กำกับ: ลี ชางมิน, คิม ซังโฮ
เขียนบท: คิม วอนซอก (ผู้เขียนบท (ร่วม) "ชีวิตเพื่อชาติ รักนี้เพื่อเธอ")
แนวละคร: แอคชั่น, ระทึกขวัญ, เมโลดราม่า, คอมเมดี้
จำนวนตอน: 16
ออกอากาศ: เกาหลี - 21 เมษายน 2560 - 10 มิถุนายน 2560 ทางเจทีบีซี
ไทย - ทุกวันพุธ-พฤหัส เวลา 22.45-23.45 น. ทางอมรินทร์ทีวี (หมายเลข 34) ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2561 - 7 มิถุนายน 2561
ละคร "สุภาพบุรุษสายลับ (Man to Man)" นำเสนอเรื่องราวของสุดยอดสายลับและพลซุ่มยิง (สไนเปอร์) หน้านิ่ง ที่จำต้องปลอมตัวเป็นบอดี้การ์ดของอดีตสตั๊นท์แมนที่กลายเป็นดาราหนังแอคชั่นและดาวร้ายระดับอินเตอร์ (ซึ่งเอาแต่ใจและหลงตัวเองสุดๆ) หมายปฏิบัติภารกิจลับสุดยอดให้หน่วยข่าวกรองแห่งชาติ
ละครเปิดฉากด้วยเหตุก่อการร้าย... กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติวางกำลังล้อมรถโรงเรียนที่ถูกมือระเบิดพลีชีพคนหนึ่งยึดโดยที่ภายในมีเด็กนักเรียนเต็มคันรถ เพื่อความปลอดภัยของเด็กๆ หัวหน้าทีมจึงสั่งห้ามยิงโดยพลการ แต่ "คิม ซอลอู" ซึ่งเป็นหนึ่งในพลซุ่มยิงที่ประจำอยู่บนดาดฟ้าตึก เห็นภาพจากกล้องสไนเปอร์ว่าคนร้ายซึ่งสวมเสื้อติดระเบิดได้ลากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากที่นั่งแต่เด็กพยายามดิ้นรนต่อสู้ทำให้เกิดการยื้อยุด เมื่อเห็นว่าคนร้ายซึ่งกำลังหงุดหงิดและคลุ้มคลั่งทั้งยังถือปุ่มกดระเบิดเอาไว้ในมือ (แต่หัวหน้าทีมซึ่งไม่เห็นเหตุการณ์ภายในรถยังคงย้ำให้สแตนด์บาย) ซอลอูจึงถอดหูฟังออกแล้วคว้าปืนวิ่งตรงไปยังจุดที่ใกล้รถโรงเรียนที่สุด ก่อนกระโดดลงมาทางด้านล่างแล้วเล็งปืนไปที่หน้าผากของคนร้าย จากนั้นก็ลั่นไกสังหารก่อนที่คนร้ายจะกดปุ่มระเบิดแบบฉิวเฉียด แม้จะถูกจับฐานขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา แต่ซอลอูไม่สะทกสะท้านและหันไปขยิบตาให้เด็กหญิงซึ่งเป็นหนึ่งในหลายชีวิตที่เขาช่วยเอาไว้
ในเวลาต่อมาซอลอูได้เข้าสู่ขบวนการซักถามของสำนักข่าวกรองแห่งชาติเกาหลีใต้ เมื่อถูกถามชื่อเขาตอบว่าตนชื่อ "คิม ซอลอู" ครั้นพอถูกถามอายุเขากลับตอบหน้าตาเฉยว่าตนเกิดปี ค.ศ. 1609 อายุ 409 ปี แถมเครื่องจับเท็จยังระบุว่าเขาพูดความจริงอีกต่างหาก เจ้าหน้าที่นึกสนุกจึงถามซอลอูว่ามีแฟนไหม ซอลอูยิ้มแล้วตอบว่า "ผมรัก...คุณ" ซึ่งเครื่องจับเท็จยังคงระบุว่าเขาพูดความจริงอีกเช่นกัน "ลี ดงฮยอน" (อดีตสายลับหน่วยข่าวกรอง ปัจจุบันผันตัวมาเป็นอัยการแต่ยังคงช่วยงานหน่วยข่าวกรองอย่างลับๆ) กับ "จาง แทโฮ" (หัวหน้าหน่วยข่าวกรอง) ซึ่งยืนสังเกตการณ์อยู่ทางด้านนอกเห็นดังนั้นก็รู้สึกทึ่ง ดงฮยอนเชื่อมั่นในสัญชาตญาณว่าตนเลือกคนไม่ผิด หัวหน้าจางเตือนว่าแม้ซอลอูจะเก่งแต่ก็เป็นบุคคลอันตราย ดงฮยอนเลยชี้ว่าเพราะอย่างนี้ซอลอูถึงมีประโยชน์ต่องานของพวกตน
ละครเปิดฉากด้วยเหตุก่อการร้าย... กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติวางกำลังล้อมรถโรงเรียนที่ถูกมือระเบิดพลีชีพคนหนึ่งยึดโดยที่ภายในมีเด็กนักเรียนเต็มคันรถ เพื่อความปลอดภัยของเด็กๆ หัวหน้าทีมจึงสั่งห้ามยิงโดยพลการ แต่ "คิม ซอลอู" ซึ่งเป็นหนึ่งในพลซุ่มยิงที่ประจำอยู่บนดาดฟ้าตึก เห็นภาพจากกล้องสไนเปอร์ว่าคนร้ายซึ่งสวมเสื้อติดระเบิดได้ลากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากที่นั่งแต่เด็กพยายามดิ้นรนต่อสู้ทำให้เกิดการยื้อยุด เมื่อเห็นว่าคนร้ายซึ่งกำลังหงุดหงิดและคลุ้มคลั่งทั้งยังถือปุ่มกดระเบิดเอาไว้ในมือ (แต่หัวหน้าทีมซึ่งไม่เห็นเหตุการณ์ภายในรถยังคงย้ำให้สแตนด์บาย) ซอลอูจึงถอดหูฟังออกแล้วคว้าปืนวิ่งตรงไปยังจุดที่ใกล้รถโรงเรียนที่สุด ก่อนกระโดดลงมาทางด้านล่างแล้วเล็งปืนไปที่หน้าผากของคนร้าย จากนั้นก็ลั่นไกสังหารก่อนที่คนร้ายจะกดปุ่มระเบิดแบบฉิวเฉียด แม้จะถูกจับฐานขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา แต่ซอลอูไม่สะทกสะท้านและหันไปขยิบตาให้เด็กหญิงซึ่งเป็นหนึ่งในหลายชีวิตที่เขาช่วยเอาไว้
ในเวลาต่อมาซอลอูได้เข้าสู่ขบวนการซักถามของสำนักข่าวกรองแห่งชาติเกาหลีใต้ เมื่อถูกถามชื่อเขาตอบว่าตนชื่อ "คิม ซอลอู" ครั้นพอถูกถามอายุเขากลับตอบหน้าตาเฉยว่าตนเกิดปี ค.ศ. 1609 อายุ 409 ปี แถมเครื่องจับเท็จยังระบุว่าเขาพูดความจริงอีกต่างหาก เจ้าหน้าที่นึกสนุกจึงถามซอลอูว่ามีแฟนไหม ซอลอูยิ้มแล้วตอบว่า "ผมรัก...คุณ" ซึ่งเครื่องจับเท็จยังคงระบุว่าเขาพูดความจริงอีกเช่นกัน "ลี ดงฮยอน" (อดีตสายลับหน่วยข่าวกรอง ปัจจุบันผันตัวมาเป็นอัยการแต่ยังคงช่วยงานหน่วยข่าวกรองอย่างลับๆ) กับ "จาง แทโฮ" (หัวหน้าหน่วยข่าวกรอง) ซึ่งยืนสังเกตการณ์อยู่ทางด้านนอกเห็นดังนั้นก็รู้สึกทึ่ง ดงฮยอนเชื่อมั่นในสัญชาตญาณว่าตนเลือกคนไม่ผิด หัวหน้าจางเตือนว่าแม้ซอลอูจะเก่งแต่ก็เป็นบุคคลอันตราย ดงฮยอนเลยชี้ว่าเพราะอย่างนี้ซอลอูถึงมีประโยชน์ต่องานของพวกตน
หลังเสร็จสิ้นขบวนการซักถาม ดงฮยอนอธิบายให้ซอลอูฟังว่าสายลับในเกาหลีใต้แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. สายขาว คือ สายลับที่ทำภารกิจอย่างเป็นทางการ เปิดเผย และใช้ชื่อจริง 2. สายดำ คือ สายลับที่ทำงานโดยไม่เปิดเผยภารกิจและตัวตน 3. สายลับผี คือ สายลับที่ปฏิบัติภารกิจแบบลับสุดยอด ไร้ตัวตน (ต้องปลอมตัว) และต้องทำงานอย่างสุขุมรอบคอบ ดงฮยอนอยากให้ซอลอูเป็นสายลับผีที่ทำงานในระดับสากล ซอลอูตอบตกลงทันทีทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาทำเหมือนไม่สนใจฟัง ดงฮยอนจึงขอให้คำแนะนำเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายว่า "อย่าไว้ใจใคร" ซอลอูกล่าวว่าขนาดตัวเองตนยังไม่ไว้ใจ ดงฮยอนจึงยกนิ้วโป้งให้อย่างชื่นชม
หลังจากนั้นซอลอูก็ถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจในหลายประเทศแถบยุโรปโดยปลอมแปลงชื่อและตัวตน นับตั้งแต่การเป็นบาทหลวงที่โบสถ์แห่งหนึ่งในประเทศอิตาลี โดยใช้ชื่อ "จูเลี่ยน เฟอร์นานเดส มาร์ติเนซ" เป็นชาวบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา หลังจากนั้นจึงถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจที่เยอรมนีในฐานะชาวสโลเวเนีย หลังได้รับข้อมูลของเป้าหมายที่มีชื่อว่า "การ์โบ ลีเบิร์ต" วัย 65 ปี เป็นชาวเมืองบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ตำแหน่งหัวหน้ามาเฟียและประธานบริษัท จีบี คนสตรัคชั่น มีลูกสาววัย 21 ปี ชื่อแอนนา มาเรีย (แอนนา ลีเบิร์ต) กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยในบูดาเปสต์ ซอลอูจึงเดินทางจากฝรั่งเศสไปฮังการีโดยใช้ชื่อในพาสปอร์ตว่า "เจมี่ ลูคัส" (สัญชาติอเมริกัน)
เพื่อตีสนิทกับลูกสาวเป้าหมาย ซอลอูจึงปลอมตัวเป็นศัลยแพทย์ขององค์กรสาธารณกุศล (แพทย์อาสา) และได้เป็นผู้บรรยายในคลาสของแอนนา เขาถามเธอเป็นภาษาอังกฤษว่าหากเธอทำงานด้านการตลาดให้กับองค์กรบรรเทาทุกข์เธอจะเลือกใช้ภาพใด ระหว่างภาพเด็กบาดเจ็บที่สะท้อนความจริงอันแสนโหดร้ายและไร้ซึ่งความหวัง กับภาพที่เปี่ยมไปด้วยความฝันและความหวัง แอนนาเลือกใช้ภาพอันน่าเศร้าของเด็กเพื่อให้คนสงสารและเห็นใจจะได้ช่วยกันบริจาคเงินเยอะๆ ซอลอูจึงเดินไปหาแอนนาที่โต๊ะพลางถามว่าหากเธอเลือกใช้ภาพแรงๆ หวังดูดเงินบริจาค แล้วครั้งต่อไปเธอไม่ยิ่งต้องใช้ภาพที่แรงขึ้นเรื่อยๆ หรือ (เพราะคนเห็นภาพแรกจนเริ่มคุ้นชินจึงรู้สึกสะเทือนใจน้อยลง) แอนนาตอบว่าถ้าจำเป็นก็ต้องทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการตลาด
ซอลอูถามต่อว่า เธอคิดว่าสิ่งที่ตนเองเลือกถูกต้องตามหลักจริยธรรมแล้วหรือ ถ้าหากเด็กคนนั้นเป็นคนในครอบครัวของเธอๆ จะตัดสินใจเช่นนั้นไหม ซอลอูเรียกแอนนาว่า "แอนนา ลีเบิร์ต" ทำให้แอนนารู้สึกประหลาดใจเพราะนามสกุลเธอถือเป็นความลับและน้อยคนนักที่จะรู้ความจริงในข้อนี้ (ทุกคนรู้จักเธอในชื่อ "แอนนา มาเรีย") เธอกำลังจะอ้าปากถามแต่ซอลอูชิงหันหลังกลับและบรรยายให้นักศึกษาฟังว่าการช่วยเหลือใครสักคนเป็นเรื่องซับซ้อนและละเอียดอ่อนกว่าที่ทุกคนคิด ซ้ำยังมีเรื่องยุ่งยากให้ตัดสินใจลำบากเสมอ แอนนารู้สึกคาใจจึงดักรอซอลอูเพื่อถามว่าพวกตนเคยพบและรู้จักกันหรือไม่ เมื่อซอลอูปฏิเสธแอนนาจึงสงสัยว่าเขารู้นามสกุลจริงของเธอได้อย่างไร เพราะแม้แต่ศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยยังไม่มีใครรู้
หลังจากนั้นซอลอูกับแอนนาก็คบกันในฐานะคู่รัก (ทั้งยังสวมแหวนคู่อีกด้วย) ซอลอูกล่าวกับคนดูว่า ทุกๆ ภารกิจมักมีผู้หญิงอยู่เบื้องหลังความสำเร็จเสมอ ความรักจึงเป็นทั้งกลยุทธและกลลวงที่จำเป็นสำหรับสายลับ แต่เวลาอยู่กับผู้หญิงที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งรักตนมักรู้สึกเหงาและในใจว่างเปล่า ไม่เว้นแม้กระทั่งแอนนาซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวและแก้วตาดวงใจของหัวหน้าแก๊งมาเฟียอย่าง "การ์โบ" (ซึ่งเป็นอดีตตำรวจลับในยุคเผด็จการ) ในที่สุดซอลอูก็ได้พบการ์โบพ่อของแอนนาสมใจ การ์โบแกล้งพูดคุย (ภาษาอังกฤษ) กับซอลอูด้วยสีหน้ายิ้มแย้มต่อหน้าลูกสาวที่นั่งดูอยู่ห่างๆ โดยเหน็บซอลอู (ซึ่งปลอมตัวเป็นศัลยแพทย์) ว่า ศัลยแพทย์เกาหลีฝีมือดีเพราะคุ้นเคยกับการใช้ตะเกียบ จากนั้นก็พูดเหยียดเชื้อชาติเป็นภาษาฮังกาเรียนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า ชนชาติที่ต่ำต้อยมักมีความสามารถพิเศษในด้านร่างกาย (มากกว่าสติปัญญา) ซอลอูจึงสวนกลับเป็นภาษาฮังกาเรียนว่า "จะว่าไปแล้วก็เช่นเดียวกับพวกที่เป็นตำรวจลับ" การ์โบนึกไม่ถึงว่าซอลอูพูดภาษาฮังกาเรียนได้ ซ้ำยังล่วงรู้ความลับของตน เขาจึงสงสัยว่าซอลอูเป็นใครกันแน่ ซอลอูหันไปมองแอนนาซึ่งนั่งสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ก่อนกล่าวแกมข่มขู่ว่าอย่าให้แอนนารู้เรื่องนี้เลยจะดีกว่า เพราะตนไม่อยากให้คนที่ตนรักเจ็บปวดใจ การ์โบได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโกรธ
ซอลอูโทรฯ รายงานความคืบหน้าให้ดงฮยอนฟัง และฟันธงว่าการ์โบไม่มีทางอยู่เฉยแน่หลังพบว่าตนรู้ความลับของเขา เขาจะต้องเขี่ยตนให้พ้นจากชีวิตลูกสาวตามสไตล์ตำรวจลับอย่างแน่นอน ดงฮยอนไม่มั่นใจว่าการ์โบจะเคลื่อนไหวในแบบที่พวกตนหวัง ซอลอูจึงชี้ว่าคนเราใช่ว่าจะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ เมื่อซอลอูรู้ตัวว่าถูกคนของการ์โบสะกดรอยตามจึงขอวางสายโดยบอกว่าตนมีแขก หากกลับมาแล้วตนจะโทรฯ หาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าซอลอูยอมจำนนง่ายๆ โดยที่พวกตนไม่ต้องออกแรง สมุนของการ์โบก็รู้สึกแปลกใจ ครั้นเห็นว่ายังมีชายท่าทางเอาเรื่องอีกสองคนอยู่ทางด้านหลังตน ซอลอูก็บ่นเป็นภาษาเกาหลีด้วยความผิดหวังว่า "ชั้นตั้งใจว่าจะไปด้วยแต่โดยดี แต่ดูเหมือนพวกนายจะไม่ใจดีขนาดนั้น" ในที่สุดซอลอูก็ถูกช็อตด้วยแท่งช็อตไฟฟ้าจนหมดสติและถูกจับตัวไป
อีกด้านหนึ่งในเกาหลี นักแสดงชื่อดัง "ยอ อุนกวาง" ได้ไปออกรายการทีวีเพื่อโปรโมทภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่องใหม่ที่เขาร่วมแสดงเป็นจอมวายร้าย เมื่อผู้ดำเนินรายการสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่อง "กัปตันไอรอน 2 : เดอะรีเทิร์น ออฟ ดาร์ค เดธ" อุนกวางจึงปฏิเสธโดยบอกว่าสัญญาที่ตนทำกับทางฮอลลีวู้ดค่อนข้างเคร่งครัดเรื่องห้ามสปอยล์เนื้อหา ผู้ดำเนินรายการจึงหันมาสอบถามในประเด็นที่เขากลายเป็นดาราดังระดับอินเตอร์หลังร่วมแสดงเป็น "ซัวเจ๋ง" (ชาอู้จิ้ง) ในภาพยนตร์จีนสามมิติเรื่อง "ไซอิ๋ว" ซึ่งติดอันดับหนังทำเงินบ็อกซ์ออฟฟิศ และมีหลายคนคิดว่าที่เขาประสบความสำเร็จเป็นเพราะโชคช่วย อุนกวางจึงชี้ว่าที่ตนมีวันนี้เป็นเพราะความสามารถล้วนๆ แต่อีกส่วนอาจเป็นเพราะเอเจนซี่ของตนและ "ผู้จัดการชา" ("ชา โดฮา") พูดจบเขาก็หลิ่วตาให้กล้อง โดฮาได้ยินดังนั้นก็กลั้นความปลาบปลื้มเอาไว้ไม่อยู่ เธอจึงสลัดมาดผู้จัดการดาราแล้วแอบย่องไปในมุมที่ลับตาคนเพื่อปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริงออกมา โดยการกรี๊ดแบบเก็บเสียงและเต้นรำอย่างมีความสุข (ก่อนหน้านี้เธอเคยเป็นแฟนคลับตัวยงของอุนกวาง)
ตัดกลับไปที่เมืองบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ซอลอูถูกจับล่ามโซ่ในห้องทรมานของคุกลับระหว่างที่หมดสติ เมื่อรู้สึกตัวเขาก็ถูกสั่งให้สวมชุดนักโทษ ขณะที่ซอลอูกำลังเดินสำรวจสถานที่ อยู่ๆ ก็มีนักโทษขาใหญ่พาคนเจ็บที่โดนชกจนดั้งจมูกหักมาประกาศศักดา โดยบอกให้ซอลอูช่วยศัลยกรรมจมูกให้ชายคนดังกล่าวเพราะได้ยินว่าเขาเป็นหมอ ซอลอูแย้งว่าเขา (ขาใหญ่) ต่างหากที่ควรทำจมูกใหม่ หลังถูกคว้าคอเสื้อซอลอูก็กวาดตามองสมุนนักโทษของชายคนดังกล่าวก่อนแกล้งทำเป็นยอมจำนน ขาใหญ่เห็นดังนั้นก็หัวเราะชอบใจ ซอลอูจึงฉวยโอกาสสั่งสอนโดยนำผ้าขี้ริ้วที่ขาใหญ่ใช้คล้องคอมาเป็นอาวุธ ขาใหญ่เห็นเหล่าสมุนของตนถูกทำร้ายจนสะบักสะบอมไปตามๆ กันก็รู้สึกโกรธจึงวิ่งเข้าหาหมายสั่งสอนซอลอู ซอลอูจึงเตรียมแทงศอกใส่ ขาใหญ่เห็นดังนั้นเลยหยุดกึกพลางเอามือกุมจมูกไว้เพราะไม่อยากทำจมูกใหม่ ซอลอูเห็นว่าแก๊งนักโทษได้รับบทเรียนแล้วจึงเดินจากไป
ที่แท้ภารกิจในบูดาเปสต์ของซอลอูคือการช่วยพา "เปตรอฟ" หนีออกจากคุกลับ ที่เขาแกล้งตีสนิทกับแอนนาและปั่นหัวการ์โบเพราะต้องการให้การ์โบส่งเขามายังคุกลับแห่งนี้ เปตรอฟแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นซอลอูปรากฏตัวต่อหน้า (เขาเรียกซอลอูว่า “K.” ซึ่งเป็นโค้ดเนมของซอลอู) เมื่อซอลอูบอกว่าตนมาที่นี่เพื่อช่วยเปตรอฟแหกคุก เปตรอฟจึงแย้งว่าที่นี่เข้ามาแล้วใช่ว่าจะออกไปได้ง่ายๆ แต่ซอลอูกลับมองว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือการเข้ามาที่นี่ ในเมื่อตนเข้ามาได้แล้วการหลบหนีออกไปจึงง่ายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก
หลังจากนั้นซอลอูกับเปตรอฟก็เริ่มวางแผนแหกคุกอย่างเป็นขั้นตอนนับตั้งแต่การปั๊มและทำกุญแจไปจนถึงการตัดไฟ (ซอลอูทำอุปกรณ์เองทุกอย่าง โดยใช้วัสดุที่พอหาได้) หลังไฟดับและช่วยเปตรอฟออกจากห้องขัง (เดี่ยว) ได้แล้ว ไฟเจ้ากรรมดันมาเร็วเกินคาด ทั้งคู่จึงรีบวิ่งไปขึ้นรถรางขนวัสดุ (แบบเดียวกับที่ใช้ขนแร่ในเหมืองใต้ดิน) ซึ่งเป็นจุดที่เหล่านักโทษถูกใช้แรงงานในช่วงกลางวัน ก่อนหนีต่อทางอุโมงค์ลับตามที่วางแผนเอาไว้ หลังได้รับอิสรภาพซอลอูก็ไปส่งเปตรอฟขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ก่อนจากลาเปตรอฟบอกให้ซอลอูติดต่อตนหากมีโอกาสไปปฏิบัติภารกิจที่รัสเซียแล้วต้องการความช่วยเหลือ ที่แท้เปตรอฟไม่ใช่นักโทษธรรมดา แต่เป็นถึงนายทหารระดับสูงและเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของรัสเซีย
ขณะอยู่ในร้านกาแฟ ซอลอูนั่งดูรายงานข่าวทางมือถือเรื่องที่เปตรอฟเดินทางไปเยือนเกาหลีใต้อย่างเป็นทางการในฐานะตัวแทนกองทัพรัสเซีย เพื่อลงนามความร่วมมือและกระชับความสัมพันธ์ทางการทหารกับกองทัพเกาหลีใต้ เมื่อแอนนามาถึงเขาจึงหยุดดูรายงานข่าว ซอลอูบอกคนดูว่า "การทำหน้าที่สายลับ... วิธีจบภารกิจสำคัญกว่าวิธีที่ใช้ตอนเริ่มต้น" ก่อนที่แอนนาจะเดินมาหาที่โต๊ะ เขาส่งข้อความบอกเธอเป็นภาษาอังกฤษว่า "ผมจะไปเช็คให้แน่ใจก่อนว่าไม่มีคนสะกดรอยตาม ออกไปหาผมทางประตูหลังในอีก 20 นาทีข้างหน้า ผมรักคุณ" ซอลอูนั่งรอแอนนาอยู่ในรถ เมื่อเธอเดินออกมาจากร้านกาแฟเขาก็ส่งยิ้มให้เธอ
ซอลอูบอกคนดูว่า ความรู้สึกเสียใจที่ต้องสูญเสีย (ชายอันเป็นที่รัก) ของหญิงสาวที่ตกอยู่ในห้วงแห่งรักนั้นปลอดภัยยิ่งกว่าเสื้อเกราะ แต่ความโมโหโกธาของผู้หญิงที่ถูกคนรักหักหลังมีอานุภาพร้ายแรงเสียยิ่งกว่าระเบิดเวลา ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดในการยุติความสัมพันธ์ที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือก็คือ 'ความตาย' ทันใดนั้น รถที่ซอลอูนั่งก็ระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวต่อหน้าต่อตาแอนนา แอนนาเห็นแล้วถึงกับเข่าทรุดและร้องไห้โฮ หลังปิดฉากความรักจอมปลอมด้วยการระเบิดรถแล้วซอลอูก็ถอดแหวนคู่รักทิ้ง เป็นอันว่าภารกิจในเมืองบูดาเปสต์ของสายลับ 'K' (ซอลอู) สำเร็จลุล่วงลงด้วยดี
ตัดกลับมาที่เกาหลีใต้ อุนกวางยังคงนอนขี้เซาอยู่บนเตียงถึงแม้ว่านาฬิกาปลุกกว่า 10 เรือนจะดังขึ้นพร้อมกันก็ตาม หัวหน้าทีม "ยาง ซางชิก" (ผู้จัดการ บริษัท ชยูอิง เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ซึ่งเป็นเอเจนซี่ของอุนกวาง) พยายามปลุกอุนกวางโดยบอกว่าสายมากแล้ว แต่อุนกวางไม่ยอมลุกและขอนอนต่ออีกนิด ซางชิกจึงบอกด้วยความเหนื่อยใจว่าถึงออกเดินทางตอนนี้ก็ยังไปกองถ่ายสาย อุนกวางจึงบอกให้ซางชิกขับรถเร็วขึ้นเพื่อเป็นการชดเชย ซางชิกแย้งว่าต่อให้ตนทำเช่นนั้นก็ยังไปสาย 20 นาที ถึงกระนั้นอุนกวางยังคงยืนกรานว่าจะนอนต่ออีก 10 นาที และปัดความรับผิดชอบไปให้ซางชิกโดยบอกให้ซางชิกเหยียบ 150 ก.ม./ช.ม. เพื่อที่ตนจะได้ไม่ไปสาย
แต่ปัญหายังไม่จบเพียงเท่านั้น เมื่ออุนกวางลุกมาทานอาหารเช้าที่ซางชิกเตรียมไว้ให้ (ซึ่งซางชิกตระเวนซื้อมาจากร้านดังทั้งหมด) แล้วพบว่าดีไซน์ของแก้วกาแฟจากร้านดังย่านชองโน (ชองโนคาเฟ่) เปลี่ยนไป เขาจึงรู้สึกสงสัย ซางชิกอธิบายว่าร้านดังกล่าวเพิ่งเปิดสาขาใหม่ในย่านฮันนัม ตนเลยซื้อมาจากที่นั่นเพราะอยู่ใกล้กว่า อุนกวางได้ยินดังนั้นก็วางแก้วลงทันที เขาชี้ว่าตนต้องการดื่มกาแฟชองโนที่ตั้งอยู่ในย่านชองโนเท่านั้น ซางชิกแย้งว่าพวกตนสายมากแล้วและวันนี้อุนกวางก็มีคิวถ่ายหลายฉาก อุนกวางถามซางชิกว่าอยากให้ตนอดมื้อเช้าใช่ไหม จากนั้นก็จาระไนให้ฟังว่าหากตนอดมื้อเช้าจะเกิดผลเสียต่อสุขภาพ หน้าที่การงาน และหนังที่ตนกำลังถ่ายทำอย่างไรบ้าง พูดจบเขาก็ไล่ให้ซางชิกไปซื้อกาแฟมาให้ใหม่
ในที่สุดอุนกวางก็มาถึงกองถ่ายสายโด่งทำให้เจ้าหน้าที่กองถ่ายรู้สึกหงุดหงิด ซางชิกรีบเข้าไปขอโทษแต่ตัวต้นเหตุอย่างอุนกวางกลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว ซ้ำยังอ้างว่าเป็นความผิดของซางชิกที่ชอบขับรถหลงทางเป็นประจำ อุนกวางกดหัวซางชิกให้โค้งคำนับและบังคับให้ขอโทษเจ้าหน้าที่กองถ่ายด้วยความจริงใจ จากนั้นก็บอกเจ้าหน้าที่ว่าตนจะชดเชยเวลาที่เสียไปด้วยการตั้งใจทำงานไม่ให้มีข้อผิดพลาดเพื่อจะได้ถ่ายเทคเดียวผ่าน เจ้าหน้าที่กองถ่ายได้ยินดังนั้นก็รู้สึกดีขึ้น อุนกวางตบหน้าซางชิกแบบหยอกๆ ก่อนเดินกอดคอเจ้าหน้าที่เข้าไปข้างใน สองสาว "ซน จองฮเย" (เมคอัพ อาร์ทิสต์) กับ "ชเว ซอลอา" (สไตลิสต์) ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัท ชยูอิง เอ็นเตอร์เทนเมนท์ เห็นดังนั้นจึงพากันเดินมาตบไหล่ให้กำลังใจซางชิก อยู่ๆ อุนกวางก็หันกลับมาเย้ยซางชิกเรื่องกาแฟชองโนก่อนแลบลิ้นและยิ้มให้ แต่ซางชิกไม่ขำด้วย
ขณะที่อุนกวางกำลังซ้อมคิวบู๊กับเหล่าสตั๊นท์อย่างตั้งใจและไร้ที่ติ ซางชิกก็เริ่มจัดเตรียมอาหารว่างเอาไว้ให้เขาอย่างตั้งใจเช่นกัน เมื่อโดฮานำน้ำมะนาวออแกนิคจากร้านชองดัมมาให้ ซางชิกจึงถามย้ำว่าเธอซื้อน้ำมะนาวชองดัมจากสาขาชองดัม ไม่ใช่ยออีโดใช่ไหม โดฮาฟังไม่ถนัดเพราะมัวแต่มองอุนกวางซ้อมคิวบู๊อย่างชื่นชมจึงถามซางชิกว่าเขาพูดพล่ามอะไร ซางชิกตัดบทว่าตนก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้าอะไรเช่นกัน โดฮาชื่นชมอุนกวางอย่างออกนอกหน้าโดยเพ้อว่าเขาทั้งล่ำและหุ่นดี มองยังไงก็ดูดีไปหมด เธอจึงคว้ากล้องมาถ่ายรูปเขา อุนกวางเห็นดังนั้นจึงขยิบตาและยิ้มให้กล้องทั้งที่กำลังบู๊กับเหล่าสตั๊นท์แมน และนั่นก็ยิ่งทำให้โดฮาหลงหนักขึ้น ทันใดนั้นก็มีสตั๊นท์แมนคนหนึ่งผิดคิวจึงเตะอุนกวางเข้าที่ไหล่อย่างจังจนอุนกวางเสียหลักล้มลง สตั๊นท์แมนคนดังกล่าวรีบเข้ามาขอโทษแต่ไม่วายถูกผู้กำกับคิวบู๊ตวาดเสียงดังลั่น อุนกวางเคยเป็นสตั๊นท์แมนมาก่อนจึงเข้าใจดี เขาบอกผู้กำกับคิวบู๊ว่าไม่เป็นไรและโม้ว่าตนบล็อกเก่ง ทั้งยังให้กำลังใจสตั๊นท์แมนคนดังกล่าวอีกด้วย
โดฮามองอุนกวางด้วยสายตาชื่นชมพลางกล่าวว่าจะมีใครเพอร์เฟคได้ขนาดนี้ ซางชิกแย้งว่าอุนกวางเฟค (เสแสร้ง) ได้เพอร์เฟคมากๆ โดฮาแย้งกลับแบบเพ้อๆ ว่าอุนกวางก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ซางชิกสวนทันควันว่าอุนกวางเป็นศัตรูของมวลมนุษยชาติมากกว่า ไม่แน่ว่าบางทีเขาอาจเป็นมนุษย์ต่างดาว โดฮาได้ยินดังนั้นจึงเปรยว่า "ยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว" (ชื่อละคร "My Love From The Star") ซางชิกจึงถามโดฮาว่าเธอกำลังเพ้อถึง "คิม ซูฮยอน" (พระเอกเรื่องยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว) หรืออุนกวางกันแน่ เมื่อโดฮาตอบว่าอุนกวาง ซางชิกจึงถามต่อว่าระหว่างอุนกวางกับเงินล้านเธอจะเลือกอะไร โดฮาตอบทันควันว่าเงินล้าน ซางชิกโล่งใจที่อย่างน้อยโดฮาก็ยังไม่ถึงขั้นเกินเยียวยา โดฮามองหน้าซางชิกแล้วชี้ว่านั่นเป็นเพราะอุนกวางชอบเงิน
ที่โรงเรียนประถม (ของรัฐ) แห่งหนึ่ง กองทัพนักข่าวมารอสัมภาษณ์ "โม ซึงแจ" (ทายาทรุ่นที่สามของกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ "ซงซาน") เพื่อสอบถามถึงเหตุผลที่เขาไม่ร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวัน 10 องค์กรธุรกิจชั้นนำที่บลูเฮาส์ (ทำเนียบ) แต่กลับตรงมาที่โรงเรียนลูกแทน ซึงแจกล่าวว่าสัญญาที่ตนเคยให้ไว้กับลูกชายสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เมื่อนักข่าวถามว่าทำไมเขาไม่ให้ลูกชายเรียนที่โรงเรียนเอกชน ซึงแจตอบว่าตนอยากให้ลูกชายได้เรียนรู้รอบด้าน ตนจะเลี้ยงให้เขาเป็นเด็กที่รู้ราคาค่าโดยสารรถเมล์ และรู้จักแบ่งปันกับคนอื่น นักข่าวสงสัยว่าเขากำลังปูทางเพื่อลงเล่นการเมืองหรือไม่ ซึงแจปฏิเสธโดยบอกว่าตนมาที่นี่ในฐานะพ่อคนหนึ่ง เมื่อ "ซง มีอึน" (ภรรยาของซึงแจ และอดีตมีสโคเรีย) มาถึง ก็ถูกนักข่าวรุมถ่ายรูป มีอึนกระซิบเตือนซึงแจว่าอย่ายิ้มมากเกินไป และถ้า "โม แจยอง" (ลูกชาย) ออกมาเมื่อไหร่ให้อุ้มอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อแจยองวิ่งมาหาซึงแจก็รีบอุ้ม ขณะที่เด็กน้อยชูสองนิ้วและยิ้มให้กล้องอย่างรู้งาน
"ส.ส. คิม" มาพบซึงแจที่ห้องทำงานบนตึกซงซานกรุ๊ป ซึงแจไม่พอใจที่ส.ส. คิมยังคงยืนกรานว่าจะลงเลือกตั้งนายกเทศมนตรีประจำกรุงโซล จึงถามว่าคิดจะเป็นศัตรูกับตนและซงซานงั้นหรือ ส.ส. คิมกล่าวว่าคนอย่างซึงแจไม่เหมาะที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับแวดวงการเมือง ซึงแจจึงเตือนว่าสมัยที่ปู่ของตนยังอยู่ ส.ส.คิมนำกล่อง (สินบน) จากห้องนี้ติดมือกลับบ้านบ่อยครั้ง ครั้นปู่ตนตายส.ส.คิมเลยฝังความทรงจำในเรื่องนี้ไปด้วยหรือ ส.ส.คิมถามกลับว่าซึงแจมีหลักฐานมายืนยันว่าตนรับสินบนหรือไม่ เขาชี้ว่าทั้งหมดที่ตนเคยทำในห้องนี้คือการรับของกินเล็กๆ น้อยๆ ที่ปู่ซึงแจเตรียมไว้ให้เท่านั้น ซึงแจกล่าวว่าถ้าเช่นนั้นส.ส.คิมก็ควรรับของกินเล็กๆ น้อยๆ จากตนด้วยเช่นกัน พูดจบซึงแจก็นำกระเป๋าเอกสารที่ภายในเต็มไปด้วยเงินมาวางตรงหน้าส.ส.คิม พลางกล่าวว่าสิ่งนี้น่าจะทำให้ส.ส.คิมสมหวังมากกว่า เพราะถ้าหากลงเลือกตั้งอย่างมากก็ได้คะแนนเป็นอันดับสามอยู่ดี เมื่อซึงแจเอ่ยถึงหลานสาวสุดเลิฟของส.ส.คิมซึ่งกำลังเรียนอยู่ที่ชิคาโก ส.ส.คิมจึงถามซึงแจว่าเขากำลังข่มขู่ตนหรือ ซึงแจชี้ว่านี่เป็นของขวัญสำหรับหลานสาวส.ส.คิมด้วย
ส.ส.คิมเห็นเงินมากมายวางอยู่ตรงหน้าก็เกิดความโลภ จึงรับปากว่าจะถอนตัวจากการเลือกตั้งโดยอ้างว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อน ซึงแจหัวเราะอย่างสมเพชก่อนลุกขึ้นมาตบหน้าส.ส.คิม (ซึ่งกำลังลูบคลำเงิน) เต็มแรง จากนั้นก็ประณามว่าส.ส.คิมไม่มีสปิริตและเป็นหมูโสโครก (ตะกละและน่าขยะแขยง) ทั้งยังเปิดภาพจากกล้องวงจรปิดที่ซ่อนอยู่ภายในห้องให้ดูด้วยว่าทุกคำพูดและการกระทำของส.ส.คิมได้ถูกบันทึกเป็นหลักฐานไว้หมดแล้ว ส.ส.คิมได้แต่อึ้งพูดไม่ออกเพราะนึกไม่ถึงว่าซึงแจจะมาไม้นี้ ซึงแจไม่คิดหว่านเงินให้ใครง่ายๆ เหมือนปู่จึงบอก ส.ส.คิมว่าในเมื่อมีราชาคนใหม่ก็ต้องมีกฏใหม่เช่นเดียวกัน
ณ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ หัวหน้าจางรายงาน "ผอ.อิม" ("อิม ซุกฮุน") ด้วยสีหน้ากังวลเรื่องที่พวกตนขาดการติดต่อกับสายลับผี (สายลับที่ปฏิบัติภารกิจแบบลับสุดยอดและไร้ตัวตน) ที่ใช้โค้ดเนมว่า "Y" เขาคาดว่าสายลับคนดังกล่าวน่าจะถูกกำจัดแล้ว ผอ.อิมถามหัวหน้าจางว่าภารกิจและตัวตนของสายลับ "Y" ถูกเปิดเผยแล้วหรือ หัวหน้าจางกล่าวว่า "Y" ทำภารกิจลับได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาสามารถแฝงตัวเข้าไปถึงวงในและได้รับความไว้วางใจจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทุนลับ (เงินทุนที่สำรองไว้สำหรับเรื่องไม่โปร่งใส โดยเฉพาะการติดสินบนเจ้าหน้าที่ และสินบนทางการเมือง) ของประธานโมแห่งซงซาน (ปู่ของซึงแจ) ถึงกระนั้นก็ยังถูกจับได้อยู่ดี ผอ.อิมคาดว่าน่าจะมีเกลือเป็นหนอนในหมู่พวกตน ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนในหน่วยลับของส.ส. "แพค อินซู" (ซึ่งทำงานให้สำนักข่าวกรอง) หัวหน้าจางกล่าวว่าพวกตนไม่อาจไว้ใจคนในได้สักคน ดังนั้นตนจะเรียกสายลับระดับสากลมาทำงานให้แทน
ที่บาร์โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองบูดาเปสต์ ขณะที่ซอลอูกำลังนั่งรอเครื่องดื่มได้มีหญิงสาวสวมชุดเปิดหลังมานั่งข้างๆ เธอจงใจหันหลังให้ซอลอูเห็นรอยสักซึ่งมีหมายเลข “0906” อยู่ด้านบน เมื่อพนักงานนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟเขาก็พบหมายเลขดังกล่าวบนกระดาษรองแก้วเช่นกัน ครั้นพอกลับเข้าห้องพักหมายเลขดังกล่าวยังตามมาหลอกหลอนบนผนังกระจก ซอลอูเห็นแล้วได้แต่ถอนใจเพราะรู้ตัวว่าเวลาพักผ่อนกำลังจะหมดลง ทันใดนั้นเสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น เมื่อเปิดประตูแล้วพบว่าคนที่มาหาคือดงฮยอนซึ่งปลอมตัวเป็นพนักงานโรงแรม (แต่ไม่เนียนเอามากๆ) ซอลอูก็ทำหน้าเซ็งเหมือนเด็กโดนขัดใจ พลางบ่นอุบว่ามาทำไมป่านนี้ เขาเห็นดงฮยอนทำตัวเหมือนสายลับเลยยุให้เลิกเป็นอัยการแล้วกลับมาเป็นสายลับตามเดิม ดงฮยอนแย้งว่าหากตนทำเช่นนั้นมีหวังโดนเมียฆ่าตายแน่ ซอลอูเลยถามเข้าประเด็นว่าตามตนมาถึงที่นี่ทำไม ดงฮยอนตอบว่าตนเอาภารกิจมาให้ นับจากนี้ภารกิจของตนคือการติดตามและดูแลการทำงานของซอลอู หรือพูดง่ายๆ ก็คือเป็นผู้บังคับบัญชา
ซอลอูแย้งว่านี่เป็นช่วงเวลาพักผ่อนของตน ดงฮยอนจึงบอกว่านี่เป็นเรื่องด่วน จากนั้นก็ยื่นแท็บเล็ตให้ซอลอูพลางถามว่ารู้รหัสแล้วใช่ไหม ซอลอูตอบทันควันว่าเลขวันเกิดดงฮยอน ที่แท้หมายเลข “0906” คือรหัสพาสเวิร์ดที่ดงฮยอนตั้งขึ้นง่ายๆ ตามวันเกิดของตน ซอลอูโวยว่าป่านนี้พนักงานครึ่งโรงแรมคงรู้กันหมดแล้ว (ก็ดงฮยอนเล่นเขียนไว้จนทั่ว) ซอลอูกดพาสเวิร์ดพลางถามว่า เรื่องด่วนที่ว่าคืออะไร ดงฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าสายลับยูนน่าจะถูกเก็บแล้ว ก่อนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเขาได้ส่งข้อความมาแจ้งเบาะแส ซอลอูรีบเปิดดูข้อความในแท็บเล็ตที่ระบุว่า "ตู้คอนเทนเนอร์ หมายเลข 8675 ท่าเรืออินชอน วันที่ 4 ตุลาคม หาไม้แกะสลัก 3 ชิ้น -Y-" ดงฮยอนชี้ว่าตอนนี้หน่วยข่าวกรองกำลังตามแกะรอยตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าวอยู่ ส่วนหน้าที่ของซอลอูคือการปลอมตัวไปปฏิบัติภารกิจในที่ๆ ไม่มีใครรู้จักเขา และที่นั่นก็คือ...เกาหลีใต้
แต่ปัญหายังไม่จบเพียงเท่านั้น เมื่ออุนกวางลุกมาทานอาหารเช้าที่ซางชิกเตรียมไว้ให้ (ซึ่งซางชิกตระเวนซื้อมาจากร้านดังทั้งหมด) แล้วพบว่าดีไซน์ของแก้วกาแฟจากร้านดังย่านชองโน (ชองโนคาเฟ่) เปลี่ยนไป เขาจึงรู้สึกสงสัย ซางชิกอธิบายว่าร้านดังกล่าวเพิ่งเปิดสาขาใหม่ในย่านฮันนัม ตนเลยซื้อมาจากที่นั่นเพราะอยู่ใกล้กว่า อุนกวางได้ยินดังนั้นก็วางแก้วลงทันที เขาชี้ว่าตนต้องการดื่มกาแฟชองโนที่ตั้งอยู่ในย่านชองโนเท่านั้น ซางชิกแย้งว่าพวกตนสายมากแล้วและวันนี้อุนกวางก็มีคิวถ่ายหลายฉาก อุนกวางถามซางชิกว่าอยากให้ตนอดมื้อเช้าใช่ไหม จากนั้นก็จาระไนให้ฟังว่าหากตนอดมื้อเช้าจะเกิดผลเสียต่อสุขภาพ หน้าที่การงาน และหนังที่ตนกำลังถ่ายทำอย่างไรบ้าง พูดจบเขาก็ไล่ให้ซางชิกไปซื้อกาแฟมาให้ใหม่
ขณะที่อุนกวางกำลังซ้อมคิวบู๊กับเหล่าสตั๊นท์อย่างตั้งใจและไร้ที่ติ ซางชิกก็เริ่มจัดเตรียมอาหารว่างเอาไว้ให้เขาอย่างตั้งใจเช่นกัน เมื่อโดฮานำน้ำมะนาวออแกนิคจากร้านชองดัมมาให้ ซางชิกจึงถามย้ำว่าเธอซื้อน้ำมะนาวชองดัมจากสาขาชองดัม ไม่ใช่ยออีโดใช่ไหม โดฮาฟังไม่ถนัดเพราะมัวแต่มองอุนกวางซ้อมคิวบู๊อย่างชื่นชมจึงถามซางชิกว่าเขาพูดพล่ามอะไร ซางชิกตัดบทว่าตนก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้าอะไรเช่นกัน โดฮาชื่นชมอุนกวางอย่างออกนอกหน้าโดยเพ้อว่าเขาทั้งล่ำและหุ่นดี มองยังไงก็ดูดีไปหมด เธอจึงคว้ากล้องมาถ่ายรูปเขา อุนกวางเห็นดังนั้นจึงขยิบตาและยิ้มให้กล้องทั้งที่กำลังบู๊กับเหล่าสตั๊นท์แมน และนั่นก็ยิ่งทำให้โดฮาหลงหนักขึ้น ทันใดนั้นก็มีสตั๊นท์แมนคนหนึ่งผิดคิวจึงเตะอุนกวางเข้าที่ไหล่อย่างจังจนอุนกวางเสียหลักล้มลง สตั๊นท์แมนคนดังกล่าวรีบเข้ามาขอโทษแต่ไม่วายถูกผู้กำกับคิวบู๊ตวาดเสียงดังลั่น อุนกวางเคยเป็นสตั๊นท์แมนมาก่อนจึงเข้าใจดี เขาบอกผู้กำกับคิวบู๊ว่าไม่เป็นไรและโม้ว่าตนบล็อกเก่ง ทั้งยังให้กำลังใจสตั๊นท์แมนคนดังกล่าวอีกด้วย
โดฮามองอุนกวางด้วยสายตาชื่นชมพลางกล่าวว่าจะมีใครเพอร์เฟคได้ขนาดนี้ ซางชิกแย้งว่าอุนกวางเฟค (เสแสร้ง) ได้เพอร์เฟคมากๆ โดฮาแย้งกลับแบบเพ้อๆ ว่าอุนกวางก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ซางชิกสวนทันควันว่าอุนกวางเป็นศัตรูของมวลมนุษยชาติมากกว่า ไม่แน่ว่าบางทีเขาอาจเป็นมนุษย์ต่างดาว โดฮาได้ยินดังนั้นจึงเปรยว่า "ยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว" (ชื่อละคร "My Love From The Star") ซางชิกจึงถามโดฮาว่าเธอกำลังเพ้อถึง "คิม ซูฮยอน" (พระเอกเรื่องยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว) หรืออุนกวางกันแน่ เมื่อโดฮาตอบว่าอุนกวาง ซางชิกจึงถามต่อว่าระหว่างอุนกวางกับเงินล้านเธอจะเลือกอะไร โดฮาตอบทันควันว่าเงินล้าน ซางชิกโล่งใจที่อย่างน้อยโดฮาก็ยังไม่ถึงขั้นเกินเยียวยา โดฮามองหน้าซางชิกแล้วชี้ว่านั่นเป็นเพราะอุนกวางชอบเงิน
ที่โรงเรียนประถม (ของรัฐ) แห่งหนึ่ง กองทัพนักข่าวมารอสัมภาษณ์ "โม ซึงแจ" (ทายาทรุ่นที่สามของกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ "ซงซาน") เพื่อสอบถามถึงเหตุผลที่เขาไม่ร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวัน 10 องค์กรธุรกิจชั้นนำที่บลูเฮาส์ (ทำเนียบ) แต่กลับตรงมาที่โรงเรียนลูกแทน ซึงแจกล่าวว่าสัญญาที่ตนเคยให้ไว้กับลูกชายสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เมื่อนักข่าวถามว่าทำไมเขาไม่ให้ลูกชายเรียนที่โรงเรียนเอกชน ซึงแจตอบว่าตนอยากให้ลูกชายได้เรียนรู้รอบด้าน ตนจะเลี้ยงให้เขาเป็นเด็กที่รู้ราคาค่าโดยสารรถเมล์ และรู้จักแบ่งปันกับคนอื่น นักข่าวสงสัยว่าเขากำลังปูทางเพื่อลงเล่นการเมืองหรือไม่ ซึงแจปฏิเสธโดยบอกว่าตนมาที่นี่ในฐานะพ่อคนหนึ่ง เมื่อ "ซง มีอึน" (ภรรยาของซึงแจ และอดีตมีสโคเรีย) มาถึง ก็ถูกนักข่าวรุมถ่ายรูป มีอึนกระซิบเตือนซึงแจว่าอย่ายิ้มมากเกินไป และถ้า "โม แจยอง" (ลูกชาย) ออกมาเมื่อไหร่ให้อุ้มอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อแจยองวิ่งมาหาซึงแจก็รีบอุ้ม ขณะที่เด็กน้อยชูสองนิ้วและยิ้มให้กล้องอย่างรู้งาน
"ส.ส. คิม" มาพบซึงแจที่ห้องทำงานบนตึกซงซานกรุ๊ป ซึงแจไม่พอใจที่ส.ส. คิมยังคงยืนกรานว่าจะลงเลือกตั้งนายกเทศมนตรีประจำกรุงโซล จึงถามว่าคิดจะเป็นศัตรูกับตนและซงซานงั้นหรือ ส.ส. คิมกล่าวว่าคนอย่างซึงแจไม่เหมาะที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับแวดวงการเมือง ซึงแจจึงเตือนว่าสมัยที่ปู่ของตนยังอยู่ ส.ส.คิมนำกล่อง (สินบน) จากห้องนี้ติดมือกลับบ้านบ่อยครั้ง ครั้นปู่ตนตายส.ส.คิมเลยฝังความทรงจำในเรื่องนี้ไปด้วยหรือ ส.ส.คิมถามกลับว่าซึงแจมีหลักฐานมายืนยันว่าตนรับสินบนหรือไม่ เขาชี้ว่าทั้งหมดที่ตนเคยทำในห้องนี้คือการรับของกินเล็กๆ น้อยๆ ที่ปู่ซึงแจเตรียมไว้ให้เท่านั้น ซึงแจกล่าวว่าถ้าเช่นนั้นส.ส.คิมก็ควรรับของกินเล็กๆ น้อยๆ จากตนด้วยเช่นกัน พูดจบซึงแจก็นำกระเป๋าเอกสารที่ภายในเต็มไปด้วยเงินมาวางตรงหน้าส.ส.คิม พลางกล่าวว่าสิ่งนี้น่าจะทำให้ส.ส.คิมสมหวังมากกว่า เพราะถ้าหากลงเลือกตั้งอย่างมากก็ได้คะแนนเป็นอันดับสามอยู่ดี เมื่อซึงแจเอ่ยถึงหลานสาวสุดเลิฟของส.ส.คิมซึ่งกำลังเรียนอยู่ที่ชิคาโก ส.ส.คิมจึงถามซึงแจว่าเขากำลังข่มขู่ตนหรือ ซึงแจชี้ว่านี่เป็นของขวัญสำหรับหลานสาวส.ส.คิมด้วย
ส.ส.คิมเห็นเงินมากมายวางอยู่ตรงหน้าก็เกิดความโลภ จึงรับปากว่าจะถอนตัวจากการเลือกตั้งโดยอ้างว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อน ซึงแจหัวเราะอย่างสมเพชก่อนลุกขึ้นมาตบหน้าส.ส.คิม (ซึ่งกำลังลูบคลำเงิน) เต็มแรง จากนั้นก็ประณามว่าส.ส.คิมไม่มีสปิริตและเป็นหมูโสโครก (ตะกละและน่าขยะแขยง) ทั้งยังเปิดภาพจากกล้องวงจรปิดที่ซ่อนอยู่ภายในห้องให้ดูด้วยว่าทุกคำพูดและการกระทำของส.ส.คิมได้ถูกบันทึกเป็นหลักฐานไว้หมดแล้ว ส.ส.คิมได้แต่อึ้งพูดไม่ออกเพราะนึกไม่ถึงว่าซึงแจจะมาไม้นี้ ซึงแจไม่คิดหว่านเงินให้ใครง่ายๆ เหมือนปู่จึงบอก ส.ส.คิมว่าในเมื่อมีราชาคนใหม่ก็ต้องมีกฏใหม่เช่นเดียวกัน
ณ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ หัวหน้าจางรายงาน "ผอ.อิม" ("อิม ซุกฮุน") ด้วยสีหน้ากังวลเรื่องที่พวกตนขาดการติดต่อกับสายลับผี (สายลับที่ปฏิบัติภารกิจแบบลับสุดยอดและไร้ตัวตน) ที่ใช้โค้ดเนมว่า "Y" เขาคาดว่าสายลับคนดังกล่าวน่าจะถูกกำจัดแล้ว ผอ.อิมถามหัวหน้าจางว่าภารกิจและตัวตนของสายลับ "Y" ถูกเปิดเผยแล้วหรือ หัวหน้าจางกล่าวว่า "Y" ทำภารกิจลับได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาสามารถแฝงตัวเข้าไปถึงวงในและได้รับความไว้วางใจจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทุนลับ (เงินทุนที่สำรองไว้สำหรับเรื่องไม่โปร่งใส โดยเฉพาะการติดสินบนเจ้าหน้าที่ และสินบนทางการเมือง) ของประธานโมแห่งซงซาน (ปู่ของซึงแจ) ถึงกระนั้นก็ยังถูกจับได้อยู่ดี ผอ.อิมคาดว่าน่าจะมีเกลือเป็นหนอนในหมู่พวกตน ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนในหน่วยลับของส.ส. "แพค อินซู" (ซึ่งทำงานให้สำนักข่าวกรอง) หัวหน้าจางกล่าวว่าพวกตนไม่อาจไว้ใจคนในได้สักคน ดังนั้นตนจะเรียกสายลับระดับสากลมาทำงานให้แทน
ที่บาร์โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองบูดาเปสต์ ขณะที่ซอลอูกำลังนั่งรอเครื่องดื่มได้มีหญิงสาวสวมชุดเปิดหลังมานั่งข้างๆ เธอจงใจหันหลังให้ซอลอูเห็นรอยสักซึ่งมีหมายเลข “0906” อยู่ด้านบน เมื่อพนักงานนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟเขาก็พบหมายเลขดังกล่าวบนกระดาษรองแก้วเช่นกัน ครั้นพอกลับเข้าห้องพักหมายเลขดังกล่าวยังตามมาหลอกหลอนบนผนังกระจก ซอลอูเห็นแล้วได้แต่ถอนใจเพราะรู้ตัวว่าเวลาพักผ่อนกำลังจะหมดลง ทันใดนั้นเสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น เมื่อเปิดประตูแล้วพบว่าคนที่มาหาคือดงฮยอนซึ่งปลอมตัวเป็นพนักงานโรงแรม (แต่ไม่เนียนเอามากๆ) ซอลอูก็ทำหน้าเซ็งเหมือนเด็กโดนขัดใจ พลางบ่นอุบว่ามาทำไมป่านนี้ เขาเห็นดงฮยอนทำตัวเหมือนสายลับเลยยุให้เลิกเป็นอัยการแล้วกลับมาเป็นสายลับตามเดิม ดงฮยอนแย้งว่าหากตนทำเช่นนั้นมีหวังโดนเมียฆ่าตายแน่ ซอลอูเลยถามเข้าประเด็นว่าตามตนมาถึงที่นี่ทำไม ดงฮยอนตอบว่าตนเอาภารกิจมาให้ นับจากนี้ภารกิจของตนคือการติดตามและดูแลการทำงานของซอลอู หรือพูดง่ายๆ ก็คือเป็นผู้บังคับบัญชา
ซอลอูแย้งว่านี่เป็นช่วงเวลาพักผ่อนของตน ดงฮยอนจึงบอกว่านี่เป็นเรื่องด่วน จากนั้นก็ยื่นแท็บเล็ตให้ซอลอูพลางถามว่ารู้รหัสแล้วใช่ไหม ซอลอูตอบทันควันว่าเลขวันเกิดดงฮยอน ที่แท้หมายเลข “0906” คือรหัสพาสเวิร์ดที่ดงฮยอนตั้งขึ้นง่ายๆ ตามวันเกิดของตน ซอลอูโวยว่าป่านนี้พนักงานครึ่งโรงแรมคงรู้กันหมดแล้ว (ก็ดงฮยอนเล่นเขียนไว้จนทั่ว) ซอลอูกดพาสเวิร์ดพลางถามว่า เรื่องด่วนที่ว่าคืออะไร ดงฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าสายลับยูนน่าจะถูกเก็บแล้ว ก่อนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเขาได้ส่งข้อความมาแจ้งเบาะแส ซอลอูรีบเปิดดูข้อความในแท็บเล็ตที่ระบุว่า "ตู้คอนเทนเนอร์ หมายเลข 8675 ท่าเรืออินชอน วันที่ 4 ตุลาคม หาไม้แกะสลัก 3 ชิ้น -Y-" ดงฮยอนชี้ว่าตอนนี้หน่วยข่าวกรองกำลังตามแกะรอยตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าวอยู่ ส่วนหน้าที่ของซอลอูคือการปลอมตัวไปปฏิบัติภารกิจในที่ๆ ไม่มีใครรู้จักเขา และที่นั่นก็คือ...เกาหลีใต้
ตัดไปที่กองถ่ายโฆษณากาแฟยี่ห้อหนึ่ง อุนกวางกำลังเข้าฉากโรแมนติกกับนักแสดงสาว "พี อึนซู" (ละครเรื่องนี้นำฉากโรแมนติกในละครเรื่อง "ชีวิตเพื่อชาติ รักนี้เพื่อเธอ" ซึ่งเขียนบทโดยนักเขียนบทคนเดียวกันมาล้อเลียน แต่เปลี่ยนจากไวน์เป็นกาแฟแทน แถมยังนำเพลง "You Are My Everything" ซึ่งเป็นเพลงประกอบละครเรื่องดังกล่าวมาใช้ในฉากนี้อีกด้วย - แต่เวอร์ชั่นที่ออกอากาศในบ้านเราเปลี่ยนเป็นเพลงอื่นแทน) หลังถ่ายถึงตอนที่คู่พระนางกำลังจะจูบกัน ผู้กำกับก็สั่งคัทเพื่อเตรียมถ่ายซีนจูบแบบซูมอิน ปรากฏว่าอุนกวางขอใช้นักแสดงแทน อึนซูและทีมงานได้ยินแล้วถึงกับอึ้ง เพราะเวลาถ่ายฉากอันตรายหรือฉากบู๊อุนกวางจะเล่นเองทุกครั้ง อุนกวางชี้ว่าจะให้ตนเอาหัวไปกระแทกกับอะไร หรือจะให้รถชนก็ได้ แต่อย่ามายุ่งกับปากของตน ทีมงานคนหนึ่งเห็นอึนซูไม่สบอารมณ์จึงเปรยว่าสงสัยข่าวลือเรื่องที่อุนกวางจูบนักแสดงหญิงไม่ได้จะเป็นจริง อึนซูได้ยินดังนั้นจึงนึกว่าอุนกวางเป็นเกย์
หลังเลิกกองในตอนค่ำ อุนกวางแวะทักทายนางเอกสาว อึนซูยอมรับว่าก่อนหน้านี้เธอรู้สึกโกรธแต่ตอนนี้เธอเข้าใจดีแล้ว พอรู้ว่าอึนซูเข้าใจผิดคิดว่าตนไม่จูบผู้หญิง อุนกวางจึงจูบสั่งสอนก่อนชี้ว่าถึงตนจะไม่ถ่ายฉากจูบแต่ก็จูบเก่ง หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไปจูบกันต่อในรถ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ปรากฏว่าเป็นสายของโดฮา อุนกวางจึงโกหกว่าตนกำลังคุยงานกับ "ผู้กำกับฮง" หลังวางสายอุนกวางรู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นเพราะเห็นว่าโดฮาเชื่อตนง่ายดายเกินไป และแล้วก็เป็นจริงดังคาด เพราะโดฮาลงทุนขับรถโฟล์คลิฟต์มายกรถสปอร์ตสุดหรูที่ทั้งคู่ใช้พลอดรัก จากนั้นก็ย้ำเตือนเรื่องที่เธอเคยลั่นวาจาเอาไว้ว่าหากจับได้คาหนังคาเขาอีกเธอจะฆ่าอุนกวางแล้วฆ่าตัวตายตาม แต่เธอคิดๆ ดูแล้วรู้สึกว่ามันไม่แฟร์ที่ต้องตายตามไปด้วย ดังนั้นเธอจะฆ่าและปล่อยให้เขาตายคนเดียว พูดจบโดฮาก็ขับรถตรงไปที่แม่น้ำ นางเอกสาวพยายามมองในแง่ดี (ทั้งที่หวาดกลัว) ว่าโดฮาคงไม่คิดฆ่าพวกตนจริงๆ เพราะเธอเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอุนกวาง แต่อุนกวางไม่คิดเช่นนั้นเพราะโดฮาเคยเป็นแฟนคลับตนมาก่อน
ในที่สุดโดฮาก็ขับรถพาอุนกวางกลับบ้านด้วยความโกรธ อุนกวางพยายามโกหกว่าตนแค่คุยเรื่องงาน และนั่นก็ยิ่งทำให้โดฮาโมโห เธอจึงยิ่งขับรถทั้งเร็วและน่าหวาดเสียวมากขึ้นทุกครั้งที่ได้ยินคำลวงของอุนกวาง อุนกวางเกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุเลยจำต้องสารภาพว่าเขาจูบนางเอกสาว แต่ไม่วายโทษว่าเป็นความผิดของปาก (ที่ดันทรยศ) ระหว่างจอดติดไฟแดงโดฮากล่าวว่า เธอเข้าใจดีว่าอุนกวางกำลังอยู่ในช่วงพีค ผู้ชายวัยสี่สิบอย่างอุนกวางมีความเพียบพร้อมในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นฐานะการเงิน รูปร่างหน้าตา และความสำเร็จด้านอาชีพการงาน เธอเข้าใจดีว่าการมีความรักไม่ใช่เรื่องเลวร้าย อุนกวางได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออก แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าสุดสะพรึงของโดฮา โดฮาพูดต่อว่า แต่สำหรับดาราอย่างอุนกวางนั้นการออกเดทถือเป็นเรื่องผิดบาป และเขาไม่ควรถูกคนจับได้ พูดจบเธอก็เหยียบคันเร่งด้วยความโกรธ
ส.ส.แพค อินซู มาพบซึงแจที่ตึกซงซาน เมื่อเห็นหนังสือพิมพ์ลงข่าวครอบครัวซึงแจด้วยความชื่นชม เขาจึงชมว่าซึงแจสร้างภาพเก่งกว่านักการเมืองอย่างตนเสียอีก ซึงแจชี้ว่าทั้งหมดเป็นผลงานของภรรยาตน ส.ส.แพคได้ยินดังนั้นเลยแกล้งขอตัวภรรยาซึงแจมาช่วยตนหาเสียง ซึงแจตัดบทโดยชี้ว่านับจากนี้ส.ส.คิมจะไม่โลภมากอีกต่อไป ส.ส.แพคขอบคุณซึงแจที่ช่วยกำจัดคู่แข่งและเชื่อว่าตนจะสมหวังในการเลือกตั้ง (นายกเทศมนตรีประจำกรุงโซล) ครั้งนี้ ซึงแจยื่นซองใส่โฉนดที่ดินบนเกาะเชจูให้ส.ส.แพค โดยบอกว่าน่าจะมีมูลค่าพอๆ กับจำนวนเงินที่ส.ส.แพคเคยเอ่ยปาก จากนั้นก็แกล้งขอใบเสร็จแบบทีเล่นทีจริงทำเอาส.ส.แพคอึ้งไปชั่วขณะ ซึงแจหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วบอกว่าตนแค่ล้อเล่น แต่เขาหมายความตามนั้นจริงๆ จึงเตือนส.ส.แพคว่าไม่ว่าตนจะรวยสักแค่ไหนก็ไม่อาจให้เงินใครเรื่อยๆ โดยไม่ได้สิ่งตอบแทน ส.ส.แพครับปากว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อตามหาไม้แกะสลักที่หายไป ซึงแจกล่าวว่าในไม้แกะสลักมีข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนลับของปู่ตน ตราบใดที่ยังหาไม่เจอตนก็ต้องคอยติดสินบนคนแบบส.ส.คิมอยู่ร่ำไป ส.ส.แพคกล่าวด้วยความมั่นใจว่าเส้นสายของตนในหน่วยข่าวกรองกำลังตามเรื่องนี้อยู่
ในที่สุดซอลอูก็เดินทางมาถึงเกาหลีใต้ อีกด้านหนึ่งดงฮยอนกำลังคุยผู้กำกับที่มาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับบทภาพยนตร์เรื่อง "สายลับสองหน้า" ดงฮยอนจึงเล่าเรื่องสายลับไร้ตัวตนที่ถูกเรียกว่า "K" ซึ่งกำลังตามหาสายลับที่หายไป ให้ผู้กำกับฟัง (สิ่งที่ดงฮยอนพูดกับผู้กำกับเป็นข้อมูลลับและความจริงล้วนๆ) ผู้กำกับฟังแล้วรู้สึกสนใจจึงสอบถามรายละเอียดอย่างกระตือรือร้นและบันทึกการสนทนาเอาไว้ ครั้นพอถามถึงเรื่องราวในอดีตของสายลับ "K" แล้วดงฮยอนตอบไม่ได้เพราะไม่รู้ ผู้กำกับก็เริ่มสงสัยว่าตนมาปรึกษาถูกคนรึเปล่า แถมดงฮยอนยังบอกด้วยว่าสายลับ "K" กำลังเดินทางมาที่นี่ ถ้าอยากรู้อะไรให้รอถามเจ้าตัวเอง ผู้กำกับถามย้ำว่าสายลับนิรนามที่ไม่เคยเผยตัวตนกำลังจะมาที่นี่งั้นหรือ ดงฮยอนพยักหน้าหงึกๆ ผู้กำกับเลยถามอีกว่าดงฮยอนติดต่อสายลับที่ไร้ตัวตนได้อย่างไร ดงฮยอนตอบตามตรงว่าพวกตนติดต่อกันด้วยการส่งข้อความ หากมีเรื่องเร่งด่วนตนจึงจะโทรฯ หา แต่ถ้าเขาไม่รับสายตนจะไปหาถึงที่ ผู้กำกับฟังแล้วคิดว่าเป็นเรื่องลวงโลกจึงหยุดบันทึกการสนทนาแบบเซ็งๆ จากนั้นก็เตือนว่าเป้าหมายของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการตีแผ่ชีวิตจริงของสายลับ ดงฮยอนสาบานว่าทั้งหมดที่ตนพูดเป็นความจริง ผู้กำกับสงสัยว่าดงฮยอนมีความเกี่ยวข้องกับหน่วยข่าวกรองจริงหรือ ดงฮยอนตอบว่าตนเป็นอดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง ผู้กำกับโอดว่าหากดงฮยอนยังกุเรื่องเช่นนี้ตนคงจ่ายค่าที่ปรึกษาให้ไม่ได้ ดงฮยอนโอดกลับว่าทำไมไม่เชื่อตน เขาลงทุนโชว์ข้อความในมือถือที่สายลับ "K" ส่งมานัดพบกันตอนบ่ายสามให้ผู้กำกับดู แต่ผู้กำกับยังคิดว่าดงฮยอนโม้อยู่ดี
เมื่อซอลอูมาถึง ดงฮยอนก็แนะนำผู้กำกับภาพยนตร์ให้ซอลอูรู้จัก และบอกผู้กำกับว่าซอลอูคือสายลับ "K" ที่ตนกล่าวถึง นับว่ายังโชคดีที่ซอลอูสลัดคราบสายลับทิ้งแล้วมาในชุดแบบคนปกติธรรมดา (ไม่ได้สวมหมวกแก๊ป แว่น และแจ็คเก็ตดำ) ถึงกระนั้นเขาก็ไม่นึกฝันว่าดงฮยอนจะกล้าเผยความลับของตน ซอลอูหันขวับและมองดงฮยอนด้วยสายตาเอาเรื่อง แต่ดงฮยอนแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ผู้กำกับลุกขึ้นทักทายซอลอู และแอบเตือนว่าระวังโดนหลอกเพราะดงฮยอนเป็นนักต้มตุ๋น จากนั้นก็รีบขอตัวทันที ครั้นอยู่กันตามลำพังซอลอูจึงถามดงฮยอนด้วยความไม่พอใจว่าเขากำลังเล่นตลกอะไร ดงฮยอนชี้ว่าพูดให้ตายผู้กำกับนั่นก็ไม่มีทางเชื่อ ซ้ำยังหาว่าตนกุเรื่อง ซอลอูได้ยินดังนั้นก็วางใจและถามถึงไม้แกะสลักชิ้นแรกทันที ดงฮยอนกล่าวว่าหลังตามรอยตู้คอนเทนเนอร์แล้วพวกตนพบว่าไม้แกะสลักชิ้นแรกอยู่ที่รัสเซีย พูดจบเขาก็ส่งแท็บเล็ตที่มีข้อมูลของเศรษฐีน้ำมันและดีลเลอร์ค้าอาวุธชาวรัสเซียชื่อ "วิคเตอร์" ให้ซอลอู ก่อนบอกว่าไม้แกะสลักชิ้นแรกอยู่ในเซฟลับของประธานวิคเตอร์ แต่เนื่องจากเขาเป็นคนเข้มงวดเรื่องความปลอดภัย ข้อมูลทุกอย่างจึงถูกปิดเป็นความลับรวมทั้งที่อยู่ของเขาด้วย เมื่อซอลอูถามด้วยสายตาเรื่องแผนปฏิบัติการ ดงฮยอนจึงเอ่ยถึงงานแฟนมีตติ้งของนักแสดงชื่อดัง..."ยอ อุนกวาง"
หลังจากนั้น ซอลอูก็เริ่มค้นหาข้อมูลของอุนกวางนับตั้งแต่ประวัติไปจนถึงความชอบส่วนตัว ทำให้รู้ว่าร้านกาแฟที่อุนกวางชื่นชอบและเป็นลูกค้าขาประจำคือร้านกาแฟชองโนสาขาชองโน ในเวลาต่อมาอุนกวางพร้อมทีมงานพากันมานั่งดื่มกาแฟที่ร้านชองโน "จี เซฮุน" (ซีอีโอ บริษัท ชยูอิง เอ็นเตอร์เทนเมนท์ / อดีตผู้จัดการส่วนตัวของ "ซง มีอึน") นำการ์ดเชิญมาให้และพยายามหว่านล้อมให้อุนกวางยอมไปร่วมงานปาร์ตี้วันเกิดของประธานวิคเตอร์ซึ่งจัดขึ้นอย่างลับๆ ที่ประเทศรัสเซีย (และนี่ก็คืองานแฟนมีทติ้งที่ดงฮยอนพูดถึง) แต่อุนกวางเห็นว่าเป็นงานเล็กๆ จึงโวยลั่นว่าจะให้ตนไปทำอะไรในวันเกิดของคนแก่ เซฮุนชี้ว่าวิคเตอร์ไม่ได้เป็นแค่คนแก่ธรรมดาแต่เป็นถึงประธานบริษัท ทั้งยังติดหนึ่งใน 30 อันดับมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดและยังมีชีวิตอยู่ของนิตยสารฟอร์บส์อีกด้วย โดฮาเสริมว่าวิคเตอร์เป็นแฟนคลับของอุนกวาง เซฮุนกล่าวว่าหากอุนกวางไปร่วมงานวันเกิดแล้วจับมือและถ่ายภาพกับวิคเตอร์รับรองว่ามีแต่ได้กับได้ เพราะวิคเตอร์กำลังจะลงทุนทำหนังฮอลลีวู้ด อุนกวางมองหน้าโดฮาก่อนถามว่าตนจะได้เป็นนักแสดงนำเพียงคนเดียวในดาร์คเดธภาคต่อไปใช่ไหม โดฮาบอกว่าได้แน่หากอุนกวางไปร่วมงานและอวยพรวันเกิดให้วิคเตอร์ อุนกวางชั่งใจครู่หนึ่งแล้วตอบตกลงทันที
ในบริเวณใกล้กันนั้น ซอลอูเริ่มต้นภารกิจแรกที่ร้านกาแฟชองโนสาขาชองโนโดยนำกล้องมาถ่ายภาพเป้าหมาย (อุนกวาง) เมื่อโดฮาเห็นเข้าจึงแย่งกล้องมาตรวจดูและบอกว่าเธอจะลบเฉพาะภาพของอุนกวางเท่านั้น โดฮาคิดว่าซอลอูเป็นปาปารัซซี่จึงเตือนว่าต่อให้อุนกวางเป็นคนดังเขาก็ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ ครั้นพอเห็นว่าแม้แต่ตนเองก็ถูกแอบถ่ายเช่นกัน โดฮาจึงขอคำอธิบายว่าเขาแอบถ่ายภาพเธอทำไม ซอลอูตอบหน้าตาเฉยว่าเพราะเธอดูสวยดี แถมยังส่งสายตาและยิ้มให้เธออีกด้วย โดฮาแก้เผ็ดด้วยการหยิบมือถือมาถ่ายรูปซอลอูโดยอ้างว่าตนจำคนไม่เก่ง จากนั้นก็ขู่ว่าหากเขาถูกเธอจับได้อีกครั้ง เธอจะแจ้งความและเอาผิดให้ถึงที่สุด หลังลบรูปหมดแล้วโดฮาก็คืนกล้องให้ซอลอูพลางแนะให้เขาใช้กล้องที่เบากว่านี้ พูดจบเธอก็เดินจากไปพร้อมแขนที่อ่อนล้า
โดฮาไปหา "ปาร์ค ซงอี" ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่ร้านอาหาร (อุนกวางเป็นพรีเซ็นเตอร์ร้านนี้ด้วย) พลางบ่นเรื่องปัญหาการว่างงานคนรุ่นหนุ่มสาว ทำให้บางคนต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นปาปารัซซี่ ซงอี (ซึ่งนั่งดูรูปซอลอูในมือถือของโดฮา) ได้ยินดังนั้นจึงถามว่าเพราะอย่างนี้เธอเลยปล่อยเขาไปหรือ โดฮากล่าวว่าหากจับเขาส่งตำรวจ เขาจะเจอแต่คนไม่ดีและกลายเป็นคนที่แย่กว่าเดิม ซงอีเห็นว่าซอลอูรูปร่างหน้าตาดีจึงรู้สึกเสียดายที่โดฮาไม่ขอเบอร์เขาไว้ แต่โดฮาไม่ปลื้มผู้ชายที่เที่ยวชมคนแปลกหน้าว่าสวย ซงอีจึงพูดตรงๆ ว่าจะมีผู้ชายหล่อๆ แบบนี้สักกี่คนที่เอ่ยปากชมว่าโดฮาสวย โดฮาคิดตามและอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นมองรูปซอลอูอย่างครุ่นคิด
ซอลอูมองกล้องพลางนึกถึงตอนที่เขากำลังตรวจดูภาพถ่ายของอุนกวางแล้วเห็นว่าโดฮากำลังเดินมาทางด้านหลัง (แต่เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้และปล่อยให้เธอลบภาพตามต้องการ) หลังกู้ไฟล์ภาพทั้งหมดกลับคืนอย่างง่ายดายแล้ว เขาก็คลิกดูภาพของโดฮาพลางเอ่ยชื่อเธอ เมื่อดงฮยอนมาถึงและพบเข้าจึงทักว่านี่เป็นวันหยุดของเขาไม่ใช่หรือ ซอลอูตอบว่ามีบางอย่างกวนใจตนๆ เลยคิดทบทวนแผนการ ดงฮยอนเห็นรูปโดฮาจึงถามว่าเธอเป็นใคร เมื่อซอลอูตอบว่าผู้จัดการของอุนกวาง ดงฮยอนจึงเปรยว่าทุกภารกิจย่อมมีหญิงงามมาเกี่ยวข้องเสมอ ซอลอูเห็นดงฮยอนขนหนังสือและดีวีดีมาให้มากมายก็รู้สึกแปลกใจ ที่แท้ดงฮยอนนำคู่มือปฏิบัติภารกิจลับและหนังของอุนกวางมาให้ซอลอูดู
ขณะอยู่ในรถมีอึนดูอุนกวางให้สัมภาษณ์รายการทีวี เมื่อพูดถึงหนังแนวที่เขาชอบตั้งแต่สมัยเด็กๆ ซึ่งล้วนเป็นหนังประเภทบู๊ล้างผลาญและการกวาดล้างเหล่าอธรรม อุนกวางก็เล่าอย่างออกรสออกชาติจนผู้ดำเนินรายการถึงกับเอ่ยปากว่าเขาดูตื่นเต้นมากเวลาที่พูดถึงหนังที่ตนเองชอบ อุนกวางจึงเปรยเบาๆ ด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่าใครบางคนก็เคยพูดกับตนเช่นนั้น จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งเศร้าว่าตนจำเป็นต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าตนสามารถเป็นซูเปอร์ฮีโร่ระดับฮอลลีวู้ดได้ เพราะตน...เป็นนักแสดงหนังแอคชั่น มีอึนได้ยินดังนั้นก็ถอดหูฟังออกและเหม่อมองนอกหน้าต่างรถ
เมื่อไปถึงร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมของ "ชารอน คิม" (ดีไซเนอร์ชื่อดัง และเพื่อนสนิทของมีอึน) แล้วเห็นชุดสูทสีดำ มีอึนก็รู้สึกแปลกใจเพราะเธอไม่เคยเห็นชุดนี้มาก่อน ชารอนชี้ว่าชุดดังกล่าวเป็นไอเท็มหลักประจำฤดูกาลนี้ และยังเป็นชุดหลักที่ตนจะให้อุนกวางใส่ถ่ายภาพแฟชั่นด้วย มีอึนแนะให้ชารอนให้เปลี่ยนเป็นสีอื่นแทน เพราะอุนกวางไม่มีทางยอมใส่สูทดำง่ายๆ แน่ เธอเหลือบมองผู้ติดตาม (คนของสามี) ก่อนบอกชารอนว่าตนอยากลองชุดราตรีที่หมายตาเอาไว้ก่อนหน้านี้ ชารอนกล่าวว่าตนเตรียมไว้ให้ในห้องลองเสื้อแล้วจากนั้นก็พามีอึนเข้าไปทางด้านใน ที่แท้มีอึนมาที่นี่เพราะแอบนัดหัวหน้าจางเอาไว้ มีอึนขอโทษที่มาช้า หัวหน้าจางกล่าวว่า ตนเชื่อว่ามีอึนโทรฯ มาเพราะมีเรื่องด่วน และตนก็มีเรื่องอยากรบกวนเช่นกัน
เมื่อไปถึงร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมของ "ชารอน คิม" (ดีไซเนอร์ชื่อดัง และเพื่อนสนิทของมีอึน) แล้วเห็นชุดสูทสีดำ มีอึนก็รู้สึกแปลกใจเพราะเธอไม่เคยเห็นชุดนี้มาก่อน ชารอนชี้ว่าชุดดังกล่าวเป็นไอเท็มหลักประจำฤดูกาลนี้ และยังเป็นชุดหลักที่ตนจะให้อุนกวางใส่ถ่ายภาพแฟชั่นด้วย มีอึนแนะให้ชารอนให้เปลี่ยนเป็นสีอื่นแทน เพราะอุนกวางไม่มีทางยอมใส่สูทดำง่ายๆ แน่ เธอเหลือบมองผู้ติดตาม (คนของสามี) ก่อนบอกชารอนว่าตนอยากลองชุดราตรีที่หมายตาเอาไว้ก่อนหน้านี้ ชารอนกล่าวว่าตนเตรียมไว้ให้ในห้องลองเสื้อแล้วจากนั้นก็พามีอึนเข้าไปทางด้านใน ที่แท้มีอึนมาที่นี่เพราะแอบนัดหัวหน้าจางเอาไว้ มีอึนขอโทษที่มาช้า หัวหน้าจางกล่าวว่า ตนเชื่อว่ามีอึนโทรฯ มาเพราะมีเรื่องด่วน และตนก็มีเรื่องอยากรบกวนเช่นกัน
ดงฮยอนมีสีหน้าเคร่งเครียดหลังซอลอูพยายามขอข้อมูลที่จำเป็น อาทิ ภาพถ่ายไม้แกะสลัก รายละเอียดเซฟลับ ที่ตั้งและแผนผังบ้านของวิคเตอร์ แต่เขากลับไม่มีอะไรในมือสักอย่างและกำลังมืดแปดด้านเช่นกัน ดงฮยอนชี้ว่าสายลับยูน (ที่หายตัวไป) เป็นคนละเอียดรอบคอบมาก ทั้งยังเก็บงำความลับเก่งทำให้ไม่มีใครหาข้อมูลเจอ ซอลอูได้ยินดังนั้นจึงขอถอนตัว ดงฮยอนไม่สนและฝากความหวังไว้ที่ซอลอู โดยชี้ว่าซอลอูต้องใช้งานแฟนมีทติ้งของอุนกวางเป็นใบเบิกทางเข้าบ้านวิคเตอร์ให้ได้ เพราะนี่คือโอกาสเดียวและโอกาสสุดท้ายของพวกตน
ดงฮยอนแวะไปหาหัวหน้าจางที่ลานจอดรถจากนั้นก็ชวนไปหาอะไรดื่ม หัวหน้าจางเห็นว่าดงฮยอนเทียวไปเทียวมาหลายครั้งจึงถามว่าทำไมไม่มาปักหลักที่สำนักข่าวกรองเสียเลย ดงฮยอนชี้ว่าตนทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะภรรยาของตนเกลียดโรงพยาบาลและสำนักข่าวกรองแห่งชาติที่สุด หัวหน้าจางเตือนว่าใครๆ ต่างคิดว่าดงฮยอนลาออกจากสำนักข่าวกรองเพื่อไปเป็นอัยการแล้ว หากเขายังคงไปๆ มาๆ แบบนี้คนอื่นอาจสงสัยได้ ดงฮยอนชี้ว่าที่นี่ปลอดภัยที่สุดและไม่สามารถติดเครื่องดักฟังได้ เมื่อถูกถามว่ามีใครน่าสงสัยไหม ดงฮยอนกล่าวว่าตนใช้เส้นสายอัยการตรวจสอบบุคคลตามรายชื่อที่หัวหน้าจางให้มาแล้ว แต่ไม่พบผู้ต้องสงสัยที่อาจฆ่าสายลับยูน หัวหน้าจางชี้ว่าพวกตนต้องหาบัญชีลับของประธานซงซานให้เจอเพื่อจะได้ตรวจสอบรายชื่อที่อยู่ในนั้น เขานึกขึ้นได้เลยบอกดงฮยอนว่าตนจัดการตามคำขอให้แล้ว ดงฮยอนกล่าวว่าถ้าเช่นนั้นพวกตนจะพุ่งเป้าไปที่งานแฟนมีทติ้งตามแผนที่วางไว้
อุนกวางและทีมงานเดินทางมาถ่ายภาพแฟชั่นให้แบรนด์เสื้อผ้าของชารอนที่บ้านหรูบนเนินเขา ซอลอูจึงเดินหน้าทำตามแผนด้วยการเล่นมายากลให้จองฮเย (เมคอัพ อาร์ทิสต์) กับซอลอา (สไตลิสต์) ดู เมื่อโดฮาออกมาสูดอากาศและชมวิว (ทะเล) แล้วเห็นซอลอูกำลังหว่านเสน่ห์ให้สองสาว เธอก็จำเขาได้ทันที ครั้นพอเห็นซอลอูแอบขโมยบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของซอลอา โดฮาก็รู้สึกตกใจและคิดว่าซอลอูเป็นพวก 18 มงกุฏ เธอจึงรีบตามไปจับตัวเขา
อุนกวางและทีมงานเดินทางมาถ่ายภาพแฟชั่นให้แบรนด์เสื้อผ้าของชารอนที่บ้านหรูบนเนินเขา ซอลอูจึงเดินหน้าทำตามแผนด้วยการเล่นมายากลให้จองฮเย (เมคอัพ อาร์ทิสต์) กับซอลอา (สไตลิสต์) ดู เมื่อโดฮาออกมาสูดอากาศและชมวิว (ทะเล) แล้วเห็นซอลอูกำลังหว่านเสน่ห์ให้สองสาว เธอก็จำเขาได้ทันที ครั้นพอเห็นซอลอูแอบขโมยบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของซอลอา โดฮาก็รู้สึกตกใจและคิดว่าซอลอูเป็นพวก 18 มงกุฏ เธอจึงรีบตามไปจับตัวเขา
อีกด้านหนึ่ง อุนกวางกำลังเตรียมตัวถ่ายภาพโดยสวมสูทสีแดง เมื่อชารอนกล่าวชมว่าอุนกวางสวมสูทสีแดงแล้วดูดี อุนกวาง (ซึ่งกำลังมองตัวเองในกระจกอย่างชื่นชม) จึงโม้ว่าตนใส่สีแดงแล้วหล่อ ทั้งยังบอกให้ชารอนวางใจ ไม่ว่าตนจะใส่เสื้อผ้าสีอะไรก็ดูดีทั้งนั้น เมื่อมีอึนกล่าวว่าอุนกวางสวมชุดสีแดงเข้มแล้วดูดีเสมอ สีหน้าของอุนกวางก็เปลี่ยนไป เขาถามชารอนว่า 'ผู้หญิงคนนั้น' มาทำอะไรที่นี่ มีอึนชิงตอบว่าตนเป็นลูกค้าและซงซานก็เทคโอเวอร์แบรนด์นี้แล้ว เมื่อมีอึนย้ำว่าอุนกวางสวมชุดสีแดงแล้วดูดีเหมือนเคย อุนกวางจึงถอดสูทออกแล้วเขวี้ยงลงพื้นด้วยความโกรธ จากนั้นก็บอกให้ชารอนเปลี่ยนไอเท็มหลักเป็นสูทตัวใหม่ถ้ายังอยากให้ตนถ่ายต่อ ในที่สุดอุนกวางก็สวมสูทสีดำตัวที่ชารอนเตรียมไว้ให้ตั้งแต่ต้น ทั้งหมดเป็นแผนของมีอึนที่ต้องการหลอกล่อให้อุนกวางยอมสวมสูทสีดำถ่ายภาพแต่โดยดี แม้แผนการจะสำเร็จแต่มีอึนอดเป็นกังวลไม่ได้เมื่อคิดว่าต่อไปอุนกวางอาจไม่ยอมสวมชุดสีแดงอีกเลย
ขณะเดียวกันซอลอูยังคงเดินเพ่นพ่านไปตามจุดต่างๆ พลางหยิบฉวยสิ่งของติดมือออกมาด้วย โดฮาแอบตามดูพฤติกรรมซอลอูหมายจับให้ได้คาหนังคาเขา เมื่อเห็นซอลอูขโมยกระเป๋าสตางค์จองฮเย (เมคอัพ อาร์ทิสต์) ต่อหน้าต่อตา โดฮาจึงรวบตัวเขาก่อนแฉพฤติกรรมให้ทุกคนรับรู้ จากนั้นก็บอกให้จองฮเยเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เมื่อเจ้าหน้าที่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น โดฮาก็ฟ้องว่าซอลอูเป็นนักล้วงกระเป๋า ซอลอูยิ้มให้ทีมรักษาความปลอดภัยและปล่อยให้โดฮาค้นตัวตามใจชอบ หลังค้นตัวแล้วพบว่าซอลอูขโมยแม้กระทั่งพาสปอร์ตของอุนกวาง โดฮาจึงสงสัยว่าเขาอาจเป็นแฟนบอย ทันใดนั้น เซฮุนก็รีบวิ่งมาบอกให้โดฮาปล่อยตัวซอลอู หลังจากนั้นทุกคนก็เดินออกมาดูเหตุการณ์รวมทั้งอุนกวางและมีอึน ซอลอูจึงพลิกแขนโดฮาแล้วเป็นฝ่ายล็อคตัวเธอต่อหน้าทุกคน โดฮาพยายามกระทุ้งศอกใส่ซอลอูหมายให้เขาปล่อยตัวเธอ ซอลอูจึงจับโดฮาหมุนราวกับกำลังเต้นลีลาศก่อนปล่อยมือแล้วช้อนเอวเธอไว้เพื่อไม่ให้หงายหลังลงพื้น หลังผลักโดฮาให้ลุกขึ้นยืนดังเดิมแล้วเขาก็บอกเซฮุนว่าการอารักขาอุนกวางหละหลวมดังที่เซฮุนคาดไว้จริงๆ หลังจากนั้นซอลอูก็หันไปมองอุนกวางพลางแนะนำตัวว่า "นับจากวันนี้ผมคือหัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยของคุณ"
* เนื้อหาโดย luvasianseries / ภาพจากเจทีบีซี
*** จบตอนที่ 1 ***
* เนื้อหาโดย luvasianseries / ภาพจากเจทีบีซี
คลิปตัวอย่างจากอมรินทร์ทีวี
รวมคลิปตัวอย่างจากเจทีบีซี
รวมคลิปเบื้องหลังจากเจทีบีซี
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา