เขียนบท: หวังเจี๋ย, สวีเป้ยเป้ย, หวังเว่ยเว่ย, เฮ่อหราน, ห่าวอิ๋ง, หวังเซียวหาน, เหยาหราน, หยางจิง
แนวละคร: ย้อนยุค, ดราม่า
จำนวนตอน: 37
ออกอากาศ: จีน - 1 กุมภาพันธ์ 2559 ทางเจ้อเจียงทีวี และเซินเจิ้นทีวี
ไทย - ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.50 น. ทางช่อง 3 เอชดี (หมายเลข 33) ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2562 - 24 เมษายน 2563
เรื่องย่อ
ละคร "สัญญารัก จักรพรรดิคังซี" (Chronicle of Life) ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง "寂寞空庭春欲晚" (Lonely Courtyard in Late Spring) ของนักเขียนหญิงเจ้าของนามปากกา "เฝยหว่อซือฉุน" เนื้อหากล่าวถึงเรื่องราวความรักอันแสนเศร้าระหว่าง "จักรพรรดิคังซี" และ "เว่ยหลินหลาง" โดยคังซีเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์ชิง ทรงขึ้นครองราชย์ขณะมีพระชนมายุเพียง 7 พรรษาเมื่อปี ค.ศ. 1661 (พ.ศ. 2204) ว่าราชการด้วยตนเองขณะมีพระชนมายุ 13 พรรษา และทรงครองราชย์ยาวนานถึง 61 ปี (ละครคำนวณอายุตามแบบเอเชียตะวันออกที่ถือวันแรกเกิดเป็นหนึ่งขวบ จึงระบุว่าจักรพรรดิคังซีครองราชย์ขณะมีพระชนมายุ 8 พรรษา) แต่ใครเลยจะคิดว่าฮ่องเต้ที่ยิ่งใหญ่และทรงพระปรีชาอย่างพระองค์ ซึ่งสามารถปราบกบฏที่แข็งแกร่ง พิชิตแว่นแคว้นต่างๆ ขยายดินแดนจนกว้างใหญ่ไพศาล และนำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ราชวงศ์ จะมีสิ่งที่ไม่อาจคว้ามาครองและยังคงนึกเสียใจตราบจนวันสุดท้าย
ในปีที่แปดของการครองราชย์ จักรพรรดิคังซีซึ่งมีพระชนมายุ 16 พรรษา (หรือ 15 พรรษาตามแบบสากล) ได้ร่วมมือกับ "น่าหลันหรงรั่ว" ซึ่งเป็นองครักษ์และคนสนิท โค่นล้มอำนาจและจับกุมตัว "เอ๋าป้าย" ตลอดจนผู้ร่วมขบวนการ เหตุการณ์นี้ทำให้ขุนนางที่มีความใกล้ชิดกับเอ๋าป้ายอย่าง "ฉาฮาเอ่อร์ชินหวัง" (เป็นชื่อตำแหน่งอ๋องปกครองเขตฉาฮาเอ่อร์) นาม "ป๋อเอ่อร์จี้จี๋เท่อ อาปู้ไน่" พลอยติดร่างแหและกลายเป็นกบฏไปด้วย แทนที่จะได้ฉลองวันเกิด "เหลียงเอ๋อร์" (ลูกสาวอาปู้ไน่) ในวัย 10 ปี ต้องทนเห็นบิดา มารดา และพี่ชาย ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าต่อตาตามบัญชาของฮ่องเต้ ขณะหลบหนีเธอได้พบจักรพรรดิคังซีซึ่งกำลังถูกคนตามไล่ล่าเช่นกัน หลังต่างฝ่ายต่างช่วยเหลือและเผชิญความเป็นความตายมาด้วยกัน ทั้งคู่จึงรู้สึกซาบซึ้งและต่างผูกพันกัน ทั้งยังสัญญาว่าจะกลับมาพบกันในอีกสามวันข้างหน้า (จักรพรรดิคังซีรู้เพียงว่าเธอชื่อเหลียงเอ๋อร์ ทั้งยังโกหกเธอว่าตนชื่อ "เย่ซาน")
เหลียงเอ๋อร์หนีมาพึ่งใบบุญสกุลน่าหลันตามที่มารดาสั่งเสีย แต่ "น่าหลันหมิงจู" (บิดาหรงรั่ว / ลุงของเหลียงเอ๋อร์) ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมในครอบครัวของเหลียงเอ๋อร์ เกรงว่าเหลียงเอ๋อร์จะนำภัยมาสู่ครอบครัวตนจึงคิดส่งตัวเธอไปให้ไทเฮาในฐานะลูกสาวกบฏ (ไทเฮาเป็นคนสั่งให้หมิงจูกวาดล้างผู้ร่วมขบวนการของเอ๋าป้ายแบบถอนรากถอนโคน และกำลังจับตาหมิงจูตลอดจนคนสกุลน่าหลันว่าสมคบคิดกับเอ๋าป้ายหรือไม่) แต่หรงรั่วไม่ยอมให้บิดาทำเช่นนั้นเพราะเท่ากับเป็นการส่งเหลียงเอ๋อร์ไปตาย คืนนั้น "น่าหลันอี" (บุตรบุญธรรมหมิงจู) เห็นบิดาเป็นกังวลจึงอาสาช่วยกำจัดเหลียงเอ๋อร์ หรงรั่วมาพบเข้าและพยายามขัดขวางแต่ไม่เป็นผล (เขาไม่เห็นใบหน้าคนร้าย) ขณะที่เหลียงเอ๋อร์กำลังหนีตายเธอเสียหลักพลัดตกลงไปในสระน้ำทำให้ศีรษะกระแทกโขดหิน น่าหลันอีจะตามไปสังหารซ้ำแต่พี่สาวหรงรั่ว (ภายหลังคือพระสนม "ฮุ่ยเฟย") ห้ามไว้เสียก่อน หรงรั่วมัวแต่ช่วยเหลียงเอ๋อร์เลยไม่ทันเห็นใบหน้าคนร้าย (พี่สาวหรงรั่วกระชากผ้าคลุมหน้าคนร้ายออกเลยรู้ว่าเป็นน่าหลันอี)
ครั้นรู้สึกตัวเหลียงเอ๋อร์กลับสูญเสียความทรงจำเลยไม่ได้ไปพบเย่ซานตามสัญญา เพื่อปกป้องเหลียงเอ๋อร์ หรงรั่วจึงเปลี่ยนชื่อเธอใหม่เป็น "เว่ยหลินหลาง" และขอร้องพ่อให้ละเว้นเธอ หมิงจูไม่อยากให้ทั้งคู่สนิทสนมกันจึงแอบส่งหลินหลางเข้าเป็นสาวใช้ในวังหมายตัดสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหรงรั่ว หลินหลางเข้าวังอย่างสิ้นหวัง เธอคิดว่าสุดท้ายแล้วตนคงต้องตายอย่างเหี่ยวเฉาเดียวดายในวัง แต่หลังได้พบจักรพรรดิคังซีชีวิตเธอกลับมีแต่ความยุ่งเหยิง ครั้นได้พบหรงรั่วอีกครั้งชีวิตเธอก็เริ่มมีแสงแห่งความหวัง จักรพรรดิคังซีจำได้ว่าหลินหลางคือเด็กหญิงที่เคยช่วยชีวิตตนจึงพยายามสารพัดวิธีเพื่อฟื้นความทรงจำให้เธอ แต่หรงรั่วกลับวางแผนพาหลินหลางหลบหนีออกจากวังอย่างลับๆ
หลินหลางถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อต้องอยู่ตรงกลางระหว่างฮ่องเต้เอาแต่ใจกับหวานใจในวัยเด็ก ครั้นจักรพรรดิคังซีตกหลุมรักหลินหลางอย่างถอนตัวไม่ขึ้น พระองค์กลับพบว่าแท้จริงแล้วหลินหลางคือหญิงที่หรงรั่วรักและเฝ้ารอมาโดยตลอด จักรพรรดิคังซีจึงยอมถอยหมายให้ทั้งคู่ได้ครองรักกัน แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะกลั่นแกล้งให้เกิดความเข้าใจผิดและพลาดโอกาสซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้นหลินหลางรู้ตัวว่าตนเองตกหลุมรักจักรพรรดิคังซี อยู่ๆ ความทรงจำของเธอก็กลับคืนมา แถม "ฉางชิ่ง" (ชื่อจริง "ป๋อเอ่อร์จี้จี๋เท่อ อาซือไห่") พี่ชายของเธอ ซึ่งแฝงตัวเป็นขันทีในวังหมายรอโอกาสแก้แค้น ยังปรากฏตัวและบีบให้เธอแก้แค้นจักรพรรดิคังซีเพื่อทุกคนในครอบครัว
ด้านหนึ่งคือความรักที่ยังคงตราตรึง ส่วนอีกด้านคือความแค้นที่รอวันสะสาง สุดท้ายแล้วเรื่องราวจะลงเอยเช่นไร ติดตามชมได้ใน "สัญญารัก จักรพรรดิคังซี" (Chronicle of Life) ทางช่อง 3 เอชดี
เนื้อหาตอนที่หนึ่ง
ละครเปิดฉากขึ้นในวังต้องห้าม องค์ชายน้อย "หงลี่" (หรือ "จักรพรรดิเฉียนหลง" พระราชนัดดาองค์โปรดของจักรพรรดิคังซี) เห็นแผนที่อันกว้างใหญ่ไพศาลของราชวงศ์ชิงจึงถาม "จักรพรรดิคังซี" ว่าแผ่นดินทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์หรือ หลังจากนั้นองค์ชายน้อยก็ชี้ไปตามจุดต่างๆ บนแผนที่พลางถามว่าบริเวณเหล่านี้คือที่ใด จักรพรรดิคังซีจำทุกสิ่งบนแผนที่ได้อย่างแม่นยำจึงตอบคำถามองค์ชายน้อยด้วยความภาคภูมิใจ ปรากฏว่าแต่ละจุดที่องค์ชายน้อยชี้ล้วนเป็นบริเวณที่จักรพรรดิคังซีเคยสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการปราบกบฏ (กบฏสามเจ้าศักดินา) พิชิตแว่นแคว้น และขยายดินแดนจนกว้างใหญ่ไพศาล ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงได้รับการยกย่องว่าเป็น "จักรพรรดิพันปี" ที่ทรงพระปรีชา องค์ชายน้อยเห็นว่าเสด็จปู่ของตนเป็นฮ่องเต้ที่ยิ่งใหญ่จึงถามว่าไม่มีอะไรในใต้หล้าที่เกินไขว่คว้าสำหรับพระองค์ใช่ไหม จักรพรรดิคังซีได้ยินดังนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง ครั้นเห็นดอกหลีฮัว (ดอกสาลี่ / ดอกแพร์) ร่วงโปรยปรายพระองค์ก็หวนนึกถึงความหลัง
ย้อนกลับไปในรัชศกคังซีปีที่แปด (พ.ศ. 2212) แม้ว่า "อ้ายซินเจฺว๋หลัว เสวียนเย่" หรือ "จักรพรรดิคังซี" ซึ่งมีพระชนมายุ 16 พรรษา (หรือ 15 พรรษาตามแบบสากล) จะเป็นฮ่องเต้โดยพฤตินัยมานานสองปี แต่อำนาจยังตกอยู่ในมือขุนนางใหญ่อย่าง "เอ๋าป้าย" ซึ่งนับวันจะเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ ไม่เคยเห็นฮ่องเต้อยู่ในสายตา มักแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมทั้งต่อหน้าและลับหลังพระองค์บ่อยครั้ง จักรพรรดิคังซีเห็นว่าขืนปล่อยไว้จะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์เลยวางแผนจับกุมและชิงอำนาจจากเอ๋าป้าย โดยร่วมมือกับ "น่าหลันหรงรั่ว" และเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันกว่า 20 คน (ที่ผ่านมาจักรพรรดิคังซีคัดเด็กที่แข็งแรงและมีความสามารถมาซุ่มฝึกมวยปล้ำและศิลปะการต่อสู้ในวังตลอดทั้งวัน แต่เอ๋าป้ายเห็นว่าพระองค์ยังเด็กเลยนึกว่าแค่เล่นสนุก - เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องจริง)
หรงรั่วไปที่จวนชินหวัง (จวนอ๋อง) ก่อนเข้าวังเพื่อนำว่าวไปมอบให้ "เหลียงเอ๋อร์" (ญาติผู้น้อง) เป็นของขวัญวันเกิดตามสัญญา เหลียงเอ๋อร์ดีใจมากจึงชวนหรงรั่วไปเล่นว่าวด้วยกัน หรงรั่วรับปากว่าจะกลับมาเล่นว่าวกับเธอหลังเสร็จธุระเพราะเขาต้องรีบเข้าวังก่อน ครั้นรู้ว่าฮ่องเต้กับหรงรั่วกำลังวางแผนจับ 'คนชั่วช้า' เหลียงเอ๋อร์จึงขอตามไปด้วย แต่หรงรั่วบอกให้เธอรออยู่ที่บ้านจนกว่าเขาจะกลับมาหา เพราะสิ่งที่เขากับฮ่องเต้กำลังจะทำนั้นอันตรายเกินไปสำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอ
เอ๋าป้ายเดินทางมาที่วังต้องห้ามหลังถูกจักรพรรดิคังซีเรียกตัวเข้าวัง ในเวลาเดียวกันนั้น "เสี้ยวฮุ่ยไท่โฮ่ว" (ไทเฮา) ทรงรู้สึกเป็นห่วงจักรพรรดิคังซี จึงกล่าวกับ "เสี้ยวจวงไท่หวงไท่โฮ่ว" (ฮองไทเฮา) ว่าแนวร่วมของเอ๋าป้ายมีอยู่ทั่วทุกหนแห่งทั้งในและนอกราชสำนัก ฮ่องเต้ยังเด็กนักจะรับมือกับศัตรูเช่นนี้ได้อย่างไร เธอโทษว่าเป็นของตนที่ไม่ห้ามฮ่องเต้ และกล่าวว่าพวกตนน่าจะรอให้ฮ่องเต้โตกว่านี้อีกสักหน่อย แต่ทว่าฮองไทเฮากลับไม่รู้สึกหวั่นเกรงเพราะมั่นใจในตัว "อ้ายซินเจฺว๋หลัว เสวียนเย่" (จักรพรรดิคังซี) อีกด้านหนึ่ง "ป๋อเอ่อร์จี้จี๋เท่อ อาปู้ไน่" (ตำแหน่ง "ฉาฮาเอ่อร์ชินหวัง" เป็นอ๋องปกครองเขต (และผู้นำกองธง) ฉาฮาเอ่อร์) เห็นธิดาตัวน้อยกำลังเตรียมเล่นว่าวจึงเดินเข้าไปหาและถามว่าได้ว่าวมาจากใคร เหลียงเอ๋อร์กล่าวว่าหรงรั่วนำว่าวมามอบให้เธอ แต่เขาต้องไปช่วยฮ่องเต้จับ 'คนชั่วช้า' ก่อนเลยเล่นว่าวกับเธอตอนนี้ไม่ได้ อาปู้ไน่ได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าเป็นกังวล
* "เสี้ยวฮุ่ยไท่โฮ่ว" หรือ "จักรพรรดินีเสี้ยวฮุ่ยจาง" (ไทเฮา) เป็นจักรพรรดินีองค์ที่สองใน "จักรพรรดิซุ่นจื้อ" (อดีตฮ่องเต้ / พระราชบิดาของจักรพรรดิคังซี) แต่ไม่มีพระโอรส/ธิดา ส่วน "เสี้ยวจวงไท่หวงไท่โฮ่ว" หรือ "จักรพรรดินีเสี้ยวจวง พระพันปีหลวง" (ฮองไทเฮา) เป็นพระราชมารดาในจักรพรรดิซุ่นจื้อและพระราชอัยยิกาในจักรพรรดิคังซี (เป็นผู้อุปการะจักรพรรดิคังซี)
ครั้นหรงรั่วรายงานว่าเอ๋าป้ายเข้าประตูอู่เหมินแล้ว (ประตูทางด้านทิศใต้ เป็นทางเข้าใหญ่สุดของพระราชวังต้องห้าม) จักรพรรดิคังซีจึงเตรียมรับมือทันที ฮองไทเฮากล่าวกับพระสุณิสา (ลูกสะใภ้) ว่าฮ่องเต้ครองราชย์ขณะมีพระชนมายุ 8 พรรษา ออกว่าราชการด้วยตนเองตอนพระชนมายุ 14 พรรษา ได้รู้เห็นปัญหาและวิกฤตการณ์ต่างๆ มาบ้างแล้ว ตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้การครอบงำของเอ๋าป้าย พระองค์จะไม่มีวันครองอำนาจอย่างแท้จริง หากฮ่องเต้ชนะศึกครานี้พวกตนจะได้ร่วมสุขในอาณาจักรที่ร่มเย็นและยิ่งใหญ่ ไทเฮาถามว่าหากฮ่องเต้พ่ายแพ้จะเป็นเช่นไร ฮองไทเฮาตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่าพวกตนจะตายพร้อมพระองค์
อาปู้ไน่รีบตามเอ๋าป้ายเข้าวังหมายเตือนเรื่องที่ได้ยินมา แต่ทันทีที่เข้าประตูอู่เหมินก็ถูก "น่าหลันหมิงจู" (บิดาหรงรั่ว) ขวางไว้และบอกให้รับราชโองการจากฮองไทเฮา ที่แท้ฮองไทเฮารู้ว่าอาปู้ไน่เป็นขุนนางที่มีความใกล้ชิดและเป็นแนวร่วมของเอ๋าป้าย จึงเตรียมแผนรับมือเอาไว้ล่วงหน้าด้วยการสั่งให้หมิงจูมาสกัดอาปู้ไน่ที่หน้าประตูวัง และให้คุมตัวไปกักบริเวณที่ชุนเหอจวี (เป็นเหมือนเซฟเฮาส์) ในเมืองหลวง (ปักกิ่ง) ทันที จนกว่าจะมีคำสั่งให้ปล่อยตัว หลังอ่านราชโองการจบแล้วหมิงจูก็ถามอาปู้ไน่ว่ายังคิดที่จะลอบบอก (เตือน) เอ๋าป้ายอีกหรือ อาปู้ไน่ไม่ตอบ เขาเพียงขอให้ทุกคนในครอบครัวปลอดภัย (เขาเป็นน้องเขยของหมิงจู) หมิงจูเองก็รู้สึกหนักใจจึงถามอาปู้ไน่ว่า ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ แล้วทำไมถึงยังดึงดัน
เมื่อเอ๋าป้ายมาถึงจักรพรรดิคังซีและหรงรั่วจึงแกล้งประลองฝีมือกัน หลังแสร้งแพ้ให้หรงรั่ว จักรพรรดิคังซีจึงบอกเอ๋าป้ายว่าที่พระองค์เรียกเขามาเข้าเฝ้าในวันนี้ เพราะอยากให้เขาช่วยชี้แนะเหล่าองค์รักษ์ (เด็ก) ของตน ครั้นเห็นว่าฮ่องเต้เรียกตนมาพบเพราะเรื่องเหลวไหลไร้สาระแทนที่จะทำตัวให้สมกับที่เป็นฮ่องเต้ เอ๋าป้ายก็รู้สึกไม่พอใจและขอตัวกลับทันที หรงรั่วตำหนิเอ๋าป้ายที่ขัดพระบัญชา ก่อนเย้ยว่าที่เขารีบชิ่งหนีคงเป็นเพราะกลัวสู้เด็กอย่างพวกตนไม่ได้ หลังโดนหรงรั่วหยามและท้าประลอง เอ๋าป้ายซึ่งเป็นยอดนักรบจึงคิดสั่งสอนเด็กเมื่อวานซืน
"อู๋จื่อม่อ" พา "ปู้เอ่อร์หนี" (บุตรชายคนโตของอาปู้ไน่ / พี่ชายต่างมารดาของเหลียงเอ๋อร์) พร้อมทหารจำนวนหนึ่งมาที่ชุนเหอจวีซึ่งเป็นสถานที่ควบคุมตัวอาปู้ไน่ จากนั้นก็บอกปู้เอ่อร์หนีว่า เสนาฯ เอ๋า (เอ๋าป้าย) ถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าวังตั้งแต่เมื่อเช้า จนป่านนี้แล้วยังไม่ออกมา แถมขุนนางทั้งหมดที่มีความใกล้ชิดกับท่านเสนาฯ ล้วนถูกควบคุมตัว ตนจึงเกรงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในไม่ช้า เมื่อปู้เอ่อร์หนีถามว่าพวกตนควรทำเช่นไร อู๋จื่อม่อจึงยุให้บุกเข้าไปชิงตัวท่านอ๋อง (อาปู้ไน่) ก่อน แล้วค่อยหาทางช่วยเสนาฯ เอ๋า ครั้นเห็นปู้เอ่อร์หนีมีท่าทีลังเล อู๋จื่อม่อจึงเหน็บว่า... "จนป่านนี้แล้วยังมัวลังเลอยู่อีกหรือ ขืนรอช้าบิดาท่านคงถูกฆ่าตายก่อนพอดี" ในที่สุดอู๋จื่อม่อก็พาปู้เอ่อร์หนีและทหารจำนวนหนึ่งบุกเข้าไปด้านใน ครั้นเห็นอู๋จื่อม่อสังหารทหารยาม (ซึ่งขึ้นตรงต่อฮ่องเต้) ปู้เอ่อร์หนีก็ทั้งโกรธและตกใจเพราะการทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการก่อกบฏ แต่อู๋จื่อม่อไม่สนใจ เขาอ้างว่าพวกตนไม่อาจรอช้า และบอกปู้เอ่อร์หนีว่าไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้วคงทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลย
* อู๋จื่อม่อเรียกปู้เอ่อร์หนีอย่างยกย่องว่า "เป้ยจื่อเหย" ซึ่งเป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ชายลำดับที่สี่ - ย่าของเขา (ซึ่งเป็นชาวมองโกล) เป็นพระสนมของ "หงไท่จี๋" (หรือ "หวงไถจี๋" จักรพรรดิองค์ที่สองของราชวงศ์ชิง) แต่ปู่แท้ๆ ของเขา (สามีคนแรกของย่า) เป็นข่านมองโกลเผ่าฉาฮาเอ่อร์ ส่วนมารดาเป็นองค์หญิงแมนจู (ธิดาของหงไท่จี๋)
จักรพรรดิคังซีกับหรงรั่วเข้าโจมตีเอ๋าป้ายพร้อมกันและต่างก็ถูกเล่นงานจนน่วม หลังสั่งสอนทั้งคู่แล้วเอ๋าป้ายก็เดินไปนั่งบนบัลลังก์โดยวางหมวกและดาบคู่กายไว้ข้างตัว ขันทีน้อยคนหนึ่งยกน้ำชามาให้เอ๋าป้าย เมื่อเอ๋าป้ายยกชาขึ้นดื่ม ขันทีน้อยก็ถือโอกาสตอนที่เอ๋าป้ายไม่ทันระวังตัวเตะขาแท่นประทับ (บัลลังก์) จนพังลงมา ครั้นเอ๋าป้ายล้มหงายหลัง เด็กๆ จึงช่วยกันนำโซ่ขนาดใหญ่ไปตรึงแขนขาเอ๋าป้ายเอาไว้ ถึงกระนั้นเอ๋าป้ายก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ เขาดีดตัวลุกขึ้นแล้วถีบฮ่องเต้น้อยจนร่างลอยละลิ่วปลิวออกจากท้องพระโรง เด็กๆ กว่า 20 คนช่วยกันดึงโซ่ตรึงชายร่างยักษ์ที่มีพลังมหาศาลอย่างเอ๋าป้ายแต่ก็ต้านแทบไม่อยู่ ถึงกระนั้นหรงรั่วก็ช่วยดึงโซ่ที่ขาข้างหนึ่งของเอ๋าป้ายเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่เอ๋าป้ายจะเตะจักรพรรดิคังซีซึ่งนอนกองอยู่บนพื้น ฮ่องเต้น้อยและพวกช่วยกันตวัดโซ่รัดคอและลำตัวเอ๋าป้ายในแน่นขึ้นโดยใช้เสาหินเป็นตัวช่วยในการดึงโซ๋ให้ตึง หลังรู้ว่าตนโดนฮ่องเต้น้อยลวงมาตกหลุมพราง เอ๋าป้ายก็ยิ่งโมโหจึงรวบรวมพลังก่อนบิดตัวจนโซ่ที่รัดลำตัวขาดสะบั้น ขณะที่เด็กๆ ต่างโดนโซ่เหวี่ยงกระเด็นจนสะบักสะบอมไปตามๆ กัน
อาปู้ไน่ตำหนิปู้เอ่อร์หนีกับอู๋จื่อม่อที่กระทำการโดยบุ่มบ่าม และกล่าวว่าเดิมทีพวกตนยังพอมีทางรอด แต่ตอนนี้พวกตนคงหนีไม่พ้นความตาย อีกด้านหนึ่ง หรงรั่วรีบเข้าไปประคองจักรพรรดิคังซีให้ลุกขึ้น ก่อนประณามเอ๋าป้ายที่กระทำการอันมิบังควรและขอให้เขายอมจำนนแต่โดยดี เอ๋าป้ายบอกให้ฮ่องเต้น้อยเบิ่งตาดูรอยแผลเป็นจากคมดาบที่ปรากฏบนร่างตน และชี้ว่าแผลเป็นทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะสกุลอ้ายซินเจฺว๋หลัว ไม่ว่าจะเป็นหงไท่จี๋ (พระอัยกาของจักรพรรดิคังซี) หรืออดีตฮ่องเต้ซุ่นจื้อ (พระราชบิดาของจักรพรรดิคังซี) ชีวิตของทั้งคู่ล้วนมีตนคอยปกป้อง หาไม่แล้วพระองค์ (จักรพรรดิคังซี) จะมีแผ่นดินให้ปกครองในฐานะฮ่องเต้ได้อย่างไร อดีตฮ่องเต้ทรงฝากฝังพระองค์ไว้กับตน หมายให้ตนช่วยชี้แนะแนวทางสู่การเป็นฮ่องเต้ที่ดี แต่เด็กไม่เอาไหนอย่างพระองค์ไม่คู่ควรกับตำแหน่งฮ่องเต้แม้แต่น้อย พูดจบเอ๋าป้ายก็ฟาดโซ่ที่แขนใส่จักรพรรดิคังซี หรงรั่วเห็นดังนั้นจึงรีบเอาตัวบังไว้ทำให้โดนโซ่ฟาดหลังเต็มๆ
หลังจากนั้นจักรพรรดิคังซีก็ยื้อยุดกับเอ๋าป้ายตามลำพัง (คนอื่นโดนเล่นงานจนนอนจุกไปตามๆ กัน) พระองค์นำโซ่เส้นหนึ่งไปคล้องเสาแล้วดึงหมายตรึงแขนข้างหนึ่งของเอ๋าป้ายเอาไว้ แต่เอ๋าป้ายมีพละกำลังมหาศาลจึงตวัดโซ่ (ที่แขนอีกข้าง) รัดตัวฮ่องเต้น้อยแล้วดึงเข้ามาหาตน ปรากฏว่าสิ่งที่ลอยละลิ่วเข้าไปหาเอ๋าป้ายไม่ได้มีเพียงฮ่องเต้ แต่ยังมีเสาหินอ่อน (ที่ถูกดึงจนหัก) ลอยตามไปติดๆ เอ๋าป้ายกำหมัดหมายชกจักรพรรดิคังซีแต่ถูกเสาหินกระแทกหน้าผากอย่างจังเสียก่อน จากนั้นก็หงายหลังล้มทำให้ศีรษะกระแทกหินจนแน่นิ่งไป ครั้นเอ๋าป้ายสิ้นฤทธิ์ฮ่องเต้น้อยจึงประกาศความผิดของเอ๋าป้าย เริ่มตั้งแต่ใช้อำนาจในทางมิชอบ หลอกลวงและหมิ่นเบื้องสูง ขัดราชโองการ แทรกแซงพระราชอำนาจ รีดนาทาเร้น กดขี่ข่มเหงประชาชน ละเมิดกฎหมาย ฯลฯ (ประวัติศาสตร์ระบุว่ามีทั้งสิ้น 30 กระทง) แม้สมควรโดนปลดและถูกตัดหัว แต่จักรพรรดิคังซีเห็นว่าเอ๋าป้ายเคยมีความดีความชอบและอุทิศตนเพื่อบ้านเมืองมานานจึงเว้นโทษตายและสั่งจองจำเขาชั่วชีวิต หลังปราบเอ๋าป้ายได้แล้วจักรพรรดิคังซีจึงไปเข้าเฝ้าพระอัยยิกาและพระมารดาบุญธรรม
อีกด้านหนึ่งเหลียงเอ๋อร์กำลังเล่นซุกซนอยู่ในสวนหลังบ้าน ครั้นเห็น "อาซือไห่" (พี่ชายแท้ๆ ซึ่งกำลังนั่งตะไบปิ่นเงิน) เหลียงเอ๋อร์จึงย่องเข้าไปหาและทวงของขวัญวันเกิด อาซือไห่รีบซ่อนปิ่นก่อนกล่าวว่าตนไม่จำเป็นต้องให้ของขวัญเหลียงเอ๋อร์อีก เพราะเหลียงเอ๋อร์เป็นลูกรักของพ่อกับแม่อยู่แล้ว และตนก็ตามใจเหลียงเอ๋อร์มาโดยตลอด เหลียงเอ๋อร์โวยว่าอาซือไห่ผิดสัญญา เธอรู้ว่าอาซือไห่ซ่อนอาวุธลับไว้ในตัวจึงขู่ว่าจะฟ้องพ่อกับแม่ถ้าไม่ยอมให้ของขวัญ ครั้นเหลียงเอ๋อร์แย่งอาวุธลับแล้วนำมาซัดใส่ต้นไม้ อาซือไห่จึงวิ่งไล่จับเธอ "ฝูจิ้น" (มารดาอาซือไห่กับเหลียงเอ๋อร์ / น้องสาวหมิงจู) นำขนมซิ่งเหรินเล่า (ทำจากเมล็ดแอปริคอทและข้าวเหนียว) ถ้วยหนึ่งมาให้ลูก ครั้นเห็นเหลียงเอ๋อร์วิ่งเล่นกับพี่ชายจนเหงื่อโชก เธอจึงบอกให้อาซือไห่ยอมน้องมากกว่านี้ พอมารดาให้ท้ายเหลียงเอ๋อร์ก็ยิ่งได้ใจ เธอจึงแบ่งขนมให้พี่ชายทานแค่คำเดียวโดยอ้างว่าวันนี้เป็นวันเกิดเธอ ฝูจิ้นเรียกเหลียงเอ๋อร์ว่าคุณหนูจอมแก่น ก่อนบ่นว่าในจวนนี้ไม่มีใครกล้าขัดใจเหลียงเอ๋อร์ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปอีกหน่อยจะมีหนุ่มบ้านไหนกล้ามาสู่ขอ เมื่ออาซือไห่เอ่ยถึงหรงรั่ว เหลียงเอ๋อร์ก็สวนทันควันว่าเธอไม่ต้องการให้พี่หรงรั่วมาสู่ขอซักหน่อย
หมิงจูรายงานฮองไทเฮาและจักรพรรดิคังซีว่ามีคนนำกำลังบุกชุนเหอจวี สังหารทหารยามที่ประจำการอยู่ด้านใน แล้วพาผู้นำกองธงฉาฮาเอ่อร์ (อาปู้ไน่) หนีไป เขากล่าวว่าอาปู้ไน่น้องเขยของตนบังอาจก่อกบฏ และยอมรับว่าเป็นความผิดของตนที่ไม่เฉลียวใจให้เร็วกว่านี้ เขาจึงขอให้ฮองไทเฮาและจักรพรรดิคังซีพิจารณาว่าควรลงโทษเช่นไร ฮองไทเฮาบอกจักรพรรดิคังซีว่าการจับกุมเอ๋าป้ายเป็นเพียงจุดเริ่มต้น พระองค์ควรกำจัดผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดของเอ๋าป้ายให้สิ้นซากเพื่อจะได้ไม่เป็นภัยในภายหลัง จักรพรรดิคังซีสั่งให้หมิงจูรีบนำกำลังทหารไปปราบกบฏและจับตัวอาปู้ไน่กลับมา ฮองไทเฮาถามว่าหากพวกเขาขัดขืนการจับกุมจะให้ทำเช่นไร ครั้นจักรพรรดิคังซีสั่งให้สังหารทุกคนที่ไม่ยอมจำนน ฮองไทเฮาจึงยิ้มอย่างพึงพอใจ
อาปู้ไน่รีบกลับมาที่จวนโดยมีปู้เอ่อร์หนี อู๋จื่อม่อ และทหารจำนวนหนึ่งคอยอารักขา เขาบอกให้ภรรยารีบเก็บของเพราะพวกตนต้องออกจากเมืองหลวงให้เร็วที่สุด จากนั้นก็บอกให้ปู้เอ่อร์หนีไปเตรียมม้า เหลียงเอ๋อร์ซึ่งรอฉลองวันเกิดกับบิดามาตลอดทั้งวัน สงสัยว่าทำไมพวกตนถึงต้องไปจากเมืองหลวง อาปู้ไน่กล่าวว่าหากพวกตนไม่รีบไปฮ่องเต้จะจับตนขังคุก ตนขาดประชุมขุนนางตอนเช้าบ่อยๆ ฮ่องเต้เลยไม่พอพระทัย เหลียงเอ๋อร์แนะว่านับจากนี้ให้อยู่ด้วยกันทุกวัน (ไม่ต้องไปประชุมอีก) โดยไม่ต้องสนใจฮ่องเต้อาปู้ไน่ได้ยินแล้วน้ำตาคลอเบ้า เขาสัญญาว่านับจากวันนี้พวกตนจะไม่พรากจากกัน อาปู้ไน่จะรีบพาครอบครัวหลบหนี แต่อู๋จื่อม่อขอให้นำกำลังไปช่วยเสนาฯ เอ๋า (เอ๋าป้าย) ก่อน อาปู้ไน่แย้งว่าหากไม่รีบไปตอนนี้ทุกชีวิตในครอบครัวตนคงไม่รอดแน่
อาปู้ไน่และครอบครัวยังไม่ทันได้ได้ก้าวเท้าออกจากจวนหมิงจูก็นำกำลังทหารบุกเข้ามาเสียก่อน (หมิงจูรู้สึกลำบากใจจึงสั่งให้ลูกน้องนำกำลังส่วนหนึ่งเข้าไปก่อน) ลูกน้องหมิงจูถ่ายทอดคำสั่งจักรพรรดิคังซีและประกาศความผิดของอาปู้ไน่ โดยกล่าวว่าอาปู้ไน่สมคบคิดกับกลุ่มต่อต้านและวางแผนก่อกบฏซึ่งนับเป็นโทษมหันต์ จึงสมควรถูกจับกุมและให้ควบคุมตัวกลับไปตัดสินโทษ ส่วนชายาอาปู้ไน่ ปู้เอ่อร์หนี และสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวจะถูกควบคุมและนำตัวไปไต่สวนในภายหลัง ใครบังอาจขัดขืนฆ่าไม่เว้น และห้ามผู้ใดหลบหนี อาปู้ไน่ยินดีรับโทษแต่ขอให้ละเว้นคนในครอบครัว ครั้นเห็นทหารสองนายเดินตรงเข้าไปหาบิดาหมายจับกุม ปู้เอ่อร์หนีก็ชักดาบแล้วสังหารทหารทั้งสองนายหมายเปิดทางให้ทุกคนหลบหนี อาปู้ไน่รีบร้องห้ามแต่สายเกินไป ลูกน้องหมิงจูเห็นดังนั้นจึงสั่งฆ่าปู้เอ่อร์หนีทันที หลังจากนั้นสถานการณ์ก็เริ่มชุลมุนและเกิดการต่อสู้ เหล่าบ่าวไพร่ในจวนจึงต่างพากันหนีตาย
ครั้นเห็นลูกชายคนโตโดนสังหารต่อหน้าต่อตา อาปู้ไน่จึงชักดาบหมายต่อสู้แต่ทหารกองธงฉาฮาเอ่อร์รีบพาเขาและครอบครัวถอยหนีไปทางอื่น อาซือไห่ร่วมต่อสู้กับทหารฝ่ายตนโดยซัดอาวุธลับใส่ทหารของฮ่องเต้ ครั้นอาวุธลับหมดเขาจึงก้มหยิบดาบขึ้นมาต่อสู้กับทหารแต่ถูกฟันจนล้มลงไปนอนแน่นิ่งเสียก่อน (เหลียงเอ๋อร์หันไปเห็นพอดี) อาปู้ไน่ ฝูจิ้น และเหลียงเอ๋อร์ พากันหนีออกทางประตูเล็กด้านข้างแต่กลับมีทหารจำนวนหนึ่งมาดักรอ ฝูจิ้นเห็นว่าอาปู้ไน่กำลังจะเพลี่ยงพล้ำจึงเอาตัวเข้าไปขวางและรับดาบแทน ถึงกระนั้นอาปู้ไน่ก็โดนสังหารอยู่ดี เหลียงเอ๋อร์เห็นดังนั้นจึงร้องลั่น อาซือไห่ได้ยินเสียงน้องสาวกรีดร้องจึงรู้สึกตัวและหันไปดู ครั้นเห็นทุกคนถูกสังหารต่อหน้าต่อตาเขาก็หมดสติไปอีกครั้ง (เขาเห็นเหลียงเอ๋อร์ล้มทรุดพร้อมมารดาบิดาเลยนึกว่าน้องสาวโดนสังหารด้วย ซึ่งแท้จริงแล้วฝูจิ้นกดตัวเหลียงเอ๋อร์ให้ล้มลงพร้อมกับเธอ) ฝูจิ้นขอให้เหลียงเอ๋อร์สัญญาว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เหลียงเอ๋อร์ยังไม่ทันรับปากเธอก็สิ้นใจตายเสียก่อน
จักรพรรดิคังซีอ่านรายงานแล้วได้แต่ทอดถอนใจ ครั้นหรงรั่วเข้ามารายงานว่าเหล่าชาวบ้าน (ซึ่งแห่มารวมตัวกันนอกเมืองหลวงหลังถูกเอ๋าป้ายยึดที่ทำกิน และต้องการบุกเข้าเมืองหลวงเพื่อยื่นถวายฎีกา) เตรียมเดินทางกลับถิ่นฐานหลังรู้ว่าเอ๋าป้ายถูกจับและต่างก็ได้ที่ดินคืน จักรพรรดิคังซีเห็นว่าเป็นข่าวดีเลยชวนหรงรั่วออกไปดูชาวบ้าน ทั้งคู่แอบออกไปเงียบๆ เป็นการส่วนตัวโดยไม่ให้ใครรู้และไม่มีทหารองครักษ์ติดตาม ถึงกระนั้นก็มีขันทีคนหนึ่งลอบส่งข่าวให้สมุนของเอ๋าป้ายที่อยู่นอกวังรับรู้ หลังมารดาบอกให้ไปหาหรงรั่วที่จวนสกุลน่าหลันก่อนตาย เหลียงเอ๋อร์จึงเดินถามทางไปจวนสกุลน่าหลันตลอดทาง แต่แล้วเธอกลับถูกสองคนร้ายวางยาและลักพาตัว ครั้นรู้สึกตัวเหลียงเอ๋อร์ก็พบว่าตนเองอยู่บนรถม้าในสภาพโดนมัดมือมัดเท้า หลังได้ยินสองคนร้ายคุยกันว่าจะนำตัวเธอไปขายให้หอคณิกา เหลียงเอ๋อร์ก็คิดหาทางเอาตัวรอด
จักรพรรดิคังซีกับหรงรั่วปลอมตัวมาสังเกตการณ์ชาวบ้านที่กำลังเดินทางกลับถิ่นฐานของตน ทั้งคู่ได้ยินเหล่าชาวบ้านกล่าวชมฮ่องเต้ว่าทรงพระปรีชาและชาญฉลาด สามารถปราบเอ๋าป้ายได้ทั้งที่ยังทรงพระเยาว์ หรงรั่วพลั้งปากเรียกจักรพรรดิคังซีว่า 'ฝ่าบาท' จักรพรรดิคังซีจึงบอกให้หรงรั่วเรียกตนว่า "เย่ซาน" เวลาอยู่นอกวัง สมุนของเอ๋าป้ายวางแผนแยกทั้งคู่ออกจากกัน โดยกลุ่มแรกแกล้งชิงทรัพย์ชาวบ้านแล้ววิ่งหนีไป จักรพรรดิคังซีจึงสั่งให้หรงรั่วตามไปชิงของมาคืนชาวบ้าน ครั้นเห็นฮ่องเต่น้อยอยู่เพียงลำพัง ชายคนหนึ่งจึงแกล้งล้วงกระเป๋าชาวบ้านก่อนขโมยม้าหนีไป จักรพรรดิคังซีรีบควบม้าไล่ตามไปติดๆ โดยไม่รู้ว่าเป็นหลุมพราง หรงรั่วตามคนร้ายไปจนทันและแย่งชิงของคืนมาได้โดยไม่ยากเย็น หลังคนร้ายวิ่งหนีไปเขาจึงสังหรณ์ใจว่านี่เป็นอาจเป็นกลลวง
สมุนเอ๋าป้ายลวงจักรพรรดิคังซีเข้าไปในป่าที่มีคนของพวกตนดักซุ่มอยู่ พวกเขาต้องการจับตัวฮ่องเต้น้อยไปแลกกับอิสรภาพของเอ๋าป้าย แม้จะตกอยู่ในวงล้อม ต้องรับมือเพียงลำพัง ซ้ำยังเป็นเด็ก แต่จักรพรรดิคังซีมีฝีมือแก่กล้าพอตัวจึงเอาตัวรอดได้ หลังใช้คมเหล็กตัดเชือกที่มัดมือมัดเท้าได้แล้วเหลียงเอ๋อร์ก็กระโดดลงจากรถม้าและวิ่งหนีไป แต่โจรลักพาตัวดันไหวตัวทันจึงรีบควบรถม้าไล่ตาม ในเวลาเดียวกันนั้นจักรพรรดิคังซีได้ฮึดสู้กับคนร้ายและชิงม้าหนีไป ครั้นเห็นเหลียงเอ๋อร์กำลังตกอยู่ในอันตราย (เธอสะดุดล้มและกำลังจะถูกโจรลักพาตัวทำร้าย) จักรพรรดิคังซีจึงยื่นมือให้เหลียงเอ๋อร์แล้วดึงตัวเธอขึ้นมาบนหลังม้า (จักรพรรดิคังซีถูกโจรลักพาตัวใช้ดาบฟันเข้าที่แขนขณะช่วยเหลียงเอ๋อร์) หลังจากนั้นไม่นานสองโจรลักพาตัวก็ถูกสมุนเอ๋าป้ายสังหาร ครั้นเห็นว่ามีคนร้ายอีกกลุ่มเหลียงเอ๋อร์ก็รู้สึกแปลกใจ จักรพรรดิคังซีชี้ว่าคนพวกนั้นไล่ตามตนมา พระองค์บอกให้เหลียงเอ๋อร์เกาะตนแน่นๆ ก่อนควบม้าหนีไปด้วยกัน
หมิงจูมาเข้าเฝ้าฮองไทเฮาเพื่อขอรับโทษแทนลูกชายที่ลอบพาจักรพรรดิคังซีออกนอกเมือง ฮองไทเฮาจึงสั่งให้หมิงจูพลิกแผ่นดินหาฮ่องเต้แล้วนำตัวกลับวังอย่างปลอดภัย จักรพรรดิคังซีเห็นว่าหากเหลียงเอ๋อร์ยังอยู่กับตนจะไม่ปลอดภัยจึงบอกให้เธอขี่ม้าหนีไป แต่เหลียงเอ๋อร์เห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยตนจึงไม่ยอมทิ้งเขาไว้เพียงลำพัง ทั้งยังยืนกรานว่าหากจะรอดก็ต้องรอดทั้งคู่ (เธอไม่รู้ว่าหนุ่มน้อยที่อยู่ตรงหน้าเป็นฮ่องเต้เลยเรียกเขาว่า "ท่านพี่") พอเห็นกลุ่มคนร้ายควบม้าใกล้เข้ามา เหลียงเอ๋อร์จึงออกอุบายให้คนร้ายไล่ตามม้าไปทางอื่น จากนั้นก็พากันหนีไปอีกทาง ครั้นเห็นจักรพรรดิคังซีสลักคำว่า "ซาน" ลงบนก้อนหินเพื่อให้คนในครอบครัวเห็นและตามมาช่วย เหลียงเอ๋อร์ก็อดเศร้าใจไม่ได้ที่ตนกลายเป็นคนไร้ญาติขาดมิตร พอเห็นเขาเริ่มเจ็บแผลและมีเลือดไหลไม่หยุดเหลียงเอ๋อร์จึงเตือนว่าทางที่ดีอย่าเพิ่งขยับแขน จักรพรรดิคังซีเห็นดีด้วยเลยชวนเธอไปหาที่สถานที่ปลอดภัยหลบซ่อนตัว
หรงรั่วออกตามหาพลางร้องเรียกเย่ซาน แต่กลับพบทหาร (ลูกน้องบิดา) กลางป่า ครั้นได้ยินว่าคนในวังรู้กันทั่วว่าฮ่องเต้หายตัวไป หรงรั่วจึงรู้สึกตกใจ จักรพรรดิคังซีกับเหลียงเอ๋อร์เข้าไปหลบซ่อนตัวในถ้ำที่มีรูปปั้นพระโพธิสัตว์ขนาดใหญ่ ทั้งคู่ถือโอกาสแนะนำตัวแต่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้สถานะที่แท้จริงของกันและกัน เหลียงเอ๋อร์รู้เพียงว่าหนุ่มน้อยที่ช่วยชีวิตเธอชื่อ "เย่ซาน" ส่วนจักรพรรดิคังซีก็รู้เพียงชื่อเหลียงเอ๋อร์แต่ไม่รู้ว่าเธอมาจากสกุลใด หลังนำผ้าเช็ดหน้าของตนมาพันแผลให้จักรพรรดิคังซีแล้ว เหลียงเอ๋อร์ก็ไปเก็บฟืนมาก่อไฟ จักรพรรดิคังซีรู้สึกประทับใจและซาบซึ้งในน้ำใจของเหลียงเอ๋อร์ ทั้งยังรู้สึกทึ่งที่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอก่อไฟเป็น เหลียงเอ๋อร์เล่าว่าพี่ชายเธอเป็นคนสอน ครั้นพูดถึงพี่ชายเหลียงเอ๋อร์ก็น้ำตาร่วงและบอกว่าพี่ชายเธอจากโลกนี้ไปแล้ว จักรพรรดิคังซีทั้งสงสารและเห็นใจ เขาจับมือเหลียงเอ๋อร์พลางปลอบโยนเธอ โดยบอกให้คิดเสียว่าตนเป็นพี่ชาย
หรงรั่วเห็นสัญลักษณ์บนก้อนหินเลยรู้ว่าจักรพรรดิคังซีอยู่ไม่ไกลจากบริเวณดังกล่าว เขาจึงสั่งให้ทหารตรวจค้นให้ทั่ว จักรพรรดิคังซีเห็นว่าตนเริ่มอ่อนเพลียและง่วงนอนหลังเสียเลือด จึงยื่นดาบให้เหลียงเอ๋อร์แล้วบอกให้เธอรีบหนีเอาตัวรอด ครั้นตื่นขึ้นกลับพบว่าเหลียงเอ๋อร์ยังคงนอนเฝ้าตนไม่ห่างทั้งที่หวาดกลัว เหลียงเอ๋อร์ฝันร้ายจึงละเมอร้องเรียกแม่ก่อนโผเข้ากอดจักรพรรดิคังซีด้วยความตกใจกลัว เหลียงเอ๋อร์เล่าว่าเมื่อวานเป็นวันเกิดปีสุดท้ายที่เธอได้ร่วมฉลองกับครอบครัว จากนี้ไปเธอจะไม่ได้ฉลองวันเกิดอีกแล้ว จักรพรรดิคังซีได้ยินดังนั้นจึงบอกว่าต่อไปตนจะฉลองวันเกิดกับเธอเอง ครั้นเหลียงเอ๋อร์แย้งว่าเขาไม่ได้เป็นคนในครอบครัวเธอ จักรพรรดิคังซีจึงเสนอให้มาเป็นครอบครัวเดียวกันในวันหน้า (แต่งงานกัน) ทั้งยังสัญญาว่าจะคอยดูแลและปกป้องเหลียงเอ๋อร์นับจากนี้เป็นต้นไป เพื่อให้เหลียงเอ๋อร์หายกลัวจักรพรรดิคังซีจึงวาดรูปเสือลงบนฝ่ามือเธอประหนึ่งเป็นยันต์คุ้มภัย (และเป็นการตีตราจอง) โดยบอกว่าราชาแห่งสัตว์ป่าอย่างเสือจะช่วยปกป้องเธอจากความกลัว (บนหน้าผากเสือมีตัวอักษร " 王" ซึ่งหมายถึง "พระราชา" ด้วย)
ครั้นได้ยินเสียงคนร้ายใกล้เข้ามา จักรพรรดิคังซีจึงรีบพาเหลียงเอ๋อร์ออกจากถ้ำแล้วบอกให้เธอหนีไปก่อน ส่วนตนจะออกไปรับมือคนร้ายและถ่วงเวลาเอาไว้ให้ แต่เหลียงเอ๋อร์ทั้งหวาดกลัวและไม่อยากหนีเอาตัวรอดคนเดียวเลยคว้าแขนเขาไว้ จักรพรรดิคังซียืนยันว่าตนจะต้องปลอดภัยแน่นอน เพราะตนเป็นถึงราชาแห่งสัตว์ป่า ถ้าไม่เชื่อให้ไปพบกันที่ประตูวัดฝูโย่วในอีกสามวันข้างหน้า รับรองว่าตนไม่เป็นอะไรแน่และจะไปรอเหลียงเอ๋อร์ที่นั่น เหลียงเอ๋อร์กลัวเสียเย่ซานไปอีกคนจึงวิ่งเข้าไปกอดและไม่ยอมแยกจากกัน ครั้นเห็นว่าหนึ่งในคนร้ายขี่ม้าใกล้เข้ามา จักรพรรดิคังซีจึงลอบจู่โจมแล้วชิงม้าของคนร้าย จากนั้นก็กล่อมให้เหลียงเอ๋อร์ขี่ม้าหนีไปโดยปลอบว่าเสือน้อย (บนฝ่ามือ) จะคอยปกป้องเธอเอง ครั้นเหลียงเอ๋อร์หันกลับไปมองก็เห็นจักรพรรดิคังซีกำลังต่อสู้กับกลุ่มคนร้ายเพียงลำพังอย่างกล้าหาญ เธอได้แต่ร้องเรียก..."เย่ซาน!" ด้วยความเป็นห่วงและอาลัย
อาปู้ไน่รีบกลับมาที่จวนโดยมีปู้เอ่อร์หนี อู๋จื่อม่อ และทหารจำนวนหนึ่งคอยอารักขา เขาบอกให้ภรรยารีบเก็บของเพราะพวกตนต้องออกจากเมืองหลวงให้เร็วที่สุด จากนั้นก็บอกให้ปู้เอ่อร์หนีไปเตรียมม้า เหลียงเอ๋อร์ซึ่งรอฉลองวันเกิดกับบิดามาตลอดทั้งวัน สงสัยว่าทำไมพวกตนถึงต้องไปจากเมืองหลวง อาปู้ไน่กล่าวว่าหากพวกตนไม่รีบไปฮ่องเต้จะจับตนขังคุก ตนขาดประชุมขุนนางตอนเช้าบ่อยๆ ฮ่องเต้เลยไม่พอพระทัย เหลียงเอ๋อร์แนะว่านับจากนี้ให้อยู่ด้วยกันทุกวัน (ไม่ต้องไปประชุมอีก) โดยไม่ต้องสนใจฮ่องเต้อาปู้ไน่ได้ยินแล้วน้ำตาคลอเบ้า เขาสัญญาว่านับจากวันนี้พวกตนจะไม่พรากจากกัน อาปู้ไน่จะรีบพาครอบครัวหลบหนี แต่อู๋จื่อม่อขอให้นำกำลังไปช่วยเสนาฯ เอ๋า (เอ๋าป้าย) ก่อน อาปู้ไน่แย้งว่าหากไม่รีบไปตอนนี้ทุกชีวิตในครอบครัวตนคงไม่รอดแน่
อาปู้ไน่และครอบครัวยังไม่ทันได้ได้ก้าวเท้าออกจากจวนหมิงจูก็นำกำลังทหารบุกเข้ามาเสียก่อน (หมิงจูรู้สึกลำบากใจจึงสั่งให้ลูกน้องนำกำลังส่วนหนึ่งเข้าไปก่อน) ลูกน้องหมิงจูถ่ายทอดคำสั่งจักรพรรดิคังซีและประกาศความผิดของอาปู้ไน่ โดยกล่าวว่าอาปู้ไน่สมคบคิดกับกลุ่มต่อต้านและวางแผนก่อกบฏซึ่งนับเป็นโทษมหันต์ จึงสมควรถูกจับกุมและให้ควบคุมตัวกลับไปตัดสินโทษ ส่วนชายาอาปู้ไน่ ปู้เอ่อร์หนี และสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวจะถูกควบคุมและนำตัวไปไต่สวนในภายหลัง ใครบังอาจขัดขืนฆ่าไม่เว้น และห้ามผู้ใดหลบหนี อาปู้ไน่ยินดีรับโทษแต่ขอให้ละเว้นคนในครอบครัว ครั้นเห็นทหารสองนายเดินตรงเข้าไปหาบิดาหมายจับกุม ปู้เอ่อร์หนีก็ชักดาบแล้วสังหารทหารทั้งสองนายหมายเปิดทางให้ทุกคนหลบหนี อาปู้ไน่รีบร้องห้ามแต่สายเกินไป ลูกน้องหมิงจูเห็นดังนั้นจึงสั่งฆ่าปู้เอ่อร์หนีทันที หลังจากนั้นสถานการณ์ก็เริ่มชุลมุนและเกิดการต่อสู้ เหล่าบ่าวไพร่ในจวนจึงต่างพากันหนีตาย
ครั้นเห็นลูกชายคนโตโดนสังหารต่อหน้าต่อตา อาปู้ไน่จึงชักดาบหมายต่อสู้แต่ทหารกองธงฉาฮาเอ่อร์รีบพาเขาและครอบครัวถอยหนีไปทางอื่น อาซือไห่ร่วมต่อสู้กับทหารฝ่ายตนโดยซัดอาวุธลับใส่ทหารของฮ่องเต้ ครั้นอาวุธลับหมดเขาจึงก้มหยิบดาบขึ้นมาต่อสู้กับทหารแต่ถูกฟันจนล้มลงไปนอนแน่นิ่งเสียก่อน (เหลียงเอ๋อร์หันไปเห็นพอดี) อาปู้ไน่ ฝูจิ้น และเหลียงเอ๋อร์ พากันหนีออกทางประตูเล็กด้านข้างแต่กลับมีทหารจำนวนหนึ่งมาดักรอ ฝูจิ้นเห็นว่าอาปู้ไน่กำลังจะเพลี่ยงพล้ำจึงเอาตัวเข้าไปขวางและรับดาบแทน ถึงกระนั้นอาปู้ไน่ก็โดนสังหารอยู่ดี เหลียงเอ๋อร์เห็นดังนั้นจึงร้องลั่น อาซือไห่ได้ยินเสียงน้องสาวกรีดร้องจึงรู้สึกตัวและหันไปดู ครั้นเห็นทุกคนถูกสังหารต่อหน้าต่อตาเขาก็หมดสติไปอีกครั้ง (เขาเห็นเหลียงเอ๋อร์ล้มทรุดพร้อมมารดาบิดาเลยนึกว่าน้องสาวโดนสังหารด้วย ซึ่งแท้จริงแล้วฝูจิ้นกดตัวเหลียงเอ๋อร์ให้ล้มลงพร้อมกับเธอ) ฝูจิ้นขอให้เหลียงเอ๋อร์สัญญาว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เหลียงเอ๋อร์ยังไม่ทันรับปากเธอก็สิ้นใจตายเสียก่อน
จักรพรรดิคังซีอ่านรายงานแล้วได้แต่ทอดถอนใจ ครั้นหรงรั่วเข้ามารายงานว่าเหล่าชาวบ้าน (ซึ่งแห่มารวมตัวกันนอกเมืองหลวงหลังถูกเอ๋าป้ายยึดที่ทำกิน และต้องการบุกเข้าเมืองหลวงเพื่อยื่นถวายฎีกา) เตรียมเดินทางกลับถิ่นฐานหลังรู้ว่าเอ๋าป้ายถูกจับและต่างก็ได้ที่ดินคืน จักรพรรดิคังซีเห็นว่าเป็นข่าวดีเลยชวนหรงรั่วออกไปดูชาวบ้าน ทั้งคู่แอบออกไปเงียบๆ เป็นการส่วนตัวโดยไม่ให้ใครรู้และไม่มีทหารองครักษ์ติดตาม ถึงกระนั้นก็มีขันทีคนหนึ่งลอบส่งข่าวให้สมุนของเอ๋าป้ายที่อยู่นอกวังรับรู้ หลังมารดาบอกให้ไปหาหรงรั่วที่จวนสกุลน่าหลันก่อนตาย เหลียงเอ๋อร์จึงเดินถามทางไปจวนสกุลน่าหลันตลอดทาง แต่แล้วเธอกลับถูกสองคนร้ายวางยาและลักพาตัว ครั้นรู้สึกตัวเหลียงเอ๋อร์ก็พบว่าตนเองอยู่บนรถม้าในสภาพโดนมัดมือมัดเท้า หลังได้ยินสองคนร้ายคุยกันว่าจะนำตัวเธอไปขายให้หอคณิกา เหลียงเอ๋อร์ก็คิดหาทางเอาตัวรอด
จักรพรรดิคังซีกับหรงรั่วปลอมตัวมาสังเกตการณ์ชาวบ้านที่กำลังเดินทางกลับถิ่นฐานของตน ทั้งคู่ได้ยินเหล่าชาวบ้านกล่าวชมฮ่องเต้ว่าทรงพระปรีชาและชาญฉลาด สามารถปราบเอ๋าป้ายได้ทั้งที่ยังทรงพระเยาว์ หรงรั่วพลั้งปากเรียกจักรพรรดิคังซีว่า 'ฝ่าบาท' จักรพรรดิคังซีจึงบอกให้หรงรั่วเรียกตนว่า "เย่ซาน" เวลาอยู่นอกวัง สมุนของเอ๋าป้ายวางแผนแยกทั้งคู่ออกจากกัน โดยกลุ่มแรกแกล้งชิงทรัพย์ชาวบ้านแล้ววิ่งหนีไป จักรพรรดิคังซีจึงสั่งให้หรงรั่วตามไปชิงของมาคืนชาวบ้าน ครั้นเห็นฮ่องเต่น้อยอยู่เพียงลำพัง ชายคนหนึ่งจึงแกล้งล้วงกระเป๋าชาวบ้านก่อนขโมยม้าหนีไป จักรพรรดิคังซีรีบควบม้าไล่ตามไปติดๆ โดยไม่รู้ว่าเป็นหลุมพราง หรงรั่วตามคนร้ายไปจนทันและแย่งชิงของคืนมาได้โดยไม่ยากเย็น หลังคนร้ายวิ่งหนีไปเขาจึงสังหรณ์ใจว่านี่เป็นอาจเป็นกลลวง
สมุนเอ๋าป้ายลวงจักรพรรดิคังซีเข้าไปในป่าที่มีคนของพวกตนดักซุ่มอยู่ พวกเขาต้องการจับตัวฮ่องเต้น้อยไปแลกกับอิสรภาพของเอ๋าป้าย แม้จะตกอยู่ในวงล้อม ต้องรับมือเพียงลำพัง ซ้ำยังเป็นเด็ก แต่จักรพรรดิคังซีมีฝีมือแก่กล้าพอตัวจึงเอาตัวรอดได้ หลังใช้คมเหล็กตัดเชือกที่มัดมือมัดเท้าได้แล้วเหลียงเอ๋อร์ก็กระโดดลงจากรถม้าและวิ่งหนีไป แต่โจรลักพาตัวดันไหวตัวทันจึงรีบควบรถม้าไล่ตาม ในเวลาเดียวกันนั้นจักรพรรดิคังซีได้ฮึดสู้กับคนร้ายและชิงม้าหนีไป ครั้นเห็นเหลียงเอ๋อร์กำลังตกอยู่ในอันตราย (เธอสะดุดล้มและกำลังจะถูกโจรลักพาตัวทำร้าย) จักรพรรดิคังซีจึงยื่นมือให้เหลียงเอ๋อร์แล้วดึงตัวเธอขึ้นมาบนหลังม้า (จักรพรรดิคังซีถูกโจรลักพาตัวใช้ดาบฟันเข้าที่แขนขณะช่วยเหลียงเอ๋อร์) หลังจากนั้นไม่นานสองโจรลักพาตัวก็ถูกสมุนเอ๋าป้ายสังหาร ครั้นเห็นว่ามีคนร้ายอีกกลุ่มเหลียงเอ๋อร์ก็รู้สึกแปลกใจ จักรพรรดิคังซีชี้ว่าคนพวกนั้นไล่ตามตนมา พระองค์บอกให้เหลียงเอ๋อร์เกาะตนแน่นๆ ก่อนควบม้าหนีไปด้วยกัน
หมิงจูมาเข้าเฝ้าฮองไทเฮาเพื่อขอรับโทษแทนลูกชายที่ลอบพาจักรพรรดิคังซีออกนอกเมือง ฮองไทเฮาจึงสั่งให้หมิงจูพลิกแผ่นดินหาฮ่องเต้แล้วนำตัวกลับวังอย่างปลอดภัย จักรพรรดิคังซีเห็นว่าหากเหลียงเอ๋อร์ยังอยู่กับตนจะไม่ปลอดภัยจึงบอกให้เธอขี่ม้าหนีไป แต่เหลียงเอ๋อร์เห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยตนจึงไม่ยอมทิ้งเขาไว้เพียงลำพัง ทั้งยังยืนกรานว่าหากจะรอดก็ต้องรอดทั้งคู่ (เธอไม่รู้ว่าหนุ่มน้อยที่อยู่ตรงหน้าเป็นฮ่องเต้เลยเรียกเขาว่า "ท่านพี่") พอเห็นกลุ่มคนร้ายควบม้าใกล้เข้ามา เหลียงเอ๋อร์จึงออกอุบายให้คนร้ายไล่ตามม้าไปทางอื่น จากนั้นก็พากันหนีไปอีกทาง ครั้นเห็นจักรพรรดิคังซีสลักคำว่า "ซาน" ลงบนก้อนหินเพื่อให้คนในครอบครัวเห็นและตามมาช่วย เหลียงเอ๋อร์ก็อดเศร้าใจไม่ได้ที่ตนกลายเป็นคนไร้ญาติขาดมิตร พอเห็นเขาเริ่มเจ็บแผลและมีเลือดไหลไม่หยุดเหลียงเอ๋อร์จึงเตือนว่าทางที่ดีอย่าเพิ่งขยับแขน จักรพรรดิคังซีเห็นดีด้วยเลยชวนเธอไปหาที่สถานที่ปลอดภัยหลบซ่อนตัว
หรงรั่วออกตามหาพลางร้องเรียกเย่ซาน แต่กลับพบทหาร (ลูกน้องบิดา) กลางป่า ครั้นได้ยินว่าคนในวังรู้กันทั่วว่าฮ่องเต้หายตัวไป หรงรั่วจึงรู้สึกตกใจ จักรพรรดิคังซีกับเหลียงเอ๋อร์เข้าไปหลบซ่อนตัวในถ้ำที่มีรูปปั้นพระโพธิสัตว์ขนาดใหญ่ ทั้งคู่ถือโอกาสแนะนำตัวแต่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้สถานะที่แท้จริงของกันและกัน เหลียงเอ๋อร์รู้เพียงว่าหนุ่มน้อยที่ช่วยชีวิตเธอชื่อ "เย่ซาน" ส่วนจักรพรรดิคังซีก็รู้เพียงชื่อเหลียงเอ๋อร์แต่ไม่รู้ว่าเธอมาจากสกุลใด หลังนำผ้าเช็ดหน้าของตนมาพันแผลให้จักรพรรดิคังซีแล้ว เหลียงเอ๋อร์ก็ไปเก็บฟืนมาก่อไฟ จักรพรรดิคังซีรู้สึกประทับใจและซาบซึ้งในน้ำใจของเหลียงเอ๋อร์ ทั้งยังรู้สึกทึ่งที่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอก่อไฟเป็น เหลียงเอ๋อร์เล่าว่าพี่ชายเธอเป็นคนสอน ครั้นพูดถึงพี่ชายเหลียงเอ๋อร์ก็น้ำตาร่วงและบอกว่าพี่ชายเธอจากโลกนี้ไปแล้ว จักรพรรดิคังซีทั้งสงสารและเห็นใจ เขาจับมือเหลียงเอ๋อร์พลางปลอบโยนเธอ โดยบอกให้คิดเสียว่าตนเป็นพี่ชาย
หรงรั่วเห็นสัญลักษณ์บนก้อนหินเลยรู้ว่าจักรพรรดิคังซีอยู่ไม่ไกลจากบริเวณดังกล่าว เขาจึงสั่งให้ทหารตรวจค้นให้ทั่ว จักรพรรดิคังซีเห็นว่าตนเริ่มอ่อนเพลียและง่วงนอนหลังเสียเลือด จึงยื่นดาบให้เหลียงเอ๋อร์แล้วบอกให้เธอรีบหนีเอาตัวรอด ครั้นตื่นขึ้นกลับพบว่าเหลียงเอ๋อร์ยังคงนอนเฝ้าตนไม่ห่างทั้งที่หวาดกลัว เหลียงเอ๋อร์ฝันร้ายจึงละเมอร้องเรียกแม่ก่อนโผเข้ากอดจักรพรรดิคังซีด้วยความตกใจกลัว เหลียงเอ๋อร์เล่าว่าเมื่อวานเป็นวันเกิดปีสุดท้ายที่เธอได้ร่วมฉลองกับครอบครัว จากนี้ไปเธอจะไม่ได้ฉลองวันเกิดอีกแล้ว จักรพรรดิคังซีได้ยินดังนั้นจึงบอกว่าต่อไปตนจะฉลองวันเกิดกับเธอเอง ครั้นเหลียงเอ๋อร์แย้งว่าเขาไม่ได้เป็นคนในครอบครัวเธอ จักรพรรดิคังซีจึงเสนอให้มาเป็นครอบครัวเดียวกันในวันหน้า (แต่งงานกัน) ทั้งยังสัญญาว่าจะคอยดูแลและปกป้องเหลียงเอ๋อร์นับจากนี้เป็นต้นไป เพื่อให้เหลียงเอ๋อร์หายกลัวจักรพรรดิคังซีจึงวาดรูปเสือลงบนฝ่ามือเธอประหนึ่งเป็นยันต์คุ้มภัย (และเป็นการตีตราจอง) โดยบอกว่าราชาแห่งสัตว์ป่าอย่างเสือจะช่วยปกป้องเธอจากความกลัว (บนหน้าผากเสือมีตัวอักษร " 王" ซึ่งหมายถึง "พระราชา" ด้วย)
ครั้นได้ยินเสียงคนร้ายใกล้เข้ามา จักรพรรดิคังซีจึงรีบพาเหลียงเอ๋อร์ออกจากถ้ำแล้วบอกให้เธอหนีไปก่อน ส่วนตนจะออกไปรับมือคนร้ายและถ่วงเวลาเอาไว้ให้ แต่เหลียงเอ๋อร์ทั้งหวาดกลัวและไม่อยากหนีเอาตัวรอดคนเดียวเลยคว้าแขนเขาไว้ จักรพรรดิคังซียืนยันว่าตนจะต้องปลอดภัยแน่นอน เพราะตนเป็นถึงราชาแห่งสัตว์ป่า ถ้าไม่เชื่อให้ไปพบกันที่ประตูวัดฝูโย่วในอีกสามวันข้างหน้า รับรองว่าตนไม่เป็นอะไรแน่และจะไปรอเหลียงเอ๋อร์ที่นั่น เหลียงเอ๋อร์กลัวเสียเย่ซานไปอีกคนจึงวิ่งเข้าไปกอดและไม่ยอมแยกจากกัน ครั้นเห็นว่าหนึ่งในคนร้ายขี่ม้าใกล้เข้ามา จักรพรรดิคังซีจึงลอบจู่โจมแล้วชิงม้าของคนร้าย จากนั้นก็กล่อมให้เหลียงเอ๋อร์ขี่ม้าหนีไปโดยปลอบว่าเสือน้อย (บนฝ่ามือ) จะคอยปกป้องเธอเอง ครั้นเหลียงเอ๋อร์หันกลับไปมองก็เห็นจักรพรรดิคังซีกำลังต่อสู้กับกลุ่มคนร้ายเพียงลำพังอย่างกล้าหาญ เธอได้แต่ร้องเรียก..."เย่ซาน!" ด้วยความเป็นห่วงและอาลัย
** จบตอนที่หนึ่ง **
* เนื้อหาโดย luvasianseries / ดูอัลบั้มภาพได้ ที่นี่
รายชื่อนักแสดง
หลิวข่ายเวย
รับบท จักรพรรดิคังซี (อ้ายซินเจฺว๋หลัว เสวียนเย่)
(นักแสดง / นักร้อง / โปรดิวเซอร์ ชาวฮ่องกง)
เจิ้งส่วง
รับบท เว่ยหลินหลาง (ป๋อเอ่อร์จี้จี๋เท่อ เหลียงเอ๋อร์)
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท จักรพรรดินีเสี้ยวจวง พระพันปีหลวง (ฮองไทเฮา)
(นักแสดง ชาวฮ่องกง)
จางปินปิน
รับบท น่าหลันหรงรั่ว
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท ฉางชิ่ง (ป๋อเอ่อร์จี้จี๋เท่อ อาซือไห่)
(นักแสดง / นักร้อง / นายแบบ ชาวจีน)
หวังรุ่ยซิน
รับบท ฮุ่ยเฟย
(นักแสดง ชาวจีน)
หลิวเหมิงเหมิง
รับบท อวี้จู้
(นักแสดง ชาวจีน)
หลิวเถียนหรู่
รับบท อวิ๋นชู
(นักแสดง / นางแบบ ชาวจีน)
รับบท อวิ๋นชู
(นักแสดง / นางแบบ ชาวจีน)
จางจื่อซี
รับบท ฮั่วจู
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท ฮั่วจู
(นักแสดง ชาวจีน)
คลิปตัวอย่างแต่ละตอนจาก GTV八大電視
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา