กำกับ: ลี จงแจ
เขียนบท: โน จีซอล
แนวละคร: ดราม่า, โรแมนติก, คอมเมดี้
จำนวนตอน: 16ออกอากาศ: เกาหลี - 10 กันยายน 2561 - 30 ตุลาคม 2561 ทางทีวีเอ็น
ไทย - ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.15 น. ทางพีพีทีวี เอชดี (หมายเลข 36) ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2562 - 6 มีนาคม 2562
ละคร " รัก 100 วันของฉันและองค์ชาย (100 Days My Prince)" นำเสนอเรื่องราว (สมมุติ) ขององค์ชายรัชทายาทแห่งราชวงศ์โชซอนนามว่า "ลียูล" ซึ่งถูกคนร้ายตามไล่ล่าหมายเอาชีวิต หลังพลัดตกจากหน้าผาและสูญเสียความทรงจำ เขาก็ใช้ชีวิตไปวันๆ ในฐานะสามัญชนที่ไร้ตัวตนและไร้ซึ่งจุดหมาย สุดท้ายก็ติดกับดัก (คำสั่ง) ที่ตนเองวางไว้ทำให้ต้องแต่งงานกับสาวโสดที่อายุมากสุดในหมู่บ้านอย่าง "ยอน ฮงชิม" (วัย 28 ปี) แบบงงๆ
* เกร็ดความรู้: สังคมโชซอนได้รับอิทธิพลและถูกวางรากฐานมาจากแนวคิดของลัทธิขงจื๊อใหม่ จึงมีการแบ่งชนชั้นกันอย่างเข้มงวดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคต้นๆ ทั้งยังให้ความสำคัญกับเรื่องความสมดุลของหยินหยางและพิธีกรรมต่างๆ ในส่วนของการแต่งงานนั้นมักถูกจัดขึ้นขณะบ่าวสาวอายุยังน้อย (อายุต่ำสุดสำหรับเจ้าบ่าวคือ 15 ปี ส่วนเจ้าสาวคือ 14 ปี) โดยทั่วไปฝ่ายชายมักแต่งงานก่อนอายุ 30 ปี ส่วนฝ่ายหญิงต้องแต่งงานก่อนอายุ 20 ปี ลูกหลานชาวบ้านจะแต่งงานเร็วกว่าลูกหลานชนชั้นสูง
เนื้อหาตอนที่ 1
ละครเริ่มต้นขึ้นในวันที่ฟ้ามัวหม่นและมีพายุฝน องค์ชายรัชทายาท "ลียูล" ยืนมองสายฝนด้วยสีหน้าครุ่นคิดและเคร่งเครียดก่อนยื่นมือออกไปรองน้ำฝน ทันทีที่ตัดสินใจได้องค์ชายก็รีบเดินออกจากตำหนักพลางสั่งให้คนเตรียมม้า จากนั้นก็ควบม้าฝ่าสายฝนอย่างเร่งรีบ แม้ "ชอง แจยุน" จะเข้ามาขวางและเตือนว่าหากไปสนามรบแบบโจ่งแจ้งเยี่ยงนี้พระองค์จะถูกสังหาร แต่องค์ชายรัชทายาทก็ยังยืนกรานว่าตนจะไปเผชิญหน้ากับความตาย
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ยูลยังเป็นเพียงเด็กชายตัวน้อยที่ฝันอยากเป็นนักรบผู้กล้า เขาจึงมักเล่นสู้รบกับ "ทงจู" (เพื่อนสนิทและองครักษ์) โดยสมมุติว่าตนเองเป็นแม่ทัพที่กำลังขับไล่ศัตรูออกจากดินแดนของตน (เขาเกณฑ์ทาสเด็กในละแวกดังกล่าวมาเล่นเป็นศัตรูที่ถูกไล่ล่า) หลังใช้ไม้ฟาดทาสเด็กที่ชื่อ "มักแก" จนล้มลงไปนั่งร้องไห้ ยูลก็ประกาศว่ามักแกคือคนเถื่อน "ลี มันจู" (หรือ "หลี่หม่านจู้" ในภาษาจีน เป็นหัวหน้ากลุ่ม "เจี้ยนโจวหนี่ว์เจิน" - หนึ่งในสามกลุ่มหลักของชนเผ่าหนี่ว์เจิน) เขาจะใช้ดาบไม้ฟาดมักแกซ้ำ (สมมุติว่าสังหารลี มันจู) แต่แล้วอยู่ๆ เขาก็ถูกเด็กผู้หญิงคนหนึ่งใช้ดาบไม้ตีหัวสั่งสอนโทษฐานที่รังแกทาสเด็กของตนจนน่วมทุกวัน
ยูลแย้งว่าตนแค่เล่นเป็นนักรบไม่ได้ตั้งใจทำร้ายใคร เด็กหญิงคนดังกล่าวแย้งกลับว่าเขาไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้น เธอชี้ว่าการรังแกเด็กที่ต่ำต้อยกว่าเป็นพฤติกรรมของพวกไร้สมองไม่ใช่นักรบ ก่อนประณามว่ายูลเป็นเจ้าทึ่มที่ใช้ตำแหน่งพ่อเป็นข้ออ้างในการรังแกเด็กคนอื่นๆ ยูลโมโหจึงคิดที่จะสั่งสอนเธอ แต่เธอเร็วกว่าจึงเป็นฝ่ายข่มขู่ยูล ทั้งยังขู่ด้วยว่าขืนรังแกทาสเด็กแล้วอ้างว่าแค่เล่นกันอีกมีหวังโดนดีแน่ พูดจบเธอก็เดินไปคว้าแขนมักแกแล้วพากลับบ้าน ทงจูไม่พอใจคุณหนูตัวน้อยที่ล่วงเกินนายของตน แถมเธอ (ซึ่งเป็นชนชั้นสูง) ยังเดินจูงมือทาสที่เป็นเด็กชายซึ่งผิดธรรมเนียมปฏิบัติ เขาจึงสงสัยว่าเธอเป็นใครกันแน่ ยูลเองก็อยากรู้เช่นกันว่าเธอเป็นใครเลยชวนทงจูเล่นเป็นนักสืบ
"คิม ชาออน" นำหินก้อนหนึ่งมาให้ "นึงซอนกุน" (องค์ชายนึงซอน / ชื่อจริง "ลีโฮ" - พระอนุชาของพระราชาองค์ปัจจุบัน / บิดาของลียูล) ถึงที่บ้าน โดยบอกว่าเป็นหินล้ำค่าที่ตนพบโดยบังเอิญ บนหินมีอักษรจีน "冗" ("หร่ง") หรือออกเสียง "ยง" ในภาษาเกาหลี ซึ่งแปลว่า "เปล่าประโยชน์" ปรากฏอยู่ (อักษรตัวดังกล่าวพ้องเสียงกับ "ยง" หรือ "หลง" (龙) ในภาษาจีนที่แปลว่า "มังกร") ชาออนจึงใช้หินเป็นข้ออ้างในการผลัดแผ่นดิน (โค่นบัลลังก์) เขากล่าวว่าตนจะมอบแผ่นหินก้อนนี้ให้นึงซอนกุน (จะสนับสนุนนึงซอนกุนให้ขึ้นเป็นพระราชาองค์ใหม่) แต่มีเงื่อนไขว่าภรรยาของนึงซอนกุน (มารดาของลียูล) จะไม่ได้เป็นพระมเหสีและจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการขึ้นครองบัลลังก์ในครั้งนี้ นึงซอนกุนได้ยินดังนั้นจึงถามชาออนด้วยความโกรธว่า "เจ้าจะให้ข้าทอดทิ้งภรรยาและแย่งชิงบัลลังก์จากพี่ชายงั้นรึ นี่เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะทำเรื่องเช่นนั้น" แต่แล้วนึงซอนกุนก็ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อชาออนเตือนว่าหากไม่ทำเช่นนั้นนึงซอนกุนและทุกคนในครอบครัวจะมีภัย
หลังแอบออกไปเล่นเป็นนักรบทุกวันโดยไม่สนใจอ่านตำรา ยูลซึ่งเพิ่งกลับเข้าบ้านและกำลังเก็บซ่อนดาบไม้ก็ถูกมารดาจับได้แบบคาหนังคาเขา ครั้นถูกมารดาตำหนิเขาจึงอ้างว่าพ่อเป็นคนบอกให้ตนออกไปเที่ยวเล่น เพราะการเป็นคนฉลาดจะทำให้ฝ่าบาทหวาดระแวงและนำภัยมาสู่ตน ครั้นมารดากล่าวว่าอย่างน้อยเขาควรศึกษาหลักคำสอนพื้นฐานสี่ประการ (ของขงจื๊อ) ยูลก็แย้งเสียงดังลั่นว่าแม้การศึกษาจะสำคัญ แต่สิ่งที่ตนควรคำนึงถึงเป็นลำดับแรกคือเหล่าราษฎรที่กำลังเดือดร้อนทุกข์ยาก มารดาของเขาได้ยินดังนั้นจึงกล่าวชมในความคิดความอ่าน ก่อนแสร้งทำเป็นคารวะและเรียกยูลว่า 'ท่านแม่ทัพ'
ขณะที่ยูลซึ่งเนื้อตัวมอมแมมกำลังจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในบ้านตามที่มารดาสั่ง เขาบังเอิญวิ่งชนชาออนจึงก้มศีรษะขอโทษแล้วบอกว่าตนไม่ได้ตั้งใจ ชาออนเตือนยูลให้ระมัดระวังทุกฝีก้าวเพราะเขาไม่มีทางรู้ว่าก้าวเดียวที่พลั้งพลาดจะนำพาชีวิตไปในทิศทางใด ยูลได้แต่ยืนทำตาปริบๆ เพราะฟังแล้วไม่เข้าใจ ผิดกับมารดาที่รู้สึกสังหรณ์ใจและเป็นกังวล
ในที่สุด ทงจูซึ่งสวมบทเป็นนักสืบก็รายงานยูลว่าคุณหนูที่พวกตนพบก่อนหน้านี้คือ "ยูน อีซอ" อายุ 12 ปี เป็นลูกสาวใต้เท้ายูน อดีตหัวหน้าราชองครักษ์ ทงจูสงสัยว่ายูลแอบปิ๊งสาวเลยสั่งให้ตนตามสืบเรื่องอีซอ แต่ยูลปฏิเสธทันควันโดยอ้างว่าตนแค่อยากหาวิธีเอาคืนเธอให้สาสมซึ่งทงจูก็เห็นดีด้วย หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็หลอกอีซอว่ามักแก (ทาสเด็กซึ่งรับใช้ในบ้านอีซอ) โดนมนุษย์กินคนวิกลจริตที่อยู่ในป่าจับตัวไป อีซอได้ยินดังนั้นจึงรีบตามไปช่วยทาสของตนทั้งที่รู้สึกหวาดกลัวโดยมียูลกับทงจูตามไปดูห่างๆ ครั้นไปที่กระท่อมหลังหนึ่งแล้วพบเศษซากอวัยวะและร่องรอยการชำแหละอันน่าสยดสยอง ยูลกับทงจูก็รู้สึกตกใจและปอดแหกจนไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ ผิดกับอีซอที่ยังคงเดินหน้าต่อไปพลางเรียกหามักแกอย่างระแวดระวัง ทันใดนั้นก็มีชายตัวสูงใหญ่ผมเผ้ารุงรังเดินถือขวานออกมา อีซอถอยหนีไม่กี่ก้าวก็เสียหลักล้มลง ทงจูเห็นท่าไม่ดีเลยรีบคว้าแขนยูลแล้วพาวิ่งหนีไป ทิ้งให้อีซอเผชิญหน้ากับเจ้าของกระท่อมร่างยักษ์ตามลำพัง
คืนนั้นยูลทั้งเป็นห่วงและรู้สึกผิดที่ทิ้งอีซอ ครั้นได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าเขาก็อดรนทนไม่ไหวจึงถือโคมไฟวิ่งฝ่าสายฝนแล้วมุ่งหน้าไปยังกระท่อมกลางป่าตามลำพังทันที แม้จะสะดุดท่อนไม้จนล้มคว่ำ เนื้อตัวมอมแมม และได้รับบาดเจ็บ แต่ยูลก็ไม่ย่อท้อและยังคงวิ่งต่อไป ครั้นไปถึงประตูรั้วเขาก็ด้อมๆ มองๆ ครู่หนึ่งก่อนผลักประตูแล้วเดินเข้าไปข้างในด้วยความหวาดกลัว สายตาของเขาจับจ้องที่กระท่อม (ซึ่งมีแสงไฟลอดออกมาจากด้านใน) ตลอดเวลา ด้วยความที่ไม่ได้มองพื้นเขาจึงเหยียบเศษกระดูกหัก เจ้าของกระท่อมได้ยินเสียงจึงเปิดหน้าต่างออกมาดู ยูลเห็นดังนั้นก็ตกใจกลัวจนเข่าทรุด แต่แล้วอีซอก็โผล่หน้าออกมาพร้อมน่องไก่ในมือ เธอเรียกเขาว่าเจ้าทึ่มแล้วชวนมากินไก่ด้วยกัน
ก่อนกลับบ้าน อีซอช่วยมัดผมให้ชายร่างยักษ์แล้วสอนให้เขายิ้มเพื่อที่เขาจะได้แลดูน่ากลัวน้อยลง ยูลเห็นรอยยิ้มของอีซอแล้วถึงกับเคลิบเคลิ้ม ขณะเดินออกจากป่าด้วยกันยูลอดชื่นชมความกล้าหาญของอีซอไม่ได้ ถึงกระนั้นเขาก็ไม่วายสงสัยว่าทำไมชนชั้นสูงอย่างเธอถึงละเมิดกฏชนชั้นด้วยการทานอาหารร่วมโต๊ะกับชนชั้นต่ำ ครั้นอีซอหยิบยกคำสอนของพ่อมากล่าวอ้างในเชิงเปรียบเทียบ ยูลก็ได้แต่เกาหัว เพราะฟังแล้วไม่เข้าใจ พอเห็นว่าอีซอกำลังจะลื่นล้มเพราะพื้นลื่น ยูลก็รีบคว้าแขนอีซอเอาไว้พลางบ่นว่าเธอเอาแต่เรียกตนว่าเจ้าทึ่มแต่ความจริงแล้วเธอเองก็ทึ่มไม่แพ้ตน อีซอเห็นว่าแขนยูลมีเลือดออกเลยนำผ้าผูกผมมาพันแผลที่แขนให้ ยูลจึงยิ่งประทับใจในตัวเธอ เขาสงสัยว่าทำไมอีซอถึงไม่โกรธที่โดนตนหลอก อีซอเกล้าผมโดยหยิบดอกไม้มาเสียบแทนปิ่นพลางกล่าวว่าการโกรธคนที่สำนึกผิดแล้วไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำ ยูลพยายามเดาว่าสิ่งที่อีซอพูดมาจากบทกวีหรือเป็นแนวคิดของนักปรัชญาคนใดกันแน่ และนั่นก็ทำให้อีซอรู้ว่ายูลโตจนป่านนี้แล้วแต่ยังไม่เคยอ่านหลักคำสอนพื้นฐานสี่ประการ
ขณะเดินผ่านป่าที่เต็มไปด้วยต้นพ็อด-กด (ซากุระเกาหลี) และมีกลีบดอกร่วงโปรยปราย อีซอหันมายิ้มให้ยุลแล้วถามว่า (ดอกไม้ร่วง) "สวยใช่มั๊ยล่ะ" ยูลไม่ตอบ สายตาเขามีเพียงอีซอเท่านั้น เขาจ้องมองเธอซึ่งยืนยิ้มตรงหน้าอย่างตกตะลึง อีซอยื่นมือรองกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นพลางถามยูลว่าเขาชอบอะไรมากกว่ากัน... ระหว่างหิมะตกกับกลีบดอกไม้ที่ร่วงโปรยปราย ยูลรวบรวมความกล้าแล้วตอบตามตรงว่า "ข้า...ชอบเจ้า ข้าจะ...แต่งงานกับเจ้า" อีซอได้ยินแล้วถึงกับอึ้ง ทันใดนั้นก็มีเสียงคนตะโกนเรียกอีซอ อีซอเห็นพ่อพาคนออกตามหาตนจึงบอกให้ยูลรีบหนีไปโดยบอกว่าพ่อของเธอดุมาก แต่ยูลยิ้มรับแล้วบอกว่าไม่เป็นไรเพราะถึงยังไงพรุ่งนี้ตนก็ต้องโดนพ่อลงโทษอยู่ดี อีซอสัญญาว่าจะไม่ฟ้องพ่อดังนั้นเขาจึงไม่ต้องเป็นกังวล พูดจบเธอก็วิ่งไปหาพ่อขณะที่ยูลยังคงยืนยิ้มและมองตามอย่างปลื้มปริ่ม
นับจากวันนั้นยูลก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขากลายเป็นเด็กที่ขยันอ่านหนังสือและไม่หนีออกไปเที่ยวเล่นเหมือนเคย ขณะอ่านตำราเขาอดบ่นถึงอีซอให้มารดาฟังไม่ได้ โดยกล่าวว่าใครจะกล้าแต่งงานกับผู้หญิงก๋ากั่นแบบเธอ เขาพูดพลางส่ายหน้าว่าขืนยังทำตัวแบบนี้ต่อไปมีหวังได้ขึ้นคานจนวันตายแน่ ครั้นมารดาชี้ว่าอีซอทำให้ยูลซึ่งไม่เคยสนใจเรียนตั้งใจเรียนหนังสือ ยูลก็ปฏิเสธทันควันว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอีซอ ตนแค่ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาและคิดเองทำเองล้วนๆ เมื่อมารดาหลอกถามว่าอีซอสวยมากใช่ไหม ยูลเผลอยอมรับและกล่าวว่าตนไม่เคยเจอใครสวยขนาดนี้มาก่อน กว่าจะรู้ตัวว่าหลุดปากก็สายเกินไป ยูลจึงทั้งอายและเจ็บใจตัวเอง
เมื่อมารดาซึ่งกำลังนั่งพับผ้าบอกว่าเธอจะไปสวดมนต์ที่วัดสักระยะยูลจึงขอตามไปด้วย แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเมื่อมารดาบอกให้นำผ้าผูกผมที่ซักจนสะอาดแล้วไปคืนอีซอ เขาสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนและขยันอ่านหนังสือจนกว่ามารดาจะกลับมา หลังอ่านหนังสืออย่างจริงจังทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลาหลายวัน ในที่สุดยูลก็อ่านหนังสือเล่มยักษ์จนจบ เขาจึงคิดที่จะออกไปหาอีซอแต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้พ่อห้ามไม่ให้ก้าวเท้าออกจากห้องโดยเด็ดขาด เขาลังเลครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็ออกไปอยู่ดี
มักแกแอบพายูลเข้ามาในบ้าน (ของอีซอ) ยูลรู้สึกซาบซึ้งใจจึงบอกมักแกว่าคราวหน้าถ้าเล่นสู้รบกันอีกตนจะให้มักแกเป็นแม่ทัพ อีซอนึกไม่ถึงว่ายูลจะบุกมาหาตนถึงที่ เธอรีบจูงมือเขาไปคุยในที่ลับตาเพื่อไม่ให้ใครเห็น (ยูลยิ้มปลื้มที่สาวจับมือ) จากนั้นก็ชี้ว่าวันนี้พ่อเธอสั่งห้ามไม่ให้เปิดประตูรับแขก (ไม่อนุญาตให้ใครก็ตามเข้าบ้าน) หากพ่อรู้ว่ายูลมาที่นี่เหล่าทาสรับใช้มีหวังโดนตำหนิแน่ ยูลกล่าวด้วยความภูมิใจว่าตนอ่านและจดจำหลักคำสอนพื้นฐานสี่ประการจนจบเล่มภายในเวลาเพียงสิบวัน อีซอกล่าวชมพลางลูบหัวยูลด้วยความเอ็นดูเพราะนึกว่าเขาอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงที่นี่เพื่ออวดเรื่องนี้ ยูลแย้งว่าตนมาที่นี่เพราะมีบางอย่างจะมอบให้
เขายังไม่ทันหยิบผ้าผูกผมออกมาคืนเธอก็มีเสียงคนตะโกนสั่งให้เปิดประตูโดยอ้างว่าพวกตนมาตามพระบัญชา อีซอจึงบอกให้ยูลหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่และห้ามออกมาโดยเด็ดขาด จากนั้นก็รีบไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทาสรับใช้จำนวนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ แต่ไม่มีใครกล้าเปิดรับผู้มาเยือนที่พยายามพังประตูเพราะผู้เป็นนายสั่งเอาไว้ อีซอได้ยินว่าพวกเขามาตามพระบัญชาจึงพยักหน้าบอกให้ทาสรับใช้คนหนึ่งเปิดประตูแต่กลุ่มคนที่อยู่ข้างนอกพังประตูเข้ามาเสียก่อน หลังจากนั้นหัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ซึ่งถือดาบเปื้อนเลือดและมีรอยเลือดสาดกระเซ็นบนเสื้อผ้าหน้าตาก็ถามทาสรับใช้คนหนึ่งว่านายของเขาอยู่ที่ไหน ทาสคนดังกล่าวตอบว่าตนไม่รู้จึงโดนสังหารทันที
ยูลได้แต่ยืนดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง เขาเห็นพ่ออีซอสู้ตายแม้คนร้ายที่เข้ามากลุ้มรุมมีจำนวนมาก แต่ไม่นานก็ถูกฟันที่ขาจนได้รับบาดเจ็บ มักแกเห็นชายคนหนึ่งกำลังจะลอบสังหารนายตนจากทางด้านหลังจึงใช้ไม้ฟาดหลังชายคนดังกล่าว ชายคนดังกล่าวจึงหันกลับมาสังหารมักแกทันที ยุลเห็นมักแกถูกคนร้ายฆ่าตายต่อหน้าต่อตาก็ถึงกับช็อค หลังจากนั้นพ่ออีซอก็เริ่มหมดแรงและถูกรุมฟันที่ลำตัวหลายแผลจนทรุดตัวล้มลง อีซอกรีดร้องและพยายามวิ่งกลับไปหาพ่อแต่ซอกฮาฉุดรั้งเอาไว้แล้วพาเธอวิ่งหนีต่อไป
ยูลเห็นดังนั้นจึงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ ครั้นได้ยินชาออนสั่งฆ่าล้างครัวบ้านอีซอโดยบอกว่าอย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว ยูลก็วิ่งออกมาขวางพลางประกาศทั้งน้ำตาว่าตนคือ ลียูล ลูกชายของนึงซอนกุน และขู่ว่าหากใครตามไล่ล่าอีซอกับพี่ชายตนจะลงโทษทุกคนในนามของเชื้อพระวงศ์ ชาออนเดินเข้าไปอุ้มยูลแล้วพาไปส่งที่บ้าน ยูลรีบวิ่งไปกอดบิดาพลางร่ำไห้ด้วยความตกใจกลัว นึงซอนกุนตำหนิยูลที่ไม่เชื่อฟังคำสั่ง (ห้ามออกจากห้อง) ยูลฟ้องบิดาว่าชาออนและพวกฆ่าคนตาย จากนั้นก็อ้อนวอนบิดาให้ช่วยคนที่กำลังถูกตามฆ่า (อีซอกับพี่ชาย) นึงซอนกุนจ้องหน้าชาออนพลางสั่งให้ยูลกลับเข้าห้อง ครั้นเห็นชาออนเดินตรงเข้ามาหายูลก็ค่อยๆ ถอยไปหลบอยู่ทางด้านหลังบิดา เขากำแขนเสื้อบิดาแน่นพลางถามว่า "ชายผู้นั้นจะฆ่าพวกเราหรือขอรับ" ชาออนหยุดยืนตรงหน้านึงซอนกุนก่อนชักดาบแล้วชูขึ้น ยูลรีบหลบหลังบิดาแต่ชาออนกลับคุกเข่าแล้วปักดาบลงที่พื้น จากนั้นก็รายงานว่า พวกตนสังหารทุกคนตามคำสั่งของนึงซอนกุนเรียบร้อยแล้ว ยูลได้ยินแล้วยิ่งช็อคหนัก เขาแทบไม่เชื่อหูเมื่อชาออนประกาศต่อหน้าบิดาว่า "นับจากนี้ โลกเป็นของท่านแล้วพะย่ะค่ะ... ฝ่าบาท" และนั่นก็ทำให้มือน้อยๆ ที่กำแขนเสื้อบิดาแน่นก่อนหน้านี้ค่อยๆ ร่วงลง
หลังรู้ว่าบิดาอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดยูลก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาร้องหามารดาและยืนกรานว่าจะไม่สวมชุดสำหรับเข้าร่วมพิธีบรมราชาภิเษกจนกว่าจะได้พบหน้ามารดาของตน นึงซอนกุนซึ่งกำลังจะถูกสถาปนาเป็นพระราชาองค์ใหม่อย่างเป็นทางการ ยอมรับกับชาออน (ซึ่งถูกแต่งตั้งเป็นเสนาฯ ซ้าย) ว่าตนไม่แน่ใจว่าจะดูแลราชสำนักและเป็นนักปกครองที่ดีได้หรือไม่ ชาออนกล่าวว่าทั้งหมดที่นึงซอนกุนต้องทำในฐานะพระราชาคือการวางตัวให้งามสง่าและสูงส่ง ส่วนเรื่องในราชสำนักปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าราชบริพารที่ต่ำต้อยอย่างตน นึงซอนกุนได้ยินดังนั้นจึงถามตรงๆ ว่าเขาต้องการอะไรเป็นการตอบแทน ชาออนตอบตามตรงว่าตนอยากเป็น "กุกกู" (국구 國舅 - หมายถึง ผู้ที่ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงค์แต่เป็นพระญาติในทางกฏหมายผ่านทางฝ่ายหญิง (เช่น พระมเหสี พระสนม ฯลฯ) มักเป็นผู้เรืองอำนาจในแผ่นดินและกุมอำนาจในราชสำนัก) ซึ่งในที่นี้หมายถึงเป็นพ่อตาของยูลนั่นเอง
ชาออนแจ้งข่าวร้ายว่าภรรยาของนึงซอนกุนพลัดตกลำธารที่อยู่ใกล้ๆ วัดเสียชีวิต นึงซอนกุนได้ยินแล้วอดใจหายไม่ได้ เขาขอให้ชาออนเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจนกว่าพิธีบรมราชาภิเษกของตนจะเสร็จสิ้น ชาออนรับปากและเชิญนึงซอนกุนไปเข้าพิธีที่ท้องพระโรง เมื่อทั้งคู่หันหลังกลับก็พบยูลกำลังยืนช็อค ยูลถามบิดาด้วยเสียงอันสั่นเครือว่าที่ชาออนพูดเมื่อครู่หมายถึงมารดาตนใช่หรือไม่ นึงซอนกุนจะเดินเข้าไปหายูล ยูลถอยหนีและวิ่งตรงไปที่ประตูวังพลางร้องหามารดาแต่สองนางในพี่เลี้ยงช่วยกันจับตัวไว้เสียก่อน ถึงกระนั้นยูลก็พยายามดิ้นรนและตะโกนเรียกมารดาสุดเสียง ชาออนสั่งให้นางในปล่อยตัวยูล ก่อนชี้ว่ายูลกำลังจะเป็นองค์ชายและเสาหลักของแผ่นดินนี้จึงไม่ควรเสียน้ำตาเพราะเรื่องส่วนตัว ยูลแย้งว่าตนไม่อยากเป็นองค์ชายเลยสักนิด ชาออนคว้าตัวยูลให้ยืนฟังนิ่งๆ พลางบอกว่าจงร้องให้พอเพราะวันนี้คือวันสุดท้ายที่เขาจะมีโอกาสร้องไห้ พูดจบชาออนก็ก้มศีรษะคำนับยูลแล้วเดินจากไป ยูลน้ำตาไหลพรากจากนั้นก็ทรุดตัวลงแล้วกรีดร้องสุดเสียง (ร้องเรียกมารดา และร้องกลับบ้าน)
ยูลเติบใหญ่เป็นองค์ชายรัชทายาทหนุ่มรูปงาม แต่ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง ทำให้รู้สึกอึดอัดกายใจตลอดเวลาและเห็นอะไรขวางหูขวางตาไปเสียหมด นับตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในวังเขาไม่เคยมีความสุขและไม่เคยยิ้มอีกเลย (แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมตนถึงรู้สึกเช่นนั้นแค่คนเดียว และไม่ชอบเห็นใครอยู่ในวังแล้วมีความสุข) ครั้นสาวใช้ในวังคนใหม่มัวแต่ชมนกเพลินจนเดินตามขบวนไม่ทัน ยูลก็รู้สึกไม่พอใจและกล่าวว่าเธอทำให้เขาหงุดหงิด (เขาได้ยินเสียงเธอวิ่งตามขบวน) ครั้นโดนตำหนิที่ทำให้เสียรูปขบวนสาวใช้กลับยิ้มรับและกล่าวขอโทษ ยูลจึงยิ่งไม่พอใจ สาวใช้คนดังกล่าวออกตัวว่าที่ตนยิ้มเพราะเห็นว่านกบนฟ้าช่างสวยงามยิ่งนัก ยูลจ้องหน้าเธอพลางชี้ว่าตลอด 69,329 ชั่วโมงที่อยู่ในวังตนไม่เคยยิ้มออกเลยสักครั้ง แต่เธอเพิ่งเข้าวังไม่ถึงวันกลับยิ้มได้ เขาไม่ต้องการเห็นรอยยิ้มของเธออีกต่อไปจึงสั่งให้เธอกำจัดนกในวังให้หมดสิ้น หากกำจัดนกไม่ได้ เธอจะเป็นฝ่ายถูกกำจัดเสียเอง
ขณะนั่งฟังพระอาจารย์สอนเรื่องคำศัพท์ต่างๆ ที่ใช้บรรยายรูปแบบการสังหาร อยู่ๆ ยูลก็แทรกขึ้นว่ามีเพียงตนที่ไม่สบอารมณ์เช่นนั้นหรือ ปรากฏว่าคราวนี้ต้นเหตุคือ "คิม ซูจี" (ลูกชายคิม ชาออน หรือ "เสนาฯ คิม" ในปัจจุบัน) ซึ่งกำลังนั่งฝันหวาน ซูจีรีบลุกขึ้นขอโทษและอธิบายว่าคืนนี้ตนมีนัดกับเพื่อนคนสำคัญเลยเผลอใจลอย เขาชี้ว่าที่ตนยิ้มเป็นเพราะไม่ได้เจอเพื่อนคนนี้มานานมาก ยูลไม่อยากให้ซูจีสมหวังจึงแกล้งตั้งโจทย์ให้ตอบ โดยบอกว่าถ้าใครตอบถูกจะได้เลื่อนตำแหน่งตามที่ต้องการ แต่ตราบใดที่ยังหาคำตอบไม่ได้ห้ามทุกคนในที่นี้ออกจากวังโดยเด็ดขาด หากซูจีอยากออกไปพบเพื่อนนอกวังก็ต้องตอบคำถามของตนให้ได้เสียก่อน
"ขันทียาง" เห็นยูลทำตัวขวางโลกจึงอดเตือนไม่ได้ว่าขืนยังคงทำตัวเช่นนี้อีกหน่อยจะไม่มีใครคอยสนับสนุนหรือเข้าข้างเขา และนั่นก็ยิ่งทำให้ยูลหงุดหงิดหนักขึ้น เขาจะไปห้องตำราเหมือนเช่นทุกวันแต่ขันทียางชี้ว่าวันนี้มีกำหนดการที่ระบุให้ยูลร่วมหลับนอนกลับพระชายา "คิม โซฮเย" (ลูกสาวเสนาฯ คิม) หลังเหล่าขุนนางในราชสำนักพากันถวายฎีกากดดันเพราะเกิดภัยแล้งหนัก
ขันทียางพายูลมาที่ห้องอาบน้ำและชี้ว่าพวกตนได้ผสมโสมกับตังกุยลงไปในน้ำเพื่อกระตุ้นพลัง (ทางเพศ) ส่วนกลีบกุหลาบแดงช่วยบำรุงผิวพรรณ ยูลรับไม่ได้ที่ถูกขุนนางในราชสำนักกดดันให้ร่วมหลับนอนกับชายาโดยเชื่อว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ฝนตก ทั้งยังมองว่าการแก้ปัญหาภัยแล้งด้วยวิธีดังกล่าวเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ เขาจึงหลอกให้ขันทียางไปนำกลีบกุหลาบแดงมาเพิ่มและแอบหนีไป หลังรออยู่นานโซฮเยก็ได้รับรายงานว่ายูลหายตัวไปอีกตามเคย เธอคิดที่จะออกไปตามเพราะรู้ว่ายูลไม่มาเองแน่ๆ แต่สาวใช้แนะให้รอและเตือนว่าหากเธอทำเช่นนั้นยูลจะยิ่งถอยหนี
"ขันทียาง" เห็นยูลทำตัวขวางโลกจึงอดเตือนไม่ได้ว่าขืนยังคงทำตัวเช่นนี้อีกหน่อยจะไม่มีใครคอยสนับสนุนหรือเข้าข้างเขา และนั่นก็ยิ่งทำให้ยูลหงุดหงิดหนักขึ้น เขาจะไปห้องตำราเหมือนเช่นทุกวันแต่ขันทียางชี้ว่าวันนี้มีกำหนดการที่ระบุให้ยูลร่วมหลับนอนกลับพระชายา "คิม โซฮเย" (ลูกสาวเสนาฯ คิม) หลังเหล่าขุนนางในราชสำนักพากันถวายฎีกากดดันเพราะเกิดภัยแล้งหนัก
ขันทียางพายูลมาที่ห้องอาบน้ำและชี้ว่าพวกตนได้ผสมโสมกับตังกุยลงไปในน้ำเพื่อกระตุ้นพลัง (ทางเพศ) ส่วนกลีบกุหลาบแดงช่วยบำรุงผิวพรรณ ยูลรับไม่ได้ที่ถูกขุนนางในราชสำนักกดดันให้ร่วมหลับนอนกับชายาโดยเชื่อว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ฝนตก ทั้งยังมองว่าการแก้ปัญหาภัยแล้งด้วยวิธีดังกล่าวเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ เขาจึงหลอกให้ขันทียางไปนำกลีบกุหลาบแดงมาเพิ่มและแอบหนีไป หลังรออยู่นานโซฮเยก็ได้รับรายงานว่ายูลหายตัวไปอีกตามเคย เธอคิดที่จะออกไปตามเพราะรู้ว่ายูลไม่มาเองแน่ๆ แต่สาวใช้แนะให้รอและเตือนว่าหากเธอทำเช่นนั้นยูลจะยิ่งถอยหนี
หลังรู้ว่ายูลหนีไปอ่านหนังสือที่ห้องตำราอีกเช่นเคย พระราชาจึงตามมาตำหนิเรื่องที่เขาไม่ยอมร่วมหอกับพระชายา ซ้ำยังมัวอ่านหนังสือไร้สาระ (หนังสือเกี่ยวกับ "ทกแกบี" หรือ "ก็อบลินเกาหลี") ทั้งที่รู้ว่าราษฎรทุกหย่อมหญ้ากำลังเดือดร้อนหนักและพากันวิตกกังวลเพราะฝนแล้งมานานหลายเดือนแล้ว พระองค์โวยลั่นว่ายูลเป็นองค์รัชทายาทของแผ่นดินแต่กลับไม่เคยร่วมหลับนอนกับพระชายา ในเมื่อหยินหยางไม่ปฏิสัมพันธ์กันแล้วสวรรค์จะประทานฝนให้พวกตนได้อย่างไร ยูลถามอย่างยอกย้อนว่าการที่บ้านเมืองเกิดภัยแล้งเป็นความผิดของตนเช่นนั้นหรือ พระราชาได้ยินแล้วถึงกับอึ้ง (ในยุคนั้นนอกจากความเชื่อเรื่องหยินหยางไม่สมดุลจะนำมาซึ่งภัยแล้งแล้ว ยังเชื่อว่าหากพระราชาไร้ซึ่งคุณธรรมจะทำให้เกิดภัยแล้งเช่นกัน)
* "ทกแกบี" คือ ก็อบลินเกาหลีในตำนาน มีทักษะและพลังเหนือธรรมชาติทั้งในด้านร้ายและด้านดี ส่วนใหญ่มักนำเรื่องดีๆ มาสู่มนุษย์และทำให้มนุษย์มีความสุข
พระองค์แย้งอย่างเจ็บปวดใจว่าทั้งหมดเป็นความผิดของพระราชาที่โง่เขลาและชั่วช้าอย่างตน ก่อนถามด้วยความโกรธว่ายูลเองก็ดูแคลนตนเหมือน 'ราษฎร' คนอื่นๆ ใช่ไหม ยูลชี้ว่าตนไม่เคยหวังให้บิดาเป็นพระราชาและไม่เคยอยากเป็นองค์ชายรัชทายาทเลยสักนิด ดังนั้น อย่าบังคับตนให้ทำเรื่องต่างๆ อีกเลย พระราชาได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโกรธแต่ยูลยังไม่หยุดแค่นั้น เขาถามพระบิดาอย่างรู้ทันว่าความจริงแล้วราษฎรหรือเสนาฯ คิมกันแน่ที่ทำให้พระองค์คับข้องใจ พระราชาถอนใจแทนคำตอบก่อนถามยูลว่า เกลียดพระชายามากขนาดนั้นเลยหรือ ยูลจ้องหน้าพระบิดาด้วยสายตาเคียดแค้นพลางตอบว่า คนที่ตนเกลียดไม่ได้มีแค่ชายา พูดจบยูลก็เดินออกจากห้องแต่แล้วอยู่ๆ อาการเจ็บปวดบริเวณหน้าอกก็กำเริบขึ้นมา
วันต่อมา ยูลแก้เผ็ดด้วยการเรียกเหล่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักมาพบ และจัดเตรียมน้ำลอยกลีบกุหลาบ มาให้ทุกคนได้ชิมเป็นกรณีพิเศษโดยอ้างว่าเพื่อเป็นการตอบแทนความเหนื่อยยาก เหล่าขุนนางได้ลิ้มรสน้ำดอกไม้ที่ล้ำค่าหายากก็รู้สึกเป็นปลื้ม ขุนนางคนหนึ่งสงสัยว่าทำไมยูลถึงไม่ดื่มน้ำกุหลาบกับพวกตน ยูลกล่าวว่า ที่ผ่านมาตนต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการเจ็บปวด ด้วยความที่ตนเป็นคนหน้าตาและผิวพรรณดีจึงแลดูสดใสเปล่งปลั่งแม้ในยามป่วย แต่ความจริงตนเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรงมานานครึ่งค่อนเดือนแล้ว หมอหลวงจึงให้ตนกินยาต้มขมๆ วันละสองครั้ง เหล่าขุนนางเห็นยูลซดยาให้ดูต่อหน้าจึงพากันวางช้อน ยูลชี้ว่าตนเจ็บป่วยถึงเพียงนี้ หากทุกคนยังคงรบเร้าให้ตนร่วมหลับนอนกับพระชายาก็ไม่ต่างจากการบอกให้ตนไปตาย เหล่าขุนนางได้ยินดังนั้นจึงพร้อมใจกันกล่าวขออภัย
เสนาฯ ขวา "ชอง ซายอพ" แย้งว่า หากองค์ชายรัชทายาทซึ่งเป็นเสาหลักของบ้านเมืองไม่ยอมทำให้หยินหยางปฏิสัมพันธ์กัน ความพยายามในการอ้อนวอนขอฝนของพวกตนจะไม่เป็นผล ยูลแย้งว่าแค่ตนคงเดียวคงมีพลังไม่มากพอ เขาชี้ว่าโชซอนมี "วอน-นยอ" และ "ควางบู" (คนหนุ่มสาวที่เลยวัยแต่งงานแต่ยังครองตัวเป็นโสด) จำนวนมาก หากคนนับพันเหล่านี้พร้อมใจกันคืนความสมดุลให้พลังหยินหยางและทำให้หยินหยางปฏิสัมพันธ์กัน (ร่วมหอ) โอกาสที่ฝนจะตกก็จะมีมากขึ้น เสนาฯ ขวาจะแย้งแต่ยูลชิงพูดสวนขึ้นมาว่า การสั่งให้คนสองกลุ่มนี้แต่งงานในยามที่บ้านเมืองเกิดภัยแล้งเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาไม่ต้องการให้ใครมาบีบตนให้ร่วมหลับนอนกับพระชายาโดยนำภัยแล้งมาเป็นข้ออ้างอีกต่อไป จึงโยนความรับผิดชอบไปให้ราษฎรด้วยการออกคำสั่งให้เหล่า "วอน-นยอ" กับ "ควางบู" แต่งงานให้หมดทุกคนภายสิ้นเดือนหน้า
เกร็ดความรู้: "วอน-นยอ" (หรือ "เยวี่ยนหนี่ว์" ในภาษาจีน ความหมายตรงตัวคือ "ผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจ") ใช้เรียกผู้หญิงที่อายุล่วงเลยวัยแต่งงานแล้ว แต่ยังเป็นสาวบริสุทธิ์และยังไม่ได้แต่งงาน (อายุเกิน 20) ส่วน "ควางบู" (หรือ "ค่วงฟู" ในภาษาจีน) เป็นคำที่ใช้เรียกผู้ชายที่เลยวัยแต่งงานแล้วแต่ยังไม่ได้แต่งงานเช่นกัน ในยุคนั้นเชื่อกันว่าภัยธรรมชาติเกิดจากการมีคนสองกลุ่มนี้มากเกินไป (หยินหยางไม่สมดุล) โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายหญิงซึ่งเต็มไปด้วยพลังแห่งความคับแค้นใจ ยิ่งมีจำนวนมากพลังในด้านลบก็จะยิ่งแผ่กระจายไปทั่วจนนำมาซึ่งภัยพิบัติ - เพื่อหลีกเลี่ยงภัยธรรมชาติราชสำนักโชซอนยุคหนึ่งจึงลดจำนวนเหล่านางในและสาวใช้ในวัง (ซึ่งต้องครองตัวเป็นโสดตลอดชีวิต) บางส่วนได้รับอนุญาตให้ออกไปใช้ชีวิตอิสระนอกวังแต่ก็ต้องครองตัวเป็นโสดและไม่สามารถแต่งงานได้อยู่ดี
หลังจากนั้นยูลก็ลุกขึ้นและบอกเหล่าขุนนางว่า ตนเห็นทุกคนเป็นกังวลเรื่องภัยแล้งเลยพยายามใช้น้ำอย่างคุ้มค่า เขาชี้ว่าน้ำกุหลาบที่อยู่ตรงหน้าทุกคนเป็นน้ำที่ตนใช้อาบเมื่อคืน นอกจากกุหลาบแล้วยังมีส่วนผสมของโสมและตังกุยอีกด้วย เหล่าขุนนางได้ยินดังนั้นก็ถึงกับอึ้ง พูดจบยูลก็เดินจากไป แต่ไปได้ไม่กี่ก้าวกลับมีอาการแน่นหน้าอกและหมดสติต่อหน้าเหล่าขุนนาง
คุณหนูอีซอซึ่งปัจจุบันโตเป็นสาวและใช้ชีวิตในฐานะชนชั้นล่างของสังคมโดยเปลี่ยนชื่อเป็น "ยอน ฮงชิม" ขึ้นมาหาของป่าบนเขากับ "กึด-นยอ" แต่ก็พบเพียงพืชผัก เมื่อกึด-นยอเปรยว่าพวกตนคงไม่เหนื่อยยากหากได้แต่งงานและมีสามีคอยเลี้ยงดู ฮงชิมจึงแย้งว่ามีผู้ชายมากมายที่ไม่เอาไหนและหาเลี้ยงภรรยาไม่ได้ด้วยซ้ำ ครั้นเห็นสมุนไพรล้ำค่าหายาก "ซัมจีกูยอพโช" (หรือ "ซานจือจิ่วเย่เฉ่า" ในภาษาจีน บ้านเราเรียก "หญ้าแพะหงี่" ซึ่งมีสรรพคุณโดดเด่นเรื่องกระตุ้นความต้องการทางเพศ ทั้งยังช่วยให้ผ่อนคลาย) ฮงชิมก็รู้สึกดีใจเพราะสามารถนำไปตากแห้งและขายได้ราคาสูง แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีชายสองคน (นักล่าโสม) เข้ามาขวางและไล่ทั้งคู่ลงจากเขา ซ้ำยังห้ามไม่ให้ขึ้นมาอีก โดยโทษว่าที่พวกตนหาโสมป่าไม่ได้เป็นเพราะวอน-นยอ (ผู้หญิงที่เลยวัยแล้วแต่ยังไม่แต่งงาน) อย่างพวกเธอนำพลังแห่งความโชคร้ายขึ้นมาบนภูเขา ครั้นโดนรังแกและข่มขู่ ฮงชิมก็ลุกขึ้นสู้โดยนำความเชื่อเรื่องพลังแห่งความคับแค้นใจ (ของหญิงที่ไม่ได้แต่งงาน) มาขู่และแช่งกลับ โดยบอกว่าหากทำร้ายหรือทำให้วอน-นยออย่างพวกเธอโกรธแค้น พวกเขาจะประสบเคราะห์กรรมและมีอันเป็นไป
หลังจากนั้นยูลก็ลุกขึ้นและบอกเหล่าขุนนางว่า ตนเห็นทุกคนเป็นกังวลเรื่องภัยแล้งเลยพยายามใช้น้ำอย่างคุ้มค่า เขาชี้ว่าน้ำกุหลาบที่อยู่ตรงหน้าทุกคนเป็นน้ำที่ตนใช้อาบเมื่อคืน นอกจากกุหลาบแล้วยังมีส่วนผสมของโสมและตังกุยอีกด้วย เหล่าขุนนางได้ยินดังนั้นก็ถึงกับอึ้ง พูดจบยูลก็เดินจากไป แต่ไปได้ไม่กี่ก้าวกลับมีอาการแน่นหน้าอกและหมดสติต่อหน้าเหล่าขุนนาง
หลังถูกไล่ลงจากเขา กึด-นยอบ่นด้วยความน้อยใจที่โดนคนเหยียดหยามเพราะได้ชื่อว่าเป็นวอน-นยอ ทั้งที่เธอเองก็ไม่อยากครองตัวเป็นโสดเลยสักนิด ผิดกับฮงชิมที่เต็มใจเป็นวอน-นยอเพราะไม่อยากแต่งงาน ทันใดนั้น "ปาร์ค บกอึน" (หรือ "เจ้าหน้าที่ปาร์ค") ก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาทั้งคู่และบอกให้รีบตามตนไป ปรากฏว่าเหล่าชายหญิงที่เลยวัยแล้วแต่ยังไม่แต่งงานรวม 7 คนถูกเรียกมารวมตัวกัน ณ ที่ทำการหมู่บ้าน ครั้นรู้ว่าฮงชิมอายุ 28 ปี เจ้าหน้าที่ปาร์คก็ทำหน้าเหมือนเห็นผี (เธอเป็นคนโสดที่อายุมากสุดในหมู่บ้านซงจู) เขาไม่อยากเชื่อว่าเธอจะล่วงเลยวัยแต่งงานมานานขนาดนี้ เพราะโดยเฉลี่ยแล้วผู้หญิงคนอื่นๆ ในหมู่บ้านจะแต่งงานขณะอายุราวๆ 16 ปี ฮงชิมแย้งว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาห่วงเรื่องแต่งงาน เพราะมีเรื่องอื่นที่สำคัญและเร่งด่วนกว่า เช่น เรื่องที่พวกตนกำลังจะอดตาย กับเรื่องการซ่อมแซมบ้านหลังเกิดแผ่นดินไหวก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ปาร์คเลยตัดบทด้วยการบอกให้ทุกคนที่อยู่ตรงหน้าจับคู่แต่งงานกัน
ฮงชิมโวยลั่นเมื่อรู้ว่าองค์ชายรัชทายาทสั่งให้วอน-นยอกับควางบูทั้งหมดในโชซอนแต่งงานกันโดยขีดเส้นตายไว้ที่ปลายเดือนหน้า และกล่าวว่าองค์ชายรัชทายาทถ้าไม่ป่วยก็เพี้ยน เมื่อ "ปาร์ค ซอนโด" (ท่อน้ำเลี้ยง (คอยจัดหางบลับ) และลิ่วล้อของเสนาซ้าย) ซึ่งกำลังนั่งคุยกับ "โช พูยอง" (ตำแหน่ง "ฮยอนกัม") ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจึงเปิดหน้าต่างออกมาดู พูยองเห็นแล้วยิ่งหงุดหงิดจึงกล่าวอย่างหัวเสียว่าตนเพิ่งรับมือความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวมาหมาดๆ ยังต้องมาปวดหัวกับการจับคนพวกนั้นแต่งงานอีก ซอนโดกล่าวว่าคำสั่งนี้จะยิ่งทำให้ความเคียดแค้นที่ผู้คนมีต่อองค์ชายรัชทายาทเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะอย่างนี้ 'คนพวกนั้น' ถึงบังคับใช้คำสั่งดังกล่าวอย่างเข้มงวดและเอาผิดคนฝ่าฝืนสถานหนัก ขืนพูยองจับ 7 คนนี้แต่งงานไม่ได้ทั้งหมดมีหวังเดือดร้อนแน่ พูยองได้ยินแล้วกลุ้มหนักเพราะหมู่บ้านตนมีวอน-นยอมากกว่าควางบูหนึ่งคน หลังจับคู่แต่งงานแล้วหมู่บ้านเขาก็จะเหลือหญิงไร้คู่หนึ่งคนอยู่ดี
* ในยุคโชซอนตอนต้น "ฮยอนกัม" คือ ตำแหน่งขุนนางผู้น้อยขั้นหก อยู่ระดับล่างสุดในบรรดาเหล่าขุนนางฝ่ายปกครองท้องถิ่น มีหน้าที่ควบคุมดูแลเมืองเล็กๆ ซึ่งในที่นี้คือ หมู่บ้านซงจู (ผิดกับยุคโครยอที่ตำแหน่งดังกล่าวจะได้ดูแลเมืองใหญ่ระดับจังหวัด)
* ในยุคโชซอนตอนต้น "ฮยอนกัม" คือ ตำแหน่งขุนนางผู้น้อยขั้นหก อยู่ระดับล่างสุดในบรรดาเหล่าขุนนางฝ่ายปกครองท้องถิ่น มีหน้าที่ควบคุมดูแลเมืองเล็กๆ ซึ่งในที่นี้คือ หมู่บ้านซงจู (ผิดกับยุคโครยอที่ตำแหน่งดังกล่าวจะได้ดูแลเมืองใหญ่ระดับจังหวัด)
เจ้าหน้าที่ปาร์คพยายามอธิบายว่า ที่องค์ชายรัชทายาทสั่งให้วอน-นยอกับควางบูทั่วราชาอาณาจักรแต่งงานก็เพื่อบรรเทาภัยแล้ง เขาชี้ว่าวอน-นยออย่างฮงชิมไม่เพียงทำให้ฝนแล้ง แต่ยังนำมาซึ่งเภทภัยต่างๆ นานาไม่ว่าจะเป็น แผ่นดินไหวเมื่อเดือนก่อน ต้นไม้ใหญ่ถูกฟ้าผ่า หรือแม้กระทั่งการที่มีวัตถุสีดำปริศนา (UFO) ลอยอยู่บนฟ้า จากนั้นก็เตือนว่าหากฮงชิมไม่ทำตามคำสั่งองค์ชายรัชทายาทจะมีโทษหนัก ดังนั้นจงทำตามแต่โดยดี ถึงกระนั้นฮงชิมยังไม่วายโวยลั่นว่าแทนที่องค์ชายรัชทายาทจะห่วงใยทุกข์สุขของราษฎร กลับโยนความผิดและปัดความรับผิดชอบมาให้ชาวบ้านตาดำๆ อย่างพวกตน เธอจะหันไปหาแนวร่วมแต่แล้วกลับพบว่าทุกคน (รวมทั้งกึด-นยอ) ต่างน้อมรับคำสั่งและจับคู่กันเรียบร้อยแล้ว มีเพียงเธอที่ไม่มีคู่แต่งงาน
* บันทึกโบราณในยุคโชซอนมีเนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า เคยมีคนเห็นวัตถุประหลาดลักษณะคล้ายชามอ่าง (UFO) บินอยู่บนฟ้า
กึด-นยอจำใจแต่งงานกับ "กูโทล" เพราะไม่อยากโดนโบย 100 ครั้ง เธอจึงแอบมานั่งร้องไห้ก่อนเข้าพิธี ฮงชิมเห็นแล้วได้แต่สงสาร หลังเสร็จสิ้นพิธีฮงชิมเดินถอนใจออกจากบ้านบ่าวสาว เจ้าหน้าที่ปาร์คตามมาคุยด้วยและเตือนว่าเธอเป็นคนเดียวที่ยังไม่แต่งงาน ฮงชิมย้อนว่าขนาดกึด-นยอแต่งงานแล้วแต่ไม่เห็นมีวี่แววว่าฝนจะตก เจ้าหน้าที่ปาร์คจึงโวยลั่นว่าที่ฝนไม่ตกเป็นเพราะวอน-นยอคนสุดท้ายอย่างฮงชิมยังไม่แต่งงาน เขาไม่อยากให้เธอถูกโบยแต่หมดปัญญาช่วยเพราะในหมู่บ้านไม่มีควางบู (ผู้ชายที่เลยวัยแต่งงานแล้วแต่ยังไม่ได้แต่งงาน) หลงเหลือแล้ว เขาจึงเร่งให้เธอรีบหาคู่เพราะขืนยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เธออาจถูกจับไปเป็นอนุของใครสักคน ฮงชิมได้ยินดังนั้นจึงโม้ว่าตนมีว่าที่เจ้าบ่าวแล้ว เขาชื่อ "วอนดึก" อยู่หมู่บ้านเล็กๆ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่ พ่อของเขาเป็นเพื่อนพ่อตน แต่ปัญหาก็คือตอนนี้เขาเข้าประจำการอยู่ในกองทัพและยังไม่มีกำหนดกลับ เพราะเหตุนี้เธอถึงไม่สามารถแต่งงานตามคำสั่งองค์ชายรัชทายาทได้ พูดจบเธอก็เดินเชิดหน้าจากไป เจ้าหน้าที่ปาร์ครู้ทันจึงเตือนว่าองค์ชายรัชทายาทเป็นคนหัวร้อน แต่ฮงชิมหันกลับมาแย้งว่าองค์ชายรัชทายาทเป็นคนไร้สมองและเรียกองค์ชายว่า "เจ้าทึ่ม!"
พระชายาโซฮเยมาเยี่ยมยูลซึ่งมักนอนหลับใหลไม่ได้สติและอาเจียนต่อเนื่องมานานหลายวัน เธอสั่งให้ขันทียางหาทางป้อนยายูลเพื่อที่อาการของเขาจะได้ดีขึ้น และกระซิบบอกยูลให้รีบฟื้นเพราะชีวิตเธออยู่ในกำมือเขา เสนาชอง (เสนาขวา) และพวกพ้องฉวยโอกาสนำเรื่องที่องค์ชายรัชทายาทล้มป่วยและไม่มีทายาทมาเปิดประเด็นในท้องพระโรง ทำให้เกิดการโต้เถียงกันในหมู่ขุนนางเรื่องปลดองค์ชายรัชทายาท หลังฟังอยู่นานเสนาคิม (เสนาซ้าย) จึงปรามเหล่าขุนนางว่าอย่าขึ้นเสียงต่อหน้าพระพักตร์ จากนั้นก็ทูลว่าองค์ชายรัชทายาทยังหนุ่มยังแน่นและมักป่วยในช่วงเวลานี้ทุกปี อีกไม่นานก็จะหายเองเหมือนทุกครั้งจึงไม่จำเป็นต้องกังวล พระราชาได้ยินดังนั้นก็เห็นด้วยและสั่งห้ามทุกคนเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
ครั้นเสนอปลดองค์ชายรัชทายาทไม่สำเร็จ เสนาชอง (เสนาฯ ขวา) จึงรีบไปรายงาน "พระมเหสีปาร์ค" โดยบอกว่าการปลดองค์ชายรัชทายาทไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมีเสนาซ้ายซึ่งเป็นพ่อตาองค์ชายรัชทายาทคอยขัดขวาง แต่พระมเหสีถือคติที่ว่าจะตีเหล็กต้องตีตอนร้อนจึงคิดที่จะเดินหน้าต่อและรุกหนักขึ้น เสนาชองเตือนว่าขืนทำการโดยบุ่มบ่ามจะไม่มีทางชนะ พระมเหสีแย้งว่าตนเป็นถึงพระมเหสี ดังนั้นตำแหน่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์จึงควรเป็นของ "ซอวอนแทกุน" (องค์ชายซอวอน) ลูกชายตน ไม่ใช่ลูกชายนายหญิงตระกูลชินผู้ล่วงลับซึ่งเป็นเพียงสามัญชน เสนาชองเห็นว่าองค์ชายรัชทายาทสุขภาพไม่สู้ดีจึงน่าจะอยู่ได้ไม่นานเลยขอให้พระมเหสีอดทนรอ แต่พระมเหสีไม่อยากนั่งรอเวลาแล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกธรรมชาติ จึงบอกว่าตนจะวางแผนให้ทุกอย่างแลดูเป็นธรรมชาติเอง และดูเหมือนว่าตอนนี้แผนของตนใกล้สัมฤทธิ์ผลแล้ว
* แทกุน เป็นคำที่ใช้เรียกองค์ชายซึ่งถือกำเนิดจากพระมเหสีและไม่ได้เป็นองค์ชายรัชทายาท หากเกิดจากพระสนมจะเรียก "กุน"
หลังนอนท่าเดิมเป็นเวลานานหลายวันในที่สุดยูลก็ลุกขึ้นนั่งพลางบ่นปวดเมื่อย เขามองยาบนโต๊ะแล้วเปรยกับทงจูว่าใครบางคนคงกำลังนั่งดีใจเพราะคิดว่าตนใกล้ตาย ที่แท้ก่อนหน้านี้ยูลสงสัยว่ายาที่หมอหลวงนำมาให้มีปัญหาเลยแอบไปเค้นความจริงจากปากหมอหลวงที่นอกวัง โดยบอกว่าก่อนหน้านี้ตนอาเจียนหนักจนทานยาไม่ได้ พอหยุดทานยาแล้วอาการกลับค่อยๆ ดีขึ้น ตนเลยแอบเทยาทิ้งโดยไม่ให้ใครรู้ทำให้ตอนนี้อาการดีขึ้นมาก หมอหลวงยืนยันว่าตัวยาไม่มีปัญหาแต่ยอมรับว่ามีคนปองร้ายยูลจริง เขาชี้ว่าแม้ส่วนผสมของยาจะไม่มีพิษแต่ถ้าทานร่วมกับของว่างที่ยูลโปรดปรานจะเป็นพิษต่อร่างกาย ตนย้ำแล้วว่าห้ามยกถวายคู่กันและได้เขียนรายการอาหารอย่างอื่นทดแทนให้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนจงใจฝ่าฝืน ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าคนๆ นั้นเป็นใคร แต่มีสาวใช้คนหนึ่งของสำนักหมอหลวงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ยูลชวนทงจูเล่นเป็นนักสืบอีกครั้ง ทงจูเห็นว่าเป็นเรื่องร้ายแรงจึงแนะให้ทูลพระราชา ทั้งยังสงสัยว่าอาจเป็นฝีมือพระมเหสี ยูลแย้งว่าพวกตนยังไม่รู้แน่ชัดและไม่มีหลักฐานจึงไม่อาจฟันธง ที่สำคัญในวังหลวงแห่งนี้ตนไว้ใจใครไม่ได้สักคน...แม้กระทั่งพระบิดา เพราะไม่ว่าลูกคนไหนจะได้เป็นองค์รัชทายาทก็ไม่มีอะไรแตกต่างสำหรับพระองค์ ด้วยเหตุนี้ตนจึงจำเป็นต้องควานหาหลักฐานมามัดตัวคนร้ายให้ได้เสียก่อน
ปรากฏว่าจนป่านนี้ซูจีและเหล่าบัณฑิตขุนนางยังไม่ได้กลับบ้าน เพราะยูลเขียนปริศนา (ด้วยอักษรจีน) ทิ้งเอาไว้ แล้วสั่งว่าตราบใดที่ยังหาคำตอบไม่ได้ห้ามทุกคนออกจากวังโดยเด็ดขาด ทุกคนกลัวว่าถ้าตอบผิดแล้วจะโดนยูลไล่ออกจากตำแหน่งเลยไม่มีใครกล้าตอบส่งเดช ครั้นแจยุนมาพบเข้าแล้วรู้ว่าหากใครตอบถูกจะได้เลื่อนตำแหน่งตามที่ต้องการ เขาจึงยืนจ้องคำถามปริศนาแล้วยิ้มอย่างหมายมั่น (เขาตำแหน่งต่ำกว่าซูจี)
* ยุคโชซอนตอนต้นยังไม่มีการประดิษฐ์ตัวอักษรเกาหลี จึงยืมอักษรจีนมาใช้แต่ออกเสียงตามสำเนียงของตน ส่วนสีชุดประจำตำแหน่งที่เหล่าขุนนางใส่บ่งบอกถึงลำดับขั้น โดยเหล่าขุนนางใหญ่จะสวมชุดสีแดง (ตั้งแต่อาวุโสขั้น 1 ลงมาถึงอาวุโส ขั้น 3), ระดับรองลงมาจะสวมชุดสีน้ำเงิน (ผู้น้อยขั้น 3 - ผู้น้อยขั้น 6) ส่วนระดับล่างจะสวมชุดสีเขียว (ผู้น้อยขั้น 7 - ผู้น้อยขั้น 9)
"ยอน" (พ่อบุญธรรม) เห็นฮงชิมเตรียมเดินทางเข้าเมืองหลวงตามลำพังเลยรู้สึกเป็นห่วงเพราะเกรงว่าอาจมีคนจำเธอได้ ฮงชิมแย้งว่าเรื่องมันผ่านไปนานนับ 10 ปีแล้วและตอนนี้เธอก็สวยขึ้นมาก จากนั้นก็เตือนพ่อว่าอย่าลืมทานข้าวและอย่าใจอ่อนหรือหลงเชื่อคำลวงของกูโทลโดยเด็ดขาด ยอนฟังแล้วรู้สึกเหมือนฮงชิมกำลังสั่งลาเลยถามด้วยความกังวลว่า หากเธอเจอพี่ชายจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วใช่ไหม ฮงชิมแสร้งยิ้มและโกหกว่าถ้าได้เจอกันเธอจะพาพี่ชายมาอยู่ที่นี่ด้วย ยอนได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออก
ทงจูแอบพายูลออกจากวังโดยได้รับความช่วยเหลือจาก "ควอนฮยอก" ครั้นไปถึงบ้านสาวใช้ของสำนักหมอหลวงที่หายตัวไป ทั้งคู่ก็พบเพียงความว่างเปล่า แถมภายในบ้านยังมีข้าวของวางเกลื่อนพื้น ทงจูคิดที่จะลองสอบถามคนแถวนั้นดูแต่ยูลห้ามเอาไว้และเตือนว่ามีคนสะกดรอยตามพวกตน หลังหลอกล่อให้ผู้สะกดรอยตามติดกับ ทั้งคู่ก็พบว่าคนที่สะกดรอยตามมาคือ "ซงซอน" สาวใช้ที่พวกตนกำลังตามหา ยูลถามด้วยน้ำเสียงเอาเรื่องว่าอะไรทำให้เธอหวาดกลัวจนต้องหนีออกจากวังมา ซงซอนชี้ว่าเธอไม่ได้หนีแต่ถูกคนร้ายจับตัวมาและเพิ่งหนีเอาชีวิตรอดออกมาได้ หากพวกนั้นหาเจอเธอมีหวังไม่รอดแน่ ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องหลบซ่อนตัว ยูลถามว่าเธอคือคนจัดอาหารต้องห้ามให้ตนใช่ไหม ซงซอนร่ำไห้ขอโทษและชี้ว่าเธอแค่ทำตามคำสั่งของใครบางคน
ยูลถามอย่างคาดคั้นว่าคนที่ต้องการปิดปากเธอและคิดสังหารตนเป็นใคร ซงซอนยังไม่ทันได้ตอบกุ็มีลูกธนูพุ่งเฉียดศีรษะยูลและปักเข้าที่กลางลำคอของเธอพอดี ยูลจึงสั่งให้ทงจูตามไล่ล่าคนร้าย แต่นักฆ่าชุดดำซึ่งเป็นคนยิงธนูยังไม่ได้หนีไปไหน เขารอดูให้แน่ใจว่าซงซอนตายจริงจึงค่อยเดินจากไปอย่างใจเย็น ทงจูไล่ตามนักฆ่าเข้าไปในป่าแต่ถูกนักฆ่าลวงให้วิ่งไปผิดทาง นักฆ่าจะย้อนกลับไปทางเดิมแต่ยูลตามมาเห็นพอดีจึงขวางเอาไว้และถามว่าใครเป็นคนสั่งให้เขาทำเช่นนี้ นักฆ่าจ้องหน้ายูลแล้วค่อยๆ ชักดาบออกจากฝัก ยูลไม่ได้พกอาวุธติดตัวมาจึงหยิบกิ่งไม้บนพื้นมาต่อสู้กับนักฆ่า ไม่นานเขาก็เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ โชคดีที่ทงจูย้อนกลับมาช่วยทันเวลา (เขาซัดมีดสั้นปักอกด้านขวาของนักฆ่า นักฆ่าจึงรีบหนีไป) ยูลสั่งให้ทงจูไปดักจับนักฆ่าบริเวณปากทางเข้าออก ส่วนเขารีบไล่ตามนักฆ่าเข้าไปในตลาด
ขณะตามหานักฆ่าที่อยู่ๆ ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ยูลบังเอิญเดินชนชายคนหนึ่งที่เดินสวนมา แต่ชายคนดังกล่าวกลับเดินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยูลหันกลับไปมองชายคนดังกล่าวราวกับสงสัยอะไรบางอย่างแต่ไม่ได้ติดตามไป เขาจึงไม่เห็นรอยเลือดที่เริ่มซึมจากบาดแผลบริเวณหน้าอกของชายหนุ่ม ที่แท้ชายคนดังกล่าวคือนักฆ่าที่มีชื่อว่า "มูยอน" (หรือชื่อเดิม "ยูน ซอกฮา" พี่ชายยูน อีซอ) ซึ่งเป็นคนร้ายที่ยูลกำลังตามหานั่นเอง
ฮงชิมแวะมาดูบ้านหลังเก่าของตนซึ่งปัจจุบันกลายเป็นบ้านร้างที่อยู่ในสภาพทรุดโทรม เธอหวนนึกถึงวันเก่าๆ ที่เคยใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับคนในครอบครัวที่บ้านหลังนี้ด้วยน้ำตาคลอเบ้า ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่มาไล่เธอออกไปโดยเตือนว่าที่นี่เคยเป็นบ้านของพวกกบฏ หลังคนในบ้านถูกตัดหัวบ้านก็รกร้างว่างเปล่ามานานหลายปีเหล่าทรชนเลยชอบเข้ามามั่วสุมกันที่นี่ตอนกลางคืน ฮงชิมมุ่งหน้าไปยังตลาดจากนั้นก็แวะเปลี่ยนเสื้อผ้าในร้านขายหนังสือของคนที่เธอไว้ใจ (เปลี่ยนจากชุดผ้าฝ้ายของชนชั้นต่ำ เป็นชุดผ้าไหมของชนชั้นสูงซึ่งเป็นสถานะที่แท้จริงของเธอ)
ขณะเดินอยู่ในตลาดกับทงจู ยูลได้ยินคนขายหนังสือร้องเชิญชวนให้ผู้ที่เดินผ่านไปมาซื้อหนังสือ โดยบอกว่าร้านของตนมีทั้งนิยายประโลมโลกสำหรับผู้ใหญ่ และหลักคำสอนขงจื๊อสำหรับเด็ก เขาจึงหยุดดู (สมัยยังเด็กเขาเคยตั้งหน้าตั้งตาอ่านหลักคำสอนพื้นฐานสี่ประการของขงจื๊อเพราะอยากให้อีซอประทับใจ) คนขายนึกว่ายูลสนใจนิยายประโลมโลกเลยบอกว่าตนมีหนังสือเด็ดที่เพิ่งมาใหม่ เป็นนิยายประโลมโลกที่กล่าวถึงเรื่องราวของสองหนุ่มสาวซึ่งถูกบังคับให้แต่งงานตามคำสั่งขององค์ชายรัชทายาท แถมยังโม้ว่าดุเด็ดเผ็ดมันสุดๆ ยูลได้ดังนั้นก็แค่นหัวเราะในลำคอ ครั้นเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากร้านหนังสือเขาก็เหลียวมองเธอด้วยความสนใจ
* ในยุคโชซอนตอนต้น ผู้หญิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นสูงต้องปฏิบัติตามหลักคำสอนขงจื๊ออย่างเคร่งครัด เวลาออกนอกบ้านจึงต้องใช้ผ้าปกคลุมใบหน้า
ฮงชิมซึ่งกลับมาใช้สถานะและตัวตนจริงในฐานะ "อีซอ" เดินผ่านต้นพ็อด-กด (ซากุระเกาหลี) ที่มีกลีบดอกร่วงโปรยปรายจึงหยุดชื่นชม บังเอิญว่าในตอนนั้นยูลเองก็เดินผ่านบริเวณดังกล่าวเช่นกัน เขาจึงหยุดดูพลางนึกถึงตอนที่เผยความในใจและให้คำมั่นว่าจะแต่งงานกับเด็กหญิงตัวน้อยในป่าพ็อด-กดเมื่อสิบกว่าปีก่อน ครั้นหญิงสาวตรงหน้าลดผ้าคลุมศีรษะลง ยูลซึ่งเห็นใบหน้าของเธออย่างชัดเจนก็ถึงกับตกตะลึง แถมเธอยังยื่นมือรองกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นเหมือนอีซอตัวน้อยอีกต่างหาก พอรู้ตัวว่ามีชายหนุ่มยืนจ้องอีซอก็รู้สึกตกใจ เธอกลัวว่าจะตนเองจะมีภัยหากมีคนจำเธอได้เลยรีบยกผ้าคลุมศีรษะแล้ววิ่งหนี ทันที ยูลจำได้ว่าเธอคือรักแรกเลยรีบวิ่งตามไป
* บันทึกโบราณในยุคโชซอนมีเนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า เคยมีคนเห็นวัตถุประหลาดลักษณะคล้ายชามอ่าง (UFO) บินอยู่บนฟ้า
กึด-นยอจำใจแต่งงานกับ "กูโทล" เพราะไม่อยากโดนโบย 100 ครั้ง เธอจึงแอบมานั่งร้องไห้ก่อนเข้าพิธี ฮงชิมเห็นแล้วได้แต่สงสาร หลังเสร็จสิ้นพิธีฮงชิมเดินถอนใจออกจากบ้านบ่าวสาว เจ้าหน้าที่ปาร์คตามมาคุยด้วยและเตือนว่าเธอเป็นคนเดียวที่ยังไม่แต่งงาน ฮงชิมย้อนว่าขนาดกึด-นยอแต่งงานแล้วแต่ไม่เห็นมีวี่แววว่าฝนจะตก เจ้าหน้าที่ปาร์คจึงโวยลั่นว่าที่ฝนไม่ตกเป็นเพราะวอน-นยอคนสุดท้ายอย่างฮงชิมยังไม่แต่งงาน เขาไม่อยากให้เธอถูกโบยแต่หมดปัญญาช่วยเพราะในหมู่บ้านไม่มีควางบู (ผู้ชายที่เลยวัยแต่งงานแล้วแต่ยังไม่ได้แต่งงาน) หลงเหลือแล้ว เขาจึงเร่งให้เธอรีบหาคู่เพราะขืนยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เธออาจถูกจับไปเป็นอนุของใครสักคน ฮงชิมได้ยินดังนั้นจึงโม้ว่าตนมีว่าที่เจ้าบ่าวแล้ว เขาชื่อ "วอนดึก" อยู่หมู่บ้านเล็กๆ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่ พ่อของเขาเป็นเพื่อนพ่อตน แต่ปัญหาก็คือตอนนี้เขาเข้าประจำการอยู่ในกองทัพและยังไม่มีกำหนดกลับ เพราะเหตุนี้เธอถึงไม่สามารถแต่งงานตามคำสั่งองค์ชายรัชทายาทได้ พูดจบเธอก็เดินเชิดหน้าจากไป เจ้าหน้าที่ปาร์ครู้ทันจึงเตือนว่าองค์ชายรัชทายาทเป็นคนหัวร้อน แต่ฮงชิมหันกลับมาแย้งว่าองค์ชายรัชทายาทเป็นคนไร้สมองและเรียกองค์ชายว่า "เจ้าทึ่ม!"
พระชายาโซฮเยมาเยี่ยมยูลซึ่งมักนอนหลับใหลไม่ได้สติและอาเจียนต่อเนื่องมานานหลายวัน เธอสั่งให้ขันทียางหาทางป้อนยายูลเพื่อที่อาการของเขาจะได้ดีขึ้น และกระซิบบอกยูลให้รีบฟื้นเพราะชีวิตเธออยู่ในกำมือเขา เสนาชอง (เสนาขวา) และพวกพ้องฉวยโอกาสนำเรื่องที่องค์ชายรัชทายาทล้มป่วยและไม่มีทายาทมาเปิดประเด็นในท้องพระโรง ทำให้เกิดการโต้เถียงกันในหมู่ขุนนางเรื่องปลดองค์ชายรัชทายาท หลังฟังอยู่นานเสนาคิม (เสนาซ้าย) จึงปรามเหล่าขุนนางว่าอย่าขึ้นเสียงต่อหน้าพระพักตร์ จากนั้นก็ทูลว่าองค์ชายรัชทายาทยังหนุ่มยังแน่นและมักป่วยในช่วงเวลานี้ทุกปี อีกไม่นานก็จะหายเองเหมือนทุกครั้งจึงไม่จำเป็นต้องกังวล พระราชาได้ยินดังนั้นก็เห็นด้วยและสั่งห้ามทุกคนเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
ครั้นเสนอปลดองค์ชายรัชทายาทไม่สำเร็จ เสนาชอง (เสนาฯ ขวา) จึงรีบไปรายงาน "พระมเหสีปาร์ค" โดยบอกว่าการปลดองค์ชายรัชทายาทไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมีเสนาซ้ายซึ่งเป็นพ่อตาองค์ชายรัชทายาทคอยขัดขวาง แต่พระมเหสีถือคติที่ว่าจะตีเหล็กต้องตีตอนร้อนจึงคิดที่จะเดินหน้าต่อและรุกหนักขึ้น เสนาชองเตือนว่าขืนทำการโดยบุ่มบ่ามจะไม่มีทางชนะ พระมเหสีแย้งว่าตนเป็นถึงพระมเหสี ดังนั้นตำแหน่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์จึงควรเป็นของ "ซอวอนแทกุน" (องค์ชายซอวอน) ลูกชายตน ไม่ใช่ลูกชายนายหญิงตระกูลชินผู้ล่วงลับซึ่งเป็นเพียงสามัญชน เสนาชองเห็นว่าองค์ชายรัชทายาทสุขภาพไม่สู้ดีจึงน่าจะอยู่ได้ไม่นานเลยขอให้พระมเหสีอดทนรอ แต่พระมเหสีไม่อยากนั่งรอเวลาแล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกธรรมชาติ จึงบอกว่าตนจะวางแผนให้ทุกอย่างแลดูเป็นธรรมชาติเอง และดูเหมือนว่าตอนนี้แผนของตนใกล้สัมฤทธิ์ผลแล้ว
* แทกุน เป็นคำที่ใช้เรียกองค์ชายซึ่งถือกำเนิดจากพระมเหสีและไม่ได้เป็นองค์ชายรัชทายาท หากเกิดจากพระสนมจะเรียก "กุน"
หลังนอนท่าเดิมเป็นเวลานานหลายวันในที่สุดยูลก็ลุกขึ้นนั่งพลางบ่นปวดเมื่อย เขามองยาบนโต๊ะแล้วเปรยกับทงจูว่าใครบางคนคงกำลังนั่งดีใจเพราะคิดว่าตนใกล้ตาย ที่แท้ก่อนหน้านี้ยูลสงสัยว่ายาที่หมอหลวงนำมาให้มีปัญหาเลยแอบไปเค้นความจริงจากปากหมอหลวงที่นอกวัง โดยบอกว่าก่อนหน้านี้ตนอาเจียนหนักจนทานยาไม่ได้ พอหยุดทานยาแล้วอาการกลับค่อยๆ ดีขึ้น ตนเลยแอบเทยาทิ้งโดยไม่ให้ใครรู้ทำให้ตอนนี้อาการดีขึ้นมาก หมอหลวงยืนยันว่าตัวยาไม่มีปัญหาแต่ยอมรับว่ามีคนปองร้ายยูลจริง เขาชี้ว่าแม้ส่วนผสมของยาจะไม่มีพิษแต่ถ้าทานร่วมกับของว่างที่ยูลโปรดปรานจะเป็นพิษต่อร่างกาย ตนย้ำแล้วว่าห้ามยกถวายคู่กันและได้เขียนรายการอาหารอย่างอื่นทดแทนให้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนจงใจฝ่าฝืน ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าคนๆ นั้นเป็นใคร แต่มีสาวใช้คนหนึ่งของสำนักหมอหลวงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ยูลชวนทงจูเล่นเป็นนักสืบอีกครั้ง ทงจูเห็นว่าเป็นเรื่องร้ายแรงจึงแนะให้ทูลพระราชา ทั้งยังสงสัยว่าอาจเป็นฝีมือพระมเหสี ยูลแย้งว่าพวกตนยังไม่รู้แน่ชัดและไม่มีหลักฐานจึงไม่อาจฟันธง ที่สำคัญในวังหลวงแห่งนี้ตนไว้ใจใครไม่ได้สักคน...แม้กระทั่งพระบิดา เพราะไม่ว่าลูกคนไหนจะได้เป็นองค์รัชทายาทก็ไม่มีอะไรแตกต่างสำหรับพระองค์ ด้วยเหตุนี้ตนจึงจำเป็นต้องควานหาหลักฐานมามัดตัวคนร้ายให้ได้เสียก่อน
ปรากฏว่าจนป่านนี้ซูจีและเหล่าบัณฑิตขุนนางยังไม่ได้กลับบ้าน เพราะยูลเขียนปริศนา (ด้วยอักษรจีน) ทิ้งเอาไว้ แล้วสั่งว่าตราบใดที่ยังหาคำตอบไม่ได้ห้ามทุกคนออกจากวังโดยเด็ดขาด ทุกคนกลัวว่าถ้าตอบผิดแล้วจะโดนยูลไล่ออกจากตำแหน่งเลยไม่มีใครกล้าตอบส่งเดช ครั้นแจยุนมาพบเข้าแล้วรู้ว่าหากใครตอบถูกจะได้เลื่อนตำแหน่งตามที่ต้องการ เขาจึงยืนจ้องคำถามปริศนาแล้วยิ้มอย่างหมายมั่น (เขาตำแหน่งต่ำกว่าซูจี)
* ยุคโชซอนตอนต้นยังไม่มีการประดิษฐ์ตัวอักษรเกาหลี จึงยืมอักษรจีนมาใช้แต่ออกเสียงตามสำเนียงของตน ส่วนสีชุดประจำตำแหน่งที่เหล่าขุนนางใส่บ่งบอกถึงลำดับขั้น โดยเหล่าขุนนางใหญ่จะสวมชุดสีแดง (ตั้งแต่อาวุโสขั้น 1 ลงมาถึงอาวุโส ขั้น 3), ระดับรองลงมาจะสวมชุดสีน้ำเงิน (ผู้น้อยขั้น 3 - ผู้น้อยขั้น 6) ส่วนระดับล่างจะสวมชุดสีเขียว (ผู้น้อยขั้น 7 - ผู้น้อยขั้น 9)
"ยอน" (พ่อบุญธรรม) เห็นฮงชิมเตรียมเดินทางเข้าเมืองหลวงตามลำพังเลยรู้สึกเป็นห่วงเพราะเกรงว่าอาจมีคนจำเธอได้ ฮงชิมแย้งว่าเรื่องมันผ่านไปนานนับ 10 ปีแล้วและตอนนี้เธอก็สวยขึ้นมาก จากนั้นก็เตือนพ่อว่าอย่าลืมทานข้าวและอย่าใจอ่อนหรือหลงเชื่อคำลวงของกูโทลโดยเด็ดขาด ยอนฟังแล้วรู้สึกเหมือนฮงชิมกำลังสั่งลาเลยถามด้วยความกังวลว่า หากเธอเจอพี่ชายจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วใช่ไหม ฮงชิมแสร้งยิ้มและโกหกว่าถ้าได้เจอกันเธอจะพาพี่ชายมาอยู่ที่นี่ด้วย ยอนได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออก
ยูลถามอย่างคาดคั้นว่าคนที่ต้องการปิดปากเธอและคิดสังหารตนเป็นใคร ซงซอนยังไม่ทันได้ตอบกุ็มีลูกธนูพุ่งเฉียดศีรษะยูลและปักเข้าที่กลางลำคอของเธอพอดี ยูลจึงสั่งให้ทงจูตามไล่ล่าคนร้าย แต่นักฆ่าชุดดำซึ่งเป็นคนยิงธนูยังไม่ได้หนีไปไหน เขารอดูให้แน่ใจว่าซงซอนตายจริงจึงค่อยเดินจากไปอย่างใจเย็น ทงจูไล่ตามนักฆ่าเข้าไปในป่าแต่ถูกนักฆ่าลวงให้วิ่งไปผิดทาง นักฆ่าจะย้อนกลับไปทางเดิมแต่ยูลตามมาเห็นพอดีจึงขวางเอาไว้และถามว่าใครเป็นคนสั่งให้เขาทำเช่นนี้ นักฆ่าจ้องหน้ายูลแล้วค่อยๆ ชักดาบออกจากฝัก ยูลไม่ได้พกอาวุธติดตัวมาจึงหยิบกิ่งไม้บนพื้นมาต่อสู้กับนักฆ่า ไม่นานเขาก็เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ โชคดีที่ทงจูย้อนกลับมาช่วยทันเวลา (เขาซัดมีดสั้นปักอกด้านขวาของนักฆ่า นักฆ่าจึงรีบหนีไป) ยูลสั่งให้ทงจูไปดักจับนักฆ่าบริเวณปากทางเข้าออก ส่วนเขารีบไล่ตามนักฆ่าเข้าไปในตลาด
ขณะตามหานักฆ่าที่อยู่ๆ ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ยูลบังเอิญเดินชนชายคนหนึ่งที่เดินสวนมา แต่ชายคนดังกล่าวกลับเดินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยูลหันกลับไปมองชายคนดังกล่าวราวกับสงสัยอะไรบางอย่างแต่ไม่ได้ติดตามไป เขาจึงไม่เห็นรอยเลือดที่เริ่มซึมจากบาดแผลบริเวณหน้าอกของชายหนุ่ม ที่แท้ชายคนดังกล่าวคือนักฆ่าที่มีชื่อว่า "มูยอน" (หรือชื่อเดิม "ยูน ซอกฮา" พี่ชายยูน อีซอ) ซึ่งเป็นคนร้ายที่ยูลกำลังตามหานั่นเอง
ฮงชิมแวะมาดูบ้านหลังเก่าของตนซึ่งปัจจุบันกลายเป็นบ้านร้างที่อยู่ในสภาพทรุดโทรม เธอหวนนึกถึงวันเก่าๆ ที่เคยใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับคนในครอบครัวที่บ้านหลังนี้ด้วยน้ำตาคลอเบ้า ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่มาไล่เธอออกไปโดยเตือนว่าที่นี่เคยเป็นบ้านของพวกกบฏ หลังคนในบ้านถูกตัดหัวบ้านก็รกร้างว่างเปล่ามานานหลายปีเหล่าทรชนเลยชอบเข้ามามั่วสุมกันที่นี่ตอนกลางคืน ฮงชิมมุ่งหน้าไปยังตลาดจากนั้นก็แวะเปลี่ยนเสื้อผ้าในร้านขายหนังสือของคนที่เธอไว้ใจ (เปลี่ยนจากชุดผ้าฝ้ายของชนชั้นต่ำ เป็นชุดผ้าไหมของชนชั้นสูงซึ่งเป็นสถานะที่แท้จริงของเธอ)
ขณะเดินอยู่ในตลาดกับทงจู ยูลได้ยินคนขายหนังสือร้องเชิญชวนให้ผู้ที่เดินผ่านไปมาซื้อหนังสือ โดยบอกว่าร้านของตนมีทั้งนิยายประโลมโลกสำหรับผู้ใหญ่ และหลักคำสอนขงจื๊อสำหรับเด็ก เขาจึงหยุดดู (สมัยยังเด็กเขาเคยตั้งหน้าตั้งตาอ่านหลักคำสอนพื้นฐานสี่ประการของขงจื๊อเพราะอยากให้อีซอประทับใจ) คนขายนึกว่ายูลสนใจนิยายประโลมโลกเลยบอกว่าตนมีหนังสือเด็ดที่เพิ่งมาใหม่ เป็นนิยายประโลมโลกที่กล่าวถึงเรื่องราวของสองหนุ่มสาวซึ่งถูกบังคับให้แต่งงานตามคำสั่งขององค์ชายรัชทายาท แถมยังโม้ว่าดุเด็ดเผ็ดมันสุดๆ ยูลได้ดังนั้นก็แค่นหัวเราะในลำคอ ครั้นเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากร้านหนังสือเขาก็เหลียวมองเธอด้วยความสนใจ
* ในยุคโชซอนตอนต้น ผู้หญิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นสูงต้องปฏิบัติตามหลักคำสอนขงจื๊ออย่างเคร่งครัด เวลาออกนอกบ้านจึงต้องใช้ผ้าปกคลุมใบหน้า
ฮงชิมซึ่งกลับมาใช้สถานะและตัวตนจริงในฐานะ "อีซอ" เดินผ่านต้นพ็อด-กด (ซากุระเกาหลี) ที่มีกลีบดอกร่วงโปรยปรายจึงหยุดชื่นชม บังเอิญว่าในตอนนั้นยูลเองก็เดินผ่านบริเวณดังกล่าวเช่นกัน เขาจึงหยุดดูพลางนึกถึงตอนที่เผยความในใจและให้คำมั่นว่าจะแต่งงานกับเด็กหญิงตัวน้อยในป่าพ็อด-กดเมื่อสิบกว่าปีก่อน ครั้นหญิงสาวตรงหน้าลดผ้าคลุมศีรษะลง ยูลซึ่งเห็นใบหน้าของเธออย่างชัดเจนก็ถึงกับตกตะลึง แถมเธอยังยื่นมือรองกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นเหมือนอีซอตัวน้อยอีกต่างหาก พอรู้ตัวว่ามีชายหนุ่มยืนจ้องอีซอก็รู้สึกตกใจ เธอกลัวว่าจะตนเองจะมีภัยหากมีคนจำเธอได้เลยรีบยกผ้าคลุมศีรษะแล้ววิ่งหนี ทันที ยูลจำได้ว่าเธอคือรักแรกเลยรีบวิ่งตามไป
* เนื้อหาโดย luvasianseries / ภาพ ทีวีเอ็น
รายชื่อนักแสดง
นักแสดงนำ
โด คยองซู (ดี.โอ. วง EXO)
รับบท องค์ชายรัชทายาท "ลียูล" / นา วอนดึก
"ลียูล" เป็นองค์ชายรัชทายาทที่มีความสามารถเพียบพร้อม แต่ต้องกลายเป็นคนชนชั้นล่างหลังถูกลอบสังหาร แม้จะสูญเสียความทรงจำแต่เขายังคงเจ้ายศเจ้าอย่าง และมักใช้คำพูดคำจาเหมือนผู้สูงศักดิ์ทำให้คนในหมู่บ้านเอือมระอาและพากันรำคาญ แถมพฤติกรรมดังกล่าวยังนำเรื่องเดือดร้อนมาให้เขาบ่อยครั้ง ถึงกระนั้นความชาญฉลาดและความรู้ความสามารถของเขายังคงอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะด้านการยิงธนู แต่ในฐานะสามัญชนคนชั้นล่างเขาได้ชื่อว่าเป็นคนที่ไม่เอาไหนและไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงเพราะทำอะไรในชีวิตประจำวันไม่เป็นสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการสานรองเท้าฟาง ตัดฟืน ฯลฯ
นัม จีฮยอน
รับบท ยูน อีซอ / ยอน ฮงชิม
"ยูน อีซอ" เป็นผู้หญิงที่ทั้งฉลาดและสตรอง เดิมเป็นชนชั้นสูง แต่หลังครอบครัวถูกกวาดล้างเธอก็ใช้ชีวิตในฐานะชนชั้นล่างที่หมู่บ้านซงจู
โช ซองฮา
รับบท คิม ชาออน
คนใกล้ชิดองค์ชายรัชทายาทลียูล
โช ฮันชอล
รับบท พระราชา (ตำแหน่งเดิม: นึงซอนกุน / ชื่อจริง: ลีโฮ)
โอ ยอนอา
รับบท พระมเหสี ตระกูลปาร์ค
จี มินฮยอก
รับบท ซอวอนแทกุน (องค์ชายซอวอน)
คนใกล้ชิดยอน ฮงชิม
คิม ซอนโฮ
รับบท ชอง แจยุน
"ชอง เจยุน" เป็นขุนนางที่คอยช่วยเหลือองค์ชายรัชทายาทอย่างลับๆ และเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่องค์ชายรัชทายาทไว้ใจ แต่เขาดันมีปัญหาเรื่องภาวะไม่รู้ใบหน้า (prosopagnosia) หรือบอดใบหน้า เลยจำไม่ได้ว่าวอนดึกคือองค์ชายรัชทายาท เขารักฮงชิมข้างเดียวและใบหน้าเดียวที่เขาจดจำได้อย่างแม่นยำก็คือใบหน้าของเธอ
ชอง แฮคยุน
รับบท ยอน
"ยอน" เป็นพ่อบุญธรรมยอน ฮงชิม เขาเป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่รู้สถานะที่แท้จริงของเธอ
คนใกล้ชิดคิม ชาออน
ฮัน โซฮี
รับบท คิม โซฮเย
"คิม โซฮเย" เป็นลูกสาวคิม ชาออน เธอถูกพ่อบังคับให้แต่งงานกับองค์ชายรัชทายาทลียูล แต่ไม่เคยได้รับความรักหรือการเหลียวแลจากพระสวามี เธอมีใจให้มูยอนซึ่งเป็นหนึ่งในนักฆ่าของบิดาและเกิดตั้งครรภ์กับเขา นั่นจึงทำให้เธอกับพ่อตกที่นั่งลำบาก เพราะเธอไม่เคยมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับองค์ชายรัชทายาทลียูล
ฮอ จองมิน
รับบท คิม ซูจี (ลูกชายคิม ชาออน )
คิม แจยอง
รับบท มูยอน (ยูน ซอกฮา - พี่ชายยูน อีซอ)
ชเวอุง
รับบท ชอง ซายอพ
โช ฮยอนชิก
รับบท ขันทียาง
คัง ยองซ็อก
รับบท ควอนฮยอก
รับบท ควอนฮยอก
หมู่บ้านซงจู
อัน ซ็อกฮวาน
รับบท ปาร์ค ซอนโด
ลี จุนฮยอก
รับบท ปาร์ค บกอึน
คิม กีทู
รับบท กูโทล
ลี มินจี
รับบท กึด-นยอ
โช แจรยอง
รับบท โช พูยอง
คลิปตัวอย่างจาก tvN DRAMA
คลิปเบื้องหลังจาก tvN DRAMA
เพลงประกอบละคร
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา