กำกับ: ยูน ซองชิก, คิม ยองโจ
เขียนบท: ปาร์ค อึนยอง
แนวละคร: อิงประวัติศาสตร์, โรแมนติก
จำนวนตอน: 20
ออกอากาศ: เกาหลี - 19 ธันวาคม 2559 - 21 กุมภาพันธ์ 2560 ทางเคบีเอส2
ไทย - ทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 18.20-19.15 น. และวันศุกร์ เวลา 18.00-19.00 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (หมายเลข 13) ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2561 - 23 กรกฎาคม 2561
เขียนบท: ปาร์ค อึนยอง
แนวละคร: อิงประวัติศาสตร์, โรแมนติก
จำนวนตอน: 20
ออกอากาศ: เกาหลี - 19 ธันวาคม 2559 - 21 กุมภาพันธ์ 2560 ทางเคบีเอส2
ไทย - ทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 18.20-19.15 น. และวันศุกร์ เวลา 18.00-19.00 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (หมายเลข 13) ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2561 - 23 กรกฎาคม 2561
ละคร "ฮวารัง อัศวินพิทักษ์ชิลลา" (Hwarang: The Poet Warrior Youth) นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นและที่มาของเหล่ายอดนักรบหนุ่มรูปงามแห่งอาณาจักรชิลลาซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม "ฮวารัง" โดยนักรบหนุ่มกลุ่มนี้มีอยู่จริงในสมัยศตวรรษที่ 6-10 และมีบทบาทสำคัญในการรวมสามอาณาจักรเป็นหนึ่งเดียวในรัชสมัยราชินีซอนต๊อก ถึงกระนั้นนักรบฮวารังที่ถูกจารึกชื่อในประวัติศาสตร์มีเพียง "คิม ยูชิน", "อัลชอน", "คิม วอนซุล", "ซาดาฮัม" และ "คิม ควานชาง" (ท่านที่เคยดู "ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน (Queen Seon Deok)" คงจำกลุ่มนักรบฮวารังที่พร้อมพลีชีพเพื่อภารกิจหรือสู้รบจนตัวตาย โดยจะแต่งหน้าทาปากก่อนพลีชีพหรือออกรบได้)
ปัจจุบันนี้มีน้อยคนนักที่ทราบเรื่องราวแท้จริงของนักรบกลุ่มนี้ จึงเป็นที่สงสัยว่านักรบหนุ่มกลุ่มฮวารังมีที่มาอย่างไร ทำไมเด็กหนุ่มรูปงามเหล่านี้ถึงมีบทบาทสำคัญในการรวมสามอาณาจักรโบราณของเกาหลี (ชิลลา, แพคเจ, โกกูรยอ) ให้เป็นหนึ่งเดียว ขณะที่คำถามมากมายเกี่ยวกับนักรบฮวารังยังคงรอคอยการค้นพบ มาลองจินตนาการกันดูว่าชีวิตคนรุ่นหนุ่มสาวแห่งอาณาจักรชิลลาในสมัยศตวรรษที่ 6 จะเป็นเช่นไร โดยละครเรื่องนี้จะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับแรงปรารถนา ความรัก และมิตรภาพของพวกเขา ท่ามกลางสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง แย่งชิงอำนาจ และมีการแบ่งชนชั้นโดยใช้หลักการสืบสายโลหิต (หรือ "กลพุมเชโด" (Bone rank system) ซึ่งเป็นตัวกำหนดชะตาและอนาคตของชนชั้นสูงชาวชิลลา) อย่างเคร่งครัด
(ซ้าย) อาณาจักรชิลลาในปี ค.ศ. 476 (ขวา) อาณาจักรชิลลาในปี ค.ศ. 576 (ปลายรัชสมัยพระเจ้าจินฮึง ซึ่งเป็นยุคที่บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง และมีการขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวาง) - ภาพจากวิกิพีเดีย
เนื้อหาตอนที่ 1
เรื่องราวในละครเริ่มต้นขึ้นราว 1,500 ปีก่อน ซึ่งตรงกับปีที่ 12 ในรัชสมัย "พระเจ้าจินฮึง"
ตลอด 12 ปีของการเป็นพระราชาแห่ง "ชิลลา" อาณาจักรที่เล็กและอ่อนแอที่สุดในบรรดาสามอาณาจักรของเกาหลียุคโบราณ พระเจ้าจินฮึงไม่เคยมีชีวิตที่เป็นสุข พระองค์ถูกคนปองร้ายหมายเอาชีวิตนับตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ จึงต้องระเห็จออกจากวังโดยปกปิดฐานะและตัวตนนับแต่นั้นมา พระนาง "จีโซ" พระมารดาของพระองค์ (ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทน) ต้องการขยายพระราชอำนาจและสร้างความมั่นคงให้แก่ราชบัลลังก์ จึงคิดเกณฑ์เด็กหนุ่มรูปงามมาฝึกฝนอบรมหมายให้เป็นอนาคตของชิลลา
เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์:
"พระเจ้าจินฮึง" เป็นพระราชาองค์ที่ 24 ของอาณาจักรชิลลา ทรงครองราชย์ต่อจาก "พระเจ้าพอบฮึง" ผู้เป็น "ตา" (และยังมีศักดิ์เป็นลุงของพระบิดา) ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 540-576) ด้วยเหตุนี้พระราชมารดาของพระองค์ (จีโซ) จึงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทน
ณ หมู่บ้านมังมัง นอกเมืองหลวง (ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของชนชั้นต่ำสุดในสังคมชิลลา) ในปีที่ 12 รัชสมัย "พระเจ้าจินฮึง"
เด็กหนุ่มสภาพสุดโทรม "มู-มยอง" (แปลว่า "ไร้นาม") กำลังจะรีบไปทำธุระแต่กลับถูกสามนักเลงอันธพาลประจำหมู่บ้านขวางเอาไว้ เขาจึงบอกทั้งสามคนด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายว่าให้กลับไปเสีย ที่แท้หัวหน้านักเลงต้องการต่อสู้กับมูมยองแบบแมนๆ หมายชิงตำแหน่งผู้นำประจำหมู่บ้าน โดยให้เหตุผลว่าหมู่บ้านมีผู้นำได้เพียงคนเดียว มูมยองได้ยินดังนั้นจึงยกตำแหน่งผู้นำให้ชายคนดังกล่าวทันที สามนักเลงถึงกับอึ้งเพราะคาดไม่ถึงว่ามูมยองจะยอมง่ายๆ เช่นนี้ มูมยองเห็นหัวหน้านักเลงไม่พอใจจึงกล่าวว่าตนก็แค่ไม่อยากมีเรื่อง ขืนก่อเรื่องอีกครั้งตนมีหวังโดนตาแก่ฆ่าตายแน่ เขาชี้ว่าวิธีนี้หัวหน้านักเลงมีแต่ได้กับได้ เพราะนอกจากจะไม่เจ็บตัวแล้วยังได้ตำแหน่งผู้นำอะไรนั่นไปครองอีกด้วย พูดจบมูมยองก็บอกให้หัวหน้านักเลงเลิกยุ่งกับตนแล้วหันหลังเดินจากไป
หัวหน้านักเลงไม่ยอมเลิกราจึงกวนโทสะด้วยการพูดเรื่องที่แม่ของมูมยองไม่ยอมตั้งชื่อให้ก่อนนำเขามาทิ้งไว้ที่นี่ จากนั้นก็ร้องบอกมูมยองว่าเขาควรใช้ชีวิตเหมือนคนที่ตายไปแล้วแทนที่จะอยู่ขวางหูขวางตาตน มูมยองแค่นหัวเราะก่อนถอนใจ เขาเปรยว่าขืนยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ก็เท่ากับตนใจดีเกินไป เขาจึงหยิบลูกเต๋า "จูรยองจู" ออกมาโยนเสี่ยงทายว่าควรจัดการกับคนสามหาวยังไง ปรากฏว่าเขาเปิดได้หน้าที่ระบุให้ "ชกจมูก" สามนักเลงจึงเผลอเอามือกุมจมูกของตนโดยพร้อมเพรียงกัน มูมยองยังไม่ทันได้ลงมืออาการป่วยของเขาก็กำเริบเสียก่อน หัวหน้านักเลงจึงฉวยโอกาสปล่อยหมัดใส่มูมยอง แต่มูมยองหมดสติล้มลงก่อนที่จะโดนทำร้าย สมุนนักเลงเห็นดังนั้นก็นึกว่าหัวหน้าของตนชกมูมยองจนสลบคามือจึงต่างพากันหัวเราะชอบใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงใครคนหนึ่งร้องลั่น เมื่อเหล่านักเลงหันไปดูก็พบชายร่างโย่งคนหนึ่งวิ่ง (ล้มลุกคลุกคลาน) เข้ามาหาพวกตนดุจนักรบที่โห่ร้องขณะวิ่งเข้าประจัญบานข้าศึก
หัวหน้านักเลงไม่ยอมเลิกราจึงกวนโทสะด้วยการพูดเรื่องที่แม่ของมูมยองไม่ยอมตั้งชื่อให้ก่อนนำเขามาทิ้งไว้ที่นี่ จากนั้นก็ร้องบอกมูมยองว่าเขาควรใช้ชีวิตเหมือนคนที่ตายไปแล้วแทนที่จะอยู่ขวางหูขวางตาตน มูมยองแค่นหัวเราะก่อนถอนใจ เขาเปรยว่าขืนยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ก็เท่ากับตนใจดีเกินไป เขาจึงหยิบลูกเต๋า "จูรยองจู" ออกมาโยนเสี่ยงทายว่าควรจัดการกับคนสามหาวยังไง ปรากฏว่าเขาเปิดได้หน้าที่ระบุให้ "ชกจมูก" สามนักเลงจึงเผลอเอามือกุมจมูกของตนโดยพร้อมเพรียงกัน มูมยองยังไม่ทันได้ลงมืออาการป่วยของเขาก็กำเริบเสียก่อน หัวหน้านักเลงจึงฉวยโอกาสปล่อยหมัดใส่มูมยอง แต่มูมยองหมดสติล้มลงก่อนที่จะโดนทำร้าย สมุนนักเลงเห็นดังนั้นก็นึกว่าหัวหน้าของตนชกมูมยองจนสลบคามือจึงต่างพากันหัวเราะชอบใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงใครคนหนึ่งร้องลั่น เมื่อเหล่านักเลงหันไปดูก็พบชายร่างโย่งคนหนึ่งวิ่ง (ล้มลุกคลุกคลาน) เข้ามาหาพวกตนดุจนักรบที่โห่ร้องขณะวิ่งเข้าประจัญบานข้าศึก
เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์
"จูรยองจู" คือ ลูกเต๋าไม้ 14 หน้าในยุคชิลลา มีไว้ใช้เล่นเกมดื่มสุราเพื่อความสนุกสนาน แต่ละหน้ามีข้อความภาษาจีน (สมัยนั้นยังไม่มีการประดิษฐ์อักษรเกาหลี) ที่ระบุบทลงโทษหรือคำสั่งที่ต้องปฏิบัติตาม เช่น "三盞一去" (ดื่มทีเดียวสามแก้วรวด), "衆人打鼻" (โดนผู้เล่นคนอื่นๆ ชกหรือตีจมูก), "自唱自飮" (ทั้งร้องเพลงและดื่มเองคนเดียว), "飮盡大笑" (ดื่มหมดแก้วแล้วหัวเราะดังๆ), "禁聲作舞" (เต้นรำโดยไม่มีดนตรี), "有犯空過" (อยู่นิ่งๆ ห้ามขยับแม้โดนรุม), "弄面孔過 " (อยู่นิ่งๆ ห้ามขยับแม้โดนจักจี้ใบหน้า), 曲臂則盡 (คล้องแขนดื่มกับสหายคนหนึ่งจนหมดแก้ว), 醜物莫放 (ดื่มเหล้าในแก้วโดยไม่เอาสิ่งแปลกปลอมหรือของน่ารังเกียจออก) ฯลฯ (นอกจากละครเรื่องนี้แล้ว ลูกเต๋าชนิดดังกล่าวยังปรากฏในละครเรื่อง "ซอนต๊อก" ตอนที่ 6 อีกด้วย) - ภาพจาก NAVER
ชายคนดังกล่าวคือ "มักมุน" เพื่อนสนิทที่เติบโตมาด้วยกันกับมูมยอง ทันทีที่มาถึงเขาก็กระโดดถีบหัวหน้านักเลงจนล้มคว่ำ เขามาเพื่อปกป้องมูมยองจึงท้าสู้กับเหล่านักเลงด้วยน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราด จากนั้นก็โชว์ลูกเตะเพื่อเป็นการข่มขู่ทั้งที่ต่อสู้ไม่เป็น และนั่นก็ทำให้เขาโดนสามนักเลงรุมซ้อมจนสะบักสะบอม เมื่อมูมยองฟื้นขึ้นมาแล้วเห็นเพื่อนโดนรุมซ้อมเขาก็ลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับสามนักเลงด้วยสีหน้าเอาเรื่อง มักมุนโวยลั่นว่าทำไมไม่ฟื้นให้เร็วกว่านี้ มูมยองจึงถามมักมุนว่าเจ็บมากมั๊ย มักมุนยอมรับว่าเจ็บมากจากนั้นก็เตือนมูมยองว่าอย่าทำให้ถึงตาย สามนักเลงได้ยินดังนั้นก็เริ่มใจไม่ดี มูมยองเจ็บแค้นแทนเพื่อนจึงเตือนให้สามนักเลงรีบหนีไป เมื่อเห็นว่าสามนักเลงยังคงยืนงง มูมยองจึงตะโกนด้วยเสียงอันดังลั่นว่า "วิ่ง!" สามนักเลงจึงรีบวิ่งหนีเข้าไปในป่าโดยมีมูมยองกับมักมุนตามไล่ล่า
หลังวิ่งข้ามสะพานไม้เหนือลำธารไปอีกฝั่งของผาหิน สามนักเลงก็ช่วยกันดันสะพานไม้ให้ตกลงสู่เบื้องล่าง จากนั้นก็เย้ยมูมยองว่าถ้าแน่จริงให้ตามพวกตนมา หัวหน้านักเลงเห็นมูมยองหันหลังเดินกลับไปก็รู้สึกสังหรณ์ใจจึงถามลูกน้องว่าฉายาของมูมยองคืออะไร เมื่อลูกน้องบอกว่า "แคแซ" (แค หรือ แก แปลว่า สุนัข / แซ แปลว่า นก) เขาก็สงสัยว่าทำไมมูมยองจึงมีฉายาเช่นนั้น สมุนนักเลงจึงตอบว่าเพราะมูมยองเหมือนหมา (บ้า) และนก (ที่แท้มูมยองถอยไปตั้งหลักก่อนเหินข้ามไปหาสามนักเลงอีกฝั่งสมดังฉายา) สามนักเลงเห็นดังนั้นก็ถึงกับยืนตะลึง
"จีโซแทฮู" ("แทฮู" มาจากคำว่า "ไทเฮา" ของจีน) ไปเยี่ยมนักโทษคนหนึ่งที่เรือนจำในวังหลวง เขาคือ "คิม วีฮวา" (ซึ่งถูกเรียกว่า "วีฮวากง" หรือ "ใต้เท้าวีฮวา") พระสหายคนสนิทของพระเจ้าพอบฮึง (อดีตพระราชา) ซึ่งถูกจองจำหลังมีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมกับพระสนมคนหนึ่งของอดีตพระราชา เมื่อถูกถามว่าเขาไม่พอใจดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (หมายถึง "ชิลลา") แห่งนี้ใช่หรือไม่ วีฮวาแค่นหัวเราะก่อนตอบว่าจะให้ตนพอใจดินแดนที่ผู้เป็นมารดาขับไล่ไสส่งบุตรชายตนเองแล้วสำเร็จราชการแทนนับ 10 ปีแต่ความโลภยังไม่มีทีท่าว่าสิ้นสุด (ยังไม่ยอมคืนพระราชอำนาจให้พระโอรส) ได้อย่างไร จีโซแทฮูถามวีฮวาว่าเขาพิจารณาข้อเสนอของเธอแล้วหรือยัง วีฮวาเปรยว่าตนเคยได้ยินคนร่ำลือว่าจีโซแทฮูเป็นคนฉลาดหลักแหลม สงสัยสิ่งที่ตนได้ยินมาจะเป็นเพียงข่าวลือ เขาหาวใส่จีโซแทฮูก่อนถามว่าทำไมถึงชอบพูดซ้ำๆ แต่เรื่องเดิม จากนั้นก็ถามว่าเธอคิดจะทำอะไรกันแน่
จีโซแทฮูอธิบายว่าเธอต้องการตั้งหน่วยราชองครักษ์ที่พร้อมพลีชีพเพื่อปกป้องพระราชา แม้จะเห็นด้วยว่าพระราชาควรมีหน่วยราชองครักษ์ประจำพระองค์ แต่วีฮวาแย้งว่าทหารทั้งหมดที่มีล้วนเป็นคนของเหล่าขุนนาง แล้วพวกตนจะหาใครที่ไหนมาคอยปกป้องพระราชา เขาเหน็บจีโซแทฮูแบบขำๆ ว่า พระองค์จะเกณฑ์คนจากอาณาจักรแพคเจหรือโกกูยอ (ซึ่งเป็นศัตรู) งั้นหรือ จีโซแทฮูชี้ว่าตนจะเกณฑ์ลูกหลานของเหล่าขุนนาง (วีฮวาได้ยินดังนั้นก็หูผึ่งแต่ยังคงสงวนท่าที) จึงอยากให้วีฮวาช่วยฝึกฝนพวกเขา เพื่อให้พวกเขาจงรักภักดีต่อพระราชาและชิลลาแทนที่จะเป็นบิดาหรือครอบครัวของตน (เหล่าเชื้อพระวงศ์บางกลุ่มเป็นฝ่ายตรงข้ามจีโซแทฮูกับพระราชาและจ้องโค่นล้มราชบัลลังก์) เมื่อเห็นว่าวีฮวายังไม่ยอมตอบตกลง จีโซแทฮูจึงถามวีฮวาว่าไม่อยากให้ตนวางมือจากการเป็นผู้สำเร็จราชการแทนหรือ จากนั้นก็สัญญาว่าหากวีฮวาทำภารกิจนี้สำเร็จตนจะคืนพระราชอำนาจให้พระราชา
จีโซแทฮูอธิบายว่าเธอต้องการตั้งหน่วยราชองครักษ์ที่พร้อมพลีชีพเพื่อปกป้องพระราชา แม้จะเห็นด้วยว่าพระราชาควรมีหน่วยราชองครักษ์ประจำพระองค์ แต่วีฮวาแย้งว่าทหารทั้งหมดที่มีล้วนเป็นคนของเหล่าขุนนาง แล้วพวกตนจะหาใครที่ไหนมาคอยปกป้องพระราชา เขาเหน็บจีโซแทฮูแบบขำๆ ว่า พระองค์จะเกณฑ์คนจากอาณาจักรแพคเจหรือโกกูยอ (ซึ่งเป็นศัตรู) งั้นหรือ จีโซแทฮูชี้ว่าตนจะเกณฑ์ลูกหลานของเหล่าขุนนาง (วีฮวาได้ยินดังนั้นก็หูผึ่งแต่ยังคงสงวนท่าที) จึงอยากให้วีฮวาช่วยฝึกฝนพวกเขา เพื่อให้พวกเขาจงรักภักดีต่อพระราชาและชิลลาแทนที่จะเป็นบิดาหรือครอบครัวของตน (เหล่าเชื้อพระวงศ์บางกลุ่มเป็นฝ่ายตรงข้ามจีโซแทฮูกับพระราชาและจ้องโค่นล้มราชบัลลังก์) เมื่อเห็นว่าวีฮวายังไม่ยอมตอบตกลง จีโซแทฮูจึงถามวีฮวาว่าไม่อยากให้ตนวางมือจากการเป็นผู้สำเร็จราชการแทนหรือ จากนั้นก็สัญญาว่าหากวีฮวาทำภารกิจนี้สำเร็จตนจะคืนพระราชอำนาจให้พระราชา
มูมยองกับมักมุนขึ้นมานั่งบนเนินเขา สายตาของทั้งคู่ต่างจับจ้องไปยังเมือง "ซอราบอล" (เมืองหลวงของอาณาจักรชิลลา ปัจจุบันคือ "คยองจู") ที่อยู่เบื้องหน้า มักมุนคุยกับมูมยองเรื่องที่เขาเคยอยู่เมืองหลวงตอนเด็กๆ มูมยองเห็นมักมุนยิ้มอย่างมีความสุขทั้งที่เพิ่งโดนอัดจนน่วมจึงอดแซวไม่ได้ มักมุนกล่าวด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังว่า หากตนลักลอบเข้าเมืองหลวงได้คงใช้สร้อยตามหา 'พวกเขา' จนเจอ มูมยองเตือนว่านี่คือเหตุผลที่พวกตนจะแอบปีนกำแพงเมืองในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามปอดแหกและเผ่นหนีเหมือนที่ผ่านมาอีกเด็ดขาด มักมุนโอดว่าหากชาวหมู่บ้านมังมังอย่างพวกตน (ซึ่งมีสถานะต่ำสุดในสังคม) แอบปีนกำแพงเข้าไปในเมืองหลวงแล้วถูกจับได้ มีหวังถูกธนูยิงหรือไม่ก็ตายด้วยคมหอก จากนั้นก็จะโดนตัดหัวเสียบประจาน มูมยองได้ยินดังนั้นจึงโวยว่าถ้ากลัวนักก็ล้มเลิกความตั้งใจเสีย มักมุนแย้งว่านั่นเป็นบ้านของตน พ่อแม่และน้องสาวตนอยู่ด้วยกันที่นั่น ตนจะใช้สร้อยคอตามหาพ่อแล้วทวงสถานะเดิมของตนคืนมา
มูมยองไม่มั่นใจว่าสร้อยคอแค่เส้นเดียวจะพลิกชีวิตของมักมุนได้ ถึงกระนั้นเขาก็ยินดีเสี่ยงตายเพื่อช่วยเพื่อน โดยบอกว่าขืนปล่อยให้มักมุนไปคนเดียวคงใช้เวลากว่าร้อยวันถึงจะเข้าเมืองหลวงได้ มูมยองยังบอกด้วยว่าเขาจะไปทุกที่ๆ อยากไปต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ตาม ในเมื่อพวกตนก็เป็นคนเหมือนกัน พวกเขามีสิทธิอะไรมาห้ามไม่ให้ "ชอนนิน" (ผู้ที่อยู่ในชนชั้นต่ำสุด) อย่างพวกตนเข้าเมืองหลวง มักมุนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกชื่นชม เขาเห็นว่ามูมยองใจกล้าบ้าบิ่นสมฉายา "แคแซ" จึงสงสัยว่าทำไมมูมยองถึงไม่กลัวอะไรเลย มูมยองกล่าวว่า คนที่ไม่มีอะไรจะเสีย ย่อมไม่มีอะไรให้หวาดกลัว ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันจ่ายภาษีจึงรีบโกยแน่บทันที มักมุนเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามไป
มูมยองกับมักมุนย่องมาที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งมีเครื่องดนตรีที่เรียกว่า "คายากึม" วางตั้งอยู่ เมื่อเห็นว่ายังไม่มีใครมาทั้งคู่ก็โล่งใจและพากันดื่มน้ำดับกระหาย ทันใดนั้นก็มีคนยิงธนูเฉียดใบหน้ามูมยองไปอย่างเฉียดฉิว และเขาคนนั้นก็คือ "อูรึก" (ซึ่งลี้ภัยมาจากเมืองแทคายาของอาณาจักรคายา มีตัวตนจริงและเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องดนตรี 12 สายที่เรียกว่า "คายากึม" โดยดัดแปลงมาจากเครื่องสายของจีน ทั้งยังเป็นผู้แต่งเพลง และเป็นนักบรรเลงคายากึมอีกด้วย ในละครเรื่องนี้เขาเป็นพ่ออุปถัมภ์ของมูมยองกับมักมุน ทั้งยังเป็นผู้กุมความลับเรื่องชาติกำเนิดของมูมยอง ภายหลังได้เข้าไปเป็นครูสอนดนตรีและเต้นรำที่ฮวารัง) มูมยองโวยลั่นว่าอูรึกเกือบฆ่าตน อูรึกกล่าวว่ามันเป็นชะตาของมูมยองที่ต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยมและตายที่นี่ ซึ่งตนได้พร่ำบอกเรื่องนี้มาโดยตลอด อูรึกหยิบลูกธนูอีกดอกออกมาเตรียมยิง เขาเดินเข้าหาพลางถามมูมยองว่า ไม่สงสัยหรือว่าทำไมแม่จึงทิ้งเขาไว้ที่นี่ นั่นเป็นเพราะในโลกนี้ไม่มีใครยินดีที่เขามีตัวตน อูรึกเล็งธนูไปที่มูมยองพลางกล่าวว่านี่คือเหตุผลที่เขาไม่มีแม้แต่ชื่อ
มูมยองพยายามร้องห้ามและบอกให้อูรึกเลิกพูดถึงเรื่องราวเก่าๆ เมื่ออูรึกยิงธนูใส่อีกดอก (จงใจยิงแบบเฉียดๆ) มูมยองจึงโวยลั่นว่าอยากเห็นตนตายจริงๆ หรือไง อูรึกชี้ว่าหากมูมยองไม่สามารถเสียภาษี (ให้ขุนนาง) เหล่าบรรดาเพื่อนบ้านจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย มูมยองตอบว่าตนรู้ดีและมีเหตุผลมาชี้แจง อูรึกไม่อยากฟังคำแก้ตัวจึงเล็งธนูไปที่มูมยองอีกครั้ง มูมยองรีบกระโดดหนีดุจนกโบยบินแต่ไม่วายถูกธนู (ไร้คม) ยิงกระแทกที่หน้าผากจนร่วงลงมานอนแน่นิ่ง
หลังจีโซแทฮูได้รับสารจาก "พาโอ" (องครักษ์ประจำตัวของ "ซัมเมกจง" หรือ "พระเจ้าจินฮึง") ที่ระบุว่า 'พวกตน' จะเข้ามาทางประตูฝั่งตะวันออกในยามผี (ตีสอง) พระองค์ก็ขยำกระดาษด้วยความโมโหพลางกล่าวว่ากล้าดียังไงถึงได้เข้าวังหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากตน "ฮยอนชู" (องครักษ์ของพระราชมารดาจีโซ) จึงอาสาไปรอรับผู้มาเยือนที่หน้าประตูหมายพาเข้าวังหลวงอย่างลับๆ เมื่อถึงเวลานัดหมายก็มีชายสองคนขี่ม้าเข้าประตูวัง (ซึ่งไม่มีทหารยามรักษาการแม้แต่คนเดียว) มาอย่างเงียบๆ เมื่อทหารนอกเครื่องแบบที่มากับฮยอนชูเห็นฮยอนชูก้มศีรษะคำนับชายหนุ่มที่ใช้ผ้าปิดบังใบหน้า เขาก็เดาออกว่าชายหนุ่มคนดังกล่าวคือพระราชาที่ไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็น เขาอดชื่นชมพระบารมีด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นไม่ได้ (นอกจากจีโซแทฮู ฮยอนชู และพาโอแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าพระราชาแห่งชิลลาหน้าตาเป็นอย่างไร) ฮยอนชูได้ยินดังนั้นจึงสังหารทหารคนดังกล่าวทันที
ในเวลาเดียวกันนั้น มูมยองกับมักมุนก็เริ่มต้นภารกิจพิชิตกำแพงเมืองหลวง โดยมูมยองเป็นฝ่ายปีนขึ้นไปก่อน เมื่อปีนขึ้นไปถึงด้านบนแล้วเห็นหัวผู้ลักลอบเข้าเมืองจำนวนหนึ่งถูกเสียบประจาน มูมยองก็สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ มักมุนเห็นเพื่อนยืนนิ่งไม่ไหวติงจึงร้องถามว่าเกิดอะไรขึ้น มูมยองไม่อยากให้มักมุนกลัวจนหัวหดและไม่กล้าปีนขึ้นมาจึงโกหกว่าไม่มีอะไร ครั้นมักมุนปีนขึ้นมาได้สำเร็จมูมยองก็บอกให้มักมุนหายใจลึกๆ เมื่อมักมุนหันไปเห็นหัวคนก็ถึงกับสติแตก โชคดีที่มูมยองเอามือปิดปากมักมุนทัน มูมยองเห็นมักมุนตัวสั่นเพราะกลัวว่าพวกตนจะมีชะตากรรมเช่นนั้น (โดนตัดหัวเสียบประจาน) จึงช่วยเรียกสติโดยเตือนว่าถ้าอยากเจอน้องสาวก็ต้องลุยต่อ (ต้องเดินฝ่าหัวคนที่ถูกเสียบเรียงราย) มักมุนได้ยินดังนั้นก็พยายามฮึดสู้ หลังลักลอบเข้าเมืองหลวงได้แล้ว ทั้งคู่ก็ขโมยเสื้อผ้าชาวบ้านมาเปลี่ยนเพื่อให้แลดูกลมกลืนกับคนที่นั่น (แต่ยังคงหัวกระเซิงเหมือนเดิม) มักมุนรู้สึกเคว้งคว้างไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นทำอะไรก่อนดี มูมยองจึงเตือนว่าเขาดั้นด้นมาที่นี่เพื่อใช้สร้อยคอตามหาพ่อกับน้องสาว
อีกด้านหนึ่ง "คิม อาโร" ซึ่งเป็นนักเล่าเรื่อง ก็กำลังเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวคนหนึ่งให้ชาวเมืองฟัง (เรื่องที่นางเอกเล่าเป็นการล้อเลียนบทพูดของตัวเอกในละครเกาหลีหลายเรื่องด้วยกัน) เธอกล่าวว่า... คนเราใช่จะตายกันได้ง่ายๆ ชายคนหนึ่งอดใจรอไม่ไหวจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น อาโรกล่าวว่าผู้หญิงที่รอดพ้นจากความตายตัดสินใจวาดไฝบริเวณใต้ตา และนั่นก็ทำให้หน้าตาเธอเปลี่ยนไปจนไม่มีใครจำเธอได้ ("ซัมเมกจง" ซึ่งนั่งตาปรือฟังอาโรเล่าเรื่องอยู่ห่างๆ ได้ยินดังนั้นก็อดขำไม่ได้) ชายอีกคนถามว่าสุดท้ายแล้วผู้หญิงคนดังกล่าวได้ลงมือฆ่าผู้ชายไหม ทุกคนต่างหูผึ่งด้วยความอยากรู้รวมทั้งซัมเมกจง อาโรกล่าวว่ากลางดึกคืนนั้นผู้หญิงคนดังกล่าวให้ผู้ชายนอนหนุนตักและพูดพลางจ้องมองเขาว่า "ทำไมเราต้องพบกันด้วย ทำไมท่านถึงมีแต่ทำให้ข้าเจ็บปวดใจ นี่ข้ารักท่านงั้นหรือ ในใจข้าถึงได้มีแต่ท่าน" ทุกคนฟังแล้วต่างพากันอ่อนระทวย หลังเล่าเรื่องจบทุกคนก็พากันแยกย้าย มีเพียงซัมเมกจงที่ยังคงนั่งหลับโดยมีพาโอคอยพัดและจ้องมองด้วยความสงสัย เมื่อซัมเมกจงลืมตาพาโอก็แจ้งข่าวดีว่าเมื่อครู่นี้ซัมเมกจงเพิ่งผลอยหลับไป (ซัมเมกจงเป็นโรคนอนไม่หลับ แต่ฟังอาโรเล่าเรื่องแล้วเขาสามารถนอนหลับได้) ซัมเมกจงจึงรีบถามคนแถวนั้นว่าจะพบอาโรได้ที่ไหน
มูมยองกับมักมุนเข้ามาที่บ่อนพนัน (การพนันเป็นสิ่งผิดกฏหมาย...นะจ๊ะ) หมายใช้สร้อยตามหาครอบครัวที่พลัดพรากของมักมุน ทั้งคู่เดินมาหยุดที่โต๊ะของชายกลุ่มหนึ่ง หลังจากนั้นมักมุนก็ถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่าเคยเห็นใครเคยสวมสร้อยแบบเดียวตนไหม ชายคนดังกล่าวเห็นว่าไม่ใช่สร้อยคอธรรมดาทั่วไปจึงแนะให้ลองไปถามที่ "ทาอีซอ" (ร้านค้าสุดอินเทรด์แห่งยุค) และ "อกทา" (คลับไฮโซสุดหรูแห่งยุค) มูมยองได้ยินดังนั้นก็แอบท่องสองชื่อดังกล่าว แต่มักมุนกลับแสดงออกชัดเจนว่าไม่รู้จักทำให้ถูกจับได้ว่าไม่ใช่คนเมืองหลวง ชายหน้าบากนามว่า "โตโก" ถามว่ามักมุนเป็นคนที่ไหน มักมุนแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนและยืนยันว่าตนเป็นคนที่นี่ ด้วยความที่โตโกกำลังจดจ่ออยู่กับการเล่นพนันกับชายคนหนึ่งซึ่งพาลูกสาวตัวน้อยมาด้วย เขาจึงไม่ใส่ใจมักมุนและส่งสัญญาณให้สมุนเขย่าลูกเต๋าทันที
มูมยองเห็นกับตาว่าสมุนของโตโกแอบเล่นตุกติกเพื่อช่วยให้โตโกเป็นฝ่ายชนะ หลังถูกโกงจนหมดตัวเหยื่อของโตโกก็ร้องขอโอกาสอีกครั้ง โตโกจึงเสนอให้ชายคนดังกล่าวเอาคอมาเดิมพัน จากนั้นก็ให้สมุนเปิดกล่องไม้ที่ภายในมีหัวคนให้ชายคนดังกล่าวดูเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้พูดเล่น ชายคนดังกล่าวรวมทั้งมักมุนและคนที่มุงดูอยู่เห็นแล้วต่างพากันตกใจกลัว โตโกชี้ว่ามีบางคนในเมืองหลวงต้องการคอของคนอื่น หากจะเอาคอเด็ก (ลูกสาวตัวน้อยของชายคนดังกล่าว) มาเดิมพันตนก็ยินดี มักมุนรับไม่ได้จึงรีบคว้าตัวเด็กหญิงไว้ มูมยองชักเหลืออดจึงท้าให้โตโกมาเดิมพันกับตนแทน โตโกดูออกว่ามูมยองไม่มีเงินจึงถามว่าเขามีอะไรมาเดิมพัน มูมยองชี้ว่าในเมื่อโตโกต้องการคอ ตนก็จะเอาคอมาเป็นเดิมพัน โตโกได้ยินดังนั้นก็หัวเราะชอบใจในความใจกล้าบ้าบิ่นของมูมยอง เขายอมรับข้อเสนอและบอกว่าพวกตนจะเล่นกันตาเดียวเท่านั้น หากมูมยองชนะตนจะมอบทุกสิ่งที่ได้มาจากการชนะพนันในวันนี้ให้มูมยอง มูมยองส่ายหน้าปฏิเสธก่อนบอกว่าหากตนเป็นฝ่ายชนะ โตโกต้องมอบคอให้ตนเช่นกัน โตโกเสียววูบที่ลำคอแต่เขามั่นใจว่าตนต้องชนะแน่จึงรับคำท้า หลังจากนั้นเกมที่มีความตายเป็นเดิมพันจึงเริ่มต้นขึ้น
หลังเขย่าลูกเต๋าและแทงสูงต่ำเสร็จแล้ว โตโกก็ถามมูมยองว่าอยากตายมากนักหรือ มูมยองได้แต่ยิ้มแทนคำตอบ โตโกจึงส่งสัญญาณบอกให้ลูกน้องเขย่าลูกเต๋าอีกครั้งก่อนเปิดออกดู มูมยองรู้ว่าสมุนของโตโกจะฉวยโอกาสเล่นตุกติกตอนเขย่าลูกเต๋าครั้งสุดท้ายจึงกดมือสมุนของโตโกเอาไว้ จากนั้นก็บอกโตโกว่าหมาที่หวาดกลัวมักจะเห่าไม่หยุด แทนที่จะมัวเห่าเรามาเปิดดูให้รู้แล้วรู้รอดกันเลยดีกว่า โตโกชักเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องเพราะคราวนี้โกงไม่ได้ ครั้นเห็นมูมยองกำลังจะเปิดดูลูกเต๋าเขาก็รีบกดมือมูมยองเอาไว้ก่อนถามว่า "เจ้าเป็นใครกันแน่" หลังได้ยินว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคือ "แคแซ" เขาก็ดันหมวกสานของมูมยองขึ้นเพื่อดูหน้าชัดๆ ว่าใช่แคแซที่ตนรู้จักหรือไม่ พอเห็นหน้ามูมยองเขาก็จำได้ทันทีว่าเป็นชอนนิน (ชนชั้นต่ำสุดทางสังคม) จากหมู่บ้านมังมังซึ่งไม่สามารถเข้ามาป้วนเปี้ยนในเมืองหลวงได้ มักมุนเห็นดังนั้นก็ถึงกับหน้าถอดสีเพราะกลัวถูกโตโกตัดหัวเสียบประจาน
โตโกยิ้มอย่างผู้มีชัยพลางถามมูมยองว่าเข้ามาในเมืองหลวงได้อย่างไร มักมุนกลัวเพื่อนโดนแฉต่อหน้าธารกำนัลว่าเป็นชนชั้นต่ำที่ลักลอบเข้าเมือง จึงเร่งให้เปิดดูลูกเต๋าโดยย้ำเสียงดังลั่นว่าเกมนี้มีคอเป็นเดิมพัน โตโกกลัวว่าตนจะเป็นฝ่ายแพ้จึงแอบยื่นข้อเสนอโดยบอกว่า หากมูมยองยอมไปจากที่นี่แต่โดยดีตนจะปล่อยมูมยองไป มูมยองปฏิเสธทันควันเพราะชีวิตเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย (ทั้งจากโรคiร้ายและการลักลอบเข้าเมืองหลวง) อยู่แล้ว เขาถามโตโกว่าทำไมถึงขวางไม่ให้ตนเปิดดูลูกเต๋าทั้งที่ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ หรือที่ผ่านมาโตโกเล่นตุกติก โตโกไม่ตอบ เขาได้แต่กดมือมูมยองแน่นด้วยความรู้สึกโกรธแค้น มูมยองจึงตวาดเสียงดังลั่นว่า "ถ้ามั่นใจนักก็เปิดเลยสิโว้ย" โตโกเห็นท่าไม่ดีเลยชิงล้มโต๊ะ มักมุนร้องบอกทุกคนว่าโตโกและพวกเล่นโกง เหล่านักพนันได้ยินดังนั้นจึงพร้อมใจกันเข้ามารุมทึ้งโตโกและสมุน มูมยองส่งสัญญาณบอกให้มักมุนรีบหนี มักมุนแอบส่งถุงเงินของโตโกให้เด็กหญิงตัวน้อยก่อนวิ่งหนีไป โตโกเห็นดังนั้นจึงสั่งให้เหล่าสมุนตามไล่ล่าทั้งคู่ทันที มูมยองบอกให้มักมุนหนีไปอีกทางโดยนัดเจอกัน ณ โรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้ประตูวังที่สุด จากนั้นก็ล่อสมุนโตโกเข้าไปในตลาดที่มีคนพลุกพล่านก่อนหนีไปได้ในที่สุด และนั่นก็ทำให้โตโกยิ่งรู้สึกเคียดแค้น เขาจึงสั่งให้ลูกน้องไปตามจับตัวมูมยองมาให้ได้
ณ ร้านน้ำชาสุดหรูที่มีชื่อว่า "ซูทาพัคซู"... วีฮวากระดิกนิ้วเรียกเจ้าของร้านนามว่า "พี จูกี" มาพบ ทำให้รู้ว่าร้านน้ำชาแห่งนี้เป็นธุรกิจย่อยในเครือ "ทาอีซอ" (ร้านค้าสุดอินเทรนด์แห่งยุค) เขาบอกจูกีว่าตนต้องการอะไรบางอย่างที่พิเศษมากๆ จูกีนึกว่าวีฮวาอยากให้ตนจัดหาผู้หญิงให้จึงถามว่าเขาชอบผู้หญิงแบบไหน วีฮวาแย้งว่าสิ่งที่ตนต้องการไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นผู้ชาย จากนั้นก็ถามจูกีว่ารู้จักเด็กหนุ่มรูปงามบ้างไหม จูกีจึงพาวีฮวาไปที่ร้านทาอีซอซึ่งเป็นแหล่งรวมลูกค้าไฮโซรุ่นหนุ่มสาว และพาเขาไปยังห้องๆ หนึ่งซึ่งมีช่อง (รู) ลับสำหรับแอบดูคนที่อยู่ด้านนอก
อาโรซึ่งดิ้นรนทำงานสารพัดเพื่อหาเลี้ยงชีพ พยายามทวงเงินเดือนที่นายจ้าง (เจ้าของร้านขายเหล้า) ค้างจ่ายถึงสามเดือนโดยบอกว่าเธอมีความจำเป็นต้องใช้เงินวันนี้ แม้นายจ้างจะยอมจ่ายแต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นเศษเงิน เมื่อเธอทักท้วงว่านี่คือค่าจ้างสำหรับการทำงานสามเดือนงั้นหรือ นายจ้างก็อ้างหน้าตาเฉยว่าหักค่าเหล้าที่เธอแอบหยิบฉวยไป ไม่ว่าจะเอาไปดื่มเองหรือเอาไปขายต่อก็ตาม อาโรแย้งว่าตนไม่เคยทำเช่นนั้น และท้าให้ไปพิสูจน์ที่ "ชีจอน" (หน่วยงานที่ทำหน้าที่ควบคุมและตรวจสอบการค้าขาย) ด้วยกัน นายจ้างของเธอได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโกรธจึงกล่าวว่า เห็นตนเรียก "คุณหนู" เข้าหน่อยอาโรเลยคิดว่าตัวเองเป็น "ชินกล*" (True Bone) จริงๆ งั้นหรือ แม้พ่อเธอจะอยู่ในลำดับขั้นสูงสุดของชินกล แต่ถ้าแม่ของเธอเป็นชอนนิน (ชนชั้นต่ำสุดทางสังคม) พวกตนก็มีสถานะไม่ต่างกัน
เกร็ดความรู้:
1. ซองกล (Sacred Bone) ชนชั้นสูงสุดทางสังคม มีจำนวนน้อยที่สุดและเป็นชนชั้นเดียวที่มีสิทธิขึ้นครองบัลลังก์ โดยฝ่ายมารดาและบิดาต้องมีสายเลือดกษัตริย์ (ราชสกุลคิม) ด้วยกันทั้งคู่ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ราชินีซอนต๊อกและชินต๊อกสามารถขึ้นครองบัลลังก์ทั้งที่เป็นสตรี ทั้งนี้เพราะในยุคนั้นชนชั้นซองกลไม่มีทายาทฝ่ายชายเลย (ภายหลังชนชั้นนี้ได้ถูกยกเลิกไปเมื่อปี ค.ศ. 654 ในรัชสมัยพระเจ้า "มูยอล" หรือ "คิม ชุนชู" (หลานราชินีซอนต๊อก) ซึ่งเป็นคนชนชั้นชินกล นับจากนั้นผู้มีสิทธิครองบัลลังก์จึงมาจากชนชั้นชินกลเท่านั้น)
2. ชินกล (True Bone) ประกอบด้วย เหล่าเชื้อพระวงศ์ที่เหลือ (บิดาหรือมารดามีสายเลือดกษัตริย์เพียงฝ่ายเดียว) รวมทั้งสกุลปาร์คและสกุลซ็อกแห่งคยองจู ซึ่งเคยขึ้นครองบัลลังก์ชิลลาในยุคต้นๆ และมักเกี่ยวดองกับราชวงศ์ผ่านการอภิเษก ตลอดจนสกุลคิมอีกสาย (ราชสกุล "กิมแฮ คิม") ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากพระราชาแห่งอาณาจักรคายา โดยชนชั้นนี้สามารถเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก
3. ทูพุม (Head Ranks) เป็นชนชั้นสูงที่อยู่ในลำดับต่ำลงมา มี 3 ลำดับขั้น คือ 6 (สูงสุด), 5 และ 4 รายละเอียด/ที่มายังไม่ทราบแน่ชัด
หลังถูกโกงค่าแรงและโดนดูถูกเหยียดหยาม อาโรจึงเอาคืนด้วยการทำอย่างที่ถูกกล่าวหาเสียเลย เธอหยิบเหล้าราคาแพงขึ้นมาไหหนึ่งแล้วยกขึ้นดื่มทันที เจ้าของร้านเห็นดังนั้นก็ร้องลั่นและพยายามแย่งคืนทำให้ถูกอาโรถีบกล่องดวงใจ หลังดื่มจนหมดไหในคราวเดียวเธอก็บอกเจ้าของร้าน (พูดลิ้นพันกัน) ว่านับจากนี้เธอจะเอาค่าจ้าง (ที่ค้างอยู่สามเดือน) มาใส่ไว้ในท้อง ในเมื่อเหล้าหนึ่งไหมีค่าเท่ากับค่าแรงหนึ่งเดือน ดังนั้น เธอจะมาดื่มเหล้าทั้งหมดสามไห
หลังจากนั้นอาโรก็เดินไปตามถนนในสภาพเมาแอ๋ แถมยังทะเลาะกับพื้นดินโดยโวยลั่นว่าขยับเข้าหาเธอทำไม ครั้นเห็นเด็กสองคนขโมยเค้กข้าวบนแผงของแม่ค้าคนหนึ่ง เธอก็วิ่งโซเซตามเด็กไปหมายสั่งสอนเลยชนเข้ากับมูมยองที่บังเอิญเดินผ่านมาพอดี มูมยองคว้าตัวอาโรมาไว้ในอ้อมแขนก่อนที่เธอจะล้มกระแทกพื้น ถึงกระนั้นรองเท้าข้างหนึ่งของเธอก็หลุดกระเด็นข้ามหัวไป ทั้งคู่จ้องหน้ากันชั่วขณะ มูมยองไม่เคยเข้าใกล้ผู้หญิงทำให้รู้สึกขัดเขินและทำตัวไม่ถูก เขาจึงปล่อยเธอร่วงลงพื้นแล้วเดินจากไป อาโรดึงขามูมยองเอาไว้พลางขอร้องให้ช่วยเก็บรองเท้าเพราะเธอลุกไม่ไหว มูมยองไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาด้วยเกรงว่าสมุนของโตโกจะตามมาพบเข้าจึงบอกให้อาโรปล่อยขาตนและพยายามเดินหนี แต่อาโรกอดขามูมยองแน่นก่อนร้องขอความเห็นใจโดยบอกว่าเธอมีรองเท้าเพียงคู่เดียวและสิ่งที่เธอขอร้องก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
มูมยองได้ยินดังนั้นจึงถอนใจเฮือกใหญ่ (ถึงไม่เต็มใจนักแต่ดูเหมือนว่าเขาคิดที่จะช่วยเธอ) ทันใดนั้นก็มีคนของทางการควบม้าเข้ามาในตลาด มูมยองเห็นดังนั้นจึงรีบชิ่งหนี อาโรซึ่งยังคงนั่งขวางกลางถนนบ่นว่ามูมยองเป็นคนใจจืดใจดำและพยายามลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก มูมยองเดินหนีไปได้ไม่ไกลก็หยุดกึก เขาอดหันหลังกลับไปดูอาโรด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ เมื่อเห็นว่าอาโรยังคงยืนขวางถนนทั้งที่ชายบนหลังม้าร้องตะโกนให้หลีกทาง เขาจึงรีบวิ่งกลับไปหาและคว้าตัวเธอให้พ้นทาง ครั้นได้อยู่ในอ้อมแขนของมูมยองอีกครั้งอาโรก็ถึงกับเคลิ้ม เธอนึกสงสัยในใจว่าภาพที่เห็นตรงหน้าเป็นความจริง หรือภาพลวงตาอันเป็นผลมาจากอาการเมา (เพราะดื่มเหล้าขณะท้องว่าง) กันแน่ มูมยองถามอาโรว่าไม่เป็นไรใช่ไหม อาโรไม่ตอบแต่กลับเพ้อว่าเขาหล่อสุดๆ แถมยังยิ้มหวานให้อีกด้วย มูมยองเห็นดังนั้นจึงทำตัวไม่ถูก เขาหลบตาเธอก่อนพูดแก้เก้อโดยบอกว่าถึงเป็นอะไรตนก็ช่วยไม่ได้ พูดจบเขาก็โยนเธอลงพื้นอีกครั้งแล้วเดินจากไป อาโรลุกขึ้นนั่งพลางบ่นว่า "แค่หยิบรองเท้าให้มันยากเย็นนักหรือไง...คนแล้งน้ำใจ" เธอบ่นยังไม่ทันขาดคำรองเท้าเจ้ากรรมก็ปลิวมาตกใส่หัว ที่แท้มูมยองช่วยเก็บรองเท้าและโยนคืนให้แต่ดันพลาดไปโดนหัวอาโรโดยไม่ได้ตั้งใจ
ในที่สุดอาโรก็เดินโซเซมาถึงบ้านจนได้ เธอยังไม่ทันเข้าไปในบ้านก็ทิ้งตัวลงบนแคร่ (ซึ่งตากสมุนไพรเอาไว้) เสียก่อน ภายในบ้าน "คิม อันจี" หรือ "อันจีกง" (ใต้เท้าอันจี) (พ่อของอาโรและลูกชายที่พลัดพรากนามว่า "คิม ซอนอู" เขาเป็นคนชนชั้นชินกล (True Bone) แต่ถูกบีบให้ตกระกำลำบาก ถึงกระนั้นเขาก็เป็นหมอที่ช่วยรักษาคนเจ็บป่วยฟรี) กำลังช่วยรักษาบาดแผลให้ชายเร่ร่อน ชายเร่ร่อนรู้สึกซาบซึ้งใจที่อันจีช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้ตนมาโดยตลอด (เขาเป็นคนไร้บ้านจึงมักถูกผู้คนข่มเหงรังแก) เมื่ออันจีถามถึงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ชายคนดังกล่าวตอบว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่คนที่อันจีกำลังตามหาอีกตามเคย อันจีพยายามซ่อนความรู้สึกผิดหวัง (ซ้ำแล้วซ้ำเล่า) เอาไว้ภายใน ชายเร่ร่อนจึงปลอบว่าอันจีพลิกแผ่นดินหาเด็กคนนั้นมาตลอด 10 ปี เชื่อว่าสักวันเขาต้องหาเจอแน่นอน
ซัมเมกจง (หรือ "พระเจ้าจินฮึง" พระราชาองค์ที่ 24 แห่งอาณาจักรชิลลา) ซึ่งสวมเครื่องทรงสีแดง เดินเข้าไปในท้องพระโรงอันว่างเปล่าตามลำพังในยามค่ำคืน สายตาของเขาจับจ้องไปที่บัลลังก์ตลอดเวลา ขณะหยุดยืนหน้าบัลลังก์เขาได้ยินเสียงจีโซแทฮูร้องถามจากทางด้านหลังว่า "เจ้ามาที่นี่ทำไม" จึงหันกลับไปเผชิญหน้าพระมารดา หลังจากนั้นภาพก็ตัดกลับไปยังเหตุการณ์เมื่อ 11 ปีก่อนซึ่งตรงกับปีที่ 27 ในรัชสมัยพระเจ้าพอบฮึง (อดีตพระราชา) นางในคนหนึ่งรีบวิ่งมาแจ้งข่าวองค์หญิงจีโซ (จีโซแทฮูในขณะนั้น) ซึ่งกำลังนั่งดูลูกน้อย (ซัมเมกจง วัย 7 ขวบ) นอนหลับ ว่าพระเจ้าพอบฮึง (พระราชบิดาขององค์หญิงจีโซ) สวรรคตแล้ว
ทันใดนั้นก็มีกลุ่มนักฆ่าบุกมาที่ตำหนักของเธอหมายสังหารองค์ชายน้อยซัมเมกจง แต่ฮยอนชูและพวกช่วยกันต้านเอาไว้ องค์หญิงจีโซคว้าตัวซัมเมกจง (ซึ่งเป็นองค์ชายรัชทายาท) มากอดพลางชักกระบี่ออกมา ก่อนบอกนางในคนสนิทว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องปกป้องซองกล (Sacred Bone) คนสุดท้าย (ซึ่งก็คือซัมเมกจง) เอาไว้ให้ได้ (หากซัมเมกจงโดนสังหาร ผู้ที่อยู่ในชนชั้นชินกล (True Bone) จะสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้) เธอเรียกหาพาโอและขอให้เขาช่วยปกป้ององค์ชายรัชทายาท โดยขอให้เขารักษาชีวิตลูกน้อยของเธอเอาไว้ให้ได้ นับจากนั้นซัมเมกจงจึงอยู่ในความดูแลของพาโอและต้องใช้ชีวิตอย่างลับๆ โดยไม่อาจเผยใบหน้าและฐานะให้ใครรู้
ตัดกลับมายังช่วงเวลาปัจจุบัน ซัมเมกจงกล่าวว่าจีโซแทฮูไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย จีโซแทฮูถามคำเดิมด้วยสายตาและน้ำเสียงเย็นชาว่า "เจ้ามาที่นี่ทำไม... เจ้ามาเพราะไม่เชื่อใจข้าใช่ไหม" ซัมเมกจงถามกลับว่ามันแปลกตรงไหนที่ตนมาที่นี่ (ในเมื่อตนเป็นพระราชา) ตนไม่อาจอยู่ตรงนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องแปลก จีโซแทฮูชี้ว่ายังมีผู้คนอีกมากมายในเมืองหลวงที่ต้องการเอาชีวิตซัมเมกจง ไม่รู้หรือว่าแม้แต่ทหารและเหล่าข้าราชบริพารก็ไม่อาจไว้ใจได้แม้แต่คนเดียว ซัมเมกจงกล่าวว่าตนจะไม่รู้ได้อย่างไร การที่ตนสามารถไปไหนมาไหนและใช้ชีวิตนอกวังได้อย่างอิสระนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของเสด็จแม่ แต่เคยได้ยินประโยคนี้ไหม "ต่อให้จับโจรที่ซ่อนตัวบนเขาได้นับสิบ ก็ไม่อาจจับโจรคนเดียวที่อยู่ในใจได้" ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาตนมัวเสียเวลากับคนผิดมากเกินไป ทุกวันนี้จึงมีแต่ความระแวงสงสัยผู้อื่น จีโซแทฮูถามซัมเมกจงว่า "เจ้าสงสัยว่าข้าคิดชิงบัลลังก์ของเจ้างั้นหรือ นี่เจ้าไม่เชื่อใจข้าใช่ไหม" ซัมเมกจงกล่าวว่าเชื่อใจหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตนก็แค่มาที่นี่เพื่อดูบัลลังก์เพราะกลัวว่าสักวันจะลืมว่าตัวเองเป็นใคร จีโซแทฮูประณามซัมเมกจงว่าเป็นคนอ่อนแอ และกล่าวว่าเธอจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าควรแนะนำเขาให้โลกรู้เมื่อไหร่ ดังนั้นจงใช้ชีวิตดุจคนที่ตายไปแล้วจนกว่าจะถึงวันนั้น
หลัง "โฮกง" (หรือ "ใต้เท้าโฮ" พ่อแท้ๆ ของ "ปาร์ค พันรยู") รายงานว่าเมื่อคืนก่อนประตูวังด้านหนึ่งถูกเปิดออกโดยที่ไม่มีทหารยามประจำการแม้แต่คนเดียว "ปาร์ค ยองชิล" (พ่อบุญธรรมของ "ปาร์ค พันรยู" เป็นผู้นำขั้วตรงข้ามและศัตรูตัวฉกาจของจีโซแทฮูที่จ้องโค่นล้มราชบัลลังก์และสังหารซัมเมกจง) ก็ฟันธงว่าคนที่เข้าวังอย่างลับๆ ในเวลานั้นคือซัมเมกจง โฮกงได้ยินดังนั้นจึงคิดส่งนักฆ่าไปสังหารซัมเมกจง
กลางดึกคืนนั้นซัมเมกจงนั่งอยู่ในห้องพักนอกวังตามลำพังพลางจ้องมองกำไลรูปหัวมังกรบนข้อมืออย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก มักมุนซึ่งมาซุ่มรอมูมยองทางด้านนอกโรงเตี๊ยมตามนัดเห็นชายชุดดำคนหนึ่งลอบเข้าไปในอาคารที่อยู่ใกล้กันก็รู้สึกตกใจ ชายชุดดำคนดังกล่าวค่อยๆ ย่องเข้าไปในห้องนอนของซัมเมกจงโดยมีมีดดาบที่ทั้งเก่าและบิ่นเป็นอาวุธ เมื่อเดินไปถึงเตียงนอนเขาก็ปักมีดลงบนผ้าห่มแต่แล้วกลับพบว่าบนเตียงไม่มีคนนอนอยู่ ที่แท้ซัมเมกจงแอบหลบอยู่ทางด้านหลังฉาก เขาถามชายชุดดำว่าเป็นขโมยหรือ ชายชุดดำไม่ตอบและถือมีดวิ่งเข้าหาซัมเมกจงแต่กลับถูกซัมเมกจงชกจนล้มคว่ำอย่างง่ายดาย ซัมเมกจงถามต่อว่าหากไม่ใช่ขโมยเขาคงเป็นนักฆ่าใช่ไหม ชายคนดังกล่าวไม่ตอบ เขากวัดแกว่งมีดเข้าหาซัมเมกจงแต่ถูกซัมเมกจงชกจนหงายเงิบอีกครั้ง
ซัมเมกจงเห็นว่าชายชุดดำไม่มีทักษะในการใช้มีดดาบ แถมมีดที่นำมาใช้ยังเก่าเก็บจนแทบไร้คม มิหนำซ้ำเขายังดื่มเหล้าย้อมใจก่อนลงมือเพื่อดับความกลัว จึงถามขณะล็อคตัวชายคนดังกล่าวว่าชีวิตตนมีค่าเท่าไหร่ ไม่แน่ว่าบางทีตนอาจจ่ายให้มากกว่านั้น ชายชุดดำสารภาพว่าตนจะได้ข้าวสารสามกระสอบหากฆ่าหนุ่มชนชั้นชินกล (True Bone) ได้สำเร็จ (เขาไม่รู้ว่าซัมเมกจงเป็นพระราชาซึ่งอยู่ในชนชั้นซองกล (Sacred Bone)) ซัมเมกจงหัวเราะด้วยความสมเพชเมื่อรู้ว่าตนมีค่าหัวแค่ข้าวสามกระสอบ จากนั้นก็ร้องเรียกพาโอ เมื่อเห็นว่าผู้ที่เดินเข้ามาในห้องคือฮยอนชู ซัมเมกจงก็รู้สึกแปลกใจ ฮยอนชูเห็นชายชุดดำอยู่ภายในห้องจึงลงมือสังหารทันที จากนั้นก็ถามซัมเมกจงว่าทรงปลอดภัยดีใช่ไหม
มักมุนเห็นชายชุดดำลอบเข้าไปในอาคารจึงแอบตามไปดู ครั้นเห็นพาโอเดินเข้าไปข้างในเขาก็รีบหลบ พาโอเห็นศพชายชุดดำก็รู้สึกตกใจ ซัมเมกจงไม่พอใจที่ฮยอนชูฆ่าคนเป็นผักปลาจึงชี้ว่าชายคนดังกล่าวเป็นแค่ประชาชนคนธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ฮยอนชูแย้งว่าชายชุดดำเห็นหน้าซัมเมกจงแล้ว ซัมเมกจงแย้งกลับว่าใครจะลอบปลงพระชนม์พระราชาเพื่อข้าวสารสามกระสอบ ฮยอนชูจึงบอกว่าเป็นคำสั่งจีโซแทฮู ซัมเมกจงได้ยินแล้วเจ็บแปลบ (พาโอได้แต่แอบสงสาร) เขากล่าวกับฮยอนชูด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจระคนเคียดแค้นว่า ถ้าเช่นนั้นก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไปในเมื่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (ชิลลา) แห่งนี้เป็นของนาง ส่วนตนเป็นแค่เต่าหัวหด พูดจบซัมเมกจงก็เดินออกจากห้องด้วยความโกรธ ฮยอนชูเห็นดังนั้นจึงได้แต่ร้องเรียก
เมื่อซัมเมกจงเดินออกมาทางด้านนอกก็พบมักมุนผู้ใสซื่อยืนอยู่ตรงหน้า เขาไม่รู้ว่ามักมุนเป็นใครจึงหันไปมองด้วยความแปลกใจ ทั้งคู่เผชิญหน้ากันได้สักพักฮยอนชูก็ตามออกมา ฮยอนชูไม่ทันเห็นมักมุนจึงร้องเรียกซัมเมกจงว่า "ฝ่าบาท" (มักมุนได้ยินเต็มสองหูก็รู้สึกตกใจ) ซัมเมกจงรีบยกมือห้ามไม่ให้ฮยอนชูพูดต่อ เมื่อพบว่ามีคนเห็นหน้าและรู้ฐานะของซัมเมกจงแล้วฮยอนชูก็รู้สึกตกใจ ซัมเมกจงรู้ว่ามักมุนจะมีชะตากรรมเช่นไรแต่ไม่อาจช่วยอะไรได้ มักมุนเริ่มรู้ตัวว่าตนมาโผล่ผิดที่ผิดเวลาจึงหันหลังกลับแล้ววิ่งหนีทันที ฮยอนชูเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามไป เมื่อเห็นว่าตามไม่ทันเขาจึงควบม้าไล่ตาม
มักมุนวิ่งหนีตายสุดชีวิต โชคดีที่มูมยองช่วยดึงตัวเขาให้นั่งหลบหลังกำแพงแทนที่จะวิ่งพล่านไปทั่ว หลังรอดพ้นคมดาบของฮยอนชูมาได้ มักมุนก็ละล่ำละลักบอกมูมยองว่าตนเพิ่งเห็นพระราชา ขณะนอนบนกองฟาง มักมุนยังคงยืนกรานว่าตนได้ยินคนเรียกพระราชาว่า "ฝ่าบาท" มูมยองไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้เลยแย้งว่าพระราชาต้องอยู่ในวัง จะออกมานอนนอกวังให้ลำบากทำไม มักมุนหมดปัญญาอธิบายจึงพยายามบรรยายหน้าตาพระราชาที่ตนเห็นเพื่อเป็นการยืนยันแต่ดันบอกได้เพียงว่าทรงมีหน้าตาเหมือนพระราชาทั่วๆ ไป มูมยองกล่าวว่าบางทีมักมุนอาจฟังผิด คำว่า "ฝ่าบาท" ที่มักมุนได้ยิน จริงๆ แล้วอาจเป็น "อัดเจ้าดีมั๊ย" (สองคำนี้ออกเสียงคล้ายกัน) พูดจบเขาก็แกล้งอัดมักมุน มูมยองมองว่าขืนปล่อยให้มักมุนออกไปเดินเพ่นพล่านในเมืองหลวงตอนกลางวันแสกๆ มีหวังไม่รอดแน่ (ทั้งจากเงื้อมือโตโกและฮยอนชู) เพราะมักมุนเป็นคนตัวสูงโย่งจึงโดดเด่นสะดุดตาเกินไปทำให้พบเห็นได้ง่าย เลยบอกให้มักมุนนำสร้อยมาให้ตนแล้วตนจะออกไปตามหาครอบครัวให้เอง มักมุนถามว่าถ้าเช่นนั้นจะให้ตนทำอะไร มูมยองจึงบอกให้มักมุนไปพบตนที่หน้า "อกทา" (คลับไฮโซสุดหรูแห่งยุค) หลังพระอาทิตย์ตกดิน
วันรุ่งขึ้นมูมยองนำสร้อยคอไปตระเวนหาเบาะแสครอบครัวของมักมุนในตลาด ปรากฏว่าไม่มีพ่อค้าแม่ค้าคนไหนรู้จักหรือเคยพบเห็นคนที่สวมสร้อยคอแบบเดียวกัน เมื่อเดินมาถึงกลางตลาดเขาก็จำได้ว่าเคยเจออาโรโดยบังเอิญที่นี่เมื่อวันก่อน เขาหวนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ทั้งใบหน้า รอยยิ้ม และคำพูดของเธอ (ที่ชมว่าเขาหล่อสุดๆ) ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำ และนั่นก็ทำให้เขาเผลอยิ้มออกมา เขาพยายามกวาดตามองหาเธอแต่ก็ไม่เจอแม้เงา
หลังพระอาทิตย์ตกดิน มักมุนมารอมูมยองที่หน้า "อกทา" ตามนัด ครั้นได้เห็นบรรยากาศและผู้คนที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ถึงกับอ้าปากค้าง (เหล่าคนหนุ่มสาวต่างสวมชุดผ้าไหมราคาแพงและแต่งตัวสวยงาม) เพราะไม่เคยอยู่ท่ามกลางความหรูหราศิวิไลซ์ของสังคมไฮโซแบบนี้มาก่อน ทุกสิ่งที่เห็นจึงน่าตื่นตาตื่นใจไปหมดสำหรับเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาวงาม เมื่อเห็นอาโรเดินผ่านมามักมุนก็อดมองตามไม่ได้ แต่แล้วสิ่งที่เตะตาเขากลับไม่ใช่ใบหน้าของเธอ หากเป็นสร้อยคอที่เธอสวมซึ่งเหมือนกับสร้อยคอของเขา มักมุนจะตามอาโรเข้าไปในอกทาแต่ถูกคนเฝ้าประตูขวางเอาไว้ เขาจึงได้แต่หมายมั่นว่าจะต้องสอบถามอาโรเรื่องสร้อยคอให้จงได้
"อกทา" เป็นสถานบันเทิงยามค่ำคืนสุดหรูและอินเทรนด์ที่สุดในชิลลา เหล่าลูกค้าที่มาแฮงค์เอาท์ล้วนเป็นชนชั้นสูงวัยหนุ่มสาว เมื่อ "ปาร์ค พันรยู" และพวกมาถึง เหล่าบรรดาสาวๆ ก็กรี๊ดสลบเพราะพันรยูเป็นชายหนุ่มรูปงามซึ่งมาจากครอบครัวขุนนางใหญ่ที่เรืองอำนาจและทรงอิทธิพล (เป็นคนชนชั้นชินกล (True Bone)) แต่เขาโดดเด่นเปล่งประกายได้ไม่นานก็มีชายหนุ่มรูปงามอีกคนมาทาบรัศมี ชายหนุ่มคนที่ว่าคือ "คิม ซูโฮ" ซึ่งเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ (แต่รักเดียวใจเดียว) ที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด และเป็นคนชนชั้นชินกลเช่นกัน (ครอบครัวของทั้งคู่เป็นขั้วตรงข้ามทางการเมืองและเป็นศัตรูกัน) ซูโฮถึงกับเซ็งเมื่อเห็นคู่ปรับจึงบ่นว่าเห็นหน้าพันรยูแล้วอยากอ๊วก ขณะยืนเผชิญหน้ากันทั้งคู่ได้ยินสาวๆ กล่าวว่าซูโฮหล่อกว่าพันรยู ซูโฮได้ยินดังนั้นก็ยืดอกและยิ้มแป้น แต่แล้วก็มีผู้หญิงอีกกลุ่มชมว่าพันรยูเจ๋งและสูงส่งที่สุดหมู่ชินกล (True Bone) ด้วยกัน พันรยูได้ทีจึงส่งสายตาและเหยียดมุมปากเยาะเย้ยซูโฮ
นอกจากแก๊งของพันรยูกับซูโฮแล้ว ยังมีชายหนุ่มรูปงามอีกคนมาเที่ยวอกทาอย่างลับๆ ตามลำพัง เขาคนนั้นคือ...ซัมเมกจง ซึ่งนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวอย่างเหงาๆ คล้ายกำลังรอใครบางคน อีกด้านหนึ่ง เหล่าสาวๆ ต่างมารวมตัวกันในห้องๆ หนึ่ง พวกเธอกำลังรออะไรสักอย่างด้วยใจจดจ่อเช่นเดียวกัน ที่แท้ทุกคนกำลังรอฟังเรื่องราวสุดโรแมนติกจากนักเล่าเรื่องสาว ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...อาโร!
มักมุนต้องการเข้าไปหาอาโรในอกทาจึงสวมรอยเป็นคนงานขนเสบียงอาหารโดยขนลังใส่เหล้าเข้าไปทางด้านใน ในตอนนั้นอาโรเริ่มบรรยายฉากรักอันเร่าร้อนให้ทุกคนฟังอย่างออกรสว่า "...เขาถูกความหึงหวงเข้าครอบงำ หัวใจของเขาร้อนรุ่มดังถูกไฟแผดเผา เขาข่มแรงปรารถนาเอาไว้ภายใน หลังตัดสินใจว่าจะใช้ช่วงเวลาที่แสนเร่าร้อนด้วยกันในสถานที่อันเร้นลับ... ตอนเที่ยงคืน... ที่นาจอง!..." ปรากฏว่าคนที่กำลังฟินกับเรื่องเล่าของอาโรไม่ได้มีเพียงเหล่าบรรดาสาวๆ แม้แต่ซัมเมกจงก็กำลังนั่งเงี่ยหูฟังอยู่ภายในห้อง ขณะที่ซูโฮและผองเพื่อนถึงกับเอาหูแนบผนังฟังภายในห้องส่วนตัว เขาและเพื่อนๆ ได้ยินว่าตัวเอกของเรื่องนัดฟีเจอริ่งกันที่นาจองก็รู้สึกตกใจ เพราะนาจองคือสถานที่ประสูตรของ "พระเจ้าฮยอกกอเซ" (หรือ "ปาร์ค พัค" ปฐมกษัตริย์และผู้ก่อตั้งอาณาจักรชิลลา) จึงนับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ซูโฮฟินและลุ้นหนักขึ้น
* นาจองเป็นชื่อตัวละครที่นางเอก (โก อารา) เคยสวมบทบาทในละครเรื่อง "Reply 1994" และยังเป็นชื่อบ่อน้ำในยางซาน ซึ่งมีตำนานเล่าขานว่า "พระเจ้าฮยอกกอเซแห่งชินลา" ทรงถือกำเนิดที่นั่น (แม้ตำนานระบุว่าพระองค์เสด็จออกมาจากไข่ซึ่งเป็นเพียงเรื่องเล่าขาน แต่พระเจ้าฮยอกกอเซก็เป็นปฐมกษัตริย์แห่งชิลลาจริง)
ปรากฏว่าแก๊งของพันรยูที่ซึ่งนั่งดื่มสุราในห้องส่วนตัวก็เงี่ยหูฟังเรื่องเล่าของอาโรด้วยเช่นกัน ทุกคน (ยกเว้นพันรยู) ต่างพากันหัวเราะชอบใจเมื่อได้ยินว่าสถานที่พลอดรักคือนาจอง "คังซอง" ชอบเรื่องที่อาโรเล่าเลยหมายมั่นว่าจะเรียกอาโรมารินเหล้าให้ตน เขาบอกเพื่อนๆ ว่าอาโรไม่เพียงเล่าเรื่องเก่งแต่ยังหน้าตาดีอีกด้วย พันรยูซึ่งเป็นคนเดียวที่นั่งอ่านหนังสือแอบรำคาญที่คังซองพูดเสียงดังลั่นอย่างไม่เกรงใจ ครั้นได้ยินเพื่อนคนหนึ่งบ่นว่าเหล้าหมดและขอตัวไปสั่งเหล้าเพิ่ม พันรยูจึงสั่งให้คังซองออกไปเอาเหล้า โดยให้เหตุผลว่าพ่อของคังซองเป็นขุนนางที่มีตำแหน่งต่ำสุดในหมู่พ่อของพวกตน ทั้งยังไม่ได้อยู่ในชนชั้นชินกล (True Bone) (จึงสวมชุดขุนนางคนละสีกับพ่อของคนอื่นๆ) จากนั้นก็เตือนว่าแม้พวกตนจะเที่ยวเตร่เฮฮาด้วยกันก็อย่าสำคัญตนผิดและคิดตีเสมอ คังซองได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโกรธและเจ็บใจ ถึงกระนั้นเขาก็ยอมออกไปเอาเหล้ามาให้เพื่อนผู้สูงศักดิ์แต่โดยดี
นอกจากแก๊งของพันรยูกับซูโฮแล้ว ยังมีชายหนุ่มรูปงามอีกคนมาเที่ยวอกทาอย่างลับๆ ตามลำพัง เขาคนนั้นคือ...ซัมเมกจง ซึ่งนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวอย่างเหงาๆ คล้ายกำลังรอใครบางคน อีกด้านหนึ่ง เหล่าสาวๆ ต่างมารวมตัวกันในห้องๆ หนึ่ง พวกเธอกำลังรออะไรสักอย่างด้วยใจจดจ่อเช่นเดียวกัน ที่แท้ทุกคนกำลังรอฟังเรื่องราวสุดโรแมนติกจากนักเล่าเรื่องสาว ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...อาโร!
* นาจองเป็นชื่อตัวละครที่นางเอก (โก อารา) เคยสวมบทบาทในละครเรื่อง "Reply 1994" และยังเป็นชื่อบ่อน้ำในยางซาน ซึ่งมีตำนานเล่าขานว่า "พระเจ้าฮยอกกอเซแห่งชินลา" ทรงถือกำเนิดที่นั่น (แม้ตำนานระบุว่าพระองค์เสด็จออกมาจากไข่ซึ่งเป็นเพียงเรื่องเล่าขาน แต่พระเจ้าฮยอกกอเซก็เป็นปฐมกษัตริย์แห่งชิลลาจริง)
ปรากฏว่าแก๊งของพันรยูที่ซึ่งนั่งดื่มสุราในห้องส่วนตัวก็เงี่ยหูฟังเรื่องเล่าของอาโรด้วยเช่นกัน ทุกคน (ยกเว้นพันรยู) ต่างพากันหัวเราะชอบใจเมื่อได้ยินว่าสถานที่พลอดรักคือนาจอง "คังซอง" ชอบเรื่องที่อาโรเล่าเลยหมายมั่นว่าจะเรียกอาโรมารินเหล้าให้ตน เขาบอกเพื่อนๆ ว่าอาโรไม่เพียงเล่าเรื่องเก่งแต่ยังหน้าตาดีอีกด้วย พันรยูซึ่งเป็นคนเดียวที่นั่งอ่านหนังสือแอบรำคาญที่คังซองพูดเสียงดังลั่นอย่างไม่เกรงใจ ครั้นได้ยินเพื่อนคนหนึ่งบ่นว่าเหล้าหมดและขอตัวไปสั่งเหล้าเพิ่ม พันรยูจึงสั่งให้คังซองออกไปเอาเหล้า โดยให้เหตุผลว่าพ่อของคังซองเป็นขุนนางที่มีตำแหน่งต่ำสุดในหมู่พ่อของพวกตน ทั้งยังไม่ได้อยู่ในชนชั้นชินกล (True Bone) (จึงสวมชุดขุนนางคนละสีกับพ่อของคนอื่นๆ) จากนั้นก็เตือนว่าแม้พวกตนจะเที่ยวเตร่เฮฮาด้วยกันก็อย่าสำคัญตนผิดและคิดตีเสมอ คังซองได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโกรธและเจ็บใจ ถึงกระนั้นเขาก็ยอมออกไปเอาเหล้ามาให้เพื่อนผู้สูงศักดิ์แต่โดยดี
มูมยองนำสร้อยคอของมักมุนไปให้จูกีดูพลางถามว่าเคยเห็นสร้อยเส้นนี้หรือไม่ จูกีกล่าวว่าตนรู้สึกคุ้นๆ แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน มูมยองเลยขอให้เขานึกดูให้ดี จูกีลอบมองมูมยองตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนคิดในใจว่า "หมอนี่...ถ้าไม่ได้มาจากชนชั้นสูงสุด ก็ต้องเป็นคนชนชั้นต่ำสุด" (ซึ่งถูกทั้งสองอย่าง) จากนั้นก็บอกมูมยองว่าตนไม่แน่ใจ มูมยองได้ยินดังนั้นจึงถอนใจเฮือกใหญ่ จูกีเห็นมูมยองสวมหมวกสานปิดบังใบหน้าเลยแอบฟันธงว่ามูมยองต้องหน้าตาอัปลักษณ์แน่นอน เขาบอกให้มูมยองทิ้งสร้อยคอไว้ที่นี่แล้วตนจะช่วยสืบหาเบาะแสให้ มูมยองจึงขยับหมวกขึ้นเพื่อมองหน้าจูกีชัดๆ ครั้นได้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของมูมยอง จูกีก็ถึงกับตกตะลึงพลางนึกในใจว่าตนคิดผิดถนัด มูมยองชี้ว่าสร้อยคอเส้นนี้ไม่ใช่ของตนแต่เป็นของสำคัญของเพื่อน ตนจึงไม่อาจทิ้งไว้ทีนี่ เขาชูสร้อยให้จูกีดูใกล้ๆ อีกครั้งพลางขอให้ลองพิจารณาว่าเคยพบใครที่รู้จักสร้อยคอเส้นนี้หรือไม่
มักมุนลอบเข้าไปตามหาอาโรในอกทาจึงตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน (เขาสวมชุดผ้าฝ้ายซึ่งบ่งบอกฐานะว่าเป็นชนชั้นต่ำ ส่วนเหล่าลูกค้าไฮโซสวมชุดผ้าไหมราคาแพง) ครั้นเห็นสาวๆ กำลังตั้งใจฟังอาโรเล่าเรื่องราวอย่างออกรสในห้องๆ หนึ่ง เขาจึงแอบดูพวกเธอที่หน้าประตูและได้เห็นสร้อยคอที่อาโรสวมอีกครั้ง ในตอนนั้นอาโรเล่าว่า "หลังสูดอากาศอันเย็นยะเยือกในยามเที่ยงคืนที่นาจอง เขาพยายามข่มจิตใจที่ร้อนรุ่ม" หลังจากนั้นอาโรก็ทำเสียงใจเต้น...ตึก ตึก ตึก แม้จะเห็นเพียงบางส่วนแต่มักมุนมั่นใจว่าสร้อยคอของอาโรเป็นแบบเดียวกับของตน เขาจึงแอบร้องเรียกเธอเบาๆ และพยายามโบกมือให้ที่หน้าประตู
โชคร้ายที่ในตอนนั้นคังซองถือถาดเหล้าผ่านมาพอดี มักมุนไม่ทันสังเกตเห็น (คังซองเองก็มัวแต่หงุดหงิดจนไม่ทันมองเช่นกัน) เลยถอยชนถาดเหล้าที่คังซองถือมาทำให้ขวดเหล้าแตกกระจายเกลื่อนพื้น คังซองเห็นสารรูปมักมุนก็รู้ได้ทันทีว่ามักมุนไม่ใช่คนเมืองหลวงจึงคาดคั้นว่ามักมุนเป็นใครและขอดูใบอนุญาตเข้าเมือง มักมุนพยายามเดินหนีเพราะไม่อยากให้เรื่องบานปลายแต่คังซองคว้าข้อมือเขาเอาไว้อย่างรู้ทัน มักมุนสะบัดแขนออกและพยายามเดินหนีอีกครั้งแต่คังซองไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ เพราะต้องการใช้มักมุนเป็นที่ระบายโทสะ
อาโรไม่รู้ว่าข้างนอกกำลังเกิดเรื่อง เธอเล่าว่า "แต่ละวินาทียาวนานดุจพันปี เขาถูกเพลิงพิศวาสแผดเผาและอยากกระโจนเข้าหาเธอเต็มแก่แต่ทำได้เพียงอดทนรอ ทันทีที่เธอมาถึงเขาก็ลากเธอเข้าไปในป่าแล้วผลักเธอเข้าหาต้นสน" (ซูโฮและผองเพื่อนต่างเอาหูแนบผนังฟังด้วยอาการลุ้นระทึก ขณะที่ซัมเมกจงนั่งกอดอกหลับตาฟัง) อาโรกล่าวต่อว่า "เขาใช้มือยันกันเธอเอาไว้พลางกล่าวว่า "เจ้าทำให้ข้าร้อนรุ่มยิ่งนัก"... ทั้งคู่ต่างโหยหาริมฝีปากของกันและกัน" อาโรทำปากจู๋แล้วเล่าต่อโดยปั้นหน้าหื่นว่า "ในที่สุด... โดยไม่รอช้า..." เธอทำท่าฉีกเสื้อผ้าพลางทำเสียงประกอบดังแควก สาวๆ ฟังแล้วต่างพากันกรีดร้อง ขณะที่บางคนถึงกับอ่อนระทวย
ในเวลาเดียวนั้น มักมุนผู้น่าสงสารกำลังถูกคังซองกระหน่ำฟาดด้วยฝักดาบ จากนั้นก็เตะซ้ำแล้วหัวเราะเสียงดังลั่นด้วยความสะใจ ซูโฮรู้สึกหงุดหงิดที่คนข้างนอกทำเสียงดังรบกวนตอนเรื่องเล่ากำลังเข้าด้ายเข้าเข็มจึงออกมาโวย และพบว่าคนที่ส่งเสียงดังคือคังซองซึ่งเป็นสมุนของคู่ปรับ (ซูโฮเรียกคังซองว่า "เศษสวะ" ของพันรยู) พันรยูเดินออกมาถามคังซองว่าเกิดอะไรขึ้น ซูโฮเห็นพันรยูแล้วยิ่งไม่สบอารมณ์จึงบ่นว่าวันนี้เป็นวันซวยถึงได้เจอพันรยูถึงสองครั้งสองครา พันรยูจึงบอกซูโฮว่าถ้าอับโชคนักก็อย่าหาเรื่องใส่ตัว จากนั้นก็เตือนว่าอย่ามายุ่งกับตนถ้าไม่อยากกลับบ้านพร้อมใบหน้าที่เสียโฉม
เมื่อสาวๆ ได้ยินว่าพันรยูกับซูโฮกำลังจะเปิดศึกทุกคนจึงรีบออกไปดู อาโรยังเล่าไม่ทันจบก็เสียลูกค้าไปเสียแล้ว ทันใดนั้นประตูอีกด้านที่อยู่ทางด้านหลังอาโรก็เปิดออก เปลวเทียนทุกเล่มภายในห้องถูกลมพัดจนดับวูบทำให้บรรยากาศภายในห้องค่อนข้างมืดสลัว ซัมเมกจงเดินเข้ามาในห้องและหยุดยืนข้างหลังอาโร เมื่ออาโรหันกลับไปมองแล้วพบชายหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้าเธอก็หลับตาปี๋ ซัมเมกจงสงสัยว่าตนทำอะไรให้ เธอถึงได้หลับตา อาโรละล่ำละลักถาม (โดยไม่ยอมลืมตาและค่อยๆ ถอยหนี) ว่า "ท่านเป็นใคร" ซัมเมกจงเดินเข้าหาเธอช้าๆ พลางถามกลับว่า "ข้าเป็นใคร...สำคัญด้วยหรือในตอนนี้" อาโรนึกว่าเขาจะทำมิดีมิร้ายจึงรีบยกแขนบังหน้าอกและยังคงหลับตา ซัมเมกจงเห็นดังนั้นจึงถอนใจพลางกล่าวว่าตนสู้อุตส่าห์รอเธอตั้ง 4 วัน ดังนั้นเธอควรลืมตาได้แล้ว
อาโรสงสัยว่าเขาทำเช่นนี้ทำไม ซัมเมกจงชี้ว่าเพราะในนี้มืดสลัว ไม่มีใคร... เขาขยับเข้ามาประชิดตัวเธอพลางเอามือยันเสากันไม่ให้เธอหนีไปไหน ก่อนกล่าวว่า ...และตนก็ชอบที่นี่ด้วย อาโรจะขยับตัวหนีเพราะกลัวถูกลวนลาม ซัมเมกจงจึงช้อนเอวเธอเข้ามาหา อาโรลืมตาแล้วจ้องหน้าเขาด้วยความตกใจ เธอนึกว่าซัมเมกจงจะทำเหมือนเรื่องที่เธอเล่า แต่แล้วก็ถึงกับเงิบเมื่อเขาถามเธอด้วยความอยากรู้ว่า เรื่องราวต่อจากนั้นเป็นอย่างไร (เขาอยากให้อาโรเล่าเรื่องเมื่อสักครู่ต่อให้จบ เพราะเรื่องเล่าของเธอทำให้เขานอนหลับได้ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขามารอเธอที่อกทา)
เหล่าสาวๆ รีบออกมาที่โถงกลางหมายชมการปะทะกันระหว่างสองหนุ่มหล่อพันรยูกับซูโฮ แต่ภาพที่พวกเธอเห็นกลับเป็นมักมุนซึ่งโดนทำร้ายจนสะบักสะบมและนอนกองที่พื้น แถมคังซองยังเหยียบหัวมักมุนราวกับเขาไม่ใช่คน (คังซองโดนพันรยูดูถูกว่าเป็นคนต่ำต้อย จึงระบายความโกรธแค้นและแสดงอำนาจกับคนที่เขาเห็นว่าต้อยต่ำกว่าอย่างมักมุน) คังซองชักดาบออกจากฝักแล้วร้องบอกพันรยูว่ามักมุนไม่มีใบอนุญาตเข้าเมืองหลวง เขาชี้ว่าการทำร้ายชอนนิน (ชนชั้นต่ำสุดในสังคมชิลลา) ที่ลักลอบเข้าเมืองหลวงโดยไม่มีใบอนุญาตไม่ถือว่ามีความผิด จากนั้นก็ถามพันรยูว่าตนฆ่าคนชั้นต่ำอย่างมักมุนได้ใช่ไหม พันรยูฟังแล้วได้แต่ถอนใจและเบือนหน้าหนี คังซองประกาศความผิดของมักมุนโดยบอกว่ามักมุนละเมิดระบบชนชั้น "กลพุมเชโด" (Bone rank system) ของชิลลา และยังบังอาจตะกายมาถึงที่นี่ เขาหัวเราะด้วยความสะใจก่อนเงื้อดาบหมายสังหารมักมุน
ทันใดนั้นก็มีอะไรบางอย่างปลิวมากระแทกหน้าผากคังซองอย่างแรง คังซองร้องลั่นว่าใครลอบกัดตน ปรากฏว่าผู้ที่เดินเข้ามาคือมูมยอง สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่เขา มูมยองก้มเก็บลูกเต๋าไม้ (ที่ปาใส่หัวคังซองเมื่อสักครู่) และกล่าวว่า "ข้าเชื่อว่าชีวิตคนเราขึ้นอยู่กับดวง" เขาขยับปีกหมวกขึ้นก่อนกล่าวว่า "แต่วันนี้เจ้าดวงตกสุดๆ" คังซองคาดคั้นว่ามูมยองเป็นใครแต่มูมยองขี้เกียจตอบ มูมยองถามมักมุนด้วยน้ำเสียงห่วงใยว่าไหวไหม มักมุนตอบอย่างยากลำบากว่ายังไหว มูมยองจ้องหน้าคังซองด้วยสายตาเอาเรื่อง แม้มักมุนยังพอทนไหวแต่เขาไม่ไหวจะทน คังซองถือดาบพุ่งเข้าหามูมยอง (ซึ่งมามือเปล่า) แต่ถูกมูมยองสั่งสอนและแย่งดาบมาครองอย่างง่ายดาย ซูโฮเห็นดังนั้นเลยเอ่ยปากชม ขณะที่พันรยูเองก็แอบทึ่งเช่นกัน
มูมยองใช้ดาบ (ของคังซอง) กรีดพื้นไม้เป็นวงกลมก่อนกล่าวว่า หากการฆ่าชอนนินที่ลักลอบเข้าเมืองหลวงคือกฏของคังซอง ดังนั้นกฏของตนคือการจัดการชนชั้นสูงที่บังอาจล้ำเส้นเข้ามา เขาบอกคังซองและเหล่าชนชั้นสูงที่ยืนมุงว่า ใครอยากฆ่ามักมุนให้ข้ามเส้นนี้เข้ามา ตนจะเล่นงานให้หมดทุกคน
* เนื้อหาโดย luvasianseries / ภาพจาก เคบีเอส
รายชื่อนักแสดง
นักแสดงนำ
ปาร์ค ซอจุน
รับบท มูมยอง / คิม ซอนอู
(นักแสดง / นักร้อง ชาวเกาหลีใต้)
โก อารา
รับบท คิม อาโร
(นักแสดง / นางแบบ ชาวเกาหลีใต้)
ปาร์ค ฮยองชิก
รับบท ซัมเมกจง (พระเจ้าจินฮึงแห่งชิลลา) / คิม จีดวี
(นักแสดง / นักร้อง ชาวเกาหลีใต้ - สมาชิกอดีตวงบอยแบนด์ ZE:A)
ซอ เยจี
รับบท องค์หญิงซุกมยอง
(นักแสดง / นางแบบ ชาวเกาหลีใต้)
ฮวารัง
ชเว มินโฮ
รับบท คิม ซูโฮ
(นักแสดง / นักร้อง (วง SHINee) / นายแบบ / ผู้ดำเนินรายการ ชาวเกาหลีใต้)
โด จีฮัน
รับบท ปาร์ค พันรยู
(นักแสดง ชาวเกาหลีใต้)
คิม แทฮยอง (วี)
รับบท ซ็อก ฮันซอง
(นักแสดง / นักร้อง (วง BTS ) ชาวเกาหลีใต้)
โช ยุนอู
รับบท คิม ยออูล
(นักแสดง ชาวเกาหลีใต้)
รวมคลิปตัวอย่างจาก KBS World TV
รวมคลิปเอ็มวีจาก Sony Music Korea และ VEMx
รวมคลิปเบื้องหลังจาก KBS World TV, KBSdrama และ ARIRANG K-POP
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา