วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เรื่องย่อ ซัมชองซา 3 ทหารเสือคู่บัลลังก์ (The Three Musketeers)




กำกับ:  คิม ยบองซู
เขียนบท: ซง แจจอง
แนวละคร: ย้อนยุค, อิงประวัติศาสตร์, แอ็คชั่น, โรแมนติก, เมโลดราม่า
จำนวนตอน: 12
ออกอากาศ: เกาหลี - 17 สิงหาคม 2557 - 2 พฤศจิกายน 2557 ทางช่องเคเบิ้ลทีวีเอ็น
                    ไทย - ทุกวันพุธ-ศุกร์ เวลา 21.15-22.45 ทางพีพีทีวี ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2558 - 23 ตุลาคม 2558

เรื่องย่อ



ละคร "ซัมชองซา 3 ทหารเสือคู่บัลลังก์ (The Three Musketeers)" ดัดแปลงมาจากนวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่อง "สามทหารเสือ (The Three Musketeers)" ของ "อเล็กซานเดอร์ ดูมาส์" เนื้อหาในบทประพันธ์เดิมกล่าวถึงเรื่องราวสมัยศตวรรษที่ 17 เมื่อนักดาบหนุ่มจากกาสคอญชื่อ "ดาตาญัง" เดินทางมายังกรุงปารีสเพื่อสมัครเป็นทหารองครักษ์ของพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศส และได้พบกับ "สามทหารเสือ" ซึ่งประกอบด้วย อาโตส์, ปอร์โตส์ และอารามิส  จึงนับถือเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน

ส่วน "ซัมชองซา 3 ทหารเสือคู่บัลลังก์" หรือ "The Three Musketeers" เวอร์ชั่นละครเกาหลี กล่าวถึงเหตุการณ์ในยุคโชซอน โดยนำเรื่องราวของ "องค์ชายรัชทายาทโซฮยอน" (ซึ่งมีตัวตนจริงในสมัยศตวรรษที่ 17) มาผนวกรวมกับเรื่องราวของสามทหารเสือตามบทประพันธ์ ซึ่งเดิมถูกกำหนดให้เป็นละครไตรภาค (ภาคละ 12 ตอน) ที่มีทุนสร้างสูงกว่า 360 ล้านบาท โดยภาคสุดท้ายมีกำหนดถ่ายทำที่ประเทศจีน แต่เนื่องจากเรตติ้งในภาคแรกไม่เป็นไปตามเป้าจึงต้องพับโครงการถ่ายทำภาคสองและสามไปอย่างน่าเสียดาย (ส่วนหนึ่งเป็นเพราะออกอากาศทางช่องเคเบิ้ลทีวีเพียงอาทิตย์ละครั้งในช่วงบ่ายวันอาทิตย์) 



ละครเปิดฉากขึ้นในปี ค.ศ. 1780  (พ.ศ. 2323) ซึ่งตรงกับปีที่ 4 ในรัชสมัยพระเจ้าชองโจแห่งโชซอน (กษัตริย์องค์ที่ 22 แห่งราชวงศ์โชซอน หรือที่เรารู้จักในนาม "ลีซาน") "ปาร์ค จีวอน" (หรือ "ยอนอัม") นักประพันธ์และนักปรัชญาชื่อดังแห่งโชซอน (มีตัวตนจริง)  เดินทางไปเยือนเมืองหลวงของราชวงศ์ชิงพร้อมคณะทูต  (ในละครเรียกเมือง "ยอนคยอง" ปัจจุบันคือกรุงปักกิ่ง)  เมื่อเข้าไปในหอตำราขนาดใหญ่ภายในวังต้องห้ามเขาได้พบบันทึกของ "ปาร์ค ดัลฮยาง" โดยบังเอิญ พอเห็นว่าเป็นหนังสือที่เขียนโดยชาวโชซอนเลยยืนอ่านเพลินจนลืมเวลา 

ชายคนหนึ่งเข้ามาเตือนจีวอนว่าได้เวลาออกจากหอหนังสือแล้ว จีวอนจึงถามชายคนดังกล่าวว่าเคยได้ยินชื่อ "ปาร์ค ดัลฮยาง" ไหม โดยบอกว่าดัลฮยางเคยเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ในสมัยพระเจ้าซุกจง (กษัตริย์องค์ที่ 19 แห่งราชวงศ์โชซอน) และยังเป็นหนึ่งในคนสนิทขององค์ชายรัชทายาทโซฮยอนอีกด้วย ชายคนดังกล่าวมองดูข้อความในหนังสือซึ่งถูกบันทึกเอาไว้เมื่อราว 100 ปีก่อน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยได้ยินชื่อดัลฮยางเช่นกัน


จีวอนยืมหนังสือมาอ่านต่อที่ห้องและนั่งอ่านแบบโต้รุ่ง พลางนึกสงสัยว่าหากองค์ชายรัชทายาทโซฮยอน* (ซึ่งเป็นคนหัวก้าวหน้า) ได้เป็นพระราชาแห่งโชซอน บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร จะแตกต่างจากทุกวันนี้มากน้อยแค่ไหน ไม่แน่ว่าบางทีพระองค์อาจนำพาโชซอนให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมราชวงศ์ชิงตั้งแต่เมื่อ 100 ปีก่อนแล้วก็เป็นได้

* องค์ชายรัชทายาทโซฮยอน เป็นพระโอรสองค์โตของพระเจ้าอินโจ (กษัตริย์องค์ที่ 16 แห่งราชวงศ์โชซอน ผู้ยอมจำนนต่อราชวงศ์ชิง) และยังเป็นพระเชษฐาของพระเจ้าฮโยจง (กษัตริย์องค์ที่ 17 แห่งราชวงศ์โชซอน) หลังพระเจ้าอินโจยอมสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์แมนจู (หรือ "ราชวงศ์ชิง") ในรัชสมัยของ "หวงไท่จี๋" องค์ชายโซฮยอน พระชายา และพระอนุชาจึงเสด็จไปเป็นตัวประกันที่เมืองเสิ่นหยาง  พอแมนจูยึดกรุงปักกิ่งได้ องค์ชายโซฮยอนก็ย้ายไปประทับที่กรุงปักกิ่งโดยพักอยู่กับองค์ชาย "ตัวเอ่อกุ่น" แห่งราชวงศ์ชิง ระหว่างนั้นพระองค์ได้พบกับโจฮันน์ อดัมส์ แชล มิชชันนารีชาวเยอรมัน ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในการเผยแพร่อารยธรรมตะวันตกในจีน จึงรู้สึกประทับใจในวิทยาการตะวันตก หลังพำนักที่กรุงปักกิ่งเป็นเวลา 70 วัน องค์ชายโซฮยอนและพระชายาก็เสด็จกลับโชซอน โดยนำศาสนา อารยธรรมตะวันตก และวิทยาการสมัยใหม่มาเผยแพร่ ทำให้เกิดความขัดแย้งกับพระเจ้าอินโจซึ่งเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม สุดท้ายองค์ชายโซฮยอนก็สิ้นพระชนม์แบบมีเงื่อนงำในห้องของพระเจ้าอินโจหลังเสด็จกลับบ้านเกิดได้ไม่นาน (มีเสียงร่ำลือว่าพระเจ้าอินโจคือผู้ลงมือสังหาร)  

 



เพื่อนร่วมห้อง (บัณฑิตโชซอนที่ร่วมเดินทางมากับคณะทูต) เห็นจีวอนสนใจเรื่องราวในหนังสือมากเป็นพิเศษจึงบอกว่าสิ่งที่เขาอ่านเป็นแค่นวนิยาย จีวอนรู้ดีว่าชื่อของปาร์ค ดัลฮยางไม่เคยถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โชซอน แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่าสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือไม่ใช่เรื่องที่ถูกแต่งขึ้น เขาเชื่อว่าผู้เขียนเคยเป็นแม่ทัพใหญ่ของโชซอนจริง แต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่นำมาบันทึกเป็นอีกแง่มุมหนึ่งของประวัติศาสตร์ ทั้งยังเป็นเรื่องราวสุดช็อคจึงต้องใช้นามแฝงแทน ไม่มีใครรู้ว่าทำไมบันทึกของแม่ทัพโชซอนถึงถูกเก็บรักษาไว้ในวังต้องห้ามของราชวงศ์ชิง แต่จีวอนเห็นว่าเรื่องราวในหนังสือเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่า จึงทำการคัดลอกเรื่องราวอันเหลือเชื่อนี้ไว้ และเรื่องราวในละครก็เริ่มต้นขึ้นนับจากนี้

ตอนที่ 1 "พบกันครั้งแรก"


ในปี ค.ศ. 1636* (พ.ศ. 2179) ซึ่งเป็นปีที่ 14 ในรัชสมัยของพระเจ้าอินโจแห่งโชซอน (พระองค์ทรงครองราชย์นาน 26 ปี และในปี 1636 นี้ก็เป็นปีที่แมนจูรุกรานโชซอนเป็นครั้งที่สอง)  "ปาร์ค ดัลฮยาง" นักดาบหนุ่มวัย 22 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ ณ หมู่บ้านอันไกลโพ้นในเขตโคซอง จังหวัดคังวอน* กำลังจะเดินทางไปยังเมืองฮันยาง (เมืองหลวงของโชซอน ปัจจุบันคือกรุงโซล) เพื่อสอบขุนนางฝ่ายบู๊โดยหวังว่าจะได้เป็นทหารหลวง 

* ในยุคโชซอน จังหวัดคังวอนของเกาหลีใต้และจังหวัดคังวอนที่อยู่ในเกาหลีเหนือยังเป็นจังหวัดเดียวกัน



แทนที่จะมอบเงินให้ลูกชายไว้ใช้จ่ายระหว่างเดินทางไกล พ่อของดัลฮยางกลับยื่นจดหมายให้ฉบับหนึ่ง โดยบอกว่าเมื่อไปถึงฮันยางแล้วให้นำจดหมายไปมอบให้เจ้ากรมการคลัง "ชเว มยองกิล" แล้วทุกอย่างจะราบรื่น เพราะครอบครัวของดัลฮยางมีความสัมพันธ์อัน 'แน่นแฟ้น' กับครอบครัวของเจ้ากรมชเว โดยดัลฮยางมีศักดิ์เป็น 'หลานของอาของน้องเขยของญาติฝ่ายมารดาของเจ้ากรมชเว' ดังนั้น เจ้ากรมชเวจะต้องดีใจสุดๆ ที่ได้พบดัลฮยางและจะดูแลดัลฮยางเป็นอย่างดี (พ่อบอกให้ดัลฮยางไปพักที่บ้านใต้เท้าชเว)

ก่อนออกเดินทางแม่ของดัลฮยางแอบนำเงินมามอบให้ด้วยความเป็นห่วง เพราะระหว่างเดินทางไกลอาจมีความจำเป็นต้องใช้เงิน ดัลฮยางปฏิเสธเพราะเชื่อคำพูดของพ่อที่บอกว่าทุกอย่างจะราบรื่น เขาบอกแม่ว่าถ้าตนรีบเดินทางน่าจะไปถึงฮันยางภายในหนึ่งเดือน เมื่อไปถึงที่นั่นแล้วตนจะไปพักที่บ้านของเจ้ากรมชเว (จึงไม่จำเป็นต้องใช้เงิน) แม่ดัลฮยางฟังแล้วยิ่งเป็นห่วงเพราะรู้ดีว่าสามีขี้โม้ และเธอก็ไม่เชื่อว่าสามีเคยไปเมืองฮันยางมาก่อน เธอจึงใส่ถุงเงินไว้ในห่อสัมภาระของดัลฮยาง ดัลฮยางซึ่งเปี่ยมไปด้วยความหวังและมองโลกในแง่ดีสุดๆ บอกแม่ให้รอฟังข่าวดี จากนั้นก็ควบม้าสีหมอกวัยชราออกจากบ้านไป (ม้ากับดัลฮยางเกิดปีเดียวกัน)



ดัลฮยางเชื่อทุกคำพูดที่พ่อเคยเล่าเกี่ยวกับเมืองฮันยาง เพราะพ่อเป็นคนเดียวในละแวกบ้านที่เคยเดินทางไปที่นั่น (พ่อของเขาโม้ไว้แบบนี้) แต่ชีวิตจริงกับเรื่องเล่าช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว เขาไม่ได้ฉุกคิดสักนิดว่าการพาม้าแก่เดินทางไกลเกือบ 1,000 ลี้ (1 ลี้เท่ากับ 500 เมตร)  เป็นสิ่งที่หนักหนาสาหัสเกินไป หลังเดินทางได้เพียงสี่วันม้าของดัลฮยางก็ทรุดลงไปนอนแน่นิ่ง ทำให้เสียเวลารักษาม้าไป 10 วัน พอไปถึงเขตพยองชาง (จังหวัดคังวอน) เขายังต้องหยุดพักอีก 20 วันเนื่องจากถนนถูกตัดขาดเพราะฝนตกหนัก ครั้นพอเดินทางต่อไปได้สักพักเขาก็พบว่าเส้นทางลัดสู่เมืองฮันยางซึ่งตัดผ่านภูเขาถูกปิดชั่วคราวเพราะมีเสือออกอาละวาดและกินชาวบ้านไปถึง 4 คน  ดัลฮยางไม่อาจรอให้เจ้าหน้าที่จับเสือได้เสียก่อน จึงขี่ม้าอ้อมภูเขาทำให้เสียเวลาไปอีก 5 วัน สรุปแล้วเขาใช้เวลาถึง 2 เดือนเต็มในการเดินทางสู่เมืองฮันยาง โดยมาถึงก่อนวันสอบเพียง 1 วัน


ทันทีที่ไปถึงดัลฮยางก็ตรงไปที่บ้านของเจ้ากรมชเวแต่กลับพบว่าเจ้ากรมชเวเดินทางไปทำธุระนอกเมืองเป็นเวลาสิบวัน ด้วยความเหนื่อยล้าและอยู่ในสภาพเนื้อตัวมอมแมมแถมยังต้องเข้าสอบในวันรุ่งขึ้น ดัลฮยางจึงขอเข้าไปพักในบ้านแต่ถูกคนดูแลบ้านปฏิเสธ เพราะภายในบ้านเต็มไปด้วยบัณฑิตที่กำลังเตรียม (โกง) สอบทำให้ไม่มีห้องว่าง ดัลฮยางจึงต้องออกตระเวนหาห้องพัก แต่โรงเตี๊ยมส่วนใหญ่ในฮันยางล้วนเต็มไปด้วยผู้ที่เดินทางมาสอบจากทั่วทุกสารทิศ มิหนำซ้ำเขายังถูกคนขโมยถุงเงินไป ถึงแม้จะไหวตัวทันแต่เงินทั้งหมดก็ร่วงลงพื้น คนที่อยู่ในบริเวณนั้นจึงแย่งกันเก็บเงินเป็นที่ชุลมุน ดัลฮยางพยายามร้องบอกว่าเป็นเงินของตนแต่ไม่มีใครสนใจฟัง นับว่ายังดีที่เขาก็เก็บเงินเหรียญคืนมาได้จำนวนหนึ่ง


หลังเข้าคิวเพื่อเช่าห้องพักของโรงเตี๊ยม ดัลฮยางก็ถูกเรียกเก็บเงินค่าห้องสูงถึง 10 ยาง* ทำให้เหลือเงินติดตัวแค่ 2 ยาง   ดัลฮยางหิวจนไส้กิ่วเพราะไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันจึงร้องขอข้าวกับน้ำแกง แต่พอถูกเรียกเงินเพิ่มอีก 2 ยางดัลฮยางก็กินไม่ลง เมื่อเข้าไปห้องดัลฮยางก็รู้สึกตกใจเมื่อพบว่ามีคนเข้าพักอยู่ก่อนแล้วถึง 2 คนทั้งๆ ที่เป็นเพียงห้องแคบๆ ดัลฮยางไม่มีทางเลือกจึงทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง พ่อของเขาไม่เคยเล่าให้ฟังว่ามาเมืองหลวงแล้วจะเจอเรื่องแบบนี้ หลังเจอปัญหาและอุปสรรคนานัปการนับตั้งแต่เริ่มต้นเดินทางมา ในที่สุดดัลฮยางก็เชื่อว่าแท้จริงแล้วพ่อของเขาไม่เคยมาเมืองฮันยางอย่างที่โม้ไว้เลย

* ยาง คือ ค่าเงินในยุคโชซอน ต่อมาในปี ค.ศ. 1902 มีการนำค่าเงินวอนมาใช้แทนที่เงินยางในอัตรา 1 วอน เท่ากับ 5 ยาง




กลางดึกคืนนั้นมีกลุ่มนักเลงอันธพาลมาที่ห้องพักของดัลฮยางเพื่อตามหาคนชื่อ "โอ ฮยอนมุก" ซึ่งเดินทางมาจากเมืองอาซาน จังหวัดชุงชอง ทันทีที่เจอตัวเหล่าอันธพาลก็กรูกันเข้ามาในห้องแล้วใช้ไม้ทุบตีชายที่ชื่อฮยอนมุกจนเจ็บปางตายก่อนสลายตัวอย่างรวดเร็ว ดัลฮยางถึงกับช็อคเมื่อรู้ว่าเหล่านักเลงอันธพาลเหล่านี้ถูกชนชั้นสูงที่มีฐานะร่ำรวยจ้างให้มาทำร้ายคนที่มีแววว่าจะสอบผ่านหวังกำจัดคู่แข่งให้ลูกหลานของตน (คนเก่งหรือมีฝีมือจะถูกหมายหัวไว้ตั้งแต่ต้น) และฮยอนมุกก็ไม่ใช่คนแรกและคนเดียวที่โดนทำร้าย


 


ดัลฮยาง (ซึ่งพลอยโดนลูกหลงจนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยบริเวณด้านหลังใบหู) ได้ยินดังนั้นก็อดรนทนไม่ได้จึงคว้าดาบแล้ววิ่งไล่ตามเหล่านักเลงอันธพาลไป แต่สุดท้ายก็ตามไม่ทัน เมื่อเห็นชายสามคน (องค์ชายรัชทายาทโซฮยอน, ฮอ ซึงโพ และน้องเล็กอัน มินซอ) ควบม้าผ่านมา ดัลฮยางก็เข้าไปขวางและขอยืมม้าเพื่อนำไปไล่จับพวกนักเลง ทั้งสามหนุ่มนั่งงงชั่วขณะ ก่อนที่มินซอจะปฏิเสธโดยบอกว่าพวกตนกำลังรีบ แต่ดัลฮยางเองก็กำลังรีบเช่นกัน เขาจึงปีนขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายมินซอบนหลังม้าหน้าตาเฉย จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง ทั้งยังตัดพ้อว่าเด็กต่างจังหวัดอย่างพวกตนยังไงก็ตกเป็นรองอยู่แล้วเพราะขาดทั้งเงินและคนหนุนหลัง ทำไมถึงต้องมาข่มเหงกันอีก

"เพื่อนร่วมห้องของข้าเพิ่งถูกรุมตีจนมีสภาพปางตาย พวกมันไม่ได้มาแค่คนสองคนแต่มากันเป็นฝูงและเที่ยวทุบตีคน ไม่มีใครรู้ว่านักเลงพวกนั้นจะไปทำร้ายคนที่ไหนต่อ เราจึงต้องรีบขัดขวางพวกมัน  หากพวกท่านกลัวก็ไม่จำเป็นต้องช่วยข้า แค่ให้ข้ายืมม้าก็พอ"

องค์ชายโซฮยอนได้ยินดังนั้นจึงถามดัลฮยางว่าคนร้ายหนีไปทางไหน จากนั้นก็ขี่ม้านำไปทันที ในตอนนั้นเหล่านักเลงอันธพาลกำลังจะไปทำร้ายเหยื่ออีกรายตามใบสั่งแต่ถูกองค์ชายโซฮยอนและซึงโพขวางเอาไว้เสียก่อน องค์ชายโซฮยอนถามเหล่านักเลงว่าใครเป็นคนบงการ  ขณะที่ซึงโพบอกให้ทุกคนยอมสารภาพโดยขู่ว่าพวกตนเป็นคนของศาลไต่สวน เหล่านักเลงได้ยินดังนั้นจึงพากันวิ่งหนีเตลิดไปคนละทิศละทาง ทำให้ต้องควบม้าไล่ตามกันจ้าละหวั่น มินซอและดัลฮยางซึ่งตามมาทีหลังจึงช่วยปิดล้อมคนร้าย ดัลฮยางเห็นหนึ่งในนักเลงหลบอยู่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมจึงกระโดดจากหลังม้าขึ้นไปจัดการ ส่วนสามหนุ่มยังคงควบม้าไล่ตามและต่างก็ปราบคนร้ายจนหมอบราบคาบในชั่วพริบตา (มีเพียงดัลฮยางเท่านั้นที่ต้องออกแรงต่อสู้กับคนร้ายอย่างเหน็ดเหนื่อย)


หลังจากนั้นไม่นานเจ้าหน้าที่กองปราบก็มารับตัวเหล่านักเลงอันธพาลไปคุมขัง ซึ่งโพบอกดัลฮยางว่าคนบงการน่าจะเป็นเจ้าเมืองยอจูที่ชื่อ "คิม วอนซอง" เพราะลูกชายทั้งสองคนของเขาจะเข้าสอบขุนนางฝ่ายบู๊ และในวันพรุ่งนี้ทุกคนจะถูกนำตัวไปที่ศาลไต่สวน ดัลฮยางเห็นสามหนุ่มจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้ภายในเวลาอันรวดเร็วจึงถามว่าพวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่กองปราบหรือ ซึงโพตอบเพียงว่าไม่ใช่ก็ใกล้เคียง องค์ชายโซฮยอนบอกให้ดัลฮยางห่วงแต่เรื่องของตนเอง โดยบอกให้เขากลับไปรักษาบาดแผลและตั้งใจสอบในวันพรุ่งนี้ พร้อมทั้งอวยพรให้เขาสอบได้ที่หนึ่ง ก่อนแยกทางกันดัลฮยางแนะนำตัวและขอทราบชื่อสามผู้กล้า องค์ชายโซฮยอนตอบเพียงว่าพวกตนคือ  "ซัมชองซา" (สามทหารเสือ - ซึ่งเป็นคำที่องค์ชายคิดขึ้นมาเองเดี๋ยวนั้น)

หลังจากนั้นองค์ชายโซฮยอนและสององครักษ์หนุ่มก็พากันมุ่งหน้าไปที่หอนางโลม เมื่อเห็นว่ามีแขกมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก พระองค์จึงเลี่ยงไปเข้าทางประตูหลัง ขณะกำลังจะเข้าไปในหอนางโลมมินซอเจอจดหมายของดัลฮยางติดอยู่ใต้อานม้าจึงลองเปิดอ่านดู (องค์ชายโซฮยอนกับซึงโพเข้าไปในหอนางโลมก่อนแล้ว) เมื่อเห็นข้อความในจดหมายมินซอก็ถึงกับตกตะลึง


ความจริงแล้วองค์ชายโซฮยอนแอบมาพบสายลับชาวฮั่น (ทหารของราชวงศ์หมิง) เพื่อรับฟังความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านการสู้รบระหว่างแมนจูกับราชวงศ์หมิง ปรากฏว่าในตอนนั้นราชวงศ์หมิง (รัชสมัยจักรพรรดิฉงเจิน) กำลังตกที่นั่งลำบากและเสี่ยงต่อการล่มสลาย เพราะถูกแมนจู  (รัชสมัยหวงไท่จี๋ ซึ่งเป็นยุคเริ่มต้นก่อตั้ง หรือก่อนสถาปนาราชวงศ์ชิงอย่างเป็นทางการ) ซึ่งมีทั้งกองกำลัง (ทัพเรือ) และอาวุธยุทโธปกรณ์ (ปืนใหญ่ของฮอลแลนด์) ที่เข้มแข็งกว่า (และเพิ่งรบชนะมองโกลมาหมาดๆ) บุกทำลายป้อมปราการและยึดดินแดนไปได้หลายส่วน ทำให้ขวัญและกำลังใจของเหล่าทหารฝ่ายหมิงตกต่ำถึงขีดสุด แม้แต่เหล่าผู้บังคับบัญชายังต้องพากันหนีเอาตัวรอด

มินซอนำจดหมายของดัลฮยางมาให้ซึงโพดูโดยบอกว่าข้อความในจดหมายมีปัญหา พอเห็นข้อความซึงโพก็ถึงกับอึ้งและถามมินซอว่าดัลฮยางพักที่ไหน ในเวลาเดียวกันนั้น ดัลฮยางกำลังล้างแผลที่โดนลูกหลงบริเวณด้านหลังใบหู เขาเพิ่งรู้ตัวว่าจดหมายอีกฉบับหายไป ขณะกำลังเดินหาจดหมายก็มีใครบางคนยิงธนูพร้อมข้อความมาให้ดัลฮยาง


ซึงโพนำจดหมายของดัลฮยางมาให้องค์ชายโซฮยอนดูพลางเสี้ยมว่านี่คือการสมรู้ร่วมคิด เนื้อความในจดหมายระบุว่า

"เจ้ารู้ว่าข้าเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับเจ้าใช่ไหม ข้าขอสัญญาว่า... ข้าจะไม่แต่งงานกับชายอื่น หากเจ้าไม่มาหาข้า ข้าจะครองตัวเป็นโสดแล้วรอจนแก่ตายหรือไม่ก็ไปโกนผมบวชเป็นชี ข้าจะรอวันที่เราจะได้พบอีกครั้งหลังเจ้าสอบขุนนางผ่าน เมื่อเจ้ามาฮันยางและถามหาพ่อข้า "คัง ซุกกี" ก็จะมีคนพาเจ้ามาที่บ้านข้าเอง... จาก ยุนซอ"


องค์ชายโซฮยอนอ่านแล้วยังคงนั่งนิ่ง ซึงโพจึงยุให้ทำการสอบสวนดัลฮยาง องค์ชายโซฮยอนรู้ว่าซึงโพต้องการยั่วให้ตนโกรธ จึงพูดเหน็บว่า "ดูท่าทางเจ้าคงสนุกมากเลยสินะ" ซึงโพแถว่าตนจริงจังเพราะนี่เป็นเรื่องใหญ่ องค์ชายโซฮยอนจ้องหน้าซึงโพแบบจับผิดก่อนถามว่า "ข้าไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านเลยไปใช่ไหม จริงสิ! ข้าควรสอบสวนเรื่องนี้ให้แน่ชัด... ว่าแต่เราจะหาตัวหมอนั่นได้ที่ไหน" ซึงโพชอบใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนแต่พยายามกลั้นยิ้มและตอบว่าตนเรียกดัลฮยางมาที่นี่แล้ว

ภาพตัดไปที่ดัลฮยางซึ่งกำลังเปิดดูจดหมายน้อยและพบข้อความ "หากเจ้ากำลังหาจดหมาย ให้มาที่หอนางโลมเซรยองใกล้ท่าเรือมาโป จากซัมชองซา" 

ซึงโพทูลองค์ชายโซฮยอนว่า ถ้าจดหมายฉบับนี้มีความสำคัญมากถึงขนาดทำให้ดัลฮยางดั้นด้นมาที่นี่แสดงว่ามีการสมรู้ร่วมคิดจริง ดังนั้น พระองค์จึงควรไต่สวนเรื่องนี้โดยละเอียด ทันใดนั้น ดัลฮยางก็เข้ามาในห้อง ซึงโพเห็นดังนั้นก็ทำหน้าระรื่นแต่เขาพยายามเก็บอาการตอนหันมาย้ำ (ยุ) องค์ชายว่าต้องสอบเข้ม ทันทีที่มาถึงดัลฮยางก็ถามหาจดหมาย  ซึงโพจึงปล่อยให้ดัลฮยางอยู่ในห้องกับองค์ชายโซฮยอนตามลำพัง


เมื่อรู้ว่าองค์ชายโซฮยอนแอบอ่านจดหมาย ดัลฮยางก็โวยวายลั่นด้วยความรู้สึกไม่พอใจก่อนทวงจดหมายคืน องค์ชายโซฮยอนพับจดหมายอย่างใจเย็นพลางสั่งให้ดัลฮยางนั่งลง (องค์ชายพูดเสียงเข้ม และจ้องหน้าดัลฮยางด้วยสายตาอันคมกริบ) ดัลฮยางจึงยอมนั่งลงแต่โดยดี

มินซอถามซึงโพว่าทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ซึงโพตอบว่า "สนุกดีออก เจ้าไม่อยากรู้เหรอว่าจะเกิดอะไรขึ้น" มินซอแย้งว่า "นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรนำมาล้อเล่น ข้าไม่น่าให้เจ้าดูจดหมายนั่นเลย" ซึงโพกล่าวว่าตนก็แค่อยากเห็นองค์ชายโซฮยอนโมโหหึงดูสักครั้ง


องค์ชายโซฮยอนบอกดัลฮยางว่าพระองค์ยังคืนจดหมายให้ไม่ได้ เพราะเนื้อความในจดหมายส่อว่ามีการก่อกบฏ พระองค์จึงจำเป็นต้องสอบสวนเรื่องราวโดยละเอียดเสียก่อนในฐานะที่เป็นคนของทางการ ดัลฮยางโวยลั่นว่าจดหมายของตนเกี่ยวข้องกับกบฏได้อย่างไร องค์ชายโซฮยอนจึงถามว่า ดัลฮยางกับเจ้าของจดหมายสัญญาว่าจะแต่งงานกันใช่หรือไม่ ดัลฮยางไม่เข้าใจว่าทำไมตนต้องตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวแบบนี้ องค์ชายโซฮยอนจึงชี้ว่า ถ้าผู้เขียนจดหมายฉบับนี้คือ "ยุนซอ" ลูกสาวเจ้ากรมพิธีการ "คัง ซุกกี" เพียงแค่มีจดหมายไว้ในครอบครองก็เพียงพอที่จะเอาผิดฐานเป็นกบฏแผ่นดินได้แล้ว

องค์ชายโซฮยอนถามต่อว่า หลังได้รับจดหมายในตอนนั้นดัลฮยางกับยุนซอได้เจอกันอีกหรือไม่ ดัลฮยางปฏิเสธโดยบอกว่า ตนรู้จักยุนซอเมื่อ 5 ปีก่อนตอนที่ยุนซอมาพักที่บ้านเกิดของตนเป็นเวลา 2 เดือน ตนได้รับจดหมายฉบับนี้ในวันที่ยุนซอจากไป หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกเลย ที่สำคัญ ตนเพิ่งมาฮันยางเป็นครั้งแรกในชีวิต  เมื่อถูกถามว่าทำไมถึงยังเก็บจดหมายของผู้หญิงที่ไม่ได้พบกันนาน 5 ปีเอาไว้ ดัลฮยางก็โวยวายว่าทำไมตนต้องตอบทุกเรื่อง  องค์ชายโซฮยอนจึงขู่ว่าถ้าไม่ยอมตอบดีๆ พระองค์จะส่งดัลฮยางไปที่ศาลไต่สวน


ดัลฮยางจึงบอกว่าวันพรุ่งนี้หลังสอบตนตั้งใจว่าจะไปหายุนซอ  และถ้าสอบขุนนางผ่านตนก็จะขอยุนซอแต่งงาน ดัลฮยางถึงกับช็อคเมื่อองค์ชายโซฮยอนบอกว่ายุนซอแต่งงานแล้วเมื่อ 2-3 ปีก่อน แถมเธอยังเป็นชายาขององค์ชายรัชทายาท และอีกหน่อยก็จะถูกแต่งตั้งเป็นพระมเหสี ดังนั้น การมีจดหมายฉบับนี้อยู่ในมือจึงไม่ต่างอะไรกับการเป็นกบฏ เพราะการทรยศต่อองค์ชายรัชทายาทก็คือการทรยศต่อแผ่นดิน (ดัลฮยางนึกถึงตอนที่สัญญากับยุนซอว่าจะสอบผ่านให้ได้ภายใน 3-5 ปี หลังจากนั้นเขาจะพาเธอเข้าไปเที่ยวชมวัง)

องค์ชายโซฮยอนรู้สึกแปลกใจว่าทำไมดัลฮยางถึงได้ตกข่าว  ดัลฮยางบอกว่าตนอยู่ที่หมู่บ้านบนเขาในชนบทห่างไกลจึงไม่ได้รับข่าวสารจากโลกภายนอก ขนาดเดินทางมาที่นี่ยังใช้เวลาถึง 2 เดือน  หากเป็นเช่นนี้แล้วตนจะฝึกซ้อมอย่างหนักไปเพื่ออะไร พูดจบน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม องค์ชายโซฮยอนเห็นดัลฮยางร่ำไห้ก็รู้สึกเห็นใจ จึงสั่งเหล้ามาเลี้ยงดัลฮยางเพื่อเป็นการปลอบขวัญ (จากเดิมที่คิดจะกลั่นแกล้งและสั่งสอน)


หลังจากนั้นองค์ชายโซฮยอนก็เสด็จกลับวังและตรงไปหาชายา (ยุนซอ) กลางดึกเพื่อถามว่ารู้จัก "ปาร์ค ดัลฮยาง" ไหม เมื่อเห็นอากัปกิริยาของยุนซอแล้วพระองค์ก็รู้ได้ทันทีว่ายุนซอยังจำดัลฮยางได้ และนั่นก็หมายความว่าดัลฮยางไม่ได้โกหก ยุนซอถามด้วยความแปลกใจว่าองค์ชายรู้จักดัลฮยางได้อย่างไร องค์ชายโซฮยอนจึงกล่าวว่า "ปาร์ค ดัลฮยาง ที่เพียรฝึกฝนวิชาการต่อสู้ทุกวันตลอดระยะเวลา 5 ปี ได้มาที่ฮันยางแล้ว เขาหวังว่าจะผ่านการสอบขุนนางฝ่ายบู๊เพื่อที่จะได้แต่งงานกับเจ้า ดูจากความสามารถของเขาแล้ว เขาน่าจะสอบได้ที่หนึ่งด้วยซ้ำ ปัญหาก็คือ ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ว่าเจ้าได้กลายมาเป็นองค์หญิงรัชทายาทแล้ว พอรู้ความจริงเข้าเขาก็สิ้นหวังจึงคิดที่จะล้มเลิกการสอบและทำลายอนาคตของตัวเอง ข้าไม่อยากสูญเสียนายทหารฝีมือดีที่มีแววว่าจะได้เป็นแม่ทัพใหญ่ในอนาคต ที่ข้านำเรื่องนี้มาบอกเจ้าก็เพราะอยากให้เจ้าได้รับรู้ความรู้สึกของเขา"



ยุนซออธิบายด้วยท่าทีตื่นตระหนกว่าเธอรู้จักดัลฮยางเมื่อ 5-6 ปีก่อนตอนที่แม่ของเธอเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดแต่เกิดล้มป่วยกลางทางเลยต้องพักรักษาตัวที่หมู่บ้านของดัลฮยาง เธอเห็นดัลฮยางขยันฝึกซ้อมเพราะต้องการรับใช้ชาติเลยพูดให้กำลังใจเขานิดหน่อย เพราะแม่ของเธอบอกให้ทำเช่นนั้น อาจเป็นเพราะตอนนั้นดัลฮยางยังเด็กจึงเข้าใจผิดไป เมื่อเห็นว่ายุนซอยังคงปากแข็งแถมยังโกหกไม่แนบเนียน องค์ชายโซฮยอนเลยนำหลักฐาน (จดหมายเจ้าปัญหา) ออกมาให้ดูพลางตำหนิว่า เธอทำให้หัวใจของดัลฮยางหวั่นไหว แต่ตอนนี้กลับพูดจาตัดรอน ทั้งๆ ที่ดัลฮยางเอาชีวิตตนเองเป็นเดิมพัน ยุนซอถามองค์ชายโซฮยอนว่าพระองค์สงสัยตนหรือ องค์ชายโซฮยอนยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วบอกว่าตนไม่ได้สงสัย เพียงแต่ชื่นชมความจริงใจของดัลฮยางเลยอยากบอกให้เธอรู้ เพราะความรักอันบริสุทธิ์แบบนี้หาไม่ได้ในหมู่ชนชั้นสูงที่เมืองฮันยาง  

พูดจบองค์ชายโซฮยอนก็ทิ้งจดหมายไว้บนโต๊ะแล้วลุกขึ้น แต่ยังไปไม่ทันพ้นประตูพระองค์ก็หันกลับมาถามยุนซอว่า  "ยุนซอผู้กล้าหาญในจดหมายนั่นหายไปไหนแล้ว เจ้าละทิ้งความเป็นตัวของตัวเองตอนเข้าวังมางั้นรึ นี่เจ้าคงกลัวข้าไม่น้อยเลยทีเดียว" หลังองค์ชายออกไปแล้วยุนซอก็รู้สึกโล่งใจ เธอมองจดหมายแล้วนึกถึงเรื่องราวในอดีตระหว่างเธอกับดัลฮยางด้วยสีหน้าหมองเศร้า


อีกด้านหนึ่งดัลฮยางก็กำลังนั่งมองวังหลวงจากบนภูเขาด้วยหัวใจที่แตกสลาย  ผู้หญิงที่เขารักอาศัยอยู่ที่นั่นในฐานะองค์หญิงรัชทายาท (ชายาองค์ชายรัชทายาท) เขาจึงไม่มีโอกาสได้พบเธออีก ดัลฮยางนึกถึงคำพูดขององค์ชายโซฮยอนที่บอกว่า "เจ้าจงสอบให้ได้ที่หนึ่งเพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ และอย่าได้คิดหนีกลับบ้านเด็ดขาด เพราะเรายังไม่ได้ตัดสินความผิดของเจ้า หากเจ้าขาดสอบและหนีกลับบ้าน เราจะถือว่าเจ้ายังมีใจให้องค์หญิงรัชทายาทอยู่" ดัลฮยางโวยวายว่าไร้เหตุผลสิ้นดี ก่อนบอกว่าตนไม่บังอาจคิดเช่นนั้นกับองค์หญิงรัชทายาท องค์ชายโซฮยอนจึงย้ำว่า "เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้คิดเช่นนั้นจริง จงสอบให้ได้ที่หนึ่งและใช้โอกาสนั้นแสดงความจงรักภักดีต่อประเทศชาติ ก่อนถึงวันนั้นพวกเราจะจับตาดูเจ้า และเนื่องจากจดหมายฉบับนี้เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ เราจึงต้องเก็บเอาไว้จนกว่าเจ้าจะพิสูจน์ได้ว่าตนเองบริสุทธ์"

เมื่อเห็นดัลฮยางกังวลว่าตนอาจสอบไม่ได้ที่หนึ่ง องค์ชายโซฮยอนก็ขู่ว่านำเรื่องนี้ไปทูลองค์ชายรัชทายาท (ดัลฮยางยังไม่รู้ว่าพระองค์คือองค์ชายรัชทายาท) แถมยังรวมหัวกับซึงโพและมินซอแกล้งดัลฮยาง ซึงโพขู่ว่าหากองค์ชายรัชทายาทรู้เรื่องนี้เข้าดัลฮยางจะตกอยู่ในอันตราย มินซอกล่าวเสริมว่า แม้แต่องค์หญิงรัชทายาทและครอบครัวก็จะไม่ปลอดภัย เพราะองค์ชายรัชทายาทเป็นคนอารมณ์รุนแรง และขี้หึง องค์ชายโซฮยอนพยายามแย้งว่าอาจไม่ถึงขั้นอารมณ์รุนแรง  ซึงโพได้ทีจึงกล่าวว่า ไม่ใช่แค่อารมณ์รุนแรง แต่องค์ชายรัชทายาทยังเป็นคนเหลี่ยมจัดที่ชอบจับคนมาทรมานและสนุกกับการกลั่นแกล้งคนดี  นึกถึงองค์หญิงรัชทายาทแล้วตนรู้สึกปวดใจที่พระองค์ต้องมาลงเอยกับคนแย่ๆ แบบนี้ องค์ชายโซฮยอนจ้องหน้าซึงโพแล้วตัดบทโดยย้ำว่าดัลฮยางต้องสอบให้ได้ที่หนึ่งเพื่อความปลอดภัยของทุกคน แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ดัลฮยางตัดสินใจว่าจะเชื่อสามหนุ่มซัมชองซาดูสักครั้ง เพราะในฮันยางมีเพียงพวกเขาที่คอยช่วยเหลือและอยู่ข้างเดียวกับดัลฮยาง


ในที่สุดการสอบก็เริ่มต้นขึ้น โดยวันแรกดัลฮยางต้องสอบยิงธนู ส่วนวันที่สองเป็นการสอบบ๊กชี (การสอบขุนนางฝ่ายบู๊รอบที่สอง  ซึ่งจะคัดเลือกผู้สมัครเพียง 28 คน จากทั้งหมด 250 คน ให้ผ่านเข้าไปสอบในรอบต่อไป)  ปรากฏว่าดัลฮยางสอบยิงธนูได้ที่หนึ่ง สอบขี่ม้าปาหอกซัดได้ที่สอง  สอบยิงธนูศรเหล็กได้ที่หนึ่ง สอบขี่ม้ายิงธนูได้ที่หนึ่ง และสอบยิงปืนคาบศิลาได้ที่สอง ทำให้เขาผ่านเข้าไปสอบชุนชี (การสอบรอบสุดท้ายซึ่งพระราชาจะเป็นผู้กำหนดหัวข้อการสอบ) ด้วยผลคะแนนที่ยอดเยี่ยม



พระเจ้าอินโจเสด็จมาเป็นองค์ประธานในการเปิดพิธีสอบรอบสุดท้าย พระองค์ทรงเลือกหัวข้อขี่ม้ายิงธนูเพราะเป็นการสอบที่ยากที่สุด ขณะที่ดัลฮยางกำลังจะขี่ม้าลงสนามสอบ องค์ชายโซฮยอนก็เสด็จมาถึงบริเวณงาน ดัลฮยางแทบไม่เชื่อสายตาตนเองเมื่อเห็นหัวหน้าซัมชองซาเดินไปนั่งเคียงข้างพระราชา ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าสมาชิกซัมชองซา คือ องค์ชายรัชทายาทโซฮยอน องครักษ์ซึงโพ และองครักษ์มินซอ ดัลฮยางรู้สึกสับสนจนทำให้เสียสมาธิ ขณะลงสนามสอบสายตาของดัลฮยางจับจ้องไปที่องค์ชายโซฮยอนแทนที่จะเป็นเป้ายิงธนู องค์ชายโซฮยอนเห็นดังนั้นก็ยิ้มให้ดัลฮยาง

ดัลฮยางมัวแต่ใจลอยทำให้ควบม้าเลยเป้า เขาจึงต้องเอี้ยวตัวยิงและเกิดเสียหลักตกจากหลังม้า ปรากฏว่าธนูไม่เพียงพลาดเป้าแต่ยังปักลงบนสะโพกม้าของผู้เข้าสอบรายอื่น ทำให้ม้าตัวดังกล่าวเกิดพยศและสลัดคนขี่ร่วงลงบนพื้น ก่อนวิ่งตรงไปทางพระราชาและวิ่งพล่านเตะทำลายข้าวของไปทั่ว เมื่อดัลฮยางลุกขึ้นเขาก็ต้องตกตะลึงกับเหตุการณ์ชุลมุนที่อยู่ตรงหน้า (ซึ่งเป็นผลงานตัวเองล้วนๆ) อยู่ๆ องค์ชายโซฮยอนก็ระเบิดหัวเราะออกมา


เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ติดตามชมได้ใน "ซัมชองซา 3 ทหารเสือคู่บัลลังก์ (The Three Musketeers)" ทางช่องพีพีทีวี

* เนื้อหาโดย luvasianseries / ภาพจากทีวีเอ็น

นักแสดงนำ
(ในวงเล็บคือชื่อตัวละครตามบทประพันธ์เดิม)



จอง ยงฮวา (วง CNBLUE)
รับบท ปาร์ก ดัลฮยาง (ดาตาญัง)




ลี จินวุค
รับบท องค์ชายรัชทายาทโซฮยอน (อาโตส์)




ยาง ดงกึน 
รับบท ฮอ ซึงโพ (ปอร์โตส์)




ชอง เฮอิน 
รับบท อัน มินซอ (อารามิส)




ซอ ฮยอนจิน 
รับบท คัง ยุนซอ (อานน์แห่งออสเตรีย สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส)




ยู อินยอง 
รับบท โจ มีรยอง (มิลาดี เดอ วินเทอร์)




คิม มยองซู
รับบท  พระเจ้าอินโจแห่งโชซอน (พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส)




ปาร์ก ยองกยู
รับบท เสนาบดีซ้าย คิม จาจอม (คาร์ดินัล ริเชอลิเยอ) 




ชอน โนมิน
รับบท ชเว มยองกิล (มองซิเออร์ เดอ เทรวิลล์)  



ลี คยอน
รับบท พันเซ (พลองเชต์)



คิม ซองมิน
รับบท ยง กลแด หรือชื่อแมนจู ทาลาอิงถ่าเอ๋อเอ่อไท่ (ดยุคแห่งบัคกิ้งแฮม)



ปาร์ค จองมิน
รับบท โนซู (โรชฟอร์ท ) 




รวมคลิปตัวอย่างจากทีวีเอ็น



รวมคลิปเบื้องหลังจากทีวีเอ็น


*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา