กำกับ: เกาส่วง, หยางฮวน, หยางไท่
เขียนบท: เส้าเทียน, ค่านจิ่ง, เฉิงซี, ซุนเหวิน, เว่ยจวิน
แนวละคร: อิงประวัติศาสตร์, สืบสวนสอบสวน
จำนวนตอน: 48
ออกอากาศ: จีน - 1 เมษายน 2563 ทางเว็บไซต์อ้ายฉีอี้ (iQIYI)
ไทย - ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 22.00 น. (รีรันวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 13.00 น.) ทางช่องทรูโฟร์ยู (หมายเลข 24) ตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน 2563 - 8 ตุลาคม 2563
เรื่องย่อ
ละคร "รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่" (The Sleuth of the Ming Dynasty) อำนวยการสร้างโดย "เฉินหลง" ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง "成化十四年" ของ "เมิ่งซีสือ" เนื้อหากล่าวถึงเหตุการณ์ในรัชสมัย "จักรพรรดิหมิงเสี้ยนจง" หรือ "จักรพรรดิเฉิงฮว่า" แห่งราชวงศ์หมิง เรื่องราวเกิดขึ้นในรัชศกเฉิงฮว่าปีที่ 14 (ปีที่ 14 ของการขึ้นครองราชย์ ตรงกับปี ค.ศ. 1478 หรือปี พ.ศ. 2021) "ถังฟ่าน" ขุนนางหนุ่มรูปงามประจำซุ่นเทียนฝู่ ได้ร่วมมือกับองครักษ์เสื้อแพรนาม "สุยโจว" ไขคดีปริศนาฆาตกรรม ซ้ำยังร่วมเปิดโปงและทำลายแผนก่อกบฏของ "ซ่างหมิง" ผู้บัญชาการหน่วยตงฉ่าง (หน่วยงานบูรพา) ซึ่งชักใยอยู่เบื้องหลังคดีต่างๆ อีกด้วย
* "หมิงเสี้ยนจง" หรือ "จักรพรรดิเฉิงฮว่า" เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์หมิง
* "ซุ่นเทียนฝู่" เป็นชื่อเขตปกครองหนึ่งในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง (ที่ตั้งกรุงปักกิ่งในปัจจุบัน) และยังหมายถึงอาคารที่ว่าการซุ่นเทียนฝู่อีกด้วย (เทียบเท่าสำนักงานเทศบาลนครปักกิ่งในปัจจุบัน)
* "ตงฉ่าง" (หน่วยงานบูรพา) คือ หน่วยงานสมัยราชวงศ์หมิง ถูกตั้งขึ้นเพื่อความมั่นคงในราชสำนักโดยมีขันทีเป็นผู้บัญชาการ ลักษณะการทำงานคล้ายตำรวจลับที่คอยสอดส่องการทำงานของขุนนางทั้งในและนอกราชสำนัก ตลอดจนเหล่าบัณฑิต เพื่อป้องกันการกระทำผิดหรือคิดก่อกบฏ โดยจะรายงานต่อฮ่องเต้โดยตรง
เนื้อหาตอนที่หนึ่ง
"ถังฟ่าน" เป็นขุนนางขั้นหก ตำแหน่ง "ทุยกวน" ประจำที่ว่าการซุ่นเทียนฝู่ แม้เป็นเพียงตำแหน่งเล็กๆ แต่ชื่อเสียงและความสามารถของเขาเป็นที่เลื่องลือ เพราะเขาสอบขุนนาง (หน้าพระที่นั่ง) ได้เป็นอันดับหนึ่ง น่าเสียดายที่ฮ่องเต้เห็นว่าเขาอายุยังน้อยจึงไม่แต่งตั้งให้เป็นจ้วงหยวน [จอหงวน] ด้วยความที่เป็น 'สายกิน' ถังฟ่านจึงมาทำงานตำแหน่งเล็กๆ ในซุ่นเทียนฝู่ หวังตระเวนชิมอาหารรสเลิศในเมืองหลวงให้หนำใจ ที่สำคัญ ผู้ว่าการซุ่นเทียนฝู่ (ขุนนางขั้นสาม) นาม "พานปิน" ยังเป็นศิษย์พี่ของเขา เขาจึงออกไปหาอาหารรสเลิศทานยามว่างได้อย่างสบายอารมณ์
* เมืองหลวงในรัชสมัย "จักรพรรดิหมิงเสี้ยนจง" (จักรพรรดิเฉิงฮว่า) ชื่อ "เป่ยจิง" (ปักกิ่ง)
* เมืองหลวงในรัชสมัย "จักรพรรดิหมิงเสี้ยนจง" (จักรพรรดิเฉิงฮว่า) ชื่อ "เป่ยจิง" (ปักกิ่ง)
* "ทุยกวน" เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางในสมัยโบราณ มีหน้าที่แตกต่างกันไปในแต่ละราชวงศ์ ในสมัยราชวงศ์หมิงตำแหน่งทุยกวนเป็นเหมือน 'ผู้ช่วยผู้ว่าการ' มีหน้าที่สืบสวนและวินิจฉัยคดีต่างๆ ให้ชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นคดีมโนสาเร่ (ในสมัยโบราณที่ว่าการของแต่ละเมือง/อำเภอจะรับเรื่องร้องทุกข์ ไต่สวน และตัดสินคดีด้วย ดังเช่น ท่านเปาฯ ผู้ว่าการเมืองไคเฟิงในสมัยราชวงศ์ซ่ง ที่ตัดสินคดีอย่างเที่ยงธรรม)
ละครเปิดฉากขณะถังฟ่านมาทานอาหารกลางวันที่ร้านตงจี้ของ "ตงกู" หมายทานอาหารรสเลิศ (เนื้อกระทะ) โดยก่อนหน้านี้เขาได้บอกให้ทางร้านคัดสรรวัตถุดิบและหมักเนื้อเตรียมไว้ให้ตามสูตรที่ต้องการ หลังทานเนื้อย่างอร่อยสุดในใต้หล้าได้เพียงคำเดียว เจ้าหน้าที่สองนายของซุ่นเทียนฝู่ก็วิ่งเข้ามายกชามเนื้อและเตาบนโต๊ะของถังฟ่านก่อนวิ่งหนีไป ถังฟ่านถือตะเกียบวิ่งไล่ตามเจ้าหน้าที่ทั้งสองหมายทวงเนื้อและเตาของตนคืน ครั้นตามมาถึงหน้าที่ว่าการเมืองซุ่นเทียนฝู่ ถังฟ่านจึงรู้ตัวว่าถูกพานปินบีบให้กลับมาทำงาน พานปินออกตัวว่ามีคดีที่ต้องสะสางอย่างเร่งด่วน หลังไล่เลียงจนรู้ว่าคดีทั้งหมดไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ถังฟ่านจึงโวยพานปินที่ไม่ยอมให้ตนทานอาหารกลางวันอันโอชะก่อน พานปินชี้ว่าแม้เป็นเรื่องหมูหมากาไก่แต่คดีเหล่านี้เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน เขาเสนอให้ถังฟ่านกินไปฟัง (เรื่องร้องทุกข์) ไป โดยสัญญาว่าจะเลี้ยงอาหารเป็นการตอบแทน
ถังฟ่านยอมทำตามแต่โดยดี และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเขาจึงบอกให้เหล่าบรรดาเจ้าหน้าที่อ่านหนังสือร้องทุกข์ทั้งหมดให้ตนฟังพร้อมกัน ถังฟ่านดื่มด่ำกับเนื้อย่างเลิศรส พลางแยกโสตประสาทในการรับฟังเรื่องราวร้องทุกข์ที่เหล่าบรรดาเจ้าหน้าที่นับสิบนายอ่านประสานเสียงแบบอื้ออึง (ต่างคนต่างอ่าน) หลังจากนั้นเขาก็เริ่มวิเคราะห์รูปการณ์ของแต่ละคดีและออกไปชำระความที่โถงกลาง ก่อนชี้ตัวผู้กระทำผิดได้อย่างแม่นยำ (ถังฟ่านเป็นคนฉลาดหลักแหลม รอบรู้ ช่างสังเกต และละเอียดถี่ถ้วน) หลังจากนั้นพานปินจึงรับไม้ต่อด้วยการบีบให้ผู้กระทำผิดยอมรับสารภาพ ก่อนตัดสินโทษและปิดคดี
อีกด้านหนึ่ง องครักษ์เสื้อแพรนาม "สุยโจว" ได้ไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งโดยสวมชุดดำอำพรางฐานะและซ่อนดาบคู่กายไว้ในห่อผ้า หลังนั่งร่วมโต๊ะกับชายคนหนึ่งและสั่งอาหาร (กับเจ้าของร้าน) แล้ว สุยโจวจึงเปรยเรื่องลมฟ้าอากาศ เขากล่าวว่าหากปีนี้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล หญ้าที่ขึ้นในแดนทุ่งหญ้าคงพอเลี้ยงวัวและแกะตลอดช่วงฤดูหนาว เช่นนี้แล้วชนเผ่าหว่าล่า (เผ่าหนึ่งของมองโกล) คงไม่บุกลงมาทางใต้ (หมายถึงรุกรานต้าหมิง) เพราะขาดแคลนอาหารและหญ้าอีก เหล่าทหารที่ประจำอยู่บริเวณชายแดนจะได้พักรบและไม่เกิดการสูญเสีย
ชายที่นั่งทานอาหารตรงหน้าสุยโจวได้ยินแล้วเป็นงง แต่สุยโจวยังคงพูดต่อโดยร่ายประวัติของทหารคนหนึ่งซึ่งรับใช้กองทัพตั้งแต่อายุ 15 หลังจากนั้นได้เลื่อนตำแหน่งเรื่อยมาและผ่านการกรำศึกมาอย่างโชกโชน แต่ทว่าตอนอายุ 27 ได้ลอบสังหารแม่ทัพ "ติงหรูซวิน" จากนั้นจึงเปลี่ยนชื่อแซ่แล้วหนีออกนอกด่าน ก่อนเร้นกายมานานถึงสิบเอ็ดปี ชายคนเดิมแย้งว่าสุยโจวจำคนผิด แต่พอเห็นท่าทาง อาวุธ และรู้ว่าสุยโจวพูดกับเจ้าของร้านที่ยืนหั่นเนื้อหั่นผักอยู่ทางด้านหลัง เขาจึงวางเงินค่าอาหารไว้บนโต๊ะแล้วรีบเผ่นทันที สุยโจวเรียกเจ้าของร้านว่า "เจี่ยขุย" ก่อนกล่าวว่าตนสืบหาเขามานาน ครั้นเห็นว่าบุตรชายตัวน้อยของเจี่ยขุยอยู่ในร้าน สุยโจวจึงชวนเจี่ยขุยออกไปเจรจาทางด้านนอก
เจี่ยขุยออกไปคุยกับสุยโจวโดยไม่พกอาวุธติดมือไปด้วย แม้ตั้งใจมาจับแต่สุยโจวยังคงแนะนำตัวอย่างสุภาพและให้เกียรติ โดยกล่าวว่า ตนคือ "จงฉี" แห่ง "เป่ยเจิ้นฝู่ซือ" (เจิ้นฝู่ซือฝ่ายเหนือ) นาม "สุยโจว" เจี่ยขุยดูออกว่าสุยโจวเคยเป็นทหารในกองทัพมาก่อน สุยโจวยอมรับว่าตนเคยเป็นทหารพิทักษ์ชายแดนมานานสองปี ครั้นเห็นว่าสุยโจวนำกำลังมาเพียงเจ็ดคนเจี่ยขุยก็รู้สึกแปลกใจ ที่แท้สุยโจวตั้งใจมาจับเป็น เขารู้ว่าเจี่ยขุยเป็นคนมากฝีมือ แต่คนอย่างเจี่ยขุยไม่มีทางทิ้งลูกเมียแล้วหนีเอาตัวรอดตามลำพังแน่ และการหนีพร้อมลูกเมียนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ครั้นรู้ว่าสุยโจวไม่คิดทำร้ายลูกเมียตน เจี่ยขุยจึงยอมมอบตัว แต่ไม่วายท้าประลองเพราะอยากพิสูจน์ฝีมือสุยโจว
เจี่ยขุยออกไปคุยกับสุยโจวโดยไม่พกอาวุธติดมือไปด้วย แม้ตั้งใจมาจับแต่สุยโจวยังคงแนะนำตัวอย่างสุภาพและให้เกียรติ โดยกล่าวว่า ตนคือ "จงฉี" แห่ง "เป่ยเจิ้นฝู่ซือ" (เจิ้นฝู่ซือฝ่ายเหนือ) นาม "สุยโจว" เจี่ยขุยดูออกว่าสุยโจวเคยเป็นทหารในกองทัพมาก่อน สุยโจวยอมรับว่าตนเคยเป็นทหารพิทักษ์ชายแดนมานานสองปี ครั้นเห็นว่าสุยโจวนำกำลังมาเพียงเจ็ดคนเจี่ยขุยก็รู้สึกแปลกใจ ที่แท้สุยโจวตั้งใจมาจับเป็น เขารู้ว่าเจี่ยขุยเป็นคนมากฝีมือ แต่คนอย่างเจี่ยขุยไม่มีทางทิ้งลูกเมียแล้วหนีเอาตัวรอดตามลำพังแน่ และการหนีพร้อมลูกเมียนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ครั้นรู้ว่าสุยโจวไม่คิดทำร้ายลูกเมียตน เจี่ยขุยจึงยอมมอบตัว แต่ไม่วายท้าประลองเพราะอยากพิสูจน์ฝีมือสุยโจว
* "จงฉี" คือ ตำแหน่งผู้บังคับหมู่ เป็นขุนนางขั้นเจ็ด
* "องครักษ์เสื้อแพร" เป็นหน่วยทหารองครักษ์ที่ "จักรพรรดิหงอู่" แห่งราชวงศ์หมิง (จูหยวนจาง) ก่อตั้งขึ้น เดิมมีหน้าที่ถวายอารักขา รักษาความปลอดภัยส่วนพระองค์ ภายหลังมีหน้าที่อื่นเพิ่มเติมเข้ามา เช่น ปราบทุจริต รักษาความสงบ และสืบข่าวด้านการทหาร (ผลงานสร้างชื่อคือการจารกรรมข้อมูลทหารญี่ปุ่น ขณะที่ญี่ปุ่นบุกครองราชวงศ์โชซอนของเกาหลี) โดยจะรับคำสั่งจากฮ่องเต้โดยตรง แต่ในยุคปลายราชวงศ์หมิงองครักษ์เสื้อแพรได้กลายเป็นเขี้ยวเล็บที่ขันทีหน่วยตงฉ่างใช้กำจัดศัตรูทางการเมือง
* "องครักษ์เสื้อแพร" เป็นหน่วยทหารองครักษ์ที่ "จักรพรรดิหงอู่" แห่งราชวงศ์หมิง (จูหยวนจาง) ก่อตั้งขึ้น เดิมมีหน้าที่ถวายอารักขา รักษาความปลอดภัยส่วนพระองค์ ภายหลังมีหน้าที่อื่นเพิ่มเติมเข้ามา เช่น ปราบทุจริต รักษาความสงบ และสืบข่าวด้านการทหาร (ผลงานสร้างชื่อคือการจารกรรมข้อมูลทหารญี่ปุ่น ขณะที่ญี่ปุ่นบุกครองราชวงศ์โชซอนของเกาหลี) โดยจะรับคำสั่งจากฮ่องเต้โดยตรง แต่ในยุคปลายราชวงศ์หมิงองครักษ์เสื้อแพรได้กลายเป็นเขี้ยวเล็บที่ขันทีหน่วยตงฉ่างใช้กำจัดศัตรูทางการเมือง
* "เจิ้นฝู่ซือ" เป็นหน่วยงานหนึ่งขององครักษ์เสื้อแพร แบ่งออกเป็นฝ่ายเหนือและใต้ ฝ่ายเหนือ (เป่ยเจิ้นฝู่ซือ) ขึ้นชื่อเรื่อง "สืบ จับ ทรมาน" โดยจะรับงานจากฮ่องเต้โดยตรง สามารถตามสอดส่องพฤติกรรมของเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง ฯลฯ ได้ทุกหนแห่ง ทั้งยังนำตัวมา กักขัง (ในคุกของตนเอง) ทรมาน หรือสังหาร ได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมของบ้านเมือง แม้แต่กรมอาญาและศาลต้าหลี่ก็มิอาจเข้าแทรกแซง (ฝ่ายเหนือเรืองอำนาจสูงสุดในรัชศกเฉิงฮว่า) ส่วนฝ่ายใต้ (หนานเจิ้นฝู่ซือ) จะดูแลกิจการภายใน เป็นเหมือนผู้คุมกฏระเบียบทหารองครักษ์ สืบสวนการกระทำความผิดของกำลังพล ก่อนทำการไต่สวนและตัดสินความผิด นอกจากนี้ยังมีหน้าที่รวบรวมข้อมูลด้านการทหาร (ข่าวกรอง) และรับผิดชอบดูแลด้านอาวุธยุทโธปกรณ์อีกด้วย
"เจิ้งเฉิง" บุตรชายคนโตของ "อู่อันโหว" นาม "เจิ้งอิง" เป็นหนุ่มเจ้าสำราญและขาประจำของฮวนอี้โหลว (หอคณิกา) ขณะนั่งแคร่ผ่านตลาดยามบ่ายแก่ๆ เขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเร่ขายดอกไม้จึงหยุดเกี้ยวพาและจะลากเธอไปทำมิดีมิร้าย เมื่อถังฟ่านมาพบเข้าจึงเข้าขัดขวาง หญิงสาวเลยสบโอกาสวิ่งหนีไป เจิ้งเฉิงไม่พอใจที่ถังฟ่านเข้ามาสอดเรื่องของตนจึงพูดจาข่มขู่ แต่ถังฟ่านหากลัวไม่ "เจิ้งฝู" (บ่าวรับใช้ของเจิ้งเฉิง) เห็นดังนั้นจึงอวดเบ่งด้วยการชี้ไปที่โคมไฟ ปรากฏว่าบนโคมมีอักษรเขียนว่า "จวนอู่อันโหว" ถังฟ่านเห็นแล้วกลับไม่สะทกสะท้าน เขาเดาว่าชายคนดังกล่าวคือ เจิ้งเฉิง บุตรชายคนโตของอู่อันโหวที่เกิดจากภรรยาหลวง ซึ่งรู้กันทั่วว่าเป็นหนุ่มเสเพล มักมากในกามารมณ์ และชอบเมาหัวราน้ำ เจิ้งเฉิงไม่ยอมรับแต่บ่าวรับใช้ของเขาดันปากพล่อยจนฐานะถูกเปิดเผย นั่นจึงทำให้ชาวบ้านรู้กันทั่วว่าคนที่ลวนลามหญิงสาวกลางตลาดคือบุตรชายคนโตของอู่อันโหว
* "อู่อันโหว" เป็นหนึ่งในตำแหน่งศักดินาหรือบรรดาศักดิ์สืบตระกูลที่ใช้กันในหลายราชวงศ์ สมัยราชวงศ์หมิงตำแหน่งนี้เป็นของแม่ทัพสกุลเจิ้ง ผู้ที่ทำความดีความชอบจนถูกปูนบำเหน็จคือแม่ทัพ "เจิ้งเฮิง" ซึ่งสร้างผลงานในการศึกที่จิ้งหนาน (รัชสมัยจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน) หลังจากนั้นตำแหน่งอู่อันโหวได้ตกทอดสู่ทายาทที่เป็นบุตรชายคนโต โดยสืบทอดกันมาถึง 4 รุ่น และทายาทรุ่นที่สี่ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่สืบทอดตำแหน่งอู่อันโหวก็คือ "เจิ้งอิง"
ขณะที่ถังฟ่านและเจิ้งเฉิงกำลังต่อปากต่อคำท่ามกลางเหล่าชาวบ้านที่มามุงดูเป็นจำนวนมาก รถม้าของ "หานเจ่า" บุตรชายราชครูและพระสหายร่วมชั้นเรียนขององค์รัชทายาทได้ผ่านมาทางนั้นพอดี ครั้นเห็นว่าเบื้องหน้ามีชาวบ้านกลุ่มใหญ่กำลังมุงดูคนทะเลาะกันกลางถนน คนขับรถม้าจึงพาหานเจ่าเลี่ยงไปอีกทาง คืนนั้นรัชทายาทวัยเยาว์มาเข้าเฝ้าพระบิดาด้วยความร้อนใจหลังรู้ว่าหานเจ่าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย (พระบิดาของรัชทายาทคือ "จักรพรรดิหมิงเสี้ยนจง" หรือ "จักรพรรดิเฉิงฮว่า") "ว่านกุ้ยเฟย" เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยจึงไม่ให้ความสำคัญ ผิดกับ "โจวไทเฮา" (พระมารดาฮ่องเต้) ที่ต้องการสืบสาวราวเรื่อง ฮ่องเต้จึงมอบหมายให้หน่วยงานเป่ยเจิ้นฝู่ซือ (ฝ่ายเหนือ) ขององครักษ์เสื้อแพรรับผิดชอบเรื่องนี้
* "ว่านกุ้ยเฟย" เป็นพระสนมคนโปรดของฮ่องเต้ เดิมเป็นอดีตแม่นมหรือพี่เลี้ยงของฮ่องเต้ อายุมากกว่าฮ่องเต้ราว 15-17 ปี
ขันทีหนุ่มนาม "วังจื๋อ" ผู้บัญชาการ "ซีฉ่าง" (หน่วยงานประจิม) บุกไปหาใต้เท้าอวี๋ (เจ้ากรมกลาโหม) ที่จวนกลางดึก ในตอนนั้นใต้เท้าอวี๋กำลังร่ำสุราเคล้าเสียงดนตรีกับชายอีกสองคน เขาจึงแกล้งปล่อยให้วังจื่อรอโดยกล่าวว่าวังจื๋อเป็นเพียงขันทีจะมีฤทธิ์เดชเท่าไหร่กันเชียว วังจื๋อนั่งพับนกรออย่างใจเย็น เมื่อใต้เท้าอวี๋มาพบเขาก็ออกตัวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่าตนมีเรื่องสำคัญเลยจำต้องมาเยือนในยามวิกาล ตนเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก ด้วยความเร่งรีบเลยทำได้เพียงเตรียมสิ่งเล็กๆ น้อยๆ มาให้ (เขานำกล่องไม้มาให้ใต้เท้าอวี๋) หลังทักทายตามธรรมเนียมแล้ววังจื๋อก็เข้าเรื่องทันที เขาหยิบสมุดพับ (รายงาน) ออกมาจากแขนเสื้อ พลางชี้ว่า เนื้อหาในสมุดได้บันทึกถ้อยคำที่ใต้เท้าอวี๋แสดงความคิดเห็นเรื่องการแต่งตั้งผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ (เพราะเกี่ยวพันกับราชสำนักและบ้านเมือง) แต่ปัญหาอยู่ที่เนื้อหาอีกครึ่งหนึ่งในสมุดเล่มนี้ซึ่งระบุว่าใต้เท้าอวี๋พูดพาดพิงว่านกุ้ยเฟย โดยกล่าวหาว่าเธอแทรกแซงราชกิจและครอบงำฝ่ายในทำให้ว่านกุ้ยเฟยโกรธมาก ใต้เท้าอวี๋แย้งว่าทุกสิ่งที่ตนพูดล้วนเป็นความจริง วังจื๋อชี้ว่าต่อให้เป็นเรื่องจริงแต่นี่เป็นเรื่องภายในของฝ่าบาท ข้าราชบริพารอย่างพวกตนไม่สมควรก้าวล่วงหรือนำมาวิพากษ์วิจารณ์ ไม่เพียงว่านกุ้ยเฟยที่รู้สึกโกรธ แม้แต่ฝ่าบาทก็ไม่พอใจใต้เท้าอวี๋เช่นกัน
* "ซีฉ่าง" (หน่วยงานประจิม ชื่อเต็ม "ซีจีซื่อฉ่าง") เป็นหน่วยงานที่ "จักรพรรดิหมิงเสี้ยนจง" (จักรพรรดิเฉิงฮว่า) ทรงก่อตั้งขึ้นในรัชศกเฉิงฮว่าปีที่ 13 เพื่อเสริมทัพ "ตงฉ่าง" (หน่วยงานประจิม) โดยพระองค์ได้แต่งตั้งขันทีนาม "วังจื๋อ" เป็นผู้บัญชาการ เดิมมีหน้าที่สืบข่าวให้ฮ่องเต้ แต่วังจื๋อได้สร้างผลงานและแผ่ขยายอิทธิพลจนมีอำนาจและกำลังพลเหนือ "ตงฉ่าง" และ "องครักษ์เสื้อแพร" (เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ของซีฉ่างถูกคัดเลือกมาจากหน่วยงานองครักษ์เสื้อแพร และมีบางส่วนที่มาจากตงฉ่าง) ภายหลังซีฉ่างไม่เพียงเป็นสายลับที่คอยสอดส่องคำพูดและการกระทำของเหล่าขุนนางทั้งในและนอกเมืองหลวง โดยเฉพาะผู้ที่หมิ่นเบื้องสูง ทำตัวกระด้างกระเดื่อง และเป็นภัยต่อราชสำนัก (ซึ่งรวมถึงสามัญชนในบางกรณี) แต่ยังสามารถควบคุมตัว กักขัง ไต่สวน ทรมาน และกำจัด ขุนนางต้องสงสัยหรือกระทำความผิดได้ตามอำเภอใจ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะบุญหนักศักดิ์ใหญ่แค่ไหนก็ตาม
ใต้เท้าอวี๋กล่าวว่ามีอะไรให้พูดมาตรงๆ วังจื๋อจึงชี้ว่าหากฝ่าบาทไม่พอใจบุคคลใด พวกตนจะยิ่งตามสอดส่องคนผู้นั้น นั่นจึงให้ตนรู้ว่าใต้เท้าอวี๋พูดและทำหลายสิ่งที่ไม่บังควร วังจื๋อแจกแจงวีรกรรมอันฉ้อฉลและเป็นปฏิปักษ์ต่อว่านกุ้ยเฟยของใต้เท้าอวี๋แบบละเอียดยิบโดยไม่ต้องดูโพย เขารู้แม้กระทั่งคำพูดที่ใต้เท้าอวี๋กล่าวกับภรรยาก่อนนอนเมื่อเดือนก่อน ซึ่งเป็นการเม้าท์มอยที่หมิ่นเบื้องสูงและวิจารณ์ราชสำนัก วังจื๋อขู่ว่าแต่ละข้อหาที่ตนร่ายมาล้วนมีโทษถึงตาย หากนำความผิดทั้งหมดมารวมกันสกุลอวี๋อาจสูญสิ้น (โดนประหารเก้าชั่วโครต) ใต้เท้าอวี๋คิดต่อรองกับวังจื๋อจึงถามว่าเขาต้องการสิ่งใด วังจื๋อกล่าวว่าตนอยากให้ฝ่าบาทกับว่านกุ้ยเฟยพอพระทัย เขาเคาะกล่องไม้ที่มีนกกระดาษสีแดงวางอยู่ด้านบนเพื่อบอกเป็นนัยให้ใต้เท้าอวี๋เปิดดู ครั้นพบว่าในกล่องคือเหล้าพิษใต้เท้าอวี๋จึงยอมจบชีวิตของตนเพื่อรักษาชีวิตคนในครอบครัว ก่อนออกจากจวนใต้เท้าอวี๋ วังจื๋อกล่าวว่าขันทีอย่างตนไม่มีฤทธิ์เดช คนเดียวในใต้หล้าที่เรียกได้ว่ามีฤทธิ์เดชคือ 'ฝ่าบาท' (วังจื๋อหูตากว้างขวางจึงรู้แม้กระทั่งคำพูดของใต้เท้าอวี๋ที่พูดเหยียดตนก่อนหน้านี้)
ขณะที่ถังฟ่านกำลังนั่งเขียนนิยายประโลมโลกในห้องเช่าที่เต็มไปด้วยตำรา "ตงเอ๋อร์" สาวใช้บ้านสกุลหลี่ (เจ้าของห้องเช่า) ก็ยกอาหารว่างฝีมือนายหญิงมาส่งให้ถังฟ่านอย่างคุ้นเคย เนื่องจากในห้องไม่มีเก้าอี้ให้นั่งตงเอ๋อร์เลยหย่อนก้นลงบนกองหนังสือ ถังฟ่านรีบร้องห้ามโดยบอกว่านั่งทับตำราแล้วจะโง่ ตงเอ๋อร์บ่นว่า 'โกหก' ถึงกระนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นแต่โดยดี ถังฟ่านเดาว่าวันนี้ฮูหยินหลี่อารมณ์ดีเพราะทำขนมอร่อย ตงเอ๋อร์กล่าวว่านายหญิงตนอารมณ์ดีเพราะได้ข่าวว่าใต้เท้าหลี่จะกลับเมืองหลวงในไม่ช้า เธอเตือนถังฟ่านว่าใต้เท้าหลี่อาจขึ้นค่าเช่าห้องเพราะสัญญาเช่าของถังฟ่านใกล้สิ้นสุด ใต้เท้าหลี่เคยบ่นมานานแล้วว่าค่าเช่าห้องที่เรียกเก็บจากถังฟ่านถูกเกินไป ถังฟ่านโวยลั่นว่าเบี้ยหวัดตนแค่น้อยนิด (ซ้ำยังเอาไปซื้อของอร่อยๆ กินจนหมด) ตงเอ๋อร์สวนกลับว่าถังฟ่านเป็นขุนนางขั้นหก แต่วันๆ ไม่ยอมทำอะไรนอกจากนั่งเขียนนิยาย พอจ่ายค่าเช่าไม่ไหวก็โวยวาย เช่นนี้แล้วจะโทษใครได้
ครั้นเจอเด็กสวนว่าทำตัวไม่สมกับที่เป็นขุนนาง ถังฟ่านจึงแย้งว่าตนรู้ว่าขุนนางที่ดีควรทำตัวเช่นไร เขาชี้ว่าตงเอ๋อร์นั่นแหล่ะที่ไม่เข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองในตอนนี้ จากนั้นก็เล่าสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน (ซึ่งเต็มไปด้วยขุนนางฉ้อฉล) ให้ตงเอ๋อร์ฟังโดยไล่เลียงปัญหาทั่วทุกภูมิภาคแบบละเอียดยิบพร้อมแนะแนวทางแก้ปัญหาเสร็จสรรพ ครั้นตงเอ๋อร์ฟังแล้วไม่เข้าใจถังฟ่านจึงเปรยว่าไม่ใช่แค่ตงเอ๋อร์คนเดียวที่ไม่เข้าใจ หลังตงเอ๋อร์กลับไปแล้วถังฟ่านจึงบังคับตัวเองให้เขียนนิยายอีกครั้งเพื่อจะได้มีเงินใช้จ่ายในช่วงครึ่งเดือนหลัง (เขาเป็นสายกินเลยใช้เบี้ยหวัดหมดตั้งแต่ครึ่งเดือนแรก) แต่ยังไม่ทันจรดพู่กันก็มีคนมาเคาะประตูเสียก่อน ปรากฏว่าพานปินส่ง "ปู่ไคว่" แซ่จาง มาตามถังฟ่านไปสืบคดีที่ฮวนอี้โหลว (หอนางโลม) ครั้นรู้ว่าบุตรชายคนโตของอู่อันโหวเสียชีวิตที่นั่น ถังฟ่านก็รู้สึกตกใจ
* "ปู่ไคว่" เป็นตำแหน่งเจ้าหน้าที่ในสมัยโบราณ มีหน้าที่ปราบปราม/จับกุมผู้กระทำผิด เปรียบดังตำรวจในยุคปัจจุบัน ในที่นี้เป็นเจ้าหน้าที่จับกุมประจำที่ว่าการซุ่นเทียนฝู่
ครั้นไปถึงที่เกิดเหตุ ถังฟ่านก็พบว่าภายในห้องไม่ได้มีเพียงเจิ้งเฉิงที่นอนตายอยู่บนเตียง แต่ใกล้กันยังมีศพเด็กหญิงคนหนึ่งห้อยต่องแต่งในสภาพถูกแขวนคอ เขาถามเจ้าหน้าที่แซ่ซุนถึงสาเหตุการเสียชีวิต แต่เหล่าซุนซึ่งมีประสบการณ์ในการพลิกศพยาวนานกว่า 30 ปีไม่กล้าเอ่ยปาก หมอหนุ่มนาม "เผยหวาย" ชี้ว่านี่เป็นคดีใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับชนชั้นสูง เหล่าซุนเลยไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว ครั้นถูกถังฟ่านคาดคั้นมากเข้า เผยหวายซึ่งเป็นผู้ช่วยจำเป็น (ไม่ได้สังกัดซุ่นเทียนฝู่ แต่มาร่วมชันสูตรเพราะชอบศึกษาเพิ่มพูนความรู้ด้านการแพทย์) จึงยอมเปิดปากโดยกล่าวว่าแม้สภาพศพจะแลดูคล้ายเสียชีวิตกระทันหันขณะเริงรัก (ตายคาอกเพราะตัณหาจัด) แต่กลับมีสองจุดที่น่าสงสัย เขาพาถังฟ่านไปดูศพเจิ้งเฉิงที่มีร่องรอยกระอักเลือดก่อนตาย แต่ห้องกลับสะอาดเรียบร้อยผิดปกติและไม่มีคราบเลือดแม้แต่น้อย ครั้นเห็นว่าใต้ที่นอนมีขวดยาซ่อนอยู่ถังฟ่านจึงเก็บไปเป็นหลักฐาน
เผยหวายเห็นรอยขีดข่วนบนเตียงจึงสงสัยว่าเจิ้งเฉิงอาจดิ้นทุรนทุรายและตายอย่างทรมาน ถังฟ่านสงสัยว่าเจิ้งเฉิงอาจถูกวางยาพิษ แต่เผยหวายยังไม่แน่ใจและขอเวลาชันสูตรศพอย่างถี่ถ้วนก่อน ครั้นโดนถังฟ่านเร่งให้รีบสรุปผลโดยเร็ว เผยหวายจึงโวยลั่นว่าตนไม่ใช่คนของซุ่นเทียนฝู่ ไยต้องฟังคำสั่งถังฟ่านทุกครั้งที่มาช่วยงานในที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เปิดฉากโต้เถียงและทวงบุญคุณเรื่องเลี้ยงข้าวกันไปมา ครั้นเผยหวายโวยว่าตนกำลังตรวจคนไข้ตามบ้าน แต่แล้วอยู่ๆ ก็ถูกคนของซุ่นเทียนฝู่ลากตัวมาที่นี่ ถังฟ่านรู้ทันว่าคนไข้ส่วนใหญ่ของเผยหวายคือบรรดาหญิงสาวที่แกล้งป่วยเพราะอยากเจอหมอ ต่อให้ป่วยจริงแค่เห็นหน้าเผยหวายพวกเธอก็หายป่วยไปตามๆ กัน แม้ไม่มีเผยหวายพวกเธอก็ไม่ตาย แต่ชายผู้นี้ตายแล้วที่นี่
พานปินพาถังฟ่านมาพบอู่อันโหวและ "เจิ้งจื้อ" (บุตรชายคนรองของอู่อันโหว) ซึ่งมาดูศพเจิ้งเฉิงที่ฮวนอี้โหลว ก่อนแนะนำว่าถังฟ่านคือทุยกวนของซุ่นเทียนฝู่ เจิ้งฝู (บ่าวรับใช้ของเจิ้งเฉิง) เห็นถังฟ่านก็จำได้ทันทีว่าเขาคือคนที่มีปากเสียงกับนายตนเมื่อตอนกลางวัน ครั้นรู้ว่าเจิ้งฝูเป็นผู้พบศพคนแรก ถังฟ่านจึงถามเจิ้งฝูว่าเกิดอะไรขึ้นหลังพวกตนแยกทางกัน เจิ้งฝูเล่าว่าคืนนี้คุณชายตนมาหาแม่นาง "ชิงจือ" ที่ฮวนอี้โหลวตามปกติ แต่วันนี้นางอ้างว่ามีรอบเดือนเลยไม่ยอมให้คุณชายเข้าห้อง "ชุยมามา" จึงเชิญคุณชายซึ่งอยู่ในสภาพเมามายไปนอนพักที่ห้องข้างๆ ก่อน (ทุกครั้งที่มาเจิ้งเฉิงจะนอนห้องชิงจือ) ถังฟ่านถามว่าหลังจากนั้นชิงจือได้ไปหาเจิ้งเฉิงที่ห้องหรือไม่ เจิ้งฝูตอบว่าตนไม่รู้ เพราะหลังรับใช้และรอให้คุณชาย 'ทานยา' เสร็จแล้วตนก็ออกจากห้องไป ส่วนเด็กผู้หญิงที่แขวนคอตายในห้องตนไม่รู้จัก ตนกลับไปที่ห้องอีกครั้งตอนยามจื่อ (ช่วง 23.00 - 24.59 น.) พอเข้าไปในห้องก็พบคุณชายนอนตายอยู่บนเตียงและมีเด็กผู้หญิงผูกคอตายใกล้ๆ ถังฟ่านถามต่อว่าก่อนตายเจิ้งเฉิงกินยาอะไร เจิ้งฝูตอบว่ายากระตุ้นกำหนัด "ฟู่หยางชุน" คุณชายตนได้เทียบยามาจากแม่นางชิงจือ ตนจึงนำเทียบดังกล่าวไปซื้อยาที่ร้าน "หุยชุนถัง" บนถนนถังสี่ไป๋ (ระหว่างให้การเจิ้งฝูมักเหลือบมองเจิ้งจื้อแบบหวั่นเกรง)
หลังได้รูปพรรณสัณฐานคนจัดยา ถังฟ่านจึงเรียกชุยมามากับชิงจือมาสอบปากคำ ชุยมามาเล่าว่าหลังปล่อยให้คุณชายเจิ้งเฉิงนอนพักครึ่งชั่วยาม (หนึ่งชั่วโมง) เธอจึงบอกให้ชิงจือเข้าไปขอโทษคุณชายเจิ้งเฉิง แต่ชิงจือเห็นว่าเขานอนหลับเลยออกจากห้องไป ตอนนั้นน่าจะราวๆ ยามซวี (19.00 - 20.59 น.) ส่วนเด็กผู้หญิงที่แขวนคอตายพวกตนไม่รู้จักเพราะไม่ใช่คนของฮวนอี้โหลว และไม่รู้ว่าเธอมาที่นี่เมื่อใด ขณะสอบปากคำสองสาว ถังฟ่านเห็นคนของจวนอู่อันโหวขนศพเจิ้งเฉิงออกจากห้องจึงรีบร้องห้าม แต่พานปินซึ่งเดินมาพร้อมเจิ้งจื้อกลับอนุญาตให้นำศพเจิ้งเฉิงออกไป ถังฟ่านแย้งว่าคดีนี้มีเงื่อนงำ ตนต้องนำศพกลับไปชันสูตรเพิ่มที่ซุ่นเทียนฝู่ก่อน แต่อู่อันโหวยืนกรานว่าจะนำศพลูกชายคนโตกลับจวน พานปินเห็นดีด้วยและรีบเปิดทางให้เพราะไม่กล้าผิดใจกับจวนอู่อันโหว
วังจื๋อช่วยว่านกุ้ยเฟยสางผม ครั้นเห็นเธอเป็นกังวลเรื่องวัยอันล่วงเลย เขาจึงปลอบว่าเธอยังแลดูสาวเสมอ แต่ว่านกุ้ยเฟยรู้ตัวดี เธอจำได้ว่าวังจื๋อเข้าวังในปีที่สามรัชศกเฉิงฮว่า ตอนนั้นเขาอายุเพียงหกขวบส่วนเธออายุ 38 ปี ตอนนี้วังจื๋ออายุ 17 ปีแล้ว ส่วนเธออายุตั้ง 49 ย่อมแก่ลงแน่นอน วังจื๋อกล่าวว่าตนส่งคนออกนอกด่านซานไห่ไปยังพรมแดนของกลุ่มเจี้ยนโจวหนี่ว์เจิน เพื่อนำเขากวางอ่อนและอุ้งตีนหมีมาทำยาอายุวัฒนะให้ว่านกุ้ยเฟยแล้ว หากเธอชอบตนจะขอให้พวกเขาส่งสองสิ่งนี้มาถวายเป็นบรรณาการทุกปี ว่านกุ้ยเฟยรู้สึกได้ว่าการที่หานเจ่าหายตัวไปมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล และดูเหมือนว่าเธอกำลังตกเป็นเป้าของเรื่องนี้ วังจื๋อบอกให้ว่านกุ้ยเฟยวางใจเพราะตนจะจัดการเรื่องนี้เอง
พานปินคิดเอาใจถังฟ่านจึงพาเขามาเลี้ยงบะหมี่หลังเหน็ดเหนื่อยกับคดีเจิ้งเฉิงกันมาตลอดทั้งคืน แต่ถังฟ่านซึ่งรักการกินเป็นชีวิตจิตใจกลับกินอะไรไม่ลง เขาไม่อาจปล่อยวางคดีของเจิ้งเฉิงและยังอยากสืบต่อเพราะเห็นว่าคดีนี้มีพิรุธหลายจุด แต่พานปินไม่ยอมรับฟังทั้งยังชี้ว่าอู่อันโหวไม่ต้องการให้สืบสาวจนบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่บุตรชายคนเล็กของอู่อันโหวยังบอกตนให้จบเรื่องนี้แบบเงียบที่สุด ถังฟ่านรับไม่ได้ที่ศิษย์พี่คิดปิดคดีแบบสุกเอาเผากิน พานปินแย้งว่าถังฟ่านเถรตรงและจริงจังเกินไป เขาชี้ว่าการเป็นขุนนางต้องยึดหลัก 'น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า' มีเพียงวิธีนี้ที่จะช่วยให้ถังฟ่านรักษาตำแหน่งได้อย่างมั่นคง หลังพานปินห้ามยุ่งเกี่ยวหรือพูดถึงคดีนี้อีก ถังฟ่านจึงหนีกลับบ้านแบบงอนๆ
ระหว่างรอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ วังจื๋อเห็นขันทีเฒ่า "ซ่างหมิง" ผู้บัญชาการ "ตงฉ่าง" (หน่วยงานบูรพา) นำก้อนหยกล้ำค่ามาคลึงเล่นเพลินๆ จึงทักว่าเป็นหยกเนื้อดี ซ่างหมิงกล่าวว่าก็แค่ของประดับของราชวงศ์ก่อน ครั้นได้ยินว่าใต้เท้าอวี๋ให้มอบหยกชิ้นนี้ให้ซ่างหมิงเมื่อสองสามวันก่อน วังจื๋อจึงถามเพื่อความแน่ใจว่าใต้เท้าอวี๋คนไหน ที่แท้เป็นใต้เท้าอวี๋ (เจ้ากรมกลาโหม) ที่วังจื๋อเพิ่งนำเหล้าพิษไปให้ เมื่อฮ่องเต้มาถึงซ่างหมิงจึงรีบซ่อนหยกไว้ในแขนเสื้อ ฮ่องเต้ถามสองผู้บัญชาการตงฉ่าง/ซีฉ่างว่ารู้ข่าวเรื่องบุตรชายคนโตของอู่อันโหวเสียชีวิตกระทันนอกจวนแล้วซุ่นเทียนฝู่รายงานว่าเขาป่วยตายแล้วหรือยัง ปรากฏว่าทั้งคู่ต่างรู้เรื่องนี้แล้ว ซ่างหมิงกล่าวว่าคดีนี้ปิดแบบรวบรัดเกินไป ไม่แน่ว่าซุ่นเทียนฝู่อาจสืบสวนแบบสุกเอาเผากิน วังจื๋อเห็นว่าคดีนี้เกิดขึ้นในเมืองหลวง ซ้ำยังเกิดกับครอบครัวอู่อันโหวซึ่งบรรพชนของพวกเขามีส่วนช่วยก่อตั้งราชวงศ์ จึงควรสืบสาวราวเรื่องราวในแน่ชัด ครั้นฮ่องเต้ถามว่าควรให้ใครทำคดีนี้ วังจื๋อจึงขันอาสาทันที ซ่างหมิงแย้งว่าคดีนี้ให้ตงฉ่างรับผิดชอบจะเหมาะสมกว่าเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นในเมืองหลวงแต่วังจื๋อไม่ยอม เขาแย้งว่าที่ผ่านมาซีฉ่าง (หน่วยงานประจิม) ตามสืบคดีที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเป็นส่วนใหญ่และไม่เคยทำให้ฝ่าบาทผิดหวังเลยสักครั้ง หลังจากนั้นวังจื๋อก็ขอให้ฮ่องเต้มอบหมายงานนี้ให้ตน หลังเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว วังจื๋อจึงบอกซ่างหมิ่นว่าใต้เท้าอวี๋เสียชีวิตแล้วเมื่อคืนนี้ ครั้นรู้ว่าใต้เท้าอวี๋ตายเพราะดื่มเหล้าพิษของวังจื๋อ ซ่างหมิ่นจึงรีบโยนหยกทิ้งทันที
ขณะพักแรมระหว่างนำตัวเจี่ยขุยไปคุมขัง สุยโจวฝันถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งเป็นทหารแต่แล้วก็ต้องตกใจตื่นเมื่อถูก "เซวียหลิง" ปลุก ครั้นรู้ว่าตนถูกฮ่องเต้เรียกตัวกลับเมืองหลวงเพื่อไปสืบคดีของหานเจ่า สุยโจวจึงสั่งให้ลูกน้องปลดขื่อคาออกจากคอเจี่ยขุย (เพราะเจี่ยขุยรับปากว่าจะไม่หนีแม้สุยโจวไม่อยู่ และถ้าเขาคิดหนีจริงขื่อคาย่อมไม่เป็นอุปสรรค) จากนั้นก็รีบเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมเซวียหลิงทันที ครั้นมาถึงเขาก็เรียกเหล่าขันทีและนางกำนัลที่เข้าเวรตอนหานเจ่าออกจากวังมาสอบถาม ขันทีคนหนึ่งยืนยันว่า ตนเห็นหานเจ่าออกจากประตูวังแล้วเดินไปขึ้นรถม้าจวนหาน
ในเวลาเดียวกันนั้น เผยหวายกับถังฟ่านกำลังตรวจสอบศพเด็กหญิงที่แขวนคอตายใกล้ศพเจิ้งเฉิง เผยหวายชี้ว่าเด็กไม่ได้แขวนคอตายเองแต่ตายเพราะยาพิษแล้วจึงถูกนำมาจัดฉากแขวนคอ ยาพิษที่คร่าชีวิตเจิ้งเฉิงกับเด็กคนนี้เป็นคนละชนิด เจิ้งเฉิงตายเพราะยาที่เป็นพิษเรื้อรัง พิษสะสมอยู่ในร่างกายเขามาได้ระยะหนึ่งแล้ว ส่วนเด็กคนนี้โดนยาพิษชนิดร้ายแรง ยาจึงออกฤทธิ์ภายในเวลาไม่เกินหนึ่งชั่วยาม เขาฟันธงว่าเด็กตายก่อนเจิ้งเฉิงราว 3-6 ชั่วยาม (6-12 ช.ม.) หรือตายก่อนที่เจิ้งเฉิงจะไปถึงฮวนอี้โหลวด้วยซ้ำ ครั้นรู้ว่าผู้ตายไม่ใช่เด็กผู้หญิงถังฟ่านก็รู้สึกตกใจ
* หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง
สุยโจวมาสืบหาเบาะแสรถม้าจวนหานในตลาด เขาถามพ่อค้าว่าเมื่อวานราวยามเซิน (15.00-16.59 น.) เห็นรถม้าที่ภายในมีเด็กชายคนหนึ่งผ่านมาแถวนี้บ้างไหม พ่อค้าจำได้ว่าเมื่อวานนี้มีรถม้าคันหนึ่งแวะจอดแถวนี้ ครั้นเด็กชายที่อยู่บนรถอยากเข้าห้องน้ำ คนขับรถม้าจึงถามตนว่ามีห้องน้ำแถวนี้ไหม สุยโจวสงสัยว่าเหตุใดรถม้าจึงจอดกลางทาง พ่อค้ากล่าวว่าเมื่อวานชาวบ้านแห่มามุงดูคนทะเลาะกันเต็มถนน รถม้าไปต่อไม่ได้เลยต้องหยุดชั่วคราว ครั้นรู้ว่าคู่กรณีที่มีปากเสียงกันเมื่อวานคือเจิ้งเฉิงกับถังฟ่าน สุยโจวจึงคิดที่จะไปหาทั้งคู่
ในที่สุดพานปินก็งานเข้าหลังกรมอาญาและศาลต้าหลี่รวมหัวกันถวายฎีการ้องเรียนซุ่นเทียนฝู่ ฐานละเลยหน้าที่ ไม่ยอมสืบคดีให้แน่ชัด เขาจึงมาปรับทุกข์กับถังฟ่านด้วยความร้อนใจ โดยบอกว่าแม้แต่ตงฉ่าง (หน่วยงานบูรพา) ก็คิดร้องเรียนพวกตนเช่นกัน ถังฟ่านได้ทีจึงตำหนิพานปินที่ไม่ยอมฟังตน แต่กลับเร่งปิดคดีทั้งที่มีเงื่อนงำและไม่สืบกระจ่างว่าผู้ตายอีกคนเป็นใคร พานปินแย้งว่านั่นเป็นความต้องการของอู่อันโหว เขาเห็นว่าถังฟ่านเป็นคนฉลาดหลักแหลมจึงขอให้ถังฟ่านช่วยหาทางแก้ไข แต่ถังฟ่านขอคิดดูก่อนทั้งยังบ่นว่าหิว พานปินจึงพาถังฟ่านไปที่ร้านบะหมี่ของตงกู ก่อนถามว่าพอมีทางออกหรือไม่ ถังฟ่านถามกลับว่าเขาอยากทำเช่นไร พานปินอ้างว่าตนไม่หวั่นเรื่องที่ตนเองถูกร้องเรียน แต่เกรงว่าจะทำให้ซุ่นเทียนฝู่พลอยเดือดร้อนไปด้วย แต่สุดท้ายก็ยอมรับเสียงอ่อยว่าอยากรักษาตำแหน่งเอาไว้
ถังฟ่านกล่าวว่าฮ่องเต้ไม่ปล่อยให้คดีนี้จบลงแบบคลุมเครือแน่ แม้แต่ตงฉางกับซีฉ่างก็จะยื่นมือเข้ามาแทรกหมายสร้างผลงานและประกาศศักดา เพราะผู้ตายไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นถึงบุตรคนโตและผู้สืบทอดตำแหน่งศักดินาของอู่อันโหว ถังฟ่านแนะให้พานปินใช้โอกาสนี้ถวายฎีกาสำนึกผิดและร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม โดยชี้แจงสาเหตุที่ต้องปิดคดีอย่างเร่งรัด พร้อมระบายความอัดอั้นตันใจที่ต้องทำตามความต้องการของอู่อันโหวเพื่อให้ฮ่องเต้รู้สึกเห็นใจ หลังจากนั้นให้เขียนว่า... เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนว่าซุ่นเทียนฝู่ปิดคดีไม่ถูกต้องเหมาะสม จึงขอเสนอให้ ตงฉ่าง ซีฉ่าง องครักษ์เสื้อแพร กรมอาญา และศาลต้าหลี่ มาร่วมสืบคดีนี้ด้วยกัน เพื่อมอบความกระจ่างให้อู่อันโหวและครอบครัว พานปินได้ยินดังนั้นก็หัวเราะชอบใจ
หลังตงกูยกชามบะหมี่มาให้ ถังฟ่านก็ใช้ตะเกียบส่วนตัวคีบเส้นบะหมี่ใส่ปาก เพียงคำแรกเขาก็รู้สึกได้ว่ารสชาติผิดแปลกไป เขาจึงขอพบพ่อครัวคนใหม่ทันที ที่แท้พ่อครัวคนดังกล่าวคือ...สุยโจว!
ขณะที่ถังฟ่านกำลังนั่งเขียนนิยายประโลมโลกในห้องเช่าที่เต็มไปด้วยตำรา "ตงเอ๋อร์" สาวใช้บ้านสกุลหลี่ (เจ้าของห้องเช่า) ก็ยกอาหารว่างฝีมือนายหญิงมาส่งให้ถังฟ่านอย่างคุ้นเคย เนื่องจากในห้องไม่มีเก้าอี้ให้นั่งตงเอ๋อร์เลยหย่อนก้นลงบนกองหนังสือ ถังฟ่านรีบร้องห้ามโดยบอกว่านั่งทับตำราแล้วจะโง่ ตงเอ๋อร์บ่นว่า 'โกหก' ถึงกระนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นแต่โดยดี ถังฟ่านเดาว่าวันนี้ฮูหยินหลี่อารมณ์ดีเพราะทำขนมอร่อย ตงเอ๋อร์กล่าวว่านายหญิงตนอารมณ์ดีเพราะได้ข่าวว่าใต้เท้าหลี่จะกลับเมืองหลวงในไม่ช้า เธอเตือนถังฟ่านว่าใต้เท้าหลี่อาจขึ้นค่าเช่าห้องเพราะสัญญาเช่าของถังฟ่านใกล้สิ้นสุด ใต้เท้าหลี่เคยบ่นมานานแล้วว่าค่าเช่าห้องที่เรียกเก็บจากถังฟ่านถูกเกินไป ถังฟ่านโวยลั่นว่าเบี้ยหวัดตนแค่น้อยนิด (ซ้ำยังเอาไปซื้อของอร่อยๆ กินจนหมด) ตงเอ๋อร์สวนกลับว่าถังฟ่านเป็นขุนนางขั้นหก แต่วันๆ ไม่ยอมทำอะไรนอกจากนั่งเขียนนิยาย พอจ่ายค่าเช่าไม่ไหวก็โวยวาย เช่นนี้แล้วจะโทษใครได้
ครั้นเจอเด็กสวนว่าทำตัวไม่สมกับที่เป็นขุนนาง ถังฟ่านจึงแย้งว่าตนรู้ว่าขุนนางที่ดีควรทำตัวเช่นไร เขาชี้ว่าตงเอ๋อร์นั่นแหล่ะที่ไม่เข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองในตอนนี้ จากนั้นก็เล่าสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน (ซึ่งเต็มไปด้วยขุนนางฉ้อฉล) ให้ตงเอ๋อร์ฟังโดยไล่เลียงปัญหาทั่วทุกภูมิภาคแบบละเอียดยิบพร้อมแนะแนวทางแก้ปัญหาเสร็จสรรพ ครั้นตงเอ๋อร์ฟังแล้วไม่เข้าใจถังฟ่านจึงเปรยว่าไม่ใช่แค่ตงเอ๋อร์คนเดียวที่ไม่เข้าใจ หลังตงเอ๋อร์กลับไปแล้วถังฟ่านจึงบังคับตัวเองให้เขียนนิยายอีกครั้งเพื่อจะได้มีเงินใช้จ่ายในช่วงครึ่งเดือนหลัง (เขาเป็นสายกินเลยใช้เบี้ยหวัดหมดตั้งแต่ครึ่งเดือนแรก) แต่ยังไม่ทันจรดพู่กันก็มีคนมาเคาะประตูเสียก่อน ปรากฏว่าพานปินส่ง "ปู่ไคว่" แซ่จาง มาตามถังฟ่านไปสืบคดีที่ฮวนอี้โหลว (หอนางโลม) ครั้นรู้ว่าบุตรชายคนโตของอู่อันโหวเสียชีวิตที่นั่น ถังฟ่านก็รู้สึกตกใจ
* "ปู่ไคว่" เป็นตำแหน่งเจ้าหน้าที่ในสมัยโบราณ มีหน้าที่ปราบปราม/จับกุมผู้กระทำผิด เปรียบดังตำรวจในยุคปัจจุบัน ในที่นี้เป็นเจ้าหน้าที่จับกุมประจำที่ว่าการซุ่นเทียนฝู่
ครั้นไปถึงที่เกิดเหตุ ถังฟ่านก็พบว่าภายในห้องไม่ได้มีเพียงเจิ้งเฉิงที่นอนตายอยู่บนเตียง แต่ใกล้กันยังมีศพเด็กหญิงคนหนึ่งห้อยต่องแต่งในสภาพถูกแขวนคอ เขาถามเจ้าหน้าที่แซ่ซุนถึงสาเหตุการเสียชีวิต แต่เหล่าซุนซึ่งมีประสบการณ์ในการพลิกศพยาวนานกว่า 30 ปีไม่กล้าเอ่ยปาก หมอหนุ่มนาม "เผยหวาย" ชี้ว่านี่เป็นคดีใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับชนชั้นสูง เหล่าซุนเลยไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว ครั้นถูกถังฟ่านคาดคั้นมากเข้า เผยหวายซึ่งเป็นผู้ช่วยจำเป็น (ไม่ได้สังกัดซุ่นเทียนฝู่ แต่มาร่วมชันสูตรเพราะชอบศึกษาเพิ่มพูนความรู้ด้านการแพทย์) จึงยอมเปิดปากโดยกล่าวว่าแม้สภาพศพจะแลดูคล้ายเสียชีวิตกระทันหันขณะเริงรัก (ตายคาอกเพราะตัณหาจัด) แต่กลับมีสองจุดที่น่าสงสัย เขาพาถังฟ่านไปดูศพเจิ้งเฉิงที่มีร่องรอยกระอักเลือดก่อนตาย แต่ห้องกลับสะอาดเรียบร้อยผิดปกติและไม่มีคราบเลือดแม้แต่น้อย ครั้นเห็นว่าใต้ที่นอนมีขวดยาซ่อนอยู่ถังฟ่านจึงเก็บไปเป็นหลักฐาน
เผยหวายเห็นรอยขีดข่วนบนเตียงจึงสงสัยว่าเจิ้งเฉิงอาจดิ้นทุรนทุรายและตายอย่างทรมาน ถังฟ่านสงสัยว่าเจิ้งเฉิงอาจถูกวางยาพิษ แต่เผยหวายยังไม่แน่ใจและขอเวลาชันสูตรศพอย่างถี่ถ้วนก่อน ครั้นโดนถังฟ่านเร่งให้รีบสรุปผลโดยเร็ว เผยหวายจึงโวยลั่นว่าตนไม่ใช่คนของซุ่นเทียนฝู่ ไยต้องฟังคำสั่งถังฟ่านทุกครั้งที่มาช่วยงานในที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เปิดฉากโต้เถียงและทวงบุญคุณเรื่องเลี้ยงข้าวกันไปมา ครั้นเผยหวายโวยว่าตนกำลังตรวจคนไข้ตามบ้าน แต่แล้วอยู่ๆ ก็ถูกคนของซุ่นเทียนฝู่ลากตัวมาที่นี่ ถังฟ่านรู้ทันว่าคนไข้ส่วนใหญ่ของเผยหวายคือบรรดาหญิงสาวที่แกล้งป่วยเพราะอยากเจอหมอ ต่อให้ป่วยจริงแค่เห็นหน้าเผยหวายพวกเธอก็หายป่วยไปตามๆ กัน แม้ไม่มีเผยหวายพวกเธอก็ไม่ตาย แต่ชายผู้นี้ตายแล้วที่นี่
พานปินพาถังฟ่านมาพบอู่อันโหวและ "เจิ้งจื้อ" (บุตรชายคนรองของอู่อันโหว) ซึ่งมาดูศพเจิ้งเฉิงที่ฮวนอี้โหลว ก่อนแนะนำว่าถังฟ่านคือทุยกวนของซุ่นเทียนฝู่ เจิ้งฝู (บ่าวรับใช้ของเจิ้งเฉิง) เห็นถังฟ่านก็จำได้ทันทีว่าเขาคือคนที่มีปากเสียงกับนายตนเมื่อตอนกลางวัน ครั้นรู้ว่าเจิ้งฝูเป็นผู้พบศพคนแรก ถังฟ่านจึงถามเจิ้งฝูว่าเกิดอะไรขึ้นหลังพวกตนแยกทางกัน เจิ้งฝูเล่าว่าคืนนี้คุณชายตนมาหาแม่นาง "ชิงจือ" ที่ฮวนอี้โหลวตามปกติ แต่วันนี้นางอ้างว่ามีรอบเดือนเลยไม่ยอมให้คุณชายเข้าห้อง "ชุยมามา" จึงเชิญคุณชายซึ่งอยู่ในสภาพเมามายไปนอนพักที่ห้องข้างๆ ก่อน (ทุกครั้งที่มาเจิ้งเฉิงจะนอนห้องชิงจือ) ถังฟ่านถามว่าหลังจากนั้นชิงจือได้ไปหาเจิ้งเฉิงที่ห้องหรือไม่ เจิ้งฝูตอบว่าตนไม่รู้ เพราะหลังรับใช้และรอให้คุณชาย 'ทานยา' เสร็จแล้วตนก็ออกจากห้องไป ส่วนเด็กผู้หญิงที่แขวนคอตายในห้องตนไม่รู้จัก ตนกลับไปที่ห้องอีกครั้งตอนยามจื่อ (ช่วง 23.00 - 24.59 น.) พอเข้าไปในห้องก็พบคุณชายนอนตายอยู่บนเตียงและมีเด็กผู้หญิงผูกคอตายใกล้ๆ ถังฟ่านถามต่อว่าก่อนตายเจิ้งเฉิงกินยาอะไร เจิ้งฝูตอบว่ายากระตุ้นกำหนัด "ฟู่หยางชุน" คุณชายตนได้เทียบยามาจากแม่นางชิงจือ ตนจึงนำเทียบดังกล่าวไปซื้อยาที่ร้าน "หุยชุนถัง" บนถนนถังสี่ไป๋ (ระหว่างให้การเจิ้งฝูมักเหลือบมองเจิ้งจื้อแบบหวั่นเกรง)
หลังได้รูปพรรณสัณฐานคนจัดยา ถังฟ่านจึงเรียกชุยมามากับชิงจือมาสอบปากคำ ชุยมามาเล่าว่าหลังปล่อยให้คุณชายเจิ้งเฉิงนอนพักครึ่งชั่วยาม (หนึ่งชั่วโมง) เธอจึงบอกให้ชิงจือเข้าไปขอโทษคุณชายเจิ้งเฉิง แต่ชิงจือเห็นว่าเขานอนหลับเลยออกจากห้องไป ตอนนั้นน่าจะราวๆ ยามซวี (19.00 - 20.59 น.) ส่วนเด็กผู้หญิงที่แขวนคอตายพวกตนไม่รู้จักเพราะไม่ใช่คนของฮวนอี้โหลว และไม่รู้ว่าเธอมาที่นี่เมื่อใด ขณะสอบปากคำสองสาว ถังฟ่านเห็นคนของจวนอู่อันโหวขนศพเจิ้งเฉิงออกจากห้องจึงรีบร้องห้าม แต่พานปินซึ่งเดินมาพร้อมเจิ้งจื้อกลับอนุญาตให้นำศพเจิ้งเฉิงออกไป ถังฟ่านแย้งว่าคดีนี้มีเงื่อนงำ ตนต้องนำศพกลับไปชันสูตรเพิ่มที่ซุ่นเทียนฝู่ก่อน แต่อู่อันโหวยืนกรานว่าจะนำศพลูกชายคนโตกลับจวน พานปินเห็นดีด้วยและรีบเปิดทางให้เพราะไม่กล้าผิดใจกับจวนอู่อันโหว
วังจื๋อช่วยว่านกุ้ยเฟยสางผม ครั้นเห็นเธอเป็นกังวลเรื่องวัยอันล่วงเลย เขาจึงปลอบว่าเธอยังแลดูสาวเสมอ แต่ว่านกุ้ยเฟยรู้ตัวดี เธอจำได้ว่าวังจื๋อเข้าวังในปีที่สามรัชศกเฉิงฮว่า ตอนนั้นเขาอายุเพียงหกขวบส่วนเธออายุ 38 ปี ตอนนี้วังจื๋ออายุ 17 ปีแล้ว ส่วนเธออายุตั้ง 49 ย่อมแก่ลงแน่นอน วังจื๋อกล่าวว่าตนส่งคนออกนอกด่านซานไห่ไปยังพรมแดนของกลุ่มเจี้ยนโจวหนี่ว์เจิน เพื่อนำเขากวางอ่อนและอุ้งตีนหมีมาทำยาอายุวัฒนะให้ว่านกุ้ยเฟยแล้ว หากเธอชอบตนจะขอให้พวกเขาส่งสองสิ่งนี้มาถวายเป็นบรรณาการทุกปี ว่านกุ้ยเฟยรู้สึกได้ว่าการที่หานเจ่าหายตัวไปมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล และดูเหมือนว่าเธอกำลังตกเป็นเป้าของเรื่องนี้ วังจื๋อบอกให้ว่านกุ้ยเฟยวางใจเพราะตนจะจัดการเรื่องนี้เอง
พานปินคิดเอาใจถังฟ่านจึงพาเขามาเลี้ยงบะหมี่หลังเหน็ดเหนื่อยกับคดีเจิ้งเฉิงกันมาตลอดทั้งคืน แต่ถังฟ่านซึ่งรักการกินเป็นชีวิตจิตใจกลับกินอะไรไม่ลง เขาไม่อาจปล่อยวางคดีของเจิ้งเฉิงและยังอยากสืบต่อเพราะเห็นว่าคดีนี้มีพิรุธหลายจุด แต่พานปินไม่ยอมรับฟังทั้งยังชี้ว่าอู่อันโหวไม่ต้องการให้สืบสาวจนบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่บุตรชายคนเล็กของอู่อันโหวยังบอกตนให้จบเรื่องนี้แบบเงียบที่สุด ถังฟ่านรับไม่ได้ที่ศิษย์พี่คิดปิดคดีแบบสุกเอาเผากิน พานปินแย้งว่าถังฟ่านเถรตรงและจริงจังเกินไป เขาชี้ว่าการเป็นขุนนางต้องยึดหลัก 'น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า' มีเพียงวิธีนี้ที่จะช่วยให้ถังฟ่านรักษาตำแหน่งได้อย่างมั่นคง หลังพานปินห้ามยุ่งเกี่ยวหรือพูดถึงคดีนี้อีก ถังฟ่านจึงหนีกลับบ้านแบบงอนๆ
ระหว่างรอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ วังจื๋อเห็นขันทีเฒ่า "ซ่างหมิง" ผู้บัญชาการ "ตงฉ่าง" (หน่วยงานบูรพา) นำก้อนหยกล้ำค่ามาคลึงเล่นเพลินๆ จึงทักว่าเป็นหยกเนื้อดี ซ่างหมิงกล่าวว่าก็แค่ของประดับของราชวงศ์ก่อน ครั้นได้ยินว่าใต้เท้าอวี๋ให้มอบหยกชิ้นนี้ให้ซ่างหมิงเมื่อสองสามวันก่อน วังจื๋อจึงถามเพื่อความแน่ใจว่าใต้เท้าอวี๋คนไหน ที่แท้เป็นใต้เท้าอวี๋ (เจ้ากรมกลาโหม) ที่วังจื๋อเพิ่งนำเหล้าพิษไปให้ เมื่อฮ่องเต้มาถึงซ่างหมิงจึงรีบซ่อนหยกไว้ในแขนเสื้อ ฮ่องเต้ถามสองผู้บัญชาการตงฉ่าง/ซีฉ่างว่ารู้ข่าวเรื่องบุตรชายคนโตของอู่อันโหวเสียชีวิตกระทันนอกจวนแล้วซุ่นเทียนฝู่รายงานว่าเขาป่วยตายแล้วหรือยัง ปรากฏว่าทั้งคู่ต่างรู้เรื่องนี้แล้ว ซ่างหมิงกล่าวว่าคดีนี้ปิดแบบรวบรัดเกินไป ไม่แน่ว่าซุ่นเทียนฝู่อาจสืบสวนแบบสุกเอาเผากิน วังจื๋อเห็นว่าคดีนี้เกิดขึ้นในเมืองหลวง ซ้ำยังเกิดกับครอบครัวอู่อันโหวซึ่งบรรพชนของพวกเขามีส่วนช่วยก่อตั้งราชวงศ์ จึงควรสืบสาวราวเรื่องราวในแน่ชัด ครั้นฮ่องเต้ถามว่าควรให้ใครทำคดีนี้ วังจื๋อจึงขันอาสาทันที ซ่างหมิงแย้งว่าคดีนี้ให้ตงฉ่างรับผิดชอบจะเหมาะสมกว่าเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นในเมืองหลวงแต่วังจื๋อไม่ยอม เขาแย้งว่าที่ผ่านมาซีฉ่าง (หน่วยงานประจิม) ตามสืบคดีที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเป็นส่วนใหญ่และไม่เคยทำให้ฝ่าบาทผิดหวังเลยสักครั้ง หลังจากนั้นวังจื๋อก็ขอให้ฮ่องเต้มอบหมายงานนี้ให้ตน หลังเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว วังจื๋อจึงบอกซ่างหมิ่นว่าใต้เท้าอวี๋เสียชีวิตแล้วเมื่อคืนนี้ ครั้นรู้ว่าใต้เท้าอวี๋ตายเพราะดื่มเหล้าพิษของวังจื๋อ ซ่างหมิ่นจึงรีบโยนหยกทิ้งทันที
ขณะพักแรมระหว่างนำตัวเจี่ยขุยไปคุมขัง สุยโจวฝันถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งเป็นทหารแต่แล้วก็ต้องตกใจตื่นเมื่อถูก "เซวียหลิง" ปลุก ครั้นรู้ว่าตนถูกฮ่องเต้เรียกตัวกลับเมืองหลวงเพื่อไปสืบคดีของหานเจ่า สุยโจวจึงสั่งให้ลูกน้องปลดขื่อคาออกจากคอเจี่ยขุย (เพราะเจี่ยขุยรับปากว่าจะไม่หนีแม้สุยโจวไม่อยู่ และถ้าเขาคิดหนีจริงขื่อคาย่อมไม่เป็นอุปสรรค) จากนั้นก็รีบเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมเซวียหลิงทันที ครั้นมาถึงเขาก็เรียกเหล่าขันทีและนางกำนัลที่เข้าเวรตอนหานเจ่าออกจากวังมาสอบถาม ขันทีคนหนึ่งยืนยันว่า ตนเห็นหานเจ่าออกจากประตูวังแล้วเดินไปขึ้นรถม้าจวนหาน
ในเวลาเดียวกันนั้น เผยหวายกับถังฟ่านกำลังตรวจสอบศพเด็กหญิงที่แขวนคอตายใกล้ศพเจิ้งเฉิง เผยหวายชี้ว่าเด็กไม่ได้แขวนคอตายเองแต่ตายเพราะยาพิษแล้วจึงถูกนำมาจัดฉากแขวนคอ ยาพิษที่คร่าชีวิตเจิ้งเฉิงกับเด็กคนนี้เป็นคนละชนิด เจิ้งเฉิงตายเพราะยาที่เป็นพิษเรื้อรัง พิษสะสมอยู่ในร่างกายเขามาได้ระยะหนึ่งแล้ว ส่วนเด็กคนนี้โดนยาพิษชนิดร้ายแรง ยาจึงออกฤทธิ์ภายในเวลาไม่เกินหนึ่งชั่วยาม เขาฟันธงว่าเด็กตายก่อนเจิ้งเฉิงราว 3-6 ชั่วยาม (6-12 ช.ม.) หรือตายก่อนที่เจิ้งเฉิงจะไปถึงฮวนอี้โหลวด้วยซ้ำ ครั้นรู้ว่าผู้ตายไม่ใช่เด็กผู้หญิงถังฟ่านก็รู้สึกตกใจ
* หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง
สุยโจวมาสืบหาเบาะแสรถม้าจวนหานในตลาด เขาถามพ่อค้าว่าเมื่อวานราวยามเซิน (15.00-16.59 น.) เห็นรถม้าที่ภายในมีเด็กชายคนหนึ่งผ่านมาแถวนี้บ้างไหม พ่อค้าจำได้ว่าเมื่อวานนี้มีรถม้าคันหนึ่งแวะจอดแถวนี้ ครั้นเด็กชายที่อยู่บนรถอยากเข้าห้องน้ำ คนขับรถม้าจึงถามตนว่ามีห้องน้ำแถวนี้ไหม สุยโจวสงสัยว่าเหตุใดรถม้าจึงจอดกลางทาง พ่อค้ากล่าวว่าเมื่อวานชาวบ้านแห่มามุงดูคนทะเลาะกันเต็มถนน รถม้าไปต่อไม่ได้เลยต้องหยุดชั่วคราว ครั้นรู้ว่าคู่กรณีที่มีปากเสียงกันเมื่อวานคือเจิ้งเฉิงกับถังฟ่าน สุยโจวจึงคิดที่จะไปหาทั้งคู่
ในที่สุดพานปินก็งานเข้าหลังกรมอาญาและศาลต้าหลี่รวมหัวกันถวายฎีการ้องเรียนซุ่นเทียนฝู่ ฐานละเลยหน้าที่ ไม่ยอมสืบคดีให้แน่ชัด เขาจึงมาปรับทุกข์กับถังฟ่านด้วยความร้อนใจ โดยบอกว่าแม้แต่ตงฉ่าง (หน่วยงานบูรพา) ก็คิดร้องเรียนพวกตนเช่นกัน ถังฟ่านได้ทีจึงตำหนิพานปินที่ไม่ยอมฟังตน แต่กลับเร่งปิดคดีทั้งที่มีเงื่อนงำและไม่สืบกระจ่างว่าผู้ตายอีกคนเป็นใคร พานปินแย้งว่านั่นเป็นความต้องการของอู่อันโหว เขาเห็นว่าถังฟ่านเป็นคนฉลาดหลักแหลมจึงขอให้ถังฟ่านช่วยหาทางแก้ไข แต่ถังฟ่านขอคิดดูก่อนทั้งยังบ่นว่าหิว พานปินจึงพาถังฟ่านไปที่ร้านบะหมี่ของตงกู ก่อนถามว่าพอมีทางออกหรือไม่ ถังฟ่านถามกลับว่าเขาอยากทำเช่นไร พานปินอ้างว่าตนไม่หวั่นเรื่องที่ตนเองถูกร้องเรียน แต่เกรงว่าจะทำให้ซุ่นเทียนฝู่พลอยเดือดร้อนไปด้วย แต่สุดท้ายก็ยอมรับเสียงอ่อยว่าอยากรักษาตำแหน่งเอาไว้
ถังฟ่านกล่าวว่าฮ่องเต้ไม่ปล่อยให้คดีนี้จบลงแบบคลุมเครือแน่ แม้แต่ตงฉางกับซีฉ่างก็จะยื่นมือเข้ามาแทรกหมายสร้างผลงานและประกาศศักดา เพราะผู้ตายไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นถึงบุตรคนโตและผู้สืบทอดตำแหน่งศักดินาของอู่อันโหว ถังฟ่านแนะให้พานปินใช้โอกาสนี้ถวายฎีกาสำนึกผิดและร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม โดยชี้แจงสาเหตุที่ต้องปิดคดีอย่างเร่งรัด พร้อมระบายความอัดอั้นตันใจที่ต้องทำตามความต้องการของอู่อันโหวเพื่อให้ฮ่องเต้รู้สึกเห็นใจ หลังจากนั้นให้เขียนว่า... เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนว่าซุ่นเทียนฝู่ปิดคดีไม่ถูกต้องเหมาะสม จึงขอเสนอให้ ตงฉ่าง ซีฉ่าง องครักษ์เสื้อแพร กรมอาญา และศาลต้าหลี่ มาร่วมสืบคดีนี้ด้วยกัน เพื่อมอบความกระจ่างให้อู่อันโหวและครอบครัว พานปินได้ยินดังนั้นก็หัวเราะชอบใจ
หลังตงกูยกชามบะหมี่มาให้ ถังฟ่านก็ใช้ตะเกียบส่วนตัวคีบเส้นบะหมี่ใส่ปาก เพียงคำแรกเขาก็รู้สึกได้ว่ารสชาติผิดแปลกไป เขาจึงขอพบพ่อครัวคนใหม่ทันที ที่แท้พ่อครัวคนดังกล่าวคือ...สุยโจว!
* เนื้อหาโดย luvasianseries / ดูอัลบั้มภาพได้ ที่นี่
รายชื่อนักแสดง
นักแสดงนำ
กวนหง
รับบท ถังฟ่าน
(นักแสดง ชาวไต้หวัน)
ฟู่เมิ่งป๋อ
รับบท สุยโจว
(นักแสดง ชาวไต้หวัน)
หลิวเย่าหยวน
รับบท วังจื๋อ / หยางฝู
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)
อื่นๆ
ไช่เหิง
รับบท จักรพรรดิหมิงเสี้ยนจง (จักรพรรดิเฉิงฮว่า)
(นักแสดง / นักเต้นรำ ชาวจีน)
เจี่ยจิ้งเหวิน
รับบท ว่านเจินเอ๋อร์ / ว่านกุ้ยเฟย
(นักแสดง / ผู้ดำเนินรายการ ชาวไต้หวัน)
เฉินเวยซวี่
รับบท ว่านทง
(นักแสดง ชาวจีน)
เฮ่อหนาน
รับบท ตั่วเอ๋อร์ลา (ชนเผ่าหว่าล่าของมองโกล)
(นักแสดง ชาวจีน)
จางอี้หลง
รับบท อูอวิ๋นปู้ลาเก๋อ (ชนเผ่าหว่าล่าของมองโกล)
(นักแสดง ชาวจีน)
ซูย่าซิ่น
รับบท ติงหม่าน / อาลาซือ (ชนเผ่าหว่าล่าของมองโกล)
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)
หวงหยางเที่ยนเถียน
รับบท ตงเอ๋อร์
(นักแสดง ชาวจีน)
หวังเม่าเหล่ย
รับบท หลีจื่อหลง
(นักแสดง ชาวจีน)
เหมาอี้
รับบท เผยหวาย
(นักแสดง ชาวจีน)
จางป๋อเจีย
รับบท ชิงเกอ
(นักแสดง ชาวจีน)
พานสือชี
รับบท ถังอวี๋
(นักแสดง ชาวจีน)
หลี่ลี่ฉวิน
รับบท หม่าหลิน
(นักแสดง ชาวไต้หวัน)
ล่ามู่หยางจื่อ
รับบท ตงกู
กงจื่อฉี
รับบท หลินเฉาตง
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)
หลิวเฉิงจวิ้น (ยูซึงจุน)
รับบท เจี่ยขุย
(นักแสดง / นักร้อง ชาวเกาหลีใต้)
หยางข่ายเฉิง
รับบท หวังเสี้ยน
(นักแสดง ชาวจีน)
ฟางเสี่ยวลี่
รับบท โจวไทเฮา
(นักแสดง ชาวจีน)
เฉาหยาง
รับบท พานปิน
(นักแสดง / ผู้ดำเนินรายการ ชาวจีน)
รับบท ติงหรง
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา