วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เรื่องย่อ Bridal Mask หน้ากากปีศาจ




กำกับโดย:           ยูน ซองชิก
เขียนบทโดย:      ยู ยอนมี
แนวละคร:            พีเรียด, แอ็คชั่น, ดราม่า, โรแมนติก
จำนวนตอน:        28
ออกอากาศ:        เกาหลี - 30 พฤษภาคม 2555 - 6 กันยายน 2555 ทาง เคบีเอส2
                            ไทย -   ทุกวันพุธ-ศุกร์ เวลา 20.30 น. ทางเวิร์คพอยท์ทีวี (เริ่ม 31 มกราคม 2556)

เนื่องจากละครเรื่องนี้มีการอ้างอิงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ จึงขอเกริ่นนำด้วยข้อมูลจริงที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มอรรถรสและความเข้าใจในเนื้อหา ตลอดจนที่มาของเรื่องราว...

หลังญี่ปุ่นผนวกจักรวรรดิโชซอนเป็นดินแดนของตนตามสนธิสัญญาการรวมญี่ปุ่น-เกาหลี* เมื่อปี ค.ศ. 1910  (พ.ศ. 2453) โชซอนก็เข้าสู่ยุคมืด ราชวงศ์ถูกล้มล้าง พระราชวังถูกทำลาย ประชาชนต่างถูกกดขี่ข่มเหง หลังจากสมเด็จพระจักรพรรดิโกจงสวรรคต (เพราะยาพิษ) ในอีก 8 ปีต่อมา ประชาชนราว 1 ล้านคนทั่วประเทศได้รวมตัวเรียกร้องเอกราชเป็นครั้งแรกในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1919 (พ.ศ. 2462)  ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือด มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก

* สนธิสัญญานี้ไม่เป็นที่ยอมรับของชาวเกาหลี  เพราะแม้จะมีตราพระราชลัญจกร แต่กลับไม่มีพระนามของสมเด็จพระจักรพรรดิยุงฮีแห่งจักรวรรดิโชซอน (พระเจ้าซุนจง)  

แม้การลุกฮือขึ้นเรียกร้องเอกราชจะทำให้ชาวเกาหลีหลายพันคนถูกเข่นฆ่า แต่กระแสชาตินิยมและการต่อต้านญี่ปุ่นยังคงมีอยู่ต่อไป ญี่ปุ่นจึงสั่งให้โรงเรียนในเกาหลีสอนวิชาประวัติศาสตร์และภาษาญี่ปุ่นแทนวิชาประวัติศาสตร์และภาษาเกาหลี  หนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จำนวนมากถูกเผาทำลาย  การแสดงออกทางวัฒนธรรมถูกสั่งห้าม มิหนำซ้ำ ชาวเกาหลียังถูกบังคับให้ใช้ชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกด้วย

ในช่วงเวลาดังกล่าว มีชาวเกาหลีจำนวนมากอพยพออกนอกประเทศ ส่วนหนึ่งมุ่งหน้าไปยังแมนจูเรีย แล้วตั้งขบวนการกู้ชาติเพื่อทำสงครามกองโจรกับกองทัพญี่ปุ่น ขณะที่บางส่วนมุ่งหน้าไปรัสเซีย  หลังญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง เกาหลีก็พ้นจากการปกครองของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2488)  หลังจากนั้นจึงถูกแบ่งเป็นเกาหลีเหนือและใต้

เรื่องย่อ



ละคร "Bridal Mask หน้ากากปีศาจ" ดัดแปลงมาจากการ์ตูนดัง เรื่อง "คักซิทัล" (หรือ หน้ากากเจ้าสาว) ของโฮ ยองมาน ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1974 (พ.ศ. 2517) เหตุการณ์ในละครถูกสมมุติให้เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1930 (ช่วงปี พ.ศ. 2473-2483) ซึ่งเป็นยุคที่มีการเคลื่อนไหวเพื่อกอบกู้เอกราช และเกิดกระแสต่อต้านญี่ปุ่นอย่างรุนแรง ในช่วงเวลาดังกล่าว มีวีรบุรุษนิรนามสวมหน้ากาก (หน้ากากเจ้าสาวที่นักแสดงใช้สวมเวลาเล่นละคร) คอยปราบปรามศัตรูของประเทศชาติและประชาชนด้วยวิธีการอันสาสม จนนำมาซึ่งความหวังและกำลังใจของคนในชาติ


"Bridal Mask หน้ากากปีศาจ" เปิดฉากด้วยภาพบรรยากาศอันยิ่งใหญ่ของขบวนแห่ศพชาวโชซอน นามว่า "อี กง" ซึ่งทหารญี่ปุ่นยกย่องว่าเป็น "คนรักชาติ" เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการผลักดันโชซอนให้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิญี่ปุ่น เมื่อขบวนดังกล่าวผ่านมาถึงบริเวณตลาด เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทำการเคลียร์พื้นที่ด้วยการเทกระจาดและคว่ำแผงขายของ ก่อนขนออกไปทิ้งให้พ้นทาง หากใครต่อต้านจะถูกจับและทุบตีอย่างโหดเหี้ยม โดยไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กและผู้สูงอายุ

ชาวโชซอนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์การกระทำดังกล่าว ทุกคนรับไม่ได้ที่ "คนขายชาติ" ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติจากศัตรูว่าเป็น "คนรักชาติ" แต่ก็ไม่อาจแสดงความรู้สึกออกมาได้ มิหนำซ้ำ "อี คังโท" ซึ่งเป็นตำรวจชาวโชซอนที่หันไปภักดีต่อญี่ปุ่น ยังสั่งแกมบังคับให้ประชาชนสองข้างทางร่ำไห้ ทุกคนจึงได้แต่ยืนก้มหน้าเพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่ "อี กง"


คงมีเพียงสาวน้อย "มกดัน" ที่หาญกล้าปาก้อนหินใส่ขบวนแห่ศพ หินก้อนดังกล่าวพุ่งตรงไปที่ใบหน้าของคังโท แต่เขาเอี้ยวตัวหลบ หินจึงพุ่งเข้าใส่รูปของผู้ตายอย่างจัง คังโทสั่งให้ลูกสมุนช่วยกันตามจับมกดัน มกดันพยายามหนีจากการไล่ล่าแต่ก็หนีไม่พ้น เพราะโดนแส้ของตำรวจชาวญี่ปุ่นฟาดเข้าที่กลางหลังจนล้มลง คังโทถามอย่างคาดคั้นว่า "ทัมซารี อยู่ที่ไหน" มกดันถามกลับอย่างไม่สะทกสะท้านว่า "ทัมซารีเป็นใคร" เลยโดนคังโทตบสั่งสอนจนหน้าคว่ำ จากนั้นก็มีเสียงคนร้องตะโกนว่า   "คักซิทัล"


ชายคนหนึ่งสวมหน้ากากเจ้าสาวควบม้าตรงมายังขบวนแห่ แล้วปามีดพร้อมข้อความข่มขู่ใส่รถของเจ้าหน้าที่ระดับสูง ก่อนฝ่าด่านเจ้าหน้าที่เข้าไปทำลายป้ายผ้าหน้าขบวนแห่ท่ามกลางเสียงเชียร์ของผู้คน คังโทพามกดันออกมายืนริมถนนแล้วเล็งปืนใส่คักซิทัล มกดันเห็นดังนั้นจึงเตะขาคังโทแล้วรีบวิ่งหนีไป แม้จะทรุดลงไปกองกับพื้นแต่พอเห็นคักซิทัลควบม้าเข้ามาใกล้ คังโทก็ลุกขึ้นแล้วเล็งปืนใส่คักซิทัลอีกครั้ง แต่กลับถูกคักซิทัลใช้กระบองตีเข้าที่กลางหลังจนล้มลง

หลังวิ่งหนีมาได้ระยะหนึ่ง มกดันก็หันกลับไปมองทางด้านหลัง เมื่อเห็นว่าคักซิทัลควบม้าตามมาและยื่นมือให้ เธอจึงหยุดวิ่งแล้วยื่นมือให้คักซิทัลช่วยดึงเธอขึ้นไปนั่งหลังม้า คังโทเห็นคักซิทัลพามกดันหลบหนี จึงยิงปืนใส่ทั้งคู่ด้วยความโมโห แต่มกดันและคักซิทัลต่างก็ก้มตัวหลบกระสุนได้ทัน

หนึ่งเดือนต่อมา คังโทได้รับการเลื่อนขั้นหลังจับตัว "มก ทัมซารี" (พ่อมกดัน) หนึ่งในแกนนำก่อกบฎ (กู้ชาติ) ที่หลบหนีการไล่ล่ามานาน 3 ปี  นายพลคนโนะ โคจิ ยังประกาศบนเวทีด้วยว่า นับแต่นี้จะไม่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างเจ้าหน้าที่ชาวโชซอนและชาวญี่ปุ่นอีกต่อไป เพราะเขาจะพิจารณา (เลื่อนขั้น) โดยดูจากผลงานเป็นหลัก ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับคิมูระ ทาโร่ และบุตรชายเป็นอย่างมาก


แม่คังโทนำอาหารมาวางขายที่ตลาด แต่กลับถูกแม่ค้าพ่อค้าเตะข้าวของกระจัดกระจาย ทั้งยังถูกห้ามไม่ให้นำของมาวางขายที่นี่อีกโดยอ้างว่าเป็นแหล่งทำมาหากินของชาวโชซอนเท่านั้น ขณะที่เธอกำลังถูกข่มขู่และทำร้าย คังซาน ลูกชายคนโตที่มีอาการทางจิต (พี่ชายคังโท) ก็วิ่งมาหา เขายืนฟังแม่ของตนถูกประณามเรื่องที่ปล่อยให้ลูกชาย (คังโท) ทรยศต่อประเทศชาติเหมือนไม่เข้าใจเรื่องราว ครั้นพอชายคนดังกล่าวเอ่ยชื่อคังโท คังซานก็เริ่มโมโหเพราะไม่อยากให้ใครกล่าวหาหรือว่าร้ายน้องชายตน เขาตรงเข้าทำร้ายคนพูด แต่กลับเป็นฝ่ายถูกทำร้ายอย่างน่าเวทนา

ระหว่างนั้นคังโทกำลังนั่งรถหรูกลับบ้าน ขณะเดินทางผ่านมายังตลาดเขาได้ยินเสียงแม่ร้องเรียกคังซานจึงลงจากรถแล้วรีบวิ่งไปดู เมื่อเห็นพี่ชายถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา เขาก็ตรงเข้าไปถีบอกพ่อค้าที่รังแกคังซาน จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มชกต่อยกัน เมื่อเห็นท่าไม่ดีพ่อค้าคนดังกล่าวก็เริ่มถอยหนีและด่าทอคังโทว่าเป็นสุนัขรับใช้พวกญี่ปุ่น จากนั้นก็วิ่งหนีไป

คังซานหันกลับมาต่อว่าบรรดาแม่ค้าและผู้คนที่อยู่ในตลาด หลังปล่อยให้พี่ชายตนโดนรังแกต่อหน้าต่อตา โดยไม่เข้าช่วยเหลือหรือห้ามปราม แม่คังโทเห็นลูกชายจะทำร้ายคนชาติเดียวกัน จึงรีบห้ามและไล่ให้เขากลับไป คังโทเห็นอาหารที่แม่เตรียมมาขายหล่นกระจัดกระจายอยู่บนพื้น จึงโยนเงินปึกหนึ่งให้แม่แล้วตะคอกใส่ด้วยความคับแค้นใจว่าต่อไปนี้ไม่ต้องมาขายของที่นี่อีก 



คังซานเห็นเงินร่วงลงบนพื้นก็รีบเก็บ แต่แม่ห้ามเอาไว้ และบอกว่าจะไม่มีวันรับเงินของคังโท (เงินที่ได้มาจากการทำงานให้ศัตรูของชาติ) คังโทตะคอกใส่แม่ด้วยความอัดอั้นและน้อยใจที่แม่ไม่เคยภาคภูมิใจในตัวเขา ทั้งๆ ที่เขาไม่มีความรู้แต่กลับหาเงินได้มากกว่าพวกที่เรียนจบมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ แม่คังโทสวนกลับว่า รับเงินจากพวกที่ทำร้ายพี่ชายจนเสียสติ มันน่าภาคภูมิใจตรงไหน คังโทแย้งว่า แล้วจะให้เขาทำอย่างไร ในเมื่อพ่อตายแล้วพี่ชายต้องตกอยู่ในสภาพนี้  (คังโทคิดว่า เขาเป็นเสาหลักของบ้าน เลยต้องหาเงินให้ได้เยอะๆ โดยไม่สนใจว่าจะได้เงินมาอย่างไร) คังซานเห็นแม่ตบหน้าน้องชาย จึงรีบเข้าไปขวางแล้วร้องห้ามไม่ให้แม่ทำร้ายน้อง

คังโทกลับเข้าบ้านความโมโห เขาขว้างกล่องรางวัลเชิดชูเกียรติที่เพิ่งได้รับมาหมาดๆ ในพิธีเลื่อนขั้นใส่รูปครอบครัว ทำให้รูปร่วงลงพื้นจนกระจกกรอบรูปแตกร้าว เขารู้สึกเจ็บปวดที่ครอบครัวไม่ภาคภูมิใจในความสำเร็จของเขา ทั้งๆ ที่เขาต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ นานากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ จากนั้นก็บ่นดังๆ ให้แม่ได้ยินว่า จะให้เขาเอาอย่างพ่อที่ขายสมบัติจนหมดแล้วเที่ยวออกไปเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราช  หรือให้เขาโดนทรมานจนเสียสติเหมือนพี่ชายแล้วทุกคนถึงจะพอใจใช่ไหม โชซอนจะเป็นยังไงหรือตกอยู่ในสภาพไหนแล้วมันเกี่ยวอะไร มันเคยให้ข้าวเรากินไหม เคยให้ดินสอสักแท่งรึเปล่า ที่ผ่านมาเขาใช้ความสามารถที่มีอยู่น้อยนิดผลักดันตัวเองจนประสบความสำเร็จ  เพียงเพื่อให้ตนเองและครอบครัวมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

คังโท โยนเสื้อผ้าลงกระเป๋าด้วยความโกรธ จากนั้นก็คว้ากล่องใส่เข็มยศแล้วออกจากบ้านไป คังซานเห็นน้องชายถือกระเป๋าออกจากห้อง ก็พยายามถามน้องว่าจะไปไหน คังโทมองหน้าพี่ชายอย่างหงุดหงิด ก่อนเดินไปไปบอกแม่ว่า ลูกชายที่ทำให้แม่ละอายใจจนไม่มีหน้าไปเจอพ่อในปรโลก จะไม่อยู่ให้รกหูรกตาอีกต่อไป เขายังอวยพรให้แม่อายุยืนและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับลูกกตัญญูที่แม่ปลื้ม คังซานวิ่งตามคังโทและพยายามยื้อยุดกระเป๋า แต่คังโทกำลังโมโหจึงสะบัดกระเป๋าออกแล้วเดินจากไปอย่างไม่ใยดี

แม่คังโทนึกถึงช่วงเวลาที่แสนอบอุ่นในอดีต ตอนที่คังซานยังเป็นนักศึกษา ส่วนคังโทรับจ้างลากรถ วันนั้นคังโทหยิบหมวกของพี่ชายขึ้นมาดูอย่างชื่นชม พลางหนีบรองเท้าเปียกๆ ของพี่ชายเอาไว้ใต้รักแร้หวังช่วยซับน้ำให้แห้ง เขาเห็นว่ารองเท้าพี่ชายขาดเป็นรู จึงตั้งใจว่าจะเก็บเงินซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้ ถึงแม้ว่าขณะนั้นตนเองจะมีเพียงรองยางเก่าๆ ที่ขาดรุ่งริ่งก็ตาม


เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่แสนขัดสนแต่เปี่ยมไปด้วยความรักความอบอุ่น แม่คังโทก็ร้องไห้ออกมา เธอมองภาพถ่ายครอบครัวที่หล่นอยู่ในห้องของคังโท แล้วลูบใบหน้าลูกชายคนเล็กด้วยความเสียใจ ขณะที่คังซานร้องไห้วิ่งตามรถ พลางกวักมือและร้องเรียกคังโทอย่างน่าเวทนา คังโทเห็นพี่ชายร้องไห้วิ่งตามมาและสะดุดขาตัวเองจนล้มกลิ้งก็อดเป็นห่วงไม่ได้ แต่เขายังคงแข็งใจขับรถต่อไป

หลังออกจากบ้าน คังโทก็แวะไปหาคิมูระ ชุนจิ (เพื่อนซี้ชาวญี่ปุ่น) ที่โรงเรียนประถม และชวนให้มาลองสู้กันซักตั้ง ทั้งคู่ประลองดาบไม้ในสนามกันอย่างดุเดือด จากนั้นจึงทิ้งตัวลงนอนบนสนามหญ้าอย่างอ่อนแรงด้วยกันทั้งคู่ ชุนจิเห็นคังโทหิ้วกระเป๋ามาหาก็รู้ทันทีว่าคังโทมีเรื่องไม่สบายใจ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คังโทหอบเสื้อผ้ามาอยู่กับเขา


คังโทบอกว่า เขาเพิ่งถูกเลื่อนขั้นแถมยังได้เงินเดือนมากขึ้น ทำงานเก็บเงินอีกแค่ปีเดียวเขาก็จะมีเงินซื้อบ้านใหม่ให้แม่  และยังสามารถพาพี่ชายไปรักษาอาการทางสมองที่โรงพยาบาลดีๆ ในโตเกียวได้ด้วย ขอเพียงพี่ชายอาการดีขึ้น เขาไม่สนใจแม้ใครจะเรียกตนเองว่าเป็นสุนัขรับใช้พวกญี่ปุ่น ชุนจิฟังแล้วรู้สึกสงสาร เห็นใจ และรู้สึกผิด (พี่ชายคังโทถูกเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นทรมานจนเสียสติ) จึงพยายามกลบเกลื่อนและลดบรรยากาศตึงเครียดด้วยการพูดว่า คังโทเป็นคนดี ดีจนทำให้เขารู้สึกผิดที่คิดต่อต้านพ่อของตัวเอง จากนั้นก็พยายามแหย่ให้คังโทหัวเราะ

ที่คณะละคร "ฟาร์อีส เซอร์คัส"  มกดันซึ่งรอคิวขึ้นแสดง พยายามสอดส่ายสายตาหาใครบางคน จนเพื่อนร่วมคณะนามว่า "ซอนฮวา" รู้สึกสงสัย จึงพยายามถามมกดันว่าเธอกำลังรอใคร เพราะก่อนแสดงทุกครั้ง เธอมักจะมองหาใครบางคน ขณะที่มกดันได้แต่พร่ำบ่นกับตัวเองว่า "สักวันเขาจะต้องมา" จากนั้นก็นำมีดพกมาห้อยคอเอาไว้เหมือนทุกครั้ง


มกดันนึกถึงเรื่องราวสมัยที่ยังเป็นเด็ก ในตอนนั้นเธอและเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งกำลังถูกชายฉกรรจ์ 2 คน  ตามล่า เด็กชายยื่นมีดพกให้แล้วบอกว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป และห้ามตายโดยเด็ดขาด มกดันถามด้วยความรู้สึกหวาดกลัวว่าเขาคิดจะทำอะไร  (เธอเรียกเด็กชายคนดังกล่าวว่า "นายน้อย" และพูดกับเขาด้วยภาษาสุภาพ)  เด็กชายบอกเพียงว่า สักวันเธอกับเขาจะต้องได้พบกันอีก (เขาเรียกเธอว่า "บุน") หากเธอยังมีชีวิตอยู่ เขาจะเป็นฝ่ายออกตามหาเธอเอง เด็กชายสวมกอดฝ่ายหญิงเพื่อเป็นการอำลา ก่อนวิ่งออกไปเป็นตัวล่อเพื่อเปิดทางให้เด็กหญิงหลบหนี...มกดันนึกถึงความหลังแล้วมองมีดพกในมืออีกครั้ง จากนั้นก็ออกไปทำการแสดงเปลี่ยนหน้ากาก หลังแสดงจบหัวหน้าคณะละครก็แนะนำว่าเธอชื่อ "โอ มกดัน"


คืนนั้น ชุนจิ นอนเล่าความหลังเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กให้คังโทฟัง โดยบอกว่า ตอนอายุ 13 เขาเคยรู้จักเด็กผู้หญิงชาวเกาหลีคนหนึ่งซึ่งใช้ชื่อว่า "เอสเธอร์"  (เป็นชื่อที่ใช้ในคริสตจักรแบ๊บติสต์) เธอช่วยเคี่ยวเข็ญจนทำให้เขาเป็นผู้เป็นคนตราบจนทุกวันนี้ แม้เขาจะไม่รู้ชื่อจริงของเธอ แต่ยังคงจำเธอได้และระลึกถึงเธออยู่เสมอ คังโทอยากรู้เรื่องราวของเด็กหญิงคนดังกล่าว แต่ชุนจิไม่ยอมเล่าให้ฟังเพราะอยากเก็บไว้เป็นความลับ เขาทอดถอนใจแล้วนึกสงสัยว่าตนจะได้เจอเด็กหญิงคนดังกล่าวอีกหรือไม่

ชุนจินึกถึงภาพเหตุการณ์ในอดีตตอนที่เขาแอบฟังเด็กหญิงเอสเธอร์ (ซึ่งก็คือ มกดัน หรือบุน) อธิษฐานขอพรให้ได้พบพ่อโดยเร็ว  เธอยังขอให้พระเจ้าคุ้มครองนายน้อยที่มอบมีดแก่เธอ และขอให้เธอได้พบนายน้อยอีกครั้งตามที่ให้คำมั่นสัญญาเอาไว้... ชุนจิรำลึกถึงความหลังแล้วรู้สึกสงสัยว่าป่านนี้เธอจะได้เจอนายน้อยคนนั้นหรือยัง จากนั้นก็หันไปมองคังโทซึ่งกำลังนอนกรน (ละครบอกเป็นนัยๆ ว่านายน้อยคนดังกล่าวเป็นใคร)

เหตุการณ์ต่อจากนี้จะเข้มข้น พลิกผัน บีบหัวใจ และลงเอยอย่างไร ติดตามชมได้ใน "Bridal Mask หน้ากากปีศาจ" ทางช่องเวิร์คพอยท์ทีวี

* เนื้อหาโดย luvasianseries


นักแสดงนำ



จู วอน



ชิน เซยอน



ปาร์ก กีอุง



ฮัน เชอา



ชิน ฮยอนจุน


*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา