วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

เรื่องย่อ ขุนให้อ้วนแล้วชวนมารัก (Boss & Me)




บทประพันธ์:  กู้ม่าน
กำกับ: หลิวจวิ้นเจี๋ย (ชาวไต้หวัน)
เขียนบท: Good Story Inc. (บริษัทไต้หวัน)
แนวละคร: โรแมนติก, ดราม่า
จำนวนตอน: 34
ออกอากาศ: จีน - ครั้งแรก วันที่ 8 กรกฎาคม 2557 ทางเจียงซู แซทเทลไลท์ ทีวี
               ไทย - ทุกวันศุกร์-อาทิตย์ เวลา 07.00-08.00 น., 17.00-18.00 น. และ 24.00-01.00 น. ทางโมโนพลัส (ช่อง Zaa Network เดิม) ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2558 - 11 ตุลาคม 2558

เรื่องย่อ



ละคร "ขุนให้อ้วนแล้วชวนมารัก (Boss & Me)" นำเสนอเรื่องราวความรักระหว่างพนักงานระดับล่างสุดของบริษัท กับซีอีโอหนุ่มหล่อของกลุ่มบริษัทไอทียักษ์ใหญ่

"เซวียซานซาน" เด็กสาวใสซื่อจิตใจดีที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อทำงานเป็นพนักงานระดับล่างของบริษัทในเครือเฟิงเถิงกรุ๊ปที่มหานครเซี่ยงไฮ้ สาเหตุที่เธอได้รับคัดเลือกให้เข้าทำงานในกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งๆ ที่โปรไฟล์ไม่โดดเด่น ผลการเรียนก็ย่ำแย่ เป็นเพราะเธอมีกรุ๊ปเลือดพิเศษที่หายาก AB Rh- (Rh - Negative)

"เฟิงเถิง" เจ้านายของเธอ มีน้องสาวที่มีเลือดกรุ๊ป AB Rh- เช่นกัน และบริษัทของเขาก็มีนโยบายในการพิจารณาผู้สมัครงานที่มีเลือดกรุ๊ปดังกล่าวเป็นกรณีพิเศษ (กำหนดโดยอดีตซีอีโอ - ปู่ของเฟิงเถิง) เมื่อ "เฟิงเยว่" น้องสาวของเฟิงเถิงต้องผ่าตัดทำคลอดและจำเป็นต้องให้เลือด ซานซานซึ่งเป็นเด็กใหม่ที่อยู่ในช่วงทดลองงานจึงถูกเรียกตัวมาบริจาคเลือดกลางดึก และเพื่อเป็นการขอบคุณซานซานที่ช่วยชีวิต เฟิงเยว่จึงให้พ่อครัวประจำบ้านเตรียมอาหารกลางวันเผื่อซานซานอีกชุดหนึ่ง (พ่อครัวต้องทำอาหารใส่ปิ่นโตให้เฟิงเถิงทุกวันอยู่แล้ว) 


เฟิงเยว่ฝากเลขาพี่ชายให้นำปิ่นโตไปส่งซานซานที่แผนกทุกวัน (เมนูยืนพื้นที่ซานซานต้องทานทุกวันคือตับหมู) ทำให้เริ่มมีเสียงซุบซิบนินทาถึงความสัมพันธ์ระหว่างซานซานกับเฟิงเถิง (ทุกคนรวมทั้งซานซานต่างคิดว่าเฟิงเถิงเป็นเจ้าของปิ่นโต) ซานซานไม่ต้องการเป็นจุดสนใจจึงแอบนำอาหารขึ้นไปทานบนระเบียงชั้นดาดฟ้าซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องทำงานของเฟิงเถิง ซานซานเห็นว่าผนังกระจกของห้องที่อยู่ติดระเบียงค่อนข้างมืดทึบเลยคิดว่าเธออยู่ตามลำพังและไม่มีคนเห็น  (ผนังกระจกติดฟิล์มด้านเดียวคนที่อยู่ด้านนอกจึงมองไม่เห็นด้านในแต่คนที่อยู่ข้างในมองเห็นคนข้างนอก) เธอจึงนั่งทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยแถมยังเต้นปลุกใจตัวเองหลังอาหารอีกด้วย เฟิงเถิงเห็นดังนั้นก็รู้สึกขำและเริ่มนำอาหารมานั่งทานริมกระจกกับซานซาน เมื่อได้เห็นความน่ารักความสดใสของซานซานผ่านกระจกทุกวัน เฟิงเถิงก็อารมณ์ดีและพลอยเจริญอาหารตามไปด้วย

พอรู้ว่าความจริงแล้วเฟิงเยว่เป็นคนส่งปิ่นโตมาให้ ซานซานซึ่งเบื่อตับหมูเต็มแก่จึงขอให้เฟิงเยว่หยุดส่งปิ่นโตให้เธอโดยอ้างว่าไม่อยากรบกวน พอเฟิงเยว่รับปากซานซานก็รู้สึกโล่งใจ เฟิงเถิงอยากให้ซานซานขึ้นมาทานอาหารบนระเบียงอีกจึงสั่งพ่อครัวให้เตรียมปิ่นโต 2 ชุดเหมือนเดิม โดยโกหกซานซานว่าเฟิงเยว่ลืมบอกพ่อครัว  เขายังบอกด้วยว่าจะไม่ให้เลขาซึ่งจบจาก 'ฮาร์วาร์ด' ลงไปส่งปิ่นโตให้เธออีก แต่เธอจะต้องมาทานอาหารในห้องทำงานของเขาทุกวัน และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ ทั้งยังเป็นที่มาของชื่อเรื่อง  "ขุนให้อ้วนแล้วชวนมารัก"

ละครเปิดฉากขึ้นที่นครเซี่ยงไฮ้ ซานซานซึ่งเหนื่อยล้าจากการทำงานล่วงเวลาถูกปลุกขึ้นมากลางดึกเมื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลโทรฯ มาแจ้งให้รีบไปที่แผนกสูตินรีเวชศาสตร์ โดยบอกเพียงว่าตอนนี้รถแท็กซี่มาจอดรอเธอที่หน้าบ้านแล้ว ซานซานลุกจากเตียงอย่างงัวเงียและงงๆ ทั้งยังรู้สึกแปลกใจว่าใครมาเข้าโรงพยาบาลที่เซี่ยงไฮ้กลางดึก ในเมื่อพ่อแม่และญาติของเธอล้วนอยู่ที่ต่างจังหวัด



ทันทีที่ไปถึงโรงพยาบาลซานซานก็ถูกชายใส่สูทพาไปยังแผนกสูตินรีเวช พอก้าวเท้าเข้าไปในแผนกฯ ก็มีชายแปลกหน้ามาขอร้องซานซานให้ช่วยชีวิตภรรยาของตน โดยบอกว่ามีเพียงซานซานเท่านั้นที่ช่วยได้ เขาอ้อนวอนและบีบแขนเธอแน่นอย่างลืมตัวจนซานซานรู้สึกเจ็บ ทันใดนั้น ก็มีเสียงชายคนหนึ่งบอกให้เขาปล่อยแขนเธอ ชายคนดังกล่าวเดินเข้ามาหาซานซานและถามว่าเธอมีเลือดกรุ๊ป AB Rh- ใช่ไหม เมื่อเห็นซานซานพยักหน้าแบบงงๆ เขาจึงอธิบายว่าน้องสาวตนมีเลือดกรุ๊ปเดียวกับซานซาน เธอเพิ่งเข้ารับการผ่าตัดทำคลอดแต่ทางโรงพยาบาลมีเลือดสำรองไม่เพียงพอ เขาจึงขอให้ซานซานช่วยแสตนด์บายรอสักพักเผื่อว่าทางโรงพยาบาลอาจจำเป็นต้องขอบริจาคเลือด

ซานซานยินดีที่จะบริจาคเลือดแต่รู้สึกข้องใจว่าเขาทราบที่อยู่และเบอร์ติดต่อของเธอได้อย่างไร ทั้งยังเริ่มสงสัยว่าเขาเป็นใครกันแน่ ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่มอีกคนเดินเข้ามาและถามซานซานว่า "คุณทำงานที่เฟิงเถิงคอร์ปอเรชั่นใช่ไหม อย่าบอกนะว่าตอนฝึกอบรมคุณไม่ได้เรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการก่อตั้งและไม่เคยเข้าเว็บไซต์ของบริษัทเลย" เมื่อเห็นว่าซานซานไม่รู้เรื่องจริงๆ เขาจึงกล่าวว่า "ท่านนี้คือบอสของเรา...คุณเฟิง" ซานซานถามย้ำว่า "เฟิงเถิง? บิ๊กบอสน่ะเหรอ" พอรู้ว่าบิ๊กบอสตัวเป็นๆ ยืนอยู่ตรงหน้า ซานซานก็รีบก้มศีรษะทักทายอย่างนอบน้อม

หลังจากนั้นชายคนดังกล่าวก็แนะนำตัวว่า ตนชื่อ "เจิ้งฉี" อยู่ฝ่ายอาร์แอนด์ดี (ฝ่ายวิจัยและพัฒนา) ซานซานนึกออกทันทีว่าเขาเป็นเจ้าของฉายา 'ฉีสุดหล่อ' (สาวๆ ในบริษัทตั้งให้) ส่วนชายที่ขอร้องให้ซานซานช่วยชีวิตภรรยามีชื่อว่า  "เหยียนชิง" เป็นผู้จัดการทั่วไปฝ่ายลงทุนและน้องเขยของเฟิงเถิง



 

หลังบริจาคเลือดแล้ว เจิ้งฉีก็เข้ามาซักถามอาการของซานซานอย่างห่วงใย และบอกว่าบริษัทอนุญาตให้เธอหยุดพักผ่อนหนึ่งวัน หากเธอยังคงรู้สึกเพลียก็ให้นอนพักที่นี่ หลังจากนั้นเจิ้งฉีก็ไปหาเหยียนชิงเพื่อสอบถามอาการของ "เฟิงเยว่" (ภรรยาของเหยียนชิง/น้องสาวเฟิงเถิง) และได้รับข่าวดีว่าทั้งแม่และเด็กปลอดภัย ซานซานตามมาพบเหยียนชิงเพื่อฝากป้ายผ้าให้เฟิงเยว่ (ลักษณะคล้ายซองหรือถุงผ้าเล็กๆ มีไว้ใส่ข้อมูลเกี่ยวกับกรุ๊ปเลือดและสถานที่ติดต่อสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุ) เพราะเห็นว่าเฟิงเยว่มี 'เลือดแพนด้า' (กรุ๊ปเลือดหายาก) เช่นเดียวกับเธอ  เหยียนชิงเกรงใจไม่กล้ารับเพราะรู้ว่าเป็นของสำคัญของซานซาน (แม่เธอเย็บให้) แต่ซานซานขอร้องให้รับไว้

เฟิงเถิงออกมาตามเหยียนชิงให้เข้าไปหาภรรยาในห้อง หลังจากนั้นเขาก็บอกซานซานว่า "คุณเซวียน ขอบคุณมาก... มีอะไรอีกมั๊ยครับ"  ซานซานได้ยินแล้วถึงกับอึ้งและรีบขอตัวกลับทันที เมื่อออกมาทางด้านนอกแล้วไม่พบรถแท็กซี่จอดรอเหมือนตอนขามา ซานซานจึงยืนบ่นว่าก่อนบริจาคเลือดทำเป็นเอาใจแต่พอได้สิ่งที่ต้องการแล้วกลับไม่เห็นหัว (เธอไม่รู้ว่าเฟิงเถิงเดินตามออกมาและยืนอยู่ทางด้านหลัง) 

เมื่อกลับมาถึงห้องพักซานซานก็อดนึกถึงเฟิงเถิงไม่ได้ เธอรู้สึกผิดคาดที่ซีอีโอบริษัทเป็นชายหนุ่มรูปงามแทนที่จะเป็นผู้ชายแก่ๆ ทั้งยังคิดว่าคนที่ทั้งหล่อ รวย เก่ง และสุดแสนเย็นชาอย่างเฟิงเถิงคงยากที่จะคบหาสมาคมและเข้าถึงได้ยาก แต่เธอก็หาได้แคร์ไม่...เพราะคิดว่าคงไม่มีโอกาสเจอเขาอีกแล้ว


ซานซานเล่าให้คนดูฟังว่า เธอเพิ่งเข้ามาทำงานที่เฟิงเถิงกรุ๊ปได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน เรียกได้ว่ายังไม่ถึง 1 ใน 3 ของช่วงทดลองงานเลยด้วยซ้ำ เมื่อห้าวันที่แล้วเธอเพิ่งเจอศึกหนักในการเตรียมปิดบัญชีประจำเดือนของบริษัทเป็นครั้งแรกในชีวิต หัวหน้าแผนกขอให้ทุกคนเต็มที่กับการทำงานเพราะสัปดาห์หน้าจะเป็นโกลเด้นวีคแล้ว (หยุดยาว 7 วันเนื่องในวันชาติ) แต่ซานซานกลับถูกพนักงานคนอื่นๆ โยนงานมาให้ทำสารพัด

ซานซานทำงานเป็นผู้ช่วยการเงิน และทีมของเธอก็กำกับดูแลด้านการเงินให้กับสองบริษัทที่เล็กที่สุดในเครือเฟิงเถิงกรุ๊ป ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนของพนักงาน 93 คน หรือค่าใช้จ่ายจิปาถะต่างๆ (เฟิงเถิงกรุ๊ปมีบริษัทในเครือทั้งหมด 18 บริษัท)  แม้จะรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ๆ สำคัญ แต่การทำงานในตำแหน่งต่ำสุดแถมทักษะและความสามารถยังไม่โดดเด่นก็ทำให้เธอนึกสงสัยว่าจะผ่านพ้นช่วงทดลองงานไปได้ยังไง


แม้ซานซานจะจบจากมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วม Project 211 ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีความรู้ความสามารถด้านภาษาและคอมพิวเตอร์ แต่เธอไม่เคยนึกฝันว่าจะได้มาทำงานในเมืองใหญ่ๆ อย่างเซี่ยงไฮ้ ทั้งยังรู้สึกเห็นใจผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่ต้องสละเวลาอันมีค่ามานั่งอ่านเรซูเม่ของเธอ (เธอส่งใบสมัครผ่านระบบออนไลน์) ถึงกระนั้น เธอก็ยังได้งานที่เฟิงเถิงกรุ๊ปแบบไม่คาดฝัน เธอจึงนึกถึงคำพูดของแม่ (ซึ่งเป็นช่างตัดเสื้อ) ที่เคยบอกว่า ถึงแม้เธอจะเกิดมาโง่แต่คนโง่ก็โชคดีได้เช่นกัน แม้แต่ชาวบ้านที่มาร่วมแสดงความยินดี (ตอนที่ทางบ้านของเธอจัดพิธีฉลองและส่งเธอเดินทางมาเซี่ยงไฮ้) ยังนินทาลับหลังว่าเธอได้งานเพราะโชคช่วย

เฟิงเถิงกรุ๊ปเป็นกลุ่มธุรกิจซอฟท์แวร์ที่ใหญ่สุดในประเทศจีน ลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในยุโรปและอเมริกา พนักงาน 4 ใน 10 ของที่นี่ล้วนจบมาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น แม้แต่คนที่จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีนยังต้องเริ่มต้นการทำงานด้วยการเป็นเด็กเสิร์ฟกาแฟ ซานซานจึงรู้สึกดีใจมากที่เฟิงเถิงกรุ๊ปเปิดประตูต้อนรับคนอย่างเธอ และเหตุผลเดียวที่เธอนึกออกในตอนนี้ก็คือ คงมีใครบางคนในฝ่ายทรัพยากรมนุษย์นั่งสัปหงกจนเผลอคลิกเมาส์ผิด


วันแรกที่เข้ามาทำงานซานซานแอบฝันหวานว่า สักวันความสามารถของเธอจะฉายแววโดดเด่นเตะตาผู้บริหารจนหน้าที่การงานของเธอค่อยๆ เจริญก้าวหน้าขึ้น เพราะแม้แต่ตึกระฟ้าก็ยังต้องเริ่มต้นสร้างจากชั้นกราวด์ (ชั้น G หรือชั้นที่อยู่ติดพื้นดิน) แต่พอเริ่มต้นทำงานจริงๆ เธอถึงได้รู้ว่าความรู้ความสามารถของตนในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ชั้นกราวด์แต่อยู่ชั้นล่างสุดของชั้นใต้ดิน สิ่งเดียวที่เธอทำให้บริษัทได้ในตอนนี้คือการกรอกใบแจ้งหนี้ (ไม่นับรวมงานเบ๊สารพัดที่ถูกเพื่อนร่วมงานเรียกใช้) ซึ่งเธอต้องทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ (กลับทีหลังคนอื่น) ถึงขนาดต้องโด๊ปกระทิงแดง 3 กระป๋อง


หลังตื่นนอนในตอนเช้า "ลู่ซวงอี้" (เพื่อนรักของซานซานซึ่งเป็นนักเขียนและเจ้าของบ้าน) เห็นซานซานนอนสลบไสลอยู่บนโซฟาจึงเข้ามาปลุกพลางบ่นเรื่องที่ซานซานมักทำงานล่วงเวลาจนดึกดื่นทำให้ไม่มีแรงแม้แต่จะคลานขึ้นไปนอนบนเตียง หลังจากนั้นเธอก็บ่นเรื่องที่ซานซานไม่ยอมรื้อของออกจากกระเป๋าเดินทางทั้งๆ ที่ผ่านไปนานเกือบเดือนแล้ว ซานซานให้เหตุผลว่าที่ไม่รื้อกระเป๋าเป็นเพราะเธออาจไม่ผ่านโปรฯ ซวงอี้แย้งว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นซานซานก็ต้องอยู่กับเธอที่เซี่ยงไฮ้ ทั้งยังชี้ว่าพ่อแม่ของซานซานอุตส่าห์ทุ่มงบจัดพิธีฉลองและส่งเธอเดินทางมาเซี่ยงไฮ้อย่างเอิกเกริก เธอจึงทำให้ทางบ้านผิดหวังและเสียหน้าไม่ได้ ซานซานเลยขอให้ซวงอี้พาเธอไปเลี้ยงปลอบใจหลังเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานหนักติดต่อกันมาหลายวัน


เฟิงเยว่เห็นพี่ชายเอาแต่จ้องมองป้ายผ้าของซานซาน จึงสงสัยว่าทำไมพี่ชายถึงสนใจของเล็กๆ น้อยๆ มากขนาดนี้ เฟิงเถิงกล่าวด้วยความแปลกใจว่าป้ายนี้ถูกเย็บด้วยกรรมวิธีแบบดั้งเดิม อุปกรณ์ที่ใช้ก็ล้าสมัย (รูเข็มมีขนาดใหญ่) แถมผ้าที่ใช้ก็เก่ามาก แต่กลับยังแข็งแรงทนทาน เฟิงเยว่เห็นพี่ชายช่างวิจารณ์จึงกล่าวว่าของชิ้นนี้แม่ของใครบางคนทำขึ้นด้วยใจจึงไม่อาจนำมาเทียบกับสินค้าแบรนด์ดังที่เขาคุ้นเคย เฟิงเยว่อยากขอบคุณซานซานที่ช่วยชีวิตจึงถามเฟิงเถิงว่าควรตอบแทนน้ำใจของซานซานอย่างไรดี   พอเฟิงเถิงแนะนำให้มอบเช็ค เฟิงเยว่ก็รู้สึกอ่อนใจและบอกว่าเธอจะคิดเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

เฟิงเถิงและเจิ้งฉีซึ่งเป็นเพื่อนรักกันมานาน 15 ปีมาเล่นบาสฯ ด้วยกันในยามว่าง อีกด้านหนึ่งซานซานและซวงอี้ก็เพิ่งกลับมาจากการช้อปปิ้ง ระหว่างเดินกลับบ้าน (ซึ่งต้องผ่านสนามบาสฯ)  แม่ของซานซานก็โทรฯ มาบอกว่า "เซวียหลิวหลิว" (ลูกพี่ลูกน้องของซานซาน) กำลังไปหาเธอที่เซี่ยงไฮ้และจะพักอยู่กับเธอชั่วคราว ป้าของซานซานเห็นแม่เธอพูดตะกุกตะกักเหมือนไม่ค่อยเต็มใจพูดจึงแย่งโทรศัพท์มาคุยโดยบอกว่า หลิวหลิวเพิ่งได้งานที่เซี่ยงไฮ้แบบกระทันหันและหาที่อยู่ไม่ทันเลยต้องไปพักกับซานซานชั่วคราว ซานซานพยายามปฏิเสธเป็นนัยๆ โดยบอกว่าเธออาศัยอยู่ที่บ้านเพื่อนซึ่งค่อนข้างคับแคบ แต่ป้าของเธอไม่ยอมฟังทั้งยังบอกว่าตอนนี้หลิวหลิวน่าจะไปถึงแล้ว ซานซานได้ยินดังนั้นจึงร้องลั่นและรีบวิ่งกลับบ้านทันที



เฟิงเถิงและเจิ้งฉี (ซึ่งมาเล่นบาสฯ แถวนั้นพอดี) ได้ยินเสียงคนร้องลั่นจึงหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นซานซานเฟิงเถิงก็รีบเบือนหน้าหนี เจิ้งฉีจำได้ว่าในแฟ้มประวัติของซานซานระบุว่าเธอพักอยู่แถวนี้ (เป็นย่านชานเมืองที่อยู่ห่างจากออฟฟิศราวหนึ่งชั่วโมงครึ่ง) เฟิงเถิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ เขาไม่ต้องการให้ซานซานเห็นตนตอนแต่งชุดลำลองและอยู่ในอิริยาบทแบบสบายๆ เจิ้งฉีจึงแซวเฟิงเถิงว่าทำยังกับเจอแฟนเก่า เฟิงเถิงเปรยว่าสงสัยต้องเปลี่ยนสนามใหม่แต่เจิ้งฉีไม่เห็นด้วยโดยอ้างว่าหาสนามซ้อมดีๆ แบบนี้ยาก เขายังบอก (หลอก) เฟิงเถิงด้วยว่า เฟิงเถิงแต่งตัวแบบนี้แล้วเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน แม้แต่ซานซานเองก็ยังจำเขาไม่ได้


เมื่อวิ่งมาถึงหน้าบ้าน ซานซานและซวงอี้ก็พบหลิวหลิวยืนรออยู่ หลิวหลิวขอโทษที่มารบกวนซานซานกับซวงอี้ในช่วงวันหยุด  พร้อมทั้งรับปากว่าจะรีบหาที่อยู่ใหม่ในเร็ววัน (หลิวหลิวเป็นรุ่นพี่ของซวงอี้) หลังไต่ถามทุกข์สุขกันซานซานกับหลิวหลิวก็ลั่นวาจาว่าจะต้องประสบความสำเร็จในชีวิตให้ได้ (ถ้าไม่สำเร็จจะไม่กลับบ้านที่ต่างจังหวัด) 

ระหว่างนั่งรถไปพบอาที่ธนาคาร เฟิงเถิงเห็นป้ายโฆษณาบริษัทซินตง (ผู้ผลิตซอฟท์แวร์เกม) จึงโทรฯ บอกเจิ้งฉีว่าตนจะซื้อบริษัทดังกล่าว เขาสั่งให้เจิ้งฉีและเหยียนชิงประเมินมูลค่าของบริษัทซินตง แล้วนัดตัวแทนบริษัทซินตงมาคุยกับตนที่บริษัทในช่วงบ่ายวันนี้ หัวหน้าเหลียน  (หัวหน้าหน่วยของซานซาน) ได้รับคำสั่งให้จัดเตรียมรายงานด้านการเงินและเอกสารสำหรับลงนามเซ็นสัญญา เขาจึงรีบแบ่งงานและบอกทุกคนว่าต้องทำทุกอย่างให้เสร็จภายในเวลา 3 ชั่วโมง (นอกจากหน่วยของซานซานแล้ว หน่วยอื่นๆ ในแผนกการเงิน และแผนกต่างๆ ที่เกี่ยวข้องก็วุ่นอยู่กับการจัดเตรียมข้อมูลด้วยเช่นกัน เพราะเป็นงานเร่งด่วนที่เกิดขึ้นกระทันหัน)


เมื่อเจิ้งฉีซึ่งเป็นขวัญใจของพนักงานสาวๆ เดินเข้ามาในลิฟต์ บรรดาพนักงานสาวๆ ก็พากันกรี๊ดกร๊าด พนักงานคนหนึ่งมอบถุงแซนด์วิชและกาแฟให้เขาไว้ทานรองท้อง เพราะเห็นเขายุ่งอยู่กับการเตรียมงานจนไม่มีเวลาทานข้าว เจิ้งฉีเห็นซานซานและเพื่อนร่วมงานเดินเข้ามาในลิฟต์พร้อมแฟ้มเอกสาร (และใบลงนามเซ็นสัญญา) จึงถามว่าจะนำไปส่งให้ใคร พอรู้ว่าเธอจะนำไปให้เหยียนชิง เขาจึงอาสานำไปส่งให้ และวานเธอให้ช่วยนำถุงแซนด์วิชและกาแฟไปวางที่โต๊ะของตน พนักงานสาวๆ เห็นเธอสนิทสนมกับเจิ้งฉีเกินหน้าเกินตาจึงรู้สึกอิจฉาและพากันเหลือบมองเธออย่างไม่พอใจ


 

ปรากฏว่าพนักงานคนหนึ่งในหน่วยของซานซานระบุมูลค่าการซื้อขายบริษัทซินตงในใบลงนามเซ็นสัญญาผิดโดยใส่เลขศูนย์เกินมาหนึ่งตัว ปัญหาก็คือในตอนนี้พิธีลงนามเซ็นสัญญาได้เริ่มขึ้นแล้ว หัวหน้าหน่วยอื่นๆ ในแผนกการเงิน (เฟิงเถิงมีหน่วยการเงินทั้งสิ้น 8 ทีม) นำเอกสารที่แก้ไขแล้วมามอบให้หัวหน้าเหลียนและบอกว่าเรื่องนี้หน่วยของหัวหน้าเหลียนต้องรับผิดชอบเองเต็มๆ (ชี้ว่าหน่วยอื่นๆ ในแผนกการเงินไม่เกี่ยว) หัวหน้าเหลียนแย้งว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาหาคนผิดแต่ต้องรีบยับยั้งการลงนามมิเช่นนั้นมูลค่าความเสียหายจะสูงมาก เหล่าเพื่อนร่วมงานเห็นท่าไม่ดีจึงโบ้ยความรับผิดชอบมาให้ซานซาน โดยอ้างว่าซานซานมีความสัมพันธ์อันดีกับเจิ้งฉี ทุกคนเร่งให้ซานซานรีบโทรฯ บอกเจิ้งฉีก่อนที่จะสายเกินไป เมื่อโทรฯ แล้วไม่มีคนรับสาย ซานซานก็ถูกเพื่อนร่วมงานและหัวหน้าหน่วยอื่นๆ กดดันให้ไปพบเจิ้งฉีด้วยตนเอง

ปัญหาก็คือถ้าไม่มีการแจ้งล่วงหน้าลิฟต์ที่จะขึ้นไปยังห้องประชุมจะไม่เปิด หัวหน้าหน่วยการเงิน (ทีมอื่น) จึงยื่นบัตรพนักงานของตนให้ซานซาน (ใช้เป็นบัตรผ่านเข้า-ออก) แล้วบอกให้เธอรีบไปพบเลขาเจิ้งฉีที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาโดยให้นำเอกสารชุดใหม่ไปด้วย  แต่เลขาบอกปัดว่าเจิ้งฉีไม่เคยฝากบัตรคีย์การ์ดลิฟต์ไว้ที่ตน เธอมอบบัตรพนักงานให้ซานซานและบอกให้นำบัตรนี้ไปพบเลขาของเหยียนชิง (เพราะเจิ้งฉีกับเหยียนชิงไปที่ห้องประชุมด้วยกัน) เลขาเหยียนชิงมอบบัตรพนักงานของเธอให้ซานซานแล้วแนะนำให้ไปหาผู้อำนวยการ ซานซานเลยต้องวิ่งขึ้น-ลงบันไดไปพบคนโน้นคนนี้จนมีบัตรพนักงานในมือเป็นพวง (ไม่มีใครอยากยุ่งเรื่องนี้จึงโยนความรับผิดชอบกันไปมา และปล่อยให้เด็กใหม่ไร้อนาคตอย่างซานซานเป็นคนรับหน้า)

  


 


ในที่สุดซานซานก็ไปถึงห้องประชุมจนได้ แต่ภายในห้องกลับมีเฟิงเถิงนั่งอยู่เพียงลำพัง ซานซานเห็นเฟิงเถิงจ้องมองเธอด้วยสายตาอันคมกริบแถมยังไม่พูดไม่จาจึงคิดว่าคราวนี้เธอแย่แน่ ถึงกระนั้นเธอก็ยังทำใจดีสู้เสือโดยถามว่าเขายังไม่ได้ลงนามในสัญญาใช่ไหม เธอนำสัญญาชุดใหม่มาเปลี่ยนให้เพราะตัวเลขในสัญญาชุดเก่ามีศูนย์เกินมาหนึ่งตัว เมื่อเห็นว่าเฟิงเถิงยังคงนั่งนิ่ง ซานซานก็พร่ำบอกว่าขอโทษและกล่าวว่าเป็นความสะเพร่าของเธอเอง พอรู้ว่าเฟิงเถิงลงนามในสัญญาแล้วซานซานก็ถึงกับร่ำไห้ เธอได้แต่ก้มศีรษะขอโทษที่สร้างความเสียหายอันใหญ่หลวงให้บริษัท เฟิงเถิงเห็นดังนั้นจึงเดินไปหาและใช้นิ้วดันหน้าผากซานซานขึ้นมา  จากนั้นก็บอกว่า "เธอไม่ได้ทำอะไรให้บริษัทเสียหาย" 

เมื่อเจิ้งฉีกับเลขาเฟิงเถิงเดินมาที่หน้าห้องประชุม เฟิงเถิงก็ดึงบัตรพนักงานทั้งหมดในมือซานซานมาถือไว้แล้วเดินจากไป  ซานซานร่ำไห้เพราะคิดว่าเธอต้องโดนไล่ออกแน่ๆ  เจิ้งฉีเห็นแล้วอดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ เขาบอกเธอว่าตัวเลขในสัญญาไม่ผิด  เฟิงเถิงเห็นข้อผิดพลาดเสียก่อนจึงรีบแก้ไขให้ถูกต้องก่อนเซ็นสัญญา ซานซานได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจ


หลังเกิดเรื่องวุ่นๆ เฟิงเถิงก็เรียกประชุมพนักงานระดับหัวหน้าทั้งหมด (พร้อมเลขา) ของฝ่ายลงทุน, การเงิน และฝ่ายบุคคล   หลังถูกเฟิงเถิงเหน็บว่าถ้าคราวหน้าคิดจะแก้ปัญหาด้วยการวิ่งวุ่นไปทุกแผนกอีกก็ควรจ้างนักวิ่งมาเป็นผู้ช่วยการเงินแทน หัวหน้าเหลียนเลยเดินหน้าบูดมาที่แผนกและโทษว่าทั้งหมดเป็นความผิดของซานซาน (หัวหน้าเหลียนไม่ชอบซานซานเพราะคิดว่าเธอเป็นเด็กเส้น) เขากล่าวด้วยความโมโหว่าฝ่ายทรัพยากรมนุษย์คงกินยาผิด ถึงได้ปฏิเสธคนที่ตนเลือกแล้วจ้างซานซานมาทำงานในตำแหน่งนี้แทน  (ซานซานไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน) ทั้งๆ ที่ซานซานไม่ได้จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ซ้ำยังมีผลการเรียนย่ำแย่

เขายังบอกต่อหน้าทุกคนอีกว่า ซานซานดูเหมือนคนไม่เอาถ่านแต่เขาไม่คาดคิดว่าเธอจะไม่เอาไหนจริงๆ ดังนั้น เธอจึงควรคิดหาทางว่าจะผ่านพ้นช่วงทดลองงานไปได้อย่างไร หลังโดนหัวหน้าตำหนิอย่างรุนแรงมาหมาดๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นคนพิมพ์สัญญาผิด ซานซานก็แอบได้ยินเพื่อนร่วมงานนินทาและพูดจาดูถูกเธอลับหลัง โดยกล่าวหาว่าเธอเป็นเด็กเส้นเลยได้เข้ามาทำงานทั้งๆ ที่คุณสมบัติไม่เหมาะสม แถมเธอยังค้นพบความจริงว่าพนักงานใหม่ทุกคนจะต้องผ่านการอบรมเป็นเวลา 3 วัน แต่เธอไม่เคยรู้หรือได้ยินว่ามีการอบรมดังกล่าวเลย




หลังครุ่นคิดอยู่นานซานซานก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเธอมีเลือดแพนด้าเช่นเดียวกับน้องสาวของเฟิงเถิง และนั่นก็น่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เธอได้งาน เมื่อคิดได้ดังนั้นซานซานก็รู้สึกเสียใจและผิดหวังมาก (เธอเดินขึ้นบันไดหนีไฟพลางครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยจนมาพบระเบียงขนาดใหญ่บนชั้นดาดฟ้า) ซานซานเคยวาดหวังว่าสักวันจะต้องฉายแววโดดเด่นและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่สุดท้ายกลับพบว่าสิ่งที่บริษัทคาดหวังจากตัวเธอคือ 'เลือด' ไม่ใช่ความรู้ความสามารถ เธอจึงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังขายเลือดกิน จู่ๆ หิมะก็โปรยปรายลงมาทำให้ซานซานรู้สึกตื่นเต้นจนลืมเรื่องเครียดๆ เพราะเป็นหิมะแรกนับตั้งแต่เธอย้ายมาอยู่เซี่ยงไฮ้

ซานซานไม่รู้ว่าเธอกำลังอยู่ที่ระเบียงหน้าห้องทำงานของเฟิงเถิง ในตอนนั้นเฟิงเถิงกำลังคุยกับเหยียนชิงเกี่ยวกับเรื่องราววุ่นๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เหยียนชิงออกตัวแทนพนักงานว่า ทุกคนมีเวลาเตรียมข้อมูลและเอกสารเพียงสี่ชั่วโมงเลยต้องทำงานกันอย่างหนัก ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในวันนี้จึงควรเป็นความรับผิดชอบของตน เหยียนชิงบอกเฟิงเถิงว่าอย่าตำหนิพนักงานเพราะพวกเขาไม่ได้ปฏิเสธความรับผิดชอบ เฟิงเถิงจึงบอกว่าสิ่งที่ทำให้ตนรู้สึกโกรธมากที่สุดคือการที่พนักงานพยายามหาแพะรับบาป พูดจบเขาก็คว้าเสื้อกันหนาวแล้วเดินออกจากห้องไป


 



เฟิงเถิงนำเสื้อกันหนาวมาคลุมให้ซานซานซึ่งกำลังเล่นหิมะอยู่บนระเบียง (ซานซานแอบคิดว่าตนเป็นเหมือนนางเอกในละคร) เขาเตือนเธอว่าไม่ควรมาที่นี่เพราะบริเวณนี้เป็นห้องทำงานของตน เมื่อถูกถามว่าตอนฝึกอบรมไม่มีคนแจ้งเรื่องนี้หรือ ซานซานจึงตอบด้วยสีหน้าหมองเศร้าว่าเธอไม่ได้เข้ารับการฝึกอบรม เฟิงเถิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกแปลกใจและถามว่าทำไม ซานซานตอบว่าเธอเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัยว่า ทำไมถึงยังให้เธอทำงานที่นี่ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยเข้ารับการฝึกอบรม เฟิงเถิงกล่าวว่าเรื่องนี้เธอควรไปถามผู้จัดการฝ่ายแทนที่จะมาถามตน  ซานซานถามต่อว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าเธอมีเลือดแพนด้าเหมือนเฟิงเยว่ เฟิงเถิงตอบว่าตนมีสิทธิดูข้อมูลส่วนตัวของพนักงานทุกคน และถามกลับว่ามีอะไรจะถามอีกมั๊ย ซานซานส่ายหน้าและถอดเสื้อกันหนาวคืนให้ ก่อนเดินจากไปเงียบๆ


 

เฟิงเถิงยังคงรู้สึกข้องใจจึงถามเจิ้งฉีที่สนามบาสฯ ว่า ซานซานมีตำแหน่งอะไรในฝ่ายการเงิน เจิ้งฉีตอบว่าผู้ช่วยการเงิน (เขาพูดถึงซานซานด้วยน้ำเสียงเอ็นดูและชมว่าเธอเป็นคนจริงใจ) เฟิงเถิงสงสัยว่านอกจากวิ่งวุ่นทั้งวันแล้วซานซานยังมีความสามารถด้านใดอีก เจิ้งฉีตอบว่าตนเองก็ไม่รู้ เฟิงเถิงจึงสรุปว่าซานซานเป็นเพียงแหล่งเลือดสำรองของบริษัท เจิ้งฉีได้ยินมาว่าซีอีโอคนเก่า (ปู่ของเฟิงเถิง)  ได้กำหนดนโยบายพิเศษในการว่าจ้างบุคลากรแบบลับๆ โดยจะพิจารณาผู้สมัครที่มีเลือดกรุ๊ป AB Rh- เป็นกรณีพิเศษเพราะอยากช่วยหลาน เขาไม่รู้สึกว่านโยบายดังกล่าวเป็นสิ่งไม่ดีเพราะบริษัทไม่ได้บีบบังคับให้พนักงานบริจาคเลือด เพียงแต่ขอร้องให้ช่วยบริจาคเมื่อถึงคราวจำเป็น อย่างเช่นกรณีของซานซานที่บริจาคเลือดด้วยความเต็มใจ

เจิ้งฉีบอกเฟิงเถิงว่าอย่าคิดมาก หากเขายกเลิกนโยบายดังกล่าวในตอนนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้สมัครที่มีเลือดกรุ๊ป AB Rh- ในอนาคต เพราะฝ่ายทรัพยากรมนุษย์คงไม่กล้าเลือกคนกลุ่มนี้เข้ามาทำงานอีก แม้แต่ซานซานเองก็อาจโดนไล่ออก เฟิงเถิงได้ยินดังนั้นจึงบอกว่าตนจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก


 

หลังรู้ว่าบริษัทไม่ได้ว่าจ้างเธอเพราะความรู้ความสามารถ แต่เป็นเพราะเธอมีกรุ๊ปเลือดพิเศษที่หายาก ซานซานจึงหมดหวังว่าจะมีอนาคตที่ดีและสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง เธอเลยคิดที่จะลาออก ซวงอี้กับหลิวหลิวรู้เข้าจึงช่วยกันเตือนสติซานซานจนเธอฮึดสู้และคิดที่จะพัฒนาตนเองเพื่อให้ทุกคนยอมรับในความรู้ความสามารถ

ก่อนออกไปทำงานเฟิงเถิงรู้สึกแปลกใจที่เฟิงเยว่นำปิ่นโตอาหารกลางวันมาให้สองชุด เฟิงเยว่อธิบายว่าเธออยากตอบแทนน้ำใจของซานซานจึงสั่งให้พ่อครัวเตรียมอาหารเพิ่มอีกชุด เธอขอให้เฟิงเถิงนำปิ่นโตของซานซานไปที่บริษัท และวานเลขาของเฟิงเถิงให้ช่วยนำปิ่นโตไปส่งให้ซานซานในตอนเที่ยง


 

ซานซานมาทำงานด้วยความสดใสกำลังใจเต็มเปี่ยม เมื่อเห็นว่าตู้ฝานหัวอกเดียวกับตน (ถูกเพื่อนร่วมงานรังเกียจเดียดฉันท์และได้รับมอบหมายให้ทำงานต่ำต้อยเช่นเดียวกับเธอ) ซานซานจึงพูดให้กำลังใจตู้ฝานจนเขารู้สึกดีขึ้น ครั้นพอถูกหัวหน้าตำหนิที่ทำงานบกพร่องในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซานซานก็กล่าวอย่างกระตือรือร้นว่าเธอจะรีบแก้ไขและขอบคุณหัวหน้าที่ช่วยชี้แนะ เพื่อนร่วมงานเห็นดังนั้นจึงพากันนินทาว่าเธอต้องการประจบหัวหน้าเพราะรู้ว่าหัวหน้าไม่ชอบเธอ และนั่นก็หมายความว่าคนที่คอยหนุนหลังเธอไม่ได้เส้นใหญ่จริง (ทุกคนเข้าใจว่าซานซานเป็นเด็กฝาก) ทันใดนั้น "ลินดา" เลขาสุดสวยของเฟิงเถิงก็ถือปิ่นโตอาหารกลางวันมาให้ซานซานที่แผนกโดยบอกว่าบอสของเธอฝากมาให้ ทำให้ทุกคนถึงกับอึ้ง

ตู้ฝานชวนซานซานมาทานข้าวด้วยกันหลังเลิกงานทำให้ซานซานดีใจมาก เนื่องจากซานซานไม่ได้เข้าร่วมการฝึกอบรมพนักงานใหม่ทำให้ไม่มีเพื่อนที่บริษัท เธอจึงคิดที่จะสานความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานโดยเริ่มจากตู้ฝานเป็นคนแรก ทั้งยังพาซวงอี้กับหลิวหลิวมาแนะนำให้ตู้ฝานรู้จักด้วย


หลังลินดานำปิ่นโตมาส่งให้ซานซานเมื่อวาน บรรดาเพื่อนร่วมงานของซานซานก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไป พอถึงเวลาพักเที่ยงพวกเธอก็แย่งกันชวนซานซานไปทานอาหารกลางวันด้วยกัน แต่แล้วอยู่ๆ "อาเหม่ย" (ผู้ช่วยเลขาของเฟิงเถิง) ก็มาที่แผนกพร้อมปิ่นโต นับแต่นั้นซานซานก็ได้รับปิ่นโตอาหารกลางวันจากเลขาของเฟิงเถิงทุกวัน (และทุกๆ วันจะต้องมีเมนูตับหมูซึ่งเป็นอาหารบำรุงเลือด)  ทำให้เริ่มมีเสียงซุบซิบนินทา ทุกคนที่รู้ข่าวต่างพากันสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับบอส บรรดาเพื่อนร่วมงานที่เคยรังเกียจเดียดฉันท์ก็เข้ามาประจบและชวนเธอไปทานข้าวด้วยกันหลังเลิกงาน ซานซานจึงชวนตู้ฝานไปด้วย

แม้จะเริ่มได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานแต่ซานซานกลับไม่รู้สึกดีใจ เธอรู้ดีว่าทุกคนเข้าหาเธอเพียงเพราะเธอได้รับปิ่นโตจากเฟิงเถิง  ตู้ฝานกล่าวว่าการมีเพื่อนในที่ทำงานเยอะๆ ถือเป็นเรื่องดีเพราะถ้ามีปัญหาอะไรก็สามารถช่วยเหลือกันได้ ซานซานนึกสงสัยว่าหากเธอไม่ได้รับปิ่นโตตับหมูอีก ทุกคนจะยังคิดว่าเธอเป็นเพื่อนอยู่ไหม คนพวกนั้นไม่เหมือนตู้ฝานที่เป็นมิตรกับเธอมาตั้งแต่ต้น ตู้ฝานเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่จึงถามซานซานว่าเธอเป็นอะไรกับเฟิงเถิง ซานซานตอบว่าเป็นแค่เจ้านายกับลูกน้อง เฟิงเถิงส่งปิ่นโตมาให้เธอเพื่อเป็นการขอบคุณที่เธอเคยช่วยเหลือเขา ตู้ฝานได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจ เขาจะสารภาพว่าตนชอบซานซานแต่รถเมล์ดันมาเสียก่อน ซานซานจึงรีบวิ่งขึ้นรถเมล์ไป


 

 

ซานซานรู้สึกตกใจเมื่อรู้ว่าหลิวหลิวจะย้ายออกไปอยู่กับแฟน แต่หลิวหลิวบอกว่าแม่ของตนก็รู้เรื่องนี้และเป็นคนจับคู่เธอกับ "โหยวเฉิงฮ่าว" ซึ่งเป็นลูกชายของผู้จัดการทั่วไปที่บริษัทของเธอ ระหว่างเดินไปส่งหลิวหลิว ซานซานเห็นเฟิงเถิงกับเจิ้งฉีกำลังเล่นบาสฯ ด้วยกันเลยรีบหลบ เจิ้งฉีหันมาเห็นซานซานจึงทำท่าจุ๊ปากแล้วชี้ไปที่เฟิงเถิง ซานซานเห็นดังนั้นเลยส่งสัญญาณโอเคและรีบเดินหนีไป (เจิ้งฉีไม่อยากให้เฟิงเถิงเห็นซานซานเพราะขี้เกียจหาสนามบาสฯ ใหม่ - เฟิงเถิงกลัวเสียลุคเลยไม่อยากให้ซานซานเห็นตนตอนแต่งตัวตามสบาย)

วันต่อมา ขวัญใจสาวๆ อย่างเจิ้งฉีนำปิ่นโตมามอบให้ซานซานเองกับมือ เขายังกล่าวขอบคุณและมอบแอปเปิ้ลให้เธอเป็นรางวัลสำหรับความชาญฉลาด (เธอเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อสารตอนอยู่ที่สนามบาส) ทำให้เพื่อนร่วมงานต่างพากันอิจฉาและสงสัยหนักขึ้น (แต่ละคนที่มาส่งปิ่นโตล้วนไม่ธรรมดา) ซานซานเริ่มรู้สึกอึดอัดที่ถูกพนักงานในบริษัทคอยจับจ้อง บ้างก็แวะเวียนมาดูเธอทานข้าวเที่ยงราวกับเธอเป็นหมีแพนด้าในสวนสัตว์ วันรุ่งขึ้นซานซานจึงไปดักรอรับปิ่นโตจากอาเหม่ยที่โถงทางเดินแล้วแอบนำขึ้นไปทานบนระเบียงดาดฟ้า

ในตอนนั้นเฟิงเถิงกำลังคุยกับอาเยว่ภายในห้องทำงาน (อาของเฟิงเถิงมาหว่านล้อมให้เขาลงทุนในธุรกิจรีสอร์ท ทั้งๆ ที่เฟิงเถิงกรุ๊ปไม่เคยทำธุรกิจด้านนี้มาก่อน โดยเอาปู่ของเฟิงเถิงซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทมาอ้าง) เฟิงเถิงหันมาเห็นซานซานนั่งทานอาหารกลางวันอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ทางด้านนอก ทั้งยังแสดงท่าทางแปลกๆ (เพราะคิดว่าไม่มีคนเห็น) จึงรู้สึกขำ มิหนำซ้ำซานซานยังร้องเพลงและเต้นให้กำลังใจตัวเองอีกด้วย




 


 


 

เช้าวันรุ่งขึ้น เฟิงเยว่ปรึกษาเฟิงเถิงเรื่องที่ตนจะจัดงานวันเกิดครบรอบ 1 เดือนให้ลูกน้อย เธอคิดที่จะเชิญ "ซาบริน่า" ซึ่งเป็นเพื่อนของเฟิงเถิงสมัยเรียนอยู่ที่อเมริกาและเป็นทายาทธุรกิจดังมาเป็นคู่ควงเฟิงเถิง แต่เฟิงเถิง (ซึ่งเจริญอาหารเป็นพิเศษ) ไม่สนใจและไม่ต้องการ ระหว่างนั่งรถไปทำงาน เจิ้งฉีเห็นเฟิงเถิงนั่งยิ้มให้ปิ่นโตจึงรู้สึกแปลกใจและชักสงสัยว่าทำไมเขาถึงพูดจาแปลกๆ 

นับแต่นั้นเฟิงเถิงก็ตั้งตารอช่วงพักกลางวัน เขานำอาหารในปิ่นโตมานั่งทานพร้อมซานซานและเลียนแบบท่าทางของซานซานอย่างสนุกสนาน เมื่อเห็นว่าอากาศหนาวเขาก็เตรียมเตาถ่านไว้คลายหนาวให้ซานซาน แต่หลังจากนั้นไม่นานหิมะก็เริ่มตกซานซานจึงไม่อาจขึ้นมาทานข้าวบนดาดฟ้าได้อีก เฟิงเถิงจึงได้แต่มองม้านั่งยาวทางด้านนอก (ซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะ) ด้วยความรู้สึกเหงาและคิดถึงซานซาน


 
  



 

 

** จบตอนที่ 1-2 **

เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน "ขุนให้อ้วนแล้วชวนมารัก (Boss & Me)"

* เนื้อหาโดย luvasianseries


นักแสดงนำ


 จางหาน
รับบท เฟิงเถิง
(นักแสดง/นักร้อง/ผู้ดำเนินรายการ ชาวจีน)




จ้าวลี่อิง
รับบท เซวียซานซาน
(นักแสดง ชาวจีน - นางเอกละครเรื่อง "สะใภ้จำยอม")




หวงหมิง
รับบท เจิ้งฉี
(นักแสดง ชาวจีน)




หลี่เฉิงเหยียน
รับบท หยวนลี่ซู
(นักแสดง ชาวจีน)



จางหยางกั่วเอ๋อ
รับบท เฟิงเยว่
(นักแสดง/ผู้ดำเนินรายการ ชาวจีน)



ไป่เค่อลี่
รับบท เหยียนชิง
(นักแสดง/ผู้ดำเนินรายการ ชาวจีน)




รวมคลิปตัวอย่างและเบื้องหลัง


*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา