเดียวที่คู่ควรกับเธอคือ...ชิวซานจวิน


หลังถูกพ่อโหย่วหรงกลั่นแกล้งหมายกดดันให้คืนสัญญาหมั้น ฉางเซิงจำต้องไปที่สำนักศึกษาหลวงกั๋วเจี้ยว ครั้นได้เห็นฤทธิ์เดชของค่ายกลกระบี่เองกับตาเขาเลยต้องถอยออกมาตั้งหลัก ขณะที่เขากำลังศึกษาค่ายกลกระบี่ สวีเหวยซิ่น (พ่อของโหย่วหรง) ก็ปรากฏตัวและเตือนฉางเซิงว่าไม่มีใครฝ่าด่านค่ายกลนี้ได้ หากฉางเซิงยอมทำตามที่ตนต้องการ ตนจะคืนความเป็นธรรมและจะสนับสนุนให้เจริญก้าวหน้า แต่ถ้ายังคงดึงดันสิ่งที่รอคอยเขาอยู่ข้างหน้าจะมีเพียงความสิ้นหวังและความตาย ฉางเซิงแย้งว่าตนไม่หวั่นตราบที่ยังมีความหวังในหัวใจ และจะไม่ยอมให้คนอื่นหรือสวรรค์มาชี้เป็นชี้ตาย แต่จะลิขิตชะตาชีวิตของตนเอง  


ถังซานสือลิ่วรู้สึกสังหรณ์ใจเลยไปที่สำนักศึกษาหลวงกั๋วเจี้ยวและได้พบฉางเซิงที่นั่นจริงๆ เขาจึงรีบห้ามและชวนฉางเซิงกลับที่พักด้วยความเป็นห่วงโดยเตือนว่าตลอด 19 ปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครฝ่าค่ายกลกระบี่ของเจี้ยวจงเข้าไปได้ แทนที่จะหวั่นเกรงฉางเซิงกลับรู้สึกทึ่ง (เขาไม่รู้ว่าลั่วลั่วแอบดูอยู่ทางด้านหลัง) แม้จะยอมกลับโรงเตี๊ยมแต่โดยดีแต่ฉางเซิงยังคงไม่ยอมแพ้และครุ่นคิดหาวิธีฝ่าค่ายกลตลอดทั้งคืน (ทั้งที่รู้ว่าราชินีมีอคติต่อสำนักกั๋วเจี้ยว) ถังซานสือลิ่วลงทุนมานั่งเฝ้าฉางเซิงที่ห้องพักเพื่อไม่ให้ฉางเซิงแอบกลับไปที่สำนักศึกษาหลวงกั๋วเจี้ยวแต่สุดท้ายก็เผลอหลับไป หลังคิดวิธีไขปริศนาค่ายกลออกในตอนรุ่งสาง ฉางเซิงจึงตรงไปที่สำนักศึกษาหลวงกั๋วเจี้ยวทันที แม้ถังซานสือลิ่วจะตามมาติดๆ แต่เขาทำได้เพียงลุ้นและบอกให้ฉางเซิงระวังตัว ในที่สุดฉางเซิงก็ฝ่าค่ายกลกระบี่ได้สำเร็จ 

* เนื้อหาโดย luvasianseries






รายชื่อนักแสดง


นักแสดงนำ

  

ลู่หาน
รับบท เฉินฉางเซิง
(นักร้อง / นักแสดง ชาวจีน - อดีตสมาชิกวง EXO)


 

กู่ลี่น่าจา
รับบท สวีโหย่วหรง
(นักแสดง / นางแบบสาว ชาวจีน)


 

อู๋เชี่ยน
รับบท ไป๋ลั่วเหิง (ลั่วลั่ว)
(นักแสดง ชาวจีน)


 

เฉิงซุ่นซี
รับบท ถังถัง / ถังซานสือลิ่ว (ถังสามสิบหก)
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)


 

สวี่หลิงเยว่
รับบท โม่อวี่
(นักแสดง / นางแบบ ชาวจีน)


 

จางจวิ้นหนิง
รับบท ชิวซานจวิน
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)


 

เกาฮั่นอวี่
รับบท เซวียนหยวนโพ่
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)


 

เฉินซู่
รับบท เทียนไห่โยวเสวี่ย / เซิ่งโฮ่ว
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)


 

หลินซืออี้
รับบท เสี่ยวเฮยหลง (มังกรดำน้อย) / จูซา
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน - สมาชิกวง SNH48)

อาณาจักรต้าโจว

 

เฉิงจื้อเหว่ย
รับบท จี้เต้าเหริน / ซางสิงโจว
(นักแสดง / ผู้กำกับ / ผู้ผลิต / ผู้ดำเนินรายการ ชาวฮ่องกง)


 

จางจ้าวฮุย
รับบท เจี้ยวจง / อิ๋นสิงเต้า / ผู้นำฝูเสอ (หงเผา - เสื้อคลุมแดง)
(นักแสดง ชาวฮ่องกง)


 

จ๋ายเทียนหลิน
รับบท โจวตู๋ฟู
(นักแสดง ชาวจีน)


 

ฉวี่เจ๋อหมิง
รับบท เทียนไห่หยาเอ๋อร์
(นักแสดง ชาวจีน)


 

เฝิงลี่จวิน
รับบท โก่วหานสือ
(นักแสดง ชาวจีน)


 

โหยวจิ้งหรู
รับบท ชีเจียน
(นักแสดง ชาวจีน)


 

ฟู่เจีย
รับบท อวี๋เหริน
(นักแสดง ชาวจีน)


 

หลิวข่ายเฟย
รับบท โจวอวี้เหริน (น้องสาวโจวตู๋ฟู / เฮยเผาตัวจริง)
(นักแสดง / นางแบบ ชาวจีน)

ชนเผ่าเยา (อสูร)
(ประกอบด้วย เผ่าเสือ เผ่าหมี เป็นต้น)

 

หวังเช่อ
รับบท ไป๋ตี้ (จักรพรรดิไป๋)
(นักแสดง / นายแบบ ชาวจีน)


 

กงเป้ยปี้
รับบท ไป๋โฮ่ว (มเหสีไป๋)
(นักแสดง ชาวจีน)


 

เกาเซิ่งหย่วน
รับบท จินอวี้ลี่ว์
(นักแสดง / ผู้กำกับ / ผู้ผลิต ชาวจีน-อเมริกัน)

ชนเผ่าโหมว (มาร)

 

เหยาตี๋
รับบท หนานเค่อ
(นักแสดง ชาวจีน)


 

หลี่เชา
รับบท เฮยเผา (เสื้อคลุมดำ)
(นักแสดง ชาวจีน)

ตัวละครที่ถูกตัดออก

 

คู ฮยอนโฮ
รับบท เจ๋อซิ่ว
(นายแบบ / นักเพาะกาย ชาวเกาหลีใต้)

* ความจริงแล้วแก๊งพระเอกยังมี "เจ๋อซิ่ว" (มนุษย์หมาป่า) อีกคน และเขาคนนี้ก็มีใจให้ "ชีเจียน" ตัวละครนี้รับบทโดยนายแบบและนักเพาะกายชื่อดังชาวเกาหลีใต้ "คู ฮยอนโฮ" ที่เพิ่งผันตัวมาเล่นละครครั้งแรก น่าเสียดายที่บทบาทของเขาซึ่งเป็นหนึ่งในตัวละครหลักไม่มีโอกาสเผยแพร่สู่สายตาผู้ชม เนื่องจากทุกซีนที่มีเขาได้ถูกตัดออกจนหมดสิ้น ทั้งนี้เป็นเพราะช่วงที่ละครกำลังจะออกอากาศ (ต้นปีที่แล้ว) ประเทศจีนได้แบนสินค้าและศิลปินเกาหลี เนื่องจากเกาหลีใต้ยินยอมให้สหรัฐฯ ติดตั้งระบบต่อต้านขีปนาวุธ THAAD (หลังเกาหลีเหนือยิงทดสอบขีปนาวุธ) ซึ่งจีนมองว่าเป็นการแผ่ขยายแสนยานุภาพทางทหารของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก นอกจากนี้ เรดาร์ความถี่สูงแบบ X-band ที่เป็นส่วนประกอบของระบบป้องกันภัยดังกล่าว ยังสามารถสอดส่องเข้าไปในอาณาเขตของจีนและรัสเซียได้อีกด้วย






รวมคลิปเบื้องหลัง




รวมเพลงประกอบ จาก Linfair Records  

*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา