วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2561

เรื่องย่อ เลือดมังกรกู้ชาติ (The Mystic Nine)




กำกับ: เหลียงเซิ่งเฉวียน (ชาวฮ่องกง), เหอซู่เผย, หวงจวิ้นเหวิน
เขียนบท: หนานพ่ายซานซู, จางเยวียนอั้ง, ทังฉีเฉิน
แนวละคร: ผจญภัย, ลึกลับ, แอ็คชั่น
จำนวนตอน: 48
ออกอากาศ: จีน - 4 กรกฎาคม 2559 ทางดราก้อนทีวี และเว็บไซต์อ้ายฉีอี้
                ไทย - ทุกวันอาทิตย์ เวลา 23.30-00.00 น. (เดิมออกอากาศเวลา 16.00 น.) ทางอมรินทร์ทีวี (หมายเลข 34) ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2561 - 28 พฤษภาคม 2562






ละคร "เลือดมังกรกู้ชาติ" (The Mystic Nine) ดัดแปลงมาจากซีรี่ส์นิยายชุด "บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน"  (Daomu Biji) ของ "หนานพ่ายซานซู" โดยหยิบยกเอาเรื่องเสริมหรือนิยายสั้นๆ ที่มีชื่อว่า "เหลาจิ่วเหมิน" (Old Nine Gates) ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวรุ่นคุณปู่ในยุคสาธารณรัฐจีน (ค.ศ. 1912–1949) มากล่าวถึง (เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าละครเรื่อง "ล่าขุมทรัพย์ปริศนา (The Lost Tomb)")

คำว่า "เหลาจิ่วเหมิน"  (Old Nine Gates) แปลตรงตัวได้ว่า "เก้าประตูเก่าแก่" (เหมิน แปลว่า ประตู/สำนัก) แต่ในที่นี้หมายถึง เก้าตระกูลนักขุดสุสานเก่าแก่ที่ปัจจุบันเรืองอำนาจและทรงอิทธิพล (คุมทุกสิ่งอย่าง) ในเมืองฉางซา (เมืองหลวงของมณฑลหูหนาน ประเทศจีน) เรียกได้ว่าหากต้องการติดต่อธุระหรือทำการค้าในเมืองดังกล่าวก็ต้องเลือกติดต่อกับหนึ่งในเก้าตระกูลนี้ (ไม่มีตัวเลือกอื่น) เก้าตระกูลที่ว่าจึงเป็นเสาหลักที่เปรียบเหมือนประตูเมืองโบราณทั้งเก้าของฉางซา (เมืองใหญ่ของจีนในสมัยโบราณ (รวมทั้งฉางซา) จะมีประตูเมืองชั้นในทั้งหมด 9 ประตู) ซึ่งถ้าหากพ่อค้าต้องการเดินทางเข้า-ออกก็ต้องผ่านประตูใดประตูหนึ่งนั่นเอง

เรื่องย่อ



ในปี ค.ศ. 1933 (พ.ศ. 2476) อยู่ๆ ก็มีขบวนรถไฟปริศนาเข้ามาจอดเทียบชานชาลาในเมืองฉางซา "จางฉี่ซาน" ผู้นำเหลาจิ่วเหมิน (เก้าตระกูลเก่าแก่)  และผู้บัญชาการกองกำลังทหารก๊กมินตั๋งประจำเมืฉางซา จึงทำการสืบสวนที่มาของขบวนรถไฟดังกล่าวกับซินแส "ฉีเถี่ยจุ่ย" หรือ "ท่านแปด" (เป็นนายท่านลำดับที่แปดของเหลาจิ่วเหมิน) กระทั่งพบเหมืองลึกลับนอกเมืองฉางซา พวกเขาต้องการไขปริศนาเกี่ยวกับเหมืองดังกล่าวจึงไปขอความช่วยเหลือจาก "อ้ร์เยว่หง" หรือ "ท่านสอง" (นายท่านลำดับสองของเหลาจิ่วเหมิน) นักแสดงงิ้วที่มาจากครอบครัวนักโบราณคดี แต่ท่านสองปฏิเสธที่จะร่วมมือเพราะ "ยาโถวภรรยาสุดที่รักป่วยเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย เขาจึงตัดสินใจวางมือจากวงการสำรวจสุสาน

เพื่อให้ได้ยามารักษายาโถว ฉี่ซานจึงเดินทางไปที่เมืองเป่ยผิง (ปักกิ่ง) พร้อมท่านสอง ท่านแปด และยาโถว (ระยะทางราว 1,500 กม.) พวกเขาได้พบคุณหนู "อิ่นซินเยว่" ลูกสาวเจ้าของโรงแรมที่นั่น หลังจากนั้นซินเยว่ก็ติดตามฉี่ซานและพวกมาที่เมืองฉางซา ครั้นพบว่าเหมืองลึกลับมีความเชื่อมโยงกับเรื่องราวในอดีตของบรรพบุรุษพวกตน  ท่านสองจึงร่วมมือกับฉี่ซานไขปริศนาเกี่ยวกับเหมืองและทำลายแผนร้ายของชาวญี่ปุ่น ครั้นพบว่าฉางซากำลังจะถูกญี่ปุ่นโจมตี เหล่าบรรดานายท่านในก๊วนเก้าตระกูลจึงจับมือกันต่อสู้และปกป้องเมืองฉางซาจากกองทัพญี่ปุ่น (เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ถูกนำมากล่าวถึงคือ "ยุทธการฉางชา" (17 กันยายน – 6 ตุลาคม ค.ศ. 1939) เป็นความพยายามครั้งแรกของญี่ปุ่นในการยึดครองเมืองฉางชา ระหว่างสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง)

เนื้อหาตอนที่หนึ่ง



ชายปริศนาคนหนึ่ง (เดาว่าน่าจะเป็น "อู๋เสีย" พระเกในนิยายชุด "บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน") ซึ่งสวมนาฬิกาและรองเท้าหนังสุดหรูเล่าว่า สมัยยังเด็กตนมักคิดว่าปู่เป็นคนลึกลับเพราะชอบขังตัวเองอยู่ในห้องตามลำพังแล้วนั่งอ่านหนังสือเก่าๆ เป็นเวลาเนิ่นนาน ตนเคยลอบเข้าไปในห้องปู่ครั้งหนึ่งเพราะอยากรู้ว่าปู่อ่านหนังสือเกี่ยวกับอะไรกันแน่ ปรากฏว่าสิ่งที่ปู่อ่านเป็นสมุดบันทึกเก่าๆ ที่รวบรวมเรื่องราวแปลกๆ และแสนลึกลับ (รวมทั้งภาพเหล่า 'นายท่าน' จากเก้าตระกูล) ซึ่งตนไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ได้อ่านเป็นเพียงเรื่องเล่าหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

ปี ค.ศ. 1903 (รัชสมัยจักรพรรดิกวงซวี่ แห่งราชวงศ์ชิง)


สายลับชาวญี่ปุ่น "ต้ากู่กวงรุ่ย" (ชื่อภาษาจีน) เดินทางมาประเทศจีนหมายลักลอบทำการสำรวจสภาพภูมิประเทศ เมื่อมาถึงเมืองฉางซาเขาและพวกได้แยกย้ายกันปฏิบัติหน้าที่ โดยเขาได้ติดตามคณะของนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นที่ชื่อ "จิวซานเหม่ยจื้อ" (ชื่อภาษาจีน) เดินทางไปยังเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งบนภูเขาห่างจากตอนเหนือของเมืองฉางซาราว 160 กิโลเมตรและปักหลักอยู่ที่นั่นนานเกือบสามเดือน ขณะทำการสำรวจได้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นทำให้มีผู้รอดชีวิตเพียง 6 คน จิวซานจึงยุติการสำรวจแล้วเดินทางกลับประเทศญี่ปุ่นทันที หนึ่งสัปดาห์ต่อมาจิวซานได้ส่งรายงาน 16 หน้าไปยังกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น โดยกล่าวถึง 'บางสิ่ง' ที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินในเมืองบนภูเขา ซึ่งภายหลังรายงานฉบับดังกล่าวเป็นที่รู้จักในนาม "รายงานจิวซาน"

สถานีรถไฟฉางซา ปี ค.ศ. 1933 (ตรงกับ "ยุคสาธารณรัฐจีน" - ช่วงเวลานั้นได้เกิดสงครามกลางเมืองยืดเยื้อระหว่าง "พรรคก๊กมินตั๋ง" ซึ่งปกครองสาธารณรัฐจีน กับ "พรรคคอมมิวนิสต์จีน" และยังเป็นช่วงที่จีนถูกทหารญี่ปุ่นรุกราน โดยช่วงเวลาดังกล่าวกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นได้เข้ายึดครองดินแดนแมนจูเรียและมองโกลเลียในด้านทิศตะวันออกของจีนแล้วสถาปนาเป็น "รัฐแมนจู" นกจากนี้ ทหารญี่ปุ่นยังยึด 3 มณฑลทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน (เสิ่นหยาง จี๋หลิน เฮยหลงเจียง) ได้สำเร็จ ก่นนำไปสู่สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สองในอีก 4 ปีต่มา)



กลางดึกคืนหนึ่ง อยู่ๆ ก็มีรถไฟปริศนาเข้ามาจอดเทียบชานชาลาโดยไม่แจ้งล่วงหน้า (ไอน้ำจางๆ ยังคงลอยออกมาจากปล่องควันของหัวรถจักรไอน้ำ) นายสถานีนามว่า "กู้ชิ่งเฟิง" ซึ่งอยู่เวรกลางคืน ได้ยินเสียงรถไฟจึงตื่นขึ้นมาดูและไล่ให้ไปจอดรางอื่นที่อยู่ข้างหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกรถไฟขบวนอื่นวิ่งเข้ามาชน ครั้นเห็นว่ารถไฟสีดำขบวนดังกล่าวไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนและไม่มีเสียงโต้ตอบใดๆ เขาจึงเข้าไปส่องไฟฉายสำรวจดูใกล้ๆ และพบว่าเป็นขบวนรถไฟทหารญี่ปุ่น (หมายเลขขบวน 076) สภาพสนิมเขราะกรัง แถมประตูหน้าต่างตู้โดยสารทั้งหมดยังถูกแผ่นเหล็กปิดทับ พอขยับแผ่นเหล็กแล้วมีน้ำสนิมสีแดงคล้ายเลือดสดๆ ไหลออกมา (เป็นน้ำค้างจากบนหลังคาที่ไหลลงมาผสมสนิมเหล็กแล้วคั่งค้างอยู่) เขาจึงรีบเดินไปที่หัวรถจักรและพยายามเปิดประตูห้องคนขับแต่กลับพบว่าประตูถูกล็อค เขาจึงใช้มือข้างหนึ่งเช็ดกระจกหน้าต่างที่มีคราบโคลนเกาะหนาเตอะก่อนส่องไฟฉายเข้าไปทางด้านใน หลังพบร่างชายคนหนึ่งเสียชีวิตในสภาพห้อยต่องแต่ง ดวงตาเบิกโพลง ตาดำหดเล็กเท่าเม็ดถั่วเหลือง เขาก็ร้องลั่นด้วยความตกใจกลัว



หลังได้รับรายงานผู้บัญชาการกองกำลังทหารประจำเมืองฉางซา "จางฉี่ซาน" ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม "จางต้าโฝ" (พระใหญ่แซ่จาง) แต่ทุกคนมักเรียกเขาสั้นๆ ว่า "โฝเหยีย" (โฝ แปลว่า พระพุทธรูป / เหยีย แปลว่า นายท่าน - ที่ถูกเรียกเช่นนี้เป็นเพราะที่บ้านของเขามีพระพุทธรูปปริศนาขนาดใหญ่ยักษ์ประดิษฐานอยู่) จึงรีบรุดมายังที่เกิดเหตุ "ผู้กองจาง" (นายทหารคนสนิท) รายงานว่ารถไฟขบวนดังกล่าวไม่ปรากฏหลักฐานที่มาใดๆ ทั้งสิ้น ครั้นเรียกชิ่งเฟิงมาสอบถามกลับไม่ได้ข้อมูลใดๆ ที่เป็นประโยชน์ เขาออกตัวว่าตนไม่รู้อะไรทั้งสิ้น และกล่าวว่าช่วงนี้กองทัพกำลังเตรียมตัวทำสงครามจึงมักมีรถไฟทหารแวะเวียนเข้ามาจอดเพื่อขนส่งอาวุธยุทโธปกรณ์แบบกระทันหันบ่อยครั้ง เขามองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก โฝเหยีย (นับจากนี้จะเรียกฉี่ซานว่า "โฝเหยีย") จึงเหน็บว่า ถ้าเช่นนั้นนี่คงไม่ใช่ครั้งแรกเช่นกันที่มีร่างคนตายห้อยอยู่บนรถไฟ (ผูกคอตาย) ชิ่งเฟิงได้ยินดังนั้นจึงพูดไม่ออก 


ผู้กองจางบอกโฝเหยียว่า ก่อนรถไฟทหารจะเข้าจอดชานชาลาของสถานีใดจะต้องแจ้งกองกำลังที่ประจำอยู่ในพื้นที่นั้นๆ ล่วงหน้าก่อนเสมอ แต่อยู่ๆ รถไฟขบวนนี้ก็โผล่มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ชิ่งเฟิงบอกโฝเหยียว่ารถไฟขบวนดังกล่าวมาถึงใกล้เที่ยงคืน ผู้กองจางเสริมว่านี่คือรถไฟทหารหมายเลข 076 คาดว่าคนที่อยู่ด้านในจะเป็น... ผู้กองจางพูดยังไม่ทันจบโฝเหยียก็แทรกขึ้นว่า "ชาวญี่ปุ่น" โฝเหยียเดินไปที่หัวรถจักรแล้วพยายามมองลอดกระจกที่มีคราบโคลนแห้งกรังเพื่อสำรวจสภาพศพคนขับที่ห้อยอยู่ด้านใน ผู้กองจางรายงานว่ารถไฟทหารลักษณะนี้ส่วนใหญ่มักผลิตขึ้นในแถบตะวันออกเฉียงเหนือ  (โดยชาวญี่ปุ่นในช่วงญี่ปุ่นรุกรานจีน) เพื่อนำมาใช้บนเส้นทางสู่ดินแดนแถบตะวันตกเฉียงเหนือ หลังจากนั้นจึงถูกยึดและดัดแปลงใหม่โดยรัฐบาลชาตินิยมจีน (หรือ "จีนคณะชาติ" ซึ่งนำโดยพรรคก๊กมินตั๋ง) แต่รถไฟขบวนนี้อยู่ในสภาพสนิมเขรอะราวกับผุดออกมาจากโรงเก็บเศษเหล็ก 



ครั้นถูกผู้กองจางถามว่าคนบนรถไฟตายเมื่อไหร่ ชิ่งเฟิงตอบว่าตายก่อนที่ตนจะมาพบ และออกตัวว่ารถไฟขบวนนี้ถูกแผ่นเหล็กเชื่อมทับตั้งแต่ตู้โดยสารยันกระจกหน้าห้องคนขับตนเลยมองเห็นด้านในไม่ถนัด เมื่อผู้กองจางรายงานว่าหัวตัดแก๊สพร้อมแล้ว โฝเหยียจึงสั่งให้ทหารเจาะแผ่นเหล็กทันที ชิ่งเฟิงแอบเตือนโฝเหยียว่ารถไฟขบวนนี้เป็น 'รถไฟผี' และสถานีรถไฟแห่งนี้ก็ไม่ธรรมดา ทุกครั้งที่มีรถไฟมาจอดเทียบชานชาลาในเวลาเที่ยงคืน ข้างในตู้โดยสารจะเต็มไปด้วยวิญญาณคนตายที่กำลังเดินทางไปปรโลก เขาเตือนโฝเหยียว่าวิญญาณอันชั่วร้ายกำลังมาที่ฉางซา โฝเหยียจ้องหน้าชิ่งเฟิงอย่างครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงสั่งให้ลูกน้องลากตัวเขาออกไป ครั้นทหารเปิดประตูห้องคนขับรถไฟได้แล้ว โฝเหยียจึงสั่งปิดเมืองฉางซาและห้ามรถไฟเข้าออกเพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวลือแพร่สะพัด ก่อนเดินไปดูศพคนขับรถไฟที่เสียชีวิตในสภาพผูกคอตาย 

* รถไฟผี ในนิยาย คือ ขบวนรถไฟที่ถูกทหารญี่ปุ่นระเบิดทำลายเป็นเหตุให้มีคนตายยกขบวน ชิ่งเฟิงเคยได้ยินคนที่มาจากภาคตะวันตกเฉียงเหนือเล่าว่า ในบางครั้งสถานีรถไฟที่นั่นจะมีขบวนรถไฟที่โดนวางระเบิดเข้ามาจอดเทียบชานชาลากลางดึก แต่บนรถกลับว่างเปล่า กล่าวกันว่าวิญญาณผู้เสียชีวิตบนรถไฟผีถูกส่งกลับมายังบ้านเกิดก่อนที่พวกเขาจะเดินทางไปปรโลก และรถไฟผีที่ว่าจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยในตอนเช้า (รถไฟหลายขบวนโดนภูเขาถล่มลงมาทับหลังเกิดระเบิด จึงมีร่องรอยของดินโคลน)



หลังจากนั้นโฝเหยียก็ขึ้นไปสำรวจบนรถไฟโดยเริ่มจากตู้แรก ปรากฏว่าภายในตู้โดยสารทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาเต็มไปด้วยโลงศพแบบโบราณที่ถูกจัดเรียงเป็นแนวยาวบนชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ (แต่ละแถวมีสองชั้น)  ทั้งหมดอยู่ในสภาพฝุ่นเขรอะและถูกปกคลุมด้วยหยากไย่  (โลงบนชั้นที่โฝเหยียส่งไฟฉายดูมีแผ่นป้ายเขียนด้วยอักษรจีนกำกับยู่ว่า "สี่สิบห้า") ครั้นสำรวจตู้ถัดไปไปก็พบผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่งนอนคว่ำหน้าบนโลงโบราณที่วางระเกะระกะบนพื้นโดยไม่มีชั้นวาง ใบหน้าพวกเขามีลักษณะเหี่ยวย่น เสื้อด้านหลังมีรอยฉีกขาดคล้ายถูกกรีด ตามตัวมีหยากไย่ปกคลุมเช่นเดียวกับโลงโบราณ ผู้กองจางรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าทุกคนล้วนเสียชีวิตในลักษณะคว่ำหน้า ซึ่งโฝเหยียเองก็คิดว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาและมีเงื่อนงำเช่นกัน แต่อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้อย่างหนึ่งว่านี่ไม่ใช่รถไฟผีดังที่ชิ่งเฟิงกล่าวอ้าง โฝเหยียถามผู้กองจางว่า "ปาเหยีย" หรือ "ท่านแปด" รู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง ผู้กองจางเกรงว่าถ้าท่านแปดรู้ว่าบนรถไฟมีอะไรแล้วจะไม่ยอมขึ้นมา โฝเหยียจึงฝากผู้กองจางไปขู่ท่านแปดว่าถ้าไม่ยอมขึ้นมาแต่โดยดีตนจะยิงทิ้งเสีย 



และแล้วก็เป็นดังที่ผู้กองจางคาด เพราะทันทีที่ท่านแปดมาถึงเขาก็คิดชิ่งหนีหลัง 'จับยาม' ดูแล้วพบว่าเป็นเรื่องไม่ดี แต่ผู้กองจางดันมาเห็นเข้าเสียก่อน หลังโดนขู่ท่านแปดจึงยอมร่วมมือแต่โดยดี... ในตอนนั้นโฝเหยียไล่สำรวจตามตู้ต่างๆ จนมาถึงตู้นอนของบรรดาเจ้าหน้าที่ๆ เดินทางมากับโลงโบราณ (ตู้นี้ไม่มีหยากไย่) ภายในมีหน้ากากกันแก๊สพิษเก่าๆ แขวนอยู่บนผนัง นอกนั้นเป็นของใช้ส่วนตัว ทุกคนที่อยู่ในตู้นี้ล้วนตายในลักษณะนอนคว่ำบนเตียง บริเวณเสื้อด้านหลังมีรอยฉีกขาด แผ่นหลังของคนตายมีรอยสัก ผิวหนังบนใบหน้าและแขนเหี่ยวย่น (ไม่แน่ใจว่าเปื่อยหรือแห้งกันแน่)... ครั้นขึ้นไปสำรวจบนตู้โดยสารแล้วเห็นโลงโบราณเป็นจำนวนมากท่านแปดก็รู้สึกแปลกใจ พอเห็นคนนอนคว่ำหน้าตายเขาก็ปรี่เข้าไปดูใกล้ๆ แต่แล้วก็ถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อพบว่าแผ่นหลังของคนตายไม่เพียงมีรอยสักแต่ยังมีจุดแปลกๆ กระจายทั่วแผ่นหลัง เขาคิดที่จะเผ่นแต่ผู้กองจางรู้ทันเลยคว้าแขนเขาเอาไว้ เขาจึงไล่ผู้กองจางซึ่งคอยตามประกบแล้วตามไปสมทบโฝเหยียที่ตู้นอน



โฝเหยียชี้ไปที่นิ้วเท้าผู้ตายพลางบอกท่านแปดว่า ผู้ตายมีนิ้วโป้งเท้าที่ใหญ่และผิดรูปซึ่งเกิดจากการคีบเกี๊ยะไม้เป็นเวลานาน (เป็นชาวญี่ปุ่น) ท่านแปดสงสัยว่าพวกเขาอาจเป็นสายลับชาวญี่ปุ่น แต่โฝเหยียแย้งว่าคนสวมเกี๊ยะใช่ว่าจะเป็นสายลับทุกคน (ยุคนั้นญี่ปุ่นมักส่งสายลับพิเศษแทรกซึมเข้ามาอยู่ในหมู่ชาวจีน พวกเขาจะปลอมตัวเป็นคนจีนและพูดสำเนียงจีนชัดแจ๋วจนแยกไม่ออกว่าเป็นคนจีนหรือคนญี่ปุ่นกันแน่ ทางเดียวที่จะรู้ได้คือการสังเกตนิ้วโป้งเท้า) ทันใดนั้น สองหนุ่มก็พบเอกสารที่เป็นแบบร่างโดยบังเอิญ โฝเหยียสันนิษฐานว่าคนญี่ปุ่นกำลังแอบทดลองอะไรบางอย่างๆ ลับๆ ท่านแปดสงสัยว่าผู้ตายทั้งหมดอาจเสียชีวิตจากการทดลอง และเกรงว่าหากเป็นเช่นนั้นจริงชาวเมืองฉางซาจะตกอยู่ในอันตราย 

ท่านแปดตั้งข้อสังเกตว่าโลงทั้งหมดบนรถไฟล้วนเพิ่งถูกขุดขึ้นมาจากสุสานโบราณ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจต้องการใช้สุสานใต้ดินเป็นสถานที่ทำการทดลอง โฝเหยียยังไม่อยากฟันธงจึงชวนท่านแปดเข้าไปดูตู้ถัดไปซึ่งเป็นตู้สุดท้าย ท่านแปดรีบคว้าแขนโฝเหยียก่อนเตือนว่าตู้ถัดไปอาจแตกต่างจากตู้อื่นๆ เพราะเท่าที่สังเกตดู (จากป้ายเล็กๆ ที่ติดอยู่บนโลง) เขาพบว่าโลงทั้งหมดมาจากสุสานเดียวกัน แถมยังมีขนาดเดียวกันอีกด้วย โฝเหยียเข้าใจในบัดดลจึงกล่าวว่า ทั้งหมดเป็นโลงบริวารที่ถูกฝังพร้อมกัน ดังนั้น แต่ละตู้ของรถไฟขบวนนี้จึงเปรียบเหมือนห้องภายในสุสาน  ส่วนตู้นอนที่พวกตนเพิ่งเดินผ่านเป็นที่พักของคนงานชาวญี่ปุ่นทั้งหมด พวกเขามีหน้าที่ปกป้องตู้โดยสารที่อยู่ถัดไปซึ่งเป็นตู้สุดท้าย นั่นหมายความว่าตู้นั้นต้องเป็นห้องสุสานหลัก และในนั้นก็บรรจุ...  เขาพูดยังไม่ทันจบท่านแปดก็แทรกขึ้นว่า "โลงประธานของเจ้าของสุสาน"




เนื่องจากมีเวลาไม่มากผู้กองจางจึงหาหน้ากากกันแก๊สพิษ (สภาพใหม่) มาได้แค่สองอัน โฝเหยียจึงเสียสละให้ท่านแปดกับผู้กองจาง ท่านแปดโวยลั่นว่าโฝเหยียดูถูกตน ตนเดินสำรวจโดยไม่สวมหน้ากากป้องกันมาตั้งหลายตู้ อยู่ๆ ก็นำมาให้ใส่ตู้สุดท้าย ครั้นเห็นว่าโฝเหยียกับผู้กองจางทำท่าว่าจะสวมหน้ากากกันสองคน ท่านแปดจึงแย่งหน้ากากในมือผู้กองจางแล้วบอกให้เขารออยู่ทางด้านนอก พอเข้าไปสำรวจตู้สุดท้าย (ซึ่งมีประตูเหล็กแน่นหนากว่าตู้อื่นๆ) ทั้งคู่ก็พบชายสามสี่คนซึ่งมีรอยสักและจุดที่หลังนอนคว่ำหน้าตายเหมือนที่เห็นในตู้ก่อนหน้า ท่านแปดรู้สึกแปลกใจและสงสัยว่าทำไมคนตายทั้งหมดจึงคว่ำหน้าลง ทันใดนั้น โฝเหยียก็สาดไฟฉายเจอโลงเหล็กขนาดใหญ่วางตั้งอยู่บนฐานและถูกโซ่ตรึงทั้งสี่ด้าน เขาจึงเปิดประตูตะแกรงเหล็กเข้าไปดู โฝเหยียกับท่านแปดส่องไฟฉายสำรวจรอบโลงเหล็กขนาดใหญ่ที่มีลวดลายวิจิตรบรรจงอย่างพินิจพิเคราะห์ และพบว่าบนโลงมีรูที่มีฝาปิดอยู่ ในที่สุด โฝเหยียก็พบแผ่นป้ายเล็กๆ ที่เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นซึ่งระบุว่าเป็นโลงหมายเลขหนึ่งของห้องสุสาน เขาจึงยิ้มและบอกท่านแปดว่าคำตอบอยู่ตรงนี้



หลังเปิดโลงโบราณที่วางกองบนพื้นดูแล้วพบว่าภายในเต็มไปด้วยหยากไย่ ท่านแปดจึงสงสัยว่าแมงมุมพิษในโลงโบราณอาจเป็นตัวการที่ทำให้ทุกคนบนรถไฟตาย โฝเหยียแย้งว่าใยสีขาวที่เห็นไม่ใช่ใยแมงมุมแต่เป็นใยตัวอ่อนแมลงที่ฟักในโลงโบราณ ท่านแปดได้ยินดังนั้นก็ยิ่งสงสัยหนักและคิดว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะถ้าแมลงไม่ใช่สาเหตุการตายแล้วชาวญี่ปุ่นที่เดินทางมากับโลงโบราณเสียชีวิตจากสาเหตุใด แถมศพของพวกเขากับศพที่อยู่ในโลงยังคว่ำหน้าเหมือนกัน ที่สำคัญในเมื่อรถไฟขบวนนี้มีแต่คนตายแล้วอยู่ๆ รถไฟวิ่งมาจอดที่นี่ได้อย่างไร โฝเหยียสันนิษฐานว่าก่อนตายชาวญี่ปุ่นคงสูดอากาศพิษเข้าไป ครั้นพอรถไฟแล่นมาถึงสถานีแห่งนี้พวกเขาก็หมดลมหายใจพอดี (ส่วนคนขับรถไฟผูกคอตายหลังเข้าเขตเมืองฉางซา)

ท่านแปดบ่นอย่างสิ้นหวังว่าไม่มีใครเหลือรอดมาให้ข้อมูลพวกเราสักคน  โฝเหยียหันไปจ้องหน้าท่านแปดเขม็งก่อนถามขึ้นว่า ท่านแปดหมายความว่าคนตายเหล่านี้ (ชาวญี่ปุ่น) จะให้ความกระจ่างได้มากกว่างั้นหรือ ท่านแปดกล่าวว่าโลงตาย (โลงที่ศพเน่าเปื่อยหมดแล้ว) ก็มีประโยชน์แต่โลงบริวารเหล่านี้ให้เบาะแสและข้อมูลได้น้อยมาก  โฝเหยียชี้ว่าความลับที่แท้จริงซ่อนอยู่ในโลงประธานซึ่งมีขนาดใหญ่สุด เมื่อท่านแปดถามว่าทำไมไม่ลองเปิดดู โฝเหยียจึงชี้ว่านั่นคือ "โลงนกหวีด" (เนื่งจากบนโลงมีรูหนึ่งรูคล้ายนกหวีดจึงถูกเรียกว่าโลงนกหวีด โลงดังกล่าวได้ชื่อว่าเป็น "โลงผนึกผี" มีตำนานเล่าขานว่าศพที่ยู่ในโลงนกหวีดไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นปีศาจร้าย บรรพบุรุษสกุลจางจึงปิดผนึกโลงดังกล่าวไว้

เขาอธิบายว่าใช่ว่าทุกคนจะเปิดมันได้ เพราะโลงถูกโลหะหลอมเหลวผนึกทับ เหลือช่องว่างไว้เพียงหนึ่งรู ขืนบุ่มบ่ามแงะฝาโลงออกแก๊สพิษจะถูกปล่อยออกมา ทางเดียวที่ทำได้คือต้องสอดแขนเข้าไปในรูแล้วเปิดจากด้านใน ท่านแปดสงสัยว่าในเมื่อโฝเหยียรู้วิธีเปิดแล้วยังมัวรีรออะไร โฝเหยียชี้ว่าคนทั่วไปไม่สามารถเปิดโลงนกหวีดได้ เพื่อความปลอดภัยจึงจำเป็นต้องอาศัย "ทักษะสกุลจาง" (สกุลนักขุดสุสานซึ่งมีวิชา "สองนิ้วตรวจตรา") พูดจบโฝเหยียก็สั่งผู้กองจางไปบอกให้คนของตนเตรียมตัว (นกจากโฝเหยียแล้ว กำลังทหารของเขาก็มีไม่น้อยที่มาจากสกุลจาง)


โฝเหยียสั่งให้ทหารขนโลงนกหวีดและโลงโบราณอื่นๆ ลงมาจากรถไฟแล้วนำไปไว้ในห้องโถงใหญ่ของสถานี จากนั้นก็เริ่มกระบวนการเปิดโลงนกหวีดทันที โดยเริ่มจากการให้ทหารที่มาจากสกุลจางติดตั้งกรรไกรผีเสื้อไว้ที่ปากรูบนโลง ทหารสกุลจางคนหนึ่งซึ่งมีวิชาสำรวจสุสานดื่มสุราย้อมใจก่อนลงมือสำรวจโลง ท่านแปดอดเป็นห่วงไม่ได้จึงถามว่าทหารสกุลจางจะทำสำเร็จจริงหรือ โฝเหยียสวนทันควันว่าถ้าพวกเขาทำไม่ได้ก็ให้ท่านแปดลงมือ ท่านแปดจึงเยินยอทหารคนดังกล่าวยกใหญ่ ทั้งยังกล่าวยกย่องสกุลจางจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่าสุดยอดสมคำร่ำลือ (โฝเหยียเกิดและเติบโตทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หลังญี่ปุ่นรุกรานจึงย้ายลงมาตั้งรกรากในฉางซา  ความจริงแล้วเขาไม่เป็นที่ยมรับและถูกขับออกจากบ้านสกุลจางเพราะไม่ใช่สายเลืดบริสุทธิ์ กล่าวคืพ่กับแม่ไม่ได้เป็นคนสกุลจางทั้งคู่ (คนสกุลจางจะแต่งงานกันเงเพื่รักษาความลับขงตระกูล) ถึงกระนั้นเขาก็หวังว่าสักวันจะเป็นที่ยมรับและยังคงทำตามกฏขงตระกูลจาง)  




ครั้นเห็นทหารสกุลจางติดตั้งกรรไกรผีเสื้อบนโลงแล้วเสร็จ ท่านแปดก็รู้สึกตกใจ ผู้กองจางอธิบายว่าทหารใช้ปลายเชือกด้านหนึ่งผูกขากรรไกรผีเสื้อ ส่วนปลายอีกด้านผูกติดกับม้า หากเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลขึ้นในโลงทหารนายหนึ่งจะตีฆ้อง เมื่อม้าได้ยินเสียงฆ้องจะตกใจและดึงเชือกทันที ครั้นกลไกทำงาน กรรไกรผีเสื้ออันคมกริบจะตัดแขนทหารเพื่อรักษาชีวิต ท่านแปดไม่เห็นด้วยจึงทักท้วงโฝเหยียว่ายอมเสียแขนเพื่อรักษาชีวิตเนี่ยนะ โฝเหยียตัดบทด้วยการสั่งให้เริ่มลงมือทันที นายทหารคนหนึ่งจึงสอดแขนลงไปในรู ไม่นานเขาสีหน้าของก็เปลี่ยนไปเพราะมือติดอะไรบางอย่างแล้วดึงออกไม่ได้ โฝเหยียเตือนนายทหารคนดังกล่าวว่าอย่าตื่นตระหนก แต่เขากลับเริ่มสติแตกและร้องขอความช่วยเหลือ โฝเหยียเห็นลูกน้องจะตีฆ้องจึงรีบร้องห้ามแต่ไม่ทัน นายทหารคนดังกล่าวเลยถูกตัดแขน

หลังทหารเคราะห์ร้ายถูกนำตัวไปรักษา โฝเหยียจึงตรงไปที่โลงนกหวีดแล้วส่งสัญญาณให้ลูกน้องถอยไป ท่านแปดและผู้กองจางเห็นโฝเหยียถอดถุงมือก็ตกใจและรีบร้องห้าม แต่โฝเหยียกลับสอดมือลงไปในรูโดยไม่ลังเล จากนั้นก็เริ่มควานหากลไกและเปิดโลงได้สำเร็จ โฝเหยียสั่งให้ลูกน้องนำท่อนแขนที่ขาดคาโลงไปต่อให้ทหารเคราะห์ร้าย ก่อนกล่าวว่าภายในโลงไม่มีกับดักอะไร ทหารคนเมื่อครู่ลนลานเกินไปหลังแขนติดอยู่ในโลงเลยต้องเสียแขน ท่านแปดเห็นศพในโลงนกหวีดนอนคว่ำหน้าเช่นเดียวกับศพอื่นๆ บนรถไฟจึงคิดที่จะไปค้นคว้าว่าเป็นธรรมเนียมบรรจุศพชนชั้นสูงชาวฉางซาในสมัยโบราณหรือไม่ ครั้นเห็นโฝเหยียหยิบแหวนโบราณวงหนึ่งออกมาจากโลงท่านแปดจึงรีบขอดูเพราะรู้สึกคุ้นตา พอเห็นว่าเป็นแหวนยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้ (ค.ศ 420-589) ท่านแปดก็นึกถึง "เอ้อร์เหยีย" หรือ "ท่านสอง" (ชื่อที่คนทั่วไปรู้จักและเป็นชื่อที่ใช้ในการแสดงงิ้ว (สเตจเนม) คือ "อ้ร์เยว่หง") เพราะในบรรดาเหลาจิ่วเหมิน (เก้าตระกูลเก่าแก่)  แห่งฉางซา ตระกูลของท่านสองรู้ลึกรู้จริงเกี่ยวกับสุสานยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้มากที่สุด โฝเหยียได้ยินดังนั้นจึงคิดที่จะไปขอความช่วยเหลือจากท่านสอง




เมื่อโฝเหยียและผู้กองจางมาถึงโรงงิ้วของท่านสองการแสดงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ซึ่งโดยปกติหากใครมาหลังเสียงตีฆ้องคนเฝ้าประตูจะไม่ให้เข้าโดยเด็ดขาด (เป็นกฏของโรงงิ้ว) แต่สำหรับคนพิเศษอย่างโฝเหยียถือเป็นข้อยกเว้น ครั้นโฝเหยียเข้าไปด้านในก็พบว่าการแสดงงิ้วของท่านสองถูกชายคนหนึ่งก่อกวนจนต้องสะดุดหยุดลงกลางคัน  ชายคนดังกล่าวไม่ชอบฟังเพลงงิ้วที่ท่านสองกำลังร้องจึงบอกให้หยุด และบังคับให้ท่านสองร้องงิ้ว "ฮัวกู่ซี่" ให้ฟังแทนโดยอวดเบ่งว่าตนมีเงินเยอะ  ("ฮัวกู่ซี่" เป็นการแสดงงิ้วพื้นเมือันเลื่งชื่ของมณฑลหูหนาน และฉางซาก็เป็นเมืงเกขงมณฑลนี้) โฝเหยียเดินไปนั่งโต๊ะข้างๆ ชายคนดังกล่าว ส่วนผู้กองจางเดินไปเตือนตัวป่วนว่าอย่ารบกวนคนอื่น แม้ผู้กองจางจะสวมเครื่องแบบทหารแต่ชายคนดังกล่าวกลับไม่เกรงกลัว ซ้ำยังตะโกนเร่งให้ท่านสองร้องเพลงตามคำขอ ผู้กองจางจึงจ่อปืนไปที่ปลายคิ้วของชายคนดังกล่าวแล้วไล่ให้ออกไป แต่ชายคนดังกล่าวกลับจ้องหน้าผู้กองจางอย่างเอาเรื่อง ผู้กองจางเลยถีบสั่งสอนและยังคงเล็งปืนไปที่เขา




ชายคนดังกล่าวเห็นว่าผู้กองจางเอาจริงจึงยอมเดินออกไป โฝเหยียนั่งจิบชาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจากนั้นก็เงยหน้าแล้วส่งยิ้มให้ท่านสอง ท่านสองยิ้มตอบเล็กน้อยและหันไปแสดงต่อ โฝเหยียเหมือนรู้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นจึงถอดแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายออกมารอ และแล้วก็เป็นดังคาดเพราะชายที่เข้ามาก่อกวนลอบเป่าเข็มเงินใส่โฝเหยียจากทางด้านหลัง ท่านสองรู้สึกได้ว่าโฝเหยียกำลังมีภัยจึงหันขวับ แต่โฝเหยียกลับเบี่ยงหน้าเล็กน้อย ก่อนดีดแหวนขึ้นไปชนเข็มเงินอย่างใจเย็นจนเข็มตกลงบนถ้วยชา จากนั้นก็กางนิ้วรอให้แหวนตกลงมาใส่นิ้วนางแบบเท่ห์ๆ ท่านสองเห็นดังนั้นจึงแอบยิ้ม หลังลอบสังหารโฝเหยียไม่สำเร็จชายที่เข้ามาก่อกวนก็รีบเผ่น ผู้กองจางขอโทษโฝเหยียที่ไม่ทันสังเกต โฝเหยียจึงสั่งให้ผู้กองจางไปสืบดูว่าชายคนดังกล่าวมาจากมณฑลใด และทำให้เขาไม่มีวันได้ออกจากฉางซาอีก



หลังการแสดงจบลงท่านสองจึงลงมาทักทายโฝเหยีย เขารู้ว่าโฝเหยียไม่ชอบดูงิ้วจึงรู้สึกแปลกใจที่โฝเหยียมาเยือนโรงงิ้วของตน โฝเหยียบอกตามตรงว่าตนมาที่นี่เพราะมีเรื่องอยากถามจากนั้นก็เล่าเรื่องรถไฟปริศนาให้ฟัง ท่านสองรู้ว่าโฝเหยียไม่ได้มาหาตนเพราะเรื่องรถไฟที่ภายในมีโลงโบราณและศพชาวญี่ปุ่น จึงบอกให้โฝเหยียพูดเข้าประเด็น โฝเหยียยิ้มก่อนบอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสุสานยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้ที่ตระกูลของท่านสองรู้ลึกรู้จริงที่สุด จากนั้นก็ยื่นแหวนโบราณที่พบในโลงนกหวีดให้ดู โฝเหยียจะยื่นแหวนให้ท่านสองแต่ท่านสองไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงไม่ยอมรับแหวนและพยายามปัดป้อง ถึงกระนั้นโฝเหยียก็ยังคงดึงดันที่จะส่งแหวนให้ท่านสอง หลังปัดป้องครู่หนึ่งแล้วไม่เป็นผลท่านสองจึงใช้พลังฝ่ามือ ปัดแขนโฝเหยียออก และนั่นก็ทำให้แหวนหลุดมือโฝเหยียก่อนร่วงลงบนโต๊ะ


ท่านสองกล่าวว่าโฝเหยียเองก็รู้ว่าตนไม่แตะต้อง 'ของใต้ดิน' นานแล้ว โฝเหยียชี้ว่าตนและท่านสองต่างเป็นเหลาจิ่วเหมิน (เก้าตระกูลเก่าแก่) และยังเป็น "ซ่างซานเหมิน" (สามตระกูลระดับบน) เหมือนกัน แล้วท่านสองจะให้ของใต้ดินมาเป็นบ่อนทำลายความสัมพันธ์ทั้งหมดงั้นหรือ เขากล่าวว่าหากสถานการณ์ไม่บีบบังคับตนคงไม่มารบกวนท่านสอง แต่ตนพบแบบร่างเกี่ยวกับการทดลองลับบนรถไฟจึงเกรงว่าจะเป็นแผนร้ายของชาวญี่ปุ่น ท่านสองแย้งว่าโฝเหยียกังวลเกินเหตุ ก่อนชี้ว่าไม่มีอะไรเกินกำลังความสามารถหรือรอดพ้นสายตาของผู้บัญชาการทหารและผู้นำเหลาจิ่วเหมิน (เก้าตระกูล) อย่างโฝเหยีย โฝเหยียชี้ว่าตนอยากสืบหาที่มาของรถไฟให้แน่ชัดเพราะมีความเชื่อมโยงกับแผนร้ายของชาวญี่ปุ่น ท่านสองเตือนว่านี่เป็นภารกิจที่อันตรายจึงไม่ควรกระทำการโดยบุ่มบ่าม โฝเหยียสงสัยว่าท่านสองรู้อะไรบางอย่างจึงพยายามห้ามและไม่อยากให้ตนรู้

ท่านสองแกล้งทำเป็นเฉไฉและตัดบทด้วยการขอให้โฝเหยียออกจากโรงงิ้วเพราะการแสดงจบลงแล้ว พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไปทันที ถึงกระนั้นโฝเหยียก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาทิ้งแหวนโบราณไว้บนโต๊ะแล้วบอกให้ท่านสองใคร่ครวญให้ดี ขณะออกจากโรงงิ้วผู้กองจางอดเป็นกังวลไม่ได้จึงถามโฝเหยียว่าถ้าท่านสองไม่ยอมช่วยจริงๆ จะทำเช่นไร โฝเหยียกล่าวว่าต่อให้ท่านสองไม่แยแสตนก็จะสืบหาความจริงให้กระจ่าง จากนั้นก็บอกให้ผู้กองจางไปเชิญท่านแปดมาพบตนตอนค่ำๆ



แม้จะยืนกรานว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยว แต่คำพูดและแหวนโบราณของโฝเหยียก็ทำให้ท่านสองเก็บมานั่งครุ่นคิดจนลืมทานก๋วยเตี๋ยวฝีมือ "ยาโถว" (ภรรยาสุดที่รักของท่านสอง) ยาโถวเห็นท่านสองสติหลุดลอยจึงเดินไปนั่งข้างๆ และเรียกท่านสองหลายครั้งกว่าท่านสองจะได้ยิน ครั้นรู้สึกตัวท่านสองจึงรีบทานก๋วยเตี๋ยวและกล่าวชมฝีมือภรรยา (สมัยยังเด็กเธออยู่กับพ่อซึ่งเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ)

*** จบตนที่หนึ่ง ***

* เนื้อหาโดย luvasianseries / (ดูอัลบั้มภาพได้ ที่นี่)





รายชื่อนักแสดง


นักแสดงนำ


เฉินเหว่ยถิง
รับบท จางฉี่ซาน (จางต้าโฝ)
(นักแสดง / นักร้ง ชาวฮ่งกง)



จางอี้ซิง (เลย์ - สมาชิกวง Exo)
รับบท เอ้ร์เยว่หง (ท่านสง)
(นักร้ง / นักแสดง / นักแต่งเพลง ชาวจีน)



จ้าวลี่อิ (นักแสดงรับเชิญ)
รับบท อิ่นซินเยว่
(นักแสดง ชาวจีน)

อื่นๆ


อิฮ่าวหมิง
รับบท ฉีเถี่ยจุ่ย (ฉีปาเหยีย / ท่านแปดฉี)
(นักแสดง ชาวจีน)



หูวิ๋นหาว
รับบท เฉินผีาซื่
(นักแสดง / นายแบบ ชาวจีน)



จางหมิงเอิ
รับบท จางรื่ซาน (ผู้กงจาง)
(นักแสดง ชาวจีน)



หยวนปิงเหยียน
รับบท ยาโถว
(นักแสดง ชาวจีน)



หวังเหม่ยเหริน
รับบท ฮั่วซานเหนียง / ฮั่วจิ่นซี
(นักแสดง ชาวจีน)



หวังฉ่วง
รับบท ลู่เจี้ยนซวิน
(นักแสดง ชาวจีน)



หยางจื่เจียง
รับบท เจี่ยจิ่วเหย (ท่านเก้าสกุลเจี่ย)
(นักแสดง ชาวจีน)



จางหลู่อี
รับบท อู๋เหลาโก่ว (ปู่ขอู๋เสีย)
(นักแสดง / ผู้กำกับ ชาวจีน)



หลี่หน่ายเหวิน
รับบท ป้านเจี๋ยหลี่ (ท่านสาม)
(นักแสดง ชาวจีน)



หลี่จงฮั่
รับบท เยเป้ยเหล่าลิ่ว
(นักแสดง ชาวจีน)




คลิปตัวอย่างจาก  youtube/AMARIN TVHD






คลิปเบื้องหลัง




คลิปตัวอย่างแต่ละตอน จาก youtube/[中视CTV] official channel



*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา