วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เรื่องย่อ ก็อบลิน คำสาปรักผู้พิทักษ์วิญญาณ (Guardian: The Lonely and Great God)




กำกับ: ลี อึงบก
เขียนบท: คิม อึนซุก
แนวละคร: แฟนตาซี, โรแมนติก
จำนวนตอน: 16 + 3 ตอนพิเศษ
ออกอากาศ: เกาหลี - 2 ธันวาคม 2559-21 มกราคม 2560 ทางทีวีเอ็น
                     ไทย - ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.00 น. ทางช่องทรูโฟร์ยู (ช่อง 24) ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2560 - 27 กรกฎาคม 2560




"ก็อบลิน คำสาปรักผู้พิทักษ์วิญญาณ (Guardian: The Lonely and Great God)" เป็นผลงานล่าสุดของนักเขียนบทหญิง "คิม อึนซุก" ซึ่งเคยฝากผลงานไว้ในละครดังหลายเรื่อง อาทิ "SECRET GARDEN เสกฉันให้เป็นเธอ", "หยุดหัวใจนายไฮโซ (The Heirs)" และ "ชีวิตเพื่อชาติ รักนี้เพื่อเธอ (Descendants of the Sun)" โดยละครเรื่องนี้เธอได้โคจรมาร่วมงานกับผู้กำกับ "ลี อึงบก" อีกครั้ง หลังเคยร่วมงานกันในละครเรื่อง  "ชีวิตเพื่อชาติ รักนี้เพื่อเธอ (Descendants of the Sun)"

ละครเรื่องนี้ออกอากาศเป็นพิเศษทางช่องเคเบิ้ล "ทีวีเอ็น" เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปีของทางสถานี โดยตอนจบสามารถทำเรตติ้งได้สูงถึง 22.1% เรียกได้ว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของทางสถานี (และสูงสุดในประวัติศาสตร์ของช่องเคเบิ้ลทีวีเกาหลี) โดยทำลายสถิติเดิม (ตอนจบ) ของละครเรื่อง "Reply 1988" ที่เคยทำไว้ 21.7%

เรื่องย่อ



"ก็อบลิน คำสาปรักผู้พิทักษ์วิญญาณ (Guardian: The Lonely and Great God)" เป็นละครแฟนตาซีที่นำเสนอเรื่องราวของ "คิมชิน" ซึ่งเป็น "ทกแกบี" (หรือ "ก็อบลิน") ในตำนาน และผู้พิทักษ์วิญญาณ ที่มีเหตุให้ต้องมาอยู่ร่วมบ้านเดียวกับ "ยมทูต" ผู้สูญเสียความทรงจำในอดีตชาติ... ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมาคิมชินเฝ้ารอการปรากฏตัวของหญิงสาวที่ชะตาฟ้าลิขิตให้เป็นเจ้าสาวของก็อบลิน เพราะเธอเป็นคนเดียวที่จะช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณของเขาให้เป็นอิสระและหลุดพ้นจากการมีชีวิตที่เป็นอมตะ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เจ้าสาวของก็อบลินเป็นคนเดียวที่จะมอบ 'ความตาย' ให้เขาได้

ในที่สุด เขาก็ได้พบกับ " จี อึนทัก" ซึ่งเป็นเด็กม.ปลายวัย 19 ปีที่มีชีวิตสุดแสนรันทด ถึงกระนั้นเธอก็เป็นคนสดใสร่าเริง  มองโลกในแง่ดี ทั้งยังมองเห็นภูติผีวิญญาณ และนั่นก็ทำให้เธอรู้ว่าตนเองเป็นเจ้าสาวของก็อบลิน หลังพบเจอกันบ่อยครั้งและได้ใกล้ชิดกัน อึนทักก็ตกหลุมรักคิมชิน ขณะที่คิมชินเองก็เริ่มหวั่นไหวและลังเลที่จะจากโลกนี้ไป

เกร็ดความรู้:

ม้ "ทกแกบี" จะแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า "ก็อบลิน" แต่ความจริงแล้ว "ทกแกบี" ในตำนาน หรือ "ก็อบลินเกาหลี" มีความแตกต่างจากก็อบลินทางฝั่งยุโรป ก็อบลินของฝรั่งจะมีลักษณะคล้ายสัตว์ประหลาดตัวเล็ก หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว และมีความเป็นปีศาจร้ายหรือมีพลังด้านมืดมากกว่า แต่ก็อบลินเกาหลีซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้น จะมีทักษะและพลังเหนือธรรมชาติทั้งในด้านร้ายและด้านดี ส่วนใหญ่มักนำเรื่องดีๆ มาสู่มนุษย์และทำให้มนุษย์มีความสุข แต่ก็อาจนำความทุกข์มาให้มนุษย์ได้เช่นกัน ก็อบลินเกาหลีในตำนานไม่มีคำนิยามที่ตายตัว ทั้งยังมีรูปแบบและความเชื่อที่หลากหลาย (บันทึกที่เป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับเรื่องราวของ "ทกแกบี" ปรากฏเป็นครั้งแรกในราชวงศ์ชินลา) อาทิ หมู่บ้านในชนบทห่างไกลบางแห่งของเกาหลีเชื่อว่า "ทกแกบี" เป็นผู้นำโรคภัย เช่น ไข้ทรพิษ มาสู่มนุษย์ ขณะที่หมู่บ้านชาวประมงมักนับถือบูชา  "ทกแกบี" เพราะเชื่อว่าทกแกบีจะช่วยให้พวกตนจับสัตว์น้ำได้เป็นจำนวนมาก  

อย่างไรก็ตาม "ทกแกบี" หรือ "ก็อบลินเกาหลี" ในตำนาน ไม่ใช่ภูติผีวิญญาณ ไม่เคยเป็นมนุษย์ และไม่เคยอยู่ในร่างมนุษย์ แต่จะแฝงอยู่ในสิ่งของที่เคยถูกมนุษย์จับต้องหรือแปดเปื้อนเลือดมนุษย์ เช่น ไม้กวาด ตะกร้า และของใช้อื่นๆ ในครัวเรือน เป็นต้น และนี่ก็คือหนึ่งในข้อแตกต่างระหว่างเรื่องเล่าในตำนานกับเนื้อหาในละคร

ข้อมูลภาพประกอบ: กระเบื้องดินเผาลาย "ทกแกบี" ที่ผลิตในอาณาจักรพูยอ (ภาพจาก วิกิพีเดีย)

เนื้อหาตอนที่ 1 


ละครเริ่มต้นขึ้นด้วยเรื่องเล่าเกี่ยวกับความเป็นมาของ  "ทกแกบี" หรือ "ก็อบลิน" โดยเปิดฉากด้วยทุ่งดอกไม้และมีเสียงผู้หญิงกล่าวว่า "หากวิญญาณดวงใดเข้าไปสิงสู่อยู่ในสิ่งที่เคยถูกมนุษย์จับต้อง หรือแปดเปื้อนไปด้วยเลือดมนุษย์ วิญญาณดวงนั้นจะกลายเป็นก็อบลิน..." หลังจากนั้นภาพก็ตัดไปยังดาบเล่มหนึ่งซึ่งปักอยู่บนพื้นท่ามกลางดงดอกไม้ เมื่อกล้องซูมเข้าไปใกล้ๆ ก็เผยให้เห็นว่าเป็นดาบโบราณที่มีคราบสนิมเขรอะกรัง บริเวณด้ามดาบมีเศษผ้าเปื้อนเลือดพันอยู่และยังมีภาพแกะสลักใบหน้าของก็อบลินปรากฏอยู่ด้วย หญิงคนเดิมเล่าต่อว่า ดาบเล่มนี้เปื้อนเลือดผู้คนนับพันในสนามรบ รวมทั้งเลือดเจ้าของดาบเอง และนั่นก็ทำให้วิญญาณผู้เป็นเจ้าของดาบกลายเป็นก็อบลิน

หลังมีผีเสื้อสีขาวมาบินวนเวียนและเกาะลงบนดาบท่ามกลางฝูงหิ่งห้อยในยามค่ำคืน ละครก็ยิงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นมาแบบรัวๆ โดยไม่เผยรายละเอียดมากนัก แต่พอเดาได้ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และมีเลือดนองพื้นซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะ ทั้งยังมีกลีบดอกไม้สีชมพูร่วงเกลื่อนพื้นอีกด้วย หญิงคนเดิมเล่าว่า มีเพียงเจ้าสาวของก็อบลินเท่านั้นที่จะดึงดาบออกมาได้ และเมื่อดาบถูกดึงออกมาวิญญาณของเขาจะดับสูญและไปสู่สุขคติ



ที่แท้เสียงดังกล่าวเป็นของหญิงชราที่ขายผัก เครื่องประดับ ฯลฯ บนสะพานลอย เธอเล่าเรื่องก็อบลินให้ลูกค้าขาประจำที่ชื่อ "จี ยอนฮี" ฟัง และเปรยว่านั่นเป็นชะตากรรมที่โหดร้ายของก็อบลิน เธอกล่าวว่าก็อบลินที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองเป็นอมตะตนนั้น กำลังท่องไปทั่วทุกหนทุกแห่งในโลกนี้เพื่อตามหา.... หญิงชรายังพูดไม่ทันจบยอนฮีก็ขำกลิ้งและกล่าวว่า "แม้กระทั่งในตอนนี้ก็อบลินก็ยังคงออกตามหาเจ้าสาวและเจ้าสาวคนนั้นก็คือหนู นี่คือสิ่งที่คุณยายจะพูดไม่ใช่เหรอคะ" หลังโดนหัวเราะเยาะหญิงชราจึงโม้ว่าถึงตอนนี้ตนจะอยู่ในวัยชราแต่ก็เคยมีหนุ่มๆ เดินตามก้นเป็นพรวน จากนั้นก็บ่นว่าตนไม่น่าพูดเรื่องเจ้าสาวของก็อบลินต่อหน้าคนเป็นแม่ที่โดนทิ้งเลย เมื่อถูกยอนฮีตำหนิว่าใจร้าย หญิงชราเลยชี้ว่าตนช่วยลดราคาผักโขมและผักกาดให้เธอ คนใจร้ายจึงไม่ใช่ตนแต่เป็นผู้ชายที่ทิ้งเธอไป

ยอนฮีกล่าวว่าเรื่องที่หญิงชราเพิ่งเล่าให้ตนฟังนั้นน่าเศร้า แต่ก็เป็นคำสาปที่แฝงไว้ด้วยความโรแมนติก เพราะก็อบลินต้องออกตามหาเจ้าสาวเพื่อที่ตนเองจะได้ตายสมใจ เธอหยิบแหวนหยกโบราณในกล่องที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสิ่งของต่างๆ (และผัก) ขึ้นมาดูอย่างชื่นชมพลางบ่นว่าพระเจ้าช่างใจร้าย หญิงชราจึงบอกว่าพระเจ้ามักใจร้ายเสมอ แถมยังเห็นแก่ตัวและขี้อิจฉา ทั้งยังสนใจแต่เรื่องของตัวเอง ยอนฮีจึงเปรยว่าฟังดูแล้วเหมือนผู้ชายห่วยแตกบางคน ยอนฮีเก็บแหวนหยกใส่กล่องคืนให้หญิงชราแล้วกล่าวคำอำลาก่อนอวยพรให้ขายดี แต่หญิงชรากลับคว้าข้อมือเธอเอาไว้แล้วเตือนว่า หากเธออยู่ในระหว่างความเป็นความตายให้ตั้งจิตอธิษฐาน ไม่แน่ว่าบางทีพระเจ้าที่มีจิตใจเมตตาอาจได้ยินคำอธิษฐานของเธอ ("พระเจ้า" ในภาษาเกาหลีคือคำว่า "ชิน" ซึ่งเป็นชื่อของพระเอก)

ณ กรุงปารีส ปี 1968 (พ.ศ. 2511)


ชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานเดินมาหยุดยืนที่หน้าอาคารหลังหนึ่งคล้ายกำลังรอใครบางคน เมื่อเด็กชายคนหนึ่งซึ่งมีหลักฐานปรากฏอยู่บนใบหน้าว่าเพิ่งถูกทำร้ายมาหมาดๆ หิ้วกระเป๋าเดินออกมา เขาก็ขวางเอาไว้แล้วเตือนว่า ถ้าหนีออกจากบ้านตอนนี้ชีวิตจะย่ำแย่กว่าเดิมและจะไม่ได้พบแม่อีกต่อไป เด็กชายสงสัยว่าเขาเป็นใครและถามว่าเขาเป็นคนเกาหลีหรือ ชายหนุ่มตอบว่าตนเป็นอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้น เขาเลื่อนกระถางมาวางขวางบันไดแล้วบอกให้เด็กชายพูดกับพ่อบุญธรรมว่าในเมื่อรับเลี้ยงตนแล้วก็ควรทำตัวเป็นพ่อที่ดี จากนั้นก็ไปขอความช่วยเหลือจากแม่และบอกแม่ว่าตนได้รับบาดเจ็บ เมื่อเด็กชายบอกให้เขาหลีกทาง เขาจึงเตือนว่าการกรีดข้อมือแบบนั้นไม่ทำให้ถึงตายแต่จะทำให้มือใช้การไม่ได้อีก (เขามองเห็นทั้งที่เด็กสวมเสื้อแขนยาวปิดบังข้อมือ)

เด็กชายถึงกับอึ้งที่ชายหนุ่มตรงหน้ารู้เห็นทุกเรื่องเกี่ยวกับตน จากนั้นก็ถามว่าหากตนทำตามคำแนะนำแล้วถูกพ่อตีจนตายเขาจะรับผิดชอบยังไง ชายหนุ่มตอบว่าเพราะอย่างนี้ตนถึงช่วยหักซี่โครงของพ่อบุญธรรม พูดจบพ่อบุญธรรมของเด็กชายก็เดินออกจากบ้านด้วยท่าทางเอาเรื่องและจะตรงเข้าทำร้ายเด็ก แต่เขาสะดุดกระถางต้นไม้ที่วางอยู่บนบันไดทำให้พลัดตกลงมากระแทกพื้นอย่างจังจนซี่โครงหัก ชายหนุ่มยื่นอาหารให้เด็กชายไว้ทานตอนกลางวัน จากนั้นก็บอกให้เด็กพูดกับพ่ออย่างที่ตนบอกแล้วค่อยไปโรงเรียน ซ้ำยังบอกด้วยว่าเด็กชายตอบโจทย์วิชาคณิตศาสตร์ผิดหนึ่งข้อและเฉลยคำตอบที่ถูกต้องให้ เด็กชายถามด้วยความสงสัยว่าเขาเป็นใครกันแน่ แต่ชายหนุ่มไม่ตอบและเดินจากไป



หลังจากนั้นก็มีเสียง (ของพระเอก) บรรยายว่า "เขาเป็น น้ำ ไฟ และสายลม... เป็นทั้งแสงสว่าง และความมืดมิด... และครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นมนุษย์" ย้อนกลับไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน แม่ทัพ "คิมชิน" (ชื่อ "ชิน" จากสกุลคิม) ซึ่งกำลังเหนื่อยล้าหลังกรำศึกอย่างต่อเนื่องมาตลอดสามวันสามคืน ใช้ดาบ (ที่มีภาพแกะสลักรูปก็อบลินและเต็มไปด้วยคราบเลือด) พยุงกายให้ลุกขึ้นท่ามกลางซากศพและห่าธนูในสนามรบ ก่อนเผชิญหน้ากับศัตรูเป็นกองทัพที่กำลังควบม้าเข้าตรงเข้ามาหาอย่างไม่หวั่นเกรง เขาดึงลูกธนูที่ปักอยู่บนแขนข้างหนึ่งออก แล้วหยิบดาบขึ้นมาเตรียมต่อสู้อีกครั้ง ทันใดนั้นก็มีเสียงบรรยายว่า "ใครๆ ต่างเรียกเขาว่า "เทพเจ้า" เนื้อตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด นัยน์ตาทอแสงเป็นประกายขณะใช้ดาบฟาดฟันศัตรู... เขาคือเทพเจ้าแห่งสงครามตัวจริง" 

ด้วยความที่มีศัตรูอยู่รอบกาย แม่ทัพคิมชินจึงแกว่งไกวดาบอย่างบ้าคลั่ง เขาเข่นฆ่าศัตรูที่ดาหน้าเข้ามาหาอย่างไร้ความปราณีจนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วทุกทิศและฟาดฟันทุกสิ่งที่ขวางทาง สายตาของเขาจับจ้องไปที่แม่ทัพของศัตรูและมุ่งตรงเข้าไปหา แม่ทัพศัตรูเห็นดังนั้นจึงรีบถอยหนี แม่ทัพคิมชินเลยกระโดดขึ้นหลังม้าแล้วตามไปสังหาร หลังจากนั้นสงครามจึงยุติลง ขณะนำทัพเดินทางกลับเมืองหลวงประชาชนสองข้างทางต่างพากันออกมาแซ่ซ้องสรรเสริญแม่ทัพคิมชินในฐานะที่เป็นวีรบุรุษของพวกตน



เมื่อไปถึงหน้าประตูวัง ลูกน้องคนสนิทของแม่ทัพคิมชินบอกให้ทหารยามเปิดประตู โดยประกาศด้วยความภาคภูมิใจว่าแม่ทัพคิมชินผู้ยิ่งใหญ่นำชัยกลับมาแล้ว แต่ทหารยามชั้นผู้น้อยกลับไม่ยอมเปิดประตูให้ ทั้งยังเรียกชื่อแม่ทัพคิมชินตรงๆ อย่างดูหมิ่น จากนั้นก็สั่งให้แม่ทัพคิมชินถอดชุดเกราะก่อนรับราชโองการซึ่งนับเป็นการหยามเกียรติของแม่ทัพ เหล่าทหารของแม่ทัพคิมชินได้ยินดังนั้นต่างอึ้งไปตามๆ กัน หลังถูกลูกน้องคนสนิทของแม่ทัพคิมชินโวยใส่ ทหารยามคนดังกล่าวก็เรียกแม่ทัพคิมชินด้วยน้ำเสียงอันดุดันว่า "นักโทษกบฏคิมชิน จงถอดชุดเกราะและ...." ลูกน้องคนสนิทของแม่ทัพคิมชินอดรนทนไม่ได้จึงโวยวายอีกครั้งและชักดาบออกมา แม่ทัพคิมชินรีบปรามลูกน้องและยอมถอดเสื้อเกราะออกแต่โดยดี เหล่าทหารของแม่ทัพคิมชินเห็นดังนั้นจึงพร้อมใจกันทำตาม

หลังจากนั้นทหารยามคนเดิมก็บอกให้แม่ทัพคิมชินวางดาบลงและคุกเข่าก่อนรับราชโองการ ลูกน้องคนสนิทของแม่ทัพคิมชินได้ยินดังนั้นจึงพูดข่มขู่และตำหนิทหารยามเสียงดังลั่น เหล่าพลธนูบนป้อมกำแพงจึงเข้าประจำที่และเล็งธนูไปที่เหล่าทหารของแม่ทัพคิมชิน ทหารยามยืนกรานว่านักโทษกบฏคิมชินต้องวางอาวุธและคุกเข่าต่อหน้าตนเพื่อรับราชโองการ แม่ทัพคิมชินชักดาบออกจากฝักและสั่งให้ทหารยามหลีกทางโดยบอกว่าตนจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท พูดจบเขาก็ถือดาบเดินตรงไปที่ประตูโดยขู่ว่าถ้าใครกล้าขวางตนจะต้องตายสถานเดียว ทันใดนั้น เหล่าพลธนูก็ระดมยิงธนูใส่ลูกน้องของแม่ทัพคิมชิน เมื่อแม่ทัพคิมชินหันหลังกลับไปมองก็ถึงกับตกตะลึง เขานึกไม่ถึงว่าเหล่าลูกน้องที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่และเพิ่งรอดตายมาจากสนามรบจะต้องมาจบชีวิตลงเพราะคมธนูของทหารองครักษ์ ลูกน้องคนสนิทของแม่ทัพคิมชินประณามเหล่าพลธนูด้วยความโกรธแค้น เขาชี้ว่าเหล่าทหารที่ถูกยิงเสียชีวิตล้วนต่อสู้กับศัตรูเพื่อพระราชามาตลอดสามวันสามคืน และพวกเขาก็เพิ่งหลุดพ้นจากขุมนรก



ทันใดนั้นก็มีเสียงคนสั่งให้เปิดประตูวัง แม่ทัพคิมชินสั่งให้ลูกน้องคนสนิทรอตนอยู่ทางด้านนอกกับเหล่าทหารที่เหลืออยู่ จากนั้นก็ถือดาบแล้วเดินเข้าไปข้างในตามลำพัง ปรากฏว่า "วังยอ" พระราชาแห่งโครยอ  นำพระมเหสี "คิมซอน" มายืนเป็นตัวประกัน แม่ทัพคิมชินเห็นแล้วถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ขันทีคนสนิท "ปาร์ค จองฮุน" กระซิบทูลพระราชาซึ่งยังทรงพระเยาว์ว่า ราษฎรยกย่องแม่ทัพคิมชินดุจเทพเจ้า ยิ่งเขารบชนะมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ใจราษฎรและเรืองอำนาจมากขึ้นเท่านั้น ไม่นานอำนาจของเขาจะทำให้ราชสำนักและบัลลังก์ของพระองค์สั่นคลอน ดังนั้นพระองค์จึงควรลงอาญาเขาด้วยโทษขั้นสูงสุดตามกฏหมายบ้านเมือง

แม่ทัพคิมชินเดินตรงไปข้างหน้า สายตาของเขาจับจ้องไปที่พระราชาแห่งโครยอ (เหล่าพลธนูบนป้อมกำแพงต่างเล็งธนูไปที่พระมเหสีและแม่ทัพคิมชิน) ทันใดนั้นก็มีเสียงบรรยายว่า "เขามองเห็นดาบในมือศัตรูอย่างชัดแจ้ง แต่กลับมองไม่เห็นความริษยาและความหวาดกลัวที่พระราชาองค์น้อยทรงมีต่อเขา... นั่นคือดาบคมที่สุดที่พุ่งตรงมาหาเขา แต่เขากลับไม่เคยรู้เลย" แม่ทัพคิมชินหยุดยืนตรงหน้าพระมเหสีซึ่งยังคงยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน เขาถามพระราชาว่าต้องทำกันขนาดนี้เลยหรือ พระราชาสั่งให้แม่ทัพคิมชินหยุดการกระทำทุกอย่างและจงตายอย่างกบฏเพื่อที่คนของเขาจะได้มีชีวิตรอดปลอดภัย  (พระราชาจับทุกคนในบ้านเขามาเป็นตัวประกันด้วย) ทั้งยังขู่อีกว่าหากเขาเดินเข้ามาหาพระองค์แม้เพียงก้าวเดียว พระองค์จะฆ่าทุกคนในที่นี้ทันที




พระมเหสีบอกให้แม่ทัพคิมชินเดินไปหาพระราชาโดยไม่ต้องเป็นห่วงตน (พระราชาได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโกรธ) เมื่อเห็นว่าแม่ทัพคิมชินยังคงลังเล พระมเหสีจึงบอกว่าตนรู้ดีทุกอย่าง หากนี่คือวันสุดท้ายมันก็เป็นชะตาของตนดังนั้นจงอย่าหยุดและเดินหน้าต่อไป แม่ทัพคิมชินหันกลับไปมองพระราชาซึ่งกำลังโกรธจัดก่อนก้าวเท้าเข้าไปหา พระราชาประกาศว่าแม่ทัพคิมชินก่อกบฏและสั่งให้สังหารทุกคนในครอบครัวของเขา เมื่อสิ้นเสียงพระราชาธนูก็ปักเข้าที่กลางอกของพระมเหสี (ซึ่งเป็นน้องสาวของแม่ทัพคิมชิน) แม้จะรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แม่ทัพคิมชินยังคงเดินหน้าต่อไปและไม่หันหลังกลับไปมอง หลังจากนั้นคนในบ้านและข้าทาสบริวารของเขาก็ทยอยถูกนำตัวมาประหารตรงหน้า แม่ทัพคิมชินเห็นทาสรับใช้ในบ้านของตนทยอยโดนสังหารต่อหน้าต่อตาเลยยอมจำนน ขันทีปาร์ครีบบอกให้ทหารจับนักโทษกบฏคุกเข่า ทหารจึงใช้ดาบฟันเข้าที่กลางหลังของแม่ทัพคิมชินเพื่อบังคับให้เขาทรุดตัวลง

เมื่อลูกน้องคนสนิทของแม่ทัพคิมชินตามเข้ามาในวังและรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ร้องเรียกแม่ทัพคิมชินด้วยความเป็นห่วง ครั้นจะวิ่งเข้าไปหาก็พบพระมเหสีนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น เขาจึงได้แต่ตัดพ้อพระราชาว่าไม่กลัวถูกสวรรค์ลงโทษหรือ พระราชาจึงเย้ยว่าสวรรค์ไม่เคยเข้าข้างแม่ทัพคิมชินและพวก ขันทีปาร์คเห็นแม่ทัพคิมชินจ้องหน้าพระราชาอย่างไม่ยำเกรงจึงสั่งให้ทหารตัดหัวแม่ทัพคิมชิน แม่ทัพคิมชินไม่ยอมให้ทหารลงมือสังหารตน เขายื่นดาบให้ลูกน้องคนสนิทแล้วขอให้ช่วยปลิดชีพตนแทน ลูกน้องของเขาร่ำไห้และสัญญาว่าจะตายตาม จากนั้นก็แทงดาบเข้าที่กลางอกของแม่ทัพคิมชินทั้งน้ำตา หลังจากนั้นลูกน้องของแม่ทัพคิมชินก็ถูกทหารองครักษ์สังหาร




แม้จะถูกดาบของตนแทงทะลุอกแต่แม่ทัพคิมชินยังไม่หมดลมหายใจ เขาได้ยินขันทีชั่วห้ามไม่ให้ใครนำร่างของตนไปประกอบพิธี แต่ให้นำไปทิ้งกลางทุ่งเพื่อที่นกและสัตว์ป่าจะได้มารุมทึ้งและจิกกัดเป็นอาหารโดยอ้างว่าเป็นพระบัญชา เมื่อขันทีพูดจบพระราชาก็เดินจากไป แม่ทัพคิมชินหันกลับไปมองพระมเหสีซึ่งยังมีลมหายใจอยู่ พระมเหสีเหลือบมองแม่ทัพคิมชินเป็นครั้งสุดท้ายและสิ้นใจทั้งน้ำตา (พระมเหสีสวมแหวนหยกที่หญิงชรานำมาวางขาย และยอนฮีหยิบขึ้นมาดูตอนต้นเรื่อง)

หลังถูกนำมาทิ้งในทุ่งหญ้า แม่ทัพคิมชินซึ่งยังคงมีชีวิตอยู่ทั้งที่มีดาบเสียบคาอกได้แต่นอนแหงนหน้ามองท้องฟ้า และเนื่องจากมีคำสั่งห้ามไม่ให้ใครไปยุ่งกับร่างของแม่ทัพคิมชิน เหล่าข้าทาสบริวารที่จงรักภักดีต่อเขาจึงได้แต่พากันมาร่ำไห้และอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิให้คุ้มครองแม่ทัพคิมชินอยู่ห่างๆ  หลังจากนั้นก็มีเสียง (ของแม่ทัพคิมชิน) บรรยายว่า อย่าอธิษฐานขอความเมตตาจากใครเลย พระเจ้าไม่เคยรับฟัง ในที่สุดแม่ทัพคิมชินก็ตายด้วยคมดาบที่เคยปกป้องเขาในวันนั้นนั่นเอง


ณ กรุงโซล ปี 1998 (พ.ศ. 2541)



ชายชุดดำคนหนึ่งเดินถือหมวกข้ามถนนบริเวณทางม้าลาย อยู่ๆ ก็มีรถยนต์คันหนึ่งพุ่งมาชนเขาอย่างจังจนหน้ารถพังยับ แต่เขากลับยังคงยืนนิ่งและไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนใดๆ  คนขับรถเห็นดังนั้นก็รู้สึกช็อค ชายชุดดำจ้องตาคนขับรถแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า "คุณขับรถชนหมูป่า" คนขับรถได้ยินดังนั้นก็เริ่มตาลอยคล้ายโดนมนต์สะกด หลังจากนั้นชายชุดดำก็สวมหมวกแล้วหายตัวไป เมื่อมีคนผ่านมาพบเข้า คนขับรถก็เล่าว่าตนขับรถชนหมูป่า (ทั้งที่อยู่ในย่านกังนัม) ทันใดนั้น ก็มีเสียงผู้หญิงกรีดร้องหลังพบศพหญิงสาวในกระโปรงหลังรถคันที่ประสบอุบัติเหตุ   

หญิงสาวคนหนึ่ง (ซึ่งยืนดูเหตุการณ์อยู่) เห็นศพแล้วถึงกับเข่าอ่อนด้วยความตกใจ เพราะศพที่เห็นคือตัวเธอเอง  ทันใดนั้น ชายชุดดำก็ปรากฏกายต่อหน้าเธอ เขาอ่านชื่อ อายุ วันเดือนปีเกิด และเวลาตายของหญิงสาวตามที่ระบุไว้ในการ์ดสีขาว จากนั้นก็พาเธอมาดื่มน้ำชาเพื่อลบความความทรงจำทั้งหมดก่อนที่จะเดินทางไปยังโลกหลังความตาย หญิงสาว (ซึ่งสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย) ถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเธอไม่ดื่ม ชายชุดดำกล่าวว่าถ้าไม่ดื่มเธอจะเสียใจในภายหลัง  ดังนั้น เธอควรยุติความเสียใจเอาไว้แค่ในชาตินี้และทิ้งความทุกข์ทั้งหมดไว้ที่นี่


หลังหญิงสาวดื่มน้ำชาแล้ว ชายชุดดำก็ทำความสะอาดถ้วยชาแล้วนำไปวางไว้ในชั้นเก็บถ้วยชาขนาดมหึมาก่อนโยนผ้าลงบนโต๊ะที่มันวับ เขาสวมหมวกคล้ายกำลังจะออกไปข้างนอกแต่พอมองทะลุกำแพงหินอย่างหนาออกมาทางด้านนอกก็พบชายคนหนึ่งถือกระเป๋าเสื้อผ้าเดินผ่านมา เมื่อชายหนุ่มทางด้านนอกหันมาเห็นชายชุดดำจึงหยุดมองด้วยความสนใจ หลังจ้องหน้ากันครู่หนึ่ง ชายชุดดำก็รู้ว่าเขาคือ "ก็อบลิน" ขณะที่ก็อบลินเองก็รู้ว่าชายชุดดำที่อยู่ตรงหน้าคือ "ยมทูต" ซ้ำยังพูดเหน็บเรื่องที่เขาสวมหมวกอีกด้วย   (ที่ยมทูตสวมหมวกเป็นเพราะสวมแล้วจะล่องหนทำให้มนุษย์มองไม่เห็น) 



(นับจากนี้จะเรียกพระเอกว่า "ชิน") เมื่อชินถือกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามาในบ้านหลังใหญ่และหรูหรา เขาก็จุดเทียนและเปิดผ้าคลุมเฟอร์นิเจอร์ออกด้วยพลังอำนาจวิเศษ ไม่นานก็มีเสียงชายชราร้องเรียก "นายท่าน" เมื่อชินหันไปมองก็พบว่าประธาน "ยู ชินอู" พาหลานชายตัวน้อย "ยู ต็อกฮวา" มาต้อนรับหลังไม่ได้เจอกันนาน 20 ปี ต็อกฮวาเห็นปู่แสดงท่าทีนอบน้อมต่อชายแปลกหน้าทั้งยังชมว่าเขาเท่ห์เหมือนเดิม เลยแย้งทันควันว่าไม่เห็นจะเท่ห์ตรงไหน จากนั้นก็ถามปู่ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเป็นใคร ชินตอบว่าตนเป็นทั้ง อา พี่ชาย ลูกชาย และหลานชายของต็อกฮวา (ต็อกฮวาจะอายุมากขึ้นเรื่อยๆ และแก่ลงในที่สุด ส่วนเขาจะยังคงหนุ่มแน่นเหมือนเดิม) จากนั้นก็คุกเข่าทักทายเด็กน้อย ต็อกฮวาเอามือกอดอกแล้วจ้องหน้าชินอย่างไม่วางใจ ทั้งยังสงสัยหนักว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเป็นใครกันแน่ ประธานยูเห็นหลานพูดและแสดงกิริยาไม่สุภาพจึงรีบขอโทษชิน จากนั้นก็อธิบายว่าต็อกฮวาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของทายาทตระกูลยูรุ่นที่ 4 เลยถูกตามใจจนเคยตัว (ตระกูลยูในละครลำดับญาติได้ถึง 13 ชั่วอายุคน) 

ครั้นพอเห็นหน้าต็อกฮวาชัดๆ ชินก็นึกถึงบรรพบุรุษของเด็กน้อยซึ่งเป็นเด็กชายชาวโครยอที่ต้องมาจบชีวิตลงในต่างแดน พอรู้ว่าบรรพบุรุษคนที่ว่ามีหน้าตาเหมือนตน ต็อกฮวาก็ถามด้วยความตื่นเต้นว่าบรรพบุรุษของตนหล่อไหม ประธานยูได้ยินดังนั้นเลยดุหลานก่อนก้มศีรษะขอโทษชินอีกครั้ง ชินมองหน้าต็อกฮวาพลางยืนยันว่าคนตระกูลยูไม่เคยทำให้ตนผิดหวัง ทันใดนั้น ต็อกฮวาก็โพล่งถามชินด้วยสีหน้าท่าทางเอาเรื่องว่า ทำไมถึงใช้คำพูดแบบเป็นกันเองกับปู่ของตน และนั่นก็ทำให้เด็กน้อยเกือบโดนปู่ตี (ปกติแล้วผู้ที่อาวุโสน้อยกว่าต้องใช้ภาษาสุภาพกับผู้ใหญ่ แต่ต็อกฮวาไม่รู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้ามีอายุเกือบพันปี) 


ชินยิ้มให้ต็อกฮวาด้วยความเอ็นดู เขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อเกือบหนึ่งพันปีก่อน ในตอนนั้นบรรพบุรุษของต็อกฮวาซึ่งเป็นทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของแม่ทัพคิมชินได้พาหลานมานั่งคุยกับดาบที่ปักอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ เขาร่ำไห้พลางขอโทษดาบที่เพิ่งมาเอาป่านนี้และอธิบายว่าที่ผ่านมาตนป่วยหนัก เขารู้ตัวดีว่าคงอยู่ต่อไปได้อีกไม่นานเลยพาหลานมาแนะนำ โดยบอกว่าจากนี้ไปหลานชายจะมาทำหน้าที่แทนตน หลานชายของทาสคนดังกล่าวเห็นปู่เรียกดาบว่า 'นายท่าน' จึงรู้สึกแปลกใจ

ทันใดนั้นก็เกิดปรากฏการณ์ประหลาด เมื่ออยู่ๆ ก็มีฟ้าแลบ แถมดาบยังสั่นไหว หลังจากนั้นก็มีเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า "แม้วิญญาณคนของเจ้าจะพากันคุ้มครองเจ้า แต่ดาบของเจ้าชโลมด้วยเลือดผู้คนนับพัน ถึงจะเป็นเลือดของศัตรูแต่ก็เป็นเลือดของเทพเจ้าด้วยเช่นกัน... จงอยู่อย่างโดดเดี่ยวและไม่มีวันตาย เฝ้าดูคนที่เจ้ารักตายไปต่อหน้าคนแล้วคนเล่า เจ้าจะไม่มีวันลืมความตายของใคร นี่คือรางวัลที่ข้ามอบให้และยังเป็นบทลงโทษของเจ้า"


 


สองปู่หลานต่างพากันตกตะลึงเมื่อเห็นร่างนายของตนปรากฏอยู่ตรงหน้าโดยที่ยังมีดาบเสียบคาหน้าอก เสียงจากสวรรค์กล่าวต่อว่า "มีเพียงเจ้าสาวของก็อบลินเท่านั้นที่สามารถดึงดาบออกมาได้ เมื่อดาบถูกดึงออกมาแล้ว เจ้าจะดับสูญและไปสู่สุขคติ" หลังฟื้นคืนชีพในฐานะก็อบลิน อดีตแม่ทัพคิมชินก็มุ่งหน้าไปที่วังหลวง หลังสังหารขันทีปาร์คและคู่หูแล้ว เขาก็พบร่างคนถูกผ้าไหมสีเหลืองห่อเอาไว้จึงได้แต่เปรยว่าตนมาช้าไป เมื่อกลับไปหาสองปู่หลานเขาก็พบว่าตนมาสายเกินไปเช่นกัน เพราะทาสชราผู้ซื่อสัตย์ได้เสียชีวิตแล้ว หลานตัวน้อยของชายชรานั่งร้องไห้พลางนำหินมาวางเรียงบนหลุมศพผู้เป็นปู่จนมือแตกเป็นแผล ชินคุกเข่าหน้าหลุมศพทาสชราผู้ซื่อสัตย์และกล่าวว่า "เจ้าคงเป็นบทลงโทษแรกของข้าสินะ" หลานชายชราผู้ล่วงลับก้มศีรษะคำนับเพื่อฝากตัวรับใช้ชินตามคำสั่งเสียของปู่ ชินรู้สึกผิดที่ปล่อยให้ความแค้นบังตาจนลืมไต่ถามทุกข์สุขของทาสชราและหลาน เขาถามเด็กน้อยด้วยน้ำตานองหน้าว่าตนเป็นอย่างนี้แล้วยังอยากรับใช้ตนอีกหรือ เด็กน้อยพยักหน้าแทนคำตอบ

ขณะล่องเรือข้ามมหาสมุทร ชินเห็นเด็กน้อยได้แต่มองดูผู้โดยสารบนเรือกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เขารู้ว่าเด็กหิวจึงยื่นข้าวปั้นให้เด็กน้อย เด็กชายปรี่เข้ามารับอย่างลืมตัวแต่แล้วก็หยุดกึกและโกหกว่าตนไม่หิว ชินเห็นว่าเด็กชายยังไม่มีอะไรตกถึงท้องแต่กลับยอมเสียสละเพื่อตนเลยแบ่งข้าวปั้นออกเป็นสองส่วน เด็กน้อยชี้ว่าหนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลถ้าแบ่งกันคนละครึ่งจะไม่มีใครอิ่มท้องเลย หากตนหิวจนทนไม่ไหวจริงๆ จะไปเดินขอเศษอาหารจากคนบนเรือ ชินแย้งว่าตนไม่ได้พาเด็กน้อยมาเร่ขออาหาร เขาขอให้เด็กน้อยเชื่อใจตนเพราะตนนั้นไม่ธรรมดาและทำอะไรได้มากกว่าที่คิด เด็กน้อยได้ยินดังนั้นจึงยอมรับข้าวปั้นมากัดกินด้วยความหิวโหย และเพื่อเป็นการพิสูจน์คำพูดเมื่อครู่ชินจึงเสกหิ่งห้อยให้เด็กน้อยดูเป็นบุญตา


อยู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งจับตัวเด็กน้อยแล้วยื่นออกไปในทะเล หลังจากนั้นชายที่เป็นหัวหน้าโจรก็ขอตรวจค้นสัมภาระที่ชินนำติดตัวมาโดยอ้างว่าจำเป็นต้องลดน้ำหนักบรรทุกบนเรือ ชินบอกชายคนดังกล่าวให้ปล่อยตัวเด็กแล้วตนจะยอมไว้ชีวิต ชายคนเดิมอ้างว่าชินทำให้คลื่นแปรปรวนจึงต้องโดนลงโทษด้วยการถูกขายไปเป็นทาส พูดจบชายคนดังกล่าวก็สั่งให้ลูกน้องทิ้งเด็กลงทะเล ที่แท้เรือดังกล่าวเป็นของโจรสลัดและทุกคนที่อยู่บนเรือล้วนเป็นโจร ชินถามเหล่าโจรว่า "รู้มั๊ยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์ที่ทำตัวต่ำช้ายิ่งกว่าสัตว์เดรฉาน" ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็มืดครึ้มและคลื่นลมแปรปรวน เขากล่าวต่อว่า "พวกมันจะได้พบกับเทพเจ้าแห่งความพิโรธ" หลังถูกคลื่นซัดจนเรือเริ่มโคลงเคลง หัวหน้ากลุ่มโจรก็ชี้ไปยังชินแล้วบอกทุกคนด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวว่า "เจ้านั่นคือ กะ...ก็อบลิน!" หลังจากนั้น ก็อบลินซึ่งกำลังโกรธแค้นก็ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างบนเรือ ในขณะที่เรือค่อยๆ อัปปางลงชายคนหนึ่งพยายามร้องขอความเมตตาจากชิน ชินกล่าวว่ามันสายเกินไปแล้ว จากนั้นก็กวัดแกว่งดาบแล้วฟันลงบนเรือจนขาดเป็นสองท่อนก่อนจมหายไปในทะเล




ชินนั่งชมวิวทิวทัศน์อยู่บนยอดตึกสูงของกรุงโซลพลางเปรยว่าตนรู้สึกดีที่ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง (เขาเพิ่งกลับมาเกาหลีหลังจากไปนาน 20 ปี) ขณะเดียวกันบนถนนเบื้องล่างซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตึกที่ชินนั่งอยู่มากนัก ได้เกิดอุบัติเหตุชนแล้วหนี ปรากฏว่าผู้ที่ถูกรถชนจนบาดเจ็บสาหัสคือยอนฮี เธอถูกทิ้งให้นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ด้วยความที่ยังพอมีสติสัมปชัญญะเธอจึงอ้อนวอนขอความเมตตาจากพระเจ้าตามที่หญิงชราแนะนำ โดยบอกว่าหากพระเจ้ามีจริงโปรดจงช่วยคุ้มครองตนด้วย ใครก็ได้โปรดมาช่วยตนที ในตอนแรกชินไม่อยากเข้าไปยุ่ง แต่พอได้ยินคำอ้อนวอนของเธอเขาก็อดลงมาดูไม่ได้ เมื่อยอนฮีถามว่าเขาเป็นใคร ชินตอบว่าตนคือ 'ใครก็ได้' ที่เธอเรียกหา ยอนฮีขอร้องให้เขาช่วยชีวิตเธอ แต่ชินยังคงลังเลเพราะเขาตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับความเป็นความตายของมนุษย์ ยอนฮีกล่าวว่าเธอยังตายตอนนี้ไม่ได้ ชินได้ยินดังนั้นจึงรู้ว่าเธอไม่ได้ร้องขอชีวิตตนเอง ยอนฮีเอามือกุมท้องพลางขอร้องให้เขาช่วยลูกในท้องก่อนสิ้นใจท่ามกลางกลีบดอกไม้โปรยปราย

ชินกล่าวว่ายอนฮีโชคดีที่ได้มาพบพระเจ้าที่มีใจเมตตาอย่างตน และตนก็ไม่อยากเห็นใครตายในคืนนี้ พูดจบเขาก็ชุบชีวิตให้ยอนฮีและลูก เมื่อยมทูตมารับดวงวิญญาณของสองแม่ลูกตามที่ระบุไว้ในการ์ดรายชื่อคนตายเขาก็พบเพียงคราบเลือดบนพื้น ทั้งยังรู้สึกแปลกใจที่มีสามฤดูในเวลาเดียวกัน (บริเวณนั้นมีทั้งฝน หิมะ และดอกไม้เบ่งบาน ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ที่ผิดธรรมชาติเพราะดอกไม้จะบานในฤดูใบไม้ผลิ) ในเวลาต่อมายอนฮีได้ให้กำเนิดบุตรสาวซึ่งสร้างความฮือฮาให้กับเหล่าภูติผีที่พากันมามุงดูอยู่ทางด้านนอกห้อง เพราะผีทุกตนต่างรู้ว่าทารกน้อยคือ "เจ้าสาวของก็อบลิน"

ฤดูใบไม้ผลิในอีก 8 ปีต่อมา


ทารกน้อยเติบโตขึ้นในหมู่บ้านที่อยู่ติดทะเล ชื่อของเธอคือ "จี อึนทัก" เธอเป็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักที่มีปานรูปร่างแปลกๆ ด้านหลังลำคอ เธอขอแม่ว่าวันเกิดปีนี้อยากฉลองด้วยขนมเค้กแทนที่จะเป็นเค้กข้าว (ขนมต็อก - ของโปรดของอึนทัก) ที่แม่มักทำให้ในวันเกิดทุกปี โดยให้เหตุผลว่าปีนี้ตนอยากเป่าเทียนแล้วอธิษฐานขอพรในวันเกิดด้วย (เธอคิดว่าถ้าอธิษฐานต่อหน้าเค้กข้าวแล้วจะไม่สมหวัง)  ยอนฮีได้ฟังดังนั้นจึงรับปากว่านับตั้งแต่ปีนี้จะฉลองวันเกิดอึนทักด้วยขนมเค้ก อึนทักหันไปเห็นลูกหมาริมชายหาดจึงเดินไปลูบหัวเล่นด้วยความเอ็นดู ยอนฮีมองตามพลางทอดถอนใจเพราะสิ่งที่เธอเห็นมีเพียงความเปล่า (น้องหมาที่อึนทักเห็นคือวิญญาณ)

ค่ำวันหนึ่ง อึนทักกลับจากโรงเรียนด้วยความเหนื่อยล้าพลางอวดแม่ว่าตนได้คะแนนวิชาภาษาอังกฤษเต็มร้อย  เมื่อเห็นว่าแม่เตรียมเค้กวันเกิดเอาไว้ให้ อึนทักก็รู้สึกดีใจ ขณะจุดเทียนอึนทักยังคงพูดเจื้อยแจ้วเกี่ยวกับความสามารถด้านภาษาอังกฤษของตน ครั้นพอจุดเสร็จแล้วอึนทักก็ถึงกับช็อคเมื่อสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เธอร่ำไห้เมื่อพบว่าความจริงแล้วตนกำลังนั่งคุยกับวิญญาณของแม่ ยอนฮีรู้สึกเวทนาที่ลูกสาวมองเห็นวิญญาณจริงๆ (เธอแอบหวังว่าลูกจะมองไม่เห็นผี) เมื่ออึนทักถามตรงๆ ว่าแม่ตายแล้วหรือ ยอนฮีได้แต่พยักหน้าทั้งน้ำตา เธอบอกลูกว่าตนเพิ่งตาย ตอนนี้ร่างของตนอยู่ที่โรงพยาบาล อีกไม่นานทางโรงพยาบาลจะโทรฯ มาแจ้งข่าว เมื่อไปถึงโรงพยาบาลแล้วเธอจะได้พบกับน้า ยอนฮีบอกให้อึนทักสวมผ้าพันคอด้วยเพราะตอนกลางคืนอากาศข้างนอกค่อนข้างเย็น และให้ไปหาคุณยายที่ร้านขายของเพื่อขอให้ไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อน


ยอนฮีบอกลูกว่าต่อไปห้ามสบตาวิญญาณตนใดอีก อึนทักขอโทษที่มองเห็นวิญญาณ (เลยทำให้แม่เป็นห่วง) และกล่าวว่า "เพราะหนูเห็นวิญญาณ หนูถึงได้มองเห็นแม่ หนูไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ" ยอนฮีร่ำไห้พลางขอบใจลูกสาวที่มองเห็นตน เธอรู้ตัวว่าถึงเวลาที่ต้องไปแล้วจึงบอกรักอึนทักเป็นครั้งสุดท้าย อึนทักบอกรักแม่ด้วยน้ำตานองหน้า ก่อนกล่าวคำอำลาและขอให้แม่ได้ขึ้นสวรรค์ หลังจากนั้นไม่นานวิญญาณของยอนฮีก็สลายหายไป อึนทักร้องไห้โฮเมื่อเห็นแม่หายไปต่อหน้าต่อตา เมื่อโรงพยาบาลโทรฯ มาแจ้งข่าว เธอก็หยิบผ้าพันคอมาสวมตามที่แม่บอก  ครั้นพอหันไปเห็นเค้กวันเกิด อึนทักก็บอกตัวเองว่าจากนี้ไปตนจะไม่อธิษฐานขออะไรแล้ว เพราะถึงยังไงก็ไม่มีใครรับฟังอยู่ดี แล้วจะให้ตนไปขอกับใคร


วิญญาณยอนฮีแวะไปทักทายหญิงชราที่นำของมาวางขายบนสะพานลอยเป็นครั้งสุดท้าย เธอสงสัยว่าทำไมหญิงชราถึงไม่แก่ลงเลย หญิงชราย้อนถามว่าตนยังแก่กว่านี้ได้อีกหรือ  (ความจริงแล้วหญิงชราคือ  "ซัมชิน ฮัลมอนี" ซึ่งอาจแปลง่ายๆ แบบตรงตัวได้ว่า "ยายสามเทพ หรือ ยายเทพทั้งสาม" เป็นเทพแห่งโชคชะตาและการถือกำเนิดที่คอยคุ้มครองเด็กๆ ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงอายุ 7 ปี - มีสามเทพรุ่นคุณยายในองค์เดียว) วิญญาณยอนฮีฝากฝังลูกสาวไว้กับหญิงชราโดยบอกว่าอย่างน้อยๆ ก็ช่วยแบ่งผักโขมและผักกาดที่เหลือให้ลูกสาวเธอบ้าง หญิงชราโวยว่าทำไมตนต้องคอยดูแลลูกสาวของยอนฮีด้วยในเมื่อเธอกับลูกควรตายตั้งนานแล้ว ไม่รู้ทำไมถึงยังอยู่จนป่านนี้ ยอนฮีแย้งว่าหญิงชราเป็นคนบอกให้เธอตั้งจิตอธิษฐานขอความเมตตาจากพระเจ้า เธอขอบคุณหญิงชราที่ช่วยให้ตนมีอายุยืนยาวขึ้นและกล่าวคำอำลาทั้งน้ำตา



ขณะที่อึนทักกำลังจะออกไปโรงพยาบาล เธอเห็นชายชุดดำสวมหมวกยืนอยู่ที่หน้าบ้านจึงถามว่าเขาเป็นใคร ยมทูตได้ยินดังนั้นจึงถามด้วยความแปลกใจว่า "เธอเห็นชั้นด้วยเหรอ" (ปกติแล้วถ้าเขาสวมหมวก มนุษย์จะมองไม่เห็น) อึนทักเริ่มรู้ตัวว่าตนเองทำพลาดครั้งใหญ่ เธอคิดจะชิ่งหนีแต่ยมทูตรู้ทัน เขาบอกเธอว่าตนมาตามหาวิญญาณของแม่เธอหลังไปที่โรงพยาบาลแล้วไม่พบ เขานึกถึงวันที่ยอนฮีและอึนทัก (ซึ่งอยู่ในท้อง) ถึงฆาตแต่วิญญาณกลับหายไป พลางสงสัยว่าทำไมเด็กที่ไม่ควรลืมตาดูโลกถึงได้เกิดและเติบโตจนป่านนี้  (วันนั้นเขาต้องมารับวิญญาณสองดวงตามที่ระบุไว้ในการ์ดรายชื่อคนตาย การ์ดใบหนึ่งระบุชื่อและอายุของยอนฮี อีกใบระบุว่า "ไม่มีชื่อ" อายุ 0 ปี)  จากนั้นก็ถามว่าเธออายุครบ 9 ขวบหรือยัง (ถ้าครบแล้วเขาจะพาดวงวิญญาณเธอไป) อึนทักน้ำตาร่วงและแกล้งบอกว่าเธอไม่ได้ยินเสียงเขา

ยมทูตเห็นหญิงชราปรากฏตัวตรงหน้าจึงถามว่าเธอมาที่นี่ทำไม หญิงชราบอกให้ยมทูตเลิกยุ่งกับอึนทัก ยมทูตจึงเตือนว่าเธอกำลังขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของตน หญิงชราโวยกลับว่าทำไมเพิ่งมาทำสิ่งที่ควรทำเมื่อหลายปีก่อน ยมทูตกล่าวว่ามาช้ายังดีกว่าไม่มาและนี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่ตนจะได้แก้ไขความผิดพลาด  หญิงชราแย้งว่าในรายชื่อคนตายระบุว่าเด็กไม่มีชื่อ แต่เด็กคนนี้มีชื่อ (ยมทูตยังไม่รู้จักชื่อของอึนทัก) จากนั้นก็ขอดูการ์ดคนตายที่ระบุชื่อของเด็ก โดยบอกว่าหากเขานำการ์ดที่ว่ามายืนยันเธอจะยอมมอบอึนทักให้เขาแต่โดยดี ยมทูตโอดว่าหญิงชราเองก็น่าจะรู้ว่าการยื่นคำร้องใหม่เป็นอะไรที่ยุ่งยากมากและต้องใช้เวลา เมื่อเห็นว่าหญิงชราไม่ยอมอ่อนข้อให้ ยมทูตจึงเป็นฝ่ายยอมแพ้ และบอกเด็กน้อยซึ่งอยู่ในอาการหวาดกลัวว่าวันหน้าค่อยพบกันใหม่


อึนทักจะบอกหญิงชราเรื่องแม่ของตน หญิงชราชิงกล่าวว่าตนรู้แล้วและไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แต่อึนทักต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เธอแนะให้อึนทักรีบย้ายที่อยู่ภายในสามวันเพื่อที่ยมทูตจะได้หาตัวไม่พบ  และชี้ว่าอึนทักสบตายมทูตแล้วจึงอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไป  หญิงชรากล่าวว่าหลังเที่ยงคืนๆ นี้ จะมี 'ผู้ชายหนึ่งคนและผู้หญิงสองคน' มาหาอึนทักในงานศพ (จัดที่โรงพยาบาล) อึนทักต้องย้ายไปอยู่กับพวกเขา ไปแล้วอาจตกระกำลำบากและทุกข์ใจแต่อึนทักไม่มีทางเลือกอื่น  อึนทักถามหญิงชราว่าทำไมถึงยอมบอกเรื่องพวกนี้กับตน หญิงชราตอบว่าตนชอบอึนทักและมีความสุขที่ได้มอบอึนทักให้แม่ของเธอ หญิงชรามอบผักกาดให้อึนทักหนึ่งหัวโดยบอกว่าเป็นของขวัญวันเกิดแล้วเดินจากไป



10 ปีต่อมา หญิงชรากลายร่างเป็นสาวสวย ส่วนต็อกฮวาเติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่ม เมื่อทั้งคู่เดินสวนกันบนสะพานต่างฝ่ายต่างเหลือบมองกัน หลังเดินต่อไปได้สักพักต็อกฮวาก็หันไปเรียกหญิงสาวและชวนไปหาอะไรดื่มกัน หญิงสาวได้ยินดังนั้นจึงตอบตกลงทันที ขณะที่ชินกำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างสบายใจ ต็อกฮวาก็โทรฯ มาหาเขาที่เบอร์บ้าน (โดยผ่านระบบฝากข้อความเสียง) เพื่อขอความช่วยเหลือหลังพบว่าอยู่ๆ บัตรเครดิตของตนก็ถูกระงับทั้งที่เมื่อวานยังใช้ได้ เขาขอร้องให้ชินช่วยรับสายเพราะตอนนี้กลุ่มชายใส่สูทที่อยู่ในบาร์กำลังไม่พอใจตนมาก แต่ชินฟังแล้วยังคงนั่งอ่านหนังสืออย่างใจเย็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อึนทักซึ่งกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย นั่งทานข้าวตามลำพังที่โรงเรียนในช่วงพักเที่ยง  เพื่อนร่วมชั้นของเธอเห็นดังนั้นจึงพากันนินทาว่าใกล้เรียนจบแล้วแต่อึนทักยังคงไม่มีเพื่อนทานข้าวเหมือนเดิม และสาเหตุที่อึนทักไม่มีเพื่อนเป็นเพราะทุกคนรู้ว่าเธอมองเห็นภูติผี เลยไม่มีใครอยากสุงสิงหรือคบหาสมาคมด้วย (เพื่อนๆ รู้สึกว่าเธอน่ากลัวกว่าผี เพราะอย่างน้อยผีก็ไม่มีตัวตน)  อึนทักรู้ว่าเพื่อนๆ กำลังนินทาตนแต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ได้ยิน





ขณะที่อึนทักเดินกลับบ้านท่ามกลางสายฝน ผีขี้เหงาตนหนึ่งได้ยินว่าอึนทักเป็น "เจ้าสาวของก็อบลิน" จึงพยายามเรียกร้องความสนใจเพราะรู้ว่าอึนทักมองเห็นตน ผีสาวอยากชวนอึนทักไปอยู่เป็นเพื่อนแต่อึนทักแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ผีสาวจึงยื่นหน้าเข้าไปหาใกล้ๆ และร้องเรียกอึนทักเสียงดังลั่นด้วยความโมโห ครั้นพอเห็นอึนทักทำท่าแสบแก้วหู เธอก็ยิ้มอย่างผู้ชนะเพราะจับได้ว่าอึนทักมองเห็นตนจริงๆ เมื่อผีสาวหันไปเห็นอะไรบางอย่างที่อยู่เบื้องหน้าท่าทีของเธอก็เปลี่ยนไป  เธอรำพึงรำพันกับตัวเองว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริงหรือนี่  จากนั้นก็ขอโทษอึนทักและรีบหนีไปอย่างลนลาน อึนทักได้แต่ยืนงงว่าทำไมอยู่ๆ ผีตนดังกล่าวจึงขอโทษตน ที่แท้ผีสาวเห็นชินเดินกางร่มตรงมา ชินจ้องมองอึนทักอย่างไม่วางตาและมีภาพความทรงจำบางอย่างผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง ขณะที่อึนทักเหลือบมอง (สบตา) ชินแล้วเดินผ่านไปโดยไม่มีปฏิกิยาใดๆ ชินเดินต่อไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับไปมองอึนทักและเฝ้าดูเธอจนลับสายตา


ชินนั่งครุ่นคิดถึงเรื่องราวบางอย่างตามลำพังภายในบ้านท่ามกลางความมืดสลัว เมื่อประธานยูมาพบเข้าจึงช่วยจุดเทียนบนโต๊ะให้ จากนั้นก็มอบพาสปอร์ตและเอกสารต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในระหว่างการเดินทางให้ชิน (ดูเหมือนว่าจะครบรอบ 20 ปีที่ชินต้องไปอยู่เมืองนอก และจะกลับมาอีกครั้งในอีก 20 ปีข้างหน้า) ชินแอบใจหายเมื่อประธานยูเตือนว่าถึงเวลาแล้วเพราะตอนนี้ต็อกฮวาอายุครบ 25 ปีเต็ม (ตอนที่เขากลับมาเกาหลีต็อกฮวาอายุ 5 ขวบ) ประธานยูกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า เมื่อ 'นายท่าน' จากไปแล้วชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันอีก เพราะกว่า 'นายท่าน' จะกลับมาเกาหลีอีกครั้งตนคงจากโลกนี้ไปแล้ว (ตอนนี้เขาอายุ 81 ปี)  เมื่อถึงตอนนั้นต็อกฮวาจะมาอยู่ดูแลรับใช้ 'นายท่าน' ที่นี่แทนตน ชินฟังแล้วถึงกับน้ำตาคลอเบ้า เขาขอบคุณทุกวินาทีที่ประธานยูคอยอยู่เคียงข้างและทำทุกอย่างเพื่อตน

ทันใดนั้นก็มีเสียงคนกดรหัสที่ประตู (ประธานยูชอบลืมกุญแจบ้านเลยเปลี่ยนมาใช้รหัสผ่านในการปลดล็อคประตูบ้านของชิน) ไม่นานต็อกฮวาก็โผล่พรวดเข้ามาในบ้านและต่อว่าชินที่ไม่ยอมช่วยตน เมื่อโดนปู่ดุว่าทำตัวไร้มารยาท เขาก็หันมาโวยปู่ที่ระงับบัตรเครดิตของตนทำให้ตนเสียหน้าอย่างแรงต่อหน้าผู้หญิง หากจะทำเช่นนี้กับตนแล้วให้ตนเป็นทายาททำไม ชินพยายามเอามือบังเอกสารไว้แต่ต็อกฮวาหันมาเห็นพาสปอร์ตพอดี เขาจึงถามชินว่าจะไปไหน ประธานยูเตือนต็อกฮวาให้พูดกับชินด้วยภาษาสุภาพ ต็อกฮวาบอกประธานยูว่าอย่าเข้ามายุ่งในเรื่องนี้ จากนั้นก็คาดคั้นชินว่าจะออกตามหาเจ้าสาวอีกแล้วหรือ เมื่อเห็นชินนั่งเงียบต็อกฮวาก็โวยลั่นว่าทำไมไม่ยอมบอกตนตรงๆ ว่าจะไปแต่งงาน ชินถอนใจก่อนถามประธานยูว่า "เด็กคนนี้จะอยู่ที่นี่ตอนผมกลับมางั้นหรือ" หลังจากนั้นต็อกฮวาก็ถามชินด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ว่าเขาจะไปวันไหนเมื่อไหร่ ชินฟังแล้วได้แต่เอามือกุมขมับ



อึนทักรีบตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมอาหารให้ 'ผู้ชายหนึ่งคนและผู้หญิงสองคน' (ที่เธอมาอาศัยอยู่ด้วยหลังแม่ตาย) ทานกันพร้อมหน้าที่โต๊ะอาหาร ส่วนเธอยืนทานในครัวก่อนไปโรงเรียน "ปาร์ค คยองชิก" ญาติผู้ชายของอึนทักเห็นว่าวันนี้มีซุปสาหร่ายเลยสงสัยว่ามีใครเกิดวันนี้งั้นหรือ "ปาร์ค คยองมี" เห็นแล้วไม่อยากเชื่อว่าอึนทักจะทำซุปสาหร่ายฉลองวันเกิดให้ตัวเอง "จี ยอนซุก" (น้าของอึนทัก) ได้ยินดังนั้นจึงเปรยว่าช่างไม่มีความละอายเสียเลย ถึงแม้อันทักจะเกิดวันนี้แต่ก็เป็นวันตายของแม่เธอเช่นกัน อึนทักวางจานแล้วประชดด้วยการกล่าวขอบคุณยอนซุกที่อวยพรวันเกิดให้เธอ

อึนทักจะเข้าห้องไปจัดกระเป๋าแต่ยอนซุกยังไม่วายบ่นว่าคิดผิดที่นำอึนทักมาเลี้ยง พี่สาวตน (แม่อึนทัก) ช่างน่าสงสารที่จนแล้วยังต้องหาเลี้ยงลูกอย่างเธอตามลำพัง เมื่ออึนทักเปิดประตูแล้วพบว่าฝนตกเธอก็ก้มมองร่มสองคันที่วางอยู่หน้าบ้าน คยองชิกเห็นดังนั้นจึงบอกทั้งที่ข้าวเต็มปากว่าห้ามแตะต้องร่ม ยอนซุกสั่งให้อึนทักนำสมุดบัญชีไปพบตนที่ธนาคารหลังเลิกเรียน เมื่ออึนทักยืนกรานว่าตนไม่มีสมุดบัญชี ยอนซุกจึงเขวี้ยงชามข้าวใส่หัวอึนทักก่อนคาดคั้นว่าเงินประกันของแม่เธออยู่ที่ไหน อึนทักพยายามกล้ำกลืนความเจ็บช้ำก่อนกล่าวว่าตนไม่รู้ แต่แล้วก็โวยลั่นว่าที่ผ่านมายอนซุกแย่งทุกอย่างไปจากตนจนหมด แถมยังเอาเงินมัดจำค่าบ้านของแม่เธอไปด้วย ยอนซุกขู่ว่าจะทำร้ายอึนทักหากเธอไม่นำสมุดบัญชีไปที่ธนาคาร จากนั้นก็บ่นว่าสมุดบัญชีหายไปทุกครั้งเวลาที่ตนไปธนาคาร หากไม่ใช่ฝีมืออึนทักแล้วจะเป็นใคร คยองมีสงสัยว่าอึนทักคงโดนผีสิง อึนทักเลยแกล้งบอกว่ามีผีตนหนึ่งอยู่ทางด้านหลังคยองมีก่อนวิ่งตากฝนออกจากบ้านไป



อึนทักนำเค้กวันเกิดไปนั่งฉลองริมชายฝั่งตามลำพัง เธอทอดถอนใจพลางนำผ้าพันคอของแม่มาสวมด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ในเวลาเดียวกันนั้นชินก็กำลังนั่งครุ่นคิดอยู่ในทุ่งดอกไม้ท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้า เขานึกถึงตอนที่พูดคุยกันกับประธานยูก่อนหน้านี้ ในตอนนั้นประธานยูถามว่าคราวนี้จะไปคนเดียวอีกแล้วหรือ ชินถอนใจพลางตอบว่าคงเป็นเช่นนั้นเพราะยังไม่มีผู้หญิงคนใดมองเห็นดาบสักคน  ประธานยูยอมรับว่าตนฟังแล้วรู้สึกโล่งอกและบอกว่ามันคือความโลภของมนุษย์ เวลาที่ชินต้องทนทุกข์ทรมานเพราะดาบ เขาอยากให้เจ้าสาวปรากฏตัวไวๆ แต่พอเห็นว่าชินสบายดีเขากลับไม่อยากให้มีใครรู้เรื่องดาบนั่น ชินกล่าวอย่างมีความสุขว่าตนรู้สึกโล่งใจเช่นกันที่ยังมีประธานยูอยู่เคียงข้าง แถมยังมีเหล้าให้ดื่ม อย่างน้อยคืนนี้ตนก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ชนแก้วฉลองการมีชีวิตอยู่ของชิน หลังนึกถึงเรื่องราวดังกล่าวแล้วชินก็เดินครุ่นคิดไปมาโดยถือดอกไม้มือช่อหนึ่ง

อึนทักจุดเทียนบนเค้กวันเกิดเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี จากนั้นก็บอกพระเจ้าว่าตอนอายุ 9 ขวบเธอเคยลั่นวาจาเอาไว้ว่าจะไม่จุดเทียนขอพรวันเกิดอีก แต่ตอนนี้เธอกำลังเข้าตาจนและมีความจำเป็นเร่งด่วนจึงขอให้พระองค์เห็นใจ พูดจบเธอก็หลับตาแล้วตั้งจิตอธิษฐานขอพรสามข้อ โดยขอให้ได้งานพาร์ทไทม์  ขอให้พระเจ้าช่วยสั่งสอนน้าและครอบครัว และขอให้เธอมีแฟน ปรากฏว่าชินได้ยินคำอธิษฐานของอึนทัก หลังอธิษฐานแล้วอึนทักยังคงอ้อนวอนให้พระเจ้าช่วยเห็นใจเธอ โดยบอกว่าเธออยากหลุดพ้นจากเรื่องราวร้ายๆ และมีชีวิตที่ดีขึ้น อย่างน้อยๆ ช่วยใส่เงิน 100 วอน (ประมาณ 3 บาท) ในกระเป๋าให้ตนก็ยังดี ครั้นพอลืมตาอึนทักก็ตำหนิตัวเอง และบ่นว่าจะอธิษฐานขอใครไปทำไมในเมื่อพระเจ้าไม่มีอยู่จริง



อึนทักแหงนหน้ามองฟ้าแล้วรีบเป่าเทียน (ขณะเดียวกันก็มีควันออกมาจากมือชิน) เมื่อฝนเริ่มลงเม็ดอึนทักก็ร่ำไห้พลางแหงนหน้าตะโกนใส่ท้องฟ้าว่าคงไม่เทฝนลงมาซ้ำเติมเธออีกใช่ไหม เธอกล่าวว่านี่ไม่ใช่หน้าฝนสักหน่อย ตกแล้วจะหยุดเร็วไหม ทำไมต้องทำให้ฝนตกทั้งที่เธอไม่มีร่มเป็นของตัวเองด้วย ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้ชายร้องถามว่า "เธอใช่ไหม" อึนทักหยุดร้องทันควันและหันไปมองด้วยความตกใจ เมื่อเห็นชินถือดอกไม้มายืนอยู่ตรงหน้าเธอก็หันไปมองรอบๆ แล้วถามว่าเขาพูดกับตนหรือ ชินถามว่าเธอคือคนที่เรียกตนมาใช่ไหม อึนทักปฏิเสธว่าตนไม่ได้เรียก แต่ชินแน่ใจว่าอึนทักเป็นคนเรียกตนมาจึงถามด้วยความแปลกใจว่าเธอทำได้อย่างไร เมื่ออึนทักยืนยันว่าตนไม่ได้เรียก เขาจึงบอกให้เธอลองนึกดูให้ดี

อึนทักกล่าวว่าเธอแค่มองเห็นเขาแต่ไม่ได้เรียกให้เขามาหา และชี้ว่าเป็นเพราะก่อนหน้านี้เธอเคยสบตาเขาโดยบังเอิญตอนที่เดินอยู่บนถนน ชินสงสัยว่าเธอหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่า 'มองเห็นตน' อึนทักจึงชี้ชัดว่าเขาเป็นผี ส่วนเธอมองเห็นผี ชินปฏิเสธว่าตนไม่ใช่ผีแต่อึนทักไม่เชื่อ ชินจึงถามกลับว่าแล้วเธอเป็นใคร ทำไมถึงมองไม่เห็นสิ่งที่ควรเห็นอย่างเช่นเรื่องอนาคตของตัวเอง อึนทักสวนกลับว่าตนคงไม่มีอนาคต จากนั้นก็วกมาที่เรื่องของชิน เธอแนะนำให้เขาไปที่ชอบๆ แทนที่จะมัวเป็นผีเร่ร่อน และสงสัยว่าเขาถือดอกไม้มาด้วยทำไม ชินถามกลับว่าไล่ตนแล้วจะมัวถามอีกทำไม อึนทักจึงตัดบทว่า "ถ้างั้นก็เชิญ" ชินบอกเธอว่านี่คือดอกบัควีท (เมล็ดของบัควีทสามารถนำมาทำเป็นอาหาร เช่น รับประทานเหมือนข้าว โม่เป็นแป้งแล้วนำมาทำเส้นโซบะหรือทำขนม ทั้งยังสามารถนำเมล็ดมาทำเป็นเครื่องดื่มทั้งที่มีและไม่มีแอลกอฮอล์ได้อีกด้วย) อึนทักแย้งว่าเขาตอบไม่ตรงคำถาม จากนั้นก็แบมือขอดอกไม้โดยบอกว่ามันไม่เหมาะกับเขา



ชินฟังแล้วถึงกับอึ้งเพราะไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อน อึนทักขอให้ชินมอบดอกไม้นั่นให้ตนโดยบอกว่าวันนี้เป็นวันเกิดที่แสนเศร้าของตนเอง ชินมอบดอกไม้ให้อึนทักแต่โดยดี อึนทักมองดอกไม้พลางเปรยว่าตนมักได้พืชผักเป็นของขวัญวันเกิด ตอนอายุครบ 9 ขวบก็ได้ผักกาดมาหนึ่งหัว ทันใดนั้นเธอก็นึกสงสัยว่าดอกบัควีทมีความหมายว่าอะไร เมื่อชินตอบว่า "คนรัก" อึนทักก็ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ชินถามอึนทักว่าร้องไห้ทำไม  เรื่องไหนที่ทำให้เธอเสียน้ำตาระหว่าง งานพาร์ทไทม์ ญาติ และแฟน (ซึ่งล้วนเกี่ยวกับพรวันเกิดที่เธอขอ) อึนทักถามด้วยความแปลกใจว่าทำไมเขาถึงรู้เรื่องนี้ ชินตอบว่าตนได้ยินและบางครั้งก็ช่วยให้คนสมปรารถนาด้วย อึนทักได้ยินดังนั้นก็ตื่นเต้นดีใจและฟันธงว่าเขาเป็นเทพผู้พิทักษ์ของเธอ ชินแย้งว่าตนไม่เคยพูดเช่นนั้นแต่อึนทักไม่สน เธอบอกชินว่าตนเกิดมาอาภัพอับโชคและขอเงินสด 5 ล้านวอน (ราว 1.5 แสนบาท) หากเขาไม่สะดวกที่จะให้เป็นเงินสดก็ขอให้บอกเลขล็อตเตอรี่รางวัลใหญ่กับเธอแทน ชินตัดบทด้วยการบอกให้อึนทักกลับไปลาคนที่บ้านเพราะจะไม่ได้เจอหน้ากันสักพัก และให้ตั้งใจทำงานที่ร้านขายไก่เพราะเธอจะได้งานที่นั่นเร็วๆ นี้  พูดจบเขาก็หายตัวไป อึนทักเลยโวยลั่นเพราะเขายังไม่ให้คำตอบเรื่องแฟน 



เมื่อชินกลับถึงบ้านก็รู้สึกไม่พอใจที่เห็นยมทูตอยู่ในบ้านตน ยมทูตนึกไม่ถึงว่าชินเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ ที่แท้ต็อกฮวาถือวิสาสะให้ยมทูตเช่าบ้านของชิน โดยอ้างว่าบ้านจะไม่มีคนอยู่นานถึง 20 ปี ตนเลยอยากรู้ด้วยใจจริงว่าถ้าปล่อยให้เช่าจะได้เงินซักเท่าไหร่ ชินถามต็อกฮวาว่า "รู้หรือเปล่าว่าเอาอะไรเข้าบ้าน หมอนั่นมันเป็น...." ต็อกฮวาตำหนิชินที่เรียกผู้เช่าว่า "หมอนั่น" และชี้ว่าเขา (ยมทูต) เป็นเจ้าของร้านน้ำชา จากนั้นก็กระซิบบอกชินว่าตนยังไม่ได้รับค่าเช่า ชินแย้งอย่างรู้ทันว่าตนเห็นรถใหม่ป้ายแดงจอดอยู่ทางด้านนอก ต็อกฮวาอ้างว่าเป็นรถของผู้เช่า แต่ยมทูตสวนทันควันว่านั่นไม่ใช่รถของตนและตนก็ชำระค่าเช่าทั้งหมดแล้ว (ต็อกฮวาเห็นท่าไม่ดีเลยรีบเผ่นออกจากบ้านไป) ชินบอกว่าจะคืนเงินทั้งหมดให้และขอให้ยมทูตออกไปจากบ้านตน ยมทูตชูสัญญาเช่าให้ชินดู  ชินเลยใช้อำนาจวิเศษเผาสัญญาทิ้งทันที ยมทูตกล่าวว่าสัญญาที่ถูกเผาเป็นเพียงสำเนา ส่วนตัวจริงอยู่ที่นายหน้าอสังหาฯ และตนจะย้ายเข้าในวันพรุ่งนี้

เมื่อเห็นว่าชินยังไม่ยินยอมแต่โดยดี ยมทูตจึงเตือนว่าการทำสัญญากับยมทูตไม่ใช่เรื่องล้อเล่น จากนั้นก็ขู่ว่าหากไม่ยอมให้ตนย้ายเข้ามาอยู่ในบ้าน ตนจะเอาชีวิตของต็อกฮวาแทน ชินได้ยินดังนั้นจึงรีบเปลี่ยนท่าที เขาบอกให้ยมทูตเลือกห้องได้ตามใจชอบและให้ทำตัวตามสบายเหมือนเป็นบ้านของตน ยมทูตแย้งว่านี่เป็นบ้านของตน ชินเถียงว่าบ้านตนต่างหาก และยมทูตอย่างเขาก็ไม่มีทางไล่ก็อบลินออกจากถิ่นของตัวเองได้


ในที่สุดก็อบลินและยมทูตก็ต้องมาอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ขณะทานอาหารค่ำคนละฟากฝั่งโต๊ะยมทูตเห็นชินทานเนื้อสัตว์จึงเหน็บว่าเขาป่าเถื่อน ชินเห็นยมทูตทานมังสวิรัติเลยเหน็บกลับว่าอาหารยมทูตไร้รสชาติสมคำร่ำลือ ยมทูตได้ยินดังนั้นจึงแกล้งใช้พลังวิเศษทำให้ขวดพริกไทยลอยไปตกลงในแก้วน้ำชินแล้วกล่าวว่า "อุ๊ย...พลาด ว่าจะโรยใส่อาหาร" ชินเลยเอาคืนด้วยการคว่ำขวดพริกป่นลงในจานอาหารของยมทูตแล้วบอกว่า "อุ๊ย...พลาดเหมือนกัน ว่าจะโรยใส่นายว่ะ" ยมทูตทักท้วงชินที่ใช้ภาษาแบบเป็นกันเองกับตนแทนที่จะใช้ภาษาสุภาพ ชินเลยย้อนว่าพวกตนเพิ่งทำตัวหยาบคายใส่กันไม่ใช่หรือ ยมทูตฟังแล้วได้แต่นั่งอึ้งเพราะเถียงไม่ออก แถมเขายังเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อนอีกด้วย

อึนทักทำตามคำแนะนำของชินโดยวิ่งสมัครงานพาร์ทไทม์ตามร้านอาหารที่ขายเมนูไก่ แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเพราะไม่มีใครจ้าง เธอเลยคิดว่าโดนชินหลอกและรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ขอเบอร์เขา ชายคนหนึ่งเดินผ่านมาและทิ้งก้นบุหรี่ลงในถังขยะทำให้ไฟลุกไหม้เศษกระดาษบนถัง อึนทักเห็นดังนั้นเลยรีบเทน้ำราดและใช้ปากเป่าไฟให้ดับ  ทันใดนั้นชินก็ปรากฏกายขึ้น อึนทักสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจและถามว่าทำไมเขาถึงชอบติดตามตน ชินแย้งว่าตนไม่ได้ตาม อึนทักต่างหากที่เรียกตนมา อึนทักยืนยันว่าตนไม่ได้เรียกเพราะถ้าหากเธอมีพลังวิเศษจริงคงไม่ตกระกำลำบากแบบนี้ เธอสงสัยว่าเขาเป็นเทพประเภทไหน และเป็นเทพมือใหม่หรือเปล่า เขาบอกว่าเธอจะได้งานพาร์ทไทม์ที่ร้านขายไก่แต่เธอไปสมัครจนทั่วแล้วยังไม่ได้งานเลยสงสัยว่าเขาหมายถึงฟาร์มไก่หรือเปล่า ชินปฏิเสธว่าไม่ใช่แต่ไม่ยอมชี้ชัดว่าเป็นที่ไหน อึนทักเลยบ่นว่าเขามาหลอกให้เธอมีความหวัง ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้เรียกเขามาสักหน่อย


ชินยืนกรานว่าอึนทักเป็นฝ่ายเรียกตนและที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเรียกตนได้ อึนทักได้ยินดังนั้นจึงถามย้ำว่าเป็นตนจริงๆ หรือ เธอถามว่าเขาเห็นอะไรในตัวเธอบ้าง ชินตอบว่าเห็นอึนทักสวมชุดนักเรียน อึนทักคาดคั้นว่าเห็นอะไรอีก เมื่อชินตอบว่า "สวยดี" อึนทักก็แอบยิ้ม  แต่ชินกล่าวต่อว่า "...ชุดนักเรียนน่ะ" อึนทักถามชินว่าไม่เห็นปีกของตนหรือ จากนั้นก็บอกว่าตนคงเป็นนางฟ้า หรือไม่ก็ทิงเกอร์เบล (จากเรื่องปีเตอร์แพน) ถึงเรียกเขามาได้ ชินฟังแล้วรู้สึกอ่อนใจจึงหายตัวไป

ขณะอยู่ในโบสถ์อึนทักนึกอะไรขึ้นมาได้เลยจุดเทียนแล้วลองเป่าดู หลังรอดูผลสักครู่ชินก็ปรากฏกายขึ้นในโบสถ์จริงๆ อึนทักรีบบอกว่าตนรู้แล้วว่าเรียกเขามาได้ยังไง ชินแย้งว่าเธอไม่ควรเรียกเขามาพบที่โบสถ์ อึนทักคิดว่าชินกลัวพระเยซูเลยบอกว่าพระองค์และสาวกเป็นคนดี ชินเลยเหน็บอึนทักว่าเธอกล่าวชมพระองค์ทั้งที่เคยพูดว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง อึนทักเห็นชินเดินหนีเลยสงสัยว่าทำไมไม่หายตัวเหมือนทุกครั้ง ชินอธิบายว่าตนหายตัวในโบสถ์ไม่ได้ เขายกตัวอย่างให้เธอเห็นภาพว่าที่นี่เป็นเหมือนพื้นที่กันชน (เขตปลอดทหารระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้) จึงไม่สามารถใช้อำนาจวิเศษได้ อึนทักรีบตามไปทวงพรวันเกิดสามข้อที่ตนอธิษฐานขอแต่ยังไม่สมหวังสักข้อ ชินบอกว่าอีกไม่นานจะจัดการเรื่องน้าและเรื่องงานให้ อึนทักแย้งว่าตนหมายถึงเรื่องแฟน ชินชักเริ่มรำคาญเลยบอกอย่างหัวเสียว่าเรื่องนั้นเธอต้องลงทุนลงแรงเองด้วย พูดจบก็เดินออกจากโบสถ์ไป



อึนทักทดลองเรียกชินโดยใช้แอพเป่าเทียนในโทรศัพท์มือถือขณะอยู่ในห้องสมุด แต่ชินกลับโผล่มาจริงๆ พอรู้ว่าอึนทักแค่ลองเรียกดูเล่นๆ ชินก็รู้สึกหงุดหงิดและหันหลังกลับทันที อึนทักรีบคว้าแขนชินเอาไว้ก่อนที่เขาจะหายตัว ทันใดนั้นก็มีเปลวไฟสีฟ้าลอยออกมาจากแขนของชิน ชินรู้สึกแปลกใจที่อึนทักรั้งตัวเขาเอาไว้ได้ ไม่นานอึนทักก็ปล่อยแขนชินแล้วร้องโอดโอยเพราะมือขอเธอร้อนระอุเหมือนถูกไฟลวก จากนั้นก็บ่นว่าตนเห็นเป็นสีฟ้าเลยนึกว่าเย็น ชินชี้ว่าเปลวไฟสีฟ้าร้อนที่สุดและบอกให้เธอตั้งใจเรียนมากกว่านี้จากนั้นก็เดินหนีไป อึนทักวิ่งตามไปแย้งว่าตนสอบได้ที่หนึ่งเสมอถึงแม่จะไม่อยู่แล้วก็ตาม

อึนทักเสนอให้ชินเลิกเป็นเทพผู้พิทักษ์ของตนแล้วมอบเงิน 5 ล้านวอนให้ตนแทน  ชินตัดบทว่าตนต้องรีบไปเพราะพรุ่งนี้มีงานครบรอบวันตายของคนรู้จัก อึนทักสงสัยว่าทำไมเขาถึงไปตั้งแต่วันนี้ ชินบอกว่าสำหรับที่นั่นวันนี้คือพรุ่งนี้ อึนทักมีเรื่องอยากถามเลยอยากรู้ว่าเขาจะกลับเมื่อไหร่ ชินจะรีบไปธุระเลยเร่งให้เธอถามสิ่งที่ค้างคาใจ อึนทักออกตัวว่าอย่าเข้าใจตนผิด เธอบอกว่าตอนแรกตนคิดว่าเขาเป็นยมทูต แต่ถ้าเป็นยมทูตจริงคงพาเธอไปแล้ว ต่อมาเธอคิดว่าเขาคงเป็นผีแต่เขากลับมีเงา หลังคิดแล้วคิดอีกเธอก็สรุปได้ว่าเขาเป็น "ก็อบลิน" อึนทักถามว่าเขาคือก็อบลินใช่ไหม ชินไม่ตอบรับหรือปฏิเสธและไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาถามกลับว่าแล้วเธอล่ะเป็นใครกันแน่ อึนทักตอบว่าตนเป็นเจ้าสาวของก็อบลิน และก้มอวดปานบริเวณด้านหลังลำคอให้เขาดูพลางบอกว่าคงเป็นเพราะปานนี้เหล่าภูติผีจึงพากันบอกว่าตนเป็นเจ้าสาวของก็อบลิน


ชินนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อ 20 ปีก่อนตอนที่ชุบชีวิตให้หญิงท้องคนหนึ่ง ที่แท้อึนทักคือเด็กที่อยู่ในท้อง เขาบอกให้เธอพิสูจน์เรื่องที่บอกว่าตนเป็นเจ้าสาวของก็อบลิน โดยถามว่าเธอเห็นอะไรในตัวเขาบ้าง อึนทักกล่าวว่าเขาตัวสูง สวมเสื้อผ้าราคาแพง และอายุ 30 กว่าๆ ชินกล่าวว่าถ้านั่นเป็นทั้งหมดที่เห็นแสดงว่าเธอไม่ใช่เจ้าสาวของก็อบลิน  และไม่มีค่าพอสำหรับก็อบลินด้วย เขาเสียใจที่เธอเห็นผี แต่เธอควรยินดีที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ เพราะเธอเป็นเพียงผลพวงของการละเมิดกฏแห่งความเป็นความตาย อึนทักได้ยินแล้วถึงกับน้ำตาคลอเบ้า เธอถามชินว่า "แล้วถ้าหนูไม่ยินดีกับมันล่ะ"   ชินตอบหน้าตาเฉยว่า เธอก็แค่ตายไปซะอย่างที่ควรเป็นตั้งแต่ต้น อึนทักได้ยินแล้วพูดไม่ออก ถึงกระนั้นเธอก็ถามชินอีกครั้งว่าเขาเป็นก็อบลินใช่ไหม เมื่อชินปฏิเสธว่าไม่ใช่ อึนทักจึงถามว่าถ้าเช่นนั้นเขาเป็นใครถึงได้มาตัดสินค่าของเธอ ชินเตือนเรื่องที่เธออธิษฐานขอพรวันเกิดว่าอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นและขอเงินติดกระเป๋าเพียง 100 วอน (3 บาท) ก่อนบอกว่าตนเป็นแค่ใครบางคนที่ห่วงชีวิตอันแสนรัดทดและมีค่าแค่ร้อยวอนของเธอ หลังจากนั้นเขาก็แนะนำให้อึนทักยอมรับความจริงแทนที่จะหลงเชื่อข่าวโคมลอยเพราะเธอไม่ใช่เจ้าสาวของก็อบลิน พูดจบเขาก็เดินจากไปทันที



อึนทักวิ่งตามไปด้วยความโกรธ เธอเห็นเขาเปิดประตูบันไดหนีไฟที่อยู่ข้างลิฟต์ เลยเปิดประตูแล้วตามเข้าไป ปรากฏว่าสิ่งที่อยู่ด้านหลังประตูไม่ใช่บันไดหนีไฟแต่เป็นประเทศแคนาดา ชินถึงกับช็อคเมื่อเห็นอึนทักตามตนมาถึงที่นี่และสงสัยว่าเธอมาได้ยังไง อึนทักบอกว่าตนก็แค่เปิดประตูตามมา พอรู้ตัวว่าตนเองมาโผล่ที่ประเทศแคนาดาอึนทักก็รู้สึกช็อค แต่พอเดินสำรวจรอบๆ แล้วพบว่าตนอยู่เมืองนอกจริงๆ อึนทักก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้น เธอบอกชินว่าตนไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาจะใช้พลังอำนาจวิเศษทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วย ชินเห็นว่าอึนทักตามตนมาถึงที่นี่ได้ เลยยิ่งสงสัยว่าเธอเป็นใครกันแน่ อึนทักกล่าวว่าหากพวกตนอยู่ที่แคนาดาจริงและเขาทำอะไรได้มากขนาดนี้ ตนก็ตัดสินใจได้แล้ว เธอเห็นชินทำหน้างงเลยบอกว่า "หนูจะแต่งงานกับคุณ หนูคิดว่าคุณต้องเป็นก็อบลินแน่ๆ" ชินฟังแล้วถึงกับอึ้ง หลังจากนั้นอึนทักก็ยิ้มหวานให้ชินแล้วบอกว่า "หนูรักคุณค่ะ "




* เนื้อหาโดย luvasianseries / ภาพจาก ทีวีเอ็น

นักแสดงนำ


กงยู
รับบท ก็อบลิน / คิมชิน 

"คิมชิน" เป็นก็อบลินและผู้พิทักษ์วิญญาณวัย  939 ปี เดิมทีเขาเป็นนักรบผู้กล้าที่เข่นฆ่าศัตรูมานับไม่ถ้วน เขามีชีวิตเยี่ยงวีรบุรุษแต่กลับต้องมาตายในฐานะกบฏ หลังโดนดาบแทงทะลุหัวใจสวรรค์ได้ประทานชีวิตใหม่ที่เป็นอมตะให้กับเขาเพื่อเป็นรางวัลและการลงโทษ เขาจึงกลายเป็นก็อบลินที่มีดาบเสียบคาที่หน้าอก มีเพียงเจ้าสาวของก็อบลินเท่านั้นที่สามารถดึงดาบออกจากอกเขาได้ เขาจึงเฝ้าตามหาหญิงสาวที่จะมาช่วยปลดปล่อยวิญญาณจากความเจ็บปวดและทำให้เขาได้ไปสู่สุขคติ แต่ไม่เคยมีหญิงสาวคนใดมองเห็นดาบที่หน้าอกของเขาเลย จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้พบกับอึนทักซึ่งเป็นเด็กสาววัย 19 ปีที่อ้างว่าตนเองเป็นเจ้าสาวของก็อบลิน ในตอนแรกเขาเร่งให้เธอช่วยดึงดาบ แต่หลังจากนั้นไม่นานเขากลับเริ่มลังเลทั้งๆ ที่เธอเป็นคนเดียวที่ 'ฆ่า' เขาได้ และเขาก็รอคอยความตายมาเกือบพันปี เวลาเป็นทุกข์และรู้สึกอยากตายเขาจะเอาใจอึนทัก แต่พอคิดได้ว่ายังเร็วเกินไปที่จะตายเขาจะผลักไสเธอ เขามักเปลี่ยนใจไปมาอย่างนี้ทุกวัน วันละหลายรอบ ทำให้คนรอบข้างปวดหัว เวลาเห็นรอยยิ้มของอึนทักหัวใจของเขาจะพองโตและนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขายังไม่อยากจากไป



ลี ดงวุก
รับบท ยมทูต / วังยอ

"ยมทูต" หรือ "วังยอ" ในอดีตชาติ เป็นหนุ่มหล่อที่สูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวในชาติก่อนและไม่รู้ว่าตนมาเป็นยมทูตได้อย่างไร หากใครได้พบเขาเป็นต้องอึ้ง ในตอนแรกทุกคนอาจตกตะลึงในความหล่อ แต่หลังจากนั้นไม่นานทุกคนจะเริ่มรู้ตัวว่าตนเองตายแล้ว เขาอยู่บ้านเดียวกับก็อบลินเลยต้องอดทนกับอารมณ์ที่แปรปรวนของก็อบลินทุกวัน และนั่นก็ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าตนคงเคยทำผิดบาปอย่างมหันต์ในชาติก่อน ในแต่ละวันเขาต้องมารอรับดวงวิญญาณของคนที่เพิ่งเสียชีวิต จากนั้นก็ลบความทรงจำ แล้วพาไปส่งยังโลกหลังความตาย หลังได้พบกับซันนี่โลกของเขาก็เปลี่ยนไป เธอทำให้เขาหลงรักตั้งแต่แรกพบ เขามั่นใจว่าไม่เคยพบเธอมาก่อนแต่เห็นเธอแล้วกลับรู้สึกเหมือนเฝ้ารอมานานแสนนาน ด้วยความที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรัก (ได้แต่เรียนรู้จากในละคร) แถมซันนี่ยังเป็นผู้หญิงที่คาดเดายาก เขาเลยทำตัวไม่ถูกและมักทำผิดพลาดต่อหน้าเธอเสมอ



คิม โกอึน
รับบท จี อึนทัก

"จี อึนทัก" เป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลายวัย 19 ปีที่กำลังเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย เธอเป็นเด็กสาวที่สดใสร่าเริง มองโลกในแง่ดี และเป็นเจ้าสาวของก็อบลินในตำนาน  เธอเป็นเด็กสาวที่ไม่ธรรมดามาตั้งแต่เกิดและความไม่ธรรมดานั้นก็ทำให้เธอมองเห็นและสามารถสื่อสารกับภูติผี หลังมารดาเสียชีวิตขณะเธออายุเพียง 9 ปี เธอจำเป็นต้องมาอาศัยอยู่ที่บ้านญาติและโดนโขกสับมาตลอด 10 ปี แต่หลังจากได้พบก็อบลินชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไป ในตอนแรกเธอรู้สึกสนุกและตื่นเต้นที่เขามักปรากฏตัวทุกครั้งที่เธอเรียกหา หลังจากนั้นก็กลายเป็นความเคยชิน หากไม่เจอเขาเธอจะรู้สึกคิดถึง แต่หลังสนิทกันได้ระดับหนึ่งเธอก็พบว่าเขาเป็นคนอารมณ์แปรปรวน แรกๆ เธอรู้สึกรำคาญแต่พอคิดได้ว่าเขาอยู่บนโลกนี้มานานมากแถมยังมีดาบเสียบคาที่หน้าอก เธอเลยเห็นอกเห็นใจเขา ถึงกระนั้นเธอก็เจ็บปวดและใจหายทุกครั้งที่เขาขอร้องให้เธอช่วยดึงดาบออกจากอก เพราะเธอรู้สึกเหมือนเขากำลังบอกลา 
  


ยู อินนา
รับบท ซันนี่ / คิมซอน

"ซันนี่" เป็นหญิงสาวที่เติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว เธอเป็นสาวเนื้อหอมที่สนใจแต่ผู้ชายรวยๆ แต่กลับหลงรักยมทูตหนุ่มหล่อตั้งแต่แรกเห็นทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่สเปคของเธอ แถมหญิงสาวที่อายุย่างเข้าเลขสามอย่างเธอยังเป็นรักแรกของเขาอีกด้วย แม้ในสายตาของเธอเขาเป็นเพียงคนซื่อบื้อที่หน้าตาหล่อเหลา กระเป๋าแบน และไม่เคยออกเดทกับหญิงสาวสักครั้งในชีวิต แต่ยิ่งเจอเธอก็ยิ่งพบว่าเขาเป็นคนที่น่าสนใจ แววตาที่หมองเศร้าของเขามักรบกวนจิตใจของเธอ ทั้งยังเป็นบ่อเกิดของความรู้สึกสงสารและเห็นใจทั้งๆ ที่ไม่ใช่วิสัยของเธอ 



ยุก ซองแจ (สมาชิกวง BTOB)
รับบท ยู ต็อกฮวา

"ยู ต็อกฮวา" เป็นทายาทมหาเศรษฐีและหลานชายเพียงคนเดียวของสกุลยู ซึ่งเป็นตระกูลที่มีหน้าที่คอยดูแลรับใช้ก็อบลินมาหลายชั่วอายุคน แม้จะมีนิสัยดื้อรั้นแต่เขาเป็นคนจิตใจดี ในตอนแรกเขาไม่อยากสืบทอดหน้าที่ในการดูแลก็อบลินเพราะอยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่าตามแบบฉบับลูกเศรษฐี แต่พอคิดได้ว่าก็อบลินต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวตลอดกาลแม้ในยามที่รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว ทั้งยังต้องทนทุกข์กับการพลัดพรากจากลาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาจึงเห็นก็อบลินเป็นเสมือนรุ่นพี่ที่โหยหาความรักและต้องการการเอาใจดูแลใส่มากกว่าใคร 




คลิปตัวอย่างบางส่วนจากทีวีเอ็น



คลิปเพลงประกอบจาก CJENMMUSIC Official



รวมคลิปเบื้องหลังจากทีวีเอ็น

*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา