วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เรื่องย่อ ศึกรักลิขิตสวรรค์ (Princess of Lanling King)




กำกับ: เยี่ยเจาอี๋ (ชาวฮ่องกง), หลินฟง
เขียนบท: จางหลินหนาน
แนวละคร: โรแมนติก, ย้อนยุค
จำนวนตอน: 47
ออกอากาศ: จีน - 13 พฤศจิกายน 2559 ทางหูหนานทีวี
                ไทย - ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 18.20-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (หมายเลข 13) ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2561 - 11 พฤศจิกายน 2561


 



เรื่องย่อ



ละคร "ศึกรักลิขิตสวรรค์" (Princess of Lanling King) ดัดแปลงมาจากนวนิยายออนไลน์สุดฮิตปี 2552 เรื่อง "หลานหลิงหวงเฟย" (兰陵皇妃) ของนักเขียนหญิง "หยางเชียนจื่อ" โดยละครเริ่มต้นถ่ายทำอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2556  และออกอากาศหลังจากนั้น 3 ปี

เนื้อหาในละครกล่าวถึงเรื่องราวความรักที่ซับซ้อนและเป็นรักสามเส้าของ "หลานหลิงหวังเฟย" (แปลว่า ชายาหลานหลิงอ๋อง) เธอมีชื่อจริงว่า "ตวนมู่เหลียน" เป็นเด็กกำพร้าและทายาทคนเดียวที่เหลืออยู่ของ "ตวนมู่จี๋" ผู้สร้างวังเทียนหลัวตี้ (วังแหฟ้าตาข่ายดิน) เธอมีคนรักที่เติบโตมาด้วยกันชื่อ "เกาฉางกง" เขาเป็นนักรบหนุ่มรูปงามราวเทพบุตร เลยต้องซ่อนรูปโฉมอันงดงามของตนไว้ภายใต้หน้ากากที่ดุดันขณะออกรบเพื่อให้ศัตรูเกรงขาม เขาเป็นที่รู้จักในนาม "หลานหลิงอ๋อง" แห่งเป่ยฉี (ฉีเหนือ) ที่รักประชาชนเสมือนเป็นลูกหลานตนเอง ทั้งยังเป็นพระญาติของ "เกาเหว่ย"  ("เป่ยฉีโฮ่วจู่" - รัชทายาทและฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เป่ยฉี) อีกด้วย




ด้วยความที่เป็นทายาทเพียงคนเดียวของสกุลตวนมู่ เธอจึงเป็นคนเดียวที่พิสูจน์ได้ว่ามุกเม็ดไหนคือ มุกราตรี "เจิ้นหุน" ทำให้มักมีคนคิดหาประโยชน์จากเธอ และหนึ่งในนั้นก็คือ "จื่อเม่ย" มารดาของเกาฉางกง ขณะแฝงตัวเข้าไปในเป่ยโจวเพื่อตามหามุกเจิ้นหุนในจวนต้าซือคงโดยเปลี่ยนชื่อเป็น "หยวนชิงสั่ว" เธอเกิดจับพลัดจับผลูได้เป็นเจ้าสาวของต้าซือคงแห่งเป่ยโจว นามว่า "อวี่เหวินยง" เขายอมรับเธอเข้าจวนทั้งที่ไม่ไว้ใจและรู้ทันเธอตั้งแต่ต้น เพราะต้องการสืบหาความจริงจากเธอ แต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นในคืนเข้าหอ เมื่อมีเหตุให้ชิงสั่วสูญเสียความทรงจำ ซ้ำยังมีคนร้ายบุกรุกจวนต้าซือคง ทุกคนต่างสงสัยว่าชิงสั่วมีความเกี่ยวข้องกับคนร้ายและอาจเป็นสายของเป่ยฉี แต่ชิงสั่วกลับจำอะไรไม่ได้และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเป็นใคร

อวี่เหวินยงไม่ปักใจเชื่อชิงสั่วจึงพยายามพิสูจน์ว่าเธอสูญเสียความทรงจำจริงหรือไม่ ทั้งยังสงสัยว่าเธอเป็นใครกันแน่ ซึ่งชิงสั่วเองก็อยากรู้เช่นกันว่าตนเป็นใคร มาจากไหน ครั้นได้ยินกับหูว่า "เหยียนหว่าน" คิดปองร้ายหมายเอาชีวิตเพราะเห็นเธอเป็นศัตรูหัวใจและศัตรูของบ้านเมือง (สายของเป่ยฉี) ชิงสั่วจึงหนีออกจากจวนต้าซือคงโดยมุ่งหน้าไปยังชายแดนเป่ยฉีหมายสืบหาว่าตนเองเป็นใคร เมื่ออวี่เหวินยงรู้เข้าจึงปล่อยข่าวว่าชิงสั่วขโมยมุกเจิ้นหุนแล้วหนีออกจากจวนต้าซือคง หมายให้เธอตกเป็นเป้าของคนที่อยากครอบครองมุก และบีบให้คนที่อยู่เบื้องหลังชิงสั่วแสดงตัว




หลังได้รับรายงานว่ามีคนร้ายบุกจวนต้าซือคง  เกาฉางกงเลยสบโอกาสบุกโจมตีเป่ยโจว เมื่อ "อวี่เหวินฮู่" มหาเสนาบดีแห่งเป่ยโจว ทราบข่าวจึงอาสานำทัพทำศึกโดยวางแผนหลอกล่อให้เกาฉางกงติดกับ ขณะมุ่งหน้าไปยังชายแดนที่เชื่อมต่อเป่ยฉี ชิงสั่วเจอม้าตัวหนึ่ง (ม้าของเกาฉางกงซึ่งน่าจะจำเธได้) จึงขึ้นขี่ตามสัญชาตญาณ (สมัยเด็กเธอเป็นคนดูแลม้าจึงขี่ม้าเป็น) ด้วยความที่เป็นม้าของแม่ทัพใหญ่มันจึงวิ่งไปหาผู้เป็นนายในสนามรบ ในตอนนั้นทัพของเกาฉางกงกับอวี่เหวินฮู่กำลังสู้รบกัน อวี่เหวินฮู่แกล้งถอยทัพหมายล่อให้เกาฉางกงตามไปติดกับแต่เกาฉางกงรู้ทันจึงไม่เคลื่อนทัพตามไป ครั้นเห็นชิงสั่วร้องลั่นอยู่บนหลังม้าของตน (ในพรมแดนเป่ยโจว) เกาฉางกงก็นึกถึง "เสี่ยวเหลียน" (ตวนมู่เหลียน) คนรักของตน แต่ม้าของเขาดันพาเธอมุ่งหน้าไปยังบริเวณที่อวี่เหวินฮู่วางกำลังดักซุ่มอยู่ เขาจึงรีบควบม้าตามไป แม่ทัพ "หูลี่ว์กวง" (แห่งเป่ยฉี) เห็นดังนั้นจึงเคลื่อนทัพตามไปคุ้มกัน

เมื่อทัพทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ชิงสั่วจึงอยู่ท่ามกลางการรบราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เกาฉางกงแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นชิงสั่วยืนอยู่ตรงหน้า เพราะเธอหน้าตาเหมือนเสี่ยวเหลียน (ซึ่งถูกธนูยิงและพลัดตกจากหน้าผาต่อหน้าต่อตาเขา) ราวกับเป็นคนเดียวกัน ครั้นเห็นชิงสั่วตกอยู่ในอันตราย เกาฉางกงจึงรีบบุกเข้าไปช่วย แม้ชิงสั่วจะจำเกาฉางกงไม่ได้แต่พออยู่ในอ้อมกอดเขาเธอกลับรู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคย ในที่สุดทัพของเกาฉางกงก็ติดกับและตกเป็นเป้านิ่งของอวี่เหวินฮู่ แม้จะเสียกำลังพลไปไม่น้อยเพราะเสียสมาธิ แต่เกาฉางกงก็พากำลังพลที่เหลือ รวมทั้งชิงสั่ว กลับค่ายทหารได้อย่างปลอดภัย




เกาฉางกงคิดว่าเสี่ยวเหลียนตกหน้าผาตายไปแล้ว เพราะตอนออกตามหาเขาพบแหวนของเธอที่ศพหญิงสาวคนหนึ่ง ครั้นพอเจอชิงสั่วเขาจึงรู้สึกสับสน หูลี่ว์กวงไม่พอใจที่เกาฉางกงเสียสมาธิเพราะผู้หญิงจึงพยายามพูดเตือนสติโดยชี้ว่าเสี่ยวเหลียนตายไปแล้ว (เขาสงสัยว่าชิงสั่วอาจเป็นสายของเป่ยโจว และกลัวว่าเกาฉางกงจะหลงรักชิงสั่ว เพราะคู่หมั้นของเกาฉางกงคือ "เจิ้งลั่ววิ๋น" ญาติผู้น้องขงเขานั่นเง) หลังมีโอกาสพูดคุยกันตามลำพังเกาฉางกงก็พบว่าชิงสั่วแตกต่างจากเสี่ยวเหลียน แต่เนื่องจากเธอสูญเสียความทรงจำเขาจึงไม่รู้ว่าเธอเป็นใครมาจากไหนกันแน่ ชิงสั่วคิดปักหลักที่เป่ยฉีเพื่อฟื้นฟูความทรงจำโดยหวังพึ่งใบบุญเกาฉางกง แต่กลับถูกอวี่เหวินยงลักพาตัวออกจากค่ายทหารเป่ยฉีแล้วนำไปปล่อยทิ้งไว้ในเมืองชายแดนของเป่ยโจว เขาใช้เธอเป็นเหยื่อล่อให้ผู้ที่หวังชิงมุกเจิ้นหุนแสดงตัว ปรากฏว่าคนที่พบชิงสั่วก่อนคือเหยียนหว่านและเธอก็เป็นคนหนึ่งที่อยากได้มุกเจิ้นหุน หลังรู้ว่าชิงสั่วหายตัวไป เกาฉางกงจึงสั่งทหารออกค้นหา จากนั้นก็สั่งให้หูลี่ว์กวงติดตามตนไปช่วยทหารที่ถูกเป่ยโจวจับไปเป็นเชลย

ชิงสั่วพยายามหนีไปหาเกาฉางกงที่เป่ยฉีหลายครั้งแต่อวี่เหวินยงรู้ทันตลด เขามักทำแกล้งทำเป็นไม่แยแสแต่ความจริงแล้วแบมีใจให้ชิงสั่วและคยปกป้งเธ ขณะที่เกาฉางกงตกหลุมรักเธออีกครั้งและพยายามพาเธอกลับเป่ยฉีแต่มักมีเหตุให้คลาดกัน ทั้งยังมีเรื่องที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างเข้าใจผิด ทั้งคู่เลยจำต้องพรากจากกัน ตลอดเวลาที่อยู่จวนต้าซือคงชิงสั่วกับอวี่เหวินยงเปรียบเหมือนลิ้นกับฟันที่กระทบกระทั่งกันตลอดเวลา แต่สุดท้ายต่างฝ่ายต่างมีใจให้กัน ครั้นชิงสั่วเปิดใจยอมรับอวี่เหวินยงความทรงจำของเธอก็กลับคืนมา

เนื้อหาตอนที่ 1



ละครเปิดฉากด้วยการเกริ่นนำถึงเหตุการณ์เมื่อ 221 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นปีที่ราชวงศ์ฉินได้ถูกสถาปนาขึ้นหลังอ๋องแห่งรัฐฉินสามารถรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จเป็นครั้งแรก  (รวม 7 รัฐที่แตกแยกและรบรากันมาช้านานเข้าด้วยกัน) หลังจากนั้นพระองค์จึงสถาปนาตนเองเป็น "ฉินสื่อหวงตี้" ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฉิน (ซึ่งคนไทยคุ้นเคยในนาม "จิ๋นซีฮ่องเต้" หรือ "ฉินซีฮ่องเต้") พระองค์ทรงมีพระบัญชาให้ผู้รอบรู้สรรพวิชา"ตวนมู่จี๋" เร้นกายในสถานที่เร้นลับเพื่อสร้าง "วังเทียนหลัวตี้" ซึ่งภายในมีเคล็ดลับในการรวมแผ่นดินต้าฉินซุกซ่อนอยู่ โดยวังใต้ดินดังกล่าวมีความยาวหลายร้อยลี้ โครงสร้างภายในสลับซับซ้อน ทั้งยังเต็มไปด้วยกลไก กับดัก และมีห้องลับมากมาย

เพื่อการนี้ตวนมู่จี๋ยังประดิษฐ์ของวิเศษขึ้นสามสิ่ง ประกอบด้วย "มุกราตรีเจิ้นหุน" (มุกวิญญาณผู้พิทักษ์) โดยนำวิญญาณส่วนหนึ่งของ "จูเชว่"  ("หงส์แดง" - หนึ่งในสัตว์เทพทั้งสี่) มาหลอมรวมเป็นมุกเจิ้นหุน, "ยอดกระบี่หลีซาง"  ซึ่งหลอมมาจากอุกกาบาต และ "กระจกวิเศษชิงหลวน*" ที่ซ่อนความลับอันใหญ่หลวงในการรวมแผ่นดินเอาไว้ หลังฉินสื่อหวงตี้สวรรคตในปีที่ 210 ก่อนคริสตกาล แถมตวนมู่จี๋ยังหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย วังเทียนหลัวตี้จึงกลายเป็นดินแดนเร้นลับที่ไม่เคยมีใครเข้าถึง อย่างไรก็ตามมีตำนานเล่าขานว่า มีเพียงทายาทสกุลตวนมู่ที่จะหามุกเจิ้นหุนพบและนำมาเปิดวังเทียนหลัวตี้ได้

* ละครไม่ได้กล่าวถึงที่มาของกระจกชิงหลวน แต่ในนิยายระบุว่ากระจกดังกล่าวเป็นของวิเศษในยุคโบราณ เดิมเป็นส่วนหนึ่งของหินที่เจ้าแม่หนี่วาใช้อุดรอยรั่วฟ้า ต่อมาได้แตกออกเป็นสะเก็ดหินแล้วตกลงไปในสระเหยาฉือ (สระน้ำวิเศษของเจ้าแม่ซีหวังหมู่) หลังแช่อยู่ในสระแล้วถูกน้ำชะล้างเป็นเวลาหลายร้อยปีหินดังกล่าวจึงกลายเป็นกระจกที่มีพลานุภาพเหลือคณานับ ครั้น "หวงตี้" (จักรพรรดิเหลือง) ได้ครอบครองกระจกดังกล่าวจึงปราบ "ชือโหยว" (เทพเจ้าแห่งสงคราม) ได้สำเร็จ กระจกชิงหลวนไม่เพียงหยั่งรู้อดีต ปัจจุบัน แต่ยังสามารถทำนายอนาคต ย้อน/ข้ามเวลา ดูดวิญญาณ ฯลฯ อีกมากมาย ด้วยเหตุนี้จึงมีตำนานเล่าขานว่า "เมื่ใดที่กระจกชิงหลวนปรากฏ โลกจะรวมเป็นหนึ่ง" 

700 ปีต่อมา

ในปี ค.ศ. 420 ซึ่งเป็นปีแรกของยุคราชวงศ์เหนือใต้ อันเป็นยุคแห่งสงครามกลางเมือง และยุคที่เต็มไปด้วยเหตุวุ่นวายทางการเมือง บรรดาราชวงศ์ที่อยู่ทางตอนเหนือและใต้ต่างรบฆ่าฟันกันไม่หยุดหย่อน ในเวลาต่อมาราชวงศ์เหนือซึ่งประกอบด้วย ราชวงศ์ "เป่ยฉี" หรือ "ฉีเหนือ" (ค.ศ. 550-577) กับราชวงศ์  "เป่ยโจว" หรือ "โจวเหนือ"  (ค.ศ. 557-581) ต่างเปิดศึกแย่งชิงอำนาจอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นเหตุให้ราษฎรของทั้งสองฝ่ายมีชะตากรรมที่ทุกข์ยากแสนเข็ญ


ครั้นมีข่าวลือว่ามุกเจิ้นหุนอยู่ในจวนของ "ต้าซือคง" แห่งเป่ยโจว ("ต้าซือคง" เป็นชื่ตำแหน่งขุนนาง แต่ละยุคสมัยจะใช้ต่างกัน ราชวงศ์โจวเหนืใช้เรียก "เจ้ากรมโยธาธิการ" แต่บางยุคใช้เรียก "หมหลวง" ฯลฯ ส่วนในละครเรื่งนี้ตำแหน่งดังกล่าวมีอำนาจเทียบเท่าอัยการสูงสุดในยุคปัจจุบัน) สาวเป่ยฉีจากสกุลตวนมู่ นามว่า "ตวนมู่เหลียน"  จึงเปลี่ยนชื่อเป็น "หยวนชิงสั่ว" แล้วแฝงตัวเข้าไปอยู่เป่ยโจวในฐานะหลานสาวภรรยาของ "อวี่เหวินฮู่" มหาเสนาบดีแห่งเป่ยโจว เพื่อหาโอกาสขโมยมุกเจิ้นหุน ในที่สุดภรรยาของอวี่เหวินฮู่ก็วางแผนพาชิงสั่วไปร่วมงานเลี้ยงในวัง โดยย้ำว่าภารกิจในครั้งนี้จะสำเร็จหรือล้มเหลวล้วนขึ้นอยู่กับเธอ ทั้งยังเตือนให้เธอสำรวมกิริยาขณะอยู่ในวังและห้ามทำผิดพลาดเด็ดขาด

* แท้จริงแล้วภรรยาของอวี่เหวินฮู่คือ "จื่เม่ย" หนึ่งในสี่ผู้พิทักษ์วังเทียนหลัวตี้ โดยประจำตำแหน่ง "เสวียนอู่" (หรือ "เต่าดำ" - หนึ่งในสัตว์เทพทั้งสี่ที่ปกครงทิศเหนือ) ทั้งยังเป็นมารดาของยอดนักรบหนุ่มรูปงาม "เกาฉางกง" (ตำแหน่ง "หลานหลิงอ๋อง"  แห่งเป่ยฉี) ด้วยความที่มีสถานะไม่ธรรมดาเธอจึงไม่เป็นที่ยอมรับของคนสกุลเกา และนั่นก็ทำให้เธอรู้สึกโกรธแค้น เธอยอมทำทุกอย่างหมายให้ลูกชายปกครองใต้หล้า จึงปลอมตัวเป็นสตรีสูงศักดิ์แห่งสกุลหยวนและใช้ชีวิตในฐานะภรรยาของอวี่เหวินฮู่ในที่สุด




ขณะเดินไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยงภายในวัง ชิงสั่วนำผ้าเช็ดหน้ามาโบกรับลมเล่นแต่ผ้าเช็ดหน้าดันหลุดมือและปลิวไปคลุมหน้า "วี่เหวินยง" (พระอนุชาของฮ่องเต้ "โจวหมิงตี้"อย่างเหมาะเหม็ง อวี่เหวินยงจึงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาดมก่อนจ้องหน้าชิงสั่วอย่างพินิจพิเคราะห์ ราวกับจะมองให้ทะลุไปถึงก้นบึ้งหัวใจของหญิงสาว ชิงสั่วรู้ดีว่าชายที่อยู่ตรงหน้าคือ 'เป้าหมาย' ของตน เพราะก่อนเข้าวังจื่อเม่ยได้ให้เธอดูภาพวาดของเขาที่อยู่ในจวนเสนาบดี พลางชี้ว่าหน้าที่ของชิงสั่วคือต้องหาทางหว่านเสน่ห์มัดใจอวี่เหวินยงในงานเลี้ยงให้ได้ เพื่อที่เธอจะได้แทรกซึมเข้าไปในจวนต้าซือคงของอวี่เหวินยง หลังจากนั้นก็ทำให้เขาเชื่อใจแล้วคอยรายงานความเคลื่อนไหวให้ท่านเสนาฯ ทราบ (อวี่เหวินฮู่นั่งดื่มสุราพลางฟังทั้งคู่คุยกันเงียบๆ) ชิงสั่วไม่มั่นใจว่ามุกเจิ้นหุนจะยังอยู่ในจวนต้าซือคงหรือไม่ แต่จื่อเม่ยมั่นใจว่ามุกดังกล่าวยังคงถูกเก็บรักษาไว้ที่นั่น





ขณะที่ต่างฝ่ายต่างมัวแต่ยืนจับจ้องโดยไม่มีใครพูดจา ฮ่องเต้ "โจวหมิงตี้" (หรือ "อวี่เหวินอวี้" จักรพรรดิองค์ที่สองของราชวงศ์เป่ยโจว และพระเชษฐาขอวี่เหวินยง) ก็คว้าผ้าเช็ดหน้าในมืออวี่เหวินยงมาดู ครั้นเห็นว่าลายปักต่างจากผลงานของหญิงสาวโดยทั่วไป พระองค์จึงสงสัยว่าทำไมเธอถึงปักภาพดอกไม้เพียงหนึ่งดอก ซ้ำยังมีหิ่งห้อยโบยบินแค่สองตัว (ไม่ปักดอกบัว โบตั๋น ผีเสื้อ นก เหมือนสตรีคนอื่นๆ) ชิงสั่วไม่รู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าคือฮ่องเต้จึงแบมือขอผ้าเช็ดหน้าสุดหวงคืน (ลายปักบนผ้าเช็ดหน้าสื่อความนัยถึงคนรัก "เกาฉางกง") จื่อเม่ยได้ยินดังนั้นจึงเรียกชื่อชิงสั่วด้วยน้ำเสียงตำหนิ ก่อนถวายความเคารพฮ่องเต้ ชิงสั่วรีบทำตามแต่ยังไม่วายทวงผ้าเช็ดหน้าคืน

เมื่อฮ่องเต้ยืนกรานว่าชิงสั่วต้องตอบคำถามของตนก่อน ชิงสั่วจึงชี้ว่าแม้หิ่งห้อยจะตัวเล็กและไม่โดดเด่นสะดุดตา (เวลาไม่เปล่งแสง) แต่ก็มีจิตวิญญาณเช่นกัน หลังจากนั้นเธอก็ร่ายบทกวีที่เปรียบเปรยความงามของแสงหิ่งห้อยให้ฮ่องเต้ฟัง ครั้นได้ฟังความคิดความอ่านของชิงสั่วฮ่องเต้ก็รู้สึกประทับใจและคืนผ้าเช็ดหน้าให้เธอตามสัญญา  ชิงสั่วนำผ้าเช็ดหน้ามาวางแนบอกอย่างหวงแหน ครั้นหันไปมองอวี่เหวินยงก็พบว่าเขากำลังจ้องหน้าเธอเขม็งก่อนแกล้งชายตามองไปทางอื่น  ชิงสั่วเห็นดังนั้นก็ได้แต่งงที่เขามองแล้วทำเมิน แถมเขายังจงใจคว้าตัวหญิงสาวข้างกายเข้ามาหาใกล้ๆ เพื่อเย้ยชิงสั่วอีกด้วย




ขณะอยู่ในงานเลี้ยงท่ามกลางเหล่าขุนนางในราชสำนักและครอบครัว อวี่เหวินฮู่สังเกตเห็นฮ่องเต้นั่งกระวนกระวายใจทั้งๆ ที่การแสดงของเหล่านางรำเพิ่งจบลงจึงอดทักไม่ได้ ที่แท้ฮ่องเต้กำลังตั้งตารอดูการร่ายรำของชิงสั่วเพราะได้ยินมาว่าเธอมีลีลาการร่ายรำที่แสนอ่อนช้อยและชวนหลงใหล ครั้นเห็นชิงสั่วเดินเข้ามาในชุดระบำนกยูง ฮ่องเต้ก็ยิ้มออกทันที เมื่ออวี่เหวินยงและอวี่เหวินฮู่หันไปมองฮ่องเต้ก็รู้ได้ทันทีว่าพระองค์ทรงหลงเสน่ห์ชิงสั่วเข้าแล้ว (อวี่เหวินยงเห็นแล้วรู้สึกเป็นกังวลเพราะไม่ไว้ใจชิงสั่ว ด้วยเห็นว่าเธเป็นคนขอวี่เหวินฮู่ ส่วนอวี่เหวินฮู่เห็นแล้วสะใจที่ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามแผน) หลังโชว์ลีลาการร่ายรำได้ครู่หนึ่ง ชิงสั่วก็เดินหน้าหว่านเสน่ห์ตามแผนด้วยการเข้าไปเชิญอวี่เหวินยงออกมากลางเวที อวี่เหวินยงอยากรู้ว่าชิงสั่วจะมาไม้ไหนจึงยอมเล่นตามน้ำ ปรากฏว่าชิงสั่วลากอวี่เหวินยงมาปล่อยเกาะกลางเวที อวี่เหวินยงจะจับมือชิงสั่วหมายร่ายรำด้วยกัน แต่ชิงสั่วชิ่งหนีไม่ยอมให้เขาแตะต้องหรือร่ายรำด้วย จากนั้นก็ปล่อยให้อวี่เหวินยงยืนดูเธอร่ายรำตรงหน้ากระทั่งจบการแสดงในที่สุด




ฮ่องเต้ชื่นชมชิงสั่วอย่างออกนอกหน้า หลังกล่าวชมเธอแล้วพระองค์ก็หันมาบอกอวี่เหวินฮู่ว่าตนมีเรื่องจะขอหนึ่งอย่าง อวี่เหวินฮู่รู้ว่าฮ่องเต้จะขออะไรจึงชิงประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ที่ตนบอกให้ชิงสั่วมาร่ายรำในวันนี้เพราะตั้งใจว่าจะช่วยหาคู่ให้เธอ ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นจึงยิ้มหน้าบาน แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่ออวี่เหวินฮู่ขอให้พระองค์ช่วยพระราชทานงานแต่งให้อวี่เหวินยงกับชิงสั่ว  (เขาเรียกอวี่เหวินยงว่า "น้องสี่ เพราะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน โดยอวี่เหวินฮู่เป็นหลานขงขุนพล "อวี่เหวินไท่" พระบิดาฮ่องเต้และอวี่เหวินยง)  ฮ่องเต้ออกตัวว่าเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของชิงสั่วและน้องชายตน (จื่อเม่ยแบไม่พใจและไม่นึกฝันว่าอวี่เหวินฮู่จะมาไม้นี้ เพราะการแต่งงานไม่อยู่ในแผน)

อวี่เหวินยงกล่าวยกย่องชิงสั่ว ก่อนพยายามปฏิเสธแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นโดยหยิบยกเรื่องที่ตนกำลังจะแต่งงาน (ทางการเมือง) กับ "องค์หญิงาสืน่า" แห่งเผ่าทูเจว๋ มากล่าวอ้าง โดยชี้ว่าหากตนรับชิงสั่วเป็นภรรยาในตอนนี้จะไม่เป็นผลดีต่อบ้านเมือง อวี่เหวินฮู่แย้งว่าองค์หญิงอาสือน่าเป็นคนใจกว้าง นางคงไม่ยกเลิกงานแต่งแล้วเปิดศึกสงครามเพียงเพราะเรื่องนี้ อวี่เหวินยงแย้งกลับว่าชิงสั่วเป็นถึงหลานของเสนาบดี หากตนรับชิงสั่วเป็นภรรยารองจะไม่สมเกียรติและไม่เป็นผลดีกับตัวเธอเอง ฮ่องเต้ใจสลายเมื่อชิงสั่วลั่นวาจาว่าเธอยินดีเป็นภรรยารองของอวี่เหวินยง อวี่เหวินยงได้ยินดังนั้นจึงแสร้งหัวเราะด้วยความยินดีเพราะไม่เหลือข้ออ้างใดๆ ให้ปฏิเสธอีก ขณะที่ฮ่องเต้จำต้องตัดใจและยอมทำตามคำขอของอวี่เหวินฮู่


เมื่อฮ่องเต้สั่งให้หาฤกษ์มงคล "หยวนไท่สื่อ" (ซึ่งเป็นคนของอวี่เหวินฮู่และเตี๊ยมกันมาก่อนแล้ว) จึงแนะให้พระองค์จัดพิธีอภิเษกให้ 'ต้าซือคง' กับชิงสั่วในอีกสามวันข้างหน้า โดยอ้างว่าเป็นฤกษ์ดีที่สุดในรอบร้อยปี อวี่เหวินยงทูลฮ่องเต้ว่าแม้เวลาค่อนข้างกระชิด แต่ตนอยากจัดงานอภิเษกให้สมเกียรติเพื่อชดเชยที่ไม่สามารถมอบตำแหน่งภรรยาเอกให้ชิงสั่ว ฮ่องเต้ได้ยินพระอนุชาพูดดังนั้นจึงรับปากแบบหน้าชื่นอกตรม

* อวี่เหวินฮู่เป็นพระญาติขงฮ่องเต้แต่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในราชสำนัก เขาคือผู้วางยาพิษปลงพระชนม์ "เสี้ยวหมินตี้" ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เป่ยโจว จากนั้นก็แต่งตั้ง "อวี่เหวินอวี้" พระเชษฐาขเสี้ยวหมินตี้ ขึ้นเป็นฮ่องเต้ "โจวหมิงตี้" (ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันในละคร ณ ตนนี้) ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้จึงมีอำนาจในการบริหารราชกิจและตัดสินพระทัยไม่มากนัก

** คนทั่วไป (ในละคร) จะเรียกอวี่เหวินยงด้วยชื่อตำแหน่ง "ต้าซือคง" และเรียกอวี่เหวินฮู่ว่า "ท่านเสนาฯ" หรือ "ต้าจ่งไจ่" (อัครมหาเสนาบดี)



ก่อนเข้าพิธีมงคล อวี่เหวินฮู่แวะมาหาชิงสั่วซึ่งอยู่ในชุดเจ้าสาวเพื่อย้ำเตือนเรื่องภารกิจ เมื่อถูกถามว่ายังจำภารกิจที่ตนมอบหมายได้ไหม ชิงสั่วตอบว่าคอยจับตาดูอวี่เหวินยง ระวังอย่าให้ถูกจับได้ และสืบหาที่ซ่อนมุกเจิ้นหุน อวี่เหวินฮู่หยิบปิ่นปักผมประดับมุกขึ้นมาดูพลางเปรยว่า "ได้ครอบครองมุกเจิ้นหุน...แผ่นดินจะสงบสุข ได้ครอบครองกระบี่หลีซาง...ราชวงศ์เป็นปึกแผ่นยั่งยืน" เขาชี้ว่าหากได้ครอบครองมุกเจิ้นหุนไม่ว่าใครก็ขึ้นครองบัลลังก์ได้ ที่เหลือก็แค่หากระบี่หลีซางแล้วนำมาปกป้องราชวงศ์ให้ยั่งยืนตลอดกาล งวิเศษสย่างนี้ไม่เป็นสงรงสิ่งใด ผู้คนมากมายจึงฝันยากครบครง แต่สงสิ่งนี้ก็ทำให้ผู้คนล้มตายไม่น้ยเพราะการได้มาครงนั้นไม่ใช่เรื่งง่าย ด้วยเหตุนี้อวี่เหวินฮู่จึงเตืชิงสั่วว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม และย้ำว่าสิ่งแรกที่เธอต้องทำคือการเป็นภรรยารองที่ดีและกุมหัวใจอวี่เหวินยงให้อยู่หมัด ส่วนที่เหลือตนจะจัดการเอง



เมื่อวี่เหวินฮู่กลับไปแล้ว ชิงสั่วก็หยิบผ้าเช็ดหน้าสุดหวงขึ้นมาดูพลางนึกถึงคนรัก "เกาฉางกง" (ตำแหน่ง "หลานหลิงอ๋อง" เป็นแม่ทัพขงราชวงศ์เป่ยฉี - ชิงสั่วเรียกเขาว่า "พี่สี่" เพราะเขาเป็นบุตรชายคนที่สี่ขงครบครัว ส่วนเขาเรียกเธว่า "เสี่ยวเหลียน" เพราะชื่อจริงขเธอคื "ตวนมู่เหลียน"เธอหวนนึกถึงคืนที่อยู่กับเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจากลาเพื่ออกมาตามหามุกเจิ้นหุน ในตนนั้นทั้งคู่นั่งคุยกันริมหน้าผาและหยอกล้อกันอย่างมีความสุขท่ามกลางฝูงหิ่งห้อย ครั้นโดนแซวว่าเป็นจอมเปิ่นหลังหิ่งห้อยบินเข้าปากเธอขณะกำลังจะจูบกัน ชิงสั่ว (ตวนมู่เหลียน) ก็ลั่นวาจาว่านับจากนี้เธอจะพยายามเรียนรู้และฝึกฝนกิริยามารยาทเพื่อจะได้เป็น "หวังเฟย" (ชายาอ๋อง) ที่ดีและคู่ควร เกาฉางกงจึงชี้ว่าเธอเป็น "หลานหลิงหวังเฟย" (ชายาหลานหลิงอ๋อง) ในใจตนเสมอ

เมื่อหญิงอันเป็นที่รักมอบแหวนแทนใจก่อนจากลา เกาฉางกงก็รู้สึกตกใจ ชิงสั่ว (ตวนมู่เหลียน) ให้เหตุผลว่าเธอเป็นทายาทเพียงคนเดียวของสกุลตวนมู่ จึงจำเป็นต้องออกตามหามุกเจิ้นหุนเพื่อวงศ์ตระกูลและต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จลุล่วง เกาฉางกงไม่อยากให้เธอจากไปไหน ทั้งยังเห็นว่าภารกิจนี้อันตรายและหนักหนาเกินกว่าผู้หญิงจะแบกรับไหวจึงอาสาทำหน้าที่แทน ชิงสั่วแย้งว่าเธออยากเป็นผู้หญิงเก่งที่ยืนหยัดเคียงข้างเขาเลยตัดสินใจว่าจะไม่ยอมแพ้ แต่เกาฉางกงกลับมองว่าเป็นอย่างทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว เขาแค่หวังให้เธอมีความสุขและเป็นผู้หญิงใสซื่อธรรมดาแบบนี้ ขอเพียงพวกตนได้เคียงข้างกันตลอดไปและได้ขี่ม้าด้วยกันบนทุ่งหญ้าสีเขียวก็เพียงพอแล้ว ชิงสั่วกล่าวว่าเธอเองก็อยากใช้ชีวิตเช่นนั้นและอยากอยู่กับเขาตลอดไป เธอจึงขอให้เขารอเธอ


หลังนึกถึงวันคืนเก่าๆ ชิงสั่วก็พูดกับตัวเองว่าเธอไม่อยากแต่งงานกับอวี่เหวินยง ไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้ และหวังเพียงได้อยู่เคียงข้างคนรักอย่างเกาฉางกง (เธถืผ้าเช็ดหน้าลายดกไม้และหิ่งห้ยไว้ในมืย่างทะนุถนอตลดเวลา) ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงชุดม่วงซึ่งสวมทั้งหน้ากากและหมวกที่มีผ้าปกคลุมใบหน้าเดินเข้ามาในห้องของชิงสั่ว ชิงสั่วไม่คาดคิดว่าผู้เป็น "อาจารย์" (จื่อเม่ย) จะลอบเข้ามาหาเธอกลางวันแสกๆ ซ้ำยังใช้เข็มแทงแขนเธอแล้วรองเลือดใส่ขวดโดยไม่พูดพล่ามทำเพลงและไม่ชี้แจงเหตุผลใดๆ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วจื่อเม่ยจึงบอกให้ชิงสั่วทำหน้าที่ของตนให้ดี และกำชับให้ชิงสั่วรั้งอวี่เหวินยงไว้ในห้องหอจนถึงยามจื่อ (ช่วงห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง) ชิงสั่วไม่เข้าใจว่าทำไมตนต้องทำเช่นนั้นและเกรงว่าอวี่เหวินฮู่จะรู้เข้า จื่อเม่ยจึงชี้ว่าอวี่เหวินฮู่เป็นแค่หมากที่พวกตนใช้เป็นใบเบิกทางในการส่งชิงสั่วเข้าจวนต้าซือคง ขืนรอช้าไม่ชิงลงมือก่อน ต่อไปอวี่เหวินฮู่จะถือไพ่เหนือกว่าพวกตน

จื่อเม่ยรู้ว่าชิงสั่วต้องการอะไรจึงนำสิ่งนั้นมาล่อ (หลอกใช้) โดยถามว่าชิงสั่วไม่อยากรีบทำภารกิจให้สำเร็จโดยเร็วแล้วเดินทางกลับเป่ยฉีหรือ จากนั้นก็ย้ำว่าสิ่งเดียวที่ชิงสั่วต้องทำคือรั้งอวี่เหวินยงไว้ในห้องหอ เพื่อที่ตนจะได้ส่งคนไปค้นหามุกเจิ้นหุนในจวนต้าซือคงได้โดยสะดวก ไม่ว่ายังไงคืนนี้ก็ต้องหาให้เจอ ถ้าพ้นยามจื่อไปแล้วจะถือว่าชิงสั่วทำภารกิจสำเร็จ ขอเพียงชิงมุกเจิ้นหุนมาได้ และช่วยให้เกาฉางกงได้ครองแผ่นดิน ชิงสั่วก็จะได้เป็น  "หลานหลิงหวังเฟย" (ชายาหลานหลิงอ๋อง) ชิงสั่วได้ยินดังนั้นจึงหมายมั่นว่าจะทำภารกิจให้สำเร็จ เธอเห็นว่าอวี่เหวินยงเป็นคนฉลาดและเจ้าเล่ห์จึงเตรียมแผนรับมือเพื่อไม่ให้พลาดท่าเสียทีขณะอยู่ในห้องหอ




ฮ่องเต้ อวี่เหวินฮู่ และหยวนฟูเหริน (จื่อเม่ย) มาถึงจวนต้าซือคงได้ไม่นานขบวนเกี้ยวเจ้าสาวก็มาถึง อวี่เหวินยงจึงออกไปรับชิงสั่วและอุ้มเธอมาที่หน้าจวน ก่อนเดินจูงมือไปหยุดยืนหน้าพระพักตร์ ฮ่องเต้ยิ้มทักทายทั้งคู่แต่ไม่วายลอบถอนใจ จากนั้นก็สั่งให้เริ่มพิธีการทันที คืนนั้นจื่อเม่ยนำขวดเลือดของชิงสั่วไปแจกจ่ายให้สมุนของตนที่เตรียมลักลอบเข้าไปค้นหามุกในจวนต้าซือคง โดยบอกว่ามุกเจิ้นหุนจะแสดงปฏิกิริยาต่อเลือดในขวด เธอกำชับให้เหล่าสมุนลอบเข้าจวนต้าซือคงในยามจื่อ ทุกคนต้องทำตามแผนที่วางไว้และต้องหามุกให้เจอก่อนผ่านพ้นช่วงเวลาดังกล่าว จากนั้นก็ย้ำว่าห้ามทำขวดเลือดตกหล่นสูญหายเด็ดขาด

ฮ่องเต้และอวี่เหวินฮู่เดินไปส่งอวี่เหวินยงที่หน้าเรือนหอ ครั้นเห็นอวี่เหวินยงเดินโซเซจนพ่อบ้าน "ฉู่หลินซี" ต้องคอยประคอง ฮ่องเต้จึงทักว่า 'น้องสี่' เมาแล้ว อวี่เหวินยงรีบปฏิเสธว่าตนไม่เมาและถามหาภรรยาของอวี่เหวินฮู่ อวี่เหวินฮู่กล่าวว่าภรรยาตนรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงขอตัวกลับก่อน จากนั้นก็เตือนว่ามีคนรอเขาอยู่ ครั้นเห็นว่าอวี่เหวินยงเมาหนัก ฮ่องเต้จึงชวนอวี่เหวินฮู่กลับ (ในตอนนั้นคนของจื่อเม่ยเริ่มแอบเข้ามาในจวน) 




ชิงสั่วแอบกรอกยาบางอย่างใส่ปากก่อนที่อวี่เหวินยงจะเข้ามาในห้องหอ ครั้นอวี่เหวินยงเดินโซเซเข้ามาหาชิงสั่วก็ยิ้มให้ แต่พอเขาขยับเข้ามาใกล้เธอก็แอบพ่นยาในปากใส่เขาหมายให้หมดสติ  อวี่เหวินยงใช้แขนเสื้อปัดป้องแบบเนียนๆ แล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาแกล้งทำจมูกฟุตฟิตแล้วบอกว่าชอบกลิ่นนี้จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปหาชิงสั่วแต่ชิงสั่วลุกหนี เธอแอบสงสัยว่าทำไมอวี่เหวินยงถึงไม่หมดสติเสียที  (เขาไม่ไว้ใจชิงสั่วจึงระวังตัวตลอดเวลา ทั้งยังเตรียมตัวมาเป็นย่างดี และเตรียมยากันสลบติดตัวมาด้วย)  อวี่เหวินยงเห็นชิงสั่วทำหน้าสงสัยจึงหยิบถุงหอม (ยากันสลบ) ที่ซ่อนไว้ในเสื้อออกมาอวด หลังจากนั้นก็ไล่กอดชิงสั่ว ในเวลาเดียวกันนั้นเหล่าสมุนของจื่อเม่ยได้กระจายกำลังค้นหามุกเจิ้นหุนตามห้องต่างๆ ในจวนต้าซือคง

หลังแผนแรกไม่สำเร็จแถมอวี่เหวินยงซึ่งแกล้งทำเป็นเมาปลิ้นเริ่มรุกหนักขึ้น ชิงสั่วจึงเริ่มแผนสองโดยแอบหยิบเชือกที่เตรียมไว้ใต้โต๊ะแล้วทำเป็นยิ้มกลบเกลื่อน อวี่เหวินยงเห็นดังนั้นจึงหัวเราะหึหึก่อนเดินเข้าไปหาเธอ  ชิงสั่วจะฉวยโอกาสมัดอวี่เหวินยงแต่กลับโดนจับหมุนเป็นลูกข่างและถูกมัดเสียเอง ครั้นเห็นท่าไม่ดีชิงสั่วจึงคิดใช้แผนสาม เธอจะหยิบมีดสั้นที่ซ่อนไว้ใต้หมอนแต่อวี่เหวินยงรู้ทัน เขายึดมีดและเตือนเธอเสียงเข้มว่าถ้าแต่งเข้าจวนต้าซือคงแล้วก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปอีก



พ่อบ้านฉู่รู้สึกสังหรณ์ใจและเป็นห่วงอวี่เหวินยงจึงอยู่ไม่เป็นสุข "ปี้เซียง" เห็นพ่อบ้านฉู่เอาแต่ถอนหายใจและทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดเวลาทั้งที่เป็นวันมงคล จึงบอกให้เขาหัดปล่อยวางและอย่าตีตนไปก่อนไข้ ในตอนนั้นเหล่าสมุนของจื่เม่ยต่างค้นจวนต้าซือคงจนทั่วแต่กลับหามุกเจิ้นหุนไม่พบ ครั้นเห็นว่ามีเพียงห้องหอที่ยังไม่ได้ค้น ทุกคนจึงฟันธงว่ามุกดังกล่าวถูกเก็บไว้ในห้องหอและตรงไปที่นั่นทันที

ในที่สุดพ่อบ้านฉู่ก็อดรนทนไม่ได้จึงไปสังเกตการณ์ (แอบฟัง) ที่หน้าเรือนหอกับปี้เซียง ตอนนั้นอวี่เหวินยงกับชิงสั่วเหมือนเป็นแมวไล่จับหนู ชิงสั่วพยายามหลบหลีกอวี่เหวินยงและขว้างปาข้าวของใส่เขาเพื่อไม่ให้เขาเข้ามาใกล้จนต่างฝ่ายต่างเหนื่อยหอบด้วยกันทั้งคู่ อวี่เหวินยงรู้ว่าชิงสั่วไม่มีเจตนาหลบหนีเพราะเธอถ่วงเวลาด้วยการวิ่งวนรอบห้อง แทนที่จะวิ่งหนีออกทางหน้าต่างและประตู เขาจึงบอกให้เธอเลิกพยศและยอมนอนกับตนแต่โดยดี เพราะนี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการแก้ตัวกับคนอื่นในวันรุ่งขึ้น พูดจบเขาก็ตรงเข้าไปแบกเธอพาดบ่า ชิงสั่วร้องลั่นด้วยความตกใจ พ่อบ้านฉู่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านในเลยบุกเข้าไปดูด้วยความเป็นห่วงโดยมีปี้เซียงวิ่งตามเข้าไปติดๆ อวี่เหวินยงแอบเตือนชิงสั่วว่าถ้าไม่อยากถูกเปิดโปงก็อย่าร้อง เขาแกล้งทำเหมือนพวกตนกำลังเล่นหยอกล้อกัน จากนั้นก็ไล่พ่อบ้านฉู่กับปี้เซียงออกจากห้องโดยกำชับว่าห้ามเข้ามาอีกไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ตาม

 


เมื่อพ่อบ้านฉู่กับปี้เซียงออกไปแล้ว ชิงสั่วก็บอกให้อวี่เหวินยงวางเธอลง ครั้นเห็นอวี่เหวินยงเดินตรงเข้ามาหาชิงสั่วจึงเตะเขาและจะวิ่งหนีออกนอกประตู อวี่เหวินยงจึงยึดผ้าเช็ดหน้าสุดหวงของชิงสั่วแล้วแกล้งทำท่าเหมือนจะฉีกทิ้งเพราะรู้ว่าผ้าผืนนี้มีคุณค่าทางใจต่อชิงสั่ว ปรากฏว่าวิธีนี้ใช้ได้ผล เพราะชิงสั่วเลิกพยศในบัดดล เขาบอกให้เธอสารภาพว่าทำไมถึงยอมเสี่ยงตายเข้ามาในจวนต้าซือคง หากเธอยอมบอกเขาจะคืนผ้าเช็ดหน้าให้ แต่ถ้าขืนยังปากแข็งพรุ่งนี้เขาจะบอกทุกคนว่าเธอไม่ใช่หญิงพรหมจรรย์ ถึงกระนั้นชิงสั่วก็ยังเล่นลิ้นและไม่ยอมจำนน ครั้นสบโอกาสเธอก็กระโดดคร่อมร่างอวี่เหวินยงและแย่งผ้าเช็ดหน้าคืนมาจนได้

อวี่เหวินยงหัวเราะชอบใจและพยักพเยิดบอกชิงสั่วว่าเธอกำลังนั่งคร่อมเขาอยู่ ชิงสั่วจึงพลิกตัวออกแล้วนั่งหันหลังให้เขาที่ปลายเตียงด้วยความอายและตกใจ อวี่เหวินยงลุกมาคว้าตัวชิงสั่วแล้วจับกดลงบนเตียง ก่อนคร่อมตัวเธอไว้แล้วแย่งผ้าเช็ดหน้าคืน จากนั้นก็เริ่มปลุกปล้ำหมายบีบบังคับให้เธอยอมรับสารภาพ (ในตอนนั้นสมุนของจื่อเม่ยมาถึงหน้าเรือนหอแล้ว) ชิงสั่วพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด ครั้นเห็นเชือก (ผูกม่านตกแต่งเตียงนอน) อยู่ใกล้มือเธอจึงคว้าเชือกไว้แล้วดึงสุดแรง และนั่นก็ทำให้กระโจมม่านขนาดใหญ่ (โครงไม้) ร่วงลงมาครอบทับชิงสั่วจนเธอแน่นิ่งไป (อวี่เหวินยงหงายเงิบตกเตียงไปก่อนเลยไม่เจ็บตัว)



พ่อบ้านฉู่ซึ่งนั่งเฝ้าหน้าเรือนหอกับปี้เซียงได้ยินเสียงดังสนั่นจึงรีบลุกขึ้นแต่ปี้เซียงห้ามไม่ให้เข้าไป พ่อบ้านฉู่เลยจำต้องนั่งลงด้วยใจร้อนรุ่ม ทันใดนั้น หนึ่งในสมุนของจื่อเม่ยซึ่งรอโอกาสบุกเข้าไปในเรือนหอก็ผายลมเสียงดังสนั่น พอรู้ว่ามีคนบุกรุกพ่อบ้านฉู่จึงตะโกนเรียกทหารยามแล้วตรงเข้าสู้กับเหล่าคนร้าย เมื่ออวี่เหวินยงเปิดประตูออกมาดูก็พบชายชุดดำสามคนยืนอยู่ตรงหน้า ชายชุดดำตรงเข้าจู่โจมอวี่เหวินยงแต่มีทหารมาช่วยคุ้มกันได้ทันเวลา อวี่เหวินยงตะโกนบอกให้ทหารจับเป็นคนร้าย แต่ชายชุดดำทั้งสามคนชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน อวี่เหวินยงหันไปมองชิงสั่วที่ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง ก่อนจ้องมองผ้าเช็ดหน้าของเธอด้วยแววตาครุ่นคิด จากนั้นก็สั่งให้พ่อบ้านฉู่ไปรายงานท่านเสนาฯ ว่ามีคนร้ายบุกจวนต้าซือคง



หลังได้รับรายงานเรื่องดังกล่าว อวี่เหวินฮู่รู้สึกตกใจที่มีคนชิงลงมือก่อนจึงถามสมุนซ้ายขวา "จินหู่" กับ "อิ๋นเป้า" ว่าจวนต้าซือคงมีอะไรหายไหม  เมื่อจินหู่รายงานว่าไม่มีของสูญหาย จื่อเม่ยจึงแสร้งเปรยว่าใครกันที่คิดร้ายในคืนวันแต่งงานของชิงสั่ว หลังปิดประตูเมืองตรวจค้นตามคำสั่งอวี่เหวินฮู่และคว้าน้ำเหลวในการตามจับคนร้าย  จินหู่จึงกลับมารายงานว่าไร้วี่แววผู้ต้องสงสัย เขาตรวจสอบศพคนร้ายแล้วไม่พบเบาะแสใดๆ แต่คาดว่าทุกคนล้วนผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีและยอมพลีชีพเพื่อภารกิจ โดยยอมตายแต่ไม่ยอมจำนน (ในตอนนั้นจื่อเม่ยยืนฟังเงียบๆ ที่หน้าประตู) อิ๋นเป้าได้ยินดังนั้นก็รู้สึกแปลกใจและสงสัยว่าอาจเป็นคนของฮ่องเต้ที่คิดปองร้ายท่านเสนาฯ แต่ภารกิจล้มเหลว จินหู่ไม่คิดเช่นนั้น เขาชี้ว่าแม้การปองร้ายท่านเสนาฯ จะมีผลในการลิดรอนอำนาจ  (อวี่เหวินฮู่กุมอำนาจในราชสำนัก) แต่ราชบัลลังก์ยังไม่มั่นคงนับตั้งแต่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ (อาจถูกโค่นได้ทุกเมื่อ) ซ้ำยังมีบทเรียนเรื่องอดีตฮ่องเต้ (ซึ่งถูกอวี่เหวินฮู่ปลงพระชนม์) เชื่อว่าฮ่องเต้คงไม่กล้าลงมือทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงเช่นนั้น

อิ๋นเป้าสันนิษฐานใหม่ว่าอาจเป็นฝีมือราชวงศ์เป่ยฉี แต่จินหู่แย้งว่าเป่ยฉีกับเป่ยโจวทำศึกกันมาอย่างต่อเนื่อง ทุกวันนี้สถานการณ์ในสนามรบยังคงตึงเครียด คนของเป่ยฉีจึงไม่มีทางเล็ดลอดเข้ามาก่อเหตุได้แน่นอน และการลักลอบเข้ามาในฉางอัน (เมืองหลวง) โดยไม่ถูกจับนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ อิ๋นเป้าได้ยินดังนั้นก็รู้สึกมืดแปดด้านเพราะไร้ซึ่งเบาะแสที่จะสาวไปถึงตัวผู้บงการ หลังนั่งฟังอยู่นานอวี่เหวินฮู่ก็สั่งให้จินหู่เปิดประตูเมืองและเรียกตัวเจ้าหน้าที่ๆ ถูกส่งไปสืบหาคนร้ายกลับทั้งหมด เพราะดูเหมือนว่าจะมีบางคนใจร้อนกว่าพวกตน หลังจินหู่กับอิ๋นเป้าออกไปแล้ว จื่อเม่ยจึงเดินไปหาอวี่เหวินฮู่และแก้ตัวแทนชิงสั่ว แต่อวี่เหวินฮู่เห็นว่าอยู่ๆ ก็เกิดเรื่องขึ้นในวันที่ชิงสั่วแต่งเข้าจวนต้าซือคง เขาจึงบอกให้จื่อเม่ยนำตัวชิงสั่วมาพบตน เพราะสงสัยว่าชิงสั่วอาจมีส่วนเกี่ยวข้องและอยากฟังความจริงจากปากของเธอ (ฮ่องเต้ส่งสายลับมาสืบข่าวที่จวนเสนาฯ จึงได้ยินการสนทนาทั้งหมด) 


สายลับ (ขันที) กลับไปรายงานฮ่องเต้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ใช่ฝีมือท่านเสนาฯ ดังที่พระองค์ทรงคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่ต้น (อวี่เหวินฮู่เป็นถึงเสนาบดีเป่ยโจวและพระญาติผู้พี่ของพระองค์ หากคิดทำสิ่งใดย่อมทำได้โดยเปิดเผยเพราะไม่มีใครกล้าหือ แม้แต่อดีตฮ่องเต้ซึ่งเป็นญาติผู้น้องยังวางยาพิษปลงพระชนม์มาแล้ว) ฮ่องเต้เห็นว่าคนร้ายไม่ธรรมดา เพราะลงมือรวดเร็ว รอบคอบ ไม่ทิ้งเบาะแสใดๆ ไว้ในที่เกิดเหตุ ที่น่าแปลกก็คือคนร้ายเป็นนักฆ่าแต่กลับไม่มีเจตนาฆ่าคนและไม่ยอมจำนน แถมยังไปมาไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงศพที่ปราศจากเบาะแสใดๆ พระองค์จึงสงสัยว่าเป็นฝีมือใครกันแน่ สายลับของพระองค์ตั้งข้อสังเกตว่า ปกติแล้วต้าซือคง (อวี่เหวินยง) มักทำตัวอ่อนแอไร้ซึ่งพิษสงจึงไม่น่ามีคนปองร้ายหมายเอาชีวิต ไม่แน่ว่าบางทีคนร้ายอาจบุกจวนต้าซือคงเพราะมุกเจิ้นหุน และการที่คนร้ายปรากฏตัวในคืนฉลองงานมงคลก็นับเป็นเรื่องบังเอิญมากเกินไป เขาจึงสงสัยว่าชิงสั่วอาจสมคบคิดกับคนร้าย

* เนื้อหาโดย luvasianseries /  ดูอัลบั้มภาพได้ ที่นี่


  



รายชื่อนักแสดง

 

จางหานวิ้น
รับบท หยวนชิงสั่ว / ตวนมู่เหลียน
(นักแสดง / นักร้ง ชาวจีน)


 

เผิงก้วนอิ
รับบท วี่เหวินยง (โจวอู่ตี้)
(นักแสดง ชาวจีน)


 

เฉินอี้
รับบท เกาฉางกง
(นักแสดง / นักร้ง ชาวไต้หวัน)


 

เถียนลี่
รับบท จื่เม่ย
(นักแสดง / นางแบบ / ผู้ดำเนินรายการ ชาวไต้หวัน)


 

หลินเหวยเฉิน
รับบท วี่เหวินฮู่
(นักแสดง / ผู้ดำเนินรายการ ชาวฮ่งกง)


 

หัวเจียว
รับบท เหยียนหว่าน
(นักแสดง ชาวจีน)


 

หวังเจี๋ยซี
รับบท เจิ้งลั่ววิ๋น (ญาติผู้น้งขงหูลี่ว์กวง)
(นักแสดง ชาวจีน)

*** เสียชีวิตเมื่วันที่ 9 สิงหาคม 2558 จากโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) ขณะอยู่ในวัยเพียง 25 ปี ละครเรื่งนี้เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายขงเธอ ***


 

จางจื่เหวิน
รับบท หูลี่ว์กวง (ลูกพี่ลูกน้องของเหยียนหว่าน)
(นักแสดง / นักร้ง ชาวจีน)


 

เสิ่นเจี้ยนหง
รับบท วี่เหวินวี้ (โจวหมิงตี้)
(นักแสดง / นักร้ง ชาวไต้หวัน)


 

หลิวซ่วยเหลียง
รับบท จูเก่อู๋เสวี่ย
(นักแสดง ชาวจีน)

"จูเก่อู๋เสวี่ย" เป็นเจ้าเมืงเสี่ยวชุน และหนึ่งในสี่ผู้พิทักษ์วังเทียนหลัวตี้ โดยประจำตำแหน่ง "ชิงหลง" (หรือ "มังกรฟ้า" - หนึ่งในสัตว์เทพทั้งสี่ที่ปกครองทิศตะวันออก) เขามีกำลังทหารนับแสนนายอยู่ในมือและเป็นชนชั้นสูงของราชวงศ์เป่ยโจว แต่ความจริงแล้วเขาเป็นเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์เป่ยฉีที่ถูกส่งมาเป็นผู้พิทักษ์วังเทียนหลัวตี้แทนลูกชายแท้ๆ  ของอดีตผู้พิทักษ์ชิงหลง นอกจากนี้เขายังมีสัญญาหมั้นกับชิงสั่วตั้งแต่สมัยเด็กๆ อีกด้วย


 

จางเสี่ยวเฉิน
รับบท เซียงอู๋เฉิน (มีหลายหน้า)
(นักแสดง / นักร้ง / นางแบบ ชาวจีน)

"เซียงอู๋เฉิน" เป็นเพื่นขวี่เหวินยง และหนึ่งในสี่ผู้พิทักษ์วังเทียนหลัวตี้ โดยประจำตำแหน่ง "จูเชว่"  (หรื "หงส์แดง" - หนึ่งในสัตว์เทพทั้งสี่ที่ปกครงทิศใต้) เขาเป็นาจารย์ขเหยียนหว่าน มีความสามารถในการแปลงโฉมจึงปรากฏตัวได้หลายหน้า (ใบหน้าที่แท้จริงเสียโฉมจากการถูกไฟลวกสมัยยังเด็ก)


 

ซุนจื้เสียง
รับบท เซียงอู๋เฉิน (มีหลายหน้า)
(นักแสดง ชาวจีน)


 

จ้าวฉิน
รับบท เมี่ยวอู๋อิ
(นักแสดง ชาวจีน)

"เมี่ยวอู๋อิน" เป็นหนึ่งในสี่ผู้พิทักษ์วังเทียนหลัวตี้ โดยประจำตำแหน่ง "ไป๋หู่"  (หรื "เสืขาว" - หนึ่งในสัตว์เทพทั้งสี่ที่ปกครงทิศตะวันตก) เธอเป็นคนเลือดเย็นและเป็นยอดฝีมือ ชอบทำลายความสัมพันธ์ของคู่รัก และฝันอยากครอบครองวังเทียนหลัวตี้


 

ถังวี๋เหมิง
รับบท เถาฮั
(นักแสดง ชาวจีน)

"เถาฮัว" เป็นลูกศิษย์ขงจื่เม่ย ทั้งยังทำหน้าที่ผู้พิทักษ์วังเทียนหลัวตี้ในนามจื่เม่ย จึงมักปรากฏตัวในฐานะผู้พิทักษ์ "เสวียนอู่" (เต่าดำ) เธยดูแลและปกป้งชิงสั่วเหมืนเป็นพี่สาว ทั้งยังหลงรักเซียงอู๋เฉินแต่ไม่สมหวังในความรัก


 

ฟู่อิ่
รับบท าสืน่างเ
(นักแสดง / นักร้ง ชาวฮ่งกง)


 

เหรุ่นตง
รับบท อู๋หมิงเช่
(นักแสดง / นักร้ง / นักแต่งเพลง / ผู้กำกับ / โปรดิวเซร์ ชาวไต้หวัน)




*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา