กำกับ: ควัก จองฮวาน
เขียนบท: ชาง ฮยอกริน
แนวละคร: เมโลดราม่า, แอ็คชั่น
จำนวนตอน: 16
ออกอากาศ: เกาหลี - 23 กันยายน 2559 - 12 พฤศจิกายน 2559 ทางทีวีเอ็น
ไทย - ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.30 น. ทางทรูโฟร์ยู (หมายเลข 24) ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2561- 31 พฤษภาคม 2561
เรื่องย่อ
เขียนบท: ชาง ฮยอกริน
แนวละคร: เมโลดราม่า, แอ็คชั่น
จำนวนตอน: 16
ออกอากาศ: เกาหลี - 23 กันยายน 2559 - 12 พฤศจิกายน 2559 ทางทีวีเอ็น
ไทย - ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.30 น. ทางทรูโฟร์ยู (หมายเลข 24) ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2561- 31 พฤษภาคม 2561
ละคร "THE K2 รหัสรักบอดี้การ์ด" นำเสนอเรื่องราวของ "คิม เจฮา" อดีตทหารรับจ้างของ PMC Blackstone ที่กลายเป็นคนระเหเร่รอนและต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในต่างแดน หลังถูกใส่ร้ายว่าฆ่า "ราเนีย" แฟนสาวของตนขณะปฏิบัติภารกิจในอิรัก ครั้นกลับเกาหลีใต้ได้ไม่นานเขาก็ถูกว่าจ้างให้เป็นบอดี้การ์ดของ "ชเว ยูจิน" เจ้าของบริษัทอารักขาและคุ้มครองความปลอดภัย "เจเอสเอส ซีเคียวริตี้" ทั้งยังเป็นภรรยาของ "จาง เซจุน" ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกด้วย เจฮาจึงใช้โอกาสนี้วางแผนแก้แค้น "ปาร์ค ควานซู" (คู่แข่งของเซจุน และศัตรูของยูจิน) ซึ่งเจฮาเชื่อว่าเป็นคนสั่งตายแฟนของตน ในเวลาต่อมาเจฮาได้รับมอบหมายให้คอยคุ้มกัน "โก อันนา" ลูกสาวลับๆ ของเซจุนที่เพิ่งเดินทางกลับเกาหลี (เธอถูกส่งตัวไปอยู่ในความดูแลของแม่ชีที่โบสถ์แห่งหนึ่งในประเทศสเปนหลังแม่ตาย จึงมีชีวิตที่โดดเดี่ยวและขาดอิสรภาพตั้งแต่เด็ก) หลังต่างฝ่ายต่างมีใจให้กันเจฮากลับพบว่าคนที่ประสงค์ร้ายต่ออันนามากที่สุดคือเจ้านายสาวของตน สุดท้ายแล้วเจฮาจะเลือกอยู่ข้างเจ้านายสาวหมายร่วมกันปิดบัญชีแค้นตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น หรือยอมแตกหักกับเธอเพื่อปกป้องคนรัก ติดตามชมได้ใน "THE K2 รหัสรักบอดี้การ์ด" ทางทรูโฟร์ยู
เนื้อหาตอนที่ 1
กลางดึกคืนหนึ่ง เด็กหญิง "โก อันนา" นอนไม่หลับจึงลุกขึ้นมาสวดมนต์ ครั้นพอเห็นแสงไฟสว่างวาบทางด้านนอกเธอก็รู้สึกดีใจเพราะนึกว่าพ่อมาหา เมื่อลงไปที่ชั้นล่างก็พบว่าประตูหน้าบ้านเปิดอยู่แต่ไร้เงาของพ่อเธอ แถมในบ้านยังมืดและเงียบกริบ พอกวาดตาไปรอบๆ เธอก็เห็นแสงไฟลอดออกมาจากประตูห้องนอนที่อยู่ชั้นล่างราวกับมีคนเดินอยู่ในห้อง เธอจึงเดินไปที่หยุดหน้าประตูแล้วร้องเรียกแม่ เมื่อไม่มีเสียงขานตอบเธอจึงผลักประตูเข้าไป และพบแม่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น (ใกล้กันนั้นมีขวดยาตกอยู่ และมียาหกกระจายเกลื่อนพื้น) แต่ที่เธอไม่รู้และไม่เห็นก็คือมีใครคนหนึ่งยืนอยู่ทางด้านหลัง เขาคนนั้นเดินออกจากห้องไปเงียบๆ แล้วค่อยๆ ปิดประตู หลังจากนั้นอันนาก็ถูกส่งตัวไปอยู่กับแม่ชีที่วิหารโบราณบนภูเขาในประเทศสเปน
หลายปีผ่านไป เด็กหญิงอันนาได้เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวแต่ยังคงไร้ซึ่งอิสรภาพเหมือนเดิม เธอวิ่งหนีออกจากโบสถ์ทั้งที่สวมชุดนอนและไม่ได้ใส่รองเท้า จากนั้นก็โบกรถเข้าเมืองแล้ววิ่งไปยังสถานีรถไฟด้วยความหวาดระแวงในสภาพเนื้อตัวมอมแมม
"คิม เจฮา" ซึ่งเนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบเลือดและมีผ้าพันแผลรอบเอว ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดหลังทำแผลให้ตัวเองแล้วผลอยหลับไป เขาดูนาฬิกาแล้วพยายามลากสังขารไปที่หน้าต่างอย่างระแวดระวังเพื่อตรวจตราพื้นที่โดยรอบและตรวจสอบดูว่าทางสะดวกหรือไม่ หลังจากนั้นก็เดินหิ้วกระเป๋าเข้าไปในย่านใจกลางเมือง โดยก้มหน้าก้มตาหลบกล้องวงจรปิดและพยายามไม่ตอบโต้เมื่อถูกหาเรื่อง
ชายชาวสเปนสองคนขับรถมาดักรอที่หน้าสถานีรถไฟหลังได้รับมอบหมายให้มาตามจับอันนากลับไป หนึ่งในนั้นตามอันนาเข้าไปในสถานี ส่วนอีกคนดักรอทางด้านนอก อันนารีบวิ่งไปซื้อตั๋วแต่เนื่องจากเธอกำเศษเหรียญมาซื้อ เจ้าหน้าที่เลยต้องเสียเวลาโกยและนับทำให้อันนารู้สึกร้อนใจ หลังได้ตั๋วแล้วเธอก็รีบวิ่งเข้าไปในชานชาลา ด้วยความเร่งรีบและไม่ทันระวังเธอจึงชนเจฮาเข้าอย่างจังทำให้เสียหลักล้มทั้งคู่ (เจฮารีบลุกขึ้นพลางเอามือกุมท้องด้วยความเจ็บปวด) เขาได้ยินเธอขอโทษเป็นภาษาเกาหลีเลยยื่นมือให้จับหมายช่วยดึงตัวเธอขึ้นมา พลางถามเป็นภาษาเกาหลีว่าไม่เป็นไรใช่ไหม อันนาดีใจที่พบคนพูดภาษาเดียวกันจึงรีบคว้ามือเขาแล้วร้องขอความช่วยเหลือ แต่เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีกล้องวงจรปิดถึงสองตัวเจฮาจึงไม่อยากอยู่นาน ที่สำคัญเขาไม่อยู่ในสภาพที่จะช่วยเหลือใครได้ เขารีบเบือนหน้าหลบกล้องแล้วเดินหนีไปแต่อันนาพยายามฉุดรั้งไว้เขาเลยจำเป็นต้องสะบัดมือเธอออก
อันนาหันไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินตรงมาหาเธอเลยรีบวิ่งไปรอรถไฟที่ชานชาลาโดยแอบอยู่หลังเสา ชายคนดังกล่าวเดินตามหาเธออย่างใจเย็น หลังได้ยินเสียงอันนาหายใจหอบเขาก็บอกให้เธอยอมกลับบ้านแต่โดยดี อันนาปฏิเสธทันควันและพยายามวิ่งหนีเขาจึงคว้าแขนเธอเอาไว้ เจฮาอดรนทนไม่ได้เลยเข้ามาขวางทั้งที่บาดเจ็บและอยู่ในระหว่างหลบหนีเช่นกัน เขาบอกให้อันนารีบหนีไป อันนาเลยหนีไปยืนลุ้นข้างเสาอีกต้นที่อยู่ใกล้ๆ (ก็เธอกำลังรอรถไฟ) หลังปราบหนุ่มชาวสเปนจนล้มลงไปนอนแน่นิ่ง เจฮาสงสัยว่าเขาเป็นใครกันแน่เลยตรวจดูบัตรในกระเป๋าสตางค์ เมื่อพบว่าชายคนดังกล่าวเป็นตำรวจ แถมบริเวณดังกล่าวยังมีกล้องวงจรปิดหลายตัว เจฮาจึงรีบหนีไปโดยทิ้งกระเป๋าสตางค์คืนไว้ให้
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นภาพจากกล้องวงจรปิดเลยคิดว่ามีการชิงทรัพย์จึงรีบโทรฯ แจ้งเหตุ เจฮาพยายามหนีออกจากสถานีรถไฟแต่อันนาดันวิ่งเข้ามาขวางพลางอ้อนวอนให้เขาพาเธอไปหาพ่อที่กรุงมาดริดโดยบอกว่าพ่อเธอจะมีรางวัลให้อย่างงาม เจฮาพยายามเดินหนีและสะบัดมือเธอออกเพราะเขาเองก็กำลังเดือดร้อนและตกที่นั่งลำบากเช่นกัน แต่อันนายังคงไม่ยอมแพ้ เธอพยายามดึงตัวเขาไว้โดยบอกว่าตนกำลังถูกคนร้ายตามไล่ล่า เจฮาชี้ว่าหากตำรวจคือผู้ร้ายในสายตาเธอ แสดงว่าเธอนั่นแหล่ะที่เป็นคนร้ายตัวจริง เขาไล่เธอไปให้พ้นหน้าแล้วแนะให้เธอกลับตัวกลับใจเสีย แต่อันนายืนยันว่าเธอพูดความจริง
ในที่สุดก็มีตำรวจมาพบทั้งคู่จนได้ เมื่อเห็นตำรวจอันนาก็ยิ่งร่ำไห้ด้วยความหวาดกลัว เจฮาจึงบอกให้อันนารีบหนีไป จากนั้นก็ทำการปลดสไลด์เพื่อให้กระสุนปืนของตำรวจหลุดออกก่อนเปิดฉากจู่โจมด้วยมือเปล่า หลังปราบตำรวจจนหมอบราบคาบแล้วเจฮาก็รีบเผ่น เมื่ออันนาซึ่งนั่งอยู่ในรถตำรวจหันมาเห็นเจฮา เธอก็ทุบกระจกแล้วร้องขอความช่วยเหลือ เจฮาไม่อยากจะเชื่อว่าตนช่วยขนาดนี้แล้วอันนายังหนีไม่รอด เขาจ้องหน้าเธอพลางส่ายหน้าปฏิเสธเบาๆ ตำรวจนอกเครื่องแบบ (ซึ่งพยายามโทรฯ ตามเพื่อนร่วมงานที่ถูกเจฮาเล่นงานก่อนหน้านี้) เห็นเจฮายืนมองอันนาจึงแสดงบัตรประจำตัวตำรวจและไล่เจฮาไป เจฮาลังเลชั่วขณะก่อนส่ายหน้าปฏิเสธอันนาอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาก็ตัดใจขึ้นรถแท็กซี่ไปสนามบิน อันนาเห็นดังนั้นจึงได้แต่มองตามด้วยความสิ้นหวัง
หลังพ่นสีป้ายโฆษณาท่ามกลางอากาศร้อน เจฮาจึงเปิดเพลงแล้วพักจิบเบียร์แกล้มปลาหมึกแห้งอย่างสบายอารมณ์ ก่อนแบ่งปลาหมึกที่อมจนอ่อนนุ่มแล้วให้ลูกแมวตัวน้อยที่เดินมาร้องขออาหาร ซึ่งเผยให้เห็นอีกด้านที่อ่อนโยนของเขา หลังจากนั้นเจฮาก็เผลอหลับด้วยความอ่อนเพลีย เขาสะดุ้งตื่นอีกครั้งหลังตะวันตกดินเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ ปรากฏว่าเจ้านายของเขาโทรฯ มาบอกให้ไปขึงแบนเนอร์โฆษณาให้ลูกค้าใหม่เพราะของเดิมที่ขึงไว้ถูกลมพัดจนหย่อนทำให้ป้ายสั่นพริ้วไปตามแรงลม ที่แท้แบนเนอร์ดังกล่าวเป็นป้ายหาเสียงของหนึ่งในผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี "จาง เซจุน" บนป้ายนอกจากจะมีภาพขนาดใหญ่ของเซจุนแล้ว ยังมีข้อความระบุว่า "ผมฝันถึงโลกที่น่าอยู่สำหรับเด็กๆ"
เนื่องจากเป็นช่วงหลังเลิกงาน แถมเจฮายังไม่พกบัตรประจำตัว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงไม่อนุญาตให้เจฮาเข้าไปในตึกถึงแม้เจฮาจะบอกว่าตนถูกเรียกตัวมาที่นี่ก็ตาม โชคดีที่ป้าแม่บ้านมาพบเข้า เธอไม่อยากให้เจฮามาเสียเที่ยวจึงช่วยรับรองว่าเจฮาเป็นพนักงานติดตั้งป้ายโฆษณาจริง โดยยืนยันว่าเจฮาคือคนที่มาขึงป้ายเมื่อคราวก่อน เธอยังขู่เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวด้วยว่า หากเขาไม่ยอมให้เจฮาเข้าไปทำงานมีหวังเดือดร้อนแน่ เพราะแม้แต่ผู้จัดการยังถูกคุณนายตำหนิอย่างหนักในเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ยินดังนั้นเลยยอมให้เจฮาเข้าไปในตึกแต่โดยดี เจฮากล่าวขอบคุณป้าแม่บ้านในลิฟต์ ป้าแม่บ้านเห็นว่าวันนี้ลมค่อนข้างแรงเลยอดเป็นห่วงเจฮาไม่ได้ เจฮามั่นใจว่าตนจะทำงานอย่างปลอดภัยและรู้สึกอบอุ่นในใจที่ป้าแม่บ้านแสดงความเป็นห่วง หลังติดตั้งสลิงเสร็จแล้วเจฮาก็กระโดดลงจากดาดฟ้าทันที ทำเอาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่คอยตามประกบเจฮาถึงกับใจหายใจคว่ำเมื่อเห็นคนกระโดดตึกต่อหน้าต่อตา
ระหว่างที่เจฮากำลังโรยตัวลงจากตึกเพื่อขึงแบนเนอร์ให้ตึง ได้มีกลุ่มชายชุดดำสวมหน้ากากปิดบังใบหน้านั่งรถสองคันเข้ามาในตึกดังกล่าว ขณะเดียวกันห้องที่อยู่ทางด้านล่าง (ถัดจากบริเวณที่เจฮาทำงานอยู่ไม่มากนัก) ก็มีหญิงสาวในชุดสุดเซ็กซี่กำลังเทยาบางอย่างลงในแก้วไวน์ และชายที่อยู่ในห้องกับเธอคือเซจุน หลังเดินเข้ามาในห้องเซจุนก็เริ่มเผด็จศึกทันที เมื่อหญิงสาวบอกให้ใจเย็นๆ เซจุนก็แย้งว่าไม่มีคำนั้นในพจนานุกรมของตน เพราะตนไม่ชอบทำอะไรชักช้า ครั้นได้ยินรายการทีวีสัมภาษณ์สด "ชเว ยูจิน" ผู้เป็นภรรยา เขาจึงหยุดนัวเนียหญิงสาวแล้วขอตัวมานั่งดูทีวี หญิงสาวจึงสบโอกาสยื่นแก้วไวน์ให้พลางแกล้งตัดพ้อว่าเห็นหน้ากันทุกวันยังไม่เบื่ออีกหรือ เซจุนจึงบอกว่าตนอยากรู้ว่าภรรยาจะให้สัมภาษณ์ว่ายังไง
ผู้ดำเนินรายการ "โจ จียอน" แจ้งว่ายูจินได้รับการโหวตจากประชาชนวัย 20-70 ปีว่าคู่ควรกับตำแหน่งสตรีหมายเลขหนึ่งมากที่สุด (คะแนนนำภรรยาผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนอื่นๆ) เมื่อได้รับคำชมว่าเป็นภรรยาที่เกื้อหนุนสามี ยูจินจึงกล่าวอย่างถ่อมตัวว่าเธอก็แค่คอยดูแลอาหารเช้าให้สามีเท่านั้น เซจุนเห็นภรรยาสร้างภาพว่าตนเองเป็นแม่ศรีเรือนและมีเสน่ห์ปลายจวักก็รู้สึกพึงพอใจ หญิงสาวเห็นว่าได้เวลาแล้วจึงปิดทีวี จากนั้นก็หันมาเป็นฝ่ายรุก ในเวลาเดียวกันนั้นกลุ่มชายชุดดำได้บุกเข้ามาในตึกและทำร้ายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทุกคนที่ขวางทาง
ขณะที่เซจุนและหญิงสาวกำลังเปิดฉากบรรเลงเพลงรักกันอย่างเร่าร้อน กลุ่มชายสวมหน้ากากได้พากันวิ่งขึ้นบันไดหนีไฟ เมื่อถึงที่หมายหัวหน้ากลุ่มชายสวมหน้ากากได้กำชับลูกทีมเรื่องการบันทึกเทป ในตอนนั้นเจฮาโรยตัวลงมาขึงเชือกบริเวณด้านล่างของป้าย ทำให้เห็นฉากจูบอันดูดดื่มระหว่างเซจุนกับกิ๊กสาวพอดี แม้จะเห็นทุกอย่าง (รวมทั้งใบหน้าเซจุน) เต็มสองตา แต่เจฮาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและยังคงทำหน้าที่ของตนต่อไป เซจุนรีบหันหน้าหนีแล้วบอกให้หญิงสาวปิดม่านแต่หญิงสาวหาได้แคร์ไม่ หลังยาเริ่มออกฤทธิ์เซจุนถึงรู้ตัวว่าตนโดนวางยาแต่ก็สายเกินไป เมื่อเซจุนหมดสติหญิงสาวจึงหันไปยิ้มให้เจฮาก่อนหลิ่วตาให้ จากนั้นก็ปิดม่าน
ขณะที่มีการต่อสู้กันอย่างดุเดือดภายในห้องดังกล่าว ชายสวมหน้ากากคนหนึ่งฉวยโอกาสถือกล้องเดินตรงไปยังห้องของเซจุน ในตอนนั้นเซจุนยังคงหลับใหลไม่ได้สติทำให้ถูกหญิงสาวจัดฉากหมายให้ชายสวมหน้ากากเข้ามาถ่ายรูป โชคดีที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่ง (ซึ่งถูกทำร้ายจนเลือดโชก) คลานไปกดปุ่มฉุกเฉินได้ทันเวลา สัญญาณเตือนจึงดังขึ้น แถมประตูนิรภัยที่ห้องของเซจุนยังปิดล็อคโดยอัตโนมัติทำให้ไม่สามารถเข้า-ออกได้ หญิงสาวรู้ตัวว่าโดนขังจึงร้องขอความช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ดูแลประตูทางเข้าหน้าตึก (คนที่ห้ามไม่ให้เจฮาเข้าตึกก่อนหน้านี้) มัวแต่ออกไปสูบบุหรี่ข้างนอกเลยไม่รู้ว่าข้างในเกิดเรื่อง (คนร้ายไม่ได้เข้าประตูหน้าตึกแต่เข้าทางที่จอดรถ) ครั้นได้ยินสัญญาณเตือนเขาจึงรีบวิ่งกลับเข้าไปภายในตึกพลางวิทยุเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ เมื่อตรวจดูมอนิเตอร์จึงรู้ว่ามีผู้บุกรุก ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น เขาจะแจ้งเหตุร้ายให้ "หัวหน้าจู" (จู ชอลโฮ) ทราบ หัวหน้าจูตัดบทว่าตนรู้แล้วและกำชับให้เขาดูแลเรื่องของเซจุน (ทั้งความปลอดภัยและป้องกันไม่ให้มีข่าวเสียหาย) จนกว่าพวกตนจะไปถึง
ในที่สุดเหล่าชายสวมหน้ากากก็ฝ่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจนไปถึงหน้าห้องของเซจุนได้สำเร็จ เมื่อเห็นว่าประตูถูกล็อคอย่างแน่นหนาจึงพยายามปลดล็อคและพังประตู เจฮาเห็นป้าแม่บ้านนอนจมกองเลือดก็รู้สึกเป็นห่วง หลังพยายามถีบกระจกแล้วเสียแรงเปล่า เขาจึงยันตัวออกแล้วปาไขควงปักกระจกก่อนใช้เท้าถีบไขควงจนผนังกระจกแตกกระจาย จากนั้นก็ปลดสลิงออกจากตัวหมายรีบไปดูอาการป้าแม่บ้านแต่กลับถูกชายสวมหน้ากากสองคนขวางเอาไว้ หลังจัดการทั้งคู่แล้วเจฮาก็เข้าไปหาและพยายามร้องเรียกป้าแม่บ้าน เหล่าชายสวมหน้ากากเห็นดังนั้นจึงเข้ามาล้อมและฉวยโอกาสทำร้ายเจฮา หลังโดนฟาดสามครั้งเจฮาก็เริ่มโมโห เดิมทีเขาไม่คิดมีเรื่องกับใคร แต่พอโดนทำร้ายเขาเลยจำต้องตอบโต้ ถึงไม่มีอาวุธและโดนรุมเจฮาก็ไม่หวั่น ทั้งยังเล่นงานเหล่าชายสวมหน้ากากจนสะบักสะบอมไปตามๆ กัน (ระหว่างต่อสู้เจฮาเห็นหนึ่งในนั้นมีรอยแผลเป็นที่ข้อมือ) ชายสวมหน้ากากที่นั่งรออยู่ในรถเห็นทีมจู่โจมของเจเอสเอสมาถึงพร้อมอาวุธครบมือจึงสั่งให้ทุกคนล่าถอย (ก่อนหน้านี้ไม่มีฝ่ายไหนใช้อาวุธร้ายแรง) เจฮาเห็นดังนั้นก็ไม่คิดติดตามเพราะเขาทะลุกระจกเข้ามาเพราะเป็นห่วงป้าแม่บ้าน เจฮาเห็นว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเป็นห่วงแต่ท่านส.ส. (เซจุน) ซึ่งยังคงหลับไม่รู้เรื่องและโดนขังอยู่ในห้องกับกิ๊กสาว เลยตะคอกบอกให้เรียกรถพยาบาล (ความจริงแล้วเจ้าหน้าที่มองไม่เห็นคนเจ็บ)
ด้านยูจินยังคงให้สัมภาษณ์รายการทีวีที่สตูดิโอ ขณะพูดคุยกันในประเด็นที่ว่ายูจินได้รับการยกย่องในฐานะภรรยาที่เกื้อหนุนสามี ผู้ดำเนินรายการจึงถือโอกาสถามว่าครอบครัวของยูจินช่วยผลักดันและอยู่เบื้องหลังความสำเร็จทางการเมืองของเซจุนใช่หรือไม่ เพราะยูจินเป็นลูกสาวคนโตของประธานกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ "เจบี กรุ๊ป" แถมเจบี กรุ๊ปยังเป็นเป็นกลุ่มบริษัทที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในประเทศอีกด้วย ยูจินไม่ค่อยพอใจที่ผู้ดำเนินรายการลากธุรกิจของครอบครัวมาพัวพันเรื่องเกมการเมืองของสามี แต่เธอก็แก้ปัญหาด้วยการเบี่ยงให้เป็นประเด็นดราม่า โดยกล่าวว่าเธอรู้สึกเห็นใจสามีที่มีภรรยาอย่างเธอ หากเขาแต่งงานกับคนอื่นคงได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดลูกเขยสำหรับครอบครัวฝ่ายหญิง ผู้ดำเนินรายการตั้งข้อสังเกตว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ยูจินกับเซจุนคงฝ่าฟันอุปสรรคมาแล้วมากมาย ยูจินกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่าบิดาผู้ล่วงลับของเธอไม่อยากได้ลูกเขยที่อยู่ในแวดวงการเมือง ผู้ดำเนินรายการได้ยินดังนั้นจึงถามว่าเพราะยูจินดึงดันที่จะแต่งงานกับเซจุน ประธานชเวผู้ล่วงลับ (บิดายูจิน) จึงตัดพ่อตัดลูกกับเธอใช่ไหม ยูจินทำหน้าเศร้าและนิ่งไปชั่วขณะก่อนเช็ดน้ำตาพลางพูดว่า ไม่ว่าชายหรือหญิงย่อมต้องซื่อสัตย์ต่อคนรัก ผู้ดำเนินรายการเลยถามว่า ยูจินคงรักเซจุนมากใช่ไหมถึงได้ยอมสละสิทธิในการเป็นผู้สืบทอดบริษัท ยูจินหันไปมองกล้องแล้วตอบทันควันว่า...ใช่ และเธอยังคงเทิดทูนเขาเหมือนเดิม
เจฮานั่งอยู่ในรถ (ของบริษัทโฆษณาแทชิน) เพื่อรอดูให้เห็นกับตาว่าป้าแม่บ้านถูกนำตัวขึ้นรถพยาบาลอย่างปลอดภัย หลังจากนั้นเขาจึงขับรถออกจากตึกซึ่งเต็มไปด้วยกองทัพนักข่าว หัวหน้าจูหยิบไขควงขึ้นมาดูด้วยความรู้สึกแปลกใจหลังได้รับรายงานเรื่องวีรกรรมของเจฮา เขาไม่อยากเชื่อว่าพนักงานบริษัทรับทำป้ายและติดตั้งโฆษณาจะพุ่งทะลุกระจกหนาๆ เข้ามาได้
ตัดกลับไปที่สตูดิโอ ยูจินพยายามเก็บอาการหลังผู้ดำเนินรายการไล่ต้อนเธอด้วยคำถามที่ไม่ได้เตี๊ยมกันมาก่อนหมายแฉเธอเรื่องซุกหุ้น "คิม ทงมี" (มือขวาและหัวหน้าเลขาของยูจิน) จึงขอให้ตัดเข้าโฆษณา ระหว่างพักโฆษณายูจินปิดไมค์ของตนแล้วส่งสัญญาณบอกให้ผู้ดำเนินรายการปิดไมค์เช่นกัน หลังโดนตำหนิที่พยายามไล่บี้เรื่องหุ้นของเจบีกรุ๊ปทั้งที่ตกลงกันไว้แล้วว่าจะไม่แตะเรื่องนี้ ผู้ดำเนินรายการก็ยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านก่อนกล่าวว่ายูจินจะเจ็บน้อยกว่าถ้าหากตนเป็นคนแฉเรื่องนี้เอง ยูจินยิ้มและยอมรับว่าสำหรับเรื่องนี้แล้วไม่ว่าใครเป็นคนถามตนก็เจ็บทั้งนั้น เธอชี้ว่าทุกคนย่อมมีจุดอ่อน จากนั้นก็นำความลับเกี่ยวกับเรื่องลูกชายของผู้ดำเนินรายการมาข่มขู่ ผู้ดำเนินรายการถึงกับหน้าถอดสีและขอโทษที่ล้ำเส้น ยูจินยิ้มให้ผู้ดำเนินรายการพลางบอกให้เธอสัมภาษณ์ตามสคริปต์ที่ตกลงกันไว้
หลังจบรายการหัวหน้าคิมรีบมาที่ห้องแต่งตัวหมายรายงานเรื่องด่วน ยูจินเลยไล่เจ้าหน้าที่ (ที่ช่วยเช็ดเครื่องสำอางให้เธอ) อย่างสุภาพด้วยการนำคุกกี้ที่ทำเองมาแจกแล้วบอกว่าเธอจะทำต่อเอง เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวดีใจมากจึงขออนุญาตถ่ายรูปขนม (โดยมีกระเป๋าถือของยูจินเป็นแบล็คกราวน์) แล้วนำไปโพสต์ลงโซเชี่ยล พอรู้ว่าเกิดเรื่องกับสามี ยูจินไม่ตกใจเลยสักนิดเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก แม้ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าใครอยู่เบื้องหลังแต่หัวหน้าคิมมั่นใจว่าเป็นฝีมือ "ส.ส.ปาร์ค" (ปาร์ค ควานซู) หัวหน้าคิมช่วยเช็ดเครื่องสำอางให้ยูจินพลางถามว่าจะให้ตนจัดการเรื่องนี้อย่างไร ยูจินจึงสั่งให้แก้ไขทุกสิ่งอย่าง (สถานที่เกิดเหตุ พยาน หลักฐาน ภาพจากกล้องวงจรปิด ฯลฯ) ให้เป็นคดีอาชญากรรมล้วนๆ โดยไม่มีเรื่องชู้สาวมาเกี่ยวข้อง เมื่อถูกถามว่าจะให้จัดการผู้หญิงอย่างไร ยูจินจึงบอกให้เก็บไว้ใช้ประโยชน์ในภายหลัง ถึงกระนั้นเธอก็อดสงสัยไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นอายุเท่าไหร่ พอรู้ว่าคราวนี้คู่ขาสามีอายุ 20 ปลายๆ เธอก็คิดว่ายังดีที่ไม่ใช่ผู้เยาว์
ขณะอยู่ในรถ เซจุนโทรฯ หายูจินโดยเปิดฉากแซวเรื่องที่เธอสร้างภาพว่าเป็นศรีภรรยา ทั้งยังชมว่าเธอตีบทแตก ส่วนเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกับตัวเองหมาดๆ เขาไม่รู้สึกเป็นกังวลเพราะเชื่อว่ายูจินจะตามล้างตามเช็ดและช่วยเคลียร์ปัญหาให้ได้ทั้งหมดเหมือนเช่นเคย สิ่งเดียวที่กวนใจเขาคือคนติดตั้งป้ายหาเสียงที่เห็นหน้าเขาแบบเต็มๆ เขาจึงขอให้ยูจินช่วยจัดการเรื่องนี้ ยูจินไม่พอใจที่ไม่มีใครรายงานเธอเรื่องคนติดตั้งป้ายจึงโทรฯ หา "กุก แชวาน" แชวานแก้ตัวว่าตนไม่อยากเพิ่มเรื่องกังวลใจให้ยูจินจึงคิดจัดการเรื่องนี้เอง ทั้งยังรับปากว่าจะจัดการให้เรียบร้อย
เมื่อกลับมาถึงที่พัก (ภายในโกดังเก็บของๆ โรงงาน) เจฮาก็รีบเก็บข้าวของและเสื้อผ้า ระหว่างนั้นเขาได้ยินเสียงล้อรถเหยียบฝาท่อที่ปิดไม่สนิทจึงรู้ว่ามีคนมา ในเวลาเดียวกันนั้นหัวหน้าจูกำลังตรวจดูภาพจากกล้องวงจรปิด เมื่อเห็นใบหน้าของคนติดตั้งป้ายที่กำลังต่อสู้กับกลุ่มผู้บุกรุกอย่างดุเดือดเขาก็รู้สึกตกใจ ในตอนนั้นทีมจู่โจมของบริษัทเจเอสเอสนับสิบนายกำลังจะบุกเข้าไปจับตัวเจฮาโดยมีปืนช็อตไฟฟ้าเป็นอาวุธประจำกาย แม้หัวหน้าทีมจู่โจมจะสั่งการด้วยวิธีส่งสัญญาณแต่ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของเจฮาซึ่งแอบซุ่มดูอยู่ห่างๆ เขาจึงรู้ว่าผู้บุกรุกมากันกี่คน ใช้อาวุธอะไร และจะบุกมาทางด้านใดบ้าง
หัวหน้าจูรีบไปพบแชวาน (ซึ่งเป็นผู้บริหารของเจเอสเอส) เพื่อขอให้ยกเลิกภารกิจในการบุกจับเจฮา โดยเตือนว่าถ้าไม่ถอนกำลังทุกคนจะตายกันหมด และตอนนี้ทุกคนกำลังตกอยู่ในอันตราย แชวานได้ยินแล้วขำกลิ้ง เขาถามทีเล่นทีจริงว่าเจฮาคือคนที่หัวหน้าโจฝึกมากับมือตอนอยู่หน่วยรบพิเศษงั้นหรือ หัวหน้าจูยอมรับด้วยสีหน้าวิตกกังวล แต่แชวานไม่เชื่อว่าคนติดป้ายโฆษณาอย่างเจฮาจะมีฝีมือเหนือกว่าทีมจู่โจมของเจเอสเอสซึ่งได้ชื่อว่าเป็นบริษัทคุ้มครองความปลอดภัยดีที่สุดในเกาหลี หัวหน้าจูเห็นว่าพูดอย่างไรแชวานก็ไม่เชื่อจึงลุกขึ้นแล้วกล่าวว่าอีกไม่นานแชวานจะรู้ซึ้งในคำเตือนของตน พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องทันที
ปรากฏว่าสิ่งที่หัวหน้าจูพูดไม่ใช่เรื่องที่เกินเลย เพียงแต่เจฮาไม่คิดฆ่าใคร เขาต่อสู้เพื่อปกป้องตนเองเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มีอาวุธ เขาจึงใช้วิธีซุ่มโจมตีและค่อยๆ ลงมือจัดการ (ให้สลบเหมือด) ทีละคนโดยอาศัยข้อได้เปรียบในเรื่องสถานที่ (เพราะเป็นถิ่นของเขาจึงมีความชำนาญพื้นที่ ทำให้จู่โจมและหลบหลีกได้รวดเร็ว) หัวหน้าจูรีบตามไปที่โรงงานเพราะกลัวว่าคนของตนจะตายคามือเจฮา หลังเจฮาจัดการทีมจู่โจมที่บุกเข้ามาด้านในได้จนหมด เขาก็รอรับมือคนสุดท้ายที่ดักซุ่มอยู่ทางด้านนอก เมื่อคนข้างนอกเห็นว่าด้านในเงียบผิดปกติทั้งยังไม่สามารถติดต่อคนที่อยู่ด้านในได้เลยเดินเข้าไปสำรวจดู เจฮาจึงบุกเข้าชาร์จและปลดอาวุธ จากนั้นก็ใช้ปืนช็อตไฟฟ้า (ของทีมจู่โจม) ยิงใส่เขาจนสลบแน่นิ่ง หลังจัดการคนสุดท้ายได้แล้วเจฮาก็รีบออกจากโรงงานทันที ทั้งยังแยกชิ้นส่วนโทรศัพท์ก่อนโยนทิ้งข้างทางอีกด้วย เมื่อหัวหน้าจูมาถึงโรงงานแล้วเห็นสภาพอันสะบักสะบอมของของทีมจู่โจมก็รู้สึกโล่งใจที่ไม่มีใครตาย
เมื่อเซจุนกลับมาถึงบ้านกลางดึกก็รู้สึกแปลกใจที่พบว่ายูจินยังคงนั่งอ่านหนังสือ ยูจินคาดว่าวันนี้เธอคงนอนดึกกว่าปกติเพราะยังมีเรื่องให้ต้องจัดการ เซจุนลอยหน้าลอยตาถามว่านอกจากตนแล้วยังมีคนอื่นที่ชอบก่อเรื่องอีกหรือ ยูจินถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับเซจุนพลางตอบว่า "ลูกสาวคุณไงคะ ท่านส.ส." เซจุนถึงกับคอตก เขาพยายามเก็บงำความรู้สึกแต่ไม่วายคว้าตัวยูจินเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับอันนา ยูจินตอบกึ่งเย้ยหยันว่าอันนาหนีไปอีกแล้ว จนป่านนี้แล้วเธอควรโตเป็นผู้ใหญ่เสียทีแต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ บางทีอาจเป็นเพราะลูกไม้ย่อมตกไม่ไกลต้น เซจุนพยายามระงับอารมณ์ก่อนเตือนยูจินว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับอันนา สัญญาระหว่างพวกตนจะถือเป็นโมฆะ
อันนาสวมชุดนอนวิ่งเท้าเปล่าไปตามท้องถนนในประเทศสเปนเช่นเดียวกับเมื่อหลายเดือนก่อน แต่คราวนี้เธอวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตทำให้เผลอวิ่งออกถนนใหญ่และตัดหน้ารถหรูของดีไซเนอร์ชื่อดังโดยไม่รู้ตัว โชคดีที่คนขับเบรคทัน เมื่อถูกแสงไฟหน้ารถสาดส่อง อันนาซึ่งอยู่ในอาการหวาดผวาก็หวนนึกถึงความทรงจำเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เธอจำได้ว่าก่อนแม่ตายเธอเป็นคนยื่นขวดยานอนหลับให้แม่ เมื่อนึกถึงช่วงเวลาดังกล่าวอันนาก็ตัวสั่น เธอร่ำไห้พลางรำพึงรำพันเป็นภาษาสเปนว่า "ชั้นไม่ได้ฆ่า"
* เนื้อหาโดย luvasianseries / ภาพจาก ทีวีเอ็น
นักแสดงนำ
จี ชางอุค
รับบท คิม เจฮา (K2)
อิม ยุนอา
รับบท โก อันนา
ซง ยุนอา
รับบท ชเว ยูจิน
โจ ซองฮา
รับบท จาง เซจุน
รวมคลิปตัวอย่างจาก ทีวีเอ็น ดราม่า
รวมคลิปเบื้องหลังจาก ทีวีเอ็น ดราม่า
รวมเพลงประกอบจาก CJENMMUSIC Official
รวมฉากแอ็คชั่นและฉากประทับใจจาก ทีวีเอ็น ดราม่า
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา